Translate

14 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ปาติโมกขฐปนะขันธกะ วิธีงดปาติโมกข์ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[๔๖๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจักไม่ทำอุโบสถ จักไม่แสดงปาติโมกข์ ตั้งแต่บัดนี้ไปพวกเธอพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ตถาคตจะพึงทำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ในบริษัทผู้ไม่บริสุทธิ์ นั้นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุมีอาบัติ ไม่พึงฟังปาติโมกข์ รูปใดฟัง ต้องอาบัติทุกกฏเราอนุญาตให้งดปาติโมกข์ แก่ภิกษุผู้มีอาบัติติดตัวฟังปาติโมกข์
 วิธีงดปาติโมกข์
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงงดอย่างนี้ เมื่อถึงวันอุโบสถ ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ มีอาบัติติดตัว ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ ปาติโมกข์เป็นอันงดแล้ว ฯ
   [๔๖๗] โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ปรึกษากันว่า ใครๆ ไม่รู้พวกเรา เป็นผู้มีอาบัติติดตัว ฟังปาติโมกข์อยู่ พระเถระผู้รู้วาระจิตของผู้อื่น บอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย พระฉัพพัคคีย์มีชื่อนี้ และมีชื่อนี้ ปรึกษากันว่าใครๆ ไม่รู้พวกเราเป็นผู้มีอาบัติติดตัว ฟังปาติโมกข์อยู่ พระฉัพพัคคีย์ได้ยินเรื่องราว
ว่า พระเถระนี้รู้วาระจิตของผู้อื่น บอกพวกเราแก่ภิกษุทั้งหลายว่า พระฉัพพัคคีย์มีชื่อนี้ และมีชื่อนี้ ปรึกษากันว่า ใครๆ ไม่รู้พวกเราเป็นผู้มีอาบัติติดตัว ฟังปาติโมกข์อยู่ พวกเธอจึงปรึกษากันว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักจะงดปาติโมกข์แก่พวกเราก่อน จึงรีบงดปาติโมกข์แก่ภิกษุผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติในเพราะเรื่อง
อันไม่สมควร ในเพราะเหตุอันไม่สมควร บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้งดปาติโมกข์แก่ภิกษุผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ ในเพราะเรื่องอันไม่สมควร ในเพราะเหตุอันไม่สมควรเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์งดปาติโมกข์แก่ภิกษุผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ ในเพราะเรื่องอันไม่สมควรในเพราะเหตุอันไม่สมควร จริงหรือ
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
 พระผู้มีพระภาค ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงงดปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายที่บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ ในเพราะเรื่องอันไม่สมควร ในเพราะเหตุอันไม่สมควร รูปใดงด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม
             [๔๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรมมีมูล ๑ เป็นธรรม มีมูล ๑
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๒เป็นธรรมมีมูล ๒
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๓ เป็นธรรมมีมูล ๓
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๔ เป็นธรรมมีมูล ๔
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๕ เป็นธรรมมีมูล ๕
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๖ เป็นธรรมมีมูล ๖
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๗ เป็นธรรมมีมูล ๗
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๘ เป็นธรรมมีมูล ๘
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๙ เป็นธรรมมีมูล ๙
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๑๐ เป็นธรรมมีมูล ๑๐
             [๔๖๙] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๑ เป็นไฉน ภิกษุงดเว้นปาติโมกข์ เพราะศีลวิบัติอันไม่มีมูล   นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล ๑ ฯ
             [๔๗๐] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๑ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์เพราะศีลวิบัติมีมูล   นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล ๑ ฯ
             [๔๗๑] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๒ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
          ๑. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล
          ๒. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล
   นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๒ ฯ
             [๔๗๒] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๒ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
          ๑. เพราะศีลวิบัติมีมูล
          ๒. เพราะอาจารวิบัติมีมูล
   นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๒ ฯ
             [๔๗๓] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๓ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
          ๑. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล
          ๒. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล
          ๓. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล
   นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๓ ฯ
             [๔๗๔] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๓ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
          ๑. เพราะศีลวิบัติมีมูล
          ๒. เพราะอาจารวิบัติมีมูล
          ๓. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล
   นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๓ ฯ
             [๔๗๕] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๔ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
          ๑. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล
          ๒. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล
          ๓. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล
          ๔. เพราะอาชีววิบัติไม่มีมูล
   นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๔ ฯ
             [๔๗๖] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๔ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
          ๑. เพราะศีลวิบัติมีมูล
          ๒. เพราะอาจารวิบัติมีมูล
          ๓. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล
          ๔. เพราะอาชีววิบัติมีมูล
   นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๔ ฯ
             [๔๗๗] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๕ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
        ๑. เพราะปาราชิกไม่มีมูล
        ๒. เพราะสังฆาทิเสสไม่มีมูล
        ๓. เพราะปาจิตตีย์ไม่มีมูล
        ๔. เพราะปาฏิเทสนียะไม่มีมูล
        ๕. เพราะทุกกฏไม่มีมูล
   นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๕ ฯ
             [๔๗๘] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๕ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
        ๑. เพราะปาราชิกมีมูล
        ๒. เพราะสังฆาทิเสสมีมูล
        ๓. เพราะปาจิตตีย์มีมูล
        ๔. เพราะปาฏิเทสนียะมีมูล
        ๕. เพราะทุกกฏมีมูล
   นี้การงดปาติโมกข์ มีมูล ๕ ฯ
             [๔๗๙] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๖ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
     ๑. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๒. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๓. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๔. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๕. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๖. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
 นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๖ ฯ
             [๔๘๐]  การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๖ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
     ๑. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๒. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๓. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๔. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๕. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๖. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
 นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๖ ฯ
             [๔๘๑]  การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๗ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
        ๑. เพราะปาราชิกไม่มีมูล
        ๒. เพราะสังฆาทิเสสไม่มีมูล
        ๓. เพราะถุลลัจจัยไม่มีมูล
        ๔. เพราะปาจิตตีย์ไม่มีมูล
        ๕. เพราะปาฏิเทสนียะไม่มีมูล
        ๖. เพราะทุกกฏไม่มีมูล
        ๗. เพราะทุพภาสิตไม่มีมูล
 นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๗ ฯ
             [๔๘๒] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๗ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
        ๑. เพราะปาราชิกมีมูล
        ๒. เพราะสังฆาทิเสสมีมูล
        ๓. เพราะถุลลัจจัยมีมูล
        ๔. เพราะปาจิตตีย์มีมูล
        ๕. เพราะปาฏิเทสนียะมีมูล
        ๖. เพราะทุกกฏมีมูล
        ๗. เพราะทุพภาสิตมีมูล
 นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๗ ฯ
             [๔๘๓] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๘ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
     ๑. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๒. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๓. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๔. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๕. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๖. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๗. เพราะอาชีววิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๘. เพราะอาชีววิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
 นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๘ ฯ
             [๔๘๔] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๘ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
     ๑. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๒. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๓. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๔. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๕. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๖. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
     ๗. เพราะอาชีววิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
     ๘. เพราะอาชีววิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
 นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๘ ฯ
             [๔๘๕] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๙ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
 ๑. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
 ๒. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
 ๓. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ
 ๔. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
 ๕. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
 ๖. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ
 ๗. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
 ๘. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ
 ๙. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ
นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๙ ฯ
             [๔๘๖] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๙ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
 ๑. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
 ๒. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
 ๓. เพราะศีลวิบัติมีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ
 ๔. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
 ๕. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
 ๖. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ
 ๗. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ
 ๘. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ
 ๙. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ
นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๙ ฯ
             [๔๘๗] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๑๐ เป็นไฉน
๑. ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก ไม่ได้นั่งอยู่ในบริษัทนั้น
๒. กถาปรารภผู้ต้องอาบัติปาราชิกมิได้ค้างอยู่
๓. ภิกษุผู้บอกลาสิกขาไม่ได้นั่งอยู่ในบริษัทนั้น
๔. กถาปรารภภิกษุผู้บอกลาสิกขามิได้ค้างอยู่
๕. ภิกษุร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม
๖. ไม่ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
๗. กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรมมิได้ค้างอยู่
๘. ไม่มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยศีลวิบัติ
๙. ไม่มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยอาจารวิบัติ
๑๐. ไม่มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ
    นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๑๐ ฯ
             [๔๘๘] การงดปาติโมกขเป็นธรรม มีมูล ๑๐ เป็นไฉน
 ๑. ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั่งอยู่ในบริษัทนั้น
 ๒. กถาปรารภภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกค้างอยู่
 ๓. ภิกษุผู้บอกลาสิกขานั่งอยู่ในบริษัทนั้น
 ๔. กถาปรารภภิกษุผู้บอกลาสิกขาค้างอยู่
 ๕. ภิกษุไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม
 ๖. ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
 ๗. กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรมค้างอยู่
 ๘. มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยศีลวิบัติ
 ๙. มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยอาจารวิบัติ
 ๑๐. มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ
     นี้การงดปาติโมกข์ มีมูล ๑๐ ฯ
             [๔๘๙] อย่างไร ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกชื่อว่านั่งอยู่ในบริษัทนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ การต้องอาบัติปาราชิกย่อมมี ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกเลย
แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก
แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมต้องอาบัติปาราชิก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้งถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
             [๔๙๐] เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ:-
      ๑. อันตรายแต่พระราชา
      ๒. อันตรายแต่โจร
      ๓. อันตรายแต่ไฟ
      ๔. อันตรายแต่น้ำ
      ๕. อันตรายแต่มนุษย์
      ๖. อันตรายแต่อมนุษย์
      ๗. อันตรายแต่สัตว์ร้าย
      ๘. อันตรายแต่สัตว์เลื้อยคลาน
      ๙. อันตรายต่อชีวิต
      ๑๐. อันตรายต่อพรหมจรรย์
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ในอาวาสนั้นหรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภอาบัติปาราชิกของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น
             ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภอาบัติปาราชิกของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม
   [๔๙๑]  อย่างไร ภิกษุผู้บอกลาสิกขา ชื่อว่านั่งอยู่ในบริษัทนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บอกลาสิกขาด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุบอกลาสิกขาด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้บอกลาสิกขาเลย แต่ภิกษุบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้
บอกลาสิกขา ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้บอกลาสิกขาเลย แม้ภิกษุอื่นก็ไม่เคยบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุรูปนี้บอกลาสิกขา แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่าท่าน ผมบอกลาสิกขาแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ บอกลาสิกขาแล้วข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
   [๔๙๒] เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อันตรายแต่พระราชา ... อันตรายต่อพรหมจรรย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ในอาวาสนั้น หรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการบอกลาสิกขา ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังไม่ได้วินิจฉัย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้วสงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น
   ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการบอกลาสิกขา ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
   [๔๙๓] อย่างไร ภิกษุชื่อว่าไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ในธรรมวินัยนี้ การไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ย่อมมีด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แต่ภิกษุ
อื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่านภิกษุมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม แต่ภิกษุนั่นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่านผมไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ
หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม ฯ
   [๔๙๔] อย่างไร ภิกษุชื่อว่าค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ การค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ย่อมมีด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ด้วยอาการ ด้วยเพศด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แต่ภิกษุอื่นบอก
แก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ภิกษุมิได้เห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ
เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้
การงดปาติโมกข์เป็นธรรม[๔๙๕] เมื่องดปาติโมกข์แล้ว บริษัทเลิกประชุม เพราะอันตราย ๑๐
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อันตรายแต่พระราชา ... อันตรายต่อพรหมจรรย์ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ในอาวาสนั้น หรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น
             ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังไม่ได้วินิจฉัย ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ
เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
             [๔๙๖] อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วย
ศีลวิบัติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และ
รังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุ
ที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วย
นิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วย
ศีลวิบัติเลย แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน
และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และ
รังเกียจ ด้วยศีลวิบัติเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้
มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ แต่ภิกษุนั่นแหละบอกแก่ภิกษุว่า
ท่าน ผมมีผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุหวังอยู่ ครั้งถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อม
หน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และ
รังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์
ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
             [๔๙๗] อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วย
อาจารวิบัติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และ
รังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็น
ภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ
ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ
ด้วยอาจารวิบัติ แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้มีผู้ ได้เห็น ได้ยินและรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติเลย
แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุ ว่า ท่าน ผมมีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ด้วยได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์
จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยอาจารวิบัติ ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้
การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ[๔๙๘] อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยทิฐิวิบัติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีผู้ได้เห็น
ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุ
ไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น
ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติเลย แม้ภิกษุอื่นก็ไม่ได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุนี้มีชื่อมีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมมีผู้ได้เห็น
ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำหรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ด้วยได้เห็น
ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยินและรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์
ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ๑๐ ประการ นี้แล ฯ
                            ภาณวาร ที่ ๑ จบ

ไม่มีความคิดเห็น: