สิกขาบทที่ ๑
[๘๑๐] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินหัวเราะลั่นไปในละแวกบ้าน
พระบัญญัติ ๑๕๖. ๑๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความหัวเราะลั่น.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุไม่พึงเดินหัวเราะลั่นไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินหัวเราะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑- ๑ ทำอาการเพียงยิ้มแย้มในเมื่อมีเรื่องที่น่าขัน ๑ มีอันตราย ๒- ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๒
[๘๑๑] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งหัวเราะลั่นอยู่ในละแวกบ้าน
พระบัญญัติ ๑๕๗. ๑๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่นั่งในละแวกบ้าน. ด้วยทั้งความหัวเราะลั่น.
๑. ๒. บาลี ๒ บทนี้ ควรพิจารณา เพราะคนไข้ไม่ต้องการหัวเราะ และในคราวมีอันตราย
ก็ไม่จำเป็นหัวเราะ.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุไม่พึงนั่งหัวเราะลั่นในละแวกบ้าน. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งในละแวกบ้านหัวเราะลั่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑- ๑ ทำอาการเพียงยิ้มแย้มในเมื่อมีเรื่องที่น่าขัน ๑ มีอันตราย ๒- ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๓
[๘๑๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินส่งเสียงตะเบ็ง เสียงตะโกนไปในละแวกบ้าน
พระบัญญัติ ๑๕๘. ๑๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักมีเสียงน้อยไปในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุพึงมีเสียงเบาเดินไปในละแวกบ้าน. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินส่งเสียงตะเบ็ง เสียงตะโกนไปในละแวกบ้าน. ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
๑. ๒. แม้บาลี ๒บทนี้ ก็ควรพิจารณา
โดยนัยดังกล่าวแล้ว.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๔
[๘๑๓] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งส่งเสียงตะเบ็ง เสียงตะโกนลั่นอยู่ในละแวกบ้าน
พระบัญญัติ&@ ๑๕๙. ๑๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักมีเสียงน้อย นั่งในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุพึงมีเสียงเบา นั่งในละแวกบ้าน. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ส่งเสียงตะเบ็ง เสียงตะโกน นั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๕
[๘๑๔] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน. วางท่าภาคภูมิ
พระบัญญัติ ๑๖๐. ๑๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เดินโยกกายไปในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุไม่พึงเดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน พึงประคองกายเดินไป. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน วางท่าภาคภูมิ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๖
[๘๑๕] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งโคลงกายอยู่ในละแวกบ้าน วางท่าภาคภูมิ
พระบัญญัติ ๑๖๑. ๑๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่นั่งโยกกายในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุไม่พึงนั่งโคลงกายในละแวกบ้าน พึงนั่งประคองกาย. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงกายในละแวกบ้าน วางท่าภาคภูมิ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๗ [๘๑๖] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินไกวแขนไปในละแวกบ้าน แสดงท่ากรีดกราย
พระบัญญัติ&@ ๑๖๒. ๑๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไกวแขนไปในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุไม่พึงเดินแกว่งแขนไปในละแวกบ้าน พึงประคองแขนเดินไป. ภิกษุใด อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินแกว่งแขนไปในละแวกบ้าน แสดงท่ากรีดกราย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๘
[๘๑๗] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งไกวแขน แสดงท่ากรีดกรายในละแวกบ้าน
พระบัญญัติ ๑๖๓. ๑๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไกวแขนนั่งในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุไม่พึงนั่งไกวแขนในละแวกบ้าน พึงนั่งประคองแขน. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งแกว่งไกวแขนในละแวกบ้าน แสดงท่ากรีดกราย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๙ [๘๑๘] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน ทำท่าคอพับ
พระบัญญัติ ๑๖๔. ๑๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุไม่พึงเดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน พึงเดินประคองศีรษะไป ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน ทำท่าคอพับ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ [๘๑๙] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน ทำท่าคอพับ
พระบัญญัติ ๑๖๕. ๒๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โคลงศีรษะนั่งในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุไม่พึงนั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน พึงนั่งประคองศีรษะ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน ทำศีรษะให้ห้อย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
วรรคที่ ๒ จบ.
อรรถกถา เสขิยกัณฑ์ อุชชัคฆิกวรรคที่ ๒ วรรคที่ ๒
บทว่า อุชฺชคฺฆิกาย
คือ หัวเราะลั่นอยู่. ในบทว่า อุชฺชคฺฆิกาย นี้ เป็นตติยาวิภัตติ โดยนัยดังได้กล่าวแล้วเหมือนกัน.
ในคำว่า อปฺปสทฺโท อนฺตรฆเร นี้มีวินิจฉัยดังนี้ :-
จัดว่าเป็นผู้มีเสียงน้อยโดยประมาณขนาดไหน? บรรดาพระเถระทั้งหลายผู้นั่งในเรือนขนาด ๑๒ ศอกอย่างนี้ คือพระสังฆเถระนั่งข้างต้น พระเถระรูปที่ ๒ นั่งท่ามกลาง พระเถระรูปที่ ๓ นั่งข้างท้าย, พระสังฆเถระปรึกษา
กับพระเถระที่ ๒. พระเถระรูปที่ ๒ ฟังเสียงและกำหนดถ้อยคำของพระสังฆเถระนั้นได้. ส่วนพระเถระรูปที่ ๓ ได้ยินเสียงกำหนดถ้อยคำไม่ได้. ด้วยขนาดเพียงเท่านี้จัดเป็นผู้มีเสียงน้อย. แต่ถ้าว่าพระเถระรูปที่ ๓ กำหนดถ้อยคำได้ ชื่อว่า เป็นผู้มีเสียงดังแล.
สองบทว่ากายํ ปคฺคเหตฺวา
มีความว่าภิกษุพึงเดินและพึงนั่งไม่โยกโคลง คือ ด้วยกายตรง ด้วยอิริยาบถเรียบร้อย.
สองบทว่า พาหุํ ปคฺคเหตฺวา คือ ทำแขนให้นิ่งๆ.
สองบทว่าสีลํ ปคฺคเหตฺวา
คือ ตั้งศีรษะไม่เอียงไปเอียงมา ได้แก่ให้ตรง (ไม่นั่งคอพับ).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น