Translate

15 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ รัดสีข้าง, แต่งกาย, ทาหน้าเป็นต้น, ใช้จีวรสีครามล้วนเป็นต้น, พินัยกรรม, ภิกษุณีประหารภิกษุ, นำทารกไปด้วยบาตร

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[๕๕๓] สมัยต่อมา ภิกษุณีทั้งหลายใช้ผ้ากายพันธน์ยาวรัดสีข้างด้วยผ้าเหล่านั้น ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกหญิงคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงใช้ผ้ากายพันธน์ยาว รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ
       เราอนุญาตผ้ากายพันธน์ที่รัดได้รอบเดียวแก่ภิกษุณี แต่อย่ารัดสีข้างด้วยผ้านั้น รูปใดรัด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
รัดสีข้าง
   [๕๕๔] สมัยต่อมา ภิกษุณีทั้งหลายรัดสีข้างด้วยแผ่นไม้สาน ด้วยแผ่นหนัง ด้วยแผ่นผ้าขาว ด้วยช้องผ้า ด้วยเกลียวผ้า ด้วยผ้าผืนน้อย ด้วยช้องผ้าผืนน้อย ด้วยเกลียวผ้าผืนน้อย ด้วยช้องถักด้วยด้าย ด้วยเกลียวด้าย ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกหญิงคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงรัดสีข้างด้วยแผ่นไม้สาน ด้วยแผ่นหนัง ด้วยแผ่นผ้าขาว ด้วยช้องผ้า ด้วยเกลียวผ้า ด้วยผ้าผืนน้อย ด้วยช้องผ้าผืนน้อย ด้วยเกลียวผ้าผืนน้อย ด้วยช้องถักด้วยด้าย ด้วยเกลียวด้าย รูปใดรัด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
แต่งกาย
   [๕๕๕] สมัยต่อมา ภิกษุณีทั้งหลายให้สีตะโพกด้วยกระดูกแข้งโค ให้นวดตะโพก มือ หลังมือ เท้า หลังเท้า ขาอ่อน หน้า ริมฝีปาก ด้วยไม้มีสัณฐานดุจคางโค ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกหญิงคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ
... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงให้สีตะโพกด้วยกระดูกแข้งโค ไม่พึงให้นวดตะโพก ไม่พึงให้นวดมือ ไม่พึงให้นวดหลังมือ ไม่พึงให้นวดเท้า ไม่พึงให้นวดหลังเท้า ไม่พึงให้นวดขาอ่อน ไม่พึงให้นวดหน้า ไม่พึงให้นวดริมฝีปาก ด้วยไม้มีสัณฐานดุจหางโค รูปใดให้นวด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
ทาหน้าเป็นต้น
   [๕๕๖] สมัยต่อมา ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ทาหน้า ถูหน้า ผัดหน้า เจิมหน้าด้วยมโนศิลา ย้อมตัว ย้อมหน้า ย้อมทั้งตัวทั้งหน้า ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ... เหมือนพวกหญิงคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงทาหน้า
ไม่พึงถูหน้า ไม่พึงผัดหน้า ไม่พึงเจิมหน้าด้วยมโนศิลา ไม่พึงย้อมตัว ไม่พึงย้อมหน้า ไม่พึงย้อมทั้งตัวทั้งหน้า รูปใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๕๕๗] สมัยนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์แต้มหน้า ทาแก้ม เยี่ยมหน้าต่างยืนแอบประตู ให้ผู้อื่นทำการฟ้อนรำ ตั้งสำนักหญิงแพศยา ตั้งร้านขายสุรา ขายเนื้อ ออกร้านขายของเบ็ดเตล็ด ประกอบการหากำไร ประกอบการค้าขาย ใช้ทาสให้บำรุง ใช้ทาสีให้บำรุง ใช้กรรมกรชายให้บำรุง ใช้กรรมกรหญิงให้บำรุง
ใช้สัตว์เดียรัจฉานให้บำรุง ขายของสดและของสุก ใช้สันถัดขนเจียมหล่อ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกหญิงคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงแต้มหน้า ไม่พึงทาแก้ม ไม่พึงเยี่ยมหน้าต่าง ไม่พึงยืนแอบ
ประตูไม่พึงให้ผู้อื่นทำการฟ้อนรำ ไม่พึงตั้งสำนักหญิงแพศยา ไม่พึงตั้งร้านขายสุรา ไม่พึงออกร้านขายของเบ็ดเตล็ด ไม่พึงประกอบการหากำไร ไม่พึงประกอบการค้าขาย ไม่พึงใช้ทาสให้บำรุง ไม่พึงใช้ทาสีให้บำรุง ไม่พึงใช้กรรมกรชายให้บำรุง ไม่พึงใช้กรรมกรหญิงให้บำรุง ไม่พึงใช้สัตว์เดียรัจฉานให้บำรุง ไม่พึงขายของสดและของสุก ไม่พึงใช้สันถัดขนเจียมหล่อ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
ใช้จีวรสีครามล้วนเป็นต้น
   [๕๕๘] สมัยนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ใช้จีวรสีครามล้วน ใช้จีวรสีเหลืองล้วน ใช้จีวรสีแดงล้วน ใช้จีวรสีบานเย็นล้วน ใช้จีวรสีดำล้วน ใช้จีวรสีแสดล้วน ใช้จีวรสีชมพูล้วน ใช้จีวรไม่ตัดชาย ใช้จีวรมีชายยาว ใช้จีวรมีชายเป็นลายดอกไม้ ใช้จีวรมีชายเป็นลายผลไม้ สวมเสื้อ สวมหมวก ประชาชนเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกหญิงคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงใช้จีวรสีครามล้วน ไม่พึงใช้จีวรสีเหลืองล้วน ไม่พึงใช้จีวรสีแดงล้วน ไม่พึงใช้จีวรสีบานเย็นล้วน ไม่พึงใช้จีวรสีดำล้วน ไม่พึงใช้จีวรสีแสดล้วน ไม่พึงใช้
จีวรสีชมพูล้วน ไม่พึงใช้จีวรไม่ตัดชาย ไม่พึงใช้จีวรมีชายยาว ไม่พึงใช้จีวรมีชายเป็นลายดอกไม้ ไม่พึงใช้จีวรมีชายเป็นลายผลไม้ ไม่พึงสวมเสื้อ ไม่พึงสวมหมวก รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ รัดสีข้าง, แต่งกาย, ทาหน้า ใช้จีวรสีครามล้วนเป็นต้น อรรถกถาภิกขุนีขันธกะทั้งหมดมีเนื้อความอยู่ในข้อ 513.
        อรรถกถาที่มีมาก่อนหน้านี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ
   เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=513
        อรรถกถาที่มีถัดจากนี้ :-
   อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ปัญจสติกขันธกะ
   เรื่องพระมหากัสสปเถระเป็นต้น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=614
พินัยกรรม
   [๕๕๙] สมัยนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่ง เมื่อจะถึงมรณภาพ พูดอย่างนี้ว่า เมื่อฉันล่วงไปแล้ว บริขารของฉันจงเป็นของสงฆ์ บรรดาสหธรรมิกเหล่านั้น ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายโต้เถียงกันว่า บริขารเป็นของพวกเรา บริขารเป็นของพวกเราภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าภิกษุณีเมื่อจะถึงมรณภาพพูดอย่างนี้ว่า เมื่อฉันล่วงไปแล้ว บริขารของฉันจงเป็นของสงฆ์ ภิกษุสงฆ์ไม่เป็นใหญ่ในบริขารนั้น บริขารนั้นเป็นของภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสิกขมานา ...
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสามเณรี เมื่อจะถึงมรณภาพพูดอย่างนี้ว่า เมื่อฉันล่วงไปแล้ว บริขารของฉันจงเป็นของสงฆ์ ภิกษุสงฆ์ไม่เป็นใหญ่ในบริขารนั้นบริขารนั้นเป็นของภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเมื่อจะถึงมรณภาพพูดอย่างนี้ว่า เมื่อฉันล่วงไปแล้ว บริขารของฉันจงเป็นของสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์ไม่เป็นใหญ่ในบริขารนั้น บริขารนั้นเป็นของภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสามเณร ...
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอุบาสก ...
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอุบาสิกา ...
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าใครคนอื่นเมื่อจะตายพูดอย่างนี้ว่า เมื่อฉันล่วงไปแล้ว บริขารของฉันจงเป็นของสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์ไม่เป็นใหญ่ในบริขารนั้น บริขารนั้นเป็นของภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียว ฯ
ภิกษุณีประหารภิกษุ
   [๕๖๐] สมัยนั้น หญิงคนหนึ่งเป็นภรรยาของนักมวยมาก่อน บวชในสำนักภิกษุณี นางเห็นภิกษุทุพพลภาพที่ถนน แล้วให้ประหารด้วยไหล่ให้เซไป ภิกษุทั้งหลายเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ให้ประหารแก่ภิกษุเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่
พึงให้ประหารแก่ภิกษุ รูปใดให้ประหาร ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตให้ภิกษุณีเห็นภิกษุแล้ว หลีกทางให้แต่ไกลเทียว ฯ
นำทารกไปด้วยบาตร
      [๕๖๑] สมัยนั้น หญิงคนหนึ่งผัวหย่าร้างจึงมีครรภ์กับชายชู้ นางรีดครรภ์แล้วกล่าววานภิกษุณีผู้กุลุปกะว่า วานทีเถิดเจ้าข้า ขอท่านจงนำทารกนี้ไปด้วยบาตรภิกษุณีนั้นจึงวางเด็กลงในบาตรปิดด้วยผ้าสังฆาฏิเดินไป
       สมัยนั้น ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตรูปหนึ่งทำการสมาทานว่าเราไม่ให้ภิกษาที่ได้แก่ภิกษุ หรือภิกษุณีก่อนแล้วจักไม่ฉัน
       ครั้งนั้น เธอพบภิกษุณีนั้นแล้วได้กล่าวว่า น้องหญิง เชิญรับภิกษา
       นางปฏิเสธว่า อย่าเลย เจ้าข้า
       แม้ครั้งที่สอง ภิกษุนั้นได้กล่าวกะภิกษุณีนั้นว่า น้องหญิงเชิญรับภิกษา
       นางปฏิเสธว่า อย่าเลย เจ้าข้า
       แม้ครั้งที่สาม ภิกษุนั้นได้กล่าวกะภิกษุณีนั้นว่า น้องหญิงเชิญรับภิกษา
       นางปฏิเสธว่า อย่าเลย เจ้าข้า
       ภิกษุนั้นชี้แจงว่า น้องหญิง ฉันสมาทานไว้ว่า ฉันไม่ให้ภิกษาที่ได้แก่ภิกษุ หรือภิกษุณีก่อนแล้วจักไม่ฉัน น้องหญิงเชิญรับภิกษา
       ครั้นนางถูกภิกษุนั้นแค่นไค้อยู่ จึงนำบาตรออกแสดงกล่าวว่า พระคุณเจ้าข้า ท่านจงดูทารกในบาตร ท่านอย่าบอกใคร ภิกษุนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงนำทารกไปด้วยบาตรแล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน
ภิกษุณี จึงได้นำทารกไปด้วยบาตร แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงนำทารกไปด้วยบาตร รูปใดนำไป ต้องอาบัติทุกกฏเราอนุญาตให้ภิกษุณีพบภิกษุแล้วนำบาตรออกแสดง ฯ
แสดงก้นบาตร
   [๕๖๒] สมัยนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์พบภิกษุแล้ว พลิกกลับแสดงก้นบาตร ภิกษุเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์พบภิกษุแล้ว จึงได้พลิกกลับแสดงก้นบาตร แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีพบภิกษุแล้ว ไม่พึงพลิกกลับแสดงก้นบาตร
รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตให้ภิกษุณีพบภิกษุแล้วหงายบาตรแสดง และอามิสใดมีในบาตร พึงนิมนต์ภิกษุด้วยอามิสนั้น ฯ
เพ่งดูนิมิตบุรุษ
   [๕๖๓] สมัยนั้น นิมิตบุรุษเขาทิ้งไว้ที่ถนนในพระนครสาวัตถี ภิกษุณีทั้งหลายตั้งใจเพ่งดูนิมิตบุรุษนั้น ชาวบ้านพากันโห่ ภิกษุณีเหล่านั้นเก้อ จึงไปสู่สำนักแล้ว บอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้เพ่งดูนิมิตบุรุษเล่า
แล้วได้บอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงเพ่งดูนิมิตบุรุษ รูปใดเพ่งดูต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
เรื่องให้อามิส
   [๕๖๔] สมัยนั้น ประชาชนถวายอามิสแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายให้อามิสแก่พวกภิกษุณี ประชาชนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลาย จึงได้ให้อามิสที่เขาถวายแก่ตนเพื่อประโยชน์บริโภคแก่ผู้อื่นเล่า ก็พวกเราไม่รู้จักให้ทานหรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ
... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้อามิสที่เขาถวายแก่ตน เพื่อประโยชน์บริโภคแก่ผู้อื่น รูปใดให้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๕๖๕] สมัยนั้น อามิสของภิกษุทั้งหลายมีมาก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อให้แก่สงฆ์ อามิสมีมากเหลือเฟือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อให้เป็นส่วนบุคคล ฯ
       [๕๖๖] สมัยนั้น อามิสที่ภิกษุทำการสั่งสมไว้มีมาก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุยังภิกษุณีให้รับอามิสที่เป็นสันนิธิของภิกษุแล้วฉันได้ ฯ
       [๕๖๗] สมัยนั้น ประชาชนถวายอามิสแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ภิกษุณีทั้งหลายถวายแก่ภิกษุ คนทั้งหลายเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงถวายอามิสที่เขาถวายแก่ตน เพื่อประโยชน์บริโภคแก่ผู้อื่น ก็พวกเราไม่รู้จักให้ทานหรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงให้อามิสที่เขาถวายแก่ตน เพื่อประโยชน์บริโภคแก่ผู้อื่น รูปใดให้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
       [๕๖๘] สมัยนั้น อามิสของภิกษุทั้งหลายมีมาก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถวายแก่สงฆ์ อามิสมีมากเหลือเฟือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อให้แม้เป็นส่วนบุคคล ฯ
       [๕๖๙] สมัยนั้น อามิสที่ภิกษุณีทำการสั่งสมมีมาก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุณียังภิกษุให้รับอามิสที่เป็นสันนิธิของภิกษุณีแล้วฉันได้ ฯ
พุทธานุญาตเสนาสนะอาศัยชั่วคราว
   [๕๗๐] สมัยนั้น เสนาสนะของภิกษุทั้งหลายมีมาก เสนาสนะของพวกภิกษุณีไม่มี ภิกษุณีทั้งหลายส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดีละ เจ้าข้าขอพระคุณเจ้าทั้งหลายจงให้เสนาสนะแก่พวกดิฉันอาศัยชั่วคราว ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อให้เสนาสนะแก่ภิกษุณีทั้งหลายอาศัยชั่วคราว ฯ
พุทธานุญาตผ้าสำหรับนุ่งในที่พัก
   [๕๗๑] สมัยนั้น ภิกษุณีทั้งหลายมีระดู ขึ้นนั่งบ้าง ขึ้นนอนบ้าง บนเตียงที่บุ บนตั่งที่บุ เสนาสนะเปื้อนโลหิต ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงขึ้นนั่ง ไม่พึงขึ้นนอนบนเตียงที่บุ บนตั่งที่บุ รูปใดขึ้นนั่ง หรือขึ้นนอน ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตผ้าในที่พัก
ผ้าในที่พักเปื้อนโลหิต ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้าซับใน ผ้าซับในหลุด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้เชือกผูก แล้วผูกไว้ที่ขาอ่อน เชือกขาด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระ
       ผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเชือกฟั่นผูกสะเอว ฯ
   [๕๗๒] สมัยนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ใช้เชือกผูกสะเอวตลอดกาล คนทั้งหลายเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกหญิงคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงใช้เชือกผูกสะเอวตลอดกาล รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตเชือกผูกสะเอว เมื่อมีระดู ฯ
ทุติยภาณวาร จบ
อันตรายิกธรรมของภิกษุณี
   [๕๗๓] สมัยนั้น ภิกษุณีทั้งหลายที่อุปสมบทแล้วปรากฏว่าไม่มีนิมิตบ้างมีสักแต่ว่านิมิตบ้าง ไม่มีโลหิตบ้าง มีโลหิตเสมอบ้าง มีผ้าซับในเสมอบ้าง มีน้ำมูตรกะปริบกะปรอยบ้าง มีเดือยบ้าง เป็นหญิงบัณเฑาะก์บ้าง เป็นหญิงคล้ายชายบ้าง เป็นหญิงมีมรรคระคนกันบ้าง เป็นหญิง ๒ เพศบ้าง ... ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถามอันตรายิกธรรม ๒๔ ประการ แก่ภิกษุณีผู้จะอุปสมบท
วิธีถามอันตรายิกธรรม
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงถามอย่างนี้:-
   เธอมิใช่ผู้ไม่มีนิมิต หรือ
   มิใช่ผู้มีสักแต่ว่านิมิต หรือ
   มิใช่ผู้ไม่มีโลหิต หรือ
   มิใช่ผู้มีโลหิตเสมอ หรือ
   มิใช่ผู้มีผ้าซับในเสมอ หรือ
   มิใช่ผู้มีน้ำมูตรกะปริบกะปรอย หรือ
   มิใช่ผู้มีเดือย หรือ
   มิใช่เป็นหญิงบัณเฑาะก์ หรือ
   มิใช่เป็นหญิงคล้ายชาย หรือ
   มิใช่ผู้เป็นหญิงมีมรรคระคนกัน หรือ
   มิใช่เป็นหญิง ๒ เพศ หรือ
   อาพาธเหมือนอย่างนี้ ของเธอ มีหรือ คือ โรคเรื้อน ฝี โรคกลากโรคมองคร่อ ลมบ้าหมู
   เธอเป็นมนุษย์ หรือ
   เป็นหญิง หรือ
   เป็นไทย หรือ
   ไม่มีหนี้สิน หรือ
   ไม่เป็นราชภัฏ หรือ
   มารดาบิดา สามี อนุญาตแล้ว หรือ
   มีอายุครบ ๒๐ ปีแล้ว หรือ
   บาตร จีวรของเธอครบแล้ว หรือ
   เธอ ชื่ออะไร
   ปวัตตินีของเธอ ชื่ออะไร ฯ
      [๕๗๔] สมัยนั้น ภิกษุถามอันตรายิกธรรมของภิกษุณี หญิงผู้อุปสัมปทาเปกขะย่อมกระดาก เก้อเขิน ไม่อาจตอบได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
       พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นางอุปสัมปทาเปกขะอุปสมบทในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์ในภิกษุณีสงฆ์ แล้วอุปสมบทในภิกษุสงฆ์ ฯ
       [๕๗๕] สมัยนั้น ภิกษุณีทั้งหลายถามอันตรายิกธรรมกะนางอุปสัมปทาเปกขะผู้ยังไม่ได้สอนซ้อม นางอุปสัมปทาเปกขะย่อมกระดาก เก้อเขิน ไม่อาจตอบได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สอนซ้อมก่อน แล้วถามอันตรายิกธรรมต่อภายหลัง
ภิกษุณีทั้งหลายสอนซ้อมในท่ามกลางสงฆ์นั่นเอง นางอุปสัมปทาเปกขะยังกระดากเก้อเขิน ไม่อาจตอบได้เหมือนอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สอนซ้อม ณ สถานที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วถามอันตรายิกธรรมในท่ามกลางสงฆ์
วิธีสอนซ้อม
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงสอนซ้อมอย่างนี้ พึงให้ถืออุปัชฌายะก่อนครั้นแล้วพึงบอกบาตรจีวรว่า
       นี้ บาตรของเธอ
       นี้ ผ้าสังฆาฏิ
       นี้ ผ้าอุตราสงค์
       นี้ ผ้าอันตรวาสก
       นี้ ผ้ารัดอก
       นี้ ผ้าอาบน้ำ
       เธอจงไปยืนอยู่ ณ โอกาสโน้น
   ภิกษุณีผู้เขลา ไม่ฉลาด สอนซ้อม นางอุปสัมปทาเปกขะผู้ถูกสอนซ้อมไม่ดี ย่อมกระดาก เก้อเขิน ไม่อาจตอบได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีผู้เขลา ไม่ฉลาด ไม่พึงสอนซ้อม รูปใดสอนซ้อม ต้องอาบัติทุกกฏ
       ภิกษุณีมิได้รับสมมติสอนซ้อม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีมิได้รับสมมติไม่พึงสอนซ้อม รูปใดสอนซ้อม ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตให้ภิกษุณีผู้ได้รับสมมติแล้วสอนซ้อม
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงสมมติอย่างนี้ ตนเองพึงสมมติตน หรือผู้อื่นพึงสมมติผู้อื่น ฯ
Red Life (2023) เรดไลฟ์ ประเภทหนัง:รักโรแมนติก ดราม่า, พ.ศ. 2566 ‧ กระตุกขวัญ/ชีวิต ‧ 2 ชั่วโมง
ดูหนังออนไลน์ Red Life (2023) เรดไลฟ์

เต๋อ เด็กหนุ่มที่พยายามหาเงินด้วยการขโมย เขาตั้งใจนำเงินนั้นไปสร้างอนาคตกับ มายด์ หญิงสาวขายบริการที่เขาตั้งใจมอบความรักให้ แต่เต๋อกลับพบว่ายิ่งเขาพยายามมากเท่าไร ชีวิตรักที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้กับเธอยิ่งหายไปเร็วมากขึ้นเท่านั้น 
&@ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง ส้ม ลูกสาวเพียงคนเดียวของ อ้อย โสเภณีข้างถนน ก็เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปหลังจากที่ตกหลุมรัก พีช รุ่นพี่ไอดอลสาวที่เต็มไปด้วยปริศนา และทำให้ส้มได้เรียนรู้ว่าราคาของความรักนั้นอาจแลกมากับทั้งชีวิตของเธอ
วิธีสมมติตน [๕๗๖] ก็ตนเองพึงสมมติตน อย่างไร ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:- ญัตติกรรมวาจาสมมติตน แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน นางชื่อนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ดิฉันพึง สอนซ้อมนางชื่อนี้อย่างนี้ชื่อว่าตนเองสมมติตน ฯ วิธีสมมติผู้อื่น[๕๗๗] ก็ผู้อื่นพึงสมมติผู้อื่น อย่างไร ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:- ญัตติกรรมวาจาสมมติผู้อื่น แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน นางชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ภิกษุณีชื่อนี้ พึงสอนซ้อมนางชื่อนี้ อย่างนี้ชื่อว่าผู้อื่นสมมติผู้อื่น ฯ คำสอนซ้อม [๕๗๘] ภิกษุณีผู้ได้รับสมมติแล้วนั้น พึงเข้าไปหานางอุปสัมปทาเปกขะแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า นางชื่อนี้ เธอจงฟังนะ นี้เป็นกาลสัตย์ กาลจริง ของเธอ เมื่อถูกถาม ในท่ามกลางสงฆ์ ถึงสิ่งอันเกิดแล้ว มีอยู่ พึงบอกว่ามี ไม่มี พึงบอกว่าไม่มี เธออย่ากระดาก เธออย่าเก้อเขิน ภิกษุณีทั้งหลายจักถามเธอ อย่างนี้:- เธอมิใช่ผู้ไม่มีนิมิต หรือ มิใช่ผู้มีสักแต่ว่านิมิต หรือ มิใช่ผู้ไม่มีโลหิต หรือ มิใช่ผู้มีโลหิตเสมอ หรือ มิใช่ผู้มีผ้าซับในเสมอ หรือ มิใช่ผู้มีน้ำมูตรกระปริบกระปรอย หรือ มิใช่ผู้มีเดือยหรือ มิใช่เป็นหญิงบัณเฑาะก์ หรือ มิใช่เป็นหญิงคล้ายชาย หรือ มิใช่เป็นหญิงมีมรรคระคนกัน หรือ มิใช่เป็นหญิง ๒ เพศ หรือ อาพาธเหมือนอย่างนี้ ของเธอ มีหรือ คือ โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เธอเป็นมนุษย์ หรือ เป็นหญิง หรือ เป็นไทย หรือ ไม่มีหนี้สิน หรือ ไม่เป็นราชภัฏ หรือ มารดาบิดา สามี อนุญาตแล้ว หรือ มีอายุครบ ๒๐ ปีแล้ว หรือ มีบาตรจีวรครบแล้ว หรือ เธอ ชื่ออะไร ปวัตตินีของเธอ ชื่ออะไร ภิกษุณีผู้สอนซ้อม กับนางอุปสัมปทาเปกขะมาพร้อมกัน ... ไม่พึงมา พร้อมกัน ภิกษุณีผู้สอนซ้อมพึงมาก่อนแล้วประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:- ญัตติกรรมวาจา แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน นางชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ นางอันดิฉันสอนซ้อมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว นางชื่อนี้พึงมา ภิกษุณีนั้นพึงกล่าวว่า เธอจงมา พึงให้นางอุปสัมปทาเปกขะห่มผ้าเฉวียงบ่า ให้ไหว้เท้าภิกษุณีทั้งหลาย ให้นั่งกระหย่งประคองอัญชลี ขออุปสมบทว่าดังนี้:- คำขออุปสมบท แม่เจ้า เจ้าข้า ดิฉันขออุปสมบทต่อสงฆ์ ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยกดิฉันขึ้นเถิด เจ้าข้า แม่เจ้า เจ้าข้า ดิฉันขออุปสมบทกะสงฆ์ เป็นครั้งที่สอง ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยกดิฉันขึ้นเถิด เจ้าข้า แม่เจ้า เจ้าข้า ดิฉันขออุปสมบทกะสงฆ์ เป็นครั้งที่สาม ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยกดิฉันขึ้นเถิด เจ้าข้า ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:- ญัตติกรรมวาจา แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน นางมีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ดิฉันพึงถามอันตรายิกธรรมกะนางชื่อนี้ คำถามอันตรายิกธรรม แน่ะนางชื่อนี้ เธอจงฟังนะ นี้เป็นกาลสัตย์ กาลจริง ของเธอ ฉันถามถึงสิ่งที่เกิดแล้ว มีอยู่ เธอพึงบอกว่ามี ไม่มี เธอพึงบอกว่า ไม่มี เธอมิใช่ผู้ไม่มีนิมิต หรือ มิใช่ผู้มีสักแต่ว่านิมิต หรือ ... เธอ ชื่ออะไร ปวัตตินีของเธอ ชื่ออะไร ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ญัตติจตุตถกรรมวาจา แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน นางมีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ บริสุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรม ทั้งหลาย บาตรจีวรของเธอครบแล้ว นางชื่อนี้ขออุปสมบทกะสงฆ์ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้นางชื่อนี้อุปสมบท มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี นี้เป็นญัตติ แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน นางมีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ บริสุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้งหลายบาตรจีวรของเธอครบแล้ว นางชื่อนี้ขออุปสมบทกะสงฆ์ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี สงฆ์ให้นางชื่อนี้อุปสมบท มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี การอุปสมบทของนางชื่อนี้ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด ดิฉันกล่าวความนี้ แม้ครั้งที่สอง ... ดิฉันกล่าวความนี้ แม้ครั้งที่สาม แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน นางมีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ บริสุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้งหลาย บาตร จีวรของเธอครบแล้ว นางชื่อนี้ ขออุปสมบทกะสงฆ์ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี สงฆ์ให้นางชื่อนี้อุปสมบท มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี การอุปสมบทนางชื่อนี้ มี แม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด นางชื่อนี้อันสงฆ์อุปสมบทแล้ว มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ดิฉันทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้ ฯ [๕๗๙] ขณะนั้นเอง ภิกษุณีทั้งหลาย พึงพานางเข้าไปหาภิกษุสงฆ์ให้ห่มผ้าเฉวียงบ่า ให้ไหว้เท้าภิกษุทั้งหลาย ให้นั่งกระหย่ง ประคองอัญชลี ขออุปสมบท ว่าดังนี้:- คำขออุปสมบท พระคุณเจ้าข้า ดิฉันชื่อนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ ดิฉันขออุปสมบทกะสงฆ์ ขอสงฆ์โปรดเอ็นดู ยกดิฉันขึ้นเถิด เจ้าข้า พระคุณเจ้าข้า ดิฉันชื่อนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ ดิฉันขออุปสมบทกะสงฆ์ แม้ครั้งที่สอง ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยกดิฉันขึ้นเถิด เจ้าข้า พระคุณเจ้าข้า ดิฉันชื่อนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ ดิฉันขออุปสมบทกะสงฆ์ แม้ครั้งที่สาม ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยกดิฉันขึ้นเถิด เจ้าข้า ฯ [๕๘๐] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ญัตติจตุตถกรรมวาจา ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นางมีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์ แล้วในภิกษุณีสงฆ์ นางชื่อนี้ขออุปสมบทกะสงฆ์ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้นางชื่อนี้อุปสมบท มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี นี้เป็นญัตติ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นางมีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้ อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ นางชื่อนี้ขออุปสมบทกะสงฆ์ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี สงฆ์ให้นางชื่อนี้อุปสมบท มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี การอุปสมบทขอนางชื่อนี้ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ แม้ครั้งที่สอง ... ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ แม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นางมีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของแม่เจ้าชื่อนี้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ นางชื่อนี้ขออุปสมบทกะสงฆ์ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี สงฆ์ให้นางชื่อนี้อุปสมบท มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี การอุปสมบทของนางชื่อนี้ มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใดท่านผู้นั้นพึงพูด นางชื่อนี้อันสงฆ์อุปสมบทแล้ว มีแม่เจ้าชื่อนี้เป็นปวัตตินี ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้ ฯ วัดเงาแดดเป็นต้น [๕๘๑] ทันใดนั้นพึงวัดเงาแดด พึงบอกประมาณแห่งฤดู พึงบอกส่วนแห่งวัน พึงบอกข้อเบ็ดเสร็จ พึงสั่งภิกษุณีทั้งหลายว่า พวกเธอจงบอกนิสัย ๓ อกรณียกิจ ๘ แก่ภิกษุณีนี้ ฯ [๕๘๒] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีทั้งหลายยึดถืออาสนะในโรงภัตร ยับยั้งอยู่ตลอดกาล ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตภิกษุณี ๘ รูป ตามลำดับพรรษา ภิกษุณีนอกนั้นตามลำดับที่มา ฯ [๕๘๓] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีทั้งหลายปรึกษากันว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตภิกษุณี ๘ รูปตามลำดับพรรษา ภิกษุณีนอกนั้นตามลำดับที่มา ในที่ทุกแห่ง ภิกษุณี ๘ รูปเท่านั้นห้ามตามลำดับพรรษา นอกนั้นตามลำดับที่มา ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในโรงภัตร เราอนุญาตภิกษุณี ๖ รูป ตามลำดับพรรษา นอกนั้นตามลำดับที่มา ในที่อื่นไม่พึงห้ามตามลำดับพรรษา รูปใดห้าม ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

ไม่มีความคิดเห็น: