![]() |
[๔๑๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นพระอาคันตุกะ สวมรองเท้าเข้าไปสู่อารามก็มี กั้นร่มเข้าไปสู่อารามก็มี คลุมศีรษะเข้าไปสู่อารามก็มี พาดจีวรบนศีรษะเข้าไปสู่อารามก็มี ล้างเท้าด้วยน้ำฉันก็มี ไม่ไหว้ภิกษุเจ้าถิ่นผู้แก่พรรษากว่าก็มี ไม่ถามเสนาสนะก็มี มีพระอาคันตุกะรูปหนึ่ง ถอดลิ่มแล้วผลักบานประตูเข้าไปสู่วิหารที่ไม่มีใครอยู่โดยพลัน งูตกจากเบื้องบนลงมาที่คอของเธอ เธอกลัวร้องขึ้นสุดเสียง ภิกษุทั้งหลายรีบเข้าไปถามว่า ท่านร้องสุดเสียงทำไม เธอจึงบอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระอาคันตุกะจึงสวมรองเท้าเข้าไปสู่อารามก็มี กั้นร่มเข้าไปสู่อารามก็มี คลุมศีรษะเข้าไปสู่อารามก็มี พาดจีวรบนศีรษะเข้าไปสู่อารามก็มี ล้างเท้าด้วยน้ำฉันก็มี ไม่ไหว้ภิกษุเจ้าถิ่นผู้แก่พรรษากว่าก็มี ไม่ถามเสนาสนะก็มีแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุอาคันตุกะสวมรองเท้าเข้าไปสู่อารามก็มี กั้นร่มเข้าไปสู่อารามก็มี คลุมศีรษะเข้าไปสู่อารามก็มีพาดจีวรบนศีรษะเข้าไปสู่อารามก็มี ล้างเท้าด้วยน้ำฉันก็มี ไม่ไหว้ภิกษุเจ้าถิ่นผู้แก่พรรษากว่าก็มี ไม่ถามเสนาสนะก็มี จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุอาคันตุกะจึงได้สวมรองเท้าเข้าไปสู่อารามก็มี กั้นร่มเข้าไปสู่อารามก็มี คลุมศีรษะเข้าไปสู่อารามก็มี พาดจีวรบนศีรษะเข้าไปสู่อารามก็มี ล้างเท้าด้วยน้ำฉันก็มี ไม่ไหว้ภิกษุเจ้าถิ่นผู้แก่พรรษากว่าก็มี ไม่ถามเสนาสนะก็มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแลเราจักบัญญัติวัตรแก่ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลาย โดยประการที่ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายจะพึงประพฤติเรียบร้อย ฯ
[๔๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาคันตุกะคิดว่า จักเข้าไปสู่อารามเดี๋ยวนี้พึงถอดรองเท้าเคาะ แล้วถือไปต่ำๆ ลดร่ม เปิดศีรษะ ลดจีวรบนศีรษะลงไว้ที่บ่า ไม่ต้องรีบร้อน พึงเข้าไปสู่อารามตามปกติ เมื่อเข้าไปสู่อารามพึงสังเกตว่า
ภิกษุเจ้าถิ่นประชุมกันที่ไหน ภิกษุเจ้าถิ่นประชุมกันที่ใด คือ ที่โรงฉัน มณฑป หรือโคนไม้ พึงไปที่นั่น วางบาตรไว้ที่แห่งหนึ่ง วางจีวรไว้ที่แห่งหนึ่ง พึงถืออาสนะที่สมควรนั่ง
พึงถามถึงน้ำฉัน พึงถามถึงน้ำใช้ว่า ไหนน้ำฉัน ไหนน้ำใช้ ถ้าต้องการน้ำฉัน พึงตักน้ำฉันหาดื่ม ถ้าต้องการน้ำใช้ พึงตักน้ำใช้มาล้างเท้า เมื่อล้างเท้า พึงรดน้ำด้วยมือข้างหนึ่ง พึงล้างเท้าด้วยมือข้างหนึ่ง รดน้ำด้วยมือใดไม่พึงล้างเท้าด้วยมือนั้น
พึงถามถึงผ้าเช็ดรองเท้าแล้วจึงเช็ดรองเท้า เมื่อจะเช็ดรองเท้า พึงใช้ผ้าแห้งเช็ดก่อน ใช้ผ้าเปียกเช็ดทีหลัง พึงซักผ้าเช็ดรองเท้าบิดแล้วผึ่งไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง
ถ้าภิกษุเจ้าถิ่นแก่พรรษากว่า พึงอภิวาท ถ้าอ่อนพรรษากว่า พึงให้เธออภิวาท พึงถามถึงเสนาสนะว่า เสนาสนะไหนถึงแก่ผม พึงถามถึงเสนาสนะที่มีภิกษุอยู่ หรือที่ไม่มีภิกษุอยู่ พึงถามถึงโคจรคาม พึงถามถึงอโคจรคาม พึงถามถึงสกุลทั้งหลายที่ได้รับสมมติว่าเป็นเสกขะ
พึงถามถึงที่ถ่ายอุจจาระ พึงถามถึงที่ถ่ายปัสสาวะ พึงถามถึงน้ำฉัน พึงถามถึงน้ำใช้ พึงถามถึงไม้เท้า พึงถามถึงกติกาสงฆ์ที่ตั้งไว้ว่า ควรเข้าเวลาเท่าไร ควรออกเวลาเท่าไร ถ้าวิหารไม่มีภิกษุอยู่ พึงเคาะประตูรออยู่สักครู่หนึ่งแล้วถอดลิ่มผลักบานประตู ยืนอยู่ข้างนอกแลดูให้ทั่ว ถ้าวิหารรก หรือเตียงซ้อนอยู่บนเตียงหรือตั่งซ้อนอยู่บนตั่ง เสนาสนะมีละอองจับอยู่เบื้องบน ถ้าอุตสาหะอยู่ พึงชำระเสียเมื่อจะชำระวิหาร พึงขนเครื่องลาดพื้นออกไปวางไว้ที่ควรแห่งหนึ่งก่อน พึงขนเขียงรองเท้าเตียงออกไปวางไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง พึงขนฟูกและหมอนออกไปวางไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง พึงขนผ้านิสีทนะและผ้าปูนอนออกไปวางไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง เตียง ตั่ง อันภิกษุพึงยกต่ำๆ ทำให้เรียบร้อย อย่าให้ครูดสี กระทบบานและกรอบประตู ขนไปวางไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง
กระโถนพึงขนออกไปวางไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง พนักอิงพึงขนออกไปวางไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง ถ้าในวิหารมีหยากเยื่อ พึงกวาดแต่เพดานลงมาก่อน พึงเช็ดกรอบหน้าต่าง ประตูและมุมห้อง ถ้าฝาทาน้ำมันขึ้นรา พึงเอาผ้าชุบน้ำบิดแล้วเช็ด ถ้าพื้นทาสีดำขึ้นรา พึงเอาผ้าชุบน้ำบิดแล้วเช็ด ถ้าพื้นไม่ได้ทา พึงเอาน้ำพรมแล้วกวาด ด้วยคิดว่าอย่าให้ฝุ่นกลบวิหาร พึงเก็บกวาดหยากเยื่อไปทิ้งเสีย ณ ที่ควรแห่งหนึ่งเครื่องลาดพื้น พึงผึ่งแดดชำระเคาะปัด แล้วขนกลับไปปูไว้ตามเดิม เขียงรองเท้าเตียง พึงผึ่งแดด ขัด เช็ดแล้วขนกลับตั้งไว้ตามเดิม เตียง ตั่ง พึงผึ่งแดด ขัดสี เคาะ ยกต่ำๆ ทำให้ดี อย่าให้ครูดสี กระทบบานและกรอบประตู ขนกลับตั้งไว้ตามเดิม
ฟูกและหมอนตากแห้งแล้ว เคาะปัดให้สะอาด ขนกลับ วางไว้ตามเดิม ผ้าปูนั่งและผ้าปูนอนตากแห้งแล้ว สลัดให้สะอาด ขนกลับปูไว้ตามเดิม กระโถนพนักอิง ตากแล้ว พึงเช็ด ขนกลับไปตั้งไว้ตามเดิม พึงเก็บบาตร จีวร เมื่อเก็บบาตรพึงเอามือข้างหนึ่งจับบาตร เอามือข้างหนึ่งลูบคลำใต้เตียงหรือใต้ตั่ง แล้วเก็บบาตร แต่อย่าเก็บบาตรบนพื้นที่ปราศจากเครื่องรอง เมื่อเก็บจีวร พึงเอามือข้างหนึ่งถือจีวร เอามือข้างหนึ่งลูบราวจีวรหรือสายระเดียง พึงทำชายไว้ข้างนอก ขนดไว้ข้างใน เก็บจีวร ถ้ามีลมเจือด้วยผงคลีพัดมาทางทิศตะวันออก พึงปิดหน้าต่างด้านตะวันออกถ้ามีลมเจือด้วยผงคลีพัดมาทางทิศตะวันตก พึงปิดหน้าต่างด้านตะวันตก ถ้ามีลมเจือด้วยผงคลีพัดมาทางทิศเหนือ พึงปิดหน้าต่างด้านเหนือ ถ้ามีลมเจือด้วยผงคลีพัดมาทางทิศใต้ พึงปิดหน้าต่างด้านใต้ ถ้าฤดูหนาว กลางวันพึงเปิดหน้าต่าง กลางคืนพึงปิดถ้าฤดูร้อน กลางวันพึงปิดหน้าต่าง กลางคืนพึงเปิด ถ้าบริเวณ ซุ้มน้ำ โรงฉัน โรงไฟวัจจกุฎีรก พึงปัดกวาดเสีย ถ้าน้ำฉัน น้ำใช้ไม่มี พึงจัดตั้งไว้ ถ้าน้ำในหม้อชำระไม่มี พึงตักน้ำมาไว้ในหม้อชำระ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นวัตรของภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายซึ่งภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายพึงประพฤติเรียบร้อย ฯ
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ วัตตขันธกะ เรื่องพระอาคันตุกะเป็นต้น
วัตตักขันธกวรรณนา [วินิจฉัยในวัตตักขันธกะ]
วินิจฉัยในวัตตักขันธกะ พึงทราบดังนี้ :-
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงที่ใกล้อุปจารสีมา ด้วยพระพุทธพจน์นี้ว่า บัดนี้ เราจักเข้าสู่อาราม ; เพราะฉะนั้น ภิกษุถึงอุปจารสีมาแล้ว พึงทำคารวกิจทั้งปวง มีถอดรองเท้าเป็นต้น.
บทว่า ตเหตฺวา ได้แก่ ใช้ไม้เท้าคอนรองเท้าไป.
บทว่า ปฏิกฺกมนฺติ ได้แก่ ประชุมกัน.
หลายบทว่า อุปาหนปุญฺฉนโจฬนํ ปุจฺฉิตฺวา อุปาหนา ปุญฺฉิตพฺพา มีความว่า พึงถามภิกษุทั้งหลายผู้เจ้าถิ่นว่า ผ้าเช็ดรองเท้าอยู่ที่ไหน.
บทว่า วิสชฺเชตพฺพํ คือ พึงผึ่งไว้.
ข้อว่า โคจโร ปุจฺฉิตพฺโพ มีความว่า พึงถามถึงที่เที่ยว เพื่อภิกษาอย่างนี้ว่า โคจรคามอยู่ใกล้หรือไกล. ภิกษุพึงเที่ยวบิณฑบาตแต่เช้าหรือสาย? ดังนี้.
บ้านของพวกมิจฉาทิฏฐิก็ดี บ้านที่มีภิกษาเขาจำกัดไว้ก็ดี ชื่อว่า อโคจร.
ภิกษาในบ้านใด เขาถวายแก่ภิกษุรูปเดียวหรือ ๒ รูป, บ้านแม้นั้นก็ควรถาม.
หลายบทว่า ปานียํ ปุจฺฉิตพฺพํ, ปริโภชนียํ ปุจฺฉิตพฺพํ มีความว่า พึงถามถึงน้ำใช้อย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ย่อมดื่มน้ำที่ควรดื่มแน่ สระนี้ ทั้งการใช้สอย มีอาบเป็นต้นด้วยหรือ? สัตว์ร้ายหรือเหล่าอมนุษย์ย่อมมีในสถานบางตำบล ; เพราะฉะนั้น จึงควรถามว่า ควรเข้าไปเวลาไร? ควรออกมาเวลาไร?
สองบทว่า พหิ ฐิเตน มีความว่า เห็นทางของงูหรือของอมนุษย์กำลังออกไป พึงยืนดูอยู่ข้างนอก.
หลายบทว่า สเจ อุสฺสหติ โสเธตพฺโพ มีความว่า ถ้าว่าตนสามารถ, พึงชำระสำนักทั้งหมดให้สะอาด, เมื่อไม่สามารถ พึงจัดแจงโอกาสเป็นที่อยู่ของตน.
ก็แลในธรรมเนียมแห่งการชำระสำนักให้สะอาด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว สำหรับภิกษุผู้สามารถชำระสำนักทั้งหมดให้สะอาด พึงทราบวินิจฉัย ตามนัยที่กล่าวแล้วในมหาขันธกะนั่นแล.
[อาวาสิกวัตร]
วินิจฉัยในอาวาสิกวัตร พึงทราบดังนี้ :-
เมื่ออาคันตุกะผู้แก่กว่ามา พึงงดจีวรกรรมหรือนวกรรมเสีย ทำกิจทั้งปวงมีอาทิอย่างนี้ว่า พึงแต่งตั้งอาสนะ ดังนี้ กำลังกวาดลานเจดีย์ พึงเก็บไม้กวาดเสีย เริ่มทำวัตรแก่เธอ.
หากว่า อาคันตุกะเป็นผู้ฉลาด, เธอจักกล่าวว่า จงกวาดลานเจดีย์เสียก่อนเถิด ผู้มีอายุ.
อนึ่ง กำลังทำยาเพื่อคนไข้อยู่ ถ้าว่า คนไข้ไม่ทุรนทุรายนัก, พึงงดทำไว้ ทำวัตรเสียก่อน, แต่สำหรับไข้หนัก ต้องทำยาก่อน ถ้าอาคันตุกะเป็นผู้ฉลาด, เธอจักกล่าวว่า จงทำยาเสียก่อน. เมื่อถามถึงน้ำฉัน ถ้าว่า อาคันตุกะดื่มน้ำที่นำมาแล้วครั้งเดียวหมด, พึงถามท่านว่า ผมจักต้องนำมาอีกไหม?
อนึ่ง พึงพัดท่านด้วยพัด.
เมื่อพัด พึงพัดที่หลังเท้าครึ่งหนึ่งกลางตัวครั้งหนึ่ง ศีรษะครั้งหนึ่ง. เธออันท่านกล่าวว่า พอหยุดเดินพึงพัดให้อ่อนลง. เธออันท่านกล่าวว่า พอละ จึงพัดให้อ่อนลงกว่านั้น.
ท่านกล่าวถึงครั้งที่ ๓ พึงวางพัดเสีย. พึงล้างเท้าของท่าน. ครั้นล้างแล้ว ถ้าน้ำมันของตนมี, พึงทาด้วยน้ำมัน.
ถ้าไม่มี, พึงทาด้วยน้ำมันของท่าน. ส่วนการเช็ดรองเท้า พึงทำตามความชอบใจของตน.
ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สเจ อุสฺสหติ. เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นอาบัติ แม้แก่ภิกษุผู้ไม่เช็ดรองเท้า. เธออันท่านถามว่า เสนาสนะถึงแก่เราที่ไหน? พึงจัดแจง เสนาสนะ.
อธิบายว่า พึงบอกอย่างนี้ว่า เสนาสนะนี่ถึงแก่ท่าน ดังนี้. แลสมควรแท้ ที่จะตบเสียก่อน จึงปูลาด.
วินิจฉัยในวัตรของอาคันตุกะผู้นวกะ พึงทราบดังนี้ :-
ข้อว่า ปานียํ อาจิกฺขิตพฺพํ
มีความว่า ภิกษุผู้เจ้าถิ่น พึงบอกว่า ท่านจงถือเอาน้ำนั่นดื่ม ดังนี้. แม้ในน้ำใช้ ก็มีนัยเหมือนกัน.
คำที่เหลือเหมือนคำก่อนนั่นแล.
จริงอยู่ ภิกษุเจ้าถิ่นจะไม่ทำวัตรแก่อาคันตุกะ ผู้มาถึงสำนักของตน แม้ในอาวาสใหญ่ ย่อมไม่ได้.
[คมิกวัตร] วินิจฉัยในคมิกวัตร พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า ทารุภณฺฑํ ได้แก่ เตียงและตั่งเป็นต้น ที่กล่าวแล้วในเสนาสนักขันธกะ. แม้ภัณฑะดิน ก็ได้แก่ภาชนะสำหรับย้อมเป็นต้น ภัณฑะทั้งปวงมีประเภทดังกล่าวแล้วในเสนาสนักขันธกะนั่นแล.
ภัณฑะทั้งปวงนั้นอันภิกษุผู้เตรียมจะไป พึงเก็บไว้ที่โรงไฟหรือไม่ที่อื่นซึ่งคุ้มได้แล้วจึงไป. จะเก็บไว้ในเงื้อมที่ฝนไม่รั่วก็ควร.
วินิจฉัยในคำว่า เสนาสนํ อาปุจฺฉิตพฺพํ นี้ พึงทราบดังนี้ :-
เสนาสนะใด สร้างไว้บนศิลาดาดหรือบนเสาศิลา, ปลวกทั้งหลายขึ้นไม่ได้ในเสนาสนะใด, ไม่เป็นอาบัติ แม้แก่ภิกษุไม่บอกมอบเสนาสนะนั้น.
คำว่า จตูสุ ปาสาณเกสุ เป็นอาทิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อแสดงอาการที่จะพึงกระทำ ในเสนาสนะมีบรรณศาลาเป็นต้น อันเป็นสถานที่เกิดแห่งปลวกทั้งหลาย.
ข้อนี้ว่า บางที แม้ส่วนทั้งหลาย จะพึงเหลืออยู่บ้าง ดังนี้ เป็นอานิสงส์ในเสนาสนะที่ตั้งไว้กลางวัน.
ส่วนในเรือนที่ฝนรั่วได้ เมื่อหญ้าและก้อนดินตกลงข้างบน (แห่งเตียงและตั่ง) แม้ส่วนทั้งหลายแห่งเตียงและตั่ง ย่อมฉิบหายไป.
[เรื่องอนุโมทนา] วินิจฉัยในเรื่องอนุโมทนา พึงทราบดังนี้ :-
สองบทว่า อิทฺธิ อโหสิ มีความว่า ภัตได้เป็นของถึงพร้อมแล้ว.
ข้อว่า จตูหิ ปญฺจหิ มีความว่า เมื่อพระสังฆเถระนั่งแล้วเพื่อต้องการจะอนุโมทนา ภิกษุ ๔ รูปพึงนั่งตามลำดับข้างท้าย. เมื่อพระอนุเถระนั่งแล้ว พระมหาเถระพึงนั่ง และภิกษุ ๓ รูปพึงนั่งข้างท้าย. เมื่อภิกษุรูปที่ ๕ นั่นแล้ว ภิกษุ ๔ รูปพึงนั่งข้างบน.
เมื่อภิกษุหนุ่มข้างท้าย อันพระสังฆเถระแม้เชิญแล้ว ภิกษุ ๔ รูป พึงนั่งตั้งแต่พระสังฆเถระลงมาทีเดียว.
ก็ถ้าว่า ภิกษุผู้อนุโมทนากล่าวว่า ไปเถิด ท่านผู้เจริญ ไม่มีกิจที่จะต้องคอย ดังนี้ ควรไป. เมื่อพระมหาเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ พวกเราจะไปละ เธอกล่าวว่า นิมนต์ไปเถิด, แม้อย่างนี้ ก็ควรไป.
พระมหาเถระแม้ทำความผูกใจว่า พวกเราจักคอยอยู่นอกบ้านดังนี้ ไปถึงนอกบ้านแล้ว แม้จะสั่งนิสิตของตนว่า เธอทั้งหลายจงคอยความมาของภิกษุนั้น ดังนี้ แล้วไปเสีย ควรเหมือนกัน.
แต่ถ้าชาวบ้านให้ภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งตนพอใจ ทำการอนุโมทนา หาเป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้น ผู้อนุโมทนาอยู่ไม่, ไม่เป็นภาระแก่พระมหาเถระ.
จริงอยู่ เพราะในอุปนิสินนกถา ต้องเรียนพระเถระก่อนในเมื่อชนทั้งหลายให้กล่าว. ส่วนภิกษุที่พระมหาเถระเชิญเพื่ออนุโมทนาแทน ภิกษุทั้งหลายต้องคอย. นี้เป็นลักษณะในเรื่องอนุโมทนานี้.
บทว่า วจฺจิโต มีความว่า พระเถระเกิดปวดอุจจาระ. อธิบายว่า ผู้อันอุจจาระบีบคั้นแล้ว.
[ภัตตัคควัตร] วินิจฉัยในภัตตัคควัตร พึงทราบดังนี้ :-
ในอรรถกถาทั้งหลายกล่าวว่า จะเป็นในละแวกบ้านหรือในวัดก็ตาม, การที่ภิกษุผู้จะไปสู่ที่เลี้ยงของชนทั้งหลาย ห่มจีวรคาดประคดนั่นแล สมควร.
หลายบทว่า น เถเร ภิกฺขู อนูปขชฺช มีความว่า ไม่พึงนั่งเบียดภิกษุผู้เป็นเถระนัก หากว่า อาสนะเสมอกับอาสนะที่พระมหาเถระนั่ง, เมื่ออาสนะมีมาก พึงนั่งเว้นไว้ ๑ หรือ ๒ อาสนะ ไม่พึงนั่งบนอาสนะที่เขานับภิกษุแต่งตั้งไว้, พระมหาเถระสั่งว่า จงนั่งเถิด พึงนั่ง. ถ้าพระมหาเถระไม่สั่ง, พึงเรียนว่า อาสนะนี้สูงขอรับ เมื่อท่านบอกว่า จงนั่งเถิด พึงนั่ง, ก็ถ้าว่า เมื่อภิกษุใหม่ แม้เรียนแล้วอย่างนั้น พระมหาเถระไม่อนุญาต, ไม่เป็นอาบัติแก่เธอผู้นั่ง. เป็นอาบัติแก่พระมหาเถระเท่านั้น.
จริงอยู่ ภิกษุใหม่ไม่เรียนก่อน นั่งบนอาสนะเห็นปานนั้น ย่อมต้องอาบัติเหมือนพระเถระอันภิกษุใหม่เรียนแล้วไม่อนุญาตฉะนั้น.
หลายบทว่า น สงฺฆาฏึ โอตฺถริตฺวา มีความว่า ไม่พึงปูสังฆาฏิแล้วนั่งทับ.
คำว่า อุโภหิ หตฺเถหิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาน้ำสำหรับล้างบาตร ส่วนน้ำทักษิโณทก พึงวางบาตรบนเชิงข้างหน้าแล้วจึงรับ.
บทว่า สาธุกํ ได้แก่ ไม่ทำให้มีเสียงน้ำ.
สองบทว่า สูปสฺส โอกาโส มีความว่า โอกาสแห่งแกงจะมีอย่างใด พึงรับข้าวสุกพอประมาณอย่างนั้น.
คำว่า ท่านจงได้ทั่วถึงเท่าๆ กัน นี้ อันพระเถระพึงกล่าวในเนยใสเป็นอาทิอย่างเดียวหามิได้, แม้ในข้าวสุก ก็พึงกล่าว.
ก็บรรดาเภสัชมีเนยใสเป็นต้น สิ่งใดมีน้อย, สิ่งนั้นสมควรแก่ภิกษุรูปเดียว หรือ ๒ รูป, เมื่อพระเถระกล่าวว่า ท่านจงให้ทั่วถึงเท่าๆ กันแก่ภิกษุทั้งปวง ความลำบากย่อมมีแก่พวกชาวบ้าน เพราะฉะนั้น ของเช่นนั้น พึงรับครั้งเดียวหรือ ๒ ครั้งแล้ว ที่เหลือไม่ควรรับ.
คำว่า น ตาว เถเรน ภุญฺชิตพฺพํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาโรงเลี้ยงที่มีภิกษุอันทายกจำกัดไว้ (และ) โรงเลี้ยงที่ชนทั้งหลายเป็นผู้ประสงค์จะให้อาหารถึงแก่ภิกษุทั่วกันแล้วไหว้.
ส่วนโรงเลี้ยงใด เป็นโรงใหญ่, คือ ในโรงเลี้ยงใด ภิกษุทั้งหลายฉันอยู่ในประเทศหนึ่ง, ทายกถวายน้ำในประเทศหนึ่ง, ในโรงเลี้ยงนั้น พึงฉันตามสบาย.
คำว่า น ตาว เถเรน อุทกํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาน้ำล้างมือ, ฝ่ายภิกษุผู้มีความกระหายในระหว่าง หรือผู้มีอามิสติดคอ พึงดื่มน้ำ ไม่พึงล้างมือ.
ถ้าว่าชนทั้งหลายกล่าวว่า นิมนต์ล้างบาตรและมือเถิดท่านผู้เจริญ หรือภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านจงรับน้ำเถิด, พระเถระควรล้างมือ.
ด้วยคำว่า นิวตฺตนฺเตน เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า สงฆ์เมื่อจะลุกขึ้นกลับจากโรงเลี้ยง พึงกลับอย่างนี้. อย่างไร? พึงเห็นคำทั้งปวงว่า นวเกหิ เป็นต้น.
จริงอยู่ ในเรือนทั้งหลายที่คับแคบ ไม่มีโอกาสที่พระเถระทั้งหลายออก ; เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น.
ก็นวกภิกษุทั้งหลาย ผู้กลับอยู่อย่างนั้น รออยู่ที่ประตูเรือน พึงไปตามลำดับกันได้ ในเมื่อพระเถระทั้งหลายออกอยู่.
แต่ถ้าว่า พระมหาเถระทั้งหลาย เป็นผู้นั่งอยู่ไกล พวกนวกภิกษุนั่งอยู่ภายในเรือน, พึงออกมาแถวตั้งแต่เถรอาสน์ลงมาทีเดียว อย่าให้กายกับกายเบียดกัน เดินเป็นแถวห่างๆ ให้ชนทั้งหลายอาจไปในระหว่างได้.
[ปิณฑจาริกวัตร] วินิจฉัยในปิณฑจาริกวัตร พึงทราบดังนี้ :-
ข้อว่า กมฺมํ วา นิกฺขิปนฺติ มีความว่า ชนทั้งหลายถือสิ่งใดเป็นฝ้ายหรือกระด้งหรือสาก ทำการอยู่ เป็นผู้ยืนก็ตาม นั่งก็ตาม, วางสิ่งนั้นเสีย.
ข้อว่า น จ ภิกฺขาทายิกาย มีความว่า ผู้ถวายภิกษา จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ในเวลาถวายภิกษา ภิกษุไม่พึงมองหน้า (เขา).
[อารัญญกวัตร] วินิจฉัยในอารัญกวัตร พึงทราบดังนี้ :-
สองบทว่า เสนาสนา โอตริตพฺพํ มีความว่า พึงออกจากที่อยู่.
ในคำว่า ปตฺตํ ถวิกาย ปกฺขิปิตฺวา นี้ มีวินิจฉัยว่า ถาว่าภายนอกบ้านไม่มีน้ำ, พึงทำภัตกิจภายในบ้านนั่นแล, ถ้าว่า ภายนอกบ้านมีน้ำ, พึงทำภัตกิจภายนอกบ้านแล้วล้างบาตร ทำให้สะเด็กน้ำแล้วใส่ถลก.
ข้อว่า ปริโภชนียํ อุปฏฺฐาเปตพฺพํ มีความว่า หากว่าภาชนะไม่พอไซร้, พึงเตรียมน้ำฉันนั่นแลไว้ ทำให้เป็นน้ำใช้ด้วย. เมื่อไม่ได้ภาชนะ พึงขังไว้ในกระบอกไม้ไผ่ก็ได้. ภิกษุผู้ไม่ได้แม้ซึ่งกระบอกไม้ไผ่นั้น พึงทำให้มีบ่อน้ำอยู่ในที่ใกล้. เมื่อไม้สีไฟไม่มี แม้จะไม่ก่อไฟก็ควร. เหมือนอย่างภิกษุผู้อยู่ป่า พึงต้องการไม้สีไฟฉันใด, แม้ภิกษุผู้เดินทางกันดาร ก็พึงต้องการไม้สีไฟฉันนั้น แต่สำหรับภิกษุผู้อยู่ในหมู่ การอยู่ แม้เว้นจากไม้สีไฟนั้น ก็ควร. ดาวทั้งหลายนั่นเอง ชื่อนักษัตรบถ.
[เสนาสนวัตร]วินิจฉัยในเสนาสนวัตร พึงทราบดังนี้ :-
ธรรมดาประตูเป็นทางที่ใช้มาก เพราะฉะนั้น ไม่มีกิจที่จะต้องบอกเล่าสำหรับประตู ส่วนกิจที่เหลือเป็นต้นว่าให้อุทเทส ต้องบอกเล่าเสียก่อน จึงค่อยทำ, สมควรบอกทุกวัน.
แม้หากว่า เมื่อนวกภิกษุกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ เฉพาะกิจที่ผมจะต้องบอกเล่า จงเป็นอันบอกเถิด ภิกษุผู้แก่กว่ารับว่า ดีละหรือภิกษุผู้แก่กว่าบอกเสียเองว่า ท่านจงอยู่ตามสบายเถิด ; แม้อย่างนี้ จะไม่บอกเล่าก็ได้. แม้ด้วยความคุ้นเคย จะไม่บอกเล่าแก่ภิกษุผู้ชอบกัน ควรเหมือนกัน.
ข้อว่า เยน วุฑฺโฒ เตน ปริวตฺติตพฺพํ มีความว่า ตรงหน้าภิกษุผู้แก่ พึงเลี้ยวไปเสีย. แม้ในโภชนาศาลาเป็นต้น พึงปฏิบัติอย่างนี้เหมือนกัน.
วินิจฉัยในชันตาฆรวัตร พึงทราบดังนี้ :-
คำว่า ปริภณฺฑํ นั้น ได้แก่ ชานภายนอก.
[เรื่องน้ำชำระ]วินิจฉัยในเรื่องน้ำชำระ พึงทราบดังนี้ :-
ในคำว่า สติ อุทเก นี้ มีวินิจฉัยว่า ถ้ามีน้ำ แต่ไม่มีที่กำบัง, พึงใช้ภาชนะตักไปชำระ. เมื่อไม่มีภาชนะ พึงเอาบาตรตักไป. แม้บาตรก็ไม่มี เป็นอันชื่อว่าไม่มีภาชนะ. ภิกษุผู้ไปด้วยทำในใจว่า ที่นี่เปิดเผยนัก ข้างหน้าจักมีน้ำอื่น ยังไม่ทันได้น้ำ ได้เวลาภิกษาจาร, พึงเช็ดด้วยไม้หรือของบางอย่างแล้วจึงไป. ภิกษุนั้นฉันก็ดี กระทำอนุโมทนาก็ดี ย่อมควร.
บทว่า อาคตปฏิปาฏิยา มีความว่า ลำดับแห่งผู้มาเท่านั้นเป็นประมาณ ในสถานทั้ง ๓ คือ เวจกุฏี ที่ถ่ายปัสสาวะ ท่าอาบน้ำ.
[เวจกุฏิวัตร]วินิจฉัยในเวจกุฏิวัตร พึงทราบดังนี้ :-
ข้อว่า ไม่พึงเคี้ยวไม้สีฟันพลาง ถ่ายอุจจาระพลาง นี้เป็นข้อห้ามในที่ทั้งปวงทีเดียว ทั้งเวจกุฏี ทั้งมิใช่เวจกุฎี.
ข้อว่า ผรุเสน กฏฺเฐน มีความว่า ไม่ควรเช็ดด้วยไม้ที่ผ่า หรือไม้คม หรือไม่มีปม หรือไม่มีหนาม หรือไม้มีแผล หรือไม้ผุ. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่ถือชำระเข้าไป.
คำว่า น อาสจมนสราวเก นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาฐานที่ทั่วไปแก่ภิกษุทั้งปวง.
จริงอยู่ ภิกษุอื่นๆ ย่อมมาที่สาธารณฐานนั้น, เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรเหลือน้ำไว้. ส่วนฐานใด เป็นสถานที่ทำไว้ในเอกเทศในวัด แม้เป็นของสงฆ์ เพื่อต้องการจะไปถ่ายเป็นนิตย์ หรือเป็นฐานส่วนตัวบุคคล, ในฐานนั้น จะเหลือน้ำไว้ในขันชำระก็ได้. แม้ภิกษุผู้ฉันยาถ่าย เข้าไปบ่อยๆ จะเหลือไว้ก็ควรเหมือนกัน.
บทว่า อูหตา ได้แก่ เปื้อน. อธิบายว่า ภายนอกเปื้อนอุจจาระ.
บทว่า โธวิตพฺพา ได้แก่ พึงนำน้ำมาล้าง. น้ำมี ภาชนะไม่มี, เป็นอันชื่อว่าไม่มี ; ภาชนะมี น้ำไม่มี, แม้อันนี้ ก็ชื่อว่าไม่มี ; เมื่อไม่มีทั้ง ๒ อย่าง เป็นไม่มีแท้. พึงเช็ดด้วยไม้ หรือด้วยของบางอย่างแล้วจึงไป คำที่เหลือทุกสถาน ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
วัตตักขันธกวรรณนา จบ.อาวาสิกวัตร
[๔๑๖] สมัยนั้น ภิกษุเจ้าถิ่นเห็นพระอาคันตุกะแล้ว ไม่ปูอาสนะ ไม่ตั้งน้ำล้างเท้า ไม่ตั้งตั่งรองเท้า ไม่ตั้งกระเบื้องเช็ดเท้าไว้ ไม่ลุกรับบาตร จีวร ไม่ถามด้วยน้ำฉัน ไม่ถามด้วยน้ำใช้ ไม่ไหว้พระอาคันตุกะแม้ผู้แก่กว่า ไม่จัดเสนาสนะให้บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุเจ้าถิ่นเห็นพระอาคันตุกะแล้ว จึงไม่ปูอาสนะ ไม่ตั้งน้ำล้างเท้า ไม่ตั้งตั่งรองเท้า ไม่ตั้งกระเบื้องเช็ดเท้า ไม่ลุกรับบาตร จีวร ไม่ถามด้วยน้ำฉัน ไม่ถามด้วยน้ำใช้ ไม่ไหว้พระอาคันตุกะผู้แก่กว่า ไม่จัดเสนาสนะให้ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ...
ทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายข่าวว่า ... จริงหรือ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจัก บัญญัติวัตรแก่ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลาย โดยประการที่ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายจะพึงประพฤติเรียบร้อย ฯ
[๔๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเจ้าถิ่นเห็นภิกษุอาคันตุกะผู้แก่กว่าแล้วพึงปูอาสนะ พึงตั้งน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้า พึงลุกรับบาตร จีวร พึงถามด้วยน้ำฉัน พึงถามด้วยน้ำใช้ ถ้าอุตสาหะ พึงเช็ดรองเท้า เมื่อจะเช็ดรองเท้าพึงใช้ผ้าแห้งเช็ดก่อนใช้ผ้าเปียกเช็ดทีหลัง พึงซักผ้าเช็ดรองเท้าบิดแล้วผึ่งไว้ ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง พึงอภิวาท ภิกษุอาคันตุกะผู้แก่กว่า พึงจัดเสนาสนะถวายว่าเสนาสนะนั่นถึงแก่ท่าน พึงบอกเสนาสนะที่มีภิกษุอยู่ หรือไม่มีภิกษุอยู่ พึงบอกโคจรคามพึงบอกอโคจรคาม พึงบอกสกุลที่เป็นเสกขะสมมติ พึงบอกที่ถ่ายอุจจาระ พึงบอกที่ถ่ายปัสสาวะ พึงบอกน้ำฉัน พึงบอกน้ำใช้ พึงบอกไม้เท้า พึงบอกกติกาสงฆ์ที่ตั้งไว้ว่าเวลานี้ควรเข้า เวลานี้ควรออก ถ้าภิกษุอาคันตุกะอ่อนพรรษากว่า พึงนั่งบอกว่าท่านจงวางบาตรที่นั่น จงวางจีวรที่นั่น จงนั่งอาสนะนี้ พึงบอกน้ำฉัน พึงบอกน้ำใช้พึงบอกผ้าเช็ดรองเท้า พึงแนะนำภิกษุอาคันตุกะให้อภิวาท พึงบอกเสนาสนะ บอกสกุลที่เป็นเสกขะสมมติ พึงบอกที่ถ่ายอุจจาระ พึงบอกที่ถ่ายปัสสาวะ พึงบอกน้ำฉัน พึงบอกน้ำใช้ พึงบอกไม้เท้า พึงบอกกว่าเสนาสนะนั่นถึงแก่ท่าน พึงบอกเสนาสนะ ที่มีภิกษุอยู่หรือไม่มีภิกษุอยู่ พึงบอกโคจรคาม พึงบอกอโคจรคาม พึงบอกติกา
สงฆ์ที่ตั้งไว้ว่า เวลานี้ควรเข้า เวลานี้ควรออก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นวัตรของภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายซึ่งภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายพึงประพฤติเรียบร้อย ฯ
คมิกวัตร
[๔๑๘] สมัยนั้น ภิกษุผู้เตรียมจะไปไม่เก็บเครื่องไม้ เครื่องดิน เปิดประตู หน้าต่างทิ้งไว้ ไม่มอบหมายเสนาสนะ แล้วหลีกไป เครื่องไม้ เครื่องดิน เสียหาย เสนาสนะไม่มีใครรักษา
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนภิกษุผู้เตรียมจะไป จึงไม่เก็บเครื่องไม้ เครื่องดิน เปิดประตูหน้าต่าง ทิ้งไว้ ไม่มอบหมายเสนาสนะ แล้วหลีกไป เครื่องไม้ เครื่องดินเสียหาย เสนาสนะ ไม่มีใครรักษา จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ... จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาค ...
ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติวัตรแก่ภิกษุผู้เตรียมจะไป โดยประการที่ภิกษุผู้เตรียมจะไปพึงประพฤติเรียบร้อย ฯ
[๔๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เตรียมจะไปพึงเก็บเครื่องไม้ เครื่องดิน ปิดประตูหน้าต่างมอบหมายเสนาสนะ ถ้าภิกษุไม่มี พึงมอบหมายสามเณร ถ้าสามเณร ไม่มี พึงมอบหมายคนวัด ถ้าคนวัดไม่มี พึงมอบหมายอุบาสก ถ้าไม่มีภิกษุสามเณร คนวัดหรืออุบาสก พึงยกเตียงขึ้น วางไว้บนศิลา ๔ แผ่น แล้วพึงยกเตียง
ซ้อนเตียง ยกตั่งซ้อนตั่ง แล้วกองเครื่องเสนาสนะไว้ข้างบน เก็บเครื่องไม้ เครื่องดินปิดประตูหน้าต่าง แล้วจึงหลีกไป ถ้าวิหารฝนรั่ว ถ้าอุตสาหะอยู่ พึงมุง หรือพึงทำความขวนขวายว่า จะมุงวิหารได้อย่างไร
ถ้าได้ตามความขวนขวายอย่างนี้ นั่นเป็นความดี ถ้าไม่ได้ ที่ใดฝนไม่รั่ว พึงยกเตียงขึ้นวางบนศิลา ๔ แผ่น ในที่นั้น แล้วพึงยกเตียงซ้อนเตียง ยกตั่งซ้อนตั่ง แล้วกองเครื่องเสนาสนะไว้ข้างบน เก็บเครื่องไม้ เครื่องดิน ปิดประตูหน้าต่างแล้วจึงหลีกไป ถ้าวิหารฝนรั่วทุกแห่ง
ถ้าอุตสาหะอยู่พึงขนเครื่องเสนาสนะเข้าบ้าน หรือพึงทำความขวนขวายว่า จะขนเครื่องเสนาสนะเข้าบ้าน อย่างไร ถ้าได้ตามความขวนขวายอย่างนี้ นั่นเป็นความดี ถ้าไม่ได้
พึงยกเตียงขึ้นวางบนก้อนศิลา ๔ แผ่นในที่แจ้ง แล้วพึงยกเตียงซ้อนเตียง ยกตั่งซ้อนตั่งกองเครื่องเสนาสนะไว้ข้างบนเก็บเครื่องไม้ เครื่องดิน แล้วคลุมด้วยหญ้าหรือใบไม้ แล้วจึงหลีกไปด้วยคิดว่า อย่างไรเสีย ส่วนของเตียงตั่งคงเหลืออยู่บ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นวัตรของภิกษุผู้เตรียมจะไป ซึ่งภิกษุผู้เตรียมจะไปพึงประพฤติเรียบร้อย ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น