Translate

17 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ สัตตสติกขันธกะ เรื่องพระวัชชีบุตรแสดงวัตถุ ๑๐ ประการ อรรถกถา. เรื่องพระยสกากัณฑกบุตร เป็นต้น

   ทำบุญ 
 [๖๓๐] ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานล่วงได้ ๑๐๐ ปี พวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี แสดงวัตถุ ๑๐ ประการในเมืองเวสาลีว่าดังนี้:-
 ๑. เก็บเกลือไว้ในเขนงฉัน ควร
 ๒. ฉันอาหารในเวลาบ่าย ล่วงสององคุลี ควร
 ๓. เข้าบ้านฉันอาหารเป็นอนติริตตะ ควร
 ๔. อาวาสมีสีมาเดียวกัน ทำอุโบสถต่างๆ กัน ควร
 ๕. เวลาทำสังฆกรรม ภิกษุมาไม่พร้อมกันทำก่อนได้ ภิกษุมาทีหลังจึงบอกขออนุมัติ ควร
 ๖. การประพฤติตามอย่าง ที่อุปัชฌาย์และอาจารย์ประพฤติมาแล้ว ควร
 ๗. ฉันนมสดที่แปรแล้ว แต่ยังไม่เป็นนมส้ม ควร
 ๘. ดื่มสุราอ่อน ควร
 ๙. ใช้ผ้านิสีทนะไม่มีชาย ควร
 ๑๐. รับทองและเงิน ควร ฯ
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ สัตตสติกขันธกะ เรื่องพระวัชชีบุตรแสดงวัตถุ ๑๐ ประการเป็นต้น
สัตตสติกักขันธกวรรณนา 
วินิจฉัยในสัตตสติกักขันธกะ พึงทราบดังนี้ :-
 บทว่า ภิกฺขุคฺเคน มีความว่า ภิกษุวัชชีบุตร ชาวเมืองเวสาลี นับภิกษุทั้งหลายตามจำนวนภิกษุแล้ว จัดส่วนไว้มีประมาณเท่านั้น.
                บทว่า มหิกา ได้แก่ หมอกในคราวหิมะตก.
                บทว่า อวิชฺชานีวุตา ได้แก่ ผู้อันอวิชชาปิดบังแล้ว.
                บทว่า โปสา ได้แก่ บุรุษ. ชื่อว่าผู้ชื่นชมนักซึ่งปิยรูป เพราะเพลินนัก คือกระหยิ่ม ปรารถนาซึ่งปียรูป.
                บทว่า อวิทฺทสุ ได้แก่ ไม่รู้ ชื่อว่าผู้มีธุลีด้วยธุลีคือราคะ, ชื่อว่าผู้เป็นเพียงดังมฤค เพราะเป็นผู้คล้ายมฤค. ชื่อว่าผู้มีตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ เพราะเป็นไปกับด้วยตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ.
                บาทคาถาว่า วฑฺเฒนฺติ กฏสึ โฆรํ มีความว่า ย่อมยังภูมิเป็นที่ทิ้งซากศพให้หนาขึ้นเนืองๆ ก็แลเมื่อยังภูมิเป็นที่ทิ้งซากศพให้หนาขึ้นเนืองๆ อย่างนั้น ชื่อว่าย่อมถือเอาภพใหม่ที่น่ากลัว คือว่าย่อมเกิดอีก ฉะนี้แล.
                ข้อว่า ปาปิกํ โน อาวุโส กตํ มีความว่า ผู้มีอายุ กรรมลามกอันเราทั้งหลายกระทำแล้ว.
                บทว่า ภุมฺมิ นี้ ซึ่งมีอยู่ในคำว่า กตเมน ตฺวํ ภุมฺมิ วิหาเรน นี้ เป็นคำไพเราะ.
                ได้ยินว่า ท่านพระสัพพกามีผู้ประสงค์จะกล่าวคำอันไพเราะจึงเรียกภิกษุใหม่ทั้งหลายอย่างนั้น.
                บทว่า กุลฺลกวิหาเรน ได้แก่ ธรรมเป็นที่อยู่อันตื้น.
[ว่าด้วยสิงคิโลณกัปปะ]
               สองบทว่า สาวตฺถิยา สุตฺตวิภงฺเค มีความว่า เกลือเขนงนี้เป็นของอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้วในสุตตวิภังค์ อย่างไร?
               จริงอยู่ ในสุตตวิภังค์นั้น เกลือบเขนงเป็นของอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ของภิกษุรับประเคนแล้วในวันนี้ ควรเพื่อฉันในวันอื่นอีก
               ชื่อว่าเป็นของสันนิธิ ดังนี้แล้ว ตรัสอาบัติห้ามอีกว่า ภิกษุมีความสำคัญในของเคี้ยวของฉันที่รับประเคนไว้ค้างคืน ว่ามิได้รับประเคนไว้ค้างคืน เคี้ยวของเคี้ยวก็ดี ฉันของฉันก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
               ในสุตตวิภังค์นั้น อาจารย์พวกหนึ่งเข้าใจว่า ก็สิกขาบทนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า โย ปน ภิกฺขุ สนฺนิธิการกํ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา เป็นอาทิ แต่ธรรมดาเกลือนี้ ไม่ถึงความเป็นสันนิธิ เพราะเป็นยาวชีวิก 
               ภิกษุรับประเคนอามิสที่ไม่เค็มแม้ใดด้วยเกลือนั้น แล้วฉันพร้อมกับเกลือนั้น อามิสนั้น อันภิกษุรับประเคนในวันนั้นเท่านั้น เพราะเหตุนั้น อันอาบัติทุกกฎ ในเพราะเกลือที่รับประเคนก่อนนี้ พึงมี
                เพราะพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลายวัตถุเป็นยาวชีวก ภิกษุรับประเคนในวันนั้น พร้อมกับวัตถุเป็นยาวกาลิกควรในกาล ไม่ควรในวิกาล.๑-
                อาจารย์เหล่านั้น อันปรวาทีพึงกล่าวแก้ว่า แม้อาบัติทุกกฏก็ไม่พึงมีตามมติของพวกท่าน 
         ด้วยว่า บรรดาเกลือและอามิสที่ไม่เค็มนี้ เกลือซึ่งเป็นยาวชีวิก หาได้รับประเคนในวันนั้นไม่ อามิสที่ไม่เค็มซึ่งเป็นยาวกาลิกเท่านั้น รับประเคนในวันนั้น และอามิสนั้นภิกษุหาได้บริโภคในเวลาวิกาลไม่ หรือหากว่า พวกท่านสำคัญอาบัติทุกกฏ เพราะพระบาลีว่า วิกาเล น กปฺปติ ดังนี้ไซร้ แม้อาบัติปาจิตตีย์ เพราะในวิกาลโภชน์ จะไม่พึงมี แก่ภิกษุผู้บริโภคยาวกาลิกซึ่งปนกับยาวชีวิก ในเวลาวิกาล. เพราะเหตุนั้น ท่านไม่พึงฉวยเอาแต่เพียงพยัญชนะ พึงพิจารณาดูใจความ.
ในคำว่า วิกาเล กปฺปติ นี้ มีเนื้อความดังนี้ :-
               ยาวชีวิกกับยาวกาลิก ที่รับประเคนในวันนั้น ถ้าว่า เป็นของมีรสเจือกันได้ ย่อมเป็นของมีคติอย่างยาวกาลิกแท้. เพราะเหตุนั้น ทุกกฏชื่อว่าไม่มี 
               ในคำว่า กาเล กปฺปติ วิกาเล น กปฺปติ นี้ เพราะสิกขาบทนี้ว่า โย ปน ภิกฺขุ วิกาเล ขาทนียํ วา โภชนียํ วา ดังนี้
เป็นอาทิ แต่ย่อมมีในเพราะยาวชีวิก มีรสเจือปนกับยาวกาลิกนี้
          ด้วยสักว่า คำว่า น กปฺปติ. ยาวชีวิกที่รับประเคนในวันนั้น มีรสเจือปนยาวกาลิก ไม่ควรในวิกาล คือเป็นกาลิกที่นำมาซึ่งปาจิตตีย์ เพราะวิกาลโภชน์ฉันใดเลย ยาวชีวิกแม้ที่รับประเคนในวันนี้ มีรสเจือปนกับยาวกาลิกในวันอื่นอีก ไม่ควร คือเป็นกาลิกนำมาซึ่งปาจิตตีย์เพราะฉันของเป็นสันนิธิ ข้อนี้ก็ฉันนั้น. 
               ภิกษุแม้ไม่รู้อยู่ซึ่งกาลิกนั้นว่า นี้เป็นของที่ทำการะสม ย่อมไม่พ้น (จากอาบัติ).
               จริงอยู่ คำนี้อันพระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวแล้วว่า ภิกษุมีความสำคัญในของเคี้ยวของฉันที่รับประเคนไว้ค้างคืน ว่ามิได้รับประเคนไว้ค้างคืน เคี้ยวของเคี้ยวก็ดี ฉันของฉันก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์ 
               เพราะเหตุนั้น 
               คำตอบที่ว่า สาวตฺถิยา สุตฺตวิภงฺเค นี้ จึงเป็นคำตอบที่หมดจดดี แห่งคำถามที่ว่า กตฺถ ปฏิกฺขิตฺตํ นี้.
๑- มหาวคฺค. ทุติย. ๑๓๒.
[ว่าด้วยอาวาสกัปปะ]
คำว่า ราชคเห อุโปสถสํยุตฺเต นี้ อันพระสังคาหกเถระกล่าวหมายเอาพระพุทธพจน์นี้ว่า ภิกษุทั้งหลายในอาวาสเดียวกัน ไม่ควรสมมติโรงอุโบสถ ๒ แห่ง ภิกษุใดพึงสมมติ ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ. ข้อว่า วินยาติสาเร ทุกฺกฏํ มีความว่า เป็นทุกกฏ เพราะละเมิดพระวินัยนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายในอาวาสเดียวกัน ไม่ควรสมมติโรงอุโบสถ ๒ แห่ง นี้แล.
[ว่าด้วยอนุมติกัปปะ]
คำว่า จมฺเปยฺยเก วินยวตฺถุสฺมึ นี้ พระสังคาหกเถระกล่าวหมายเอาเรื่องวินัย อันมาแล้วในจัมเปยยักขันธกะ เริ่มต้นอย่างนี้ว่า อธมฺเมน เจ ภิกฺขเว วคฺคกมฺมํ อกมฺมํ น จ กรณียํ ดังนี้.
คำว่า เอกจฺโจ กปฺปติ นี้ พระสังคาหกเถระกล่าวหมายเอาความประพฤติที่เป็นธรรม.
[ว่าด้วยอทสกนิสีทนกัปปะ]
              จริงอยู่ คำว่า เฉทนเก ปาจิตฺติยํ นี้ มาแล้วในสุตตวิภังค์ว่า ผ้าปูนั่งที่มีชาย เรียกชื่อว่า นิสีทนะ เพราะเหตุนั้น เฉพาะชายประมาณคืบหนึ่ง อันภิกษุย่อมได้เกินกว่า ๒ คืบสุคตขึ้นไป.
               คำว่า เป็นปาจิตตีย์ มีการตัดเป็นวินัยกรรม แก่ภิกษุผู้ให้ก้าวล่วงประมาณนั้น นี้ย่อมเป็นคำปรับได้ทีเดียว แก่ภิกษุผู้ทำตามประมาณนั้น เว้นชายเสีย. เพราะเหตุนั้น ท่านพระสัพพกามี อันท่านพระเรวตะถามว่า ต้องอาบัติอะไร?
               จึงตอบว่า ต้องปาจิตตีย์ ในเฉทนสิกขาบท. อธิบายว่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในเฉทนกสิกขาบท.
               คำที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. สัตตสติกักขันธกวรรณนา ในอรรถกถา ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.
คาถาสรูป
ขันธกะ ๒๒ ประเภท สงเคราะห์ด้วยวรรค ๒
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงละทุกข์ คือ เบญจขันธ์เสีย
ตรัสแล้วในพระศาสนาวรรณนาขันธกะเหล่านี้นั้น สำเร็จ
แล้วปราศจากอันตรายฉันใด แม้ความหวังอันงาม
ทั้งหลายของสัตว์มีปราณจงสำเร็จฉันนั้นเถิด ฉะนี้แล.
ในจุลลวรรณนี้ มีขันธกะ คือ กัมมักขันธกะ
ปาริวาสิกักขันธกะ สมุจจยักขันธกะ สมถักขันธกะ
ขุททกวัตถุกขันธกะ เสนาสนักขันธกะ สังฆเภทักขันธกะ
วัตตักขันธกะ ปาติโมกขัฏฐปนักขันธกะ ภิกขุนิกขันธกะ
ปัญจสติกักขันธกะ และสัตตสติกักขันธกะ จบแล้ว.
เรื่องพระยสกากัณฑกบุตร
       [๖๓๑] สมัยนั้น ท่านพระยสกากัณฑกบุตรเที่ยวจาริกในวัชชีชนบทถึงพระนครเวสาลี ข่าวว่า ท่านพระยสกากัณฑกบุตรพักอยู่ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลีนั้น ฯ
   [๖๓๒] สมัยนั้น พวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ถึงวันอุโบสถเอาถาดทองสัมฤทธิ์ตักน้ำเต็มตั้งไว้ ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ กล่าวแนะนำอุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลี ที่มาประชุมกันอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงถวายรูปิยะแก่สงฆ์กหาปณะหนึ่งก็ได้ กึ่งกหาปณะก็ได้ บาทหนึ่งก็ได้ มาสกหนึ่งก็ได้ สงฆ์จักมี
กรณียะด้วยบริขาร เมื่อพระวัชชีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว
 ท่านพระยสกากัณฑบุตรจึงกล่าวกะอุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลีว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านอย่าได้ถวายรูปิยะแก่สงฆ์ กหาปณะหนึ่งก็ตาม กึ่งกหาปณะก็ตาม บาทหนึ่งก็ตาม มาสกหนึ่งก็ตาม ทองและเงินไม่ควรแก่สมณะเชื้อสายพระศากยบุตร พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่ยินดีทองและเงิน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่รับทองและเงิน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร มีแก้วและทองวางเสียแล้ว ปราศจากทองและเงิน อุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลี แม้อันท่านพระยสกากัณฑกบุตรกล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ยังขืนถวายรูปิยะแก่สงฆ์ กหาปณะหนึ่งบ้าง กึ่งกหาปณะบ้าง บาทหนึ่งบ้าง มาสกหนึ่งบ้าง
       ครั้นล่วงราตรีนั้นแล้ว พวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ได้จัดส่วนแบ่งเงินนั้นตามจำนวนภิกษุแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระยสกากัณฑกบุตรว่า ท่านพระยส เงินจำนวนนี้เป็นส่วนของท่าน ท่านพระยสกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ฉันไม่มีส่วนเงิน ฉันไม่ยินดีเงิน ฯ
       [๖๓๓] ครั้งนั้น พวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลีกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย พระยสกากัณฑกบุตรนี้ ด่า บริภาษ อุบาสกอุบาสิกา ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ทำให้เขาไม่เลื่อมใส เอาละ พวกเราจะลงปฏิสารณียกรรมแก่ท่าน แล้วได้ลงปฏิสารณียกรรมแก่พระยสกากัณฑกบุตรนั้น
   ครั้งนั้น ท่านพระยสกากัณฑกบุตร ได้กล่าวกะพวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลีว่า ท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า สงฆ์พึงให้พระอนุทูตแก่ภิกษุผู้ถูกลงปฏิสารณียกรรม ขอพวกเธอจงให้พระอนุทูตแก่ฉัน จึงพวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลีได้สมมติภิกษุรูปหนึ่งให้เป็นอนุทูต แก่ท่านพระยสกากัณฑกบุตร
   ต่อมา ท่านพระยสกากัณฑกบุตร พร้อมด้วยพระอนุทูตพากันเข้าไปสู่พระนครเวสาลี แล้วชี้แจงแก่อุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลีว่า อาตมาผู้กล่าวสิ่งไม่เป็นธรรม ว่าไม่เป็นธรรม สิ่งเป็นธรรม ว่าเป็นธรรม สิ่งไม่เป็นวินัยว่าไม่เป็นวินัย สิ่งเป็นวินัย ว่าเป็นวินัย เขาหาว่าด่า บริภาษท่านอุบาสกอุบาสิกาผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ทำให้ไม่เลื่อมใส ฯ
เครื่องเศร้าหมองของพระจันทร์พระอาทิตย์ ๔ อย่าง
   [๖๓๔] พระยสกากัณฑกบุตรกล่าวต่อไปว่า ท่านทั้งหลาย สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระจันทร์พระอาทิตย์เศร้าหมอง เพราะเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการนี้
จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง เครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 ๑. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง คือ หมอกจึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง
 ๒. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง คือ น้ำค้างจึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง
 ๓. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง คือ ละอองควัน จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง
 ๔. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง คืออสุรินทราหู จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการนี้แล จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง ฉันใด
เครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ ๔ อย่าง
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการนี้ จึงไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์ เครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการ เป็นไฉน
 ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ดื่มสุรา ดื่มเมรัย ไม่งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่หนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
 ๒. อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเสพเมถุนธรรม ไม่งดเว้นจากเมถุนธรรม นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่สอง ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
 ๓. อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งยินดีทองและเงิน ไม่งดเว้นจากการรับทองและเงิน นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่สาม ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
 ๔. อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพ ไม่งดเว้นจากมิจฉาชีพ นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่สี่ ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการนี้แล จึงไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์ ฉันนั้น ท่านทั้งหลายพระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้ ครั้นแล้วพระสุคตผู้ศาสดาได้ตรัสประพันธคาถามีเนื้อความ ว่าดังนี้:-
         [๖๓๕] สมณพราหมณ์เศร้าหมอง เพราะราคะ
 และโทสะ เป็นคนอันอวิชชาหุ้มห่อ เพลิดเพลิน รูป
 ที่น่ารัก เป็นคนไม่รู้ พวกหนึ่งดื่มสุราเมรัย พวก
 หนึ่งเสพเมถุน พวกหนึ่งยินดีเงินและทอง พวกหนึ่ง
 เป็นอยู่โดยมิจฉาชีพ เครื่องเศร้าหมองเหล่านี้ พระ
 พุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัส
 ว่า เป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมอง
 ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์ มีกิเลสธุลีดุจมฤค
 ถูกความมืดรัดรึง เป็นทาสตัณหา พร้อมด้วยกิเลส
 เครื่องนำไปสู่ภพ ย่อมเพิ่มพูนสถาน
 ทิ้งซากศพให้มาก ย่อมถือเอาภพใหม่ต่อไป ฯ
       [๖๓๖] ข้าพเจ้าผู้มีวาทะอย่างนี้กล่าวสิ่งไม่เป็นธรรม ว่าไม่เป็นธรรมสิ่งเป็นธรรม ว่าเป็นธรรม สิ่งไม่เป็นวินัย ว่าไม่เป็นวินัย สิ่งเป็นวินัย ว่าเป็นวินัย เขาหาว่า ด่า บริภาษ อุบาสกอุบาสิกา ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ทำให้ไม่เลื่อมใส ฯ
เรื่องนายบ้านชื่อมณีจูฬกะ
   [๖๓๗] ท่านทั้งหลาย สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น ชนทั้งหลายนั่งประชุมกันในราชบริษัท ภายในราชสำนัก ได้ยกถ้อยคำนี้ขึ้นสนทนาในระหว่างว่า ทองและเงินย่อมควรแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรย่อมยินดีทองและเงิน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรย่อมรับทองและเงิน
 ก็คราวนั้น นายบ้านชื่อมณีจูฬกะ นั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วยเขาได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า นาย พวกท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น ทองและเงินไม่ควรแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่ยินดีทองและเงิน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่รับทองและเงิน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรมีแก้วและทองอันวางเสียแล้ว ปราศจากทองและเงิน นายบ้านชื่อมณีจูฬกะสามารถชี้แจงให้บริษัทนั้นเข้าใจ ครั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมนั่ง  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระ
พุทธเจ้าข้า ชนทั้งหลายนั่งประชุมกันในราชบริษัทภายในราชสำนัก ได้ยกถ้อยคำนี้ขึ้นสนทนาในระหว่างว่า ทองและเงินควรแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรยินดีทองและเงิน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรรับทองและเงิน
 เมื่อชนทั้งหลายพูดอย่างนี้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้พูดกะบริษัทนั้นว่า นาย พวกท่านอย่าได้พูดเช่นนี้ ทองและเงินไม่ควรแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่ยินดีทองและเงิน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่รับทองและเงิน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรมีแก้วและทองอันวางเสียแล้ว ปราศจากทองและเงิน ข้าพระพุทธเจ้าสามารถชี้แจงให้บริษัทนั้นเข้าใจได้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าพยากรณ์อย่างนี้ ชื่อว่ากล่าวคล้อยตามพระผู้มีพระภาค ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำเท็จ ชื่อว่าพยากรณ์ธรรมอันสมควรแก่ธรรม และสหธรรมิกบางรูป ผู้กล่าวตามวาทะ ย่อมไม่ถึงฐานะที่ควรติเตียนหรือ พระพุทธเจ้าข้า
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เอาละ นายบ้าน เธอพยากรณ์อย่างนี้ชื่อว่ากล่าวคล้อยตามเรา ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำเท็จ ชื่อว่า พยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม และสหธรรมิกบางรูปผู้กล่าวตามวาทะย่อมไม่ถึงฐานะที่ควรติเตียน
 ดูกรนายบ้าน ทองและเงินไม่ควรแก่สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรโดยแท้ สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่ยินดีทองและเงิน สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่รับทองและเงิน สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรมีแก้วและทองอันวางเสียแล้ว ปราศจากทองและเงิน ทองและเงินควรแก่ผู้ใด แม้กามคุณทั้งห้าก็ควรแก่ผู้นั้น กามคุณทั้งห้าควรแก่ผู้ใด เธอพึงจำผู้นั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า มีปกติมิใช่สมณะ มีปกติมิใช่เชื้อสายพระ ศากยบุตร เราจะกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้ต้องการหญ้า พึงแสวงหาหญ้า ผู้ต้องการไม้ พึงแสวงหาไม้ ผู้ต้องการเกวียน พึงแสวงหาเกวียน ผู้ต้องการบุรุษ พึงแสวงหาบุรุษ แต่เราไม่กล่าวโดยปริยายไรๆ ว่า สมณะพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงิน
       ข้าพเจ้าผู้มีวาทะอย่างนี้ กล่าวสิ่งไม่เป็นธรรม ว่าไม่เป็นธรรม สิ่งเป็นธรรมว่าเป็นธรรม สิ่งไม่เป็นวินัย ว่าไม่เป็นวินัย สิ่งเป็นวินัย ว่าเป็นวินัย เขาหาว่าด่า บริภาษอุบาสกอุบาสิกา ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสทำให้ไม่เลื่อมใส

ไม่มีความคิดเห็น: