Translate

18 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย ปิดอาบัติชั่วหยาบ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๔๔]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
      ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว บอกแก่ภิกษุสัทธิวิหาริกของภิกษุผู้พี่น้องกันว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว
      คุณอย่าได้บอกแก่ใครๆ เลย. ครั้นต่อมาภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว 
   ขอปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์. สงฆ์ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นแก่เธอแล้ว. เธอกำลังอยู่ปริวาสอยู่ พบภิกษุรูปนั้นแล้วได้บอกภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว 
   ได้ขอปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์ สงฆ์ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นแก่ผมแล้ว ผมนั้นกำลังอยู่ปริวาส ผมขอบอกให้ทราบ ขอท่านจงจำผมว่าบอกให้ทราบดังนี้. 
   ภิกษุนั้นถามว่า อาวุโส แม้ภิกษุรูปอื่นใด ต้องอาบัตินี้ แม้ภิกษุนั้นก็ทำอย่างนี้หรือ? 
   ภิกษุผู้อยู่ปริวาสตอบว่า ทำอย่างนี้ อาวุโส. 
   ภิกษุนั้นพูดว่า อาวุโส ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนี้ต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว ท่านได้บอกแก่ผมว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว คุณอย่าได้บอกแก่ใครเลย. 
   ภิกษุผู้อยู่ปริวาสถามว่า อาวุโส ก็ท่านปกปิดอาบัตินั้นหรือ? 
   ภิกษุนั้นตอบว่า เป็นเช่นนั้น ขอรับ. 
   ครั้นแล้วภิกษุผู้อยู่ปริวาสนั้นได้แจ้งเรื่องแก่ภิกษุทั้งหลาย 
   บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุรู้อยู่ จึงได้ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
ทรงสอบถาม
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุผู้ปกปิดอาบัตินั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอรู้อยู่ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ จริงหรือ? 
    ภิกษุผู้ปกปิดอาบัตินั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอรู้อยู่ จึงได้ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ     ๑๑๓. ๔. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
   [๖๔๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด &@ บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    บทว่า ของภิกษุ คือ ของภิกษุรูปอื่น. 
 ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือคนอื่นๆ บอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก. 
 ที่ชื่อว่า อาบัติชั่วหยาบ ได้แก่ อาบัติปาราชิก ๔ และอาบัติสังฆาทิเสส ๑๓. 
 บทว่า ปิด ความว่า เมื่อภิกษุคิดเห็นว่า คนทั้งหลายรู้อาบัตินี้แล้วจักโจท จักบังคับให้ให้การ จักด่าว่า จักติเตียน จักทำให้เก้อ, เราจักไม่บอกละ ดังนี้ พอทอดธุระเสร็จ, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
บทภาชนีย์
   [๖๔๖] อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าอาบัติชั่วหยาบ ปิด, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุยังสงสัยอยู่ ปิด, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
  อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่อาบัติชั่วหยาบ ปิด ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ภิกษุปิดอาบัติไม่ชั่วหยาบ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ภิกษุปิดอัชฌาจารอันชั่วหยาบก็ดี ไม่ชั่วหยาบก็ดี ของอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าอาบัติชั่วหยาบ ปิด ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุยังสงสัยอยู่ ปิด ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่อาบัติชั่วหยาบ ปิด ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    [๖๔๗] ภิกษุคิดเห็นว่าความบาดหมางก็ดี ความทะเลาะก็ดี ความแก่งแย่งก็ดี การวิวาทก็ดี จักมีแก่สงฆ์ แล้วไม่บอก ๑ 
     ไม่บอกด้วยคิดเห็นว่าสงฆ์จักแตกแยกกัน หรือจักร้าวรานกัน ๑ ไม่บอกด้วยคิดเห็นว่าภิกษุรูปนี้เป็นผู้โหดร้ายหยาบคาย จักทำอันตรายชีวิต หรือ อันตรายพรหมจรรย์ ๑ 
    ไม่พบภิกษุอื่นที่สมควรจึงไม่บอก ๑ ไม่ตั้งใจจะปิดแต่ยังไม่ได้บอก ๑ ไม่บอกด้วยคิดเห็นว่าจักปรากฏเอง ด้วยการกระทำของตน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณก
วรรคที่ ๗  สิกขาบทที่ ๔  สัปปาณกวรรค ทุฏฐุลล
      ในสิกขาบทที่ ๔        มีวินิจฉัยดังนี้ :-
 [แก้อรรถว่าด้วยการปกปิดอาบัติชั่วหยาบ] 
      ในคำว่า ทุฏฺฐุลฺลา นาม อาปตฺติ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปาราชิก ๔ ไว้ ด้วยอำนาจแห่งการทรงขยายความ, แต่ทรงประสงค์อาบัติสังฆาทิเสส. เมื่อภิกษุปกปิดอาบัติสังฆาทิเสสนั้น เป็นปาจิตตีย์. 
      สองบทว่า ธุรํ นิกฺขิตฺตมตฺเต คือ เมื่อสักว่าทอดธุระเสร็จ. ถ้าแม้นทอดธุระแล้ว บอกในภายหลัง, รักษาไม่ได้. 
      มีคำอธิบายว่า พอทอดธุระเสร็จเท่านั้น ก็เป็นปาจิตตีย์. แต่ถ้าว่า ภิกษุทอดธุระแล้วอย่างนั้น บอกแก่ภิกษุอื่นเพื่อปกปิดไว้นั่นเอง, แม้ภิกษุผู้รับบอกนั้นเล่า ก็บอกแก่ภิกษุอื่นโดยอุบายดังกล่าวมานี้ สมณะตั้งร้อยก็ดี สมณะตั้งพันก็ดี ย่อมต้องอาบัติทั้งนั้น ตราบเท่าที่สุดยังไม่ขาดลง. 
    ถามว่า ที่สุดจะขาดเมื่อไร? 
  ตอบว่า ท่านมหาสุมเถระกล่าวไว้ก่อนว่า ภิกษุต้องอาบัติแล้วบอกแก่ภิกษุรูปหนึ่ง, ภิกษุผู้รับบอกนั้น กลับมาบอกแก่เธอผู้ต้องอาบัตินั้นอีก, ที่สุดย่อมขาดลงอย่างนี้. ส่วนพระมหาปทุมเถระกล่าวว่า เพราะว่า ภิกษุนี้เป็นวัตถุบุคคลทีเดียว (บุคคลผู้ต้องอาบัติ), แต่ต้องอาบัติแล้วก็บอกแก่ภิกษุรูปหนึ่ง, 
ภิกษุรูปที่ ๒ นี้ก็บอกแก่ภิกษุรูปต่อไป, ภิกษุรูปที่ ๓ นั้นกลับมาบอกเรื่องที่ภิกษุรูปที่ ๒ บอกเธอแก่ภิกษุรูปที่ ๒ นั้นแล, เมื่อบุคคลที่ ๓ กลับมาบอกแก่บุคคลที่ ๒ อย่างนี้ ที่สุดย่อมขาดตอนลง. 
      สองบทว่า อทุฏฺฐุลฺลํ อาปตฺตึ ได้แก่ อาบัติ ๕ กองที่เหลือ. 
     อัชฌาจารนี้ คือ สุกกวิสัฏฐิและกายสังสัคคะ ชื่อว่าอัชฌาจาร อันชั่วหยาบสำหรับอนุปสัมบัน ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนสฺสทุฏฺฐุลฺลํ วา อทุฏฺฐุลฺลํ วา อชฺฌาจารํ นี้. 
      บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล. 
      สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกาย วาจากับจิต เป็นอกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.

ไม่มีความคิดเห็น: