Translate

11 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๘ [ว่าด้วย โดยสารเรือ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่อง พระฉัพพัคคีย์
        [๔๕๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี 
       ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับพวกภิกษุณี ประชาชนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พวกเราพร้อมด้วยภรรยาเล่นเรือลำเดียวกันฉันใด พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ชักชวนกันแล้ว เล่นเรือลำเดียวกับพวกภิกษุณี ก็ฉันนั้น ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. 
               บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับพวกภิกษุณีเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงสอบถาม             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณีทั้งหลาย จริงหรือ? 
              พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
              พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้ชักชวนกันแล้วโดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณีทั้งหลายเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ
              ๗๗.๘ ก. อนึ่ง ภิกษุใดชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณี ขึ้นน้ำ ไปก็ดี ล่องน้ำไปก็ดี เป็นปาจิตตีย์. 
              ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
เรื่องภิกษุและภิกษุณีหลายรูป 
              [๔๕๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุและภิกษุณีหลายรูปด้วยกันจะเดินทางไกลจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี ระหว่างทางมีแม่น้ำที่จะต้องข้าม จึงภิกษุณีพวกนั้นได้กล่าวคำนี้กะภิกษุพวกนั้นว่า แม้พวกดิฉันก็จักข้ามไปกับด้วยพระคุณเจ้า. 
              ภิกษุพวกนั้นพูดว่า ดูกรน้องหญิง การชักชวนกันแล้วโดยสารเรือลำเดียวกันกับภิกษุณี ไม่สมควร พวกเธอจักข้ามไปก่อน หรือพวกฉันจักข้ามไป 
              ภิกษุณีพวกนั้นตอบว่า พวกพระคุณเจ้าเป็นชายผู้ล้ำเลิศ, พระคุณเจ้านั่นแหละจงข้ามไปก่อน. 
              เมื่อภิกษุณีพวกนั้นข้ามไปภายหลัง, พวกโจรได้พากันแย่งชิงและประทุษร้าย. ครั้นภิกษุณี พวกนั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลายๆ ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่พวกภิกษุๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงอนุญาตให้โดยสารเรือลำเดียวกันข้ามฟาก
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในการข้ามฟาก เราอนุญาตให้ชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณีได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ             ๗๗. ๘. ข. อนึ่ง ภิกษุใดชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณีขึ้นน้ำไปก็ดี ล่องน้ำไปก็ดี เว้นไว้แต่ข้ามฟาก เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุและภิกษุณีหลายรูป จบ. สิกขาบทวิภังค์ 
              [๔๕๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรง ประสงค์ในอรรถนี้. 
          ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย. 
           บทว่า กับ คือ ร่วมกัน. 
              บทว่า ชักชวนกันแล้ว คือ ชักชวนกันว่า ไปโดยสารเรือกันเถิดน้องหญิง, ไปโดยสารเรือกันเถิดพระคุณเจ้า ไปโดยสารเรือกันเถิดเจ้าค่ะ ไปโดยสารเรือกันเถิดจ้ะ พวกเราไปโดยสารเรือกันในวันนี้ ไปโดยสารเรือกันในวันพรุ่งนี้ หรือไปโดยสารเรือกันในวันมะรืนนี้ ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              เมื่อภิกษุณีโดยสารแล้ว ภิกษุจึงโดยสาร ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              เมื่อภิกษุโดยสารแล้ว ภิกษุณีจึงโดยสาร ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              หรือโดยสารทั้งสอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              บทว่า ขึ้นน้ำไป คือ แล่นขึ้นทวนน้ำ. 
              บทว่า ล่องน้ำไป คือ แล่นลงตามน้ำ. 
              บทว่า เว้นไว้แต่ข้ามฟาก คือ ยกเว้นแต่ข้ามฟาก. 
   ในหมู่บ้านกำหนดชั่วไก่บินตก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะบ้าน ในป่าหาบ้านมิได้, ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ กึ่งโยชน์. 
บทภาชนีย์ - ติกะปาจิตตีย์
              [๔๕๙] ชักชวนกันแล้ว ภิกษุสำคัญว่าชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกัน ขึ้นน้ำไปก็ดี ล่องน้ำไปก็ดี เว้นไว้แต่ข้ามฟาก, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ชักชวนกันแล้ว ภิกษุสงสัย โดยสารเรือลำเดียวกัน ขึ้นน้ำไปก็ดี ล่องน้ำไปก็ดี เว้นไว้แต่ข้ามฟาก, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ชักชวนกันแล้ว ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้ชักชวนกัน โดยสารเรือลำเดียวกัน ขึ้นน้ำไปก็ดีล่องน้ำไปก็ดี เว้นไว้แต่ข้ามฟาก, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ติกะทุกกฏ
      ภิกษุชักชวน ภิกษุณีไม่ได้ชักชวน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. &@      ไม่ได้ชักชวน ภิกษุสำคัญว่าชักชวน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     ไม่ได้ชักชวน ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ไม่ต้องอาบัติ             ไม่ได้ชักชวน ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้ชักชวน ..., ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร
              [๔๖๐] ข้ามฟาก ๑, ไม่ได้ชักชวนกันโดยสาร ๑, ภิกษุณีชักชวน ภิกษุไม่ได้ชักชวน ๑, โดยสารเรือผิดนัก ๑, มีอันตราย ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. 
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ. 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โอวาทวรรคที่ ๓
 สิกขาบทที่ ๘              ภิกขุนีวรรค นาวาภิรุหน 
- บาลี เป็นโอวาทวรรค 
                 พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
 [ว่าด้วยการชักชวนกันโดยสารเรือลำเดียวกัน] 
                 บทว่า สํวิธาย ได้แก่ ชักชวนกันมุ่งการเล่นเป็นเบื้องหน้า ด้วยอำนาจมิตรสันถวะซึ่งเป็นความยินดีของชาวโลก. 
                 บทว่า อุทฺธคามินึ คือ แล่นทวนกระแสของแม่น้ำขึ้นไป. ก็เพราะผู้ซึ่งเล่นกีฬาทางเรือที่แล่นขึ้นทวนน้ำ โดยวิ่งทวนขึ้นไป ท่านเรียกว่า โดยสารเรือขึ้นน้ำไป. 
                 ด้วยเหตุนั้น ในบทภาชนะแห่งบทว่า อุทฺธคามินึ นั้น เพื่อแสดงเฉพาะอรรถเท่านั้น จึงตรัสว่า อุชฺชวนิกาย (แล่นขึ้นทวนน้ำ) ดังนี้. 
                 บทว่า อุโธคามินึ คือ แล่นตามกระแสน้ำลงไป. ก็เพราะผู้ซึ่งเล่นกีฬาทางเรือที่แล่นลงตามน้ำ โดยแล่นลงไปทางใต้ ท่านเรียกว่า โดยสารเรือล่องน้ำไป. 
                 ด้วยเหตุนั้น ในบทภาชนะแม้แห่งบทว่า อโธคามินึ นั้นเพื่อแสดงแต่อรรถเหมือนกัน จึงตรัสว่า โอชวนิกาย (แล่นลงตามน้ำ) ดังนี้. ในเรือนั้น ชนทั้งหลายย่อมแล่นเรือใดไปเหนือ หรือใต้เพื่อให้ถึงท่าจอดเรือ, ไม่เป็นอาบัติในการแล่นเรือนั้นไปที่นั่น. 
                 คำว่า ติริยนฺตรณาย นี้ เป็นปัญจมีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. 
                 ในคำว่า คามนฺตเร คามนฺตเร นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
                แม่น้ำใดมีฝั่งข้างหนึ่งต่อเนื่องกันด้วยหมู่บ้าน กำหนดชั่วไก่บินตก, ฝั่งข้างหนึ่งเป็นป่าไม่มีบ้าน, ในเวลาไปทางริมฝั่งที่มีหมู่บ้านแห่งแม่น้ำนั้น เป็นปาจิตตีย์หลายตัวด้วยจำนวนละแวกบ้าน. ในเวลาไปทางข้างริมฝั่งที่ไม่มีบ้าน เป็นปาจิตตีย์มากตัว ด้วยการนับกึ่งโยชน์. แต่แม่น้ำใดมีความกว้าง ๑ โยชน์ แม้ในการไปโดยท่ามกลางแห่งแม่น้ำนั้น ก็พึงทราบปาจิตตีย์หลายตัว ด้วยการนับกึ่งโยชน์. 
                 ในคำว่า อนาปตฺติ ติรยนฺตรณาย นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 ไม่ใช่ในแม่น้ำอย่างเดียว, แม้ภิกษุใดออกจากท่าชื่อมหาดิษฐ์ ไปสู่ท่าชื่อตามพลิตติก็ดี ชื่อสุวรรณภูมิก็ดี ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้น. จริงอยู่ ในทุกๆ อรรถกถา ท่านวิจารณ์อาบัติไว้ในแม่น้ำเท่านั้น ไม่ใช่ในทะเล. 
                 ในคำว่า วิสงฺเกเตน แม้นี้ ก็ไม่เป็นอาบัติ เพราะผิดนัดเวลาเท่านั้น. แต่เมื่อไปโดยผิดนัดท่าเรือโดยผิดนัดเรือ เป็นอาบัติทีเดียว. 
                 คำที่เหลือพร้อมด้วยสมุฏฐานเป็นต้น เป็นเช่นกับปฐมสิกขาบททั้งนั้นแล.

ไม่มีความคิดเห็น: