
คำถามและคำตอบในปาราชิกกัณฑ์
ปาราชิก ๔ สิกขาบท
[๒๔๔] ถามว่า ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติ ๓ คือ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์มิได้กัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ สอดองค์กำเนิดเข้าในปากที่อ้า มิได้ถูกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
[๒๔๕] ถามว่า ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติ ๓ คือ ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคาเกินกว่า ๑ มาสก หรือหย่อนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคามาสกหนึ่ง หรือหย่อนกว่ามาสกหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
[๒๔๖] ถามว่า ภิกษุแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิตต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ภิกษุแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ต้องอาบัติ ๓ คือ ขุดบ่อ เจาะจงมนุษย์ว่าจักตกลงตาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อตกแล้ว ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ตายต้องอาบัติปาราชิก ๑
ภิกษุแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
[๒๔๗] ถามว่า ภิกษุกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ภิกษุกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติ ๓ คือภิกษุมีความปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาลามกครอบงำ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์เมื่อผู้ฟังเข้าใจความ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อไม่เข้าใจความ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
ภิกษุกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติเหล่านี้. ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ.
คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสสกัณฑ์
สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท
[๒๔๘] ถามว่า ภิกษุพยายามปล่อยอสุจิ ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ภิกษุพยายามปล่อยอสุจิ ต้องอาบัติ ๓ คือ ตั้งใจพยายาม อสุจิเคลื่อนต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตั้งใจพยายาม แต่อสุจิไม่เคลื่อน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เป็นทุกกฏในประโยค ๑.
[๒๔๙] ภิกษุถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม ต้องอาบัติ ๓ คือ ถูกต้องกายด้วยกาย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ เอากายถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เอาของเนื่องด้วยกาย ถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๕๐] ภิกษุพูดเคาะมาตุคามด้วยวาจาชั่วหยาบ ต้องอาบัติ ๓ คือ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือหัวเข่าขึ้นไป เว้นวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๕๑] ภิกษุกล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ต้องอาบัติ ๓ คือ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักมาตุคาม ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักบัณเฑาะก์ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๕๒] ภิกษุถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ ต้องอาบัติ ๓ คือ รับคำ นำไปบอก กลับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ รับคำ นำไปบอก แต่ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ รับคำ แต่ไม่บอก ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๕๓] ภิกษุให้ทำกุฏิ ด้วยอาการขอเอาเอง ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อก้อนดินอีกก้อนหนึ่งยังไม่มา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อก้อนดินนั้นมาแล้วต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๒๕๔] ภิกษุให้ทำวิหารใหญ่ ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อก้อนดินอีกก้อนหนึ่งยังไม่มา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อก้อนดินนั้นมาแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๒๕๕] ภิกษุตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ ต้องอาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาส ประสงค์จะให้เคลื่อน โจท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ กับสังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาสประสงค์จะด่า โจท ต้องอาบัติโอมสวาท ๑.
[๒๕๖] ภิกษุถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่นให้เป็นเพียงเลสตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ต้องอาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาส ประสงค์จะให้เคลื่อน โจท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ กับสังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาส ประสงค์จะด่า โจท ต้องอาบัติโอมสวาท ๑.
[๒๕๗] ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๒๕๘] ภิกษุทั้งหลายผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบบัญญัติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
[๒๕๙] ภิกษุผู้ว่ายาก ถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๒๖๐] ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท จบ.
อาบัติในนิสสัคคิยกัณฑ์ กฐินวรรคที่ ๑
[๒๖๑] ภิกษุยังอติเรกจีวรให้ล่วง ๑๐ วัน ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๖๒] ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรสิ้นราตรีหนึ่ง ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๖๓] ภิกษุรับอกาลจีวรแล้ว ให้ล่วงเดือนหนึ่งต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๖๔] ภิกษุใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ให้ซักจีวรเก่า ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ซัก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ซักเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๖๕] ภิกษุรับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ รับเป็นทุกกฏในประโยค ๑ รับจีวรแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๖๖] ภิกษุขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ ขอเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ขอได้แล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๖๗] ภิกษุของจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ยิ่งกว่ากำหนดนั้น ต้องอาบัติ ๒ คือ ขอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ขอได้แล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๖๘] ภิกษุอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติแล้ว ถึงการกำหนดในจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงการกำหนด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงการกำหนดแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๖๙] ภิกษุอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนหลายคน ผู้มิใช่ญาติแล้วถึงการกำหนดในจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงการกำหนด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงการกำหนดแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๐] ภิกษุยังจีวรให้สำเร็จด้วยทวงเกิน ๓ ครั้ง ด้วยยืนเกิน ๖ ครั้ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้สำเร็จ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้สำเร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑. กฐินวรรคที่ ๑ จบ.
โกสิยวรรคที่ ๒
[๒๗๑] ภิกษุให้ทำสันถัตเจือด้วยไหม ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๒] ภิกษุให้ทำสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๓] ภิกษุไม่ถือเอาขนเจียมขาว ๑ ส่วน ขนเจียมแดง ๑ ส่วน แล้วให้ทำสันถัตใหม่ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๔] ภิกษุให้ทำสันถัตทุกปี ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๕] ภิกษุไม่ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า แล้วให้ทำสันถัตสำหรับนั่งใหม่ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๖] ภิกษุรับขนเจียมแล้วเดินทางเกิน ๓ โยชน์ ต้องอาบัติ ๒ คือ เกิน ๓ โยชน์ไปก้าวที่ ๑ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เกินไปก้าวที่ ๒ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๗] ภิกษุใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซักขนเจียม ต้องอาบัติ ๒ คือให้ซัก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ซักแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๘] ภิกษุรับรูปิยะ ต้องอาบัติ ๒ คือ รับ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ รับแล้วเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๙] ภิกษุถึงความแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๐] ภิกษุถึงการซื้อและขายมีประการต่างๆ ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑. โกสิยวรรคที่ ๒ จบ.
ปัตตวรรคที่ ๓
[๒๘๑] ภิกษุเก็บอติเรกบาตรล่วง ๑๐ วัน ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๘๒] ภิกษุมีบาตร มีรอยร้าวหย่อน ๕ แห่ง ให้จ่ายบาตรอื่นใหม่ ต้องอาบัติ ๒ คือให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๓] ภิกษุรับประเคนเภสัชแล้วเก็บไว้เกิน ๗ วัน ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๘๔] ภิกษุแสวงหาจีวร คือ ผ้าอาบน้ำฝน เมื่อฤดูร้อนยังเหลือเกิน ๑ เดือน ต้องอาบัติ ๒ คือ แสวงหา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ แสวงหาได้แล้วเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๕] ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุเองแล้ว โกรธ ขัดใจ ชิงเอามา ต้องอาบัติ ๒ คือชิงเอามา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ชิงเอามาแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๖] ภิกษุขอด้ายมาเองแล้ว ให้ช่างหูกทอจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทอเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๗] ภิกษุอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาช่างหูกของพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติแล้วถึงความกำหนดในจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงความกำหนดเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงความกำหนดแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๘] ภิกษุรับอัจเจกจีวรแล้ว เก็บไว้เกินสมัยที่เป็นจีวรกาล ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๘๙] ภิกษุเก็บจีวร ๓ ผืน ผืนใดผืนหนึ่ง ไว้ในละแวกบ้านแล้วอยู่ปราศเกิน ๖ ราตรี ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๙๐] ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไว้เป็นของจะถวายสงฆ์ มาเพื่อตนต้องอาบัติ ๒ คือ น้อมมา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ น้อมมาแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑. ปัตตวรรคที่ ๓ จบ. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท จบ.
คำถามและคำตอบปาจิตติยกัณฑ์ มุสาวาทวรรคที่ ๑
[๒๙๑] ถามว่า ภิกษุกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่าภิกษุกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ต้องอาบัติ ๕ คือ ภิกษุมีความปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาลามกครอบงำ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มีอยู่ ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันไม่มีมูล ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส ๑ ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์ เมื่อผู้ฟังเข้าใจความ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ไม่เข้าใจความ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะสัมปชานมุสาวาท ๑ ภิกษุกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
[๒๙๒] ภิกษุด่า ต้องอาบัติ ๒ คือ ด่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ด่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๙๓] ภิกษุกล่าวคำส่อเสียด ต้องอาบัติ ๒ คือ กล่าวคำส่อเสียดแก่อุปสัมบันต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ กล่าวคำส่อเสียดแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๙๔] ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบันโดยว่าพร้อมกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ สอนให้ว่าเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ บท ๑.
[๒๙๕] ภิกษุสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบันเกิน ๒-๓ คืน ต้องอาบัติ ๒ คือ นอน เป็นอาบัติทุกกฏในประโยค ๑ นอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๒๙๖] ภิกษุสำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคาม ต้องอาบัติ ๒ คือ นอนเป็นทุกกฏในประโยค ๑ นอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๒๙๗] ภิกษุแสดงธรรมแก่มาตุคามเกินกว่า ๕-๖ คำ ต้องอาบัติ ๒ คือ แสดงเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ บท ๑.
[๒๙๘] ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสันบัน ต้องอาบัติ ๒ คือ บอกเป็นทุกกฏในประโยค ๑ บอกแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๒๙๙] ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติ ๒ คือ บอกเป็นทุกกฏในประโยค ๑ บอกแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๐] ภิกษุขุดดิน ต้องอาบัติ ๒ คือ ขุด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คราวที่ขุด ๑. มุสาวาทวรรคที่ ๑ จบ.
ภูตคามวรรคที่ ๒
[๓๐๑] ภิกษุพรากภูตคาม ต้องอาบัติ ๒ คือ พราก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คราวที่พราก ๑.
[๓๐๒] ภิกษุกลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน ต้องอาบัติ ๒ คือ เมื่อสงฆ์ยังไม่ยกอัญญวาทกกรรม กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อสงฆ์ยกอัญญวาทกกรรมแล้ว กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๓] ภิกษุโพนทะนาภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ โพนทะนาเป็นทุกกฏในประโยค ๑โพนทะนาแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๔] ภิกษุวางเตียงก็ดี ตั่งก็ดี ฟูกก็ดี เก้าอี้ก็ดี อันเป็นของสงฆ์ในที่แจ้งแล้วไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าเลยเลฑฑุบาตไป ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าเลยเลฑฑุบาตไป ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๕] ภิกษุปูที่นอนในวิหารเป็นของสงฆ์แล้วไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าเลยเครื่องล้อมไป ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าเลยเครื่องล้อมไป ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๖] ภิกษุรู้อยู่ สำเร็จการนอนเบียดเสียดภิกษุผู้เข้าไปก่อนในวิหารของสงฆ์ ต้อง
อาบัติ ๒ คือ นอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๗] ภิกษุโกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าภิกษุจากวิหารของสงฆ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ ฉุดคร่า
เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ฉุดคร่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๘] ภิกษุนั่งทับเตียงก็ดี ตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบในกุฎีมีร้านในวิหารเป็นของสงฆ์
ต้องอาบัติ ๒ คือ นั่งทับ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งทับแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๙] ภิกษุอำนวยให้พอก ๒-๓ ชั้น แล้วอำนวยยิ่งกว่านั้น ต้องอาบัติ ๒ คือ อำนวย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ อำนวยแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๐] ภิกษุรู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ รดหญ้าก็ดี ดินก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังรดเป็นทุกกฏในประโยค ๑ รดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. ภูตคามวรรคที่ ๒ จบ.
โอวาทวรรคที่ ๓ [๓๑๑] ภิกษุไม่ได้รับสมมติสั่งสอนภิกษุณี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังสั่งสอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ สั่งสอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๒] ภิกษุสั่งสอนพวกภิกษุณี เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังสั่งสอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ สั่งสอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๓] ภิกษุเข้าไปสู่ที่อาศัยของภิกษุณีแล้ว สั่งสอนพวกภิกษุณี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังสั่งสอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ สั่งสอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๔] ภิกษุกล่าวว่า พวกภิกษุสั่งสอนพวกภิกษุณี เพราะเหตุอามิสต้องอาบัติ ๒ ๒ คือกำลังกล่าว เป็นทุกกฏในประโยค ๑ กล่าวแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๕] ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๖] ภิกษุเย็บจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเย็บ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ รอยเย็บ ๑.
[๓๑๗] ภิกษุชักชวนภิกษุณีเดินทางไกลด้วยกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเดิน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เดินแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๘] ภิกษุชักชวนภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังลงเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ลงแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๙] ภิกษุรู้อยู่ ฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๐] ภิกษุรูปเดียวสำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังนั่งเป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
โอวาทวรรคที่ ๓ จบ.
โภชนวรรคที่ ๔[๓๒๑] ภิกษุฉันอาหารในโรงทานยิ่งกว่าครั้งหนึ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่า
จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๒] ภิกษุฉันเป็นหมู่ ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ
๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๓] ภิกษุฉันโภชนะทีหลัง ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติ
ทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๔] ภิกษุรับขนมเต็ม ๒-๓ บาตรแล้ว รับยิ่งกว่านั้น ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง
รับ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ รับแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๒๕] ภิกษุฉันเสร็จ ห้ามภัตเสียแล้ว ฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันมิใช่เดน
ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๖] ภิกษุนำของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันมิใช่เดนไปล่อภิกษุผู้ฉันเสร็จ
ห้ามภัตแล้วให้ฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ ภิกษุรับด้วยตั้งใจว่าจักเคี้ยว จักฉัน ตามคำของภิกษุนั้น
ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ฉันเสร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๒๗] ภิกษุฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ในเวลาวิกาล ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วย
ตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๘] ภิกษุฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืน ต้องอาบัติ ๒ คือ
รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๙] ภิกษุขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับ
ด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๓๐] ภิกษุกลืนกินอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปาก ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วย
ตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑. โภชนวรรคที่ ๔ จบสุราเมรยวรรคที่ ๖[๓๔๑] ภิกษุดื่มน้ำเมา ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกคราวที่ดื่ม ๑. [๓๔๒] ภิกษุใช้นิ้วมือจี้ภิกษุให้หัวเราะ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้หัวเราะเป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ ให้หัวเราะแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. [๓๔๓] ภิกษุเล่นในน้ำ ต้องอาบัติ ๒ คือ เล่นในน้ำใต้ข้อเท้า ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เล่นในน้ำเหนือข้อเท้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. [๓๔๔] ภิกษุทำความไม่เอื้อเฟื้อ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. [๓๔๕] ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังหลอนให้กลัว เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ หลอนให้กลัวแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. [๓๔๖] ภิกษุก่อไฟผิง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังผิง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ผิงแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. [๓๔๗] ยังไม่ถึงกึ่งเดือนภิกษุอาบน้ำ ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังอาบเป็นทุกกฏในประโยค ๑ อาบแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. [๓๔๘] ภิกษุไม่ถือเอาวัตถุทำให้เสียสี ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้จีวรใหม่ ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. [๓๔๙] ภิกษุวิกัปจีวรเอง แก่ภิกษุก็ดี แก่ภิกษุณีก็ดี แก่สิกขมานาก็ดี แก่สามเณร ก็ดี แก่สามเณรีก็ดี ไม่ให้เขาถอนก่อน ใช้ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. [๓๕๐] ภิกษุซ่อนบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคตเอวก็ดี ของ ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังซ่อน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ซ่อนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. สุราเมรยวรรคที่ ๖ จบ
สัปปาณกวรรคที่ ๗[๓๕๑] ถามว่า ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติ ๔ คือ ขุดบ่อไม่เจาะจงว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง
จักตกตาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ มนุษย์ตกลงในบ่อนั้นตาย ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ยักษ์ก็ดี เปรต
ก็ดี ดิรัจฉานก็ดี มีร่างกายดุจมนุษย์ก็ดี ตกลงในบ่อนั้นตาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ดิรัจฉาน
ตกลงในบ่อนั้นตาย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้
[๓๕๒] ภิกษุรู้อยู่ บริโภคน้ำมีตัวสัตว์ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบริโภค เป็นทุกกฏ
ในประโยค ๑ บริโภคแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๓] ภิกษุรู้อยู่ ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม เพื่อทำอีก ต้องอาบัติ ๒ คือ
กำลังฟื้น เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ฟื้นแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๔] ภิกษุรู้อยู่ ปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ ต้องอาบัติ ๑ คือ ปาจิตตีย์.
[๓๕๕] ภิกษุรู้อยู่ ให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปีอุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง
ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๖] ภิกษุรู้อยู่ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกพ่อค้าผู้เป็นโจร ต้อง
อาบัติ ๒ คือ กำลังเดินทาง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เดินทางแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๗] ภิกษุชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับมาตุคาม ต้องอาบัติ ๒ คือ
กำลังเดินทาง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เดินทางแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๘] ภิกษุไม่สละทิฏฐิอันชั่วช้า เมื่อสวดสมนุภาสน์จบหนที่ ๓ ต้องอาบัติ ๒
คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจา ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๙] ภิกษุรู้อยู่ กินร่วมกับภิกษุผู้กล่าวอย่างนั้น มีธรรมอันสมควรยังไม่ได้ทำ
ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้น ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังกินร่วม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ กินร่วมแล้ว
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๐] ภิกษุรู้อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทส ผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้วอย่างนั้น ต้องอาบัติ
๒ คือ กำลังเกลี้ยกล่อม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เกลี้ยกล่อมแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. สัปปาณกวรรคที่ ๗ จบ
สหธรรมมิกวรรคที่ ๘[๓๖๑] ภิกษุอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม กล่าวว่า แน่ะเธอฉันจักยังไม่
ศึกษาในสิกขาบทนี้ จนกว่าจะได้ถามภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้ทรงวินัย ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังพูด
เป็นทุกกฏในประโยค ๑ พูดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๒] ภิกษุก่นวินัย ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังก่น เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ก่นแล้ว
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๓] ภิกษุแสร้งทำหลง ต้องอาบัติ ๒ คือ เมื่อความหลงอันภิกษุทั้งหลายยังไม่
ยกขึ้นประกาศ ทำหลง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อความหลงอันภิกษุทั้งหลายยกขึ้นประกาศแล้ว
ทำหลง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๔] ภิกษุโกรธ ขัดใจ ให้ประหารแก่ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังประหาร
เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ประหารแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑
[๓๖๕] ภิกษุโกรธ ขัดใจ เงื้อหอกคือฝ่ามือแก่ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเงื้อ
เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เงื้อแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๖] ภิกษุกำจัดภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสหามูลมิได้ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังกำจัด
เป็นทุกกฏในประโยค ๑ กำจัดแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๗] ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญแก่ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังก่อ เป็นทุกกฏ
ในประโยค ๑ ก่อแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๘] เมื่อภิกษุทั้งหลายเกิดบาดหมางกัน เกิดทะเลาะกัน ถึงการวิวาทกัน ภิกษุ
ยืนแอบฟัง ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินไปด้วยตั้งใจว่าจักฟัง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ยืนที่ใดได้ยิน
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๙] ภิกษุให้ฉันทะเพื่อกรรมอันเป็นธรรมแล้ว ถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลัง
ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบ่นว่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ บ่นว่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๐] เมื่อเรื่องอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็นไปอยู่ในสงฆ์ ภิกษุไม่ให้ฉันทะ แล้วลุกจาก
อาสนะหลีกไปเสีย ต้องอาบัติ ๒ คือ เมื่อยังไม่ละหัตถบาสแห่งบริษัท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
ละแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๑] ภิกษุกับสงฆ์ผู้พร้อมเพียงกัน ให้จีวร แล้วภายหลังถึงธรรมคือ ความบ่นว่า
ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบ่นว่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ บ่นว่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๒] ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล ต้องอาบัติ ๒
คือ กำลังน้อมมา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ น้อมมาแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.สหธรรมิกวรรคที่ ๘ จบ
ราชวรรคที่ ๙[๓๗๓] ภิกษุไม่ได้รับบอกก่อน เข้าไปสู่ภายในพระตำหนักหลวง ต้องอาบัติ ๒ คือ
ก้าวเท้าที่ ๑ ล่วงธรณีประตู ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าที่ ๒ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๔] ภิกษุเก็บรัตนะ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเก็บ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เก็บ
แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๕] ภิกษุไม่บอกลาภิกษุที่มีอยู่ แล้วเข้าไปสู่บ้านในเวลาวิกาล ต้องอาบัติ ๒ คือ
เข้าไปสู่ที่ล้อมเลย ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เลย ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๖] ภิกษุให้ทำกล่องเข็ม แล้วด้วยกระดูกก็ดี แล้วด้วยงาก็ดี แล้วด้วยเขาก็ดี
ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๗] ภิกษุให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ
เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๘] ภิกษุให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เป็นของหุ้มนุ่น ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ
เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๙] ภิกษุให้ทำผ้าสำหรับปูนั่ง เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็น
ทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๘๐] ภิกษุให้ทำผ้าปิดฝี เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏ
ในประโยค ๑ ให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๘๑] ภิกษุให้ทำผ้าอาบน้ำฝน เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็น
ทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๘๒] ถามว่า ภิกษุให้ทำจีวรมีประมาณเท่าจีวรพระสุคตต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ภิกษุให้ทำจีวร มีประมาณเท่าจีวรพระสุคต ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ
เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
ภิกษุให้ทำจีวรมีประมาณเท่าจีวรพระสุคต ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้ ราชวรรคที่ ๙ จบ ขุททกสิกขาบท จบ
คำถามและคำตอบในปาฏิเทสนียกัณฑ์ ๖สิกขาบทที่ ๑ [๓๘๓] ถามว่า ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือ
ของตน จากมือของภิกษุณีมิใช่ญาติ แล้วฉันต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตน จาก
มือของภิกษุณีมิใช่ญาติ แล้วฉันต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติ
ปาฏิเทสนียะทุกๆ คำกลืน ๑.
ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดีด้วยมือของตน จากมือของ
ภิกษุณีมิใช่ญาติแล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.
สิกขาบทที่ ๒ [๓๘๔] ภิกษุไม่ห้ามภิกษุณีผู้ยืนสั่งเสียอยู่ แล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจัก
ฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะทุกๆ คำกลืน ๑.
สิกขาบทที่ ๓ [๓๘๕] ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ในสกุลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสกขะ ด้วยมือ
ของตนมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ
ทุกๆ คำกลืน ๑.
สิกขาบทที่ ๔ [๓๘๖] ถามว่า ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อน ใน
เสนาสนะป่า ด้วยมือของตน ในวัดที่อยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อน ในเสนาสนะ
ป่า ด้วยมือของตน ในวัดที่อยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะทุกๆ คำกลืน ๑.
ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อนในเสนาสนะป่า ด้วย
มือของตน ในวัดที่อยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้. ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท จบ
คำถามและคำตอบในเสขิยกัณฑ์
เมื่อการใช้ชีวิตในร่างเดียวกันของ เอ็ดดี้ บร็อค (รับบทโดย ทอม ฮาร์ดี้) กับเวน่อม การใช้ชีวิตก็ดูปวดหัวไม่น้อย ใน Venom ภาค 2 ได้เพิ่มความน่าเอ็นดูชวนฮาในความติดตลกของเวน่อม และยังมีการเปิดเผยตัว คาร์เนจ (รับบทโดยวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน วายร้ายศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาลของเวน่อม ที่จะมาพร้อมความโหดเหี้ยมนามว่า Cletus Kasady ฆาตกรโรคจิตขั้นสุดด พร้อมหรือยังที่จะรับชมศึกปะทะกันระหว่างสีดำและสีแดง Eddie Brock ต่อสู้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ของเขาในฐานะโฮสต์ของ Venom ซิมไบโอต ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ “Venom 2 Let There BeCarnage”ซึ่งมอบความสามารถอันศักดิ์สิทธิ์แก่เขาในการเป็นศาลเตี้ยอันตรายบร็อคพยายามจุดชนวนการยึดครองของเขาด้วยการพูดคุยกับ Cletus Kasadyนักฆ่าต่อเนื่องที่แปลงร่างเป็นโฮสต์ของการสังหารซิมไบโอตและหนีออกจากคุกหลังจากการประหารชีวิตด้วยการทิ้งระเบิดเล่นหลักดูไม่ได้ ลองกดตัวเล่นอื่นVenom 2 Let There Be Carnage (2021) เวน่อม 2ศึกอสูรแดงเดือดวรรคที่ ๑ [๓๘๗] ถามว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้. [๓๘๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ห่มผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๓๘๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เปิดกาย เดินไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๓๙๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เปิดกาย นั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๓๙๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คะนองมือ หรือเท้าไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๓๙๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คะนองมือ หรือเท้านั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๓๙๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ ไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๓๙๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ นั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๓๙๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินเวิกผ้าไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่งคือ ทุกกฏ. [๓๙๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งเวิกผ้าในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. วรรคที่ ๑ จบ วรรคที่ ๒ [๓๙๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินหัวเราะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๓๙๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งหัวเราะในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๓๙๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินพูดเสียงดังลั่นไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๐๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งพูดเสียงดังในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๐๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๐๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงกายในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๐๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไกวแขนไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๐๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งไกวแขนในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๐๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๐๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. วรรคที่ ๒ จบ วรรคที่ ๓ [๔๐๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินค้ำกายไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๐๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งค้ำกายในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๐๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินคลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๑๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งคลุมศีรษะในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๑๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินกระโหย่งเท้าไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๑๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งรัดเข่าในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๑๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๑๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ รับบิณฑบาต ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๑๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับแต่แกงมาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๑๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตจนพูนบาตร ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. วรรคที่ ๓ จบ วรรคที่ ๔ [๔๑๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๑๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ ฉันบิณฑบาต ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๑๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตให้แหว่งในที่นั้นๆ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๒๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันแต่แกงมาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๒๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตขยุ้มแต่ยอดลงไป ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๒๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ กลบแกงหรือกับด้วยข้าวสุก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๒๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ไม่อาพาธ ขอแกงก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๒๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ มุ่งจะยกโทษ แลดูบาตรของภิกษุอื่น ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๒๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวให้ใหญ่ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๒๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวให้ยาว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. วรรคที่ ๔ จบ วรรคที่ ๕ [๔๒๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปากอ้าปากไว้ท่า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๒๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ สอดมือทั้งหมดเข้าในปาก ต้องอาบัติตัวหนึ่งคือ ทุกกฏ. [๔๒๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ พูดทั้งคำข้าวมีอยู่ในปาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือทุกกฏ. [๔๓๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเดาะคำข้าว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๓๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันกัดคำข้าว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๓๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๓๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันสลัดมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๓๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันโปรยเมล็ดข้าว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๓๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันแลบลิ้น ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๓๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันดังจั๊บๆ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. วรรคที่ ๕ จบ วรรคที่ ๖ [๔๓๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันดังซู๊ดๆ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๓๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเลียมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๓๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันขอดบาตร ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๔๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเลียริมฝีปาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๔๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับโอน้ำด้วยมือเปื้อนอามิส ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๔๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๔๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีร่มในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๔๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีไม้พลองในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๔๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีศัตราในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๔๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีอาวุธในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. วรรคที่ ๖ จบ วรรคที่ ๗ [๔๔๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมเขียงเท้า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๔๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมรองเท้า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๔๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลไปในยาน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้อยู่บนที่นอน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งรัดเข่า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้โพกศีรษะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้คลุมศีรษะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งอยู่ที่แผ่นดินแสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งบนอาสนะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งบนอาสนะต่ำแสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งบนอาสนะสูง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ยืนอยู่ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งอยู่ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไปข้างหลัง แสดงธรรมแก่บุคคลผู้เดินไปข้างหน้า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไปนอกทาง แสดงธรรมแก่บุคคลผู้เดินไปในทาง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๕๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ยืนถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๖๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงบนของเขียวสด ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. [๔๖๑] ถามว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้. วรรคที่ ๗ จบ เสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบท จบ กตาปัตติวารที่ ๒ จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น