Translate

13 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๔ โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๓ [ว่าด้วย ฉันทีหลัง] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องบุรุษเข็ญใจ 
              [๔๘๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี. 
                 ครั้งนั้น ประชาชนได้จัดตั้งลำดับภัตตาหารอันประณีตไว้ ในพระนครเวสาลี. 
                        คราวนั้น กรรมกรเข็ญใจคนหนึ่งดำริว่า ทานนี้จักไม่เป็นกุศลเล็กน้อย เพราะประชาชนพวกนี้ทำภัตตาหารโดยเคารพ ผิฉะนั้น เราควรทำภัตตาหารบ้าง ดังนั้นเขาจึงเข้าไปหานายกิรปติกะบอกความจำนงว่าคุณครับ 
            กระผมปรารถนาจะทำภัตตาหารถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข, ขอท่านโปรดให้ค่าจ้างแก่กระผม แม้นายกิรปติกะนั้น ก็เป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใส เขาจึงได้ให้ค่าจ้างแก่กรรมกรเข็ญใจนั้นเกินปกติ ฝ่ายกรรมกรเข็ญใจนั้น ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง 
             ครั้นแล้วได้กราบทูลอาราธนาว่าขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศลและปีติปราโมทย์ ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า. 
              พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่นัก เธอจงทราบ. กรรมกรนั้นกราบทูลว่าภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ก็ไม่เป็นไร พระพุทธเจ้าข้า. ผลพุทราข้าพระพุทธเจ้าจัดเตรียมไว้มาก อาหารที่เป็นเครื่องดื่มเจือด้วยพุทราจักบริบูรณ์. 
              พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ. ครั้นเขาทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณหลีกไปแล้ว. 
             ภิกษุทั้งหลายทราบข่าวว่า กรรมกรเข็ญใจผู้หนึ่ง นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้, อาหารที่เป็นเครื่องดื่มเจือด้วยผลพุทราจักบริบูรณ์ เธอจึงเที่ยวบิณฑบาตฉันเสียแต่เช้า. 
              ชาวบ้านทราบข่าวว่า กรรมกรเข็ญใจผู้หนึ่งได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เขาจึงนำของเคี้ยวของฉันเป็นอันมากไปช่วยกรรมกรเข็ญใจ. ส่วนกรรมกรเข็ญใจผู้นั้น สั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอันประณีต โดยล่วงราตรีนั้น แล้วให้ไปกราบทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ได้เวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว. 
              ขณะนั้นแลเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงบาตรจีวรเสด็จไปยังที่อยู่ของกรรมกรเข็ญใจผู้นั้น ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวายพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. จึงกรรมกรเข็ญใจผู้นั้นอังคาสภิกษุทั้งหลายในโรงภัตตาหาร. 
              ภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส จงถวายแต่น้อยเถิด, จงถวายแต่น้อยเถิด. 
              กรรมกรกราบเรียนว่า พระคุณเจ้าทั้งหลาย โปรดอย่าเข้าใจว่า กระผมนี้เป็นกรรมกรเข็ญใจ แล้วรับแต่น้อยๆ เลย เจ้าข้า. ของเคี้ยวของฉันกระผมได้จัดหาไว้มากมาย ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายได้โปรดเรียกร้องตามประสงค์เถิด เจ้าข้า. 
              ภิกษุทั้งหลายตอบว่า พวกฉันขอรับแต่น้อยๆ มิใช่เพราะเหตุนั้นเลย เพราะพวกฉัน เที่ยวบิณฑบาตฉันมาแต่เช้าแล้วต่างหาก ฉะนั้น พวกฉันจึงขอรับแต่น้อยๆ. 
              ลำดับนั้นแล กรรมกรเข็ญใจผู้นั้นจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย อันข้าพเจ้านิมนต์ไว้แล้ว จึงได้ฉันเสียในที่อื่นเล่า? ข้าพเจ้าไม่สามารถจะถวายให้เพียงพอแก่ความต้องการหรือ. 
              ภิกษุทั้งหลายได้ยินเขาเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ภิกษุทั้งหลายรับนิมนต์ไว้ในที่แห่งหนึ่งแล้วไฉนจึงได้ฉันเสียในที่อีกแห่งหนึ่งเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงสอบถาม              พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุรับนิมนต์ไว้ในที่แห่งหนึ่งแล้ว ฉันเสียในที่อีกแห่งหนึ่ง จริงหรือ? 
              ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
 ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษเหล่านั้นรับนิมนต์ไว้ในที่แห่งหนึ่งแล้ว ไฉนจึงได้ฉันในที่อีกแห่งหนึ่งเล่า การกระทำของโมฆบุรุษพวกนั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ         ๘๒. ๓. ก. เป็นปาจิตตีย์ เพราะโภชนะทีหลัง. 
              ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องบุรุษเข็ญใจ จบ.
 เรื่องคิลานสมัย 
              [๔๘๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง นำบิณฑบาตเข้าไปถวายภิกษุผู้อาพาธนั้น แล้วได้กล่าวว่า อาวุโส นิมนต์ฉันเถิด. 
              ภิกษุอาพาธปฏิเสธว่า ไม่ต้อง อาวุโส ความหวังจะได้ภัตตาหารของผมมีอยู่. 
              พอเวลาสาย ทายกนำบิณฑบาตมาถวายภิกษุอาพาธนั้น เธอฉันไม่ได้ตามที่คาดหมาย. 
           ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ทรงอนุญาตให้ฉันโภชนะทีหลัง 
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธฉันโภชนะ ทีหลังได้. 
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ ๑              ๘๒. ๓. ข. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ เพราะโภชนะทีหลัง. นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวเป็นไข้, นี้สมัยในเรื่องนั้น. 
              ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องคิลานสมัย จบ.
 เรื่องจีวรทานสมัย 
              [๔๘๘] สมัยนั้นแล เป็นคราวที่ถวายจีวร ประชาชนพากันตกแต่งภัตตาหารพร้อม ด้วยจีวร แล้วนิมนต์ภิกษุทั้งหลายว่า พวกข้าพเจ้าจักนิมนต์ให้ท่านฉันแล้วจักให้ครองจีวร 
              ภิกษุทั้งหลาย รังเกียจว่าไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า โภชนะทีหลังพระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้วจีวรจึงเกิดขึ้นเล็กน้อย. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่ถวายจีวรกัน เราอนุญาตให้ฉันโภชนะทีหลังได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ ๒               ๘๒. ๓. ค. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ เพราะโภชนะทีหลัง. นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวเป็นไข้ คราวที่ถวายจีวร, นี้สมัยในเรื่องนั้น. 
              ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องจีวรทานสมัย จบ. 
เรื่องจีวรกาลสมัย 
              [๔๘๙] ต่อมาอีก ประชาชนนิมนต์ภิกษุทั้งหลาย ผู้ทำจีวรฉันภัตตาหาร. ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่าโภชนะทีหลัง พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว.
              ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่ทำจีวรกัน เราอนุญาตให้ฉันโภชนะทีหลังได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระอนุบัญญัติ ๓               ๘๒. ๓. ง. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ เพราะโภชนะทีหลัง. นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวเป็นไข้ คราวที่ถวายจีวร คราวที่ทำจีวร, นี้สมัยในเรื่องนั้น. 
              ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องจีวรกาลสมัย จบ
เรื่องวิกัปภัตตาหารที่หวังว่าจะได้ 
              [๔๙๐] ครั้งนั้นแลเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงบาตรจีวรมีท่านพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เสด็จเข้าสู่ตระกูลแห่งหนึ่ง ครั้นแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดถวาย. จึงชาวบ้านเหล่านั้นได้ถวายโภชนาหารแด่พระผู้มีพระภาคและท่านพระอานนท์ ท่านพระอานนท์รังเกียจ ไม่รับประเคน. 
               พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า รับเถิด อานนท์. 
              พระอานนท์กราบทูลว่า ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า, เพราะความหวังจะได้ภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่. 
              พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า อานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจึงวิกัปแล้วรับเถิด. 
              ครั้นแล้วพระองค์ทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้วิกัปภัตตาหารที่หวังว่าจะได้แล้วฉันโภชนะทีหลังได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงวิกัปอย่างนี้:- 
คำวิกัปภัตตาหาร          ข้าพเจ้าให้ภัตตาหารที่หวังว่าจะได้ของข้าพเจ้า แก่ท่านผู้มีชื่อนี้. เรื่องวิกัปภัตตาหารที่หวังว่าจะได้ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๔๙๑] ที่ชื่อว่า โภชนะทีหลัง ความว่า ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้แล้ว เว้นโภชนะนั้น ฉันโภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งอื่นนี่ชื่อว่า โภชนะทีหลัง. 
              บทว่า เว้นไว้แต่สมัย คือ ยกเว้นสมัย. 
              ที่ชื่อว่า คราวเป็นไข้ คือ ไม่สามารถจะเป็นผู้นั่งบนอาสนะอันเดียวฉันจนอิ่มได้. 
              ภิกษุคิดว่าเป็นคราวอาพาธ แล้วฉันได้. 
              ที่ชื่อว่า คราวที่ถวายจีวร คือ เมื่อกฐินยังไม่ได้กราน ได้ท้ายฤดูฝน ๑ เดือน เมื่อกฐินกรานแล้ว เป็น ๕ เดือน. 
              ภิกษุคิดว่าเป็นคราวที่ถวายจีวร แล้วฉันได้. 
              ที่ชื่อว่า คราวที่ทำจีวร คือ เมื่อภิกษุทั้งหลายกำลังทำจีวรกันอยู่ 
              ภิกษุคิดว่า เป็นคราวที่ทำจีวรกัน แล้วฉันได้. 
              เว้นไว้แต่สมัย ภิกษุรับประเคนไว้ด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ. ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน. 
บทภาชนีย์ 
ติกปาจิตตีย์               [๔๙๒] โภชนะทีหลัง ภิกษุสำคัญว่าโภชนะทีหลัง เว้นไว้แต่สมัย ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              โภชนะทีหลัง ภิกษุสงสัย เว้นไว้แต่สมัย ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              โภชนะทีหลัง ภิกษุสำคัญว่ามิใช่โภชนะทีหลัง เว้นไว้แต่สมัย ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ทุกทุกกฏ               ไม่ใช่โภชนะทีหลัง ภิกษุสำคัญว่าโภชนะทีหลัง ... ต้องอาบัติทุกกฏ.               ไม่ใช่โภชนะทีหลัง ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ไม่ต้องอาบัติ               ไม่ใช่โภชนะทีหลัง ภิกษุสำคัญว่ามิใช่โภชนะทีหลัง ... ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร 
 [๔๙๓] ภิกษุฉันในสมัย ๑ ภิกษุวิกัปแล้วฉัน ๑ ภิกษุฉันบิณฑบาตที่รับนิมนต์ไว้ ๒-๓ แห่งรวมกัน ๑ ภิกษุฉันตามลำดับที่รับนิมนต์ ๑ ภิกษุรับนิมนต์ชาวบ้านทั้งมวลแล้วฉัน ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในตำบลบ้านนั้น ๑ ภิกษุรับนิมนต์หมู่ประชาชนทุกเหล่าแล้วฉัน ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในประชาชนหมู่นั้น ๑ 
 ภิกษุถูกเขานิมนต์ แต่บอกว่า จักรับภิกษา ๑ ภัตตาหารที่เขาถวายเป็นนิตย์ ๑ ภัตตาหารที่เขาถวายด้วยสลาก ๑ ภัตตาหารที่เขาถวายในปักษ์ ๑ ภัตตาหารที่เขาถวายในวันอุโบสถ ๑ 
ภัตตาหารที่เขาถวายในวันปาฏิบท ๑ ภิกษุฉันอาหารทุกชนิดเว้นโภชนะห้า ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โภชนวรรคที่ ๔ 
สิกขาบทที่ ๓          โภชนวรรค ปรัมปรโภชน
                 ในสิกขาบทที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- [แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องปรัมปรโภชนะ] 
                 คำว่า น โข อิทํ โอรกํ ภวิสฺสติ ยถา อิเม มนุสฺสา สกฺกจฺจํ ภตฺตํ กโรนฺติ มีความว่า มนุษย์พวกนี้ทำภัตตาหารโดยเคารพ โดยทำนองที่เป็นเหตุให้พระศาสนานี้ หรือทานในพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนี้ ปรากฏชัด จักไม่เป็นทานต่ำต้อยเลย คือจักไม่เป็นกุศลเล็กน้อยเลวทรามเลย.  
                คำว่า กิร ในบทที่ว่า กิรปติโก นี้ เป็นชื่อของกุลบุตรนั้น. ก็กุลบุตรนั้นเขาเรียกว่า กิรปติกะ เพราะอรรถว่า เป็นอธิบดี (เป็นใหญ่). ได้ยินว่า เขาเป็นใหญ่ เป็นอธิบดี ให้ค่าจ้างใช้กรรมกรทำงานโดยกำหนดเป็นรายเดือน ฤดูและปี. 
               กรรมกรผู้ยากจนนั้น กล่าวคำว่า พทรา ปฏิยตฺตา นี้ ด้วยอำนาจโวหารของชาวโลก. 
                 บทว่า พทรมิสฺสเกน คือ ปรุงด้วยผลพุทรา. 
                สองบทว่า อุสฺสุเร อาหรียิตฺถ คือ ทายกนำบิณฑบาตมาถวายสายไป. 
              การวิกัปนี้ว่า ข้าพเจ้าให้ภัตตาหารที่หวังจะได้ ของข้าพเจ้าแก่ท่านผู้มีชื่อนี้ ชื่อว่า การวิกัปภัตตาหาร. 
              การวิกัปภัตตาหารควรทั้งต่อหน้าทั้งลับหลัง. เห็น (ภิกษุ) ต่อหน้าพึงกล่าวว่า ผมวิกัปแก่ท่าน แล้วฉันเถิด. 
              ไม่เห็น พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าวิกัปแก่สหธรรมิก ๕ ผู้มีชื่อนี้ แล้วฉันเถิด. แต่ในอรรถกถาทั้งหลายมีมหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าวไว้แต่วิกัปลับหลังเท่านั้น. 
              ก็เพราะการวิกัปภัตตาหารนี้นั้น ทรงสงเคราะห์ด้วยวินัยกรรม ฉะนั้น จึงไม่ควรวิกัปแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. 
                จริงอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งในพระคันธกุฎีก็ดี ประทับนั่งในท่ามกลางสงฆ์ก็ดี กรรมนั้นๆ ที่สงฆ์รวม ภิกษุครบคณะแล้วทำ เป็นอันกระทำดีแล้วแล.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทำให้เสียกรรม ไม่ทรงทำให้กรรมสมบูรณ์, ไม่ทรงทำให้เสียกรรม เพราะพระองค์มีความเป็นใหญ่โดยธรรม, ไม่ทรงทำให้กรรมสมบูรณ์ ก็เพราะพระองค์มิได้เป็นคณปูรกะ (ผู้ทำคณะให้ครบจำนวน). 
                 คำว่า เทฺว ตโย นิมนฺเตน เอกโตภุญฺชติ มีความว่า บรรจุคือรวมนิมันตนภัต ๒-๓ ที่บาตรใบเดียว คือทำให้เป็นอันเดียวกันแล้วฉัน. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า ตระกูล ๒-๓ ตระกูล นิมนต์ภิกษุให้นั่งในที่แห่งเดียว แล้วนำ (ภัตตาหาร) มาจากที่นี้และที่นั่น แล้วเทข้าวสวย แกงและกับข้าวลงไป, ภัตเป็นของสำรวมเป็นอันเดียวกัน, ไม่เป็นอาบัติในภัตสำรวมนี้. 
                 ก็ถ้าว่า นิมันตนภัตครั้งแรกอยู่ข้างล่าง นิมันตนภัตทีหลังอยู่ข้างบน, เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ฉันนิมันตนภัตทีหลังนั้นตั้งแต่ข้างบนลงไป. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ฉันโดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง จำเดิมตั้งแต่เวลาที่เธอเอามือล้วงลงไปภายใน แล้วควักคำข้าวแม้คำหนึ่งจากนิมันตนภัตครั้งแรก ขึ้นมาฉันแล้ว. 
                 ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า แม้ถ้าว่า ตระกูลทั้งหลายราดนมสดหรือรสลงไปในภัตนั้น, ภัตที่ถูกนมสดและรสใดราดทับ มีรสเป็นอันเดียวกันกับนมสด และรสนั้น, ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ฉันตั้งแต่ยอดลงไป. 
                 แต่ในมหาอรรถกถากล่าวว่า ภิกษุได้ขีรภัต (ภัตเจือนมสด) หรือรสภัต (ภัตมีรสแกง) นั่งแล้ว แม้ชาวบ้านพวกอื่นเทขีรภัตหรือรสภัต (อื่น) ลงไปบนขีรภัตและรสภัตนั้นนั่นแหละ (อีก), ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ดื่มนมสด, หรือรส, 
              แต่ภิกษุผู้กำลังฉันอยู่ จะเปิบชิ้นเนื้อหรือก้อนข้าวที่ได้ก่อนเข้าปาก แล้วฉันตั้งแต่ยอดลงไปควรอยู่, แม้ในข้าวปายาสเจือเนยใส ก็นัยนี้เหมือนกัน. ุ 
                ท่านกล่าวไว้ในมหาอรรถกถาว่า อุบาสกผู้ใหญ่นิมนต์ภิกษุไว้, เมื่อภิกษุไปสู่ตระกูลแล้ว อุบาสกก็ดี อันโตชนมีบุตรภรรยาและพี่น้องชายพี่น้องของอุบาสกนั้นก็ดี
             นำเอาเอาภัตส่วนของตนๆ มาใส่ในบาตร, เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่ฉันภัตส่วนที่อุบาสกถวายก่อน ฉันส่วนที่ได้ทีหลัง. ในอรรถกถากุรุนทีกล่าวว่า ควร. 
               ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ถ้าพวกเขาแยกกันหุงต้ม, นำมาถวายจากภัตที่หุงต้มเพื่อตนๆ. บรรดาภัตเหล่านั้น เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ฉันภัตที่เขานำมาทีหลังก่อน, แต่ถ้าพวกเขาทั้งหมดหุงต้มรวมกัน, ไม่เป็นปรัมปรโภชนะ. 
                 อุบาสกผู้ใหญ่นิมนต์ภิกษุให้นั่งคอย. ชาวบ้านอื่นจะรับเอาบาตร, ภิกษุอย่าพึงให้. 
                เขาถามว่า ทำไม ขอรับ! ท่านจึงไม่ให้? พึงกล่าวว่า อุบาสก! ท่านนิมนต์พวกเราไว้มิใช่หรือ? 
                เขากล่าวว่า ช่างเถอะขอรับ! นิมนต์ ท่านฉันของที่ท่านได้แล้วๆ เถิด. จะฉันก็ควร. 
                ในกุรุนทีกล่าวว่า เมื่อคนอื่นนำภัตมาถวาย ภิกษุแม้บอกกล่าวแล้วฉันก็ควร. 
               พวกชาวบ้านทั้งหมดอยากฟังธรรมจึงนิมนต์ภิกษุผู้ทำอนุโมทนาแล้วจะไปว่า ท่านขอรับ! แม้พรุ่งนี้ก็นิมนต์ท่านมาอีก. ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุจะมาฉันภัตที่ได้แล้วๆ ควรอยู่. เพราะเหตุไร? เพราะชาวบ้านทั้งหมดนิมนต์ไว้. 
                 ภิกษุรูปหนึ่งไปเที่ยวบิณฑบาตได้ภัตตาหารมา. อุบาสกอื่นนิมนต์ภิกษุรูปนั้นให้นั่งคอยอยู่ในเรือน และภัตยังไม่เสร็จก่อน. ถ้าภิกษุนั้นฉันภัตที่ตนเที่ยวบิณฑบาตได้มา เป็นอาบัติ. 
             เมื่อเธอไม่ฉัน นั่งคอย อุบาสกถามว่า ทำไม ขอรับ! ท่านจึงไม่ฉัน? เธอกล่าวว่าเพราะท่านนิมนต์ไว้ แล้วเขาเรียนว่า นิมนต์ท่านฉันภัตที่ท่านได้แล้วๆ เถิด ขอรับ! ดังนี้ จะฉันก็ได้. 
                 สองบทว่า สกเลน คาเมน มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้อันชาวบ้านทั้งมวล รวมกันนิมนต์ไว้เท่านั้น ซึ่งฉันอยู่ในที่แห่งหนึ่งแห่งใด. แม้ในหมู่คณะก็นัยนี้นั่นแล. 
                 คำว่า นิมนฺติยมาโน ภิกฺขํ คณฺหิสฺสามีติ ภณติ มีความว่า ภิกษุผู้ถูกเขานิมนต์ว่า นิมนต์ท่านรับภัตตาหาร กล่าวว่ารูปไม่มีความต้องการภัตของท่าน, รูปจักรับภิกษา. ในคำว่า ภตฺตํ ฯเปฯ วทติ นี้พระมหาปทุมเถระกล่าวว่า 
      ภิกษุผู้กล่าวอย่างนี้ อาจเพื่อจะทำไม่ให้เป็นนิมันตนภัตในสิกขาบทนี้ได้, แต่ได้ทำโอกาสเพื่อประโยชน์แก่การฉัน เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงไม่พ้นจากคณโภชนะ และไม่พ้นจากจาริตตสิกขาบท. 
     พระมหาสุมนเถระกล่าวว่า ภิกษุอาจจะทำให้ไม่เป็นนิมันตนภัตโดยส่วนใด, ไม่เป็นคณโภชนะ ไม่เป็นจาริตตะ โดยส่วนนั้น. 
                     คำที่เหลือดังที่กล่าวแล้วนั่นแล. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายและวาจา ๑ ทางกายวาจาและจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา. 
                 จริงอยู่ ในกิริยาและอกิริยานี้ การฉันเป็นกิริยา การไม่วิกัปเป็นอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

ไม่มีความคิดเห็น: