Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มหาวิภังค์ ๑๖.มหาวาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มหาวิภังค์ ๑๖.มหาวาร แสดงบทความทั้งหมด

26 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร กตาปัตติวารที่ ๒ คำถามและคำตอบอาบัติในปาราชิกกัณฑ์ คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสกัณฑ์

คำถามและคำตอบอาบัติในปาราชิกกัณฑ์
  ทำบุญ 
       [๔๘๗] ถามว่า เพราะปัจจัยคือเสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณี ต้องอาบัติเท่าไร?
   ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณี ต้องอาบัติ ๔ คือ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์มิได้กัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ สอดองค์กำเนิดเข้าในปากที่อ้า มิได้ถูกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะท่อนยางกลม ๑ เพราะปัจจัยคือเสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณี ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
       [๔๘๘] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ ภิกษุและภิกษุณี ต้องอาบัติเท่าไร?
   ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ คือ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ เป็นส่วนแห่งโจรกรรมมีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคาเกินกว่า ๑ มาสก
หรือหย่อนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ เป็นส่วนหนึ่งแห่งโจรกรรม มีราคา ๑ มาสก หรือหย่อนกว่า ๑ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เพราะปัจจัย คือ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
       [๔๘๙] ถามว่า เพราะปัจจัย คือแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติเท่าไร?
   ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ แกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ คือ ขุดบ่อเจาะจงมนุษย์ว่าจักตกลงตาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อตกแล้วทุกขเวทนาเกิดขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ตาย ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เพราะปัจจัย คือ แกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
       [๔๙๐] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มี ไม่เป็นจริง ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติเท่าไร?
   ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ คือ ภิกษุมีความปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาครอบงำ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก ๑ กล่าวว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์ เมื่อผู้ฟัง
เข้าใจความ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อไม่เข้าใจความ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เพราะปัจจัย คือ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสกัณฑ์
       [๔๙๑] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ พยายามปล่อยอสุจิ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ พยายามปล่อยอสุจิ ภิกษุต้องอาบัติ ๓ คือ ตั้งใจพยายามอสุจิเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตั้งใจพยายาม แต่อสุจิไม่เคลื่อน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เป็นทุกกฏในประโยค ๑.
   [๔๙๒] เพราะปัจจัย คือ ถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๕ คือ ภิกษุณีมีความกำหนัด ยินดีในการจับต้องอวัยวะใต้รากขวัญลงมา หรือเหนือหัวเข่าขึ้นไปของบุรุษบุคคลผู้มีความกำหนัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ภิกษุจับต้องกายด้วยกาย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ เอากายถูกต้องของ
เนื่องด้วยกายต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เอาของเนื่องด้วยกายถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะจี้ด้วยนิ้วมือ ๑ เพราะปัจจัย คือ ถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย ต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
   [๔๙๓] เพราะปัจจัย คือ พูดเคาะมาตุคามด้วยวาจาชั่วหยาบ ภิกษุต้องอาบัติ ๓ คือ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือหัวเข่าขึ้นไป เว้นวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
   [๔๙๔] เพราะปัจจัย คือ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ภิกษุต้องอาบัติ ๓ คือ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคาม ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
   [๔๙๕] เพราะปัจจัย คือ ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ ภิกษุต้องอาบัติ ๓ คือ รับคำนำไปบอก กลับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ รับคำ นำไปบอก แต่ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ รับคำ แต่ไม่นำไปบอก และไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
   [๔๙๖] เพราะปัจจัย คือ ให้ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อก้อนดินอีกก้อนหนึ่งยังไม่มา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อก้อนดินนั้นมาแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
   [๔๙๗] เพราะปัจจัย คือ ให้ทำวิหารใหญ่ ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อก้อนดินอีกก้อนหนึ่งยังไม่มา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อก้อนดินนั้นมาแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
   [๔๙๘] เพราะปัจจัย คือ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ต้องอาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาสประสงค์จะให้เคลื่อน โจทต้องอาบัติทุกกฏ ๑ กับสังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาสประสงค์จะด่า โจท ต้องอาบัติโอมสวาท ๑.
   [๔๙๙] เพราะปัจจัย คือ ถือเอาเอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก ต้องอาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาส ประสงค์จะให้เคลื่อน โจท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ กับสังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาสประสงค์จะด่า โจท ต้องอาบัติโอมสวาท ๑.
   [๕๐๐] เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
   [๕๐๑] เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้งเป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
   [๕๐๒] เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ภิกษุผู้ว่ายาก ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
   [๕๐๓] เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ...
       [๕๐๔] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะหรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
       เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ภิกษุต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้.   กตาปัตติวาร ที่ ๒ จบ

วิปัตติวารที่ ๓[๕๐๕] ถามว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔?
       ตอบว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรมจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ ...
       ถามว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะหรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔?
       ตอบว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะหรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ จัดเป็นวิบัติอย่างหนึ่ง คือ อาจารวิบัติ บรรดวิบัติ ๔.   วิปัตติวารที่ ๓ จบ

สังคหิตวารที่ ๔[๕๐๖] ถามว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗?
       ตอบว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ ...
       ถามว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสวะหรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗?
       ตอบว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะหรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๑ คือ ด้วยกองอาบัติทุกกฏ บรรดากองอาบัติ ๗.   สังคหิตวาร ที่ ๔ จบ

สมุฏฐานวารที่ ๕[๕๐๗] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติเกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติเกิดด้วยสมุฏฐานอย่างหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
       ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติเกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติเกิดด้วยสมุฏฐานอย่างหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.   สมุฏฐานวาร ที่ ๕ จบ

อธิกรณวารที่ ๖[๕๐๘] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติจัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติจัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ...
       ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติจัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติจัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.   อธิกรณวาร ที่ ๖ จบ

สมถวาร ที่ ๗[๕๐๙] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติระงับด้วยสมถะเท่าไรบรรดาสมถะ ๗?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑ ...
       ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ  อาบัติระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.   สมถวารที่ ๗ จบ

สมุจจยวาร ที่ ๘[๕๑๐] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๔ คือ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์มิได้กัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องอาบัติลถุลัจจัย ๑ สอดองค์กำเนิดเข้าไปในปากที่อ้ามิได้ถูกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะท่อนยาง ๑
       เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
       ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖? เป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
       ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ.
       สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิกบางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
       เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
   เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
       ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑ ...
       ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
       เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้.
       ถามว่า อาบัตินั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไรบรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖? เป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
       ตอบว่า อาบัตินั้น จัดเป็นวิบัติ ๑ คือ อาจารวิบัติ บรรดาวิบัติ ๔.
       สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๑ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ ด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
       เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
   เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
       ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.   สมุจจยวารที่ ๘ จบ   ปัจจยวาร ๘ จบ
มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร จบ

25 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร กัตถปัญญัติวารที่ ๑ คำถามและคำตอบในปาราชิก ๔ สิกขาบท ในสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท และ ในเสขิยวัตร

คำถามและคำตอบในปาราชิก ๔ สิกขาบท
   ทำบุญ 
       [๔๖๙] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือเสพเมถุนธรรม ณ ที่ไหน? ทรงปรารภใคร? เพราะเรื่องอะไร? ใครนำมา? เป็นต้น.
คำถามและคำตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑
       ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือเสพเมถุนธรรม ณ ที่ไหน?
       ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี.
       ถ. ทรงปรารภใคร?
       ต. ทรงปรารภพระสุทิน กลันทบุตร.
       ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องพระสุทิน กลันทบุตร เสพเมถุนธรรมในปุราณทุติยิกา.
       ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ?
       ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒ อนุปันนบัญญัติไม่มี ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น.
   ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ?
   ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ.
   ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ?
   ต. มีแต่สาธารณบัญญัติ.
   ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ?
   ต. มีแต่อุภโตบัญญัติ.
       ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้นจัดเข้าในอุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน?
       ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน.
       ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร?
       ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๒.
       ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน?
       ต. เป็นศีลวิบัติ.
   ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน?
   ต. เป็นอาบัติกองปาราชิก.
       ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
       ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
       ถ. ใครนำมา?
       ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.

รายนามพระเถระผู้ทรงพระวินัย
       พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ รวมเป็น
       ห้าทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำพระวินัยมาในทวีปชื่อว่าชมพูมีสิริ. แต่นั้น พระเถระ
       ผู้ประเสริฐ มีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑
       พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้ประเสริฐมีปัญญามากเหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา
   ได้ประกาศพระวินัยปิฎกไว้ในเกาะตามพปัณณิ.

คำถามและคำตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๒
       [๔๗๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภพระธนิยะ กุมภการบุตร.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่พระธนิยะ กุมภการบุตร ถือเอาไม้ของหลวงซึ่งไม่ได้รับพระราชทาน.
       มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต.

คำถามและคำตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๓
      [๔๗๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า  ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปปลงชีวิตกันและกัน.
       มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต.

คำถามและคำตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๔
       [๔๗๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
 ต. ทรงปรารภภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
   ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา กล่าวสรรเสริญอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์.
       มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท
       [๔๗๓] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงบัญญัติสังฆาทิเสส เพราะปัจจัยคือพยายามปล่อยอสุจิ ณ ที่ไหน ทรงปรารภใคร เพราะเรื่อง
อะไร ... ใครนำมา.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑
       ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัยคือ พยายามปล่อยอสุจิ ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภท่านพระเสยยสกะ.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
   ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระเสยยสกะ พยายามปล่อยอสุจิ.
   ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ?
   ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น.
   ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ?
   ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ.
   ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ?
   ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ.
   ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ?
   ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ.
   ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้นจัดเข้าในอุเทศไหน? นับเนื่องในอุเทศไหน?
   ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน.
   ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร?
   ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๓.
   ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน?
   ต. เป็นศีลวิบัติ.
   ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน?
   ต. เป็นอาบัติกองสังฆาทิเสส.
   ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
   ถ. ใครนำมา?
   ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.

รายนามพระเถระผู้ทรงพระวินัย
       พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ รวมเป็นห้า
       ทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำพระวินัยมาในทวีป ชื่อว่าชมพูมีสิริ. แต่นั้น พระเถระผู้
       ประเสริฐ ผู้มีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑
      พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้ประเสริฐ มีปัญญามากเหล่านี้ รู้พระวินัยฉลาดในมรรคา
      ได้ประกาศพระวินัยปิฎกไว้ในเกาะตามพปัณณิ.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒
      [๔๗๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัยคือถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม ณที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
   ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม.
       มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓
       [๔๗๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัยคือพูดเคาะมาตุคามด้วยวาจาชั่วหยาบ ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีพูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ
       มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔
       [๔๗๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคาม ณ ที่ไหน?
       ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
       ถ. ทรงปรารภใคร?
       ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
       ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคาม.
       มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕
       [๔๗๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ ณ ที่ไหน?
       ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
       ถ. ทรงปรารภใคร?
       ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
       ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ.
   มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิตมิใช่กาย บางทีเกิดแต่กายวาจาและจิต.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๖
       [๔๗๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ให้ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ณ ที่ไหน?
       ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี.
       ถ. ทรงปรารภใคร?
       ต. ทรงปรารภภิกษุชาวเมืองอาฬวี.
       ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุชาวเมืองอาฬวี ให้ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง.
       มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๗
       [๔๗๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ให้ทำวิหารใหญ่ ณ ที่ไหน?
       ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี.
       ถ. ทรงปรารภใคร?
       ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ.
       ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะแผ้วถางพื้นที่วิหาร ได้สั่งให้ตัดต้นไม้ที่เขาสมมติว่าเป็นเจดีย์ต้นหนึ่ง.
       มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘
       [๔๘๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือความกำจัดภิกษุ ด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้ ณ ที่ไหน?
       ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์.
       ถ. ทรงปรารภใคร?
 ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ.
 ถ. เพราะเรื่องอะไร?
 ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ตามกำจัดท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้.
       มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙
       [๔๘๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ถือเอาเอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลส ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
 ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ.
 ถ. เพราะเรื่องอะไร?
 ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะ และพระภุมมชกะถือเอาเอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลส ตามกำจัดท่านพระทัพพมัลลบุตร ด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก.
       มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๐
       [๔๘๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภพระเทวทัต.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
   ต. เพราะเรื่องที่พระเทวทัตต์เกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์ ผู้พร้อมเพรียงกัน.
       มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่งคือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๑
       [๔๘๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ผู้ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน?
        ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์.
        ถ. ทรงปรารภใคร?
        ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป.
        ถ. เพราะเรื่องอะไร?
        ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปได้ประพฤติตาม เข้าพวกพระเทวทัตผู้ตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์.
        มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแก่กาย วาจา และจิต.

คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๒
        [๔๘๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุผู้ว่ายาก ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
   ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม ได้ทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้.
       มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่งคือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.
คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๓
             [๔๘๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละกรรมเพราะ
สวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน?
             ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
             ถ. ทรงปรารภใคร?
             ต. ทรงปรารภภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ.
             ถ. เพราะเรื่องอะไร?
             ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะถูกสงฆ์ลงปัพพาชนียกรรม
แล้วกลับหาว่า ภิกษุทั้งหลายถึงความพอใจ ถึงความขัดเคือง ถึงความหลง ถึงความกลัว.
             มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง
คือเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำถามและคำตอบในเสขิยวัตร
             [๔๘๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏเพราะปัจจัย คืออาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ
หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ณ ที่ไหน?
             ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
             ถ. ทรงปรารภใคร?
             ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
             ถ. เพราะเรื่องอะไร?
             ต. เพราะเรื่องพระฉัพพัคคีย์ ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วนเขฬะบ้าง
ลงในน้ำ.
             มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
  กัตถปัญญัติวาร ที่ ๑ จบ

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร วิปัตติวารที่ ๓ สังคหิตวารที่ ๔ สมุฏฐานวารที่ ๕ อธิกรณวารที่ ๖ สมถวารที่ ๗ สมุจจัยวารที่ ๘

   ทำบุญ 
วิปัตติวารที่ ๓
       [๔๖๒] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ ...
       ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ จัดเป็นวิบัติอันหนึ่ง คือ อาจารวิบัติ บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง.   วิปัตติวารที่ ๓ จบ
สังคหิตวารที่ ๔
       [๔๖๓] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไรบรรดาอาบัติ ๗ กอง?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม สงเคราะห์ด้วยอาบัติ ๓ กอง บรรดาอาบัติ ๗ กอง คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ ...
       ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดาอาบัติ ๗ กอง?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๑ คือ กองอาบัติทุกกฏ บรรดาอาบัติ ๗ กอง.   สังคหิตวารที่ ๔ จบ
สมุฏฐานวารที่ ๕
       [๔๖๔] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๕?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
       ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิตมิใช่วาจา.   สมุฏฐานวารที่ ๕ จบ
อธิกรณวารที่ ๖
       [๔๖๕] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม เป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ...
       ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.   อธิกรณวารที่ ๖ จบ
สมถวารที่ ๗
       [๔๖๖] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง บรรดาสมถะ ๗ คือ บางที ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑ ...
       ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
       ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.   สมถวารที่ ๗ จบ
สมุจจัยวารที่ ๘[๔๖๗] ถามว่า ภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า ภิกษุผู้เสพเมถุนธรรมต้องอาบัติ ๓ ตัว คือ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่ไม่ถูกสัตว์กัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เสพเมถุนธรรมในเสรีระที่ถูกสัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ สอดองค์กำเนิดเข้าไปในปากที่อ้า มิได้ถูกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
         ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
       ถ. อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดาอาบัติ ๗ กอง? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖? เป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔? ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
       ต. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ.
       สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดาอาบัติ ๗ กอง คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
       เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
           จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
       ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือบางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑ ...
       ถ. ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำต้องอาบัติเท่าไร?
       ต. ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือทุกกฏ.
       ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้.
       ถ. อาบัตินั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔?  สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไรบรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖? เป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔? ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
       ต. อาบัตินั้นจัดเป็นวิบัติอย่างหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คือ อาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติหนึ่ง บรรดาอาบัติ ๗ กอง คือ ด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
       เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา. จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
       ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.   สมุจจัยวาร ที่ ๘ จบ
             ๘ วารนี้ พระธรรมสังคีติกาจารย์เขียนไว้ สำหรับสวดเท่านั้น ฯ
หัวข้อประจำวาร
             [๔๖๘] กัตถปัญญัติวาร ๑ กตาปัตติวาร ๑ วิปัตติวาร ๑ สังคหิตวาร ๑ สมุฏฐานวาร ๑ อธิกรณวาร ๑ สมถวาร ๑ สมุจจยวาร ๑.

24 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร กตาปัตติวารที่ ๒ คำถามและคำตอบในปาราชิกกัณฑ์ , ในสังฆาทิเสสกัณฑ์ อาบัติในนิสสัคคิยกัณฑ์

คำถามและคำตอบในปาราชิกกัณฑ์
ปาราชิก ๔ สิกขาบท
  ทำบุญ 
       [๒๔๔] ถามว่า ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติ ๓ คือ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์มิได้กัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ สอดองค์กำเนิดเข้าในปากที่อ้า มิได้ถูกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
   ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
       [๒๔๕] ถามว่า ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติเท่าไร?
   ตอบว่า ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติ ๓ คือ ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคาเกินกว่า ๑ มาสก หรือหย่อนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคามาสกหนึ่ง หรือหย่อนกว่ามาสกหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
       ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
       [๒๔๖] ถามว่า ภิกษุแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิตต้องอาบัติเท่าไร?
   ตอบว่า ภิกษุแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ต้องอาบัติ ๓ คือ ขุดบ่อ เจาะจงมนุษย์ว่าจักตกลงตาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อตกแล้ว ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ตายต้องอาบัติปาราชิก ๑
       ภิกษุแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
       [๒๔๗] ถามว่า ภิกษุกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติเท่าไร?
   ตอบว่า ภิกษุกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติ ๓ คือภิกษุมีความปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาลามกครอบงำ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์เมื่อผู้ฟังเข้าใจความ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อไม่เข้าใจความ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
       ภิกษุกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติเหล่านี้.   ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ.
คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสกัณฑ์
สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท
       [๒๔๘] ถามว่า ภิกษุพยายามปล่อยอสุจิ ต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า ภิกษุพยายามปล่อยอสุจิ ต้องอาบัติ ๓ คือ ตั้งใจพยายาม อสุจิเคลื่อนต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตั้งใจพยายาม แต่อสุจิไม่เคลื่อน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เป็นทุกกฏในประโยค ๑.
       [๒๔๙] ภิกษุถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม ต้องอาบัติ ๓ คือ ถูกต้องกายด้วยกาย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ เอากายถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เอาของเนื่องด้วยกาย ถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
   [๒๕๐] ภิกษุพูดเคาะมาตุคามด้วยวาจาชั่วหยาบ ต้องอาบัติ ๓ คือ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือหัวเข่าขึ้นไป เว้นวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
   [๒๕๑] ภิกษุกล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ต้องอาบัติ ๓ คือ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักมาตุคาม ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักบัณเฑาะก์ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
   [๒๕๒] ภิกษุถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ ต้องอาบัติ ๓ คือ รับคำ นำไปบอก กลับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ รับคำ นำไปบอก แต่ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ รับคำ แต่ไม่บอก ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
   [๒๕๓] ภิกษุให้ทำกุฏิ ด้วยอาการขอเอาเอง ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อก้อนดินอีกก้อนหนึ่งยังไม่มา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อก้อนดินนั้นมาแล้วต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
   [๒๕๔] ภิกษุให้ทำวิหารใหญ่ ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อก้อนดินอีกก้อนหนึ่งยังไม่มา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อก้อนดินนั้นมาแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
   [๒๕๕] ภิกษุตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ ต้องอาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาส ประสงค์จะให้เคลื่อน โจท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ กับสังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาสประสงค์จะด่า โจท ต้องอาบัติโอมสวาท ๑.
   [๒๕๖] ภิกษุถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่นให้เป็นเพียงเลสตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ต้องอาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาส ประสงค์จะให้เคลื่อน โจท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ กับสังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาส ประสงค์จะด่า โจท ต้องอาบัติโอมสวาท ๑.
   [๒๕๗] ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
   [๒๕๘] ภิกษุทั้งหลายผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบบัญญัติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
   [๒๕๙] ภิกษุผู้ว่ายาก ถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
   [๒๖๐] ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.   สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท จบ.
อาบัติในนิสสัคคิยกัณฑ์ กฐินวรรคที่ ๑
       [๒๖๑] ภิกษุยังอติเรกจีวรให้ล่วง ๑๐ วัน ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
       [๒๖๒] ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรสิ้นราตรีหนึ่ง ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
       [๒๖๓] ภิกษุรับอกาลจีวรแล้ว ให้ล่วงเดือนหนึ่งต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
       [๒๖๔] ภิกษุใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ให้ซักจีวรเก่า ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ซัก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ซักเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๖๕] ภิกษุรับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ รับเป็นทุกกฏในประโยค ๑ รับจีวรแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๖๖] ภิกษุขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ ขอเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ขอได้แล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๖๗] ภิกษุของจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ยิ่งกว่ากำหนดนั้น ต้องอาบัติ ๒ คือ ขอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ขอได้แล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๖๘] ภิกษุอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติแล้ว ถึงการกำหนดในจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงการกำหนด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงการกำหนดแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๖๙] ภิกษุอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนหลายคน ผู้มิใช่ญาติแล้วถึงการกำหนดในจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงการกำหนด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงการกำหนดแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๗๐] ภิกษุยังจีวรให้สำเร็จด้วยทวงเกิน ๓ ครั้ง ด้วยยืนเกิน ๖ ครั้ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้สำเร็จ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้สำเร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.   กฐินวรรคที่ ๑ จบ.
โกสิยวรรคที่ ๒
       [๒๗๑] ภิกษุให้ทำสันถัตเจือด้วยไหม ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๗๒] ภิกษุให้ทำสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๗๓] ภิกษุไม่ถือเอาขนเจียมขาว ๑ ส่วน ขนเจียมแดง ๑ ส่วน แล้วให้ทำสันถัตใหม่ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๗๔] ภิกษุให้ทำสันถัตทุกปี ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๗๕] ภิกษุไม่ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า แล้วให้ทำสันถัตสำหรับนั่งใหม่ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๗๖] ภิกษุรับขนเจียมแล้วเดินทางเกิน ๓ โยชน์ ต้องอาบัติ ๒ คือ เกิน ๓ โยชน์ไปก้าวที่ ๑ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เกินไปก้าวที่ ๒ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๗๗] ภิกษุใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซักขนเจียม ต้องอาบัติ ๒ คือให้ซัก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ซักแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๗๘] ภิกษุรับรูปิยะ ต้องอาบัติ ๒ คือ รับ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ รับแล้วเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๗๙] ภิกษุถึงความแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๘๐] ภิกษุถึงการซื้อและขายมีประการต่างๆ ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.   โกสิยวรรคที่ ๒ จบ.
ปัตตวรรคที่ ๓
       [๒๘๑] ภิกษุเก็บอติเรกบาตรล่วง ๑๐ วัน ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
       [๒๘๒] ภิกษุมีบาตร มีรอยร้าวหย่อน ๕ แห่ง ให้จ่ายบาตรอื่นใหม่ ต้องอาบัติ ๒ คือให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๘๓] ภิกษุรับประเคนเภสัชแล้วเก็บไว้เกิน ๗ วัน ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
       [๒๘๔] ภิกษุแสวงหาจีวร คือ ผ้าอาบน้ำฝน เมื่อฤดูร้อนยังเหลือเกิน ๑ เดือน ต้องอาบัติ ๒ คือ แสวงหา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ แสวงหาได้แล้วเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๘๕] ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุเองแล้ว โกรธ ขัดใจ ชิงเอามา ต้องอาบัติ ๒ คือชิงเอามา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ชิงเอามาแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๘๖] ภิกษุขอด้ายมาเองแล้ว ให้ช่างหูกทอจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทอเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๘๗] ภิกษุอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาช่างหูกของพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติแล้วถึงความกำหนดในจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงความกำหนดเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงความกำหนดแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๒๘๘] ภิกษุรับอัจเจกจีวรแล้ว เก็บไว้เกินสมัยที่เป็นจีวรกาล ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
       [๒๘๙] ภิกษุเก็บจีวร ๓ ผืน ผืนใดผืนหนึ่ง ไว้ในละแวกบ้านแล้วอยู่ปราศเกิน ๖ ราตรี ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
       [๒๙๐] ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไว้เป็นของจะถวายสงฆ์ มาเพื่อตนต้องอาบัติ ๒ คือ น้อมมา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ น้อมมาแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.   ปัตตวรรคที่ ๓ จบ.   นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท จบ.
คำถามและคำตอบปาจิตติยกัณฑ์ มุสาวาทวรรคที่ ๑
   [๒๙๑] ถามว่า ภิกษุกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่าภิกษุกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ต้องอาบัติ ๕ คือ ภิกษุมีความปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาลามกครอบงำ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มีอยู่ ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันไม่มีมูล ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส ๑ ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์ เมื่อผู้ฟังเข้าใจความ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ไม่เข้าใจความ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะสัมปชานมุสาวาท ๑ ภิกษุกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
   [๒๙๒] ภิกษุด่า ต้องอาบัติ ๒ คือ ด่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ด่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
   [๒๙๓] ภิกษุกล่าวคำส่อเสียด ต้องอาบัติ ๒ คือ กล่าวคำส่อเสียดแก่อุปสัมบันต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ กล่าวคำส่อเสียดแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
   [๒๙๔] ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบันโดยว่าพร้อมกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ สอนให้ว่าเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ บท ๑.
   [๒๙๕] ภิกษุสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบันเกิน ๒-๓ คืน ต้องอาบัติ ๒ คือ นอน เป็นอาบัติทุกกฏในประโยค ๑ นอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
   [๒๙๖] ภิกษุสำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคาม ต้องอาบัติ ๒ คือ นอนเป็นทุกกฏในประโยค ๑ นอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
   [๒๙๗] ภิกษุแสดงธรรมแก่มาตุคามเกินกว่า ๕-๖ คำ ต้องอาบัติ ๒ คือ แสดงเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ บท ๑.
   [๒๙๘] ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสันบัน ต้องอาบัติ ๒ คือ บอกเป็นทุกกฏในประโยค ๑ บอกแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
   [๒๙๙] ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติ ๒ คือ บอกเป็นทุกกฏในประโยค ๑ บอกแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
   [๓๐๐] ภิกษุขุดดิน ต้องอาบัติ ๒ คือ ขุด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คราวที่ขุด ๑.   มุสาวาทวรรคที่ ๑ จบ.
ภูตคามวรรคที่ ๒
       [๓๐๑] ภิกษุพรากภูตคาม ต้องอาบัติ ๒ คือ พราก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คราวที่พราก ๑.
       [๓๐๒] ภิกษุกลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน ต้องอาบัติ ๒ คือ เมื่อสงฆ์ยังไม่ยกอัญญวาทกกรรม กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อสงฆ์ยกอัญญวาทกกรรมแล้ว กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๐๓] ภิกษุโพนทะนาภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ โพนทะนาเป็นทุกกฏในประโยค ๑โพนทะนาแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๐๔] ภิกษุวางเตียงก็ดี ตั่งก็ดี ฟูกก็ดี เก้าอี้ก็ดี อันเป็นของสงฆ์ในที่แจ้งแล้วไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าเลยเลฑฑุบาตไป ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าเลยเลฑฑุบาตไป ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๐๕] ภิกษุปูที่นอนในวิหารเป็นของสงฆ์แล้วไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าเลยเครื่องล้อมไป ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าเลยเครื่องล้อมไป ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๐๖] ภิกษุรู้อยู่ สำเร็จการนอนเบียดเสียดภิกษุผู้เข้าไปก่อนในวิหารของสงฆ์ ต้อง
อาบัติ ๒ คือ นอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๐๗] ภิกษุโกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าภิกษุจากวิหารของสงฆ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ ฉุดคร่า
เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ฉุดคร่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๐๘] ภิกษุนั่งทับเตียงก็ดี ตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบในกุฎีมีร้านในวิหารเป็นของสงฆ์
ต้องอาบัติ ๒ คือ นั่งทับ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งทับแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๐๙] ภิกษุอำนวยให้พอก ๒-๓ ชั้น แล้วอำนวยยิ่งกว่านั้น ต้องอาบัติ ๒ คือ อำนวย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ อำนวยแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๑๐] ภิกษุรู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ รดหญ้าก็ดี ดินก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังรดเป็นทุกกฏในประโยค ๑ รดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.   ภูตคามวรรคที่ ๒ จบ.
โอวาทวรรคที่ ๓       [๓๑๑] ภิกษุไม่ได้รับสมมติสั่งสอนภิกษุณี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังสั่งสอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ สั่งสอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๑๒] ภิกษุสั่งสอนพวกภิกษุณี เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังสั่งสอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ สั่งสอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๑๓] ภิกษุเข้าไปสู่ที่อาศัยของภิกษุณีแล้ว สั่งสอนพวกภิกษุณี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังสั่งสอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ สั่งสอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๑๔] ภิกษุกล่าวว่า พวกภิกษุสั่งสอนพวกภิกษุณี เพราะเหตุอามิสต้องอาบัติ ๒ ๒ คือกำลังกล่าว เป็นทุกกฏในประโยค ๑ กล่าวแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๑๕] ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๑๖] ภิกษุเย็บจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเย็บ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ รอยเย็บ ๑.
       [๓๑๗] ภิกษุชักชวนภิกษุณีเดินทางไกลด้วยกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเดิน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เดินแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๑๘] ภิกษุชักชวนภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังลงเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ลงแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๓๑๙] ภิกษุรู้อยู่ ฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
       [๓๒๐] ภิกษุรูปเดียวสำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังนั่งเป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
   โอวาทวรรคที่ ๓ จบ.
โภชนวรรคที่ ๔ [๓๒๑] ภิกษุฉันอาหารในโรงทานยิ่งกว่าครั้งหนึ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
 [๓๒๒] ภิกษุฉันเป็นหมู่ ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
 [๓๒๓] ภิกษุฉันโภชนะทีหลัง ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
 [๓๒๔] ภิกษุรับขนมเต็ม ๒-๓ บาตรแล้ว รับยิ่งกว่านั้น ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง รับ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ รับแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
  [๓๒๕] ภิกษุฉันเสร็จ ห้ามภัตเสียแล้ว ฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันมิใช่เดน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
 [๓๒๖] ภิกษุนำของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันมิใช่เดนไปล่อภิกษุผู้ฉันเสร็จ ห้ามภัตแล้วให้ฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ ภิกษุรับด้วยตั้งใจว่าจักเคี้ยว จักฉัน ตามคำของภิกษุนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ฉันเสร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.  
 [๓๒๗] ภิกษุฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ในเวลาวิกาล ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วย ตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑. 
 [๓๒๘] ภิกษุฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
 [๓๒๙] ภิกษุขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับ ด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
 [๓๓๐] ภิกษุกลืนกินอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปาก ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วย ตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
โภชนวรรคที่ ๔ จบ
อเจลกวรรคที่ ๕ [๓๓๑] ภิกษุให้ของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี แก่อเจลกก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี ด้วยมือของตน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๓๒] ภิกษุชวนภิกษุว่า มาเถิด คุณ เราจักเข้าไปสู่บ้าน หรือนิคมเพื่อบิณฑบาต ด้วยกัน แล้วให้เขาถวายก็ดี ไม่ให้ถวายก็ดี แก่เธอ แล้วส่งกลับไป ต้องอาบัติ ๒ คือ ส่งไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ส่งไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๓๓] ภิกษุสำเร็จการนั่งแทรกแซงในสโภชนสกุล ต้องอาบัติ ๒ คือ นั่ง เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ นั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๓๔] ภิกษุสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบังกับมาตุคามต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังนั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๓๕] ภิกษุผู้เดียวสำเร็จการนั่งในที่ลับกับมาตุคามผู้เดียว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง นั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๓๖] ภิกษุรับนิมนต์แล้ว มีภัตรอยู่ ไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไป ในสกุลทั้งหลาย ก่อนเวลาฉันก็ดี หลังเวลาฉันก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าเลยธรณีประตู ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าเลย ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๓๗] ภิกษุขอเภสัชยิ่งกว่าที่เขาปวารณาไว้ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังขอ เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ ขอแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๓๘] ภิกษุไปเพื่อดูกองทัพซึ่งยกออกไปแล้ว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังไป ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑ อยู่ ณ ที่ใดมองเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๓๙] ภิกษุอยู่ในกองทัพเกินกว่า ๓ คืน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังอยู่เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ อยู่แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๔๐] ภิกษุไปสู่สนามรบ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังไป ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ อยู่ ณ ที่ใดมองเห็นได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
อเจลกวรรคที่ ๕ จบ
สุราเมรยวรรคที่ ๖
[๓๔๑] ภิกษุดื่มน้ำเมา ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกคราวที่ดื่ม ๑.
 [๓๔๒] ภิกษุใช้นิ้วมือจี้ภิกษุให้หัวเราะ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้หัวเราะเป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ ให้หัวเราะแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๔๓] ภิกษุเล่นในน้ำ ต้องอาบัติ ๒ คือ เล่นในน้ำใต้ข้อเท้า ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เล่นในน้ำเหนือข้อเท้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๔๔] ภิกษุทำความไม่เอื้อเฟื้อ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๔๕] ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังหลอนให้กลัว เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ หลอนให้กลัวแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๔๖] ภิกษุก่อไฟผิง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังผิง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ผิงแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๔๗] ยังไม่ถึงกึ่งเดือนภิกษุอาบน้ำ ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังอาบเป็นทุกกฏในประโยค ๑ อาบแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๔๘] ภิกษุไม่ถือเอาวัตถุทำให้เสียสี ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้จีวรใหม่ ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๔๙] ภิกษุวิกัปจีวรเอง แก่ภิกษุก็ดี แก่ภิกษุณีก็ดี แก่สิกขมานาก็ดี แก่สามเณร ก็ดี แก่สามเณรีก็ดี ไม่ให้เขาถอนก่อน ใช้ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๕๐] ภิกษุซ่อนบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคตเอวก็ดี ของ ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังซ่อน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ซ่อนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
สุราเมรยวรรคที่ ๖ จบ
สัปปาณกวรรคที่ ๗ [๓๕๑] ถามว่า ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติ ๔ คือ ขุดบ่อไม่เจาะจงว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง จักตกตาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ มนุษย์ตกลงในบ่อนั้นตาย ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ยักษ์ก็ดี เปรต ก็ดี ดิรัจฉานก็ดี มีร่างกายดุจมนุษย์ก็ดี ตกลงในบ่อนั้นตาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ดิรัจฉาน ตกลงในบ่อนั้นตาย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้ 
 [๓๕๒] ภิกษุรู้อยู่ บริโภคน้ำมีตัวสัตว์ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบริโภค เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ บริโภคแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๕๓] ภิกษุรู้อยู่ ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม เพื่อทำอีก ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังฟื้น เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ฟื้นแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๕๔] ภิกษุรู้อยู่ ปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ ต้องอาบัติ ๑ คือ ปาจิตตีย์.
 [๓๕๕] ภิกษุรู้อยู่ ให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปีอุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๕๖] ภิกษุรู้อยู่ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกพ่อค้าผู้เป็นโจร ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังเดินทาง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เดินทางแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๕๗] ภิกษุชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับมาตุคาม ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเดินทาง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เดินทางแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๕๘] ภิกษุไม่สละทิฏฐิอันชั่วช้า เมื่อสวดสมนุภาสน์จบหนที่ ๓ ต้องอาบัติ ๒ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจา ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
[๓๕๙] ภิกษุรู้อยู่ กินร่วมกับภิกษุผู้กล่าวอย่างนั้น มีธรรมอันสมควรยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้น ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังกินร่วม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ กินร่วมแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๖๐] ภิกษุรู้อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทส ผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้วอย่างนั้น ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเกลี้ยกล่อม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เกลี้ยกล่อมแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
สัปปาณกวรรคที่ ๗ จบ
สหธรรมมิกวรรคที่ ๘ [๓๖๑] ภิกษุอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม กล่าวว่า แน่ะเธอฉันจักยังไม่ ศึกษาในสิกขาบทนี้ จนกว่าจะได้ถามภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้ทรงวินัย ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังพูด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ พูดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๖๒] ภิกษุก่นวินัย ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังก่น เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ก่นแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
[๓๖๓] ภิกษุแสร้งทำหลง ต้องอาบัติ ๒ คือ เมื่อความหลงอันภิกษุทั้งหลายยังไม่ ยกขึ้นประกาศ ทำหลง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อความหลงอันภิกษุทั้งหลายยกขึ้นประกาศแล้ว ทำหลง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๖๔] ภิกษุโกรธ ขัดใจ ให้ประหารแก่ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังประหาร เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ประหารแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ 
 [๓๖๕] ภิกษุโกรธ ขัดใจ เงื้อหอกคือฝ่ามือแก่ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเงื้อ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เงื้อแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๖๖] ภิกษุกำจัดภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสหามูลมิได้ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังกำจัด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ กำจัดแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๖๗] ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญแก่ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังก่อ เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ ก่อแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๖๘] เมื่อภิกษุทั้งหลายเกิดบาดหมางกัน เกิดทะเลาะกัน ถึงการวิวาทกัน ภิกษุ ยืนแอบฟัง ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินไปด้วยตั้งใจว่าจักฟัง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ยืนที่ใดได้ยิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๖๙] ภิกษุให้ฉันทะเพื่อกรรมอันเป็นธรรมแล้ว ถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลัง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบ่นว่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ บ่นว่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๗๐] เมื่อเรื่องอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็นไปอยู่ในสงฆ์ ภิกษุไม่ให้ฉันทะ แล้วลุกจาก อาสนะหลีกไปเสีย ต้องอาบัติ ๒ คือ เมื่อยังไม่ละหัตถบาสแห่งบริษัท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ละแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๗๑] ภิกษุกับสงฆ์ผู้พร้อมเพียงกัน ให้จีวร แล้วภายหลังถึงธรรมคือ ความบ่นว่า ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบ่นว่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ บ่นว่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. [๓๗๒] ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังน้อมมา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ น้อมมาแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
สหธรรมิกวรรคที่ ๘ จบ
ราชวรรคที่ ๙ [๓๗๓] ภิกษุไม่ได้รับบอกก่อน เข้าไปสู่ภายในพระตำหนักหลวง ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าที่ ๑ ล่วงธรณีประตู ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าที่ ๒ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๗๔] ภิกษุเก็บรัตนะ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเก็บ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เก็บ แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๗๕] ภิกษุไม่บอกลาภิกษุที่มีอยู่ แล้วเข้าไปสู่บ้านในเวลาวิกาล ต้องอาบัติ ๒ คือ เข้าไปสู่ที่ล้อมเลย ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เลย ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๗๖] ภิกษุให้ทำกล่องเข็ม แล้วด้วยกระดูกก็ดี แล้วด้วยงาก็ดี แล้วด้วยเขาก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๗๗] ภิกษุให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
 [๓๗๘] ภิกษุให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เป็นของหุ้มนุ่น ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๗๙] ภิกษุให้ทำผ้าสำหรับปูนั่ง เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๘๐] ภิกษุให้ทำผ้าปิดฝี เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ ให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
 [๓๘๑] ภิกษุให้ทำผ้าอาบน้ำฝน เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. 
  [๓๘๒] ถามว่า ภิกษุให้ทำจีวรมีประมาณเท่าจีวรพระสุคตต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า ภิกษุให้ทำจีวร มีประมาณเท่าจีวรพระสุคต ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. ภิกษุให้ทำจีวรมีประมาณเท่าจีวรพระสุคต ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้ 
ราชวรรคที่ ๙ จบ ขุททกสิกขาบท จบ
คำถามและคำตอบในปาฏิเทสนียกัณฑ์ สิกขาบทที่ ๑
[๓๘๓] ถามว่า ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตน จากมือของภิกษุณีมิใช่ญาติ แล้วฉันต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตน จาก มือของภิกษุณีมิใช่ญาติ แล้วฉันต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติ ปาฏิเทสนียะทุกๆ คำกลืน ๑. ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดีด้วยมือของตน จากมือของ ภิกษุณีมิใช่ญาติแล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้. 
สิกขาบทที่ ๒ [๓๘๔] ภิกษุไม่ห้ามภิกษุณีผู้ยืนสั่งเสียอยู่ แล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจัก ฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะทุกๆ คำกลืน ๑. 
สิกขาบทที่ ๓ [๓๘๕] ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ในสกุลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสกขะ ด้วยมือ ของตนมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑. 
สิกขาบทที่ ๔ [๓๘๖] ถามว่า ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อน ใน เสนาสนะป่า ด้วยมือของตน ในวัดที่อยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อน ในเสนาสนะ ป่า ด้วยมือของตน ในวัดที่อยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะทุกๆ คำกลืน ๑. ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อนในเสนาสนะป่า ด้วย มือของตน ในวัดที่อยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้. 
  ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท จบ
คำถามและคำตอบในเสขิยกัณฑ์ วรรคที่ ๑ [๓๘๗] ถามว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติเท่าไร? 
               ตอบว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้.
               [๓๘๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ห่มผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๓๘๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เปิดกาย เดินไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๓๙๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เปิดกาย นั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๓๙๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คะนองมือ หรือเท้าไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๓๙๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คะนองมือ หรือเท้านั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๓๙๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ ไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๓๙๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ นั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๓๙๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินเวิกผ้าไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่งคือ ทุกกฏ. 
               [๓๙๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งเวิกผ้าในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
                             วรรคที่ ๑ จบ 
วรรคที่ ๒ 
               [๓๙๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินหัวเราะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๓๙๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งหัวเราะในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๓๙๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินพูดเสียงดังลั่นไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๐๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งพูดเสียงดังในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๐๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๐๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงกายในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๐๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไกวแขนไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๐๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งไกวแขนในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๐๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๐๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
                             วรรคที่ ๒ จบ 
               วรรคที่ ๓ [๔๐๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินค้ำกายไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๐๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งค้ำกายในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๐๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินคลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๑๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งคลุมศีรษะในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๑๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินกระโหย่งเท้าไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๑๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งรัดเข่าในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๑๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๑๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ รับบิณฑบาต ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๑๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับแต่แกงมาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๑๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตจนพูนบาตร ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
                             วรรคที่ ๓ จบ 
               วรรคที่ ๔ [๔๑๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๑๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ ฉันบิณฑบาต ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๑๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตให้แหว่งในที่นั้นๆ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๒๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันแต่แกงมาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๒๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตขยุ้มแต่ยอดลงไป ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๒๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ กลบแกงหรือกับด้วยข้าวสุก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๒๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ไม่อาพาธ ขอแกงก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๒๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ มุ่งจะยกโทษ แลดูบาตรของภิกษุอื่น ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๒๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวให้ใหญ่ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๒๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวให้ยาว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
วรรคที่ ๔ จบ 
               วรรคที่ ๕ [๔๒๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปากอ้าปากไว้ท่า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๒๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ สอดมือทั้งหมดเข้าในปาก ต้องอาบัติตัวหนึ่งคือ ทุกกฏ.
               [๔๒๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ พูดทั้งคำข้าวมีอยู่ในปาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือทุกกฏ.
               [๔๓๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเดาะคำข้าว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๓๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันกัดคำข้าว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๓๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๓๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันสลัดมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๓๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันโปรยเมล็ดข้าว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๓๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันแลบลิ้น ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๓๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันดังจั๊บๆ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
                             วรรคที่ ๕ จบ 
               วรรคที่ ๖ [๔๓๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันดังซู๊ดๆ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๓๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเลียมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๓๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันขอดบาตร ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๔๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเลียริมฝีปาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๔๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับโอน้ำด้วยมือเปื้อนอามิส ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๔๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๔๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีร่มในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๔๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีไม้พลองในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๔๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีศัตราในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๔๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีอาวุธในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
                              วรรคที่ ๖ จบ
               วรรคที่ ๗ [๔๔๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมเขียงเท้า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๔๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมรองเท้า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
                [๔๔๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลไปในยาน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๕๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้อยู่บนที่นอน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๕๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งรัดเข่า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๕๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้โพกศีรษะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๕๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้คลุมศีรษะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๕๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งอยู่ที่แผ่นดินแสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งบนอาสนะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๕๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งบนอาสนะต่ำแสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งบนอาสนะสูง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๕๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ยืนอยู่ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งอยู่ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๕๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไปข้างหลัง แสดงธรรมแก่บุคคลผู้เดินไปข้างหน้า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๕๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไปนอกทาง แสดงธรรมแก่บุคคลผู้เดินไปในทาง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. 
               [๔๕๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ยืนถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๖๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงบนของเขียวสด ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
               [๔๖๑] ถามว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติเท่าไร? 
               ตอบว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้.                                         วรรคที่ ๗ จบ เสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบท จบ
กตาปัตติวารที่ ๒ จบ