Translate

29 กันยายน 2567

เสขิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ขัมภกตวรรค พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

สิกขาบทที่ ๑
    [๘๒๐] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินค้ำกายไปในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๖๖. ๒๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ทำความค้ำ ไปในละแวกบ้าน. สิกขาบทวิภังค์   อันภิกษุไม่พึงเดินค้ำกายไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินค้ำกายข้างเดียวก็ตาม ทั้งสองข้างก็ตาม ไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๒
    [๘๒๑] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งค้ำกายในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๖๗. ๒๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ทำความค้ำ นั่งในละแวกบ้าน. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุไม่พึงนั่งค้ำกายไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งค้ำกายข้างเดียวก็ตาม ทั้งสองข้างก็ตาม ไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
  ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๓
    [๘๒๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินคลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๖๘. ๒๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่คลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงคลุมศีรษะเดินไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินคลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ. อนาปัตติวาร    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๔
    [๘๒๓] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งคลุมศีรษะนั่งในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๖๙. ๒๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่คลุมศีรษะนั่งในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
   อันภิกษุไม่พึงคลุมศีรษะนั่งในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คลุมศีรษะนั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
 ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๕
    [๘๒๔] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์กระหย่งเท้าเดินไปในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๗๐. ๒๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความกระหย่ง. 
สิกขาบทวิภังค์
 อันภิกษุไม่พึงมีการกระหย่งเท้าเดินไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อเดินกระหย่งเท้าไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ. อนาปัตติวาร    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๖
    [๘๒๕] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รัดเข่านั่งในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๗๑. ๒๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่นั่งในละแวกบ้านด้วยทั้งความรัด.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงมีการรัดเข่านั่งในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อนั่งรัดเข่าด้วยมือก็ดี รัดเข่าด้วยผ้าก็ดี ในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรคสิกขาบทที่ ๖ จบ.
สารูป ๒๖สิกขาบท จบ.
โภชนปฏิสังยุต ๓๐ สิกขาบท
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๗
    [๘๒๖] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาต โดยไม่เอาใจใส่ ทำ อาการดุจทิ้งเสีย พระบัญญัติ    ๑๗๒. ๒๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ. 
สิกขาบทวิภังค์     อันภิกษุพึงรับบิณฑบาตโดยเคารพ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ทำอาการดุจทิ้งเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๘
    [๘๒๗] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาต พลางแลไปในที่นั้นๆ เมื่อเขากำลังเกลี่ยบิณฑบาตลงก็ดี เมื่อเกลี่ยเสร็จแล้วก็ดี หารู้สึกตัวไม่ พระบัญญัติ    ๑๗๓. ๒๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักจ้องในบาตรรับบิณฑบาต. 
สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุพึงแลดูบาตรรับบิณฑบาต ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตพลางเหลียวแลไปในที่นั้นๆ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร
&@ ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๙
    [๘๒๘] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาต รับแต่สูปะเป็นส่วนมาก พระบัญญัติ    ๑๗๔. ๒๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน.
 สิกขาบทวิภังค์
    ที่ชื่อว่า สูปะ มีสองชนิด คือ สูปะทำด้วยถั่วเขียว ๑ สูปะทำด้วยถั่วเหลือง ๑ ที่จับได้ด้วยมือ.
    อันภิกษุพึงรับบิณฑบาตมีสูปะพอสมกัน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับแต่สูปะอย่างเดียวเป็นส่วนมาก ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ รับกับข้าวต่างอย่าง ๑ รับของญาติ ๑ รับของผู้ปวารณา ๑ รับเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ๑ จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ. 
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
    [๘๒๙] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาตถึงล้นบาตร พระบัญญัติ    ๑๗๕. ๓๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตจดเสมอขอบบาตร.
สิกขาบทวิภังค์ 
    อันภิกษุพึงรับบิณฑบาตเสมอขอบปากบาตร ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตจนล้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
จบ. วรรคที่ ๓ จบ. 
อรรถกถา เสขิยกัณฑ์ ขัมภกตวรรคที่ ๓
    การยกมือวางบนสะเอวทำความค้ำ ชื่อว่า ทำความค้ำ. 
    บทว่าโอคุณฺฐิโต 
     แปลว่า คลุมศีรษะ.
    กิริยาที่ภิกษุยกส้นเท้าทั้ง ๒ จดพื้นดินด้วยเพียงปลายเท้าทั้ง ๒ หรือเขย่งปลายเท้าทั้ง ๒ จดพื้นดินด้วยเพียงส้นเท้าทั้ง ๒ เดินไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เดินเขย่งเท้า
ในคำว่า อุกฺกุฏิกาย นี้ ก็ตติยาวิภัตติ 
ในคำว่า อุกฺกุฏิกาย นี้ มีลักษณะดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
  แม้การรัดเข่าด้วยสายโยก ก็ชื่อว่าการรัดเข่าด้วยผ้าเหมือนกัน ในคำว่า ทุสฺสปลฺลตฺถิกาย นี้.
  บทว่า อากีรนฺเตปิ 
คือ แม้เมื่อเขากำลังถวายบิณฑบาต.
  บทว่า สกฺกจฺจํคือ ตั้งสติไว้.
 บทว่า ปตฺตสญฺญี
 คือ กระทำความสำคัญในบาตร. บิณฑบาตซึ่งมีกับข้าวประมาณเท่าส่วนที่ ๔ แห่งข้าวสวย ชื่อว่าบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน.    และในมหาปัจจรีท่านกล่าวไว้ว่า แม้แกงที่ปรุงด้วยถั่วพูเป็นต้น ก็ถึงการสงเคราะห์เข้า
ในคำว่า มุคฺคสูโป มาสสูโป 
      นี้. กับข้าวมีรสชวนให้ยินดี๑- แกงผักดอง รสปลาและรสเนื้อเป็นต้นที่เหลือ เว้นกับข้าว ๒ อย่างเสีย พึงทราบว่ารสรส (กับข้าวต่างอย่าง) ในคำว่า รสรเส นี้. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้รับกับข้าวต่างอย่างนั้นแม้มาก.
    บทว่า สมติตฺติกํ 
                 แปลว่า เต็มเสมอ คือเพียบเสมอ.
    ในคำว่า ถูปีกตํ ปิณฺฑปาตํปฏิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส
นี้ ความว่า บิณฑบาตที่ภิกษุทำให้ล้นรอยขอบภายในปากบาตรขึ้นมา ชื่อว่าทำให้พูนล้นบาตร คือเพิ่มเติม แต่งเสริมให้เต็มแปล้ในบาตร. ภิกษุไม่รับบิณฑบาตที่ทำอย่างนั้น พึงรับพอประมาณเสมอรอยภายในขอบปากบาตร.
   ในคำว่า ถูปีกตํ
   นั้น พระอภัยเถระกล่าวว่า ที่ชื่อว่าทำให้ล้นบาตร ได้แก่ทำ (ให้ล้นบาตร) ด้วยโภชนะทั้ง ๕. แต่พระจูฬนาคเถระผู้ทรงไตรปิฏกกล่าวสูตรนี้ว่า ยาคูก็ดี ภัตก็ดี ขาทนียะก็ดี ก้อนแป้งก็ดี ไม้ชำระฟันก็ดี ด้ายชายผ้าก็ดี ชื่อว่าบิณฑบาต แล้วกล่าวว่า แม้ด้ายชายผ้าทำให้พูนเป็นยอดดุจสถูป ก็ไม่ควร.
 พวกภิกษุฟังคำของพระเถระเหล่านั้นแล้ว ไปยงโรหณชนบทเรียน ถามพระจูฬสุมนเถระว่า ท่านขอรับ! บิณฑบาตล้นบาตร กำหนดด้วยอะไร? และได้เรียนบอกให้ทราบวาทะของพระเถระเหล่านั้น.
    พระเถระได้ฟังแล้วกล่าวว่า จบละ! พระจูฬนาค ได้พลาดจากศาสนา, โอ! พระจูฬนาคนั้น ได้ให้ช่องทางแก่ภิกษุเป็นอันมาก, เราสอนวินัยให้แก่พระจูฬนาคนี้ถึง ๗ ครั้ง ก็ไม่ได้กล่าวอย่างนี้สักครั้ง, พระจูฬนาคนี้ได้มาจากไหน จึงกล่าวอย่างนี้.
    พวกภิกษุขอร้องพระเถระว่า โปรดบอกในบัดนี้เถิด ขอรับ! (บิณฑบาตล้นบาตร) กำหนดด้วยอะไร? พระเถระกล่าวว่า กำหนดด้วยยาวกาลิก ผู้มีอายุ! เพราะฉะนั้น ยาคูก็ดี ภัตก็ดี ผลาผลก็ดี ที่เป็นอามิสอย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุพึงรับเสมอ (ขอบบาตร) เท่านั้น.
    ก็แลยาคูและภัต หรือผลาผลนั้น พึงรับเสมอ (ขอบบาตร) ด้วยบาตรที่ควรอธิษฐาน, แต่ด้วยบาตรนอกนี้รับให้ล้นขึ้นมาแม้เป็นเหมือนยอดสถูปก็ควร.
    ส่วนยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก รับให้ล้นเหมือนยอดสถูปแม้ด้วยบาตรควรอธิษฐานก็ได้. ภิกษุรับภัตตาหารด้วยบาตร ๒ ใบ บรรจุให้เต็มใบหนึ่งแล้วส่งไปยังวิหาร ควรอยู่. 
  แต่ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ของกินมีขนม ลำอ้อย ผลไม้น้อยใหญ่เป็นต้นที่เขาบรรจุลงในบาตรพร่องอยู่แต่ข้างล่าง ไม่ชื่อว่าทำให้ล้นบาตร.
    พวกชาวบ้านถวายบิณฑบาต วางกระทงขนมไว้ (ข้างบน) จัดว่ารับล้นบาตรเหมือนกัน. แต่พวงดอกไม้และพวงผลกระวานผลเผ็ดร้อน (พริก) เป็นต้น ที่เขาถวายวางไว้ (ข้างบน) ไม่จัดว่ารับล้นบาตร. ภิกษุรับเต็มแล้ววางถาด หรือใบไม้ข้างบนข้าวสวย ไม่ชื่อว่ารับล้นบาตร.
    แม้ในกุรุนทีก็กล่าวไว้ว่า พวกทายกใส่ข้าวสวยลงบนถาดหรือบนใบไม้แล้ว วางถวายถาดหรือใบไม้แล้ว วางถวายถาดหรือใบไม้นั้นบนที่สุดบาตร (บนฝาบาตร), ภาชนะแยกกันควรอยู่. 
    ภิกษุอาพาธไม่มีมาในอนาปัตติวารในสิกขาบทนี้.
  เพราะฉะนั้น โภชนะที่ทำให้เป็นยอดดุจสถูป (ที่รับล้นบาตร) ไม่ควรแม้แก่ภิกษุอาพาธ. จะรับประเคนพร่ำเพรื่อในภาชนะทั่วไป ก็ไม่ควร. แต่โภชนะที่รับประเคนไว้แล้ว จะรับประเคนใหม่ให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงฉัน ควรอยู่ฉะนี้แล.
๑- สารัตถทีปนี ๓/๓๘๖ แก้ว่า โอโลณีติ เอกาพฺยญฺชนวิกติ โย โกจิ สุทฺโธ กญฺชิกตกฺ กาทิรโสติ เกจิ.
แปลว่า กับข้าวชนิดหนึ่งชื่อว่าโอโลณี. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ได้แก่ รสน้ำข้าวและเปรียงเป็นต้นล้วนๆ ชนิดใดชนิดหนึ่ง. วิมติ : แก้เหมือนกันว่า โอโลณีติ เอกาพฺยญฺชนวิกติ. กญฺชิกตกุกาทิรโสติ เกจิ. อตฺถโยชนา
๒/๑๒๔ แก้ว่า อวลิยติ สาทิยตีติ โอโลณํ ลิ สาทเน ณปฺปจฺจโย
แปลว่า กับข้าวที่ชื่อว่า โอโลณะ ด้วยอรรถว่า น่าอร่อย น่ายินดี ลิธาตุ ลงในอรรถว่า น่ายินดีลง ณ ปัจจัย. -ผู้ชำระ.

ไม่มีความคิดเห็น: