Translate

15 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย นั่งแทรกแซง] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๓๕]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
              ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรไปสู่เรือนของสหายแล้ว สำเร็จการนั่งในเรือนนอนกับภรรยาของเขา จึงบุรุษสหายนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร ครั้นแล้วกราบไหว้ท่านพระอุปนันทศากยบุตรแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เขานั่งเรียบร้อยแล้วบอกภรรยาว่า จงถวายภิกษาแก่พระคุณเจ้า 
            จึงนางได้ถวายภิกษาแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร บุรุษนั้นได้เรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ท่านกลับเถิด ขอรับ เพราะภิกษาข้าพเจ้าก็ได้ถวายแก่พระคุณเจ้าแล้ว สตรีภรรยานั้นกำหนดรู้ในขณะนั้นว่า บุรุษนี้อันราคะรบกวนแล้ว จึงเรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ท่านนั่งอยู่ก่อนเถิด เจ้าค่ะ อย่าเพิ่งไป 
                แม้ครั้งที่สอง บุรุษนั้น ... 
              แม้ครั้งที่สาม บุรุษนั้นก็ได้เรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ท่านกลับเถิดขอรับ เพราะภิกษาข้าพเจ้าก็ได้ถวายแก่พระคุณเจ้าแล้ว. 
              แม้ครั้งที่สาม หญิงนั้นก็ได้เรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ท่านนั่งอยู่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ อย่าเพิ่งไป. 
              ทันใด บุรุษสามีเดินออกไปกล่าวยกโทษต่อภิกษุทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้าอุปนันทะนี้นั่งในห้องนอนกับภรรยาของกระผม กระผมนิมนต์ให้ท่านกลับไป ก็ไม่ยอมกลับ กระผมมีกิจมาก มีกรณียะมาก. 
              บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านอุปนันทศากยบุตรจึงได้สำเร็จการนั่งแทรกแซง ในตระกูลที่มีคน ๒ คนเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม              พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุปนันทะว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธอสำเร็จการนั่งแทรกแซง ในตระกูลที่มีคน ๒ คน จริงหรือ? 
                 ท่านพระอุปนันทะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้สำเร็จการนั่งแทรกแซงในตระกูลที่มีคน ๒ คนเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ             ๙๒.๓. อนึ่ง ภิกษุใด สำเร็จการนั่งแทรกแซงในตระกูลที่มีคน ๒ คน เป็นปาจิตตีย์.
 เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
              [๕๓๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
              ตระกูลที่ชื่อว่า มีคน ๒ คน คือ มีเฉพาะสตรี ๑ บุรุษ ๑ ทั้ง ๒ คนยังไม่ออกจากกันทั้ง ๒ คนหาใช่ผู้ปราศจากราคะไม่. 
                บทว่า แทรกแซง คือ กีดขวาง. 
              บทว่า สำเร็จการนั่ง ความว่า ในเรือนใหญ่ ภิกษุนั่งละหัตถบาสแห่งบานประตู ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
        ในเรือนเล็ก นั่งล้ำท่ามกลางห้องเรือน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์
              [๕๓๗] ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าห้องนอน สำเร็จการนั่งแทรกแซง ในตระกูลที่มีคน ๒ คนต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ห้องนอน ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่งแทรกแซงในตระกูลที่มีคน ๒ คน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ห้องนอน สำเร็จการนั่งแทรกแซง ในตระกูลที่มีคน ๒ คน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกะทุกกฏ   ไม่ใช่ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าห้องนอน ต้องอาบัติทุกกฏ. ไม่ใช่ห้องนอน ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ไม่ต้องอาบัติ
        ไม่ใช่ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ห้องนอน ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร
              [๕๓๘] ภิกษุนั่งในเรือนใหญ่ ไม่ล่วงล้ำหัตถบาสแห่งบานประตู ๑ ภิกษุนั่งในเรือนเล็กไม่เลยท่ามกลางห้อง ๑ ภิกษุมีเพื่อนอยู่ด้วย ๑ คนทั้ง ๒ ออกจากกันแล้ว ทั้ง ๒ ปราศจากราคะแล้ว ๑ ภิกษุนั่งในสถานที่อันมิใช่ห้องนอน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ. 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ อเจลกวรรคที่ ๕ 
 สิกขาบทที่ ๓              อเจลกวรรค สโภชน 
                   ในสิกขาบทที่ ๓ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
 [แก้อรรถบางปาฐะในปฐมบัญญัติแห่งสิกขาบท] 
                       บทว่า สยนีฆเร แปลว่า ในเรือนนอน. 
                 คำว่า ยโต อยฺยสฺส ภิกฺขา ทินฺนา แปลว่า เพราะข้าพเจ้าได้ถวายภิกษาแล้ว. 
                 อธิบายว่า สิ่งใดอันผู้มาแล้วพึงได้ ท่านได้สิ่งนั้นแล้ว นิมนต์ท่านกลับไปเถิด. 
              บทว่า ปริยุฏฺฐิโต คือ เป็นผู้อันราคะกลุ้มรุมแล้ว. 
              ความว่า มีความประสงค์ในเมถุน. 
              บทว่า สโภชเน ได้แก่ สกุลที่เป็นไปกับด้วยคน ๒ คน ชื่อว่าสโภชนะ. ในสกุลมีคน ๒ คนนั้น. 
                 อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สโภชเน คือในสกุลมีโภคะ. เพราะว่า สตรีเป็นโภคะของบุรุษผู้อันราคะกลุ้มรุมแล้ว และบุรุษก็เป็นโภคะของสตรี (ผู้กลัดกลุ้มด้วยราคะ), ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า สโภชเน นั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า มีสตรีกับบุรุษ เป็นต้น. 
            สองบทว่า มหลฺลเก ฆเร คือ ในเรือนนอนหลังใหญ่. 
                 สามบทว่า ปิฏฺฐิสงฺฆาฏสฺส หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา มีความว่า ละหัตถบาสแห่งบานประตูห้องในเรือนนอนนั้น แล้วนั่ง ณ ที่ใกล้ภายในที่นอน. ก็เรือนนอนเช่นนี้ มีในศาลา ๔ มุขเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงการล้ำท่ามกลางด้วยคำนี้ว่าปิฏฺฐิวํสํ อติกฺกมิตฺวา.
            เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบอาบัติ เพราะล้ำท่ามกลางแห่งเรือนนอนหลังเล็กที่เขาสร้างไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง. 
                        บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ ดังนี้แล.

ไม่มีความคิดเห็น: