[๗๓๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอาราม ของอนาถบิณฑิกคหบดี
เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำอจิรวดีแม้พราหมณ์คนหนึ่งวางถุงเงินประมาณ ๕๐๐ กษาปณ์ไว้บนบก แล้วลงอาบน้ำในแม่น้ำอจิรวดี เสร็จแล้วได้ลืมถุงทรัพย์นั้นไว้ ไปแล้ว จึงภิกษุนั้นได้เก็บไว้ด้วยสำคัญว่า นี้ถุงทรัพย์ของพราหมณ์นั้น
อย่าได้หายเสียเลย ฝ่ายพราหมณ์นั้นนึกขึ้นได้รีบวิ่งมาถามภิกษุนั้นว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า
พระคุณเจ้าเห็นถุงทรัพย์ของข้าพเจ้าบ้างไหม?
ภิกษุนั้นได้คืนให้พร้อมกับกล่าวว่า เชิญรับไปเถิด ท่านพราหมณ์.
พราหมณ์ฉุกคิดขึ้นได้ในขณะนั้นว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ เราจึงจะไม่ต้องให้ค่าไถ่ร้อยละห้าแก่ภิกษุนี้ จึงพูดเป็นเชิงขู่ขึ้นว่า ทรัพย์ของข้าพเจ้าไม่ใช่ ๕๐๐ กษาปณ์ ของข้าพเจ้า ๑,๐๐๐ กษาปณ์ ดังนี้
แล้วปล่อยตัวไป ครั้นภิกษุนั้นไปถึงพระอารามแล้วได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงได้เก็บเอาสิ่งรตนะเล่า ... แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอเก็บเอารัตนะไว้ จริงหรือ?
ภิกษุรูปนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้เก็บเอารัตนะเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยก
สิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ ๑๓๓. ๒. อนึ่ง ภิกษุใด เก็บเอาก็ดี ให้เก็บเอาก็ดี ซึ่งรัตนะ ก็ดี ซึ่งของที่สมมติว่ารัตนะก็ดี เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ.
เรื่องนางวิสาขามิคารมาตา
[๗๓๙] สมัยต่อมา ในพระนครสาวัตถี มีมหรสพ ประชาชนต่างประดับประดาตกแต่งร่างกาย แล้วพากันไปเที่ยวชมสวน แม้นางวิสาขามิคารมาตาก็ประดับประดาตกแต่งร่างกายออกจากบ้านไปด้วยตั้งใจว่า จักไปเที่ยวชมสวน แล้วหวนคิดขึ้น
ว่า เราจักไปสวนทำไม เราเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคดีกว่า ดังนี้แล้วได้เปลื้องเครื่องประดับออก ห่อด้วยผ้าห่มมอบให้แก่ทาสี สั่งว่าแม่สาวใช้ เธอจงถือห่อเครื่องประดับนี้ไว้
ครั้นแล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้นางวิสาขามิคารมาตาผู้นั่งเรียบร้อยแล้ว เห็นแจ้ง สมาทานอาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา.
ครั้นนางวิสาขามิคารมาตาอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณหลีกไปแล้ว.
ฝ่ายทาสีคนนั้น ได้ลืมห่อเครื่องประดับนั้นไปแล้ว
ภิกษุทั้งหลายพบเห็น จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงเก็บเอามารักษาไว้.
พระพุทธานุญาตพิเศษให้เก็บรัตนะ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เก็บ หรือใช้ให้เก็บซึ่งรัตนะก็ดี ซึ่งของที่สมมติว่ารัตนะก็ดี
ในวัดที่อยู่ แล้วรักษาไว้ ด้วยหมายว่า ของผู้ใด ผู้นั้นจะได้นำไป.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ ๑ ๑๓๓. ๒. ก. อนึ่ง ภิกษุใด เก็บเอาก็ดี ให้เก็บเอาก็ดี ซึ่งรัตนะก็ดี ซึ่งของที่สมมติว่ารัตนะก็ดี เว้นไว้แต่ในวัดที่อยู่ เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องนางวิสาขามิคารมาตา จบ.
เรื่องคนใช้ของอนาถบิณฑิกคหบดี
[๗๔๐] ก็โดยสมัยนั้นแล อนาถบิณฑิกคหบดี มีโรงงานอยู่ในกาสีชนบท และคหบดีนั้นได้สั่งบุรุษคนสนิทไว้ว่า ถ้าพระคุณเจ้าทั้งหลายมา เจ้าพึงแต่งอาหารถวาย.
ครั้นต่อมา ภิกษุหลายรูป ไปเที่ยวจาริกในกาสีชนบท ได้เดินผ่านเข้าไปทางโรงงานของอนาถบิณฑิกคหบดี บุรุษนั้นได้แลเห็นภิกษุเหล่านั้นเดินมาแต่ไกลเทียว
ครั้นแล้วจึงเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น กราบไหว้แล้วได้กล่าวอาราธนาว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย จงรับนิมนต์ฉันภัตตาหารของท่านคหบดี ในวันพรุ่งนี้.
ภิกษุเหล่านั้นรับนิมนต์ด้วยอาการดุษณีภาพ.
จึงบุรุษนั้น สั่งให้ตกแต่งของเคี้ยว ของฉัน อันประณีตโดยล่วงราตรีนั้นแล้วให้คนไปบอกภัตตกาล แล้วถอดแหวนวางไว้ อังคาสภิกษุเหล่านั้นด้วยภัตตาหาร แล้วกล่าวว่า นิมนต์พระคุณเจ้าฉันแล้วกลับได้ แม้กระผมก็จักไปสู่โรงงานดังนี้ ได้ลืมแหวนนั้น ไปแล้ว.
ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้ว ปรึกษากัน
ว่า ถ้าพวกเราไปเสีย แหวนวงนี้จักหาย แล้วได้อยู่
ในที่นั้นเอง.
ครั้นบุรุษนั้นกลับมาจากโรงงาน เห็นภิกษุเหล่านั้นจึงถามว่า เพราะเหตุไร พระคุณเจ้าทั้งหลายจึงยังอยู่ในที่นี้เล่า ขอรับ.
จึงภิกษุเหล่านั้นได้บอกเรื่องราวนั้นแก่เขา ครั้นเธอไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระพุทธานุญาตพิเศษ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เก็บเอาก็ดี ใช้ให้เก็บเอาก็ดี ซึ่งรัตนะก็ดี ซึ่งของที่สมมติว่ารัตนะก็ดี ในวัดที่อยู่ก็ดี ในที่อยู่พักก็ดี แล้วเก็บรักษาไว้ด้วยหมายว่า เป็นของผู้ใด ผู้นั้นจะได้นำไป.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ ๒
๑๓๓. ๒. ข. อนึ่ง ภิกษุใด เก็บเอาก็ดี ให้เก็บเอาก็ดี ซึ่งรัตนะก็ดี ซึ่งของที่สมมติว่ารัตนะก็ดี เว้นไว้แต่ในวัดที่อยู่ก็ดี ในที่อยู่พักก็ดี เป็นปาจิตตีย์. และภิกษุเก็บเอาก็ดี ให้เก็บเอาก็ดี ซึ่งรัตนะก็ดี ซึ่งของที่สมมติว่ารัตนะก็ดี ในวัดที่อยู่ก็ดี ในที่อยู่พักก็ดี แล้วพึงเก็บไว้ด้วยหมายว่า ของผู้ใด ผู้นั้นจะได้นำไป นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น.
เรื่องคนใช้ของอนาถบิณฑิกคหบดี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๗๔๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ
. นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า รัตนะ ได้แก่ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง แก้วทับทิม แก้วลาย นี้ชื่อว่ารัตนะ.
ที่ชื่อว่า ของที่สมมติว่ารัตนะ ได้แก่ เครื่องอุปโภค เครื่องบริโภค ของมวลมนุษย์นี้ชื่อว่าของที่สมมติว่ารัตนะ.
คำว่า เว้นไว้แต่ในวัดที่อยู่ก็ดี ในที่อยู่พักก็ดี คือ ยกเว้นแต่ภายในวัดที่อยู่ ภายในที่อยู่พัก.
ที่ชื่อว่า ภายในวัดที่อยู่ คือ สำหรับวัดที่มีเครื่องล้อม กำหนดภายในวัด สำหรับวัดที่ไม่มีเครื่องล้อม กำหนดอุปจารวัด.
ที่ชื่อว่า ภายในที่อยู่พัก คือ สำหรับที่อยู่พักที่มีเครื่องล้อม ได้แก่ ภายในที่อยู่พักสำหรับที่อยู่พักที่ไม่มีเครื่องล้อม ได้แก่อุปจารที่อยู่พัก.
บทว่า เก็บเอา คือ ถือเอาเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า ให้เก็บเอา คือ ให้คนอื่นถือเอา ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
[๗๔๒] คำว่า และภิกษุเก็บเอาก็ดี ให้เก็บเอาก็ดี ซึ่งรัตนะก็ดี ซึ่งของที่สมมติว่ารัตนะก็ดี ในวัดที่อยู่ก็ดี ในที่อยู่พักก็ดี แล้วพึงเก็บไว้ นั้น ความว่า ภิกษุพึงทำเครื่องหมายตามรูปหรือตามนิมิตเก็บไว้ แล้วพึงประกาศว่าสิ่งของ ของผู้ใดหาย ผู้นั้นจงมารับไป ถ้าเขามาในที่นั้น พึงสอบถามเขา
ว่า สิ่งของของท่านเป็นเช่นไร ถ้าเขาบอกรูปพรรณหรือตำหนิถูกต้อง พึงให้ไป ถ้าบอกไม่ถูกต้อง พึงบอกเขาว่า จงค้นหาเอาเอง. เมื่อจะหลีกไปจากอาวาสนั้น พึงมอบไว้ในมือของภิกษุผู้สมควรที่อยู่ในวัดนั้น แล้วจึงหลีกไป
ถ้าภิกษุผู้สมควรไม่มี พึงมอบไว้ในมือของคหบดีผู้สมควรที่อยู่ในตำบลนั้น แล้วจึงหลีกไป.
คำว่า นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น ความว่า นี้เป็นมารยาทที่ดียิ่งในเรื่องนั้น.
อนาปัตติวาร
[๗๔๓] ภิกษุเก็บเอาก็ดี ให้เก็บเอาก็ดี ซึ่งรัตนะก็ดี ซึ่งของที่สมมติว่ารัตนะก็ดี ในวัดที่อยู่ก็ดี ในที่อยู่พักก็ดี แล้วเก็บไว้
ด้วยหมายว่า ของผู้ใด ผู้นั้นจะได้นำไป ดังนี้ ๑ภิกษุถือวิสาสะของที่สมมติว่ารัตนะ ๑ ภิกษุถือเป็นของขอยืม ๑ ภิกษุเข้าใจว่าเป็นของบังสุกุล ๑
ภิกษุวิกลจริต ๑ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
รตนวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์
รตนวรรคที่ ๙ สิกขาบทที่ ๒ รตนวรรค รัตน
ในสิกขาบทที่ ๒ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
[ว่าด้วยสถานที่และของตกที่ควรเก็บไม่ควรเก็บ]
บทว่า วิสฺสริตฺวา แปลว่า ได้ลืมไว้. ๕ เหรียญกษาปณ์จาก ๑๐๐ เหรียญ ชื่อว่าปุณณปัตตะ (ร้อยละ ๕).
คำว่า กฺยาหํ กริสฺสามิ แปลว่า เราจักกระทำอย่างไร?
คำว่า อาภรณํโอมุญฺจิตฺวา คือ ได้เปลื้องเครื่องประดับชื่อมหาลดามีค่า ๙ โกฏิออกไว้.
บทว่า อนฺเตวาสี
แปลว่าสาวใช้. ๒ ชั่วขว้างก้อนดินตกแห่งวัดที่อยู่
ชื่อว่าอุปจาร ในคำว่า อปริกฺขิตสฺส อุปจาโร นี้.
แต่ในมหาปัจจรีกล่าวว่า สำหรับที่อยู่พัก ชั่วเหวี่ยงกระด้งตก หรือชั่วเหวี่ยงสากตก (ชื่อว่า อุปจาร).
ในคำว่า อุคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ มีวินิจฉัยว่า
ภิกษุรับเองก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทองและเงิน เพื่อประโยชน์แก่ตน เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. รับเองก็ดี ให้รับเองก็ดี เพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ คณะ บุคคล เจดีย์และนวกรรม เป็นทุกกฏ.
ภิกษุรับเองก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งรัตนะมีมุกดาเป็นต้นที่เหลือ เพื่อประโยชน์แก่ตนหรือแก่สงฆ์เป็นต้น เป็นทุกกฏ.
สิ่งที่เป็นกัปปิยวัตถุก็ดี เป็นอกัปปิยวัตถุก็ดี อันเป็นของคฤหัสถ์ ชั้นที่สุดแม้ใบตาลเป็นเครื่องประดับหูเป็นของมารดา เมื่อภิกษุรับเก็บโดยมุ่งวัตรแห่งภัณฑาคาริกเป็นใหญ่ เป็นปาจิตตีย์
เหมือนกัน. แต่ถ้าของๆ มารดาบิดาเป็นกัปปิยภัณฑ์อันควรที่ภิกษุจะเก็บไว้ได้แน่นอน พึงรับเก็บไว้
เพื่อประโยชน์ตน.
แต่เมื่อเขากล่าวว่า ท่านโปรดเก็บของนี้ไว้ให้ด้วย พึงห้ามว่า ไม่ควร.
ถ้าพวกคฤหัสถ์โยนของทิ้งไว้กล่าวว่า
นิมนต์ท่านเก็บไว้ให้ด้วย แล้วไปเสีย,จัดว่าเป็นธุระ สมควรจะเก็บไว้.
พวกคนงานมีนายช่างไม้เป็นต้น ผู้กระทำการงานในวิหารก็ดี พวกราชพัลลภก็ดี ขอร้องให้ช่วยเก็บเครื่องมือ หรือเครื่องนอนของตนว่า นิมนต์ ท่านช่วยเก็บไว้ให้ด้วย.
อย่าพึงกระทำ เพราะชอบกันบ้าง เพราะกลัวบ้าง. แต่จะแสดงที่เก็บให้ ควรอยู่. ส่วนในเหล่าชนผู้โยนของทิ้งไว้โดยพลการแล้วไปเสีย จะเก็บไว้ให้ก็ควร.
ในคำว่า อชฺฌาราเม วา อชฺฌาวสเถวา นี้
มีวินิจฉัยดังนี้:-
ถ้าอารามใหญ่เช่นกับมหาวิหาร, ภิกษุเก็บเองก็ดี ใช้ให้เก็บก็ดี ซึ่งของคฤหัสถ์ที่ตกในสถานที่ เช่นกับที่ซึ่งจะเกิดมีความระแวงสงสัยว่า จักถูกพวกภิกษุและสามเณรฉวยเอาไป แล้วพึงเก็บไว้ในบริเวณที่มีกำแพงกั้นในอารามใหญ่นั้น.
แต่ที่ตกในสถานที่สัญจรของมหาชน เช่นที่ซุ้มประตูแห่งมหาโพธิ์และลานต้นมะม่วง ไม่ควรเก็บ. ไม่ใช่ธุระหน้าที่ (ของภิกษุ).
แต่ในกุรุนทีกล่าวว่า ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไปเห็นภัณฑะบางอย่าง ในสถานที่ไม่มีคน. แม้เมื่อเกิดมีคนพลุกพล่าน
พวกชาวบ้านก็จะสงสัยภิกษุนั้นทีเดียว. เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นพึงแวะออกจากทางแล้วนั่งพัก. เมื่อพวกเจ้าของมา พึงบอกทรัพย์นั้น. ถ้าไม่พบเจ้าของ เธอจักต้องทำให้เป็นของสมควร (มีถือเอาเป็นของบังสุกุลเป็นต้น).
ในคำว่า รูเปน วา นิมิตฺเตน วาสญฺญาณํ กตฺวา นี้ ที่ชื่อว่า รูป ได้แก่ ภัณฑะภายในห่อ.
เพราะฉะนั้นภิกษุพึงแก้ห่อภัณฑะออกนับดู แล้ว
กำหนดไว้ว่า เหรียญกษาปณ์เท่านี้ หรือ
เงินและทองเท่านี้.
ดวงตราเครื่องหมาย (ดุน) เป็นต้น ชื่อว่านิมิต (เครื่องหมาย). เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงกำหนดเครื่องหมายทุกอย่าง ในห่อภัณฑะที่ประทับตราเครื่องหมายมีอาทิอย่างนี้ คือประทับตราด้วยดินเหนียว หรือว่าประทับตราด้วยครั่ง, ห่อภัณฑะที่เขาห่อด้วยผ้าสีเขียว หรือว่าที่เขาห่อด้วยผ้าสีเหลือง.
สองบทว่า ภิกฺขู ปฏิรูปา ได้แก่ ภิกษุทั้งหลายผู้มีความละอายมักรังเกียจสงสัย. เพราะจะมอบไว้ในมือของพวกคนผู้มีนิสัยโลเลไม่ได้.
ก็ภิกษุใดยังไม่หลีกไปจากอาวาสนั้นหรือยังไม่พบพวกเจ้าของ, แม้ภิกษุนั้น อย่าพึงทำให้เป็นมูลค่าแห่งจีวรเป็นต้นเพื่อตนเอง. แต่พึงให้สร้างเสนาสนะหรือเจดีย์หรือสระโบกขรณีที่เป็นของถาวร.
ถ้าว่า โดยกาลล่วงไปนาน เจ้าของจึงมาทวง, พึงบอกเขาว่า อุบาสก! ของชื่อนี้ เขาสร้างด้วยทรัพย์ของท่าน, ท่านจงอนุโมทนาเถิด. ถ้าหากว่าเขาอนุโมทนาด้วย ข้อนั้นเป็นการดี ด้วยประการฉะนี้, ถ้าเขาไม่อนุโมทนาด้วย กลับทวงว่า ขอท่านจงให้ทรัพย์ผมคืน พึงชักชวนคนอื่นคืนให้ทรัพย์เขาไป.
ในคำว่า รตนสมฺมตํ วิสฺสาสํ คณฺหาติ เป็นต้น ตรัสหมายเอาอามาสวัตถุ (ของควรจับต้องได้) เท่านั้น. ของอนามาส ไม่ควรเลย.
คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น