
พุทธานุญาตราวไม้เก็บจีวร
[๒๓๓] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายเก็บจีวรไว้บนเตียงบ้าง บนตั่งบ้าง จีวรขาด จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตราวจีวร สายระเดียง ในวิหาร ฯ
[๒๓๔] สมัยนั้น วิหารยังไม่มีระเบียง หาที่พักอาศัยมิได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตระเบียง เฉลียงลับแล หน้ามุขมีหลังคา ระเบียงโล่งโถง ภิกษุทั้งหลายละอายที่จะนอน ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกันสาดเลื่อนฝาค้ำ ฯ
พุทธานุญาตหอฉัน
[๒๓๕] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายฉันอาหารในที่แจ้ง ลำบากด้วยหนาวบ้าง ร้อนบ้าง จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตหอฉัน หอฉันมีพื้นที่ต่ำ น้ำท่วมได้ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมพื้นที่ให้สูง ดินที่ถมพัง ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้ก่อกรุ ดินที่ถม ๓ ชนิด คือ อิฐ ศิลา ไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดอิฐศิลา ไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด ผงหญ้าที่มุงหอฉันตกลงเกลื่อน ... ตรัสว่าดูกร
ภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้รื้อลงแล้วฉาบโบกดินทั้งข้างบนข้างล่างให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง มีลวดลาย ดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียง ฯ
[๒๓๖] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายปูจีวรลงบนพื้นดินกลางแจ้ง จีวรเปื้อนฝุ่น ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวจีวร สายระเดียง ไว้กลางแจ้ง ... น้ำฉันถูกแดดเผา ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโรงน้ำฉัน ปะรำน้ำฉัน โรงน้ำฉันมีพื้นต่ำ น้ำท่วมได้ ... ตรัสว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ถมพื้นให้สูง ดินที่ถมพัง ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อกรุ ๓ ชนิด คือ ก่อด้วยอิฐ ก่อด้วยศิลา กรุด้วยไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดอิฐ ศิลา ไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตก ... ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึดผงหญ้าที่มุงโรงน้ำฉันตกเกลื่อน ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบด้วยดินทั้งข้างบนข้างล่างให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง มีลายดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียง ภาชนะตักน้ำฉันยังไม่มี ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตสังข์ตักน้ำดื่ม ขันตักน้ำดื่ม ฯ
[๒๓๗] สมัยนั้น วิหารยังไม่มีเครื่องล้อม ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมด้วยเครื่องล้อม ๓ อย่าง คือ อิฐ ศิลา ไม้ ซุ้ม ประตูยังไม่มี ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้มประตู ซุ้มประตูมีพื้นต่ำไป น้ำท่วมได้ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมให้สูง ซุ้ม
ประตูไม่มีบาน ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรองรับเดือยประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง ลิ่ม กลอนช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าที่มุงซุ้มประตูตกเกลื่อน ... ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลง ฉาบทั้งข้างบนข้างล่าง ให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง มีลายดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ฯ
พุทธานุญาตท่อระบายน้ำ
[๒๓๘] สมัยนั้น บริเวณเป็นตม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โรยกรวดแร่ กรวดแร่ไม่เต็ม ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปูศิลาเรียบ น้ำขัง ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อระบายน้ำ ฯ
พุทธานุญาตโรงไฟ
[๒๓๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายก่อกองไฟไว้ในที่นั้นๆ ทั่วบริเวณบริเวณสกปรก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำโรงไฟไว้ในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง โรงไฟมีพื้นที่ต่ำน้ำท่วมได้ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมให้สูง ดินที่ถมพัง ... ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อกรุ ๓ ชนิด คือ อิฐ ศิลา ไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดอิฐ ศิลา ไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด โรงไฟไม่มีบานประตู ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตบานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรับเดือยประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง ลิ่ม กลอน ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าที่มุงโรงไฟหล่นเกลื่อน ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลง ฉาบทั้งข้างบนทั้งข้างล่างให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง มีลายดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร
ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียง อารามไม่มีเครื่องล้อม แพะบ้าง ปสุสัตว์บ้าง เบียดเบียนสิ่งที่ปลูกไว้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมรั้ว ๓ อย่าง คือ รั้วไม้ไผ่ รั้วหนาม คู ซุ้มประตูไม่มี แพะบ้าง ปสุสัตว์บ้าง ยังรบกวนสิ่งที่ปลูกไว้ตามเดิม
... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้มประตู เครื่องไม้คร่าว บานประตูคู่ เสาระเนียด กลอนเหล็ก ผงหญ้าที่มุงซุ้มหล่นเกลื่อน ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงแล้วฉาบทั้งข้างบนข้างล่างให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง มีลายดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ อารามเป็นตม ...
ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โรยหินแร่ หินแร่ไม่พอ ... ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปูหินเรียบ น้ำขัง ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตท่อระบายน้ำ ฯ
[๒๔๐] สมัยนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช มีพระราชประสงค์จะทรงสร้างปราสาทฉาบปูนขาวถวายสงฆ์ ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายเกิดสนเท่ห์ว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตเครื่องมุงชนิดไรไว้บ้างหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องมุง ๕ ชนิด คือ กระเบื้อง ๑ หิน ๑ ปูนขาว ๑ หญ้า ๑ ใบไม้ ๑ ฯ
ภาณวารที่ ๑ จบ
เรื่องอนาถบิณฑกคหบดีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรก
[๒๔๑] สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคหบดี เป็นน้องเขยของราชคหเศรษฐี ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีไปเมืองราชคฤห์ ด้วยกรณียกิจบางอย่าง ฯ
[๒๔๒] สมัยนั้น ราชคหเศรษฐีได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น จึงได้สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายว่า พนาย ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกันจัดหาอาหารที่มีรสอร่อย ฯ
[๒๔๓] ขณะนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีได้คิดว่า เมื่อเรามาคราวก่อนท่านคหบดีผู้นี้จัดทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว สนทนาปราศรัยกับเราผู้เดียว บัดนี้เขามีท่าทีเปลี่ยนไป สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายว่า พนาย ถ้ากระนั้นพวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกันจัดหาอาหารที่มีรสอร่อยๆ
บางทีคหบดีผู้นี้จักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรือประกอบมหายัญ หรือจักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช พร้อมทั้งกองพลมาเลี้ยงในวันรุ่งขึ้นกระมัง ฯ
[๒๔๔] ครั้นราชคหเศรษฐีสั่งทาสและกรรมกรแล้ว เข้าไปหาอนาถบิณฑิกคหบดี ได้นั่งสนทนากัน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อนาถบิณฑิกคหบดีได้ถามว่า ท่านคหบดี คราวก่อนเมื่อฉันมาแล้ว ท่านได้จัดทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้วก็สนทนากับฉันผู้เดียว บัดนี้ท่านนั้นมัวสาละวนสั่งทาสและกรรมกรว่า ถ้ากระนั้น
พวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกันจัดหาอาหารที่มีรสอร่อยๆ บางทีท่านคหบดี จักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรือประกอบมหายัญ หรือจักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช พร้อมทั้งกองพลมาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้กระมัง ฯ
ราชคหเศรษฐีตอบว่า ท่านคหบดี ฉันจะได้มีงานอาวาหมงคล หรือวิวาหมงคล ก็หาไม่ แม้พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช พร้อมทั้งกองพล ฉันก็มิได้เชิญเสด็จมาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ ที่ถูกฉันจะประกอบมหายัญ คือ ฉันได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อเลี้ยงในวันพรุ่งนี้
อ. ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ
ร. ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้จ้ะ
อ. ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ
ร. ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้จ้ะ
อ. ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ
ร. ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้จ้ะ
อ. ท่านคหบดี แม้เสียงว่า พุทธะ นี้ก็ยากที่จะหาได้ในโลก
ท่านคหบดี ฉันสามารถจะเข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในเวลานี้ได้ไหม
ร. ท่านคหบดี เวลานี้ยังไม่ควรที่จะเข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พรุ่งนี้ท่านจึงจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ฯ
[๒๔๕] หลังจากนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีนอนนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ว่า พรุ่งนี้ เราจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ข่าวว่า เธอลุกขึ้นในกลางคืนถึงสามครั้งเข้าใจว่า สว่างแล้ว จึงได้เดินไปโดยทางอันจะไปประตูป่าสีตวัน พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ ขณะเมื่อเดิน
ออกจากพระนคร แสงสว่างได้หายไป ความมืดปรากฏแทน ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าได้บังเกิดแล้ว เธอได้คิดกลับจากที่นั้นอีก ฯ
[๒๔๖] ขณะนั้น สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง ให้ได้ยินแต่เสียงโดยคาถาว่าดังนี้
ช้าง ๑ แสน ม้า ๑ แสน รถม้าอัสดร ๑ แสน
สาวน้อยประดับต่างหูเพชร ๑ แสนก็ยังไม่เท่า เสี้ยวที่
๑๖ แห่งการย่างเท้าไปก้าวหนึ่ง เชิญก้าวไปข้างหน้า
เถิด ท่านคหบดี เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี
ท่านก้าวไปข้างหน้าดีกว่า อย่าถอยกลับเลย ฯ
[๒๔๗] ทันใดนั้น ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิกคหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า อันใดได้มีแล้ว อันนั้นได้สงบแล้ว แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม แสงสว่างหายไป ความมืดได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิกคหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพอง
สยองเกล้าได้บังเกิด เธอคิดจะกลับจากที่นั้นอีก แม้ครั้งที่สาม สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง ให้ได้ยินแต่เสียง โดยคาถาว่าดังนี้:-
ช้าง ๑ แสน ม้า ๑ แสน รถม้าอัสดร ๑ แสน
สาวน้อยประดับต่างหูเพชร ๑ แสน ก็ยังไม่เท่าเสี้ยวที่
๑๖ แห่งการย่างเท้าไปก้าวหนึ่ง เชิญก้าวไปข้างหน้า
เถิด ท่านคหบดี เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี
ท่านก้าวไปข้างหน้าดีกว่าอย่าถอยกลับเลย
แม้ครั้งที่สาม ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏ
แก่อนาถบิณฑิกคหบดีความกลัว ความหวาดเสียว
ความขนพองสยองเกล้าอันใดได้มีแล้ว อันนั้นได้ สงบแล้ว จึงอนาถบิณฑิกคหบดีเดินเข้าไปยังสีตวันแล้ว ฯ
[๒๔๘] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นจงกรมในที่แจ้ง ณ เวลาปัจจุสสมัยแห่งราตรี ได้ทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกคหบดีนั้นเดินมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วได้ตรัสกะอนาถบิณฑิกคหบดีว่า มาเถิดสุทัตตะ ทันใดนั้น อนาถบิณฑิกคหบดี
เบิกบานใจ ดีใจว่า พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกชื่อเรา แล้วเข้าไปเฝ้าซบเศียรลงแทบพระบาทพระผู้มีพระภาค ทูลถามว่า พระองค์ประทับสำราญ หรือ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๒๔๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบโดยคาถา ว่าดังนี้:- พราหมณ์ผู้ดับทุกข์ได้แล้ว ย่อมอยู่เป็นสุขแท้ทุกเวลา ผู้ใดไม่ ติดในกาม มีใจเย็น ไม่มีอุปธิ ตัดความเกี่ยวข้องทุกอย่างได้
แล้ว บรรเทาความกระวนกระวายในใจ ถึง
ความสงบแห่งจิตเป็นผู้สงบระงับแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข ฯ
[๒๕๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสอนุปุพพิกถาแก่อนาถบิณฑิกคหบดี คือ บรรยายถึงทาน ศีล สวรรค์ อาทีนพ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย แล้วทรงประกาศอานิสงส์ในการออกจากกาม ขณะที่พระองค์ทรงทราบว่า อนาถบิณฑิกคหบดีมีจิตควรแก่การงาน มีจิตอ่อน มีจิตปราศจาก
นิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตเลื่อมใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อนาถบิณฑิกคหบดีได้ดวงตาเห็นธรรม
ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่อนาถบิณฑิกคหบดี ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อม ฉะนั้น ฯ
[๒๕๑] ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดี ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้วได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์
แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์
ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหาร เพื่อเจริญบุญกุศล ปีติและปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ของข้าพระพุทธเจ้าพระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนา โดยดุษณีภาพ ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดีทราบว่า
พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาแล้วจึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคม ทำประทักษิณกลับไป ฯ
[๒๕๒] ราชคหเศรษฐีได้ทราบข่าวว่า อนาถบิณฑิกคหบดีนิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ จึงได้ถามอนาถบิณฑิกคหบดีว่า ท่านคหบดี ข่าวว่าท่านได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ แลท่านก็เป็นแขกแรกมา ฉันจะให้ยืมทรัพย์ที่จะจับจ่ายสิ่งของแก่ท่านเพื่อท่านจะได้จัดทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
อนาถบิณฑิกคหบดีตอบว่า ไม่ต้อง ท่านคหบดี ทรัพย์สำหรับที่จะจับจ่ายสิ่งของเป็นเครื่องทำอาหารถวายพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น ของฉันมีแล้ว ฯ
[๒๕๓] ชาวนิคมเมืองราชคฤห์ได้ทราบข่าวว่า อนาถบิณฑิกคหบดีนิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ จึงได้ถามอนาถบิณฑิกคหบดีว่า ท่านคหบดี ข่าวว่าท่านได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ แลท่านก็เป็นแขกแรกมา ฉันจะให้ยืมทรัพย์ที่จะจับจ่ายสิ่งของ
แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้จัดทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
อนาถบิณฑิกคหบดีตอบว่า ไม่ต้อง ท่านผู้เจริญ ทรัพย์สำหรับที่จะจับจ่ายสิ่งของเป็นเครื่องทำอาหารถวายพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น ของฉันมีแล้ว ฯ
[๒๕๔] พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชได้ทรงสดับข่าวว่า อนาถบิณฑิกคหบดี นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้จึงตรัสถามอนาถบิณฑิกคหบดีว่า ดูกรคหบดี ข่าวว่า ท่านนิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ แลท่านก็เป็นแขกเมือง ฉันจะให้ยืมทรัพย์
ที่จะจับจ่ายสิ่งของแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้จัดทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
อนาถบิณฑิกคหบดีกราบทูลว่า ขอเดชะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเกล้า ทรัพย์ที่จะจับจ่ายเป็นเครื่องทำอาหารถวายพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น ของข้าพระพุทธเจ้ามีแล้ว ฯ
อนาถบิณฑิกคหบดีถวายภัตตาหาร
[๒๕๕] หลังจากนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีสั่งให้ตกแต่งอาหารของเคี้ยวของฉันอันประณีตในนิเวศน์ของราชคหเศรษฐี โดยล่วงราตรีนั้น แล้วให้กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ได้เวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ทรงถือบาตรจีวร เสด็จเข้า
นิเวศน์ของราชคหเศรษฐี ครั้นแล้วประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดถวายพร้อมกับภิกษุสงฆ์ จึงอนาถบิณฑิกคหบดีอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยอาหารของเคี้ยวของฉันอันประณีตด้วยมือตนเอง จนพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จลดพระหัตถ์จากบาตร ห้ามภัตรแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้
กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์พร้อมกับภิกษุสงฆ์จงทรงรับอาราธนาอยู่จำพรรษาในเมืองสาวัตถีของข้าพระพุทธเจ้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรคหบดี พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมยินดีในสุญญาคาร อนาถบิณฑิกคหบดีทูลว่า ทราบเกล้าแล้ว พระผู้มีพระภาค ทราบเกล้าแล้วพระสุคต ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้อนาถบิณฑิกคหบดีเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จกลับ ฯ
อนาถบิณฑิกคหบดีสร้างพระเชตวัน
[๒๕๖] สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีเป็นคนมีมิตรสหายมาก มีวาจาควรเชื่อถือ ครั้นเสร็จกิจนั้นในเมืองราชคฤห์แล้ว กลับไปสู่พระนครสาวัตถี ได้ชักชวนชาวบ้านระหว่างทางว่า ท่านทั้งหลาย จงช่วยกันสร้างอาราม จงช่วยกันสร้างวิหาร เริ่มบำเพ็ญทาน เพราะเวลานี้พระพุทธเจ้าอุบัติในโลกแล้ว
อนึ่ง พระองค์อันข้าพเจ้าได้นิมนต์แล้ว จักเสด็จมาโดยทางนี้ ครั้งนั้น ชาวบ้านเหล่านั้น ที่อนาถบิณฑิกคหบดีชักชวนไว้ ต่างพากันสร้างอาราม สร้างวิหาร เริ่มบำเพ็ญทานแล้ว ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดีไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว เที่ยวตรวจดูพระนครสาวัตถีโดยรอบว่า พระผู้มีพระภาคควรจะประทับอยู่
ที่ไหนดีหนอ ซึ่งเป็นสถานที่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก จากหมู่บ้าน มีคมนาคมสะดวก ชาวบ้านบรรดาที่มีความประสงค์ไปมาได้ง่าย กลางวันมีคนน้อย กลางคืนเงียบ มีเสียงอึกทึกน้อยปราศจากกลิ่นไอของคน เป็นสถานควรแก่การประกอบกรรมในที่ลับของมนุษย์ชนสมควรเป็นที่หลีกเร้น อนาถบิณฑิกคหบดีได้เห็นพระ
อุทยานของเจ้าเชตราชกุมารซึ่งเป็นสถานไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นักจากหมู่บ้าน มีการคมนาคมสะดวก ชาวบ้านบรรดาที่มีความประสงค์ไปมาได้ง่าย กลางวันมีคนน้อย กลางคืนเงียบ มีเสียงอึกทึกน้อย ปราศจากกลิ่นไอคน เป็นสถานควรแก่การประกอบกรรมในที่ลับของมนุษย์ชน สมควรเป็นที่หลีกเร้น
ครั้นแล้ว จึงเข้าเฝ้าเชตราชกุมาร กราบทูลว่าขอใต้ฝ่าพระบาทจงทรงประทานพระอุทยานแก่เกล้ากระหม่อม เพื่อจัดสร้างพระอาราม พระเจ้าข้า
เจ้าเชตราชกุมารรับสั่งว่า ท่านคหบดี อารามเราให้ไม่ได้ แต่ต้องซื้อด้วยลาดทรัพย์เป็นโกฏิ
อ. อาราม พระองค์ทรงตกลงขายหรือ พระเจ้าข้า
ช. อาราม ฉันยังไม่ตกลงขาย ท่านคหบดี
เจ้าชายกับคหบดี ได้ถามมหาอำมาตย์ผู้พิพากษาความว่า เป็นอันตกลงขายหรือไม่ตกลงขาย มหาอำมาตย์ผู้พิพากษาตอบว่า เมื่อพระองค์ตีราคาแล้ว อารามเป็นอันตกลงขาย จึงอนาถบิณฑิกคหบดี สั่งให้คนเอาเกวียนบรรทุกเงินออกมาเรียงลาดริมจดกัน ณ อารามเชตวัน เงินที่ขนออกมาคราวเดียว ยังไม่พอแก่โอกาสหน่อยหนึ่งใกล้ซุ้มประตู จึงอนาถบิณฑิกคหบดี สั่งคนทั้งหลายว่า พนาย พวกเธอจงไปขนเงินมาเรียงในโอกาสนี้ ขณะนั้น เจ้าเชตราชกุมารทรงพระรำพึงว่า ที่ อันน้อยนี้จักไม่มีเหลือ โดยที่คหบดีนี้บริจาคเงินมากเพียงนั้น จึงเจ้าเชตราชกุมารตรัสกะอนาถบิณฑิกคหบดีว่า พอแล้ว ท่านคหบดี ท่านอย่าได้ลาดโอกาสนี้เลย ท่านจงให้ โอกาสนี้แก่ฉัน ที่ว่างนี้ฉันจักยกให้ ดังนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีใคร่ครวญว่าเจ้าเชตราชกุมารนี้ ทรงเรืองพระนาม มีคนรู้จักมาก อันความเลื่อมใส ในพระธรรมวินัยนี้ ของคนที่มีคนรู้จักมากเห็นปานนี้ ยิ่งใหญ่นักแล จึงได้ถวายที่ว่างนั้นแก่เจ้าเชตราชกุมาร เจ้าเชตราชกุมารรับสั่งให้สร้างซุ้มประตูลงในที่ว่างนั้น ส่วน อนาถบิณฑิกคหบดีได้ให้สร้างวิหารหลายหลัง ไว้ในพระเชตวัน สร้างบริเวณสร้างซุ้มประตู สร้างศาลาหอฉัน สร้างโรงไฟ สร้างกัปปิยกุฎี สร้าง วัจจกุฎี สร้างที่จงกรม สร้างโรงจงกรม สร้างบ่อน้ำ สร้างศาลาบ่อน้ำ สร้างเรือนไฟ สร้างศาลาเรือนไฟ สร้างสระโบกขรณี สร้างมณฑป ฯ [๒๕๗] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์ ตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วได้เสด็จจาริกทางพระนครเวสาลี เสด็จจาริกโดยลำดับ ถึง พระนครเวสาลีแล้ว ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลีนั้น ฯ [๒๕๘] ก็สมัยนั้น ชาวบ้านตั้งใจทำการก่อสร้าง แลอุปัฏฐากภิกษุผู้อำนวยการก่อสร้างด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขาร อันเป็นปัจจัยของภิกษุอาพาธ โดยเคารพ ฯ
Infested (2024) ฝูง 8 ขากับดักสยอง
เมื่อกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่เคยพักอาศัยอยู่ในอาคารเดียวกันได้พบว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ในตึกเดียวกันกับพวกเขาด้วยรอยบาดแผลที่เฟมือนกับถูกฆาตกรรมจากบางสิ่ง คาเลบ (รับบทโดย ธีโอ คริสติน) และ จอร์ดี้ (รับบทโดย ฟินนิแกน โอลด์ฟิลด์) จึงพบว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในตัวตึกก็คือกองทัพแมงมุมพิษที่แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว ถึงแม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะรวมมือกับกรมอนามัยในการบุกทำลายรังของกองทัพแมงมุมที่ดุร้ายทุกอย่างก็สายเกินไป คาเลบ และเพื่อนๆ ของเขาได้หลบซ่อนตัวจนอยู่าลึกเข้าไปในรังของแมงมุมแล้วที่นั้นก็คือที่สุดท้ายในภารกิจของพวกเขาเรื่องราวของ คาเลบ กำลังจะอายุครบ 30 ปีและไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวมาก่อน เขาทะเลาะกับน้องสาวเรื่องมรดกและตัดสัมพันธ์กับเพื่อนรักของเขา เขาหลงใหลในสัตว์แปลกๆจึงพบแมงมุมพิษในร้านค้าและนำมันกลับมาที่อพาร์ตเมนต์ของเขา แมงมุมใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาในการหลบหนีและขยายพันธุ์ ทำให้ทั้งอาคารกลายเป็นกับดักใยแมงมุมที่น่ากลัว ทางเลือกเดียวสำหรับคาเลบและเพื่อนๆ ของเขาคือหาทางออกและเอาชีวิตรอด
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ เสนาสนะขันธกะ เรื่องอนาถบิณฑกคหบดีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรก
[เรื่องอนาถบิณฑิกะ] รถทั้งหลายเทียมด้วยแม่ม้าอัสดรทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อรถเทียมแม่ม้าอัสดร.
บทว่า อามุตฺตมณิกุณฺฑลา ได้แก่ ผู้ประดับต่างหูแก้วมณี.
บทว่า ปรินิพฺพุโต มีความว่า เพราะไม่มีอุปธิคือกิเลส และอุปธิคือขันธ์ ท่านจึงกล่าวว่า ผู้เย็นสนิท ไม่มีอุปธิ.
บาทคาถาว่า วิเนยฺย หทเย ทรํ ได้แก่ กำจัดความกระวนกระวาย คือกิเลส ในจิตเสีย.
ทรัพย์สำหรับใช้หมดไป เรียกว่า ทรัพย์อันควรหมดเปลือง.
บทว่า อาเทยฺยวาโจ มีความว่า ถ้อยคำของอนาถบิณฑิกคหบดีนั้นอันชนเป็นอันมากควรเชื่อถือ. อธิบายว่า คนเป็นอันมากย่อมสำคัญถ้อยคำของคหบดีนั้นว่า อันตนควรฟัง.
สองบทว่า อาราเม อกํสุ มีความว่า ชนเหล่าใดมีทรัพย์ ชนเหล่านั้นได้สร้างด้วยทรัพย์ของตน ชนเหล่าใดมีทรัพย์น้อยและไม่มีทรัพย์ คฤหบดีได้ให้ทรัพย์แก่ชนเหล่านั้น.
คฤหบดีนั้นให้ทรัพย์แสนกหาปณะ และสิ่งของมีราคาแสนหนึ่งกระทำการสร้างวิหารไว้ในระยะโยชน์หนึ่ง ในหนทางไกล ๔๕ โยชน์แล้ว ได้ไปกรุงสาวัตถี ด้วยประการฉะนี้.
สองบทว่า โกฏิสนฺถรํ สนฺถราเปสิ มีความว่า ได้เรียงกหาปณะให้ริมจดกัน ในที่บางแห่งหมายเอาประมาณแห่งเครื่องล้อมของต้นไม้
หรือสระซึ่งมีในเชตวันนั้นเรียงให้ ขุมทรัพย์อันหนึ่ง ๑๘ โกฏิของคฤหบดีนั้น ได้ถึงความสิ้นไปด้วยประการฉะนี้.
สองบทว่า กุมารสฺส เอตทโหสิ มีความว่า ความรำพึงนี้ได้มีแก่ราชกุมาร เพราะเห็นอาการอันผ่องใสแห่งหน้าของคฤหบดี ผู้แม้ต้องสละทรัพย์มากอย่างนั้น.
สองบทว่า โกฏฺฐกํ มาเปสิ มีความว่า ราชกุมารให้สร้างปราสาทมีซุ้งประตู ๗ ชั้น.
คำว่า อถ โข อนาถปิณฺฑิโก คหปติ เชตวเน วิหาเร การาเปสิ ฯเปฯ มณฺฑเป การาเปสิ
มีความว่า อนาถบินฑิกคฤหบดีสร้างวิหารเป็นต้นเหล่านี้ บนพื้นที่ประมาณ ๘ กรีส๑- ด้วยทรัพย์แม้อื่นอีก ๑๘ โกฏิ.
จริงอยู่ คฤหบดีชื่อปุนัพพสุมิต ได้ซื้อพื้นที่ประมาณโยชน์หนึ่งด้วยปูอิฐทองคำ (เต็มพื้นที่) สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี.
สิริวัฑฒคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณ ๓ คาวุต๒- ด้วยลาดไม้เส้าทองคำ สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิขี.
โสตถิชคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณกึ่งโยชน์ด้วยลาดผาลทองคำ สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าเวสสภู.
อัจจุตคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณคาวุตหนึ่ง ด้วยเรียงเท้าช้างทองคำ สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากกุสันธะ.
อุคคคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณกึ่งคาวุต ด้วยเรียงอิฐทองคำ สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมนะ.
สุมังคลคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณ ๒๐ อุสภะ๓- ด้วยเรียงเต่าทองคำ สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ.
สุทัตตคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณ ๘ กรีส ด้วยเรียงกหาปณะ สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ฉะนี้แล.
สมบัติทั้งหลายเสื่อมสิ้นไปโดยลำดับ ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น สมควรแท้ที่จะเบื่อหน่ายในสมบัติทั้งปวง สมควรแท้ที่จะพ้นไปเสีย ฉะนี้แล.
๑- กรีส - ๑๒๕ ศอก. หรือ ๑ เส้น ๑๑ วา ๑ ศอก. ๒- ๑ คาวุต = ๑๐๐ เส้น. ๓- ๑ อุสภะ = ๕๒ วา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น