Translate

09 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย นอนแทรกแซง] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๓๘๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาค พุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
              ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์กีดกันที่นอนดีๆ ไว้ ให้พระเถระทั้งหลายย้ายไปเสีย แล้วคิดกันว่า ด้วยอุบายอะไรหนอ? พวกเราจะพึงอยู่จำพรรษา ณ ที่นี้แหละ แล้วสำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลายด้วยหมายใจว่า ผู้ใดมีความคับใจผู้นั้นจักหลีกไปเอง. 
          บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้สำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลาย? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
ทรงสอบถาม            พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอสำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลาย จริงหรือ?
             พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้สำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลายเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ             ๖๕. ๖. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ สำเร็จการนอนแทรกแซงภิกษุผู้เข้าไปก่อนในวิหารของสงฆ์ ด้วยหมายว่า ผู้ใดมีความคับใจ, ผู้นั้นจักหลีกไปเอง ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นให้เป็นปัจจัย หาใช่อย่างอื่นไม่ เป็นปาจิตตีย์.
 เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๓๘๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...             
          บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             วิหารที่ชื่อว่า ของสงฆ์ ได้แก่ วิหารที่เขาถวายแล้ว สละแล้วแก่สงฆ์.
             ที่ชื่อว่า รู้ คือ รู้ว่าเป็นพระผู้เฒ่า รู้ว่าเป็นพระอาพาธ รู้ว่าเป็นพระที่สงฆ์มอบวิหารให้.
             บทว่า แทรกแซง คือ เข้าไปเบียดเสียด.
             บทว่า สำเร็จการนอน ความว่า ภิกษุปูไว้เองก็ดี ให้คนอื่นปูไว้ก็ดี ซึ่งที่นอนในสถานที่ใกล้เตียงก็ดี ตั่งก็ดี ทางเข้าออกก็ดี, ต้องอาบัติทุกกฏ นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             คำว่า ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นให้เป็นปัจจัย หาใช่อย่างอื่นไม่ ความว่า ไม่มีอะไรอื่นเป็นปัจจัยเพื่อสำเร็จการนอนแทรกแซง.
บทภาชนีย์ -ติกะปาจิตตีย์
             [๓๘๕] วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ สำเร็จการนอนแทรกแซง, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             วิหารของสงฆ์ ภิกษุสงสัย สำเร็จการนอนแทรกแซง, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล สำเร็จการนอนแทรกแซง, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
             เว้นอุปจาร เตียง ตั่ง หรือทางเข้าออกไว้ ภิกษุปูเองก็ดี ให้คนอื่นปูก็ดี ซึ่งที่นอน ต้องอาบัติทุกกฏ. นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี, ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุปูเองก็ดี ให้คนอื่นปูก็ดี ซึ่งที่นอน ในอุปจารวิหารก็ดี ในโรงฉันก็ดี ในมณฑปก็ดี, ใต้ต้นไม้ก็ดี ในที่แจ้งก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
    วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             วิหารของบุคคล ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. เพราะเป็นของส่วนตัวของผู้อื่น.
             วิหารเป็นส่วนตัวของตน ..., ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร[๓๘๖] ภิกษุอาพาธเข้าอยู่ ๑, ภิกษุถูกความหนาวหรือความร้อนเบียดเบียนแล้วเข้าไปอยู่ ๑, ภิกษุมีอันตราย ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒
 สิกขาบทที่ ๖         เสนาสนวรรค อนูปขัชช
   พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :- 
 [แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องเข้าไปนอนแทรกแซง] 
                 บทว่า ปลิพุทฺธนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ไปถึงก่อนขนบาตรและจีวรไปยืนกั้นอยู่. 
                ข้อว่า เถเร ภิกฺขู วุฏฺฐาเปนฺติ มีความว่า ถือเอาตามลำดับพรรษากล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ! (ที่นี้) ถึงแก่พวกเรา ดังนี้ แล้วให้ย้ายออกไปเสีย. 
                 คำว่า อนุปขชฺช เสยฺยํ กปฺเปนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์เข้าไปแทรกแซงกล่าวว่า ท่านขอรับ! เฉพาะที่เตียงเท่านั้น ถึงแก่พวกท่าน ไม่ใช่วิหารทั้งหมด, บัดนี้ ที่นี้ ถึงแก่พวกกระผม ดังนี้ จัดวางเตียงและตั่งแล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง กระทำการสาธยายบ้าง. 
                 บทว่า ชานํ ได้แก่ รู้อยู่ว่า ภิกษุนี้ไม่ควรถูกย้าย. 
                 ด้วยเหตุนั้นนั่นเอง ในวิภังค์แห่งบทว่า ชานํ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำเป็นต้นว่า วุฑฺโฒติ ชานาติ แปลว่า รู้อยู่ว่าเป็นพระผู้เฒ่า. 
                 จริงอยู่ ภิกษุผู้เฒ่าเป็นผู้ไม่ควรให้ย้าย เพราะตนเป็นผู้เฒ่า, ภิกษุผู้อาพาธเป็นผู้ไม่ควรให้ย้าย เพราะเธอเป็นผู้อาพาธ. ก็สงฆ์กำหนดความเป็นผู้มีอุปการะและความเป็นผู้มีคุณพิเศษ 
         แห่งภิกษุภัณฑาคาริกก็ดี แห่งภิกษุผู้เป็นพระธรรมกถึก และพระวินัยธรเป็นต้นก็ดี 
        แห่งภิกษุผู้เป็นอาจารย์สอนคณะก็ดี จึงสมมติวิหารให้ เพื่อต้องการให้อยู่ประจำ. เพราะเหตุนั้น สงฆ์ให้วิหารแก่ภิกษุใด, ภิกษุแม้นั้นชื่อว่า เป็นผู้ไม่ควรให้ย้าย. 
                 ก็ในคำว่า วุฑฺโฒติ ชานาติ เป็นต้นนี้ สงฆ์เท่านั้นจะให้เสนาสนะที่สมควรแม้แก่ภิกษุผู้อาพาธก็จริง, ถึงกระนั้น ภิกษุอาพาธก็แยกตรัสไว้แผนกหนึ่ง เพื่อแสดงว่า แม้เป็นผู้มีเสนาสนะอันสงฆ์ยังไม่อปโลกน์ให้ ก็ไม่ควรบีบคั้น ควรอนุเคราะห์ ดังนี้. 
            ในคำว่า อุปจาเร นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 หนึ่งศอกคืบโดยรอบ ในวิหารใหญ่ ชื่ออุปจารแห่งเตียงและตั่งก่อน. ในวิหารเล็กหนึ่งศอกคืบจากที่พอจะตั้งเตียงตั่งได้ (ชื่อว่า อุปจารแห่งเตียงตั่ง). ทางกว้างศอกคืบชั่วระยะถึงเตียงและตั่ง จากที่วางก้อนหินสำหรับล้างเท้าซึ่งวางไว้ที่ประตูและที่ถ่ายปัสสาวะ สำหรับภิกษุผู้ล้างเท้าแล้วเข้าไป และภิกษุผู้ออกไปเพื่อต้องการถ่ายปัสสาวะ ชื่ออุปจาร. 
              ภิกษุใดใคร่จะสำเร็จการนอนแทรกแซง ปูลาดเองก็ดี ให้ปูลาดก็ดีซึ่งที่นอนในอุปจารแห่งภิกษุผู้ยืนอยู่ที่อุปจารแห่งเตียงหรือตั่งนั้นก็ดี ผู้เข้าหรือออกอยู่ก็ดี ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ. 
                 ในคำว่า อภินิสีทติ วา อภินิปชฺชติ วา นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
                เป็นปาจิตตีย์ เพราะเหตุสักว่านั่งทับบ้าง เพราะเหตุสักว่านอนทับบ้าง, แต่ถ้าภิกษุทำการนั่งและทำการนอนทั้ง ๒ อย่าง เป็นปาจิตตีย์ ๒ ตัว. เมื่อผุดลุกผุดนั่งหรือผุดลุกผุดนอน เป็นปาจิตตีย์ทุกๆ ประโยค. 
                 บัณฑิตพึงทราบประเภทแห่งทุกกฎ แม้ในทุกกฏวาร มีอาทิว่า วิหารสฺส อุปจาเร ดังนี้ ในคำว่า อุปจารํ ฐเปตฺวา เสยฺยํ สนฺถรติ วา สนฺถราเปติ วา นี้ และอื่นจากคำนี้ เหมือนประเภทแห่งปาจิตตีย์ที่ตรัสไว้ในการทำกิจทั้ง ๒ คือ เพียงแต่นั่งทับและนอนทับ 
                ในคำว่า อภินิสีทติ วา อภินิปชฺชติ วา นี้ และในประเภทแห่งประโยคฉะนั้น. เพราะไม่ต้องการด้วยวิสภาคบุคคลเช่นนี้อยู่ในวิหารเดียวกัน หรือในบริเวณเดียวกัน ฉะนั้น ท่านจึงห้ามการอยู่แห่งวิสภาคบุคคลนั้น ในที่ทุกแห่งทีเดียว. 
                 แม้ในคำว่า อญฺญสฺส ปุคฺคลิเก นี้ ก็พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 เสนาสนะส่วนตัวของบุคคลผู้คุ้นเคยกัน เช่นเดียวกับของส่วนตัวของตนเหมือนกัน ไม่เป็นอาบัติในเสนาสนะส่วนตัวบุคคลของผู้คุ้นเคยกันนั้น. 
                 บทว่า อาปทาสุ มีความว่า ถ้ามีอันตรายแห่งชีวิตและพรหมจรรย์แก่ภิกษุผู้อยู่ภายนอก ในเพราะอันตรายเห็นปานนั้น ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุผู้เข้าไป (ภายใน). 
                    บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล. 
 อนูปขัชชสิกขาบทที่ ๖ จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: