[๖๓๑]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้น ท่านพระอุทายีเป็นผู้ชำนาญในการยิงธนูนกกาทั้งหลายไม่เป็นที่ชอบใจของท่านๆ ได้ยิงมัน แล้วตัดศีรษะเสียบหลาวเรียงไว้เป็นลำดับ
ภิกษุทั้งหลายถามอย่างนี้ว่า อาวุโส ใครฆ่านกกาเหล่านี้?
พระอุทายีตอบว่า ผมเองขอรับ เพราะผมไม่ชอบนกกา.
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุทายีจึงได้แกล้งพรากสัตว์จากชีวิตเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี ข่าวว่า เธอแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต จริงหรือ?
ท่านพระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอจึงได้แกล้งพรากสัตว์จากชีวิตเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสหรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ ๑๑๐. ๑. อนึ่ง ภิกษุใด แกล้งพรากสัตว์จากชีวิต เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุทายี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๖๓๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่
ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า แกล้ง คือ รู้อยู่ รู้ดีอยู่ ตั้งใจ พยายาม ละเมิด.
ที่ชื่อว่า สัตว์ ตรัสหมายสัตว์ดิรัจฉาน.
บทว่า พราก ... จากชีวิต ความว่า ตัดทอน บั่นทอน ซึ่งอินทรีย์มีชีวิต ทำความสืบต่อให้กำเริบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
[๖๓๓] สัตว์มีชีวิต ภิกษุสำคัญว่าสัตว์มีชีวิต พรากจากชีวิต ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
สัตว์มีชีวิต ภิกษุสงสัย พรากจากชีวิต ต้องอาบัติทุกกฏ.
สัตว์มีชีวิต ภิกษุสำคัญไม่ใช่สัตว์มีชีวิต พรากจากชีวิต ไม่ต้องอาบัติ.
ไม่ใช่สัตว์มีชีวิต ภิกษุสำคัญว่าสัตว์มีชีวิต ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ใช่สัตว์มีชีวิต ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ใช่สัตว์มีชีวิต ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่สัตว์มีชีวิต ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๖๓๔] ภิกษุไม่แกล้งพราก ๑ ภิกษุพรากด้วยไม่มีสติ ๑ ภิกษุไม่รู้ ๑ ภิกษุไม่ประสงค์จะให้ตาย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณกวรรคที่ ๗
สิกขาบทที่ ๑ ปาจิตตีย์ สัปปาณวรรค
สัญจิจจปาณสิกขาบทที่ ๑
- บาลีเป็นสัปปาณกวรรค.
พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งสัปปาณวรรคดังต่อไปนี้ :-
[แก้อรรถปาฐะเรื่องการแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต]
สองบทว่า อิสฺสาโส โหติ ความว่า เคยเป็นอาจารย์ของพวกนายขมังธนูในคราวเป็นคฤหัสถ์.
สองบทว่า ชีวิตา โวโรปิตา ได้แก่ พรากเสียจากชีวิต.
แม้ในสิกขาบท คำว่า โวโรเปยฺย ก็แปลว่า พึงพรากเสีย. ก็เพราะคำว่า โวโรเปยฺย นั่น เป็นเพียงโวหารเท่านั้น, เพราะว่า เมื่อสัตว์ถูกพรากจากชีวิตแล้ว ไม่มีชีวิตไรๆ จะยังคงอยู่ต่างหากในสัตว์นี้ คือจะถึงความอันตรธานไปแน่นอน
เหมือนศีรษะเมื่อถูกพรากเครื่องประดับศีรษะ ฉะนั้น เพราะฉะนั้น เพื่อจะแสดงอรรถนั้น ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสคำว่า ชีวิตินฺทฺริยํ อุปจฺฉินฺทติ เป็นต้น.
ก็ในสิกขาบทนี้ จำเพาะสัตว์ดิรัจฉานเท่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ปาณะ (ปราณ). ภิกษุฆ่าสัตว์เดรัจฉานนั้น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นอาบัติเท่ากัน, ไม่มีความต่างกัน. แต่ในสัตว์ใหญ่เป็นอกุศลมาก เพราะมีความพยายามมาก.
สองบทว่า ปาเณปาณสญฺญี มีความว่า ชั้นที่สุด ภิกษุจะทำความสะอาดเตียงและตั่ง มีความสำคัญแม้ในไข่เรือดว่าเป็นสัตว์เล็ก บี้ไข่เรือดนั้นให้แตกออก เพราะขาดความกรุณา เป็นปาจิตตีย์. เพราะเหตุนั้น ภิกษุพึงตั้งความกรุณาไว้ในฐานะเช่นนั้น เป็นผู้ไม่ประมาททำวัตรเถิด.
บทที่เหลือพร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังได้กล่าวแล้วในมนุสสวิคคหสิกขาบทนั่นแล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น