Translate

22 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๘ สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๗ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย การแกล้งก่อความรำคาญ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๗๐๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์แกล้งก่อความรำคาญให้แก่พระสัตตรสวัคคีย์ ด้วยพูดว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า สงฆ์ไม่พึงอุปสมบทบุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ดังนี้ ก็พวกท่านมีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบทแล้วพวกท่านเป็นอนุปสัมบันของพวกเรา กระมัง
        พระสัตตรสวัคคีย์เหล่านั้นร้องไห้. 
    ภิกษุทั้งหลาย จึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านร้องไห้ทำไม? 
    พระสัตตรสวัคคีย์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พระฉัพพัคคีย์เหล่านี้แกล้งก่อความรำคาญให้แก่พวกผม. 
    บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้แกล้งก่อความรำคาญให้แก่ภิกษุทั้งหลายเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอแกล้ง ก่อความรำคาญให้แก่ภิกษุทั้งหลาย จริงหรือ?
    พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้แกล้งก่อความรำคาญให้แก่ภิกษุทั้งหลายเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
    ๑๒๖. ๗. อนึ่ง ภิกษุใด แกล้งก่อความรำคาญแก่ภิกษุด้วยหมายว่า ด้วยเช่นนี้ ความไม่ผาสุกจักมีแก่เธอแม้ครู่หนึ่ง ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นแลให้เป็นปัจจัย หาใช่อย่างอื่นไม่ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๗๐๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    บทว่า แก่ภิกษุ คือ แก่ภิกษุรูปอื่น.
    บทว่า แกล้ง คือรู้อยู่ รู้ดีอยู่ จงใจ ตั้งใจ ละเมิด
    บทว่า ก่อความรำคาญ ความว่า ก่อความรำคาญเป็นต้นว่า 
      ชะรอยท่านมีอายุหย่อน ๒๐ ฝน อุปสมบทแล้ว
      ชะรอยท่านบริโภคอาหารในเวลาวิกาลแล้ว
 ชะรอยท่านดื่มน้ำเมาแล้วชะรอยท่านนั่งในที่ลับกับมาตุคามแล้ว ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    คำว่า ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นแลให้เป็นปัจจัย หาใช่อย่างอื่นไม่ คือ ไม่มีเหตุอะไรอื่นที่จะก่อความรำคาญให้.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์
    [๗๐๙] อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบัน แกล้งก่อความรำคาญให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    อุปสัมบัน ภิกษุมีความสงสัย แกล้งก่อความรำคาญให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน แกล้งก่อความรำคาญให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
จตุกกะทุกกฏ
  ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญให้แก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
 อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร 
    [๗๑๐] ภิกษุไม่ประสงค์จะก่อความรำคาญ พูดแนะนำว่า ชะรอยท่านจะมีอายุไม่ครบ ๒๐ ฝน อุปสมบทแล้ว ชะรอยท่านจะบริโภคอาหารในเวลาวิกาลแล้ว ชะรอยท่านจะดื่มน้ำเมาแล้วชะรอยท่านจะนั่งในที่ลับกับมาตุคามแล้ว ท่านจงรู้ไว้เถิดว่า ความรำคาญใจในภายหลังอย่าได้มีแก่ท่าน ดังนี้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สหธรรมิก
วรรคที่ ๘ สิกขาบทที่ ๗    สหธรรมิกวรรค สัญจิจจ
    วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๗ พึงทราบดังนี้ :-
    บทว่า อุปทหนฺติ แปลว่า ก่อให้เกิดขึ้น.
    ข้อว่า กุกฺกุจฺจํ อุปทหติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส ได้แก่ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด.
    บทว่า อนุปสมฺปนฺนสฺส มีความว่า ภิกษุก่อความรำคาญแก่สามเณรโดยนัยเป็นต้นว่า ชะรอยเธอนั่ง นอน กิน ดื่ม ในที่ลับร่วมกับมาตุคาม และเธอกระทำอย่างนี้และอย่างนี้ในท่ามกลางสงฆ์. เป็นทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
    คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
    แม้สมุฏฐานเป็นต้นก็เช่นเดียวกับอมูลกสิกขาบทนั้นแล.

ไม่มีความคิดเห็น: