[๓๙๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น ภิกษุ ๒ รูป อยู่บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์ รูปหนึ่งอยู่ชั้นล่าง รูปหนึ่งอยู่ชั้นบน ภิกษุอยู่ชั้นบนนั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงอันมีเท้าเสียบ เท้าเตียงตกโดนศีรษะภิกษุผู้อยู่ชั้นล่าง ภิกษุนั้นส่งเสียงร้องลั่น ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไปถามภิกษุนั้นว่า ท่านส่งเสียงร้องทำไม? จึงภิกษุนั้นได้ชี้แจงเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงนั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอนั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์ จริงหรือ?
ภิกษุนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอจึงได้นั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์เล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ ๖๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ซึ่งเตียงก็ดี ซึ่งตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์, เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุ ๒ รูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
วิหาร ที่ชื่อว่า เป็นของสงฆ์ ได้แก่ วิหารที่เขาถวายแล้ว สละแล้วแก่สงฆ์.
เตียงที่ชื่อว่า มีเท้าเสียบ คือเขาสอดเท้าเสียบเข้าไว้ในตัวเตียง.
ตั่ง ที่ชื่อว่า มีเท้าเสียบ คือเขาสอดเท้าเสียบเข้าไว้ในตัวตั่ง.
บทว่า นั่งทับ คือนั่งทับบนเตียงตั่งนั้น, ต้องอาบัติปาจิตตีย์
บทว่า นอนทับ คือนอนทับบนเตียงตั่งนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์ - ติกะปาจิตตีย์
[๓๙๕] วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ซึ่งเตียงก็ดี ซึ่งตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบ บนร้าน, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. วิหารของสงฆ์ ภิกษุสงสัย นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ซึ่งเตียงก็ดี ซึ่งตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบ บนร้าน, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ซึ่งเตียงก็ดี ซึ่งตั่งก็ดีอันมีเท้าเสียบ บนร้าน, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกะทุกกฏ
วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิหารของบุคคล ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล เพราะเป็นส่วนตัวของภิกษุอื่น ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ วิหารเป็นส่วนตัวของตน ..., ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๓๙๖] ไม่ใช่ร้าน ๑ ร้านสูงพอกระทบศีรษะ ๑ ข้างล่างไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่ ๑ ข้างบนปูพื้นไว้ ๑, เท้าเตียงเท้าตั่งได้ตรึงสลักกับตัว ๑ ภิกษุยืนบนเตียงตั่งนั้นหยิบจีวรหรือพาดจีวรได้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์
ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒
สิกขาบทที่ ๘ เสนาสนวรรค เวหาสกุฎี
พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
[แก้อรรถเวหาสกุฎีและกิริยานั่งทับ]
บทว่า อุปริ เวหาสกุฏิยา ได้แก่ บนกุฎี ๒ ชั้นก็ดี บนกุฎี ๓ ชั้นก็ดี ที่ข้างบนไม่ได้ปูพื้นไว้.
คำว่า มญฺจํ สหสา อภินิสีทติ ได้แก่ นั่งทับ คือ นั่งคร่อมเตียงโดยแรง.
อีกอย่างหนึ่ง คำว่า มญฺจํ นี้ เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. ความว่า นั่งลงบนเตียง. ก็คำว่า อภิ นี้เป็นเพียงอุปสรรค เพื่อทำให้บทสวยงามเท่านั้น.
บทว่า ปติตฺวา คือ ตกลงหรือหลุดออกแล้ว. เพราะว่า ในเบื้องบนของเท้าเตียงนั้น แม้สลักก็ไม่ใส่ เพราะฉะนั้น, เท้าเตียงจึงหลุดออก.
บทว่า วิสฺสรมกาสิ คือ ได้ทำเสียงร้องครวญครางผิดรูป.
คำว่า เวหาสกุฏี นาม มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส อสีสฆฏฺฏา มีความว่า กุฎีใดไม่กระทบศีรษะแห่งบุรุษผู้มีขนาดปานกลาง ด้วยขื่อที่ต่ำกว่าเขาทั้งหมด, (กุฎีนั้น ชื่อว่า เวหาสกุฎี). ด้วยคำนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเวหาสกุฎีที่ทรงประสงค์แล้วในสิกขาบทนี้. (แต่) หาได้ทรงแสดงลักษณะของเวหาสกุฎีไว้ไม่.
จริงอยู่ กุฎีมี ๒ ชั้นก็ดี กุฎีมี ๓ ชั้นเป็นต้นก็ดี ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเบื้องบนไม่ได้ปูพื้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า เวหาสกุฎี. แต่ในสิกขาบทนี้ประสงค์เอาเวหาสกุฎีที่ไม่กระทบศีรษะ. บัณฑิตพึงทราบความแตกต่างกันแห่งอาบัติ ในการนั่งทับเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งประโยค โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั้นแล.
บทว่า อเวหาสกุฏิยา มีความว่า ไม่เป็นอาบัติในศาลาใบไม้ที่เขาสร้างไว้บนพื้นดินเป็นต้น. เพราะว่า ไม่อาจเพื่อจะทำความเบียดเบียนแก่คนอื่นในกุฎีมีบรรณศาลาเป็นต้นนั้น.
บทว่า สีสฆฏฺฏาย มีความว่า กุฎีใดกระทบศีรษะได้, ไม่เป็นอาบัติในกุฎีแม้นั้น. เพราะว่า ใครๆ ไม่ก้มตัวลงไม่อาจเพื่อจะเที่ยวไปในปราสาทชั้นล่าง (พื้นชั้นล่าง) ในกุฎีนั่นได้ ฉะนั้น จักไม่มีความเบียดเบียนแก่ผู้อื่น เพราะไม่ใช่สถานที่สัญจร.
สามบทว่า เหฏฺฐา อปริโภคํ โหติ มีความว่า ภายใต้เป็นที่ใช้สอยไม่ได้ เพราะเก็บทัพสัมภาระเป็นต้น. แม้ในกุฎีนั้นก็ไม่เป็นอาบัติ.
สองบทว่า ปทรสญฺจิตํ โหติ มีความว่า พื้นข้างบนกุฎีใดเขาปู แน่นทึบด้วยแผ่นกระดานไม้ก็ดี ทำการบริกรรมด้วยปูนขาวเป็นต้นก็ดี. แม้ในกุฎีนั้นก็ไม่เป็นอาบัติ.
ข้อว่า ปฏฺฏาณิ ทินฺนา โหติ มีความว่า ได้ตรึงสลักไว้ที่ปลาย เท้าเตียงและตั่งเป็นต้น. แม้เมื่อภิกษุนั่งบนเตียงและตั่งใด, (เท้าเตียง) ไม่ตกลงมา, แม้ภิกษุผู้นั่งบนเตียงและตั่งเช่นนั้น ก็ไม่เป็นอาบัติ.
ข้อว่า ตสฺมึ ฐิโต มีความว่า ภิกษุยืนบนเตียงและตั่งที่มีเท้าเสียบ (เข้าไว้ในตัวเตียงตั่ง) หยิบจีวรหรือวัตถุอะไรๆ ที่แขวนไว้บนไม้ฟันมังกรเป็นต้นข้างบน, หรือว่าจะแขวนวัตถุอื่น, ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้น.
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เกิดขึ้นทางกาย ๑ ทางกายกับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
เวหาสกุฎีสิกขาบทที่ ๘ จบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น