Translate

16 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๖ สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องพระสาคตะ [ว่าด้วย การดื่มสุรา] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๗๕]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จจาริกในเจติยชนบทได้ดำเนินทรงไปทางตำบลบ้านรั้วงาม คนเลี้ยงโค คนเลี้ยงปศุสัตว์ 
        คนชาวนา คนเดินทาง ได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคกำลังทรงดำเนินมาแต่ไกลเที่ยว. ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระองค์อย่าได้เสด็จไปยังท่ามะม่วงเลย พระพุทธเจ้าข้า, เพราะที่ท่ามะม่วงมีนาคอาศัยอยู่ในอาศรมชฎิล เป็นสัตว์มีฤทธิ์เป็นอสรพิษร้าย มันจะได้ไม่ทำร้ายพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า. 
             เมื่อเขากราบทูลเรื่องนั้นแล้ว พระองค์ได้ทรงดุษณี, 
             แม้ครั้งที่สองแล ... แม้ครั้งที่สามแล 
        ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงตำบลบ้านรั้วงามแล้ว ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ ตำบลบ้านรั้วงามนั้น. 
       ครั้งนั้นแล ท่านพระสาคตะเดินผ่านไปทางท่ามะม่วง อาศรมชฎิล. ครั้นถึงแล้วได้เข้าไปยังโรงบูชาไฟ ปูหญ้าเครื่องลาด นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า. นาคนั้นพอแลเห็นท่านพระสาคตะเดินผ่านเข้ามา ได้เป็นสัตว์ดุร้ายขุ่นเคือง, จึงบังหวนควันขึ้นในทันใด. 
         แม้ท่านพระสาคตะก็บังหวนควันขึ้น. มันทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟสู้ในทันที. 
         แม้ท่านพระสาคตะก็เข้าเตโชธาตุกสิณสมาบัติ บันดาลไฟต้านทานไว้. ครั้นท่านครอบงำไฟของนาคนั้นด้วยเตโชสิณแล้ว เดินผ่านไปทางตำบลบ้านรั้วงาม. 
         ส่วนพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลบ้านรั้วงาม ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จหลีกไปสู่จาริกทางพระนครโกสัมพี. พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพีได้ทราบข่าวว่า พระคุณเจ้าสาคตะได้ต่อสู้กับนาคผู้อยู่ ณ ตำบลท่ามะม่วง. 
   พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับถึงพระนครโกสัมพี. 
    จึงพวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพีพากันรับเสด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่านพระสาคตะ กราบไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง, แล้วถามท่านว่า ท่านขอรับ อะไรเป็นของหายากและเป็นของชอบของพระคุณเจ้า พวกกระผมจะจัดของอะไรถวายดี? 
         เมื่อเขาถามอย่างนั้นแล้ว, พระฉัพพัคคีย์ได้กล่าวตอบคำนี้กะพวกอุบาสกว่า มี ท่านทั้งหลาย สุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบ เป็นของหายาก ทั้งเป็นของชอบของพวกพระ ท่านทั้งหลาย จงแต่งสุรานั้นถวายเถิด. 
         ครั้งนั้น พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพี ได้จัดเตรียมสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบไว้ทุกๆ ครัวเรือน, พอเห็นท่านพระสาคตะเดินมาบิณฑบาต จึงต่างพากันกล่าวเชื้อเชิญว่า นิมนต์พระคุณเจ้าสาคตะดื่มสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบเจ้าข้า, นิมนต์พระคุณเจ้าสาคตะดื่มสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบ เจ้าข้า. 
         ครั้งนั้น ท่านพระสาคตะได้ดื่มสุราใสสีแดงดังเท้าดังนกพิราบทุกๆ ครัวเรือนแล้ว เมื่อจะ เดินออกจากเมือง, ได้ล้มกลิ้งอยู่ที่ประตูเมือง. 
        พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากเมืองพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก, ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระสาคตะล้มกลิ้งอยู่ที่ประตูเมือง, จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงช่วยกันหามสาคตะไป. 
         ภิกษุเหล่านั้นรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว หามท่านพระสาคตะไปสู่อารามให้นอนหันศีรษะไปทางพระผู้มีพระภาค. แต่ท่านพระสาคตะได้พลิกกลับนอนผันแปรเท้าทั้งสองไปทางพระผู้มีพระภาค. 
         ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในตถาคตมิใช่หรือ? 
         ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า. 
         ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เออก็บัดนี้ สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในตถาคตอยู่หรือ? 
         ภิ. ข้อนั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า. 
         ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะได้ต่อสู้กับนาคอยู่ที่ตำบลท่ามะม่วงมิใช่หรือ? 
         ภิ. ใช่ พระพุทธเจ้าข้า. 
         ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้สาคตะสามารถจะต่อสู้แม้กับงูน้ำได้หรือ? 
         ภิ. ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า. 
         ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย น้ำที่ดื่มเข้าไปแล้วถึงวิสัญญีภาพนั้นควรดื่มหรือไม่? 
         ภิ. ไม่ควรดื่ม พระพุทธเจ้าข้า. 
         ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของสาคตะไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉน สาคตะจึงได้ดื่มน้ำที่ทำผู้ดื่มให้เมาเล่า? การกระทำของสาคตะนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
บัญญัติ        ๑๐๐. ๑. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะดื่มสุราและเมรัย. เรื่องพระสาคตะ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
         [๕๗๖] ที่ชื่อว่า สุรา ได้แก่สุราที่ทำด้วยแป้ง สุราที่ทำด้วยขนม สุราที่ทำด้วยข้าวสุก สุราที่หมักส่าเหล้า สุราที่ผสมด้วยเครื่องปรุง. 
         ที่ชื่อ เมรัย ได้แก่น้ำดองดอกไม้ น้ำดองผลไม้ น้ำดองน้ำผึ้ง น้ำดองน้ำอ้อยงบน้ำดองที่ผสมด้วยเครื่องปรุง. 
         คำว่า ดื่ม คือ ดื่ม โดยที่สุดแม้ด้วยปลายหญ้าคา, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์          [๕๗๗] น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่าน้ำเมา ดื่ม, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. น้ำเมา ภิกษุสงสัย ดื่ม, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.          น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่ามิใช่น้ำเมา ดื่ม, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ทุกะทุกกฏ
 ไม่ใช่น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่าน้ำเมา ดื่ม, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 ไม่ใช่น้ำเมา ภิกษุสงสัย ดื่ม, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ไม่ต้องอาบัติ
    ไม่ใช่น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่น้ำเมา ดื่ม, ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร
         [๕๗๘] ภิกษุดื่มน้ำที่มีกลิ่นรสเหมือนน้ำเมา แต่ไม่ใช่น้ำเมา ๑; ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในแกง ๑, ... ที่เจือลงในเนื้อ ๑, ... ที่เจือลงในน้ำมัน ๑, ... น้ำเมาในน้ำอ้อยที่ดองมะขามป้อม ๑, ภิกษุดื่มยาดองอริฏฐะซึ่งไม่ใช่ของเมา ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. 
สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
 อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ปาจิตติย์ สุราปานวรรคที่ ๖ สิกขาบทที่ ๑          ปาจิตตีย์ สุราปาน
สุราปานสิกขาบทที่ ๑        พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งสุราปานวรรค ดังต่อไปนี้ :- 
 [แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องสุราเมรัย] 
         หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อว่า ภัททวติกะ. หมู่บ้านนั้นได้ชื่ออย่างนี้ เพราะประกอบด้วยรั้วงาม. 
         บทว่า ปถาวิโน แปลว่า คนเดินทาง. 
         สองบทว่า เตชสา เตชํ ได้แก่ (ครอบงำ) ซึ่งเดชแห่งนาคด้วยเดช คือด้วยอานุภาพของตน. 
         บทว่า กาโปติกา คือ มีสีแดงเสมอเหมือนกับสีเท้าแห่งพวกนกพิราบ. 
         คำว่า ปสนฺนา นี้ เป็นชื่อแห่งสุราใส. 
         สามบทว่า อนนุจฺฉวิกํ ภิกฺขเว สาคตสฺส มีรูปความที่ท่านกล่าวไว้ว่า ชื่อว่าการดื่มน้ำเมา เป็นการไม่สมควรแก่สาคตะผู้สำเร็จอภิญญา ๕. 
         เมรัยที่เขาทำด้วยรสแห่งดอกมะซางเป็นต้น ชื่อว่าปุปผาสวะ. เมรัยที่เขาคั้นผลลูกจันทน์เป็นต้นแล้ว ทำด้วยรสแห่งผลลูกจันทน์เป็นต้นนั้น ชื่อว่าผลาสวะ.
             เมรัยที่เขาทำด้วยรสชาติแห่งผลลูกจันทน์ (หรือองุ่น) เป็นต้น ชื่อว่ามัธวาสวะ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เขาทำด้วยน้ำผึ้งก็มี. เมรัยที่ชื่อว่า คุฬาสวะ. 
              เขาทำด้วยน้ำอ้อยสด เป็นต้น. 
        ธรรมดาสุราที่เขาใส่เชื้อแป้ง กระทำด้วยรสแม้แห่งจั่นมะพร้าวเป็นต้น ย่อมถึงการนับว่า สุราทั้งนั้น. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เมื่อตักเอาน้ำใสแห่งสุราใส่เชื้อแล้วนั่นแล (ที่เหลือ) ย่อมถึงการนับว่าเมรัยทั้งนั้น. 
         สามบทว่า อนฺตมโส กุสคฺเคนาปิ ปิวติ มีความว่า ภิกษุดื่มสุราหรือเมรัยนั่นตั้งแต่เชื้อ แม้ด้วยปลายหญ้าคา เป็นปาจิตตีย์. แต่เมื่อดื่มแม้มากด้วยประโยคเดียว เป็นอาบัติเพียงตัวเดียว. เมื่อดื่มขาดเป็นระยะๆ เป็นอาบัติมากตัวโดยนับประโยค. 
         คำว่า อมชฺชญฺจ โหต มชฺชวณฺณํ มชฺชคนฺธํ มชฺชรสํ มีความว่า เป็นยาดองน้ำเกลือก็ดี มีสีแดงจัดก็ดี. 
         บทว่า สูปสํปาเก มีความว่า ชนทั้งหลายใส่น้ำเมาลงนิดหน่อย เพื่ออบกลิ่นแล้วต้มแกง, เป็นอนาบัติ ในเพราะแกงใส่น้ำเมาเล็กน้อยนั้น. 
         แม้ในต้มเนื้อก็นัยนี้เหมือนกัน. 
         ก็ชนทั้งหลายย่อมเจียวน้ำมันกับน้ำเมา แม้เพื่อเป็นยาระงับลม, ไม่เป็นอาบัติในน้ำมันแม้นั้นที่ไม่ได้เจือน้ำเมาจนเกินไปเท่านั้น. ในน้ำมันที่เจือน้ำเมาจัดไป จนมีสีมีกลิ่น และรสแห่งน้ำเมาปรากฏเป็นอาบัติแท้. 
         สองบทว่า อมชฺชํอริฏฺฐํ มีความว่า ในยาดองชื่ออริฏฐะซึ่งไม่ใช่น้ำเมา ไม่เป็นอาบัติ. ได้ยินว่า ชนทั้งหลายทำยาดองชื่ออริฏฐะ ด้วยรสแห่งมะขามป้อมเป็นต้นนั่นแหละ. ยาดองนั้นมีสี กลิ่นและรสคล้ายน้ำเมา แต่ไม่เมา. 
        พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอายาดองชื่ออริฏฐะนั้น จึงตรัสคำนี้ แต่ยาดองอริฏฐะที่เขาปรุงด้วยเครื่องปรุงจัดเป็นน้ำเมา ไม่ควรตั้งแต่เชื้อ. 
         บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
         สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ แล. 
        ก็ในสมุฏฐานเป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นอจิตตกะ เพราะไม่รู้วัตถุ. พึงทราบว่า เป็นโลกวัชชะ เพราะจะพึงดื่มด้วยอกุศลจิตเท่านั้น ดังนี้แล.

ไม่มีความคิดเห็น: