[๖๕๔]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้น พวกพ่อค้าเกวียนต่างหมู่หนึ่งประสงค์จะเดินทางจากพระนครราชคฤห์ ไปสู่ชนบททางทิศตะวันตก ภิกษุรูปหนึ่งได้กล่าวกะพ่อค้าพวกนั้นว่าแม้อาตมาจักขอเดินทางไปร่วมกับพวกท่าน.
พวกพ่อค้าเกวียนต่างกล่าวว่า พวกกระผมจักหลบหนีภาษีขอรับ.
ภิกษุนั้นพูดว่า ท่านทั้งหลายจงรู้กันเองเถิด.
เจ้าพนักงานศุลกากรทั้งหลายได้ทราบข่าวว่า พวกพ่อค้าเกวียนต่างจักหลบหนีภาษี จึงคอยซุ่มอยู่ที่หนทาง
ครั้นพวกเจ้าพนักงานเหล่านั้นจับพ่อค้าเกวียนต่างหมู่นั้น ริบของต้องห้ามไว้ได้แล้ว ได้กล่าวกะภิกษุพวกนั้นว่า พระคุณเจ้ารู้อยู่เหตุไรจึงได้เดินทางร่วมกับพ่อค้าเกวียนต่างผู้ลักซ่อนของต้องห้ามเล่า?
เจ้าหน้าที่ไต่สวนแล้วปล่อยภิกษุนั้นไป
ครั้นภิกษุรูปนั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุรู้อยู่ จึงได้ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกพ่อค้าผู้เป็นโจรเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ทรงสอบถามพระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอรู้อยู่ชักชวนแล้วเดินทางสายเดียวกันกับพวกเกวียน พวกต่างผู้เป็นโจร จริงหรือ?
ภิกษุรูปนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอรู้อยู่จึงได้ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกเกวียน พวกต่างผู้เป็นโจรเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ ๑๑๕. ๖. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกัน กับพวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๖๕๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือคนอื่นบอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก.
ที่ชื่อว่า พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ได้แก่พวกโจรผู้ทำโจรกรรมมาก็ดี ไม่ได้ทำ
มาก็ดี ผู้ที่ลักของหลวงก็ดี ผู้ที่หลบซ่อนของเสียภาษีก็ดี.
บทว่า กับ คือร่วมกัน.
บทว่า ชักชวนแล้ว ความว่า ชักชวนกันว่า ท่านทั้งหลาย พวกเราไปกันเถิด ไปซิขอรับ จงไปกันเถิดขอรับ ไปซิ ท่านทั้งหลาย พวกเราไปกันวันนี้ ไปกันพรุ่งนี้ หรือไปกันมะรืนนี้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ความว่า ในตำบลบ้านกำหนดชั่วไก่บินถึง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะบ้าน ในป่าหาบ้านมิได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะกึ่งโยชน์.
บทภาชนีย์
[๖๕๖] พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุสำคัญว่าพวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกัน โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุมีความสงสัย ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกันโดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ.
พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุสำคัญว่ามิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกัน โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ไม่ต้องอาบัติ.
ภิกษุชักชวน คนทั้งหลายมิได้ชักชวน ต้องอาบัติทุกกฏ.
มิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุสำคัญว่า พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ... ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
มิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุมีความสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
มิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุสำคัญว่ามิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ...
ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๖๕๗] ภิกษุไม่ได้ชักชวนกันไป ๑ คนทั้งหลายชักชวน ภิกษุมิได้ชักชวน ๑ ไปผิดวันผิดเวลา ๑ มีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณก
วรรคที่ ๗ สิกขาบทที่ ๖ สัปปาณกวรรค เถยยสัตตถ
ในสิกขาบทที่ ๖ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
[ว่าด้วยการเดินทางร่วมพวกพ่อค้าเกวียนผู้เป็นขโมย]
บทว่า ปฏิยาโลกํ ความว่า ตรงหน้าแสงอาทิตย์ คือทิศตะวันตก.
บทว่า กมฺมิกา ได้แก่ เจ้าพนักงานที่ด่านศุลกากร.
ข้อว่า ราชานํ วา เถยฺยํ คจฺฉนฺติ มีความว่า พวกโจรขโมยของหลวง คือหลอกลวงลักเอาของหลวงบางอย่างไปด้วยตั้งใจว่า คราวนี้เราจักไม่ถวายหลวง.
บทว่า วิสงฺเกเตน มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไปผิดเวลานัดหมาย และผิดวันนัดหมาย. แต่ไปผิดทางที่นัดหมาย หรือผิดดังที่นัดหมาย เป็นอาบัติเหมือนกัน.
คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในภิกขุนีวรรค.
สิกขาบทนี้มีพวกพ่อค้าเกวียนพ่อค้าต่างผู้เป็นโจรเป็นสมุฏฐานเกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น