Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปาจิตตีย์.จิตตาคารวรรค แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปาจิตตีย์.จิตตาคารวรรค แสดงบทความทั้งหมด

16 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

[๓๒๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์พากันสอนติรัจฉานวิชา.  คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้สอนติรัจฉานวิชา เหมือนเหล่าสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า?  ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้สอนติรัจฉานวิชาเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีฉัพพัคคีย์สอนติรัจฉานวิชา จริงหรือ? 
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้พากันสอนติรัจฉานวิชาเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๑๐๕. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุณีใด สอนติรัจฉานวิชา เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๓๒๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ที่ชื่อว่า ติรัจฉานวิชา ได้แก่ ศิลปวิทยาการนอกพระศาสนาชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กอปรด้วยประโยชน์. 
               บทว่า สอน ความว่า สอนโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท สอนโดยอักขระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ตัวอักขระ. 

อนาปัตติวาร

 [๓๒๗] สอนหนังสือ ๑ สอนวิชาท่องจำ ๑ สอนวิชาป้องกันเพื่อประสงค์คุ้มครองตัว ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ. 
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๑๐

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า วาเจยฺย แปลว่า พึงสอน (นี้) แปลกกัน. 
     บทที่เหลือพร้อมด้วยสมุฏฐานเป็นต้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในสิกขาบทที่ ๙ ทั้งนั้นแล. 
อรรถกถาจิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ 
 อรรถกถาจิตตาคารวรรคที่ ๕ จบ.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๙ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

 [๓๒๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์พากันเรียนติรัจฉานวิชา.   คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงเรียนติรัจฉานวิชา เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.  ภิกษุณีทั้งหลาย ได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้เรียนติรัจฉานวิชาเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ พากันเรียนติรัจฉานวิชา จริงหรือ? 
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้พากันเรียนติรัจฉานวิชาเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๑๐๔. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด เรียนติรัจฉานวิชา เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๓๒๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ที่ชื่อว่า ติรัจฉานวิชา ได้แก่ ศิลปวิทยาการนอกพระศาสนาชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กอปรด้วยประโยชน์. 
               บทว่า เรียน คือ เรียนโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท เรียนโดยอักขระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ตัวอักขระ. 

อนาปัตติวาร

    [๓๒๔] เรียนหนังสือ ๑ เรียนวิชาท่องจำ ๑ เรียนวิชาป้องกันเพื่อประสงค์คุ้มครองตัว ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๙

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :- 
     สองบทว่า พาหิรกํ อนตฺถสํหิตํ ได้แก่ (ศิลปวิทยาการ) ทำลายผู้อื่นมีชนิดเช่นศิลปะเนื่องด้วยช้าง ม้า รถ ธนูและดาบ กับมนต์อาถรรพณ์ มนต์ฝังหุ่น มนต์ทำให้มีอำนาจ มนต์ทำให้ผอมแห้งและวิชาประกอบยาพิษเป็นต้น. 
     บทว่า ปริตฺตํ ได้แก่ (วิชาป้องกันตัว) มีชนิดเช่นวิชาป้องกันพวกยักษ์ และป้องกันพวกนาค (งู) เป็นต้น แม้ทุกอย่าง ย่อมสมควร. 
 บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปทโสธรรมสิกขาบท เกิดขึ้นทางวาจา ๑ ทางวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๓๑๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทาไม่มอบหมายห้องที่อยู่หลีกไปสู่จาริก. ต่อมาห้องที่อยู่ของนางถูกไฟไหม้.  ภิกษุณีทั้งหลายจึงพากันกล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกเราจงช่วยกันขนสิ่งของออก.  ภิกษุณีบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พวกดิฉันไม่ขน เจ้าข้า เพราะของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหายไป แม่เจ้าจักทวงเอากะพวกเราจนครบ.   เมื่อภิกษุณีถุลลนันทากลับมายังห้องที่อยู่นั้นแล้ว ถามภิกษุณีทั้งหลายว่า แม่เจ้าทั้งหลายได้ช่วยขนสิ่งของออกบ้างหรือเปล่า? 
    ภิกษุณีทั้งหลายตอบว่า พวกดิฉันไม่ได้ขนออกเลย เจ้าข้า. 
    ภิกษุณีถุลลนันทาจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลาย เมื่อห้องที่อยู่ถูกอัคคีภัย จึงได้ไม่ช่วยกันขนสิ่งของออกเล่า. 
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงไม่มอบหมายห้องที่อยู่ หลีกไปสู่จาริกเล่า. 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาไม่มอบหมายห้องที่อยู่หลีกไปสู่จาริก จริงหรือ? 
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้ไม่มอบหมายห้องที่อยู่หลีกไปสู่จาริกเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

  พระบัญญัติ

    ๑๐๓. ๘. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไม่มอบหมายห้องที่อยู่หลีกไปสู่จาริก เป็นปาจิตตีย์.  เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ

สิกขาบทวิภังค์

                [๓๑๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
                ที่ชื่อว่า ห้องที่อยู่ ได้แก่ อาคารที่เรียกกันว่าห้อง มีบานประตูติด. 
                คำว่า ไม่มอบหมาย ... หลีกไปสู่จาริก นั้น ความว่า ไม่มอบหมายแก่ภิกษุณี สิกขมานาหรือสามเณรี เมื่อเดินพ้นเขตห้องที่อยู่ซึ่งมีเครื่องล้อม ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เดินพ้นอุปจารห้องที่อยู่ซึ่งไม่มีเครื่องล้อม ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

               [๓๒๐] มิได้มอบหมาย ภิกษุณีสำคัญว่ามิได้มอบหมาย หลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               มิได้มอบหมาย ภิกษุณีมีความสงสัย หลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               มิได้มอบหมาย ภิกษุณีสำคัญว่ามอบหมายแล้ว หลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ติกะทุกกฎ

               ห้องที่อยู่มิได้ติดบานประตู ภิกษุณีมิได้มอบหมาย หลีกไป ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ห้องที่อยู่ซึ่งมิได้ติดบานประตู ภิกษุณีมอบหมายแล้ว สำคัญว่ามิได้มอบหมาย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ห้องที่อยู่ซึ่งมิได้ติดบานประตู ภิกษุณีมอบหมายแล้ว มีความสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ห้องที่อยู่ซึ่งมิได้ติดบานประตู ภิกษุณีมอบหมายแล้ว สำคัญว่า มอบหมายแล้ว ไม่ต้องอาบัติ. 

อนาปัตติวาร

    [๓๒๑] มอบหมายแล้วหลีกไป ๑ หลีกไปในเมื่อมีอันตราย ๑ แสวงหาแล้วไม่ได้ ๑ อาพาธ ๑ มีเหตุขัดข้อง ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.  จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๘

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๘ พึงทราบดังนี้ :-
     บทว่า อนิสฺสชฺชิตฺวา มีความว่า ไม่มอบให้เพื่อประโยชน์แก่การรักษา คือ ไม่มอบหมายอย่างนี้ว่า พึงช่วยกันรักษาดูแลห้องที่อยู่นี้ให้ด้วยดังนี้. 
     สองบทว่า ปริเยสิตฺวา น ลภติ คือ ไม่ได้ผู้ดูแลรักษา. 
     บทว่า คิลานาย คือ ไม่สามารถจะพูดได้. 
     บทว่า อาปทาสุ มีความว่า เมื่อแว่นแคว้นแตกทะลาย พวกภิกษุณีทั้งหลายทิ้งอาวาสแล้วหนีไป ในอันตรายเห็นปานนี้ ไม่เป็นอาบัติ. 
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
 สมุฏฐานเป็นต้นก็เป็นเช่นกับสิกขาบทถัดไปนั่นแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๗ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๓๑๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทาใช้ผ้าอาศัยคนเดียว ไม่ยอมสละ.  ภิกษุณีเหล่าอื่นที่มีประจำเดือนย่อมไม่ได้ใช้. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ใช้ผ้าอาศัยไม่ยอมสละเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาใช้ผ้าอาศัยไม่ยอมสละ จริงหรือ?. 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้ใช้ผ้าอาศัยไม่ยอมสละเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๑๐๒. ๗. อนึ่ง ภิกษุณีใด ใช้ผ้าอาศัยไม่ละ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๓๑๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ที่ชื่อว่า ผ้าอาศัย ได้แก่ ผ้าที่เขาถวายไว้สำหรับให้ภิกษุณีผู้มีประจำเดือนใช้. 
               บทว่า ใช้ ... ไม่ละ คือใช้ ๒-๓ ราตรี ซักในวันที่ ๔ แล้วยังใช้อีกไม่ยอมให้ภิกษุณีสิกขมานา หรือสามเณรี ใช้บ้าง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

               [๓๑๖] ยังไม่ละ ภิกษุณีสำคัญว่ายังไม่ละ ใช้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               ยังไม่ละ ภิกษุณีมีความสงสัย ใช้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               ยังไม่ละ ภิกษุณีสำคัญว่าละแล้ว ใช้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ทุกะทุกกฎ

               ละแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่ายังไม่ละ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ละแล้ว ภิกษุณีมีความสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ละแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่าละแล้ว ไม่ต้องอาบัติ. 

อนาปัตติวาร

    [๓๑๗] ละแล้วจึงใช้ ๑ ใช้คราวต่อไป ๑ ภิกษุณีพวกอื่นผู้มีประจำเดือนไม่มี ๑ ถูกแย่งชิงผ้าไป ๑ ผ้าหาย ๑ มีเหตุฉุกเฉิน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๗

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๗ พึงทราบดังนี้ :- 
     บทว่า ปุนปริยาเย แปลว่า คราวต่อไป. 
     บทว่า อาปทาสุ มีความว่า พวกโจรลักจีวรที่มีราคาแพงซึ่งภิกษุณีเปลื้องออกจากกาย เก็บไว้ดีแล้วไป ในอันตรายเห็นปานนี้ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุณีผู้นุ่งไม่สละ. 
 คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

15 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๓๐๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.   ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งเข้าไปหาภิกษุณีถุลลนันทา แล้วได้กล่าวขอร้องว่า ขอเชิญแม่เจ้า โปรดไปช่วยระงับอธิกรณ์นี้. เธอรับคำได้ว่า แล้วไม่ช่วยระงับ ไม่ขวนขวายเพื่อระงับ จึงภิกษุณีรูปนั้นได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.  บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า แม่เจ้าถุลลนันทา อันภิกษุณีกล่าวขอร้องว่า ขอเชิญแม่เจ้าได้โปรดช่วยระงับอธิกรณ์นี้ ดังนี้ รับคำว่าได้ แล้วไฉนจึงไม่ช่วยระงับ ไม่ขวนขวายเพื่อจะระงับเล่า. 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทารับปากคำภิกษุณีรูปหนึ่งว่าจะช่วยระงับอธิกรณ์ แล้วไม่ช่วยระงับ ไม่ขวนขวายเพื่อจะระงับ จริงหรือ? 
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีถุลลนันทา อันภิกษุณีรูปหนึ่งกล่าวขอร้องว่า ขอเชิญแม่เจ้าช่วยระงับอธิกรณ์นี้ รับปากคำเขาแล้ว  ไฉนจึงไม่ระงับ ไม่ขวนขวายเพื่อจะระงับ การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๑๐๐. ๕. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้อันภิกษุณีกล่าวอยู่ว่า มาเถิดแม่เจ้า จงช่วยระงับอธิกรณ์นี้ รับคำว่าดีละแล้ว นางไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่ระงับ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อระงับ เป็นปาจิตตีย์.  เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ.

 สิกขาบทวิภังค์

               [๓๐๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               บทว่า อันภิกษุณี คือ อันภิกษุณีรูปอื่น. 
               ที่ชื่อว่า อธิกรณ์ ได้แก่ อธิกรณ์ ๔ คือ วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์กิจจาธิกรณ์. 
               คำว่า มาเถิดแม่เจ้า จงช่วยระงับอธิกรณ์นี้ ความว่า ขอเชิญแม่เจ้า โปรดตัดสินอธิกรณ์นี้. 
               คำว่า นางไม่มีอันตรายในภายหลัง คือ ในเมื่อเหตุขัดขวางไม่มี. 
               บทว่า ไม่ระงับ คือ ไม่ระงับด้วยตนเอง. 
               บทว่า ไม่ทำการขวนขวายเพื่อระงับ คือไม่ใช้ผู้อื่น. 
               พอทอดธุระว่าจักไม่ระงับละ จักไม่ทำการขวนขวายเพื่อระงับละ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๓๐๙] อธิกรณ์ของอุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่า ของอุปสัมบัน ไม่ระงับ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อระงับ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    อธิกรณ์ของอุปสัมบัน ภิกษุณีมีความสงสัย ไม่ระงับ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อระงับ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    อธิกรณ์ของอุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่า ของอนุปสัมบัน ไม่ระงับ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อระงับ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

จตุกกะทุกกฎ

    อธิกรณ์ของอนุปสัมบัน ภิกษุณีไม่ระงับ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อระงับ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    อธิกรณ์ของอนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าของอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.   อธิกรณ์ของอนุปสัมบัน ภิกษุณีมีความสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    อธิกรณ์ของอนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 

อนาปัตติวาร

    [๓๑๐] ในเมื่ออันตรายมี ๑ แสวงหาแล้วไม่ได้ ๑ อาพาธ ๑ มีเหตุขัดข้อง ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๕

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :- 
     สองบทว่า อสติ อนฺตราเย ได้แก่ เมื่อไม่มีอันตราย ๑๐ อย่าง. 
    ภิกษุณีทอดธุระแล้ว ภายหลังจึงวินิจฉัย ชื่อว่า ต้องอาบัติก่อนแล้วจึงวินิจฉัย. 
     สองบทว่า ปริเยสิตฺวา น ลภติ มีความว่า ไม่ได้ภิกษุณีทั้งหลายผู้ร่วมมือ. 
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เป็นอกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศล เป็นทุกขเวทนา แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

  [๓๐๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.   ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายช่วยทำงานของชาวบ้าน บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ช่วยทำงานของชาวบ้านเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีช่วยทำงานของชาวบ้าน จริงหรือ?. 
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉน ภิกษุณีจึงได้ช่วยทำงานของชาวบ้านเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๙๙. ๔. อนึ่ง ภิกษุณีใด ทำงานช่วยเหลือสำหรับคฤหัสถ์ เป็นปาจิตตีย์.  เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๓๐๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ที่ชื่อว่า งานช่วยเหลือสำหรับคฤหัสถ์ คือ ต้มยาคูก็ดี หุงข้าวก็ดี ทำของเคี้ยวก็ดี หรือซักผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ของชาวบ้าน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

อนาปัตติวาร

 [๓๐๖] ต้มยาคูถวายสงฆ์ ๑ หุงข้าวถวายสงฆ์ ๑ ในการบูชาเจดีย์ ๑ ต้มยาคูก็ดี หุงข้าวก็ดี ทำของเคี้ยวก็ดี ซักผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ให้แก่ไวยาวัจกรของตน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.  จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๔

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :-
                ในบทว่า ยาคุ วา เป็นต้น พึงทราบว่า เป็นทุกกฏ โดยนับประโยคในทุกๆ ประโยค ตั้งต้นแต่การบดข้าวสารเป็นต้น.
                ในข้าวต้มและข้าวสวย พึงทราบว่า เป็นปาจิตตีย์มากตัว โดยการนับภาชนะ. ในของควรเคี้ยวเป็นต้น เป็นปาจิตตีย์มากตัว โดยการนับชนิดของ. 
                บทว่า ยาคุปาเน มีความว่า เมื่อพวกชาวบ้านกำลังปรุงข้าวยาคู ทำน้ำปานะหรือสังฆภัตเพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ 
                ภิกษุณีหุงต้มโภชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยสมบทเข้าร่วมกับชาวบ้านเหล่านั้น ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุณีเป็นเพื่อนบูชาพระเจดีย์ บูชาของหอมเป็นต้น ควรอยู่. 
                สองบทว่า อตฺตโน เวยฺยาวจฺจกรสฺส มีความว่า ถ้าแม้นว่า มารดาและบิดามาหา ภิกษุณีจะวานให้ท่านทำของอย่างใดอย่างหนึ่งให้ เป็นพัดหรือด้ามไม้กวาดก็ได้ ตั้งในไว้ฐานะแห่งไวยาวัจกรก่อนแล้วหุงต้มโภชนะอย่างใดอย่างหนึ่งให้ ควรอยู่. 
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                สมุฏฐานเป็นต้นเป็นเช่นเดียวกับสิกขาบทที่ ๓ ทั้งนั้นแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

[๓๐๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์พากันกรอด้าย. คนทั้งหลายเที่ยวชมวิหารพบเห็นแล้ว พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้กรอด้วยกัน เหมือนสตรีชาวบ้านผู้บริโภคกามเล่า.  ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้กรอด้ายกันเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีฉัพพัคคีย์พากันกรอด้วย จริงหรือ?. 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้กรอด้ายกัน การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๙๘. ๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด กรอด้าย เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๓๐๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ที่ชื่อว่า ด้าย ได้แก่ ด้าย ๖ ชนิด คือ ด้ายทำด้วยเปลือกไม้ ทำด้วยฝ้าย ทำด้วยไหม ทำด้วยขนสัตว์ ทำด้วยป่าน ทำด้วยสัมภาระเจือกัน. 
               บทว่า กรอ คือ กรอเอง เป็นทุกกฏในประโยค ม้วนไปๆ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

อนาปัตติวาร

    [๓๐๓] กรอด้ายที่เขากรอไว้แล้ว ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๓

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :- 
     บทว่า อุชฺชวูชฺชเว มีความว่า เมื่อภิกษุณีม้วนด้ายเท่าที่สาวออกไปด้วยมือเข้ามา เป็นอาบัติตัวเดียว. แต่เป็นทุกกฏ ในทุกๆ ประโยค โดยนับครั้งขยับมือ ตั้งต้นแต่เลือกฝ่ายก่อนจะกรอ. 
    บทว่า กนฺติตสุตฺตํ ความว่า กรอด้ายเชิงชายให้ควบกันเป็นต้น หรือกรอด้ายที่เขากรอไว้ไม่ดีใหม่. 
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

 [๒๙๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี. เขตนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายนั่งนอนบนตั่งบ้าง บนแคร่บ้าง คนทั้งหลายเที่ยวชมวิหารพบเห็นแล้ว พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ใช้ตั่งบ้าง แคร่บ้าง เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.  ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ใช้ตั่งบ้าง แคร่บ้าง เล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีใช้ตั่งบ้าง แคร่บ้าง จริงหรือ?. 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ใช้ตั่งบ้าง แคร่บ้างเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๙๗. ๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ใช้ตั่งก็ดี แคร่ก็ดี เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

                [๒๙๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
                ที่ชื่อว่า ตั่ง ได้แก่ ตั่งชนิดที่เรียกกันว่าเกินประมาณ. 
                ที่ชื่อว่า แคร่ ได้แก่ แคร่ที่เขาถักด้วยเครือเถาหญ้านางที่ตนหามาเอง. 
                บทว่า ใช้ คือ นั่งก็ดี นอนก็ดี บนตั่งหรือแคร่นั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

อนาปัตติวาร

    [๓๐๐] ใช้ตั่งที่ตัดเท้าแล้ว ๑ ใช้แคร่ที่ทำลายเครือเถาหญ้านางแล้ว ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๒

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :- 
     บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นอาบัติมากตัว ด้วยการนับประโยคในกาลนั่งทับและนอนหลับ. 
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

14 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

 [๒๙๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น ในพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศลมีลายภาพสวยงามซึ่งจิตกรเขียนไว้ในห้องภาพ คนเป็นอันมากพากันไปดูห้องภาพ แม้ภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ก็ได้ไปดูห้องภาพ ชาวบ้าน พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ไปดูห้องภาพ เหมือนสตรีชาวบ้านผู้บริโภคกามเล่า.  ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์จึงได้ไปดูห้องภาพเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ไปดูห้องภาพ จริงหรือ?. 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์จึงได้ไปดูห้องภาพเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส.   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๙๖. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไปดูโรงละครหลวงก็ดี อาคารประกวดภาพก็ดี สถานที่หย่อนใจก็ดี อุทยานก็ดี สระโบกขรณีก็ดี เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๙๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ที่ชื่อว่า โรงละครหลวง ได้แก่ สถานที่เขาสร้างขึ้นไว้ถวายพระราชาเพื่อให้ทรงเพลิดเพลิน เพื่อทรงพระสำราญ. 
               ที่ชื่อว่า อาคารประกวดภาพ ได้แก่ สถานที่เขาสร้างขึ้นไว้ เพื่อให้คนทั้งหลายชมเล่น เพื่อความรื่นเริง. 
               ที่ชื่อว่า สถานที่หย่อนใจ ได้แก่ สถานที่เขาสร้างขึ้นไว้เพื่อให้คนทั้งหลายเล่น เพื่อหย่อนอารมณ์. 
               ที่ชื่อว่า อุทยาน ได้แก่ อุทยานที่เขาจัดไว้เพื่อให้คนทั้งหลายเล่นกีฬา เพื่อพักผ่อน. 
               ที่ชื่อว่า สระโบกขรณี ได้แก่ ชลาสัยที่เขาขุดไว้เพื่อให้คนทั้งหลายเล่นกีฬา เพื่อรื่นเริง. 
               ไปดู ต้องอาบัติทุกกฏ ยืนอยู่สถานที่ใดมองเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ พ้นสายตาไปแล้วกลับมามองดูอีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ 
               ไปดูอย่างหนึ่งๆ ต้องอาบัติทุกกฏ ยืนดูอยู่ในสถานที่ใดมองเห็น พ้นสายตาไปแล้วกลับมามองดูอีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

อนาปัตติวาร

    [๒๙๗] ยืนอยู่ในอารามมองเห็น ๑ เดินไปหรือเดินมาแลเห็น ๑ มีกิจธุระเดินไปพบเข้า ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
  จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๑

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งจิตตาคารวรรค 
พึงทราบดังต่อไปนี้ :- 
     บทว่า ราชาคารํ ได้แก่ โรงละครหลวง. 
     บทว่า จิตฺตาคารํ ได้แก่ ศาลาแสดงจิตรกรรมน่าเพลิดเพลิน. 
     บทว่า อารามํ ได้แก่ สวนที่เป็นสถานที่หย่อนใจ. 
     บทว่า อุยฺยานํ ได้แก่ อุทยานเป็นที่หย่อนอารมณ์. 
     บทว่า โปกฺขรณึ ได้แก่ สระโบกขรณีเป็นที่สำหรับเล่นกีฬา เพราะเหตุนั้นแล ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสคำว่า ยตฺถ กตฺถจิ รฺโกีฬิตุํ เป็นต้น. 
     ในคำว่า ทสฺสนาย คจฺฉติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้ พึงทราบ วินิจฉัยดังนี้ :- 
     เป็นทุกกฏ โดยนับย่างเท้า. 
     ก็ในคำว่า ยตฺถฐิตา ปสฺสติ นี้ มีวินิจฉัยว่า ถ้าภิกษุณียืนในที่เดียวนั่นแหละ ไม่ยกเท้าไปมาดูอยู่ถึง ๕ ครั้ง ก็เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียวเท่านั้น. แต่เมื่อภิกษุณีมองดูทิศาภาคนั้นๆ แล้วดูอยู่ เป็นอาบัติ แยกออกไปหลายตัว. แต่เป็นทุกกฏแก่ภิกษุในที่ทั้งปวง. 
     สองบทว่า อาราเมฐิตา มีความว่า ชนทั้งหลายสร้างพระราชวังหลวงเป็นต้นใกล้อารามที่อยู่ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุณีมองเห็นพระราชวังหลวงเป็นต้นนั้น. 
     สองบทว่า คจฺฉนฺตี วา อาคจฺฉนฺตี วา มีความว่า มองเห็นพระราชวังหลวงเป็นต้นนั้น ซึ่งมีอยู่ใกล้ทางของภิกษุณีผู้เดินไปเพื่อประโยชน์แก่บิณฑบาตเป็นต้น ไม่เป็นอาบัติ. 
     คำว่า สติ กรณีเย คนฺตฺวา มีความว่า ภิกษุณีไปยังราชสำนัก ด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง แล้วเห็น ไม่เป็นอาบัติ. 
     บทว่า อาปทาสุ มีความว่า ภิกษุณีถูกอันตรายบางอย่างรบกวน หลบเข้าไปแล้วเห็นไม่เป็นอาบัติ. 
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ แล.