Translate

06 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ เสนาสนะขันธกะ ภิกษุผู้ควรได้รับสมมติเป็นผู้ให้ถือเสนาสนะ เป็นต้น กรรมวาจาสมมติ การให้ถือเสนาสนะ ๓ อย่าง

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[๒๗๗] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายหารือกันว่า ใครพึงให้ถือเสนาสนะแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นผู้ให้ถือเสนาสนะ คือ:-
 ๑. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ
 ๒. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง
 ๓. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความงมงาย
 ๔. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความกลัว และ
 ๕. รู้เสนาสนะที่ให้ถือแล้วและยังไม่ให้ถือ ฯ
วิธีสมมติ 
[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้ พึงขอร้องภิกษุก่อน ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์
ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุมีชื่อนี้เป็นผู้ให้ถือเสนาสนะนี้เป็นญัตติ
 ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติ
 ภิกษุมีชื่อ นี้เป็นผู้ให้ถือเสนาสนะ การสมมติ
 ภิกษุมีชื่อนี้เป็นผู้ให้ถือเสนาสนะ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
 ภิกษุมีชื่อนี้ สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ถือเสนาสนะ
 แล้ว ชอบแก่สงฆ์เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรง
ความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้ ฯ
   [๒๗๙] ต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้ให้ถือเสนาสนะหารือกันว่า เราจะพึงให้ถือเสนาสนะอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นับภิกษุก่อน ครั้นแล้วนับที่นอน ครั้นแล้วจึงให้ถือตามจำนวนที่นอน เมื่อให้ถือตามจำนวนที่นอนๆ เหลือมาก ... ตรัสว่าดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถือตามจำนวนวิหาร เมื่อให้ถือตามจำนวนวิหารๆ ก็ยังเหลือเป็นอันมาก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถือตามจำนวนบริเวณ เมื่อให้ถือตามจำนวนบริเวณๆ ก็ยังเหลืออีกมาก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ๆ ส่วนซ้ำอีก เมื่อให้ถือส่วนซ้ำอีกแล้ว ภิกษุรูปอื่นมา ไม่ปรารถนาก็อย่าพึงให้
   [๒๘๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายให้ภิกษุผู้อยู่นอกสีมาถือเสนาสนะภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้ภิกษุผู้อยู่นอกสีมาถือเสนาสนะ รูปใดให้ถือ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๒๘๑] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถือเสนาสนะแล้วหวงกันไว้ตลอดเวลาภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุถือเสนาสนะแล้ว ไม่พึงหวงกันไว้ตลอดทุกเวลา รูปใดหวงกันไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้หวงกันไว้ได้ตลอดพรรษา ๓ เดือนหวงกันไว้ตลอดฤดูกาลไม่ได้ ฯ
การให้ถือเสนาสนะ ๓ อย่าง
   [๒๘๒] ต่อมา ภิกษุทั้งหลายหารือกันว่า การให้ถือเสนาสนะมีกี่อย่างหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การให้ถือเสนาสนะมี ๓ อย่างนี้ คือ ให้ถือเมื่อวันเข้าปุริมพรรษา ๑ ให้ถือเมื่อวันเข้าพรรษาหลัง ๑ ให้ถือในระหว่างพ้นจากนั้น ๑ การให้ถือเมื่อวันเข้าปุริมพรรษา
พึงให้ถือในวันแรม ๑ ค่ำเดือนอาสาฬหะ การให้ถือในวันเข้าพรรษาหลัง พึงให้ถือเมื่อเดือนอาสาฬหะล่วงแล้ว ๑ เดือน การให้ถือในระหว่างพ้นจากนั้น พึงให้ถือในวันต่อจากวันปวารณา คือแรม ๑ ค่ำ เพื่ออยู่จำพรรษาต่อไป การให้ถือเสนาสนะมี ๓ อย่างนี้แล ฯ
ภาณวาร ที่ ๒ จบ
ชนทั้งหลายสร้างสถูปแล้ว ให้ภิกษุรับผ้าจำพรรษา. ธรรมดาสถูปไม่ใช่เสนาสนะ, พึงโอนให้ภิกษุผู้จำพรรษาที่ต้นไม้หรือมณฑปซึ่งใกล้สถูปนั้น รับไป. ภิกษุนั้นพึงปรนนิบัติเจดีย์. แม้ในต้นโพธิ์ เรือนโพธิ์ เรือนปฏิมา ร้านไม้กวาด ร้านเก็บไม้ เวจกุฏี ซุ้มประตู กุฏีน้ำ โรงน้ำ และโรงไม้สีไฟ ก็มีนัยเหมือนกัน. ส่วนหอฉัน เป็นเสนาสนะแท้, เพราะเหตุนั้น สมควรกำหนดให้ภิกษุรูปเดียว หรือหลายรูปถือหอฉันนั้น. คำทั้งปวงนี้ ท่านกล่าวพิสดารในมหาปัจจรี. อันภิกษุผู้เสนาสนคาหาปกะ พึงให้ภิกษุทั้งหลายถือเสนาสนะ ตั้งแต่อรุณแห่งวันปาฏิบท๑- ไปจนถึงเพียงที่อรุณใหม่ยังไม่แตก. จริงอยู่ ความกำหนดกาลนี้ เป็นเขตแห่งการถือเสนาสนะ. หากว่า เมื่อให้ภิกษุทั้งหลายถือเสนาสนะแต่เช้า ภิกษุอื่นผู้มีใจลังเลมาขอเสนาสนะ. ภิกษุผู้เสนาสนคาหาปกะพึงบอกว่า ท่านผู้เจริญ เสนาสนะถือกันเสร็จแล้ว สงฆ์เข้าพรรษาแล้ว สำนักเป็นที่น่ารื่นรมย์ บรรดาที่ต่างๆ มีโคนไม้เป็นต้น ท่านปรารถนาจะอยู่ในที่ใด จงอยู่ในที่นั้นเถิด. ภิกษุทั้งหลายผู้เข้าพรรษา พึงบอกภิกษุทั้งหลาย ผู้ตั้งวัตรประจำภายในพรรษาแล้วจำพรรษาว่า ท่านทั้งหลายจงผูกไม้กวาดไว้. ถ้าด้ามและซี่เป็นของหาได้ง่าย ; ควรผูกไม้กวาดไว้รูปละ ๕-๖ อัน หรือผูกไม้กวาดด้ามไว้ รูปละ ๒-๓ อัน. ถ้าเป็นของหายาก พึงผูกไม้กวาดด้ามไว้รูปละอัน สามเณรทั้งหลาย พึงตอกคบเพลิงไว้ ๕-๖ อัน. พึงทำการประพรมด้วยน้ำฝาดในสถานที่อยู่. ก็แล เมื่อจะตั้งวัตร ไม่พึงตั้งวัตรที่ไม่เป็นธรรมเห็นปานนี้ว่า อย่าเรียนเอง อย่าให้ผู้อื่นเรียน อย่าทำการสาธยาย อย่าให้บรรพชา อย่าให้อุปสมบท อย่าให้นิสัย อย่าทำธัมมัสสวนะ เพราะว่า พวกเราทั้งหมดนี้ ยังเป็นผู้มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า จักเป็นผู้ไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้าทำสมณธรรมเท่านั้น หรือว่า ภิกษุทุกรูปจงสมาทานธุดงค์ ๑๓ อย่าสำเร็จการนอน จงให้คืนและวันล่วงไปด้วยการยืนและจงกรม จงถือมูควัตร๒- แม้ต้องไปด้วยสัตตาหกรณียะ อย่าได้ภัณฑะที่สงฆ์ควรแจก. ๑- วันแรม ๑ ค่ำแห่งเดือนนั้นๆ นับเป็นวันต้นเดือนของชาวมคธ เพราะนับวันเพ็ญเป็นวันสิ้นเดือน. ๒- ถือการนิ่งไม่พูดกัน คล้ายคนใบ้. แต่พึงกระทำอย่างนี้ คือ พึงทำวัตรเห็นปานนี้ว่า ธรรมดาปริยัติธรรมย่อมยังสัทธรรมแม้ ๓ อย่างให้ตั้งมั่น เพราะเหตุนั้น ท่านทั้งหลายจงเรียนบาลี จงให้เรียนบาลีโดยเคารพ จงสาธยายโดยเคารพ อย่าเบียดเสียดภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในเรือนบำเพ็ญเพียร จงนั่งภายในสำนัก เรียนบาลี ให้เรียนบาลี ทำการสาธยาย จงทำการฟังธรรมให้สำเร็จ เมื่อให้บรรพชา ต้องชำระให้เรียบร้อยแล้วจึงให้บรรพชา เมื่ออุปสมบท ต้องชำระให้เรียบร้อยแล้วจึงให้อุปสมบท เมื่อให้นิสัย ต้องชำระให้เรียบร้อยแล้วจึงให้นิสัย ด้วยว่า กุลบุตรแม้ผู้เดียวได้บรรพชาและอุปสมบทแล้ว จักดำรงพระศาสนาทั้งมวลไว้ได้ จงสมาทานธุดงค์เท่าที่ สามารถจะสมาทานได้ด้วยเรี่ยวแรงของตน, ขึ้นชื่อว่าตลอดภายในพรรษานี้ ต้องเป็นผู้ไม่ประมาท ต้องปรารภความเพียร ตลอดทั้งวัน และในปฐมยาม มัชฌิมยามและปัจฉิมยามแห่งราตรี, ถึงพระมหาเถระทั้งหลายแต่เก่าก่อนก็ได้ตัดกังวลทุกอย่างเสีย บำเพ็ญวัตรคือกัมมัฏฐานภาวนาที่จะพึงประพฤติผู้เดียวใน ภายในพรรษา. สมควรรู้ประมาณในถ้อยคำที่จะพึงกล่าว กระทำกถาวัตถุ ๑๐ ประการ อสุภะ ๑๐ ประการ อนุสติ ๑๐ ประการ และกถาปรารภอารมณ์ ๓๘. สมควรทำวัตรแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ, สมควรอปโลกน์ให้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ. อีกประการหนึ่ง พึงเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่ากล่าวถ้อยคำแย้งกับคำส่อเสียดและคำหยาบ, ต้องนึกถึงศีลทุกๆ วัน อย่าให้อารักขกัมมัฏฐาน ๔ เสื่อมคลาย จงเป็นผู้มากด้วยมนสิการอยู่. พึงบอกธรรมเนียมเคี้ยวไม้สีฟัน พึงบอกวัตรคือมรรยาท. เมื่อกำลังไหว้พระเจดีย์หรือต้นโพธิ์ก็ดี เมื่อกำลังบูชาด้วยของหอมและมาลัยก็ดี เมื่อกำลังเอาบาตรเข้าถลกก็ดี ไม่ควรบอก. พึงบอกธรรมเนียมเที่ยวบิณฑบาต อย่ากล่าวถ้อยคำพาดพิงถึงปัจจัย หรือถ้อยคำไม่ถูกส่วนกัน กับชนทั้งหลายภายในบ้าน. พึงบอกนิยานิกกถาแม้มากเห็นปานนี้บ้างว่า ต้องเป็นผู้ระวังอินทรีย์ ต้องบำเพ็ญขันธวัตรและเสขิยวัตร ฉะนี้แล. อนึ่ง ในวันเข้าพรรษาหลัง และเมื่อประกาศเวลาสงฆ์ประชุมกันแล้ว ใครๆ นำผ้ายาว ๑๒ ศอกมาถวายเป็นผ้าจำนำพรรษา ถ้าว่าภิกษุอาคันตุกะเป็นสังฆเถระ พึงถวายแก่ท่าน. ถ้าเป็นนวกะ ภิกษุผู้ได้รับสมมติพึงเรียนพระสังเถระว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านต้องการ ท่านจงสละส่วนที่ ๑ เสีย ถือเอาผ้านี้ ; ไม่พึงให้แก่ท่านผู้ไม่ยอมสละ. ก็ถ้าว่า ท่านยอมสละส่วนที่ให้ถือเอาก่อนแล้วถือเอาไซร้ พึงสับเปลี่ยนกัน จำเดิมแต่พระเถระที่ ๒ ไปโดยอุบายนี้แล แล้วให้แก่อาคันตุกะในที่ซึ่งถึงเข้า. หากว่า ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาก่อนได้ๆ ผ้า ๒ ผืนหรือ ๓ ผืนหรือ ๔ ผืนหรือ ๕ ผืน. พึงให้เธอ ยอมสละผ้าที่ได้ไปแล้วๆ โดยอุบายนั้น แล้วจึงให้ภิกษุอาคันตุกะ จนกว่าจะเท่ากัน. ก็แล เมื่อภิกษุอาคันตุกะนั้น ได้ส่วนเท่ากันแล้ว ส่วนย่อมที่ยังเหลือ พึงแถมให้ในเถรอาสน์. สมควรจะทำกติกากันไว้ว่า เมื่อลาภเกิดขึ้นแล้ว จะเต็มใจเแจกกันตามลำดับที่มีอยู่. ถ้าเป็นสมัยที่มีภิกษาฝืดเคือง ภิกษุทั้งหลายผู้เข้าพรรษาในวัสสูปนายิกาทั้ง ๒ ลำบากด้วยภิกษา จึงพูดกันว่า ผู้มีอายุ ก็พวกเราอยู่ในที่นี้ ย่อมลำบากดวยกันทั้งหมด, ดีละ เราแบ่งกันเป็น ๒ ส่วน. ที่แห่งญาติและคนปวารณา ของภิกษุเหล่าใดมีอยู่ ภิกษุเหล่านั้นจงอยู่ในที่แห่งญาติและคน ปวารณานั้นแล้ว จงมาปวารณาถือเอาผ้าจำนำพรรษาที่ถึงแก่ตน. ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดอยู่ในที่แห่งญาติและคนปวารณานั้น แล้วมาเพื่อปวารณา, พึงทำอปโลกนกรรมให้ผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุเหล่านั้น. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น แม้ยินดีอยู่ก็หาได้เป็นเจ้าของแห่งผ้าจำนำ แล้วมาเพื่อปวารณา, พึงทำอปโลกนกรรมให้ผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุเหล่านั้น. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น แม้ยินดีอยู่ก็หาได้เป็นเจ้าของแห่งผ้าจำนำพรรษาไม่ ฝ่ายพวกภิกษุผู้เจ้าถิ่นแม้บ่นอยู่ว่า จะไม่ให้ ย่อมไม่ได้เหมือนกัน. แต่ในกุรุนทีแก้ว่า ภิกษุทั้งหลายจะพึงทำกติกาวัตรกันว่า หากว่า ยาคูและภัตรในที่นี้ จะไม่เพียงพอแก่พวกเราทั่วกันไซร้, ท่านทั้งหลายจงอยู่ ในที่แห่งภิกษุผู้ชอบพอกันแล้วจงมา, จักได้ผ้าจำพรรษาที่ถึงแก่พวกท่าน. ถ้าภิกษุรูปหนึ่ง ค้านกติกาวัตรนั้นไซร้, เป็นอันคัดค้านชอบ. ถ้าไม่ค้าน กติกาเป็นอันทำชอบ ; ภายหลังต้องอปโลกน์ให้แก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้อยู่ในที่แห่งญาติและคนปวารณาแล้วมาแล้ว,ในเวลาอปโลกน์ไม่ยอมให้ค้าน. ท่านกล่าวอีกว่า ก็ถ้าว่า เมื่อผ้าจำนำพรรษาไม่ถึงแก่ภิกษุบางพวกในบรรดาภิกษุผู้จำพรรษา, ภิกษุทั้งหลายพึงทำกติกากันว่า สงฆ์ยินดีจะให้ ผ้าจำนำพรรษาของภิกษุผู้ขาดพรรษา และผ้าจำนำพรรษาซึ่งเกิดขึ้นในบัดนี้ แก่ภิกษุเหล่านี้. เมื่อได้ตั้งกติกาไว้อย่างนี้แล้ว ผ้าจำนำพรรษาย่อมเป็นเหมือนได้ให้ พวกเธอถือเอาแล้วเหมือนกัน ; ทั้งต้องให้ผ้าที่เกิดขึ้นแล้วๆ แก่พวกเธอด้วย. ภิกษุผู้จัดตั้งน้ำฉันปัดกวาดทางไปวิหาร ลานเจดีย์ และลานโพธิ์เป็นต้น รดน้ำที่ต้นโพธิ์ตลอดไตรมาแล้วหลีกไปเสียก็ได้ ลาสิกขาเสียก็ดี คงได้ผ้าจำนำพรรษาเหมือนกัน. เพราะผ้าจำพรรษานั้นอันภิกษุนั้น ได้แล้วดุจทำให้เป็นค่าจ้าง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ส่วนผ้าจำนำพรรษาที่เป็นของสงฆ์ซึ่งทำอปโลกนกรรมแล้วแจกกัน แม้ภิกษุลาสิกขาภายในพรรษา ย่อมได้เหมือนกัน แต่ไม่ยอมให้ถือเอาด้วยอำนาจปัจจัย. หากว่า ภิกษุผู้จำพรรษาเสร็จแล้วเตรียมจะไปสู่ทิศ ได้ถือเอากัปปิยภัณฑ์แต่บางสิ่งจากมือของภิกษุผู้อยู่ในอาวาสแล้วสั่งว่า ผ้าจำนำพรรษาของเรามีในสกุลโน้น ท่านจงถือเอาผ้าจำนำพรรษานั้นที่ถึงแล้ว ดังนี้แล้ว ลาสิกขาบทเสียในที่ซึ่งตนไปแล้ว. ผ้าจำนำพรรษาย่อมเป็นของสงฆ์ แต่ถ้าภิกษุนั้นให้พาพวกชาวบ้านรับรองต่อหน้าแล้วจึงไป ภิกษุผู้อยู่อาวาสย่อมได้. เมื่อทายกสั่งไว้ว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย ถวายผ้าจำนำพรรษานี้ แก่ภิกษุผู้จำพรรษาแล้ว ในเสนาสนะของพวกข้าพเจ้า, เสนาสนะนั้น อันเสนาสนะคาหาปกะให้ภิกษุใดถือเอา, ย่อมเป็นของภิกษุนั้นแล. ก็ถ้าว่า บุตรและธิดาเป็นต้นของเจ้าของเสนาสนะนำผ้าเป็นอันมากมากล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้ในเสนาสนะของพวกข้าพเจ้า ดังนี้ เพื่อต้องการจะให้เป็นที่พอใจของเจ้าของเสนาสนะ สำหรับภิกษุผู้จำพรรษาในเสนาสนะนั้น พึงให้ผืนเดียวเท่านั้น, ผ้าที่เหลือเป็นของสงฆ์, พึงให้ภิกษุทั้งหลายถือตามลำดับผ้าจำนำพรรษา. เมื่อลำดับไม่มี พึงให้ถือเอาตั้งแต่เถรอาสน์ลงมา. แม้ในผ้าจำพรรษา ที่ทายกนำผ้าจำนวนมากมาด้วยจิตเลื่อมใสซึ่งอาศัยภิกษุผู้จำพรรษาในเสนาสนะนั่นแลเกิดขึ้นแล้ว ถวายว่า ข้าพเจ้าถวายแก่เสนาสนะ ดังนี้ ก็มีนัยเหมือนกัน. ก็ถ้าว่า ทายกวางไว้แทบเท้าแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ภิกษุนั่น ; ผ้าทั้งหมดย่อมเป็นของภิกษุนั้นเท่านั้น. ในเรือนของทายกคนหนึ่ง มีผ้าจำนำพรรษา ๒ ผืน ส่วนที่ ๑ เป็นของที่ให้สามเณรถือเอาแล้ว ส่วนที่ ๒ ต้องให้ในเถรอาสน์. ทายกนั้นส่งผ้าสาฎก ๑๐ สอกผืนหนึ่ง ๘ ศอกผืนหนึ่ง มาว่า ท่านจงถวายผ้าจำนำพรรษาที่ถึงแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย. พึงเลือกให้ส่วนดีแก่สามเณร แล้วให้ส่วนรองในเถรอาสน์. แต่ถ้า เขานำไปเรือนทั้ง ๒ รูป ให้ฉันแล้ว วางไว้แทบเท้าเองทีเดียว ; ผืนใดเขาถวายแล้วแก่รูปใด ผืนนั้นแลย่อมเป็นของรูปนั้น ต่อแต่นี้ไป เป็นนัยที่มาแล้วในมหาปจจรี. ผ้าจำนำพรรษาในเรือนแห่งทายกคนหนึ่ง ถึงแก่สามเณรหนุ่ม. ถ้าเขาถามว่า ผ้าจำนำพรรษาของข้าพเจ้าถึงแก่ใคร? อย่าบอกว่า ถึงแก่สามเณร พึงบอกว่า ท่านจักทราบในเวลาถวายแล้ว ในวันถวายพึงส่งพระมหาเถระรูปหนึ่งไปนำเอามา.๓- หากว่า ผ้าจำนำพรรษาถึงแก่ผู้ใด ผู้นั้นลาสิกขาเสียหรือมรณภาพเสียไซร้, และชาวบ้านเขาถามว่า ผ้าจำนำพรรษาของพวกข้าพเจ้าถึงแก่ใคร, พึงบอกแก่เขาตามเป็นจริง. ถ้าว่า เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ท่าน ; ผ้านั้นย่อมถึงแก่ภิกษุนั้น. ถ้าเขาถวายแก่สงฆ์หรือแก่คณะ. ย่อมถึงแก่สงฆ์หรือแก่คณะ. หากว่า ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษา เป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุลล้วนทั้งนั้น ; ผ้าจำนำพรรษาที่เขานำมาถวายแล้ว พึงทำให้เป็นเสนาสนบริขารเก็บไว้, หรือพึงทำให้เป็นหมอนเป็นต้นเสีย ฉะนี้แล. นี้เป็นวัตรสำหรับผู้เจ้าถิ่น. ๓- ทำอย่างนี้ไม่เป็น อุชุปฏิปนฺโน กระมัง? เสนาสนคาหวินิจฉัย จบ
เรื่องพระอุปนนท์หวงกันเสนาสนะไว้ ๒ แห่ง[๒๘๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอุปนนทศากยบุตร ถือเสนาสนะ ไว้ในเขตพระนครสาวัตถีแล้ว ได้ไปสู่อาวาสใกล้ตำบลบ้านแห่งหนึ่ง และได้ถือ เสนาสนะในอาวาสนั้นอีก จึงภิกษุเหล่านั้นปรึกษากันว่า ท่านทั้งหลาย ท่าน พระอุปนนทศากยบุตรรูปนี้ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อการวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ถ้าเธอจักอยู่จำพรรษาในอาวาสนี้ พวกเรา ทุกรูปจักอยู่ไม่ผาสุก ผิฉะนั้น เราจะถามเธอ จึงภิกษุเหล่านั้นได้ถามท่าน พระอุปนนทศากยบุตรว่า ท่านอุปนนท์ ท่านถือเสนาสนะในพระนครสาวัตถีแล้วมิใช่หรือ อุ. ถูกละ ขอรับ ภิ. ท่านอุปนนท์ ก็ท่านรูปเดียว เหตุไรจึงหวงกันเสนาสนะไว้ถึงสองแห่งเล่า อุ. ผมจะละที่นี่ไปเดี๋ยวนี้ละ ขอรับ จะถือเอาที่พระนครสาวัตถีนั้น บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ว่า ไฉนท่านพระอุปนนทศากยบุตรรูปเดียว จึงได้หวงกันเสนาสนะไว้ถึงสองแห่ง แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามว่า ดูกรอุปนนท์ ข่าวว่าเธอรูปเดียวหวงกันเสนาสนะไว้ถึงสองแห่ง จริงหรือ ท่านพระอุปนนทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอผู้เดียว จึงหวงกันเสนาสนะไว้ถึงสองแห่งเล่า เธอถือในที่นั้นแล้ว ละในที่นี้ ถือใน ที่นี้แล้ว ละในที่นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เธอก็เป็นคนอยู่ภายนอกทั้งสองแห่ง การ กระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปเดียวไม่พึงหวงกันเสนาสนะไว้สองแห่ง รูปใดหวงกัน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ เสนาสนะขันธกะ เรื่องพระอุปนนท์หวงกันเสนาสนะไว้ ๒ แห่ง
[ว่าด้วยการถือเสนาสนะระงับ]
ในคำว่า ตตฺถ ตยา โมฆปุริส คหิตํ, อิธ มุกฺกํ, อิธ คหิตํ, ตตฺร มุกฺกํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- เสนาสนะใดในกรุงสาวัตถีนั้น อันเธอถือเอาแล้ว เสนาสนะนั้น ย่อมเป็นอันเธอผู้ถืออยู่นั่นแล สละเสียแล้วในคามกาวาสนี้. อนึ่ง เมื่อเธอกล่าวอยู่ว่า ผู้มีอายุ บัดนี้เราสละเสนาสนะในคามกาวาสนี้ ดังนี้ เสนาสนะนั้น เป็นอันเธอสละแล้วแม้ในคามกาวาสนั้น ด้วยประการอย่างนี้ เธอเป็นคนภายนอกในอาวาสทั้ง ๒. ส่วนวินิจฉัยในคำนี้ พึงทราบดังนี้ :- การถือย่อมระงับเพราะการถือ. อาลัยย่อมระงับเพราะการถือ. การถือย่อมระงับเพราะอาลัย. อาลัยย่อมระงับเพราะอาลัย. อย่างไร? ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ ถือเสนาสนะในวัดหนึ่งแล้วไปสู่วัดใกล้เคียง ถือเสนาสนะในวัดนั้นอีก ในวันเข้าพรรษา, การถือครั้งแรกของภิกษุนั้น ย่อมระงับเพราะการถือ (ครั้งหลัง) นี้. ภิกษุอีกรูปหนึ่งกระทำเพียงอาลัยว่า เราจักอยู่ในวัดนี้ แล้วไปสู่วัดใกล้เคียง ถือเสนาสนะในวัดนั้นแล. อาลัยที่มีก่อนของภิกษุนั้น ย่อมระงับเพราะการถือนี้. รูปหนึ่งถือเสนาสนะหรือทำอาลัยว่า เราจักอยู่ในที่นี้ แล้วไปสู่วัดใกล้เคียง ถือเสนาสนะในวัดนั้น หรือทำอาลัยว่า บัดนี้ เราจักอยู่ในที่นี้แล ; ด้วยประการอย่างนี้ การถือของเธอ ย่อมระงับเพราะอาลัยบ้าง อาลัยของเธอย่อมระงับเพราะอาลัยบ้าง. ภิกษุย่อมตั้งอยู่ในการถือหรือในอาลัยครั้งหลังๆ ในที่ทั้งปวง. อนึ่ง ภิกษุใด ถือเสนาสนะในวัดหนึ่งแล้ว ไปด้วยคิดว่า เราจักอยู่ในวัดอื่น ; ในขณะที่ภิกษุนั้นก้าวล่วงอุปจารสีมาไป การถือเสนาสนะย่อมระงับ. แต่หากว่า ภิกษุไปด้วยตั้งใจว่า ถ้าในวัดนั้นจักมีความสำราญ เราจักอยู่, ถ้าไม่มี เราจักมา ดังนี้ ทราบว่าไม่มีความสำราญ จึงกลับมาในภายหลัง เช่นนี้สมควร.

ไม่มีความคิดเห็น: