Translate

17 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ปัญจสติกขันธกะ เรื่องไม่บัญญัติและไม่ถอนพระบัญญัติ ปรับอาบัติทุกกฏแก่พระอานนท์ เรื่องพระปุราณเถระ

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[๖๒๑] ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
ญัตติทุติยกรรมวาจา
   ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่ปรากฏแก่คฤหัสถ์มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้ว่า สิ่งนี้ควรแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร ถ้าพวกเราจักถอนสิกขาบทเล็กน้อย เสีย จักมีผู้กล่าวว่า พระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย เป็นกาลชั่วคราว พระศาสดาของ
พระสมณะเหล่านี้ยังดำรงอยู่ตราบใดสาวกเหล่านี้ยังศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบนั้น เพราะเหตุที่พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ปรินิพพานแล้ว พระสมณะเหล่านี้จึงไม่ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายในบัดนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้วสงฆ์ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานประพฤติ ในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้วนี้เป็นญัตติ
   ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่ปรากฏแก่คฤหัสถ์มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้ว่า สิ่งนี้ควรแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร ถ้าพวกเราจักถอนสิกขาบทเล็กน้อย เสีย จักมีผู้กล่าวว่า พระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายเป็นกาลชั่วคราว พระศาสดาของ
พระสมณะเหล่านี้ยังดำรงอยู่ตราบใด สาวกเหล่านี้ยังศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบนั้น เพราะเหตุที่พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ปรินิพพานแล้ว พระสมณะเหล่านี้จึงไม่ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายในบัดนี้ สงฆ์ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติแล้ว สมาทานประพฤติในสิกขาบท
ทั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว การไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว สมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้ว ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใดท่านผู้นั้นพึงพูด
       สงฆ์ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่ถอนพระบัญญัติตามที่ทรงบัญญัติแล้ว สมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วย
อย่างนี้ ฯ
ปรับอาบัติทุกกฏแก่พระอานนท์
       [๖๒๒] ครั้งนั้น พระเถระทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์ ข้อที่ท่านไม่ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย นี่เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
       ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า เพราะระลึกไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงมิได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุที่ไม่ได้ทูลถามนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
       พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่ท่านเหยียบผ้าวัสสิกสาฎกของพระผู้มีพระภาคเย็บ แม้นี้ก็เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
       ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าเหยียบผ้าวัสสิกสาฎกของพระผู้มีพระภาคเย็บโดยมิได้เคารพก็หามิได้ ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุที่เหยียบนั้น ว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
       พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่ท่านให้มาตุคามถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคก่อน พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเปื้อนน้ำตาของพวกนางผู้ร้องไห้อยู่ แม้นี้ก็เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
   ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าคิดว่ามาตุคามเหล่านี้อย่าได้อยู่จนเวลาพลบค่ำ จึงให้พวกมาตุคามถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคก่อนข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุที่ให้มาตุคามถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคนั้น ว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัตินั้น
   พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทำนิมิตอันหยาบ กระทำโอภาสอันหยาบอยู่ ท่านไม่ทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงดำรงอยู่ ตลอดกัป ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์
สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
   ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าถูกมารดลใจ จึงไม่ได้ทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
       พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่ท่านได้ทำการขวนขวายให้มาตุคามบวชในพระธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว แม้นี้ก็เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
   ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำการขวนขวายให้มาตุคามบวชในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วด้วยคิดว่าพระนางมหาปชาบดีโคตมีนี้ เป็นพระเจ้าน้าของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ประคับประคอง เลี้ยงดูทรงประทานขีรธาราแก่พระผู้มีพระภาคเมื่อพระพุทธมารดาทิวงคต ได้ยังพระผู้มีพระภาคให้เสวยถัญญธารา ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น ฯ
เรื่องพระปุราณเถระ
   [๖๒๓] สมัยนั้น ท่านพระปุราณะเที่ยวจาริกในชนบททักขิณาคิรี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป คราวเมื่อพระเถระทั้งหลายสังคายนาพระธรรมและพระวินัยเสร็จแล้ว ได้พักอยู่ในชนบททักขิณาคิรีตามเถราภิรมย์ แล้วเข้าไปหาพระเถระทั้งหลาย ที่พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อ
แก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ แล้วได้กล่าวสัมโมทนียะกับพระเถระทั้งหลายแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระเถระทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระปุราณะผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่าท่านปุราณะพระเถระทั้งหลายได้สังคายนาพระธรรมและพระวินัยแล้ว ท่านจงรับรู้พระธรรมและพระวินัยนั้นที่พระเถระทั้งหลายสังคายนาแล้ว
       ท่านพระปุราณะกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย พระเถระทั้งหลาย สังคายนาพระธรรมและพระวินัยเรียบร้อยแล้วหรือ แต่ว่า ข้าพเจ้าได้ฟัง ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคด้วยประการใด จักทรงไว้ด้วยประการนั้น ฯ
      [๖๒๔] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะพระเถระทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อจวนเสด็จปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคตรัสกะข้าพเจ้าอย่างนี้ว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เมื่อเราล่วงไปแล้ว สงฆ์จงลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุฉันนะ
      พระเถระทั้งหลายกล่าวว่า ท่านอานนท์ ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาคหรือว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็พรหมทัณฑ์เป็นอย่างไร
      พระอานนท์ตอบว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าทูลถามพระผู้มีพระภาคแล้วว่าพรหมทัณฑ์เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ภิกษุฉันนะพึงพูดตามปรารถนา ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงสั่งสอน ไม่พึงพร่ำสอนภิกษุฉันนะ
      ท่านพระเถระทั้งหลายกล่าวว่า ท่านอานนท์ ถ้าเช่นนั้น ท่านนั้นแหละจงลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ
      พระอานนท์ปรึกษาว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะได้อย่างไร เพราะเธอดุร้าย หยาบคาย
      พระเถระทั้งหลายกล่าวว่า ท่านอานนท์ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงไปกับภิกษุหลายๆ รูป ท่านพระอานนท์รับเถระบัญชาแล้วโดยสารเรือไป พร้อมกับภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ถึงเมืองโกสัมพี ลงจากเรือแล้วได้นั่ง ณ โคนไม้แห่งหนึ่งใกล้พระราชอุทยานของพระเจ้าอุเทน ฯ
เรื่องพระเจ้าอุเทน
   [๖๒๕] ครั้งนั้น พระเจ้าอุเทนกับพระมเหสี ประทับอยู่ในพระราชอุทยานพร้อมด้วยข้าราชบริพาร พระมเหสีของพระเจ้าอุเทนได้สดับข่าวว่า พระคุณเจ้าอานนท์ อาจารย์ของพวกเรา นั่งอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่งใกล้พระราชอุทยานจึงกราบทูลพระเจ้าอุเทนว่า ขอเดชะ ข่าวว่า พระคุณเจ้าอานนท์ อาจารย์ของพวก
หม่อมฉัน นั่งอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่งใกล้พระราชอุทยาน พวกหม่อมฉันปรารถนาจะไปเยี่ยมพระคุณเจ้าอานนท์ พระเจ้าข้า พระเจ้าอุเทนตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงเยี่ยมพระสมณะอานนท์เถิด
       ลำดับนั้น พระมเหสีของพระเจ้าอุเทน ได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์แล้วถวายอภิวาท นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ชี้แจงให้พระมเหสีของพระเจ้าอุเทนผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา
       ครั้งนั้น พระมเหสีของพระเจ้าอุเทนอันท่านพระอานนท์ชี้แจงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา แล้วได้ถวายผ้าห่ม ๕๐๐ ผืน แก่ท่านพระอานนท์ ครั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระอานนท์แล้วลุกจากอาสนะถวายอภิวาท ทำประทักษิณ แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าอุเทน ฯ
หัวข้อประจำขันธกะ 
[๖๒๙] เรื่องเมื่อพระสัมพุทธปรินิพพานแล้ว พระเถระชื่อกัสสปผู้รักษาพระสัทธรรม ได้ชี้แจงกะหมู่ภิกษุถึงถ้อยคำที่พระสุภัททะกล่าวหมิ่นพระธรรมวินัย เมื่อเดินทางไกลจากเมืองปาวา พวกเราจักสังคายนาพระสัทธรรม ในภายหน้าอธรรมจักรุ่งเรือง เรื่องเลือกสรรภิกษุ ๕๐๐ รูปหย่อนหนึ่ง
เรื่องเลือกพระอานนท์ เรื่องอยู่ใกล้ถ้ำอันอุดมเพื่อทำสังคายนาพระธรรมวินัย เรื่องถามวินัยกะพระอุบาลี เรื่องถามพระสูตรกะพระอานนท์ผู้ฉลาด เรื่องพระสาวกของพระชินะเจ้าได้ทำสังคายนาพระไตรปิฎก เรื่องอาบัติเล็กน้อยต่างๆ เรื่องปฏิบัติตามพระบัญญัติ เรื่องไม่ทูลถาม
 เรื่องเหยียบ เรื่องให้ไหว้ เรื่องไม่ทูลขอ เรื่องให้มาตุคามบวช เรื่องข้าพเจ้ายอมรับอาบัติทุกกฏ เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย เรื่องพระปุราณะ เรื่องพรหมทัณฑ์ เรื่องพระมเหสีกับพระเจ้าอุเทน เรื่องผ้ามาก เรื่องผ้าเก่า เรื่องผ้าดาดเพดาน เรื่องผ้าปูฟูก เรื่องผ้าลาดพื้น เรื่องผ้าเช็ดเท้า เรื่องผ้าเช็ดธุลี
 เรื่องผ้าขยำกับโคลน เรื่องผ้า ๑๐๐๐ ผืนเกิดแก่พระอานนท์เป็นครั้งแรก เรื่องพระฉันนะถูกลงพรหมทัณฑ์ได้บรรลุสัจจะ ๔ พระเถระผู้เชี่ยวชาญ ๕๐๐ รูป ฉะนั้น จึงเรียกว่าแจง ๕๐๐ ฯ
หัวข้อประจำขันธกะ จบ

Alien 3 (1992) เอเลี่ยน 3 อสูรสยบจักรวาล
ร้อยโท ริปลี่ย์ (ซิกอร์นี่ย์ วีเวอร์) คือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว หลังจากที่ยานลี้ภัยของเธอตกลงบนดาวฟิโอริน่า 161 ซี่งเป็นที่ใช้คุมขังอาชญากรร้ายแห่งจักรวาล สิ่งที่ริปลี่ย์หวาดหวั่นที่สุดว่าเอเลี่ยนตัวหนึ่ง อาจติดสอย
ห้อยตามเธอมาบนยานอวกาศเดียวกัน กลายเป็นความจริง เมื่อนักโทษหลายๆ คนถูกพบเป็นศพ เมื่อไร้เครื่องมือและอาวุธล้ำสมัยสำหรับช่วยในการต่อสู้เพื่อชีวิตรอด ริปลี่ย์จึงต้องเป็นผู้นำอาชญากรเหล่านี้ต่อสู้กับเอเลี่ยน และไม่นานเธอก็พบว่าในร่างกายเธอมี
ตัวอ่อนของเอเลี่ยนฝังอยู่ ความจริงที่น่ากลัว ทำให้ริปลี่ย์ไม่เพียงแต่ต้องหาทางกำจัดเอเลี่ยนเท่านั้น แต่เธอจำต้องเสียสละด้วยการทำลายตัวเองอีกด้วย!
Alien 3 (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Alien³ ) เป็นภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์สยองขวัญที่ออกฉายในปี 1992 เป็นภาคที่สามของแฟรนไชส์ ​​Alien และเป็นผลงานการกำกับครั้งแรกของเดวิด ฟินเชอร์ โดยเป็นภาคต่อของ Aliens ของเจมส์ คาเมรอน
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยฝักที่กระเด็นออกมาจากยานอวกาศ Colonial Marine ชื่อ Sulaco ในภาพยนตร์เรื่อง Aliens ซึ่งลงจอดฉุกเฉินบนดาวเคราะห์ที่เป็นโรงกลั่น/เรือนจำ ทำให้ทุกคนบนยานเสียชีวิต ยกเว้นร้อยโท Ellen Ripley (รับบทโดยSigourney Weaver ) ริปลีย์ไม่รู้ว่ามีไข่เอเลี่ยนอยู่บนยาน ฝักนี้เกิดในเรือนจำและเริ่มก่อเหตุฆาตกรรม
Alien 3 (1992) เอเลี่ยน 3 อสูรสยบจักรวาล Alien 3 (1992) ‧ Horror/Sci-fi ‧ 1h 54m  พากย์ไทย

Description




หลังจากเหตุการณ์ใน Aliens ยานอวกาศ Colonial Marine ชื่อ Sulaco ประสบเหตุไฟไหม้บนยาน จึงปล่อยยานหลบหนีที่มี
Ellen Ripley , Newt, Hicks และหุ่นยนต์ Bishop ที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งทั้งหมดอยู่ในภาวะ
หยุดนิ่งจากการแช่แข็ง ระหว่างการปล่อยยาน การสแกนทางการแพทย์ของยานจาก cryotube ของลูกเรือพบว่ามีเอเลี่ยนเฟซฮักเกอร์ติดอยู่กับลูกเรือคนหนึ่ง จากนั้นยานก็ตกลงบน Fiorina 'Fury' 161 ซึ่ง
เป็นโรงหล่อและอาณานิคมนักโทษที่มีนักโทษชายล้วนที่มีรูปแบบโครโมโซม "คู่ Y" และมีประวัติความรุนแรงทางร่างกายและทางเพศ หลังจากที่นักโทษบางคนกู้ยานและผู้โดยสารขึ้นมาได้ ก็เห็นเอเลี่ยนเฟซฮักเกอร์
กำลังเข้าใกล้สุนัขในเรือนจำ ริปลีย์ถูกพาตัวเข้าไปและปลุกโดย Clemens แพทย์ประจำเรือนจำ และได้รับการบอกกล่าวว่าเธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์นั้น อดีตนักโทษหลายคนหันมานับถือศาสนา
คริสต์แบบพันปีแห่งหายนะ และริปลีย์ได้รับคำเตือนจากฮาโรลด์ แอนดรูส์ ผู้คุมเรือนจำว่าการที่เธออยู่ท่ามกลางพวกเขาอาจส่งผลกระทบร้ายแรงอย่างยิ่ง
ริปลีย์สงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ยานหลบหนีหลุดออกไปและอะไรเป็นสาเหตุที่ฆ่าเพื่อนร่วมทางของเธอ จึงขอให้เคลเมนส์ชันสูตรพลิกศพนิวท์ เธอเกรงว่านิวท์อาจมีตัวอ่อนเอเลี่ยนอยู่ในร่างกายของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ยอมบอกเรื่องนี้ก็ตาม แม้ว่าผู้คุมและผู้ช่วยของเขา แอรอน จะคัดค้าน แต่การชันสูตรพลิกศพก็เสร็จสิ้นลงและไม่พบตัวอ่อนในร่างของนิวท์ เคลเมนส์จึงประกาศว่าเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าว ในขณะเดียวกัน พฤติกรรมผิดปกติของ ริปลีย์เริ่มทำให้ผู้คุมหงุดหงิดและก่อกวนนักโทษ งานศพของนิวท์และฮิกส์จัดขึ้น โดยร่างของพวกเขาถูกเผาในเตาเผาขนาดใหญ่ของสถานที่ ในอีกส่วนหนึ่งของสถานที่ สุนัขในเรือนจำเกิดอาการชักกระตุก และเอเลี่ยนก็พุ่งออกมาจากร่างของมัน เอเลี่ยนเริ่มโจมตีสมาชิกของอาณานิคมในไม่ช้า ฆ่าไปหลายคน และทำให้โกลิก นักโทษที่ ถูกขับไล่กลับไปสู่สภาพที่บ้าคลั่งเช่นเดิม เพื่อหาคำตอบ ริปลีย์จึงฟื้นตัวและเปิดใช้งานแอนดรอยด์ที่เสียหาย บิชอปยืนยันว่ามีเอเลี่ยนอยู่บนเรือซูลาโค และมันมา พร้อมกับพวกเขาในยานหลบหนีไปหาฟิออรินา จากนั้นเธอก็แจ้งให้แอนดรูว์ทราบถึงการเผชิญหน้ากับเอเลี่ยนครั้งก่อนๆ ของเธอ และแนะนำให้ทุกคนร่วมมือกัน ตามล่าและฆ่ามัน แอนดรูว์ไม่เชื่อเรื่องราวของเธอและอธิบายว่าสถานที่นี้ไม่มีอาวุธ ความหวังเดียวที่จะปกป้องพวกเขาคือเรือช่วยชีวิตที่บริษัท Weyland-Yutani ส่งมาให้ริปลีย์ กลับมาที่ห้องพยาบาลของเรือนจำ ขณะกำลังคุยกับริปลีย์เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คลีเมนส์ถูกเอเลี่ยนฆ่าตาย แต่เมื่อมัน กำลังจะโจมตีริปลีย์ มันก็หยุดชะงักกะทันหัน จากนั้นก็ถอยกลับ ช่วยชีวิตเธอไว้อย่างลึกลับ เธอวิ่งไปที่ห้องอาหารเพื่อเตือนคนอื่นๆ แต่กลับเห็นเอเลี่ยนฆ่าผู้คุม ริปลีย์ปลุกใจนักโทษและเสนอให้พวกเขาเทของเสียที่ติดไฟได้ง่ายซึ่งถูกเก็บไว้ในสถานที่นั้นลงในระบบระบายอากาศและจุดไฟเพื่อขับไล่สิ่งมีชีวิตนั้นออกไป การระเบิดเกิดขึ้นจากการแทรกแซงก่อนกำหนดของสิ่งมีชีวิต ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย ริปลีย์ใช้เครื่องมือทางการแพทย์บนยานหลบหนีซูลาโค สแกนตัวเองและค้นพบตัวอ่อนของราชินีเอเลี่ยนที่เติบโตอยู่ภายในตัวเธอ เธอยังพบอีกว่าบริษัทต้องการตัวอ่อนของราชินีและเอเลี่ยนที่โตเต็มวัยจริงๆ โดยหวังว่าจะเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นอาวุธชีวภาพ เมื่อสรุปได้ว่าเอเลี่ยนที่โตเต็มวัยจะไม่ฆ่าเธอเพราะตัวอ่อนที่เธออุ้มท้อง ริปลีย์จึงขอร้องดิลลอน ผู้นำศาสนาของนักโทษให้ฆ่าเธอ ซึ่งดิลลอนตกลงที่จะทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อเธอช่วยนักโทษฆ่าเอเลี่ยนที่โตเต็มวัยก่อน พวกเขาจึงวางแผนที่จะล่อมันเข้าไปในโรงหล่อ และจับมันจุ่มในตะกั่วหลอมเหลวโดยปิดประตูหลายๆ บานเพื่อดักจับ แผนการแบบล่อแล้วไล่ตามทำให้ดิลลอนและนักโทษที่เหลือทั้งหมดเสียชีวิต ยกเว้นมอร์สที่เทตะกั่ว เอเลี่ยนซึ่งปกคลุมไปด้วยโลหะหลอมเหลวหนีออกจากแม่พิมพ์และถูกริปลีย์ฆ่าเมื่อเธอเปิดเครื่องดับเพลิงและฉีดน้ำใส่สัตว์ร้าย ทำให้โครงกระดูกภายนอกของมันเย็นลงอย่างรวดเร็วและแตกสลายเนื่องจากแรงกระแทกจากความร้อน
ขณะที่ริปลีย์ต่อสู้กับเอเลี่ยน ทีมเวย์แลนด์-ยูทานิก็มาถึง ซึ่งรวมถึงชายคนหนึ่งชื่อไมเคิล บิชอป ซึ่งหน้าตาเหมือนกับแอนดรอยด์บิชอปทุกประการ โดยอ้างว่าเป็นผู้สร้างมัน เขาพยายามโน้มน้าวริปลีย์ให้เข้ารับการผ่าตัดเพื่อนำตัวอ่อนของราชินีออก ซึ่งเขาอ้างว่าจะถูกทำลาย ริปลีย์ปฏิเสธและก้าวถอยหลังไปบนแท่นเคลื่อนที่ ซึ่งมอร์สวางไว้เหนือเตาเผา คนในกองร้อย ยิงขาของมอร์ส และแอรอนก็หยิบประแจขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้วฟาดเข้าที่ศีรษะของบิชอปด้วยประแจนั้น แอรอนถูกยิงเสียชีวิต บิชอปและลูกน้องของเขาแสดงเจตนาที่แท้จริงของพวกเขา โดยขอร้องริปลีย์ให้ปล่อย "สิ่งมีชีวิตอันมหัศจรรย์" ให้พวกเขา ริปลีย์ขัดขืนพวกเขาด้วยการกระโดดลงไปในเตาเผาขนาดยักษ์ ขณะที่ราชินีเอเลี่ยนเริ่มโผล่ออกมาจากอกของเธอ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เธอกำลังจะตายจากบาดแผล ริปลีย์ก็คว้าสิ่งมีชีวิตนั้นไว้และจับมันไว้ในขณะที่เธอล้มลงไปในกองไฟ

ไม่มีความคิดเห็น: