Translate

19 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร กัตถปัญญัติวารที่ ๑ ปาราชิกกัณฑ์ คำถามและคำตอบในปาราชิกสิกขาบท

 
  
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น 

มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร ปราชิกกัณฑ์

 วิธีสมมติกัตถปัญญัติวารที่ ๑
[๑] พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน? ทรงปรารภใคร? เพราะเรื่องอะไร? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ สัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ
  เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ? บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น จัดเข้าในอุเทศไหน? นับเนื่องในอุเทศไหน? มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร? บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน? บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน? บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐาน
เท่าไร? บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อย่างไหน? บรรดาสมถะ ๗ ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์? อะไรเป็น
วิบัติ? อะไรเป็นสมบัติ? อะไรเป็นข้อปฏิบัติ? พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร? พวกไหนศึกษา? พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว? ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร? พวกไหนย่อมทรงไว้? เป็นถ้อยคำของใคร? ใครนำมา
คำถามและคำตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑
       [๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภพระสุทินน์ กลันทบุตร.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่พระสุทินน์ กลันทบุตร เสพเมถุนธรรมในปุราณทุติยิกา.
       ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ?
       ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒, อนุปันนบัญญัติ ไม่มี ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น.
   ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ?
   ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ.
   ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ?
   ต. มีแต่สาธารณบัญญัติ.
   ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ?
   ต. มีแต่อุภโตบัญญัติ.
       ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น จักเข้าในอุเทศไหน? นับเนื่องในอุเทศไหน?
   ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน.
   ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร?
   ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๒.
   ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน?
   ต. เป็นศีลวิบัติ.
   ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน?
   ต. เป็นอาบัติกองปาราชิก.
       ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
       ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
   ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร?
   ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์.
   ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
       ต. ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑.
       ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้นอะไรเป็นอภิวินัย?
   ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำแนกเป็นอภิวินัย.
       ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้นอะไรเป็นอธิปาติโมกข์?
       ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำแนกเป็นอธิปาติโมกข์
   ถ. อะไรเป็นวิบัติ?
   ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ.
   ถ. อะไรเป็นสมบัติ?
   ต. ความสังวรเป็นสมบัติ.
   ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ?
       ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่ทำกรรมเห็นปานนี้ แล้วศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ.
       ถ. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร?
       ต. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้แก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑.
   ถ. พวกไหนศึกษา?
   ต. พระเสขะและกัลยาณปุชนศึกษา.
   ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว?
   ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว.
   ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร?
   ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล.
   ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้?
       ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระเถระพวกนั้นย่อมทรงไว้.
   ถ. เป็นถ้อยคำของใคร?
       ต. เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
   ถ. ใครนำมา?
       ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.
รายนามพระเถระผู้ทรงพระวินัย
       [๓] พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ
       รวมเป็น ๕ ทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำพระวินัยมาในทวีปชื่อว่าชมพู อันมีสิริ.
       แต่นั้น พระเถระผู้ประเสริฐมีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหินทะ ๑ พระ
       อิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ พระเถระชื่อภัททะผู้เป็นบัณฑิต ๑
       มาในเกาะสิงหฬนี้ แต่ชมพูทวีป พวกท่านสอนพระวินัยปิฎกในเกาะตามพ
       ปัณณิ สอนนิกาย ๕ และปกรณ์ ๗ แล้ว. ภายหลังพระอริฏฐะผู้มีปัญญา
       พระติสสทัตตะผู้ฉลาด พระกาฬสุมนะผู้องอาจ พระเถระมีชื่อว่าทีฆะ พระ
       ทีฆสุมนะผู้บัณฑิต ต่อมาอีก พระกาฬสุมนะ พระนาคเถระ พระพุทธรักขิตะ
       พระติสสเถระผู้มีปัญญา พระเทวเถระผู้ฉลาด ต่อมาอีก พระสุมนะผู้มีปัญญา
       และเชี่ยวชาญในพระวินัย พระจูฬนาค ผู้พหูสูต ดุจช้างซับมัน พระเถระ
       ชื่อธัมมปาลิตะ อันสาธุชนบูชาแล้วในโรหนชนบท ศิษย์ของพระธรรมปาลิตะ
       นั้น มีปัญญามาก ชื่อพระเขมะ ทรงจำพระไตรปิฎก รุ่งเรืองอยู่ในเกาะ ด้วย
       ปัญญา ดุจพระจันทร์ พระอุปติสสะผู้มีปัญญา พระปุสสเทวะผู้มหากถึก
       ต่อมาอีก พระสุมนะผู้มีปัญญา พระเถระชื่อปุปผะ ผู้พหูสูต พระมหาสีวะ
       ผู้มหากถึก ฉลาดในพระปิฎกทั้งปวง ต่อมาอีก พระอุบาลี ผู้มีปัญญา
       เชี่ยวชาญในพระวินัย พระมหานาค ผู้มีปัญญามาก ฉลาดในวงศ์พระสัทธรรม
       ต่อมาอีก พระอภยะ ผู้มีปัญญา ฉลาดในพระปิฎกทั้งปวง พระติสสเถระ
       ผู้มีปัญญา เชี่ยวชาญในพระวินัย ศิษย์ของพระติสสเถระนั้น มีปัญญามาก
       ชื่อปุสสะ เป็นพหูสูต ตามรักษาพระศาสนา อยู่ในชมพูทวีป พระจูฬาภยะ
       ผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญในพระวินัย พระติสสเถระ ผู้มีปัญญา ฉลาดในวงศ์
       พระสัทธรรม พระจูฬาเทวะ ผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญในพระวินัย และพระ
       สิวเถระผู้มีปัญญา ฉลาดในพระวินัยทั้งมวล พระเถระผู้ประเสริฐมีปัญญามาก
       เหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา ได้ประกาศพระวินัยปิฎกไว้ในเกาะตัม
             พปัณณิ.
คำถามและคำตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๒.
       [๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภพระธนิยะ กุมภการบุตร.
   ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่พระธนิยะ กุมภการบุตร ถือเอาไม้ของหลวง ซึ่งไม่ได้รับพระราชทาน.
       มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนปัญญัติไม่มี. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา, บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย, บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำถามและคำตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๓.
       [๕] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน?
   ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี.
   ถ. ทรงปรารภใคร?
   ต. ทรงปรารภภิกษุมากรูปด้วยกัน.
       ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุมากรูปด้วยกัน ปลงชีวิตกันและกัน.
       มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา, บางทีเกิดแต่วาจากับจิตมิใช่กาย, บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...

คำถามและคำตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๔
       [๖] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน?
       ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี.
       ถ. ทรงปรารภใคร?
       ต. ทรงปรารภภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา.
       ถ. เพราะเรื่องอะไร?
       ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา กล่าวสรรเสริญอุตตริมนุสสธรรม ของกันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์.
       มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต ไม่ใช่วาจา, บางทีเกิดแต่วาจากับจิตมิใช่กาย, บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ... ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ
หัวข้อประจำกัณฑ์
       [๗] ปาราชิก ๔ คือ เมถุนธรรม ๑ อทินนาทาน ๑ มนุสสวิคคหะ ๑ อุตตริมนุสสธรรม ๑ เป็นวัตถุแห่งมูลเฉท หาความสงสัยมิได้ ดังนี้แล.
อรรถกถา ปริวาร ๒ มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวารปาราชิกกัณฑ์เป็นต้น  ปัญจมสมันตปาสาทิกา
ปริวารวัณณนา  วินัยใด อันพระเถระทั้งหลายจัดเข้าหมวด
        โดยชื่อว่า บริวาร เป็นลำดับแห่งขันธกะ
        ทั้งหลาย ใน ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
        ผู้มีบริวารสะอาด มีกองธรรมเป็นพระสรีระ,
        บัดนี้ข้าพเจ้าจักละนัยอันมาแล้วในหนหลังเสีย
        จักทำการพรรณาเนื้อความที่ไม่ตื้นแห่งวินัย
             ที่ชื่อว่า บริวารนั้น.
[โสฬสมหาวารวัณณนาในอุภโตวิภังค์]
          เนื้อความสังเขปแห่งปุจฉา ที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ยนฺเตน ภควตา ฯเปฯ ปญฺญตฺตํ ในคัมภีร์บริวารนั้น พึงทราบดังต่อไปนี้ก่อน :-
          พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นพระองค์ใด ผู้อันพระธรรมเสนาบดีประดิษฐานไว้แล้วซึ่งอัญชลี อันกำลังแห่งความเคารพและนับถือมากในพระสัทธรรมเชิดขึ้นแล้ว เหนือเศียรเกล้า ทูลวิงวอนแล้ว จึงทรงแต่งตั้งวินัยบัญญัติ อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ
เพื่อความตั้งอยู่ยืนนานของพระศาสนา. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้รู้กาลที่บัญญัติสิกขาบทนั้นๆ ผู้เห็นอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการแห่งสิกขาบทบัญญัตินั้นๆ.
          อีกอย่างหนึ่ง ผู้รู้ด้วยญาณทั้งหลาย มีปุพเพนิวาสญาณเป็นต้น ผู้เห็นด้วยทิพยจักษุ ผู้รู้ด้วยวิชชา ๓ หรือด้วยอภิญญา ๖ ผู้เห็นด้วยสมันตจักษุ อันหาสิ่งใดขัดขวางมิได้ในธรรมทั้งปวง ผู้รู้ด้วยปัญญา ซึ่งสามารถรู้ธรรมทั้งมวล ผู้เห็นแม้ซึ่งรูปทั้งหลาย
ที่อยู่ในภายนอกฝาเป็นต้น ซึ่งล่วงวิสัยจักษุแห่งสัตว์ทั้งปวง ด้วยมังสจักษุอันผ่องใสยิ่งนัก ผู้รู้ด้วยปัญญาเครื่องแทงตลอด มีสมาธิเป็นปทัฏฐาน ยังประโยชน์ตนให้สำเร็จ ผู้เห็นด้วยเทศนาปัญญา มีกรุณาเป็นปทัฏฐาน ยังประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จ ผู้เป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบัญญัติปฐมปาราชิกใดไว้ ปฐมปาราชิกนั้น ทรงบัญญัติที่ไหน? ทรงปรารภใคร จึงบัญญัติ? ทรงบัญญัติ เพราะเรื่องอะไร? ในปฐมปาราชิกนั้น มีบัญญัติหรือ? ฯลฯ ปฐมปาราชิกนั้น ใครนำมาแล้ว?
          แต่คำว่า ยนฺเตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ปฐมํ ปาราชิกํ นี้ เป็นแต่เพียงคำขยายของบทต้น ที่มาแล้ว ในปุจฉาอย่างเดียว ในวาระคำถามและคำตอบเท่านั้น.
          ก็แลในวาระคำถามและคำตอบนี้ พึงถามแล้วตอบทีละบทๆ แม้อีกเทียว โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ถามว่า ปฐมปาราชิกทรงบัญญัติที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติที่กรุงเวสาลี ทรงปรารภใคร? ทรงปรารภพระสุทินน์กลันทบุตร.
          ข้อว่า เอกาปญฺญตฺติ มีความว่า บัญญัติที่ว่า ก็ภิกษุใดพึงเสพเมถุนธรรม ภิกษุนั้นเป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ นี้เป็นบัญญัติอันหนึ่ง.
          ข้อว่า เทฺวอนุปญฺญตฺติโย มีความว่า อนุบัญญัติ ๒ นี้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจแห่งเรื่องนางลิงว่า อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปิ และเรื่องภิกษุวัชชีบุตรว่า สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย.
          ปุจฉานี้ว่า ในปฐมปาราชิกนั้น มีบัญญัติหรือ? มีอนุบัญญัติหรือ? มีอนุปันนบัญญัติหรือ? เป็นอันวิสัชนาแล้ว ๒ ส่วน ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ ก็แลเพื่อวิสัชนาส่วนที่ ๓ ท่านจึงกล่าวว่า ในปฐมปาราชิกนั้น ไม่มีอนุปันนบัญญัติ.
          จริงอยู่ ที่ชื่อว่าอนุปันนบัญญัตินี้ ได้แก่ ข้อที่ทรงบัญญัติในเมื่อโทษ ยังไม่เกิดขึ้น อนุปันนบัญญัตินั้นไม่มี นอกจากที่มาด้วยอำนาจครุธรรม ๘ ของภิกษุณีทั้งหลายเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ในปฐมปาราชิกนั้น ไม่มีอนุปันนบัญญัติ.
          ข้อว่า สพฺพตฺถปญฺญตฺติ นั้น ได้แก่ บัญญัติในที่ทั้งปวง ทั้งในมัชฌิมประเทศ ทั้งในปัจจันตชนบททั้งหลาย.
          จริงอยู่ ๔ สิกขาบทนี้ คือ อุปสมบทด้วยคณะมีพระวินัยธรเป็นที่ ๕, รองเท้าตั้งแต่ ๔ ชั้นขึ้นไป, การอาบน้ำเป็นนิตย์, เครื่องลาดคือหนัง ทรงบัญญัติเฉพาะในมัชฌิมประเทศเท่านั้น, เป็นอาบัติ เพราะสิกขาบทเหล่านั้น ในมัชฌิมประเทศนี้เท่านั้น
ในปัจจันตชนบททั้งหลาย หาเป็นอาบัติไม่. สิกขาบทที่เหลือทั้งหมดทีเดียว ชื่อว่าสัพพัตถบัญญัติ.
 ข้อว่าสาธารณปญฺญตฺติ นั้น ได้แก่ พระบัญญัติที่ทั่วถึงแก่ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย.
          จริงอยู่ สิกขาบทที่ทรงบัญญัติเฉพาะแก่ภิกษุล้วน หรือภิกษุณีล้วน เป็นอสาธารณบัญญัติ. ส่วนสิกขาบทที่ว่า ยา ปน ภิกฺขุนี ฉนฺทโส เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสเวยฺย อนฺตมโส ติรจฺฉานคเตปิ ปาราชิกา โหติ อสํวาสา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภภิกษุทั้งหลาย
บัญญัติแล้ว แม้แก่ภิกษุณีทั้งหลาย ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว. จริงอยู่ เพียงแต่เรื่องเทียบเคียงเท่านั้นของภิกษุณีทั้งหลายเหล่านั้นไม่มี. แต่สิกขาบทมี ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปฐมปาราชิกเป็นสาธารณบัญญัติ.
          แม้ในอุภโตบัญญัติ ก็มีนัยเหมือนกัน. จริงอยู่ ในอุภโตบัญญัตินี้ต่างกันแต่เพียงพยัญชนะเท่านั้น. ปฐมปาราชิก จัดเป็นสาธารณบัญญัติ เพราะเป็นสิกขาบทที่ทั่วถึงทั้งแก่ภิกษุทั้งหลาย ทั้งแก่ภิกษุณีทั้งหลาย จัดเป็นอุภโตบัญญัติ เพราะเป็นสิกขาบทที่ทรงบัญญัติ
แก่ภิกษุและภิกษุณีทั้ง ๒ ฝ่าย ฉะนี้แล. ส่วนในใจความ ไม่มีความต่างกันเลย.
          บทว่า นิทาโนคธํ มีความว่า ชื่อว่าหยั่งลงในนิทาน คือ นับเข้าในนิทาน เพราะอาบัติทั้งปวงนับเข้าในนิทานุทเทสนี้ว่า ยสฺส สิยา อาปตฺติ, โส อาวิกเรยฺย.
          สองบทว่า ทุติเยน อุทฺเทเสน มีความว่า ปฐมปาราชิกนี้หยั่งลงในนิทาน คือแม้นับเนื่องในนิทานก็จริง แต่ย่อมไม่มาสู่อุเทศ โดยอุเทศที่ ๒ เท่านั้น ดังนี้ว่า ตตฺรีเม จตฺตาโร ปาราชิกา ธมฺมา เป็นอาทิ.
          สองบทว่า จตุนฺนํ วิปตฺตีนํ ได้แก่ บรรดาวิบัติทั้งหลายมีศีลวิบัติเป็นต้น.
          จริงอยู่ อาบัติ ๒ กองต้น ชื่อว่าศีลวิบัติ. ๕ กองที่เหลือ ชื่อว่าอาจารวิบัติ. มิจฉาทิฏฐิและอันตคาหิกทิฏฐิ ชื่อว่าทิฏฐิวิบัติ. สิกขาบท ๖ ที่ทรงบัญญัติเพราะอาชีวะเป็นเหตุ ชื่อว่าอาชีววิบัติ. บรรดาวิบัติ ๔ เหล่านี้ ปาราชิกนี้จัดเป็นศีลวิบัติ ด้วยประการฉะนี้.
          ข้อว่า เอเกน สมุฏฺฐาเนน มีความว่า ปฐมปาราชิกนี้เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง มีองค์ ๒ (คือกายกับจิต).
          จริงอยู่ ในองค์ ๒ นี้ จิตเป็นองค์, แต่ภิกษุย่อมต้องอาบัติด้วยกาย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมเกิดขึ้นแต่กายและจิต.
          ข้อว่า ทฺวีหิ สมเถหิ มีความว่า ภิกษุผู้ถูกถามอยู่พร้อมหน้ากันว่า ท่านเป็นผู้ต้องหรือ? จึงปฏิญญาว่า จริง ข้าพเจ้าเป็นผู้ต้องแล้ว. ความบาดหมาง ความทะเลาะ และความแก่งแย่ง เป็นอันสงบในทันทีนั้นเอง, ทั้งอุโบสถหรือปวารณา ย่อมเป็นกรรมอันสงฆ์
อาจกำจัดบุคคลนั้นเสียแล้ว กระทำได้ ; เพราะเหตุนั้น อธิกรณ์นั้นจึงระงับด้วยสมถะ ๒ คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑. และอุปัทวะบางอย่าง ย่อมไม่มี เพราะปัจจัยคือการกำจัดบุคคลนั้น.
          ส่วนคำใดที่ท่านกล่าวไว้ ในปัญญัตติวัคค์ถัดไปว่า กตเมน สมเถน สมฺมติ คำนั้น ท่านกล่าวหมายเอาเนื้อความนี้ว่า อนาบัติอันภิกษุไม่อาจเพื่อให้หยั่งลงสู่สมถะแล้วกระทำได้.
          ข้อว่า ปญฺญตฺติ วินโย มีความว่า บัญญัติมีมาติกาที่ตรัสไว้โดยนัยมีคำว่า โย ปน ภิกฺขุ เป็นอาทิ เป็นวินัย.
          บทภาชนะ เรียกว่า วิภัตติ. คำว่า วิภัตติ นั่นเป็นชื่อแห่งวิภังค์.
          ความละเมิด ชื่อว่า ความไม่สังวร. ความไม่ละเมิด ชื่อว่า สังวร.
          ข้อว่า เยสํ วตฺตติ มีความว่า วินัยปิฎกและอรรถกถาของพระมหาเถระเหล่าใด เป็นคุณแคล่วคล่องทั้งหมด.
          ข้อว่า เต ธาเรนฺติ มีความว่า พระมหาเถระเหล่านั้น ย่อมทรงไว้ซึ่งปฐมปาราชิกนั่นทั้งโดยบาลี ทั้งโดยอรรถกถา.
          จริงอยู่ เนื้อความแห่งปฐมปาราชิกนั่น อันบุคคลผู้ไม่รู้วินัยปิฎกทั้งหมด ไม่อาจทราบได้.
          ข้อว่า เกนาภฏํ มีความว่า ปฐมปาราชิกนี้ ใครนำมาด้วยอำนาจบาลี และด้วยอำนาจอรรถกถา ตลอดกาลจนทุกวันนี้?
          ข้อ ปรมฺปราภฏํ มีความว่า อันพระมหาเถระทั้งหลายนำมาด้วยสืบลำดับกัน.
          ปฐมปาราชิกนี้ อันพระมหาเถระทั้งหลายนำมาด้วยสืบลำดับกันอันใด, บัดนี้ เพื่อแสดงกิริยาที่สืบลำดับกันอันนั้น พระมหาเถระทั้งหลายครั้งโบราณจึงตั้งคาถาไว้โดยนัยมีคำว่า อุปาลิ ทาสโก เจว เป็นอาทิ. ในคาถาเหล่านั้น คำใดอันข้าพเจ้าพึงกล่าว, คำนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในนิทานวัณณนานั่นแล.
          แม้ในปุจฉาวิสัชนาทั้งหลาย มีทุติยปาราชิกเป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยโดยนัยนี้ ฉะนี้แล.
                ปัญญัตติวารวัณณนาในมหาวิภังค์ จบ.
[ว่าด้วยวารต่างๆ]
               ถัดจากนี้ไป วาร ๗ เหล่านี้ คือ กตาปัตติวาร มีประเภทเป็นต้นว่า ภิกษุเสพเมถุนธรรมต้องอาบัติเท่าไร? วิปัตติวาร มีประเภทเป็นต้นว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ย่อมจัดเป็นวิบัติเท่าไร แห่งวิบัติ ๔ อย่าง?
               สังคหวาร มีประเภทเป็นต้นว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ท่านสงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร แห่งกองอาบัติ ๗? สมุฏฐานวาร มีประเภทเป็นต้นว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ย่อมเกิดขึ้น ด้วยสมุฏฐานเท่าไร แห่งสมุฏฐานอาบัติ ๖?
               อธิกรณวาร มีประเภทเป็นต้นว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม จัดเป็นอธิกรณ์ไหน แห่งอธิกรณ์ ๔? สมถวาร มีประเภทเป็นต้น
                     ว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร แห่งสมถะ ๗? และสมุจจยวารอันเป็นลำดับแห่งสมถวารนั้น มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น. ถัดจากนั้นไปอีก ๘ วาร ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ คือ ปัญญัตติวาร ๑ เนื่องด้วยปัจจัยอีก
               โดยนัยเป็นต้นว่า เพราะปัจจัยคือการเสพเมถุนธรรม ปาราชิกทรงบัญญัติที่ไหน? ดังนี้, ๗ วาร มกตาปัตติวารเป็นอาทิ คล้ายวารก่อนๆ เนื่องด้วยปัจจัยนั้นเหมือนกัน.
            แม้วารทั้ง ๘ นั้น ก็มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
                วาร ๑๖ ในมหาวิภังค์ คือ ที่มีก่อน ๘ เหล่านี้อีก ๘ ข้าพเจ้าแสดงแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
                ถัดจากวารนั้นไป ๑๖ วาร มาแล้วแม้ในภิกขุนีวิภังค์ โดยนัยนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พึงทราบวาร ๓๒ ในอุภโตวิภังค์เหล่านี้โดยนัยบาลีนั่นแล ด้วยประการฉะนี้.
                จริงอยู่ ใน ๓๒ วารนี้ คำไรๆ ที่นับว่ามิได้วินิจฉัยแล้วในหนหลัง ย่อมไม่มี.
                         โสฬสมหาวาร วัณณนา ในมหาวิภังค์และภิกขุนีวิภังค์ จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: