Translate

16 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ เรื่องปวารณา เป็นต้น ปวารณาด้วยตนเอง ปวารณาพร้อมกับภิกษุปวารณาก่อนภัตร ปวารณาทั้งหมด วิธีสมมติ, ญัตติกรรมวาจา

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[๕๘๔] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีทั้งหลายไม่ปวารณา ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีจะไม่ปวารณาไม่ได้ รูปใดไม่ปวารณา พึงปรับตามธรรม ฯ

ปวารณาด้วยตนเอง
             [๕๘๕] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีปวารณาด้วยตนเอง ไม่ปวารณาต่อสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีปวารณาด้วยตนเองไม่ปวารณาต่อสงฆ์ไม่ได้ รูปใดไม่ปวารณา พึงปรับตามธรรม ฯ

ปวารณาพร้อมกับภิกษุ
             [๕๘๖] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีทั้งหลายปวารณาพร้อมกันกับภิกษุทั้งหลาย ได้ทำความโกลาหล ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงปวารณาพร้อมกันกับภิกษุทั้งหลาย รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

ปวารณาก่อนภัตร
       [๕๘๗] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีทั้งหลายปวารณาในกาลก่อนภัตร ยังกาลให้ล่วงไป ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุณีปวารณาในกาลหลังภัตร ภิกษุณีทั้งหลายแม้ปวารณาในกาลหลังภัตร เวลาพลบค่ำลง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุณีปวารณาต่อภิกษุณีสงฆ์ในวันนี้ แล้วปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น ฯ

ปวารณาทั้งหมด
       [๕๘๘] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีสงฆ์ทั้งหมดปวารณาอยู่ ได้ทำความโกลาหล ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถรูปหนึ่งให้ปวารณาต่อสงฆ์ แทนภิกษุณีสงฆ์

วิธีสมมติ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงสมมติอย่างนี้ พึงขอร้องภิกษุณีก่อน ครั้นแล้วภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

ญัตติกรรมวาจา
             แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุณีชื่อนี้ ให้ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ แทนภิกษุณีสงฆ์ นี้เป็นญัตติ
             แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน สงฆ์สมมติภิกษุณีชื่อนี้ให้ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ แทนภิกษุณีสงฆ์ การสมมติภิกษุณีชื่อนี้ให้ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์แทนภิกษุณีสงฆ์ ชอบแก่แม่เจ้าผู้ใด แม่เจ้าผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่แม่เจ้าผู้ใด แม่เจ้าผู้นั้นพึงพูด
             ภิกษุณีชื่อนี้ สงฆ์สมมติแล้วให้ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ แทนภิกษุณีสงฆ์ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ดิฉันทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้ ฯ
             [๕๘๙] ภิกษุณีผู้ได้รับสมมติแล้วนั้น พึงพาภิกษุณีสงฆ์ เข้าไปหาภิกษุสงฆ์ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุทั้งหลาย นั่งกระหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

คำปวารณา
             พระคุณเจ้า เจ้าข้า ภิกษุณีสงฆ์ ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดีด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยรังเกียจก็ดี ขอภิกษุสงฆ์จงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวภิกษุณีสงฆ์ภิกษุณีสงฆ์เห็นอยู่จักทำคืน
             พระคุณเจ้า เจ้าข้า แม้ครั้งที่สอง ...
             พระคุณเจ้า เจ้าข้า แม้ครั้งที่สาม ภิกษุณีสงฆ์ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยรังเกียจก็ดี ขอภิกษุสงฆ์จงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวภิกษุณีสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์เห็นอยู่จักทำคืน ฯ

งดอุโบสถเป็นต้น
       [๕๙๐] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีทั้งหลายงดอุโบสถ งดปวารณา ทำการไต่สวน เริ่มอนุวาทาธิกรณ์ ให้ทำโอกาส โจท สืบพยานแก่ภิกษุทั้งหลาย ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุณีไม่พึงงดอุโบสถแก่ภิกษุ แม้งดก็ไม่เป็นอันงด ภิกษุณีผู้งด ต้องอาบัติทุกกฏ
             ภิกษุณีไม่พึงงดปวารณาแก่ภิกษุ แม้งดก็ไม่เป็นอันงด ภิกษุณีผู้งด ต้องอาบัติทุกกฏ
             ภิกษุณีไม่พึงทำการสืบสวนภิกษุ แม้ทำก็ไม่เป็นอันทำ ภิกษุณีผู้ทำ ต้องอาบัติทุกกฏ
             ภิกษุณีไม่พึงเริ่มอนุวาทาธิกรณ์แก่ภิกษุ แม้เริ่มก็ไม่เป็นอันเริ่ม ภิกษุณีผู้เริ่ม ต้องอาบัติทุกกฏ
             ภิกษุณีไม่พึงให้ภิกษุทำโอกาส แม้ให้ทำก็ไม่เป็นอันให้ทำ ภิกษุณีผู้ให้ทำต้องอาบัติทุกกฏ
             ภิกษุณีไม่พึงโจทภิกษุ แม้โจทก็ไม่เป็นอันโจท ภิกษุณีผู้โจท ต้องอาบัติทุกกฏ
             ภิกษุณีไม่พึงสืบพยานภิกษุ แม้สืบก็ไม่เป็นอันสืบ ภิกษุณีผู้สืบพยานต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
       [๕๙๑] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายงดอุโบสถ งดปวารณา ทำการสืบสวน เริ่มอนุวาทาธิกรณ์ ให้ทำโอกาส โจท สืบพยานแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุงดอุโบสถแก่ภิกษุณี แม้งดแล้วเป็นอันงดด้วยดี ภิกษุ
ผู้งดไม่ต้องอาบัติ ให้งดปวารณาแก่ภิกษุณี แม้งดแล้วเป็นอันงดด้วยดี ภิกษุผู้งดไม่ต้องอาบัติให้ทำการสืบสวนภิกษุณี แม้ทำแล้วเป็นอันทำด้วยดี ภิกษุผู้ทำไม่ต้องอาบัติ ให้เริ่มอนุวาทาธิกรณ์ แม้เริ่มแล้วเป็นอันเริ่มด้วยดี ภิกษุผู้เริ่มไม่ต้องอาบัติ ให้ภิกษุณีทำโอกาส แม้ให้ทำแล้วเป็นอันให้ทำด้วยดี ภิกษุผู้ให้ทำ
ไม่ต้องอาบัติ ให้โจทภิกษุณี แม้โจทแล้วเป็นอันโจทด้วยดี ภิกษุผู้โจทก์ไม่ต้องอาบัติ ให้สืบพยานแก่ภิกษุณี แม้สืบแล้วเป็นอันสืบด้วยดี ภิกษุผู้ให้สืบไม่ต้องอาบัติ ฯ

เรื่องไปด้วยยาน
       [๕๙๒] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขี่ยานที่เทียมด้วยโคตัวเมียมีบุรุษเป็นสารถีบ้าง เทียมด้วยโคตัวผู้ มีสตรีเป็นสารถีบ้าง ประชาชนเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวไปเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา และแม่น้ำมหี ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงไปด้วยยานรูปใดไป พึงปรับตามธรรม ฯ
       [๕๙๓] สมัยนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งอาพาธ ไม่อาจไปด้วยเท้าได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุณีผู้อาพาธไปด้วยยานได้ ลำดับนั้น ภิกษุณีทั้งหลายคิดว่า ยานนั้นเทียมด้วยโคตัวเมียหรือเทียมด้วยโคตัวผู้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตยานที่เทียมด้วยโคตัวเมีย ยานที่เทียมด้วยโคตัวผู้ และยานที่ลากด้วยมือ ฯ
             [๕๙๔] สมัยต่อมา ความไม่สบายอย่างแรงกล้าได้มีแก่ภิกษุณีรูปหนึ่งเพราะความกระเทือนแห่งยาน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตคานหามมีตั่งนั่ง เปลผ้าที่เขาผูกติดกับไม้คาน ฯ

เรื่องหญิงแพศยาชื่ออัฑฒกาสี
       [๕๙๕] โดยสมัยนั้นแล หญิงแพศยาชื่ออัฑฒกาสี บวชในสำนักภิกษุณี ก็นางปรารถนาจะไปเมืองสาวัตถีด้วยตั้งใจว่า จักอุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พวกนักเลงได้ทราบข่าวว่าหญิงแพศยาชื่ออัฑฒกาสี ปรารถนาจะไปเมืองสาวัตถี จึงแอบซุ่มอยู่ใกล้หนทาง นางได้ทราบข่าวว่า พวกนักเลง
แอบซุ่มอยู่ใกล้หนทาง จึงส่งทูตไปในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า หม่อมฉันปรารถนาจะอุปสมบท หม่อมฉันจะพึงปฏิบัติอย่างไร
             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุณีอุปสมบท แม้โดยทูต
             ภิกษุทั้งหลายให้ภิกษุณีอุปสมบทโดยภิกษุเป็นทูต ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้ภิกษุณีอุปสมบทโดยภิกษุเป็นทูต รูปใดให้อุปสมบท ต้องอาบัติทุกกฏ
             ภิกษุทั้งหลายให้ภิกษุณีอุปสมบทโดยสิกขมานาเป็นทูต ...
   ให้ภิกษุณีอุปสมบทโดยสามเณรเป็นทูต ...
   ให้ภิกษุณีอุปสมบทโดยสามเณรีเป็นทูต ...
   ให้ภิกษุณีอุปสมบทโดยภิกษุณีผู้เขลา ไม่ฉลาดเป็นทูต พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้ภิกษุณีอุปสมบทโดยภิกษุณีผู้เขลา ไม่ฉลาดเป็นทูต รูปใดให้อุปสมบท ต้องอาบัติทุกกฏ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุณีอุปสมบทโดยภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถเป็นทูต ภิกษุณีผู้เป็นทูตนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์แล้วห่มผ้าเฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุทั้งหลาย นั่งกระหย่งประคองอัญชลีกล่าวอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
             พระคุณเจ้า เจ้าข้า นางชื่อนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ นางมาไม่ได้เพราะอันตรายบางอย่าง นางชื่อนี้ขออุปสมบทกะสงฆ์ ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยกนางขึ้นเถิดเจ้าข้า
             พระคุณเจ้า เจ้าข้า นางชื่อนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ นางมาไม่ได้เพราะอันตรายบางอย่าง แม้ครั้งที่สอง นางชื่อนี้ขออุปสมบทกะสงฆ์ ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยกนางขึ้นเถิด เจ้าข้า
             พระคุณเจ้า เจ้าข้า นางชื่อนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ นางมาไม่ได้เพราะอันตรายบางอย่าง แม้ครั้งที่สาม นางชื่อนี้ขออุปสมบทกะสงฆ์ ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยกนางขึ้นเถิด เจ้าข้า ฯ

ญัตติจตุตถกรรมวาจาให้อุปสมบทด้วยทูต
             [๕๙๖] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
 ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นางชื่อนี้เป็น
 อุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ อุปสมบทแล้ว
 ในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์
 นางมาไม่ได้เพราะอันตรายบางอย่าง นางชื่อนี้
 ขออุปสมบทกะสงฆ์ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี
 ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้
 นางชื่อนี้อุปสมบท มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี นี้เป็นญัตติ
       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นางชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ นางมาไม่ได้เพราะอันตรายบางอย่าง นางชื่อนี้ขออุปสมบทกะสงฆ์ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี สงฆ์ให้นางชื่อนี้อุปสมบท มี แม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี การอุปสมบท
ของนางชื่อนี้ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
   ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ แม้ครั้งที่สอง ...
 ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ แม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า
 ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้านางชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปก
 ขะ ของแม่เจ้าชื่อนี้ อุปสมบทแล้วในสงฆ์
 ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ นางมา
 ไม่ได้เพราะอันตรายบางอย่าง นางชื่อนี้ขออุป
 สมบทกะสงฆ์ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินีสงฆ์ให้
 นางชื่อนี้อุปสมบท มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี
 การอุปสมบทของนางชื่อนี้ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็น
 ปวัตตินี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
             นางชื่อนี้ อันสงฆ์อุปสมบทแล้ว มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินีชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้
             ทันใดนั้น พึงวัดเงาแดด พึงบอกประมาณแห่งฤดู พึงบอกส่วนแห่งวันพึงบอกข้อเบ็ดเสร็จ พึงสั่งภิกษุณีทั้งหลายว่า พวกเธอจงบอกนิสัย ๓ อกรณียกิจ ๘ แก่ภิกษุณีนั้น ฯ
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ
เรื่องปวารณาเป็นต้น
               อรรถกถาภิกขุนีขันธกะทั้งหมดมีเนื้อความอยู่ในข้อ 513.
       อรรถกถาที่มีมาก่อนหน้านี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ
   เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=513
       อรรถกถาที่มีถัดจากนี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ปัญจสติกขันธกะ
   เรื่องพระมหากัสสปเถระเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=614
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ
งดอุโบสถเป็นต้น
               อรรถกถาภิกขุนีขันธกะทั้งหมดมีเนื้อความอยู่ในข้อ 513.
       อรรถกถาที่มีมาก่อนหน้านี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ
   เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=513
       อรรถกถาที่มีถัดจากนี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ปัญจสติกขันธกะ
   เรื่องพระมหากัสสปเถระเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=614
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ
เรื่องไปด้วยยาน
               อรรถกถาภิกขุนีขันธกะทั้งหมดมีเนื้อความอยู่ในข้อ 513.
       อรรถกถาที่มีมาก่อนหน้านี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ
   เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=513
       อรรถกถาที่มีถัดจากนี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ปัญจสติกขันธกะ
   เรื่องพระมหากัสสปเถระเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=614
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ
เรื่องหญิงแพศยาชื่ออัฑฒกาสีเป็นต้น
               อรรถกถาภิกขุนีขันธกะทั้งหมดมีเนื้อความอยู่ในข้อ 513.
       อรรถกถาที่มีมาก่อนหน้านี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ
   เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=513
       อรรถกถาที่มีถัดจากนี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ปัญจสติกขันธกะ
   เรื่องพระมหากัสสปเถระเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=614
ดูหนังออนไลน์ The Cursed (2024) เหมรฺย
 เหมรฺย (2024) THE CURSED พ.ศ.2567 สยองขวัญ/ชีวิต 6.2 Runtime 93 นาที ภาษา พากย์ไทย





วิกิพีเดีย
เหมรฺย บอกเล่าเรื่องรางเกี่ยวกับวัฒนธรรมพื้นถิ่นของคนภาคใต้ หลังจากที่ อลิซ รัชนก สุวรรณเกตุ
ต้องเลิกรากับสามี จึงจำเป็นต้องรับหน้าที่แม่เลี้ยงเดี่ยวในการดูแลลูกชาย ออกัส (ฟาบริชโช่ เปาโล) เด็กหนุ่มที่เติบโตมากับคำถามที่อยู่ภายในใจเกี่ยวกับพ่อของเขา เอ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์
และเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งแม้แต่แม่ของเขาเองก็ยังไม่เคยที่จะปริปากพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อของเขาเลยแม้แต่น้อย

เหมรฺย หมายถึง การบนบาน ในภาษาใต้จะเรียกว่า เหมรฺย สะกดว่า สะเออ – หมร – ย อ่านว่า เหมย หรือบางพื้นที่เรียกว่า เหลยบน ซึ่งการบนบานจะมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ การบนบานด้วยปากเปล่า เรียกว่า เหมรฺยปาก และการบนบานด้วยวิธีนำเครื่องบูชาใส่ห่อกาบหมาก เรียกว่า เหมรฺยห่อ

   หรือจะหมายความเป็นพฤติการณ์ 'การบนบานศาลกล่าว' ความเชื่อที่รู้จักกันทั่วไป และเรื่องราวการต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพื่อจะปกป้องใครสักคนที่รัก

การตัดเหมรฺย มีขึ้นเพื่อทำให้สัญญาที่ได้ตกลงถึงกาลสิ้นสุด ตามความเชื่อของชาวใต้ ถ้าหากมีการแก้เหมรฺยแล้วไม่มีการตัด เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ ครูหมอ (บางคน) จะยังคงตามติดทวงสิ่งที่ต้องการเพิ่ม จะกลายเป็นสินบนที่จะต้องแก้จนกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ๆ จะพอใจ เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือครูหมอ 

   บางคน เรียกร้องเกินกว่าที่ตกลงสัญญาไว้ ราชครูโนราจึงต้องเป็นผู้ตัดเหมรฺย เพื่อเป็นการบอกกล่าวให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือครูหมอ ได้รู้ว่าสิ่งที่ได้บนบานนั้นสิ้นสุดลงแล้ว

เนื่องจากพิธีการตัดเหมรฺยแก้บน ในภาคใต้นั้นจะต้องใช้คาถาสำหรับการแก้บนโดยเฉพาะ นั่นก็คือ คาถาตัดหนวด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการแก้บนตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป หรือแม้แต่โนราโรงครู ราชครูโนราเจ้าพิธี ก็ต้องใช้คาถาตัดหนวดเป็นคาถาในการตัดพันธสัญญาบนบานทั้งสิ้น

ไม่มีความคิดเห็น: