Translate

16 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย ไปดูกองทัพ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๖๒]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี 
         ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยกกองทัพออก พระฉัพพัคคีย์ได้ไปดูกองทัพที่ยกออกแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทอดพระเนตรเห็นพระฉัพพัคคีย์กำลังเดินมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วรับสั่งให้นิมนต์มาตรัสถามว่า พระคุณเจ้าทั้งหลายมาเพื่อประสงค์อะไร เจ้าข้า? 
              พระฉัพพัคคีย์ถวายพระพรว่า พวกอาตมภาพประสงค์จะเฝ้ามหาบพิตร. 
              พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสั่งว่า จะได้ประโยชน์อะไรด้วยการดูดิฉันผู้เพลิดเพลินในการรบ พระคุณเจ้าควรเฝ้าพระผู้มีพระภาคมิใช่หรือ? 
              ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้พากันมาดูกองทัพซึ่งยกออกแล้วเล่า? ไม่ใช่ลาภของพวกเรา แม้พวกเราที่พากันมาในกองทัพ เพราะเหตุแห่งอาชีพ เพราะเหตุแห่งบุตรภรรยาก็ได้ไม่ดีแล้ว, 
              ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนเหล่านั้น พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้ไปดูกองทัพที่ยกออกไปเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
ทรงสอบถาม               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอไปดูกองทัพซึ่งยกออกแล้ว จริงหรือ? 
              พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ไปดูกองทัพซึ่งยกออกไปเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ             ๙๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด ไปเพื่อจะดูเสนาอันยกออกแล้ว เป็นปาจิตตีย์. 
              ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. 
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง 
              [๕๖๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ลุงของภิกษุรูปหนึ่งป่วยอยู่ในกองทัพ เขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุนั้นว่า ลุงกำลังป่วยอยู่ในกองทัพ ขอพระคุณเจ้าจงมา ลุงต้องการให้พระคุณเจ้ามา จึงภิกษุนั้นดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลายไว้ว่า ภิกษุไม่พึงไปเพื่อจะดูเสนาอันยกออกแล้ว 
            ก็นี่ลุงของเราป่วยอยู่ในกองทัพ เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ แล้วแจ้งความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงอนุญาตให้ไปในกองทัพได้เมื่อจำเป็น
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปในกองทัพได้ เพราะปัจจัยเห็นปานนั้น. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ            ๙๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด ไปเพื่อจะดูเสนาอันยกออกแล้ว เว้นไว้แต่ปัจจัยมีอย่างนั้นเป็นรูป เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ. 
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๕๖๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
              ที่ชื่อว่า อันยกออกแล้ว ได้แก่ กองทัพซึ่งยกออกจากหมู่บ้านแล้ว ยังพักอยู่หรือเคลื่อนขบวนต่อไปแล้ว. 
              ที่ชื่อว่า เสนา ได้แก่กองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพรถ กองพลเดินเท้า 
              ช้าง ๑ เชือก มีทหารประจำ ๑๒ คน ม้า ๑ ม้า มีทหารประจำ ๓ คน รถ ๑ คัน มีทหารประจำ ๔ คน, กองพลเดินเท้ามีทหารถือปืน ๔ คน. ภิกษุไปเพื่อจะดู ต้องอาบัติทุกกฏ. 
  ภิกษุยืนอยู่ในที่ใดมองเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ภิกษุละทัศนูปจารแล้ว ยังมองดูอยู่อีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
  บทว่า เว้นไว้แต่ปัจจัยมีอย่างนั้นเป็นรูป คือ ยกเหตุจำเป็นเสีย.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์               [๕๖๕] กองทัพยกออกไปแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายกออกไปแล้ว ไปเพื่อจะดูเว้นไว้แต่ปัจจัย เห็นปานนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              กองทัพยกออกไปแล้ว ภิกษุยังแคลงอยู่ ไปเพื่อจะดู เว้นไว้แต่ปัจจัยเห็นปานนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              กองทัพยกออกไปแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ได้ยกออกไป ไปเพื่อจะดู เว้นไว้แต่ปัจจัยเห็นปานนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ปัญจกะทุกกฏ
              ไปเพื่อจะดูกองทัพแต่ละกอง, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ยืนดูอยู่ในที่ใดมองเห็นได้ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ละทัศนูปจารแล้วยังมองดูอยู่อีก ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              กองทัพยังไม่ได้ยกออกไป ภิกษุสำคัญว่ายกออกไปแล้ว ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 กองทัพยังไม่ได้ยกออกไป ภิกษุยังแคลงอยู่  ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ไม่ต้องอาบัติ           กองทัพยังไม่ได้ยกออกไป ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ได้ยกออกไป ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
              [๕๖๖] ภิกษุอยู่ในอารามมองเห็น ๑ กองทัพยกผ่านมายังสถานที่ภิกษุยืน นั่ง หรือนอน เธอมองเห็น ๑, ภิกษุเดินสวนทางไปพบเข้า ๑ มีเหตุจำเป็น ๑ มีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
 อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ อเจลกวรรคที่ ๕ 
สิกขาบทที่ ๘         อเจลกวรรค อุยยุตต 
          ในสิกขาบทที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- 
 [ว่าด้วยกองทัพ ๔ เหล่าสมัยโบราณ] 
            บทว่า อพฺภุยฺยาโต คือ ทรงยกกองทัพออกไป. 
            มีใจความว่า เคลื่อนกองทัพออกไปจากพระนคร ด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักไปประจัญหน้าข้าศึก. 
          บทว่า อุยฺยุตฺตํ ได้แก่ กองทัพที่ทำการยกออกไปแล้ว. 
          มีใจความว่า กองทัพที่เคลื่อนออกจากหมู่บ้านไปแล้ว. 
         สองบทว่า ทฺวาทสปุริโส หตฺถี มีความว่า ช้าง ๑ เชือกมีทหารประจำ ๑๒ คน อย่างนี้ คือพลขับขี่ ๔ คน, พลรักษาประจำ เท้าช้างเท้าละ ๒ คน. 
  สองบทว่า ติปุริโส อสฺโส มีความว่า ม้า ๑ ม้ามีทหารประจำ ๓ คน อย่างนี้ คือพลขับขี่ ๑ คน, พลรักษาประจำเท้า ๒ คน. 
  สองบทว่า จตุปฺปุริโส รโถ มีความว่า รถ ๑ คันมีทหารประจำ ๔ คน อย่างนี้ คือสารถี (พลขับ) ๑ คน นักรบ (นายทหาร) ๑ พลรักษาสลักเพลา ๒ คน. 
  ข้อว่า จตฺตาโร ปุริสา สรหตฺถา ได้แก่ พลเดินเท้ามีพลอย่างนี้ คือทหารถืออาวุธครบมือ ๔ คน. กองทัพประกอบด้วยองค์ ๔ นี้ โดยกำหนดอย่างต่ำ ชื่อว่า เสนา. เมื่อไปดูเสนาเช่นนี้ เป็นทุกกฏ ทุกๆ ย่างเท้า. 
  สองบทว่า ทสฺสนูปจารํ วิชหิตฺวา มีความว่า กองทัพถูกอะไรบังไว้ หรือว่าลงสู่ที่ลุ่ม มองไม่เห็น, คือภิกษุยืนในที่นี้แล้วไม่อาจมองเห็น เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุไปยังสถานที่อื่นดู เป็นปาจิตตีย์ ทุกๆ ประโยค. 
  บทว่า เอกเมกํ มีความว่า บรรดาองค์ ๔ มีช้างเป็นต้น แต่ละองค์ๆ ชั้นที่สุดช้าง ๑ เชือกมีพลขับ ๑ คนก็ดี พลเดินเท้าอาวุธ ๑ คนก็ดี. พระราชาชื่อว่าไม่ได้เสด็จยาตราทัพ เสด็จไปประพาสพระราชอุทยานหรือแม่น้ำ อย่างนี้ ชื่อว่าไม่ได้ทรงยาตราทัพ. 
 บทว่า อาปทาสุ มีความว่า เมื่อมีอันตรายแห่งชีวิต และอันตรายแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไปด้วยคิดว่า เราไปในกองทัพนี้ จักพ้นไปได้. 
        บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
         สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

ไม่มีความคิดเห็น: