Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อปทาน.เถรีอปทาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อปทาน.เถรีอปทาน แสดงบทความทั้งหมด

20 พฤศจิกายน 2568

หน้าต่างที่ ๑๒ / ๑๒. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน ๕๕๐. อรรถกถาจูฬสุคันธเถราปทาน

           เนื้อความในพระไตรปิฎก
           เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง.
อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
                        ยสวรรคที่ ๕๖ #-         
                        รัฐปาลเถราปทานที่ ๑๑ (๕๖๑)         
                        ว่าด้วยบุพจริยาของพระรัฐปาลเถระ #- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ. 

                     [๑๕๑] ข้าพเจ้าได้ถวายพญาช้างเชือก 
               ประเสริฐ มีงาใหญ่งอนงามเสมือนงอนไถ แด่ 
               พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ 
               เจริญที่สุดของโลก ผู้คงที่. 
                     ข้าพเจ้าเป็นนายควาญช้าง นั่งอยู่บนคอ 
               ช้าง อันตกแต่งให้งามด้วยเศวตฉัตร ได้จ่าย 
               ทรัพย์แล้วให้สร้างสังฆารามทั้งหลังนั้น. 
                     ข้าพเจ้าได้สละทรัพย์ ๕๔,๐๐๐ กหาปณะ 
               ให้สร้างปราสาททั้งหลาย กระทำการถวายทาน 
               ด้วยเครื่องไทยมีราคามาก แด่พระผู้มีพระภาค 
               เจ้าผู้มีพระคุณใหญ่. 
                     พระมหาวีรเจ้า ผู้สัพพัญญู ผู้เป็นบุคคล 
               ผู้เลิศ ทรงยังมหาชนทั้งหมดให้ร่าเริงอยู่ ทรง 
               แสดงอมตบทแล้ว. 
                     พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ทรง 
               กระทำธรรมนั้น ให้แจ้งแก่ข้าพเจ้า ประทับนั่ง 
               ในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่า 
               นี้ ว่า 
                     ผู้นี้ได้สละทรัพย์ ๕๔,๐๐๐ กหาปณะ 
               กระทำปราสาทแล้ว เราจะกล่าวถึงวิบาก ท่าน 
               ทั้งหลายจงฟัง เราจะกล่าววิบากนั้น 
                     ผู้นี้สละทรัพย์ ๑๘,๐๐๐ กหาปณะ ให้ 
               สร้างเรือนยอด เขาจักเกิดในวิมาน และวิมาน 
               เหล่านั้น จักสำเร็จด้วยทองทั้งหลัง. 
                     เขาจักเป็นจอมเทวดา ๕๐ ครั้ง จักเสวย 
               รัชสมบัติและเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๘ ครั้ง 
                     ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ พระมหาบุรุษจักทรง 
               สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช ทรงมีพระนาม 
               โดยพระโคตรว่าโคตมะ จักทรงเป็นพระศาสดา 
               ในโลก. 
                     ครั้นเขาจุติจากเทวโลก อันกุศลมูลตัก 
               เตือนแล้ว ในกาลนั้น เขาจักเกิดในตระกูลที่ 
               มั่งคั่ง มีโภคะมาก. 
                     ภายหลัง เขาบวชแล้ว อันกุศลมูลตัก 
               เตือนแล้ว จึงได้นามว่ารัฐปาละ จักได้เป็น 
               สาวกของพระศาสดา. 
                     เขามีความเพียรอันตั้งไว้แล้ว เข้าไปสงบ 
               ปราศจากอุปธิแล้ว ในเมื่อบริษัทยังมีอาสวะอยู่ 
               แต่เขาจักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ นิพพาน. 
                     ข้าพเจ้าพยายามแล้วออกบวช ละทิ้ง 
               โภคะและสมบัติทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่มีความ 
               รักใคร่ในโภคะสมบัติ อันเป็นเสมือนก้อนเขฬะ 
               ฉะนั้น. 
                     ข้าพเจ้าทรงไว้ซึ่งการนำธุระคือความเพียร 
               ไป ซึ่งการนำไปซึ่งธรรมอันเป็นแดนเกษมจาก 
               โยคะและซึ่งกายในภพสุดท้าย ในพระศาสนา 
               ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. 
                     กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้เผาสิ้นแล้ว ฯลฯ 
               ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่. 
                     ข้าพเจ้าเป็นผู้มาดีแล้วแล ฯลฯ คำสอนของ 
               พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
                     ปฏิสัมภิทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า 
               ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
         ทราบว่า ท่านพระรัฐปาละเถระได้กล่าวคาถาเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้แล.
จบรัฐปาลเถราปทาน
         ยศวรรคที่ ๕๖         
         ๕๖๑. อรรถกถารัฐปาลเถราปทาน
         พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๑๑ ดังต่อไปนี้ :- 
         อปทานของท่านพระรัฐปาลเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต ดังนี้. 
         แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาล ในพระนครหังสาวดี ก่อนหน้าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงอุบัตินั่นแล พอเจริญวัยแล้ว บิดาล่วงลับดับชีวิตไป ตนเองก็ดำรงเพศเป็นฆราวาสครองเรือน ได้เห็นทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในตระกูลวงศ์อันหาปริมาณมิได้ ตามที่คนผู้รักษาเรือนคลังรัตนะแสดงให้ทราบแล้ว จึงคิดว่าปู่ย่าตายายเป็นต้นของเราไม่อาจเพื่อจะถือเอากองทรัพย์สมบัติมีประมาณเท่านี้ ไปกับตนได้เลย แต่เราควรที่จะถือเอาแล้วจึงไป จึงได้ให้มหาทานแก่หมู่คนทั้งหลายมีคนกำพร้าเป็นต้น. 
         เขาได้บำรุงพระดาบสผู้ได้อภิญญารูปหนึ่ง บุญนั้นจึงส่งเขาให้เป็นใหญ่ในเทวโลก เขาบำเพ็ญบุญทั้งหลายจนตลอดชีวิตแล้ว จุติจากอัตภาพนั้นได้ไปเกิดเป็นเทวดา. 
         เทวดานั้นได้ครอบครองเทวราชสมบัติในเทวโลกนั้น ดำรงอยู่จนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้เกิดเป็นลูกชายคนเดียวแห่งตระกูล ซึ่งสามารถเพื่อจะทำรัฐที่แตกกันแล้วในโลกมนุษย์ ให้ทรงอยู่ได้.
         ก็โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมมุตตระ ทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ได้ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวรให้เป็นไปแล้ว ทรงยังเวไนยสัตว์ให้ได้บรรลุถึงภูมิอันเกษม กล่าวคือมหานครได้แก่พระนิพพาน. 
         ลำดับนั้น กุลบุตรผู้นั้นได้บรรลุนิติภาวะแล้วโดยลำดับ วันหนึ่งได้ไปยังพระวิหารพร้อมกับพวกอุบาสกอุบาสิกา ได้เห็นพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรม มีจิตเลื่อมใส นั่งอยู่ที่ท้ายบริษัทแล้ว. 
         ก็โดยสมัยนั้น พระศาสดาได้ทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกบรรพชิตผู้มีศรัทธาทั้งหลาย. เขาได้เห็นการสถาปนานั้นแล้วมีใจเลื่อมใส จึงปรารถนาเพื่อจะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง ได้ทำมหาทานให้เป็นไปแล้วตลอด ๗ วัน ได้ทำปณิธานด้วยเครื่องสักการะใหญ่แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุแสนรูปเป็นบริวาร. 
         พระศาสดาทรงเห็นว่าปณิธานนั้นจะสำเร็จได้โดยหาอันตรายมิได้ จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล ในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม เขาจักเป็นผู้เลิศกว่าพวกบรรพชิตผู้มีศรัทธา. 
         เขาถวายบังคมพระศาสดาและไหว้ภิกษุสงฆ์แล้ว จึงลุกขึ้นจากอาสนะหลีกไป. 
         เขาอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ได้บำเพ็ญบุญไว้มากมายจนตลอดอายุแล้ว จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก. 
         ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ไป ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าผุสสะ เมื่อพระราชโอรส ๓ พระองค์ซึ่งเป็นพระภาดาต่างพระมารดากับพระศาสดา กำลังบำรุงปฏิบัติพระศาสดาอยู่ ตนเองได้ทำกิจเนื่องด้วยสหายกับพระราชโอรสเหล่านั้น เพื่อจะได้บำเพ็ญบุญ. 
         เขาได้สั่งสมบุญกุศลนั้นไว้เป็นอันมากในภพนั้นอย่างนั้นแล้ว จึงได้ท่องเที่ยวไปในเฉพาะแต่สุคติภพเท่านั้น. 
         ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในเรือนของรัฐปาลเศรษฐี ในถุลลโกฏฐิตนิคม แคว้นกุรุ. เพราะเขาเกิดในตระกูลที่สามารถเพื่อจะทำรัฐที่แตกแล้วให้ดำรงอยู่ได้ จึงได้มีชื่อตามลำดับวงศ์นั่นแลว่า รัฐปาล
         เขามีบริวารมากมาย เติบโตถึงความเป็นหนุ่มตามลำดับ มารดาบิดาได้ให้แต่งงานกับหญิงสาวรูปงาม และได้ให้ดำรงอยู่ในยศอันยิ่งใหญ่ ได้เสวยสมบัติเช่นกับทิพยสมบัติ. 
         ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในชนบท ในแคว้นกุรุ ได้เสด็จไปถึงบ้านถุลลโกฏฐิตะตามลำดับ. กุลบุตรชื่อว่ารัฐปาล ได้สดับเหตุการณ์นั้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้ศรัทธา แต่มารดาบิดาจะอนุญาตให้ก็แสนยากลำบาก ต้องทำการอดอาหารถึง ๗ วันจึงได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขอบวชแล้วได้บวชในสำนักของพระเถระรูปหนึ่งตามรับสั่งของพระศาสดา. 
         ท่านได้บำเพ็ญกัมมัฏฐานโดยโยนิโสมนสิการ เจริญวิปัสสนาแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต. 
         ครั้นกาลต่อมา ท่านระลึกถึงบุรพกรรมของตนได้ เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยประพฤติมาในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมมุตฺตรสฺส ภควโต ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุนาโค โส มยา ทินฺโน ความว่า ในคราวที่เป็นมหาธนเศรษฐี ในสมัยที่สละเสบียงทั้งหมดไปในทาน นาคที่ดีคือพญาช้าง ได้เป็นผู้อันเราถวายแล้ว. 
         เมื่อจะแสดงถึงพญาช้างนั้น ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า อีสาทนฺโต ดังนี้. 
         งาเท่างอนรถ คือมีงาประมาณเท่างอนแห่งรถ, พญาช้างนั้นอันเราถวายแล้ว. 
         บทว่า อุรุฬฺหวา ได้แก่ สามารถใช้เป็นพาหนะของพระราชา หรือเหมาะสมแก่พระราชา. 
         บทว่า เสตจฺฉตฺโต ความว่า ประกอบด้วยฉัตรสีขาวตั้งไว้เพื่อประดับประดา. 
         บทว่า ปโสภิโต ความว่า สมบูรณ์ด้วยรูปโฉมอันงดงามด้วยมีสายคาดอันห้อยย้อย. 
         บทว่า สกปฺปโน สหตฺถิโป ความว่า ประกอบด้วยเครื่องอลังการสำหรับช้าง ประกอบด้วยนายควาญผู้รักษาช้าง. 
         อธิบายว่า พญาช้างผู้เป็นเช่นนี้ เราได้ถวายแล้วแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ. 
         บทว่า มยา ภตฺตํ กาเรตฺวาน เชื่อมความว่า เมื่อเราได้ช่วยกันสร้างพระวิหารแล้ว ได้ช่วยกันบำรุงนิตยภัตรแด่พวกภิกษุประมาณโกฏิรูปผู้จำพรรษาอยู่แล้ว ได้มอบถวายแก่พระมเหสีเจ้า. 
         บทว่า ชลชุตฺตมนามโก ความว่า ชื่อว่าชลชะ เพราะเกิดจากน้ำ, อันนั้นคืออะไร คือดอกปทุม. 
         อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระนามว่าปทุมุตตระ เพราะมีพระนามเสมอกับดอกปทุมและเพราะเป็นผู้สูงสุด. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวงมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล. จบอรรถกถารัฐปาลเถราปทาน         
จบอรรถกถายสวรรคที่ ๕๖
         อรรถกถาอปทาน ชื่อว่าวิสุทธชนวิลาสินี เป็นอรรถกถาอปทานของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวกและพระเถระ จบบริบูรณ์เพียงเท่านี้แล.
         นิคมนกถา         
         ขอมนุษยโลกทั้งหมดพร้อมทั้งเทวโลก จงทราบถึงอรรถกถาแห่งอปทานนี้ ซึ่งบัณฑิตผู้ได้มีความฉลาดทำการอาราธนาโดยเฉพาะตั้ง ๗ เดือน ผู้แสวงหาโพธิสมภาร ผู้มีสติ ธิติ คติและความพากเพียรบากบั่น ผู้งดงามด้วยคุณมากรอบด้าน ผู้ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกได้นำมาแล้วเพื่อตัดข่มและติชม ตัณหา มานะและทิฏฐิเป็นต้นของสัตว์ทั้งปวง มีพระอานันทเถระเป็นอาทิผู้เป็นประทีปในหมู่เถรวงศ์ ผู้มีคุณเช่นความมักน้อยเป็นต้นอยู่ในเกาะสิงหลแล. 
                     ด้วยกุศลกรรมนี้ ขอมลทินมีความโลภเป็นต้น 
               โรคมีโรคตาเป็นต้น ความทุกข์ต่างๆ ชนิด ภัยมีการ 
               ทะเลาะเป็นต้น จนกลายเป็นได้รับความทุกข์ ผู้ก่อ 
               การอันไม่เป็นประโยชน์มีโจรเป็นต้น ของปวงประชา 
               ในโลกนี้ จงพินาศไป. 
                     ขอเวรและบาปธรรม ๕ ประการของข้าพเจ้า 
               จงพินาศไปดุจฝนและลมกำจัดความร้อนให้พินาศ 
               ไปฉะนั้น ขอให้ข้าพเจ้าจงได้ดำเนินถึงพระนิพพาน 
               ด้วยหนทางอันประเสริฐคือมรรคมีองค์ ๘ ประการ 
               เถิด. 
                     ขอให้ข้าพเจ้าจงย่ำยีทิฏฐิทั้งปวงและปาป 
               ธรรมมีราคะโทสะเป็นต้นได้ จงตัดสังสารวัฏ เข้า 
               ถึงสวรรค์และนิพพานเถิด. 
                     ในอาณาเขตทั้งหมด คือตั้งแต่ภวัคคพรหม 
               จนถึงในอเวจีนรก ขอสัตว์ทั้งปวงจงได้พากันประพฤติ 
               ตามธรรมเถิด โลกทั้ง ๓ ก็จักได้มีความอบอุ่นแล.

หน้าต่างที่ ๑๑ / ๑๒. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน ๕๕๐. อรรถกถาจูฬสุคันธเถราปทาน

           เนื้อความในพระไตรปิฎก
           เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง.
อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
ยสวรรคที่ ๕๖ #-         
         อุปวานเถราปทานที่ ##- ๑๐ (๕๖๑)         
         ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุปวานเถระ #- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ. ##- ในบาลีทีฆนิกายเล่มที่ ๑๐ ข้อ ๑๓๐ ว่า อุปวาณเถระ. 
                        [๑๕๐] พระชินเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ผู้รุ่งโรจน์แล้ว เสมือน  กองเพลิงที่ลุกโพลงฉะนั้น พระสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน แล้ว. 
                        มหาชนมาประชุมกันแล้ว บูชาพระตถาคตกระทำจิตกาธานให้ดีแล้ว ยกพระสรีระขึ้นสู่จิตกาธาน  แล้ว. 
                        กระทำสรีรกิจแล้ว รวบรวมพระธาตุไว้ ในที่ นั้น มนุษย์และเทวดาทั้งสิ้นเหล่านั้น ได้กระทำพระ สถูปพระพุทธเจ้าแล้ว. 
                        พระสถูปนั้น ชั้นหนึ่งสำเร็จด้วยทอง ชั้นที่ สองสำเร็จด้วยแก้วมณี ชั้นที่สามสำเร็จด้วยเงิน ชั้นที่สี่สำเร็จด้วยแก้วผลึก. 
                        ที่พระสถูปชั้นที่ห้านั่นแล สำเร็จด้วยแก้วทับทิมล้วน ชั้นที่หกสำเร็จด้วยแก้วลาย ทั่วทั้งองค์ ตลอดถึงยอดสำเร็จด้วยรัตนะ ทางเท้าสำเร็จด้วยแก้วมณี แท่นบูชาสำเร็จด้วยรัตนะ พระสถูปทั้งองค์สำเร็จด้วยทอง สูงหนึ่งโยชน์. 
                        เทวดาทั้งหลายมาประชุมกัน ณ ที่นั้นร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า แม้พวกเราจักพากันเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่บ้าง. 
                        พระธาตุมิได้กระจัดกระจาย พระสรีระธาตุเป็นก้อนเดียว พวกเราจะเสริมแต่งหุ้มพระพุทธสถูปนี้. 
                        เทวดาทั้งหลายได้เสริมแต่งพระสถูปให้สูงขึ้นอีกหนึ่งโยชน์ ประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ  เพราะฉะนั้น พระสถูปจึงสูงเป็นสองโยชน์ พระสถูปนั้นสูงขึ้นไปในหมอก. 
                        พวกนาคทั้งหลายมาประชุมกัน ณ ที่นั้น ร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า มนุษย์และเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นได้สร้างพระพุทธสถูปกันแล้ว พวกเราอย่าได้เป็นผู้ประมาทเลย เพราะ  พวกมนุษย์และเทวดา เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว แม้พวกเราจักเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง. 
                       พวกนาคได้ประชุมกันแล้ว ได้หุ้มห่อพระสถูป ด้วยแก้วอินทนิล แก้วมหาอินทนิลและแก้วโชติรส. 
                        องค์พระพุทธเจดีย์ได้สำเร็จด้วยแก้วมณี ตลอดทั้งองค์ เพิ่มความสูงขึ้นเป็นสามโยชน์ ในครั้งนั้นได้กระทำที่นั้นให้สว่างแล้ว. 
                        พวกครุฑมาประชุมกันแล้วร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า มนุษย์ เทวดาและนาคเหล่านั้นได้พากันกระทำพุทธบูชาแล้ว. 
                        พวกเราอย่าได้ประมาทเลย พวกมนุษย์ เทวดาและนาค เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว แม้พวกเราก็จักเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง. 
                        พวกครุฑเหล่านั้นได้กระทำการหุ้มห่อพระสถูป ให้สำเร็จด้วยแก้วมณีทั้งองค์ แม้พวกครุฑเหล่านั้นได้เสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นอีกหนึ่งโยชน์. 
                        พระพุทธสถูปจึงสูงขึ้นเป็นสี่โยชน์ รุ่งโรจน์ยิ่ง สว่างแจ้งไปทุกทิศ แสงสว่างพวยพุ่งขึ้นสูง สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ฉะนั้น.
                        พวกกุมภัณฑ์มาประชุมกันแล้ว ร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นเหมือนอย่างที่มนุษย์ เทวดา นาคและครุฑปรึกษากันฉะนั้น พวกเขาเหล่านั้นต่างพากันกระทำพระสถูปอันอุดม ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐแล้ว พวกเราอย่าเป็นผู้ประมาทเลย พวกมนุษย์และเทวดาเป็นต้น เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว. 
                        แม้พวกเราก็จักเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่บ้าง พวกเราจักเสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นไปด้วยรัตนะ. 
                        แม้พวกเขาเหล่านั้นก็ได้เสริมแต่ง พระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นไปหนึ่งโยชน์ ครั้งนั้นพระสถูปจึงสูงห้าโยชน์ ส่องแสงสว่างอยู่. 
                        พวกยักษ์ได้มาในที่นั้นแล้ว ต่างประชุมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า พวกมนุษย์ เทวดา นาค ครุฑและกุมภัณฑ์ ได้เสริมแต่งพระสถูปแล้ว. 
                        พวกเขาเหล่านั้นต่างได้กระทำพระสถูป อันอุดมของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐแล้ว พวกเราอย่าได้เป็นผู้ประมาทเลย พวกมนุษย์และเทวดา เป็นต้นเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว. 
                        แม้พวกเราก็จักเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง พวกเราจักเสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ ด้วยแก้วผลึก. 
                        แม้พวกเขา (ยักษ์) เหล่านั้น ได้เสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นหนึ่งโยชน์ ในครั้งนั้น พระสถูปจึงสูงเป็นหกโยชน์ ส่องสว่างอยู่. 
                        พวกคนธรรพ์ได้มาประชุมกันแล้ว ได้ประชุมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า พวกมนุษย์ เทวดา นาค กุมภัณฑ์และครุฑ ได้กระทำกันแล้วอย่างนั้น. 
                        พวกเขาทั้งหมดได้กระทำพระพุทธสถูปแล้ว พวกเราในที่นี้ยังมิได้กระทำ แม้พวกเรา ก็จักกระทำพระสถูปของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่บ้าง. 
                        ในครั้งนั้น พวกคนธรรพ์ได้กระทำที่บูชา ๗ ที่ กระทำธงและฉัตรแต่งเสริมพระสถูปให้สำเร็จด้วยทองคำทั้งองค์. 
                        ในครั้งนั้น พระสถูปสูงได้เจ็ดโยชน์ ส่องแสงสว่างอยู่ จนไม่ปรากฏว่า เป็นกลางคืน หรือกลางวัน โลกคงมีแต่แสงสว่างตลอดกาล. 
                        แสงสว่างของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และ ดวงดาวทั้งหลาย ไม่ครอบงำแสงสว่างพระสถูปนั้นได้ แสงสว่างนั้นสว่างแผ่ไปถึงระยะหนึ่งร้อยโยชน์โดยรอบ จนแม้ประทีป ก็ไม่สว่าง 
                        ในกาลนั้น มนุษย์บางพวกบูชาพระสถูปอยู่ ทั้งที่นั้นมนุษย์เหล่านั้นก็มิได้ขึ้นสู่พระสถูป มนุษย์เหล่านั้นก็เสมือนขึ้นไปอยู่สูงในท้องฟ้า ฉะนั้น. 
                        ยักษ์มีนามว่าอภิสมมต ยืนอยู่กับพวกเทวดา ได้ยกธงและพวงดอกไม้ขึ้นสูงยิ่ง. 
                        ชนเหล่านั้นมิได้เห็นยักษ์นั้น เมื่อเดินไปก็เห็นพวงดอกไม้ เมื่อเห็นพวงดอกไม้ ก็เดินไปอยู่อย่างนั้น ชนเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมไปสู่สุคติ. 
                        มนุษย์เหล่าใด ประพฤติชอบในปาพจน์และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มนุษย์เหล่านั้นใคร่จะเห็นปาฏิหาริย์ จึงบูชาพระสถูป. 
                        ครั้นเมื่อข้าพเจ้าเกิดเป็นคนรับจ้าง อาศัยอยู่ในพระนครหังสวดี เห็นชนรื่นเริงยินดีแล้ว จึงคิดอย่างนี้ว่า ก็ชนเหล่านี้ยินดีแล้ว ย่อมไม่อิ่มต่อการบุญที่ควรกระทำ อันปรากฏในพระสถูป บรรจุพระธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สูงสุดพระองค์นั้น. 
                        แม้ข้าพเจ้าจักกระทำบุญ ข้าพเจ้าจักเป็นทายาทในธรรมของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่ พระองค์นั้น ในอนาคตกาลบ้าง. 
                        ข้าพเจ้าจักทำความสะอาด ด้วยการเช็ดล้างพระสถูป ยกธงแผ่นผ้าของข้าพเจ้าขึ้นให้สูง ผูกธงที่ปลายไม้ไผ่แล้วยกขึ้น.
                        ข้าพเจ้ายืนประคองธงอยู่ ธงของข้าพเจ้าถูกยกสูงขึ้นไปในอัมพร ข้าพเจ้าเห็นธงถูกลมปลิวสะบัดแล้ว ข้าพเจ้ามีความยินดีเกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้ากระทำจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น จึงเข้าไปหาพระสมณะ ถวายอภิวาทพระภิกษุนั้น ถามถึงวิบากในการถวายธง. 
                        พระภิกษุนั้นมีความยินดี กล่าวกับข้าพเจ้า คือกล่าวถึงวิบากของการถวายธงนั้น ยังความปีติให้เกิดแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลทั้งปวง. 
                        กองทหารช้าง กองทหารม้า กองทหารรถ กองทหารเดินเท้า และจตุรงคเสนาแวดล้อมเขา อยู่เป็นประจำ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง. 
                        นักดนตรีหกหมื่นคน กับกลองที่ประดับแล้ว แวดล้อมเขาอยู่เป็นประจำ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง. 
                        สตรีผู้ประดับตกแต่งแล้ว ๘๖,๐๐๐ นาง ประดับตกแต่งด้วยเครื่องผ้าอาภรณ์อันวิจิตร ประดับประดาด้วยแก้วมณีและตุ้มหู. 
                        มีปากงาม เจรจาด้วยความยิ้มแย้ม อกผึ่ง ตะโพกผาย ทรวดทรงองค์เอวกลมกลึง แวดล้อมเขาอยู่เป็นประจำ นี้เป็นผลของการถวายธง. 
                        ท่านจักยินดีในเทวโลก ตลอดเวลาสามหมื่นกัป จักเป็นจอมเทวดา ๘๐ ครั้ง จักเสวยเทวรัชสมบัติ. 
                        จักเป็นพระราชา ๑,๐๐๐ ครั้ง และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ครั้ง จักเป็นพระเจ้าประเทศราช ผู้ไพบูลย์โดยประมาณนับมิได้. 
                        ในกัปที่หนึ่งแสน พระมหาบุรุษจักทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช มีพระนามตามพระโคตรว่าโคตมะ จักทรงเป็นพระศาสดาในโลก. 
                        ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว อันกุศลตักเตือนแล้ว อันบุญกรรมให้ระลึกได้แล้ว จักเกิดเป็นพราหมณ์. 
                        ท่านจักทอดทิ้งโภคสมบัติจำนวน ๘๐ โกฏิ ทาสและกรรมกรเป็นจำนวนมาก จักบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคตมะ. 
                        ท่านจักกราบทูลพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคตมะ ผู้ประเสริฐในสักยวงศ์ให้ทรงยินดี ด้วยชื่อว่าอุปวานะ จักเป็นสาวกของพระศาสดา. 
                        กรรมที่ข้าพเจ้ากระทำไว้ในแสนกัป จักให้ผลแก่ข้าพเจ้าในกัปนี้ ข้าพเจ้าได้หลุดพ้นแล้วจากแรงเสียบแทงของกิเลสเพียงดังลูกศร ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว. 
                        ธงทั้งหลายได้ชักขึ้นเพื่อข้าพเจ้า ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้สงบ ผู้ปกครองทวีปทั้ง ๔ โดย รอบสามโยชน์ ในกาลทุกเมื่อ. 
                        แต่ในกัปที่แสนในกาลนั้น ข้าพเจ้าได้กระทำกรรมใดไว้ ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายธง. 
                        กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้เผาทิ้งไปสิ้นแล้ว ฯลฯ ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่. 
                        ข้าพเจ้าเป็นผู้มาดีแล ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
                        ปฏิสัมภิทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
                        ทราบว่า ท่านพระอุปวานเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอุปวานเถราปทาน
ยศวรรคที่ ๕๖         
         ๕๖๐. อรรถกถาอุปวาณเถราปทาน๑- 
         ๑- บาลีเป็น อุปวานเถระ 
         พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :- 
         เรื่องราวของท่านพระอุปวาณเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
         ได้ทราบว่า พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         เพราะถูกกรรมบางอย่างมาตัดรอน ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เขาจึงได้มาบังเกิดในตระกูลคนยากจน บรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้เก็บเอาพระธาตุของพระองค์ไว้แล้ว เมื่อพวกมนุษย์ เทวดา นาคราช ครุฑ ยักษ์ กุมภัณฑ์และคนธรรพ์ พากันสร้างสถูปประมาณ ๗ โยชน์ อันสำเร็จล้วนด้วยรัตนะ ๗ ประการ ได้เอาผ้าอุตตราสงฆ์อันขาวสะอาดของตนทำเป็นธงผูกติดปลายไม้ไผ่แล้ว ได้ทำการบูชา ณ ที่สถูปนั้น. 
         เสนาบดียักษ์ชื่อว่าอภิสัมมตกะ ถือเอาธงนั้น ได้ตั้งพวกเทวดาไว้เพื่อรักษาเครื่องบูชาที่พระเจดีย์แล้ว เป็นผู้ไม่ปรากฏกาย ทรงตัวอยู่ในอากาศ ได้ทำประทักษิณพระเจดีย์ ๓ รอบ. 
         ด้วยบุญกรรมอันนั้น เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก. 
         ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี ได้มีชื่อว่าอุปวาณะ เจริญวัยแล้ว ได้มองเห็นพุทธานุภาพในการรับพระเชตวัน ได้มีศรัทธาบวชแล้ว บำเพ็ญวิปัสสนา ได้อภิญญา ๖ แล้ว. 
         ก็โดยสมัยนั้น อาพาธเกี่ยวด้วยโรคลมได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พราหมณ์ชื่อว่าเทวหิตะ ผู้เป็นสหายคฤหัสถ์ของพระเถระ อยู่ประจำในกรุงสาวัตถี. เขาได้ปวารณาพระเถระไว้ด้วยปัจจัย ๔. 
         ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปยังนิเวศน์ของพราหมณ์นั้นแล้ว. พราหมณ์ทราบว่าพระเถระเห็นจักมาด้วยประโยชน์อะไรสักอย่างเป็นแน่ จึงพูดว่า พระคุณเจ้าต้องการอะไร ก็พูดมาเถอะขอรับ. 
         พระเถระเมื่อจะบอกถึงความประสงค์แก่พราหมณ์นั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :- 
                   พราหมณ์เอ๋ย! พระสุคตมุนีเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ 
             ในโลก ถูกโรคลมเข้าเบียดเบียน ถ้าท่านมีน้ำอุ่นจงถวายแด่พระมุนีเจ้าเถิด การบูชาแล้วแก่ผู้ควรบูชา การสักการะแล้วแก่ผู้ควรสักการะ การนอบน้อมแล้วแก่ผู้ควรนอบน้อม เราปรารถนาเพื่อจะนำน้ำอุ่นไปเพื่อพระมุนีเจ้าพระองค์นั้น. 
         เนื้อความแห่งบาทคาถานั้นว่า 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด อันพวกเทวดามีท้าวสักกะเป็นต้นและอันพวกพรหมมีท้าวมหาพรหมเป็นต้น ได้บูชาแล้วแก่ผู้ควรบูชาในโลกนี้, ผู้อันพระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าโกศลเป็นต้นทรงกระทำสักการะแล้ว แก่ผู้ควรสักการะ, ผู้อันพระขีณาสพผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่นอบน้อมแล้ว แก่ผู้ควรนอบน้อม, ทรงเป็นพระอรหันต์ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลายเป็นต้น, ทรงเป็นผู้เสด็จไปดี เพราะเสด็จไปได้อย่างงดงามเป็นต้น, ทรงเป็นพระสัพพัญญู เป็นพระมุนีคือพระศาสดาของพวกเรา ซึ่งทรงเป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา ทรงเป็นท้าวสักกะยิ่งกว่าท้าวสักกะ ทรงเป็นท้าวมหาพรหมยิ่งกว่าพวกพรหม. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นถูกโรคลม มีลมเป็นเหตุ เกิดการกระสับกระส่ายเพราะลมเป็นเหตุ ทรงกลายเป็นผู้อาพาธ. 
         ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านมีน้ำอุ่น, เราปรารถนาจะนำน้ำอุ่นนั้นไปเพื่อระงับอาพาธเนื่องด้วยโรคลมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ดังนี้. 
         พราหมณ์ได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงได้น้อมเภสัชระงับโรคลม อันพอเหมาะกับน้ำอุ่นนั้นเข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. 
         ก็โรคของพระศาสดา ได้ระงับแล้วด้วยเภสัชนั้น. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำอนุโมทนาแล้วแก่พราหมณ์นั้น. 
         ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะได้ระลึกถึงบุรพกรรมของตน ในกาลต่อมา เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงได้กล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปทุมุตฺตโร เป็นต้น มีเนื้อความตามที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นนั่นแล. 
         บทว่า มหาชน สมาคมฺม ความว่า ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นได้รวมกันเป็นกลุ่ม. 
         บทว่า จิตกํ กตฺวา เชื่อมความว่า ชนทั้งหลายได้ทำจิตกาธานด้วยหมู่ไม้จันทน์สูงตั้งโยชน์ แล้วยกพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นวางบนจิตกาธานนั้น. 
         บทว่า สรีรกิจฺจํ กตฺวาน ความว่า กระทำกิจคือการเผาด้วยไฟ คือการจุดไฟ. 
         บทว่า ชงฺฆา มณิมยา อาสิ ความว่า ทางเท้าไปที่สถูปอันพวกมนุษย์สร้างขึ้นไว้ คือสร้างทำด้วยแก้วมณี ได้แก่ทำสถานที่นั้นด้วยแก้วอินทนิล เพื่อนำดอกไม้ไป. 
         บทว่า มยมฺปิ ความว่า พวกเทวดาทั้งหมดจักสร้างสถูปไว้แน่. 
         บทว่า ธาตุ อาเวณิกา นตฺถิ ความว่า พระธาตุไม่มีเป็นแผนกๆ เพื่อที่พวกเทวดาและมนุษย์จะสร้างเจดีย์ไว้เป็นแห่งๆ เมื่อจะแสดงถึงพระธาตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า สรีรํ เอกปิณฺฑิตํ เป็นต้น. 
         อธิบายว่า ด้วยกำลังแห่งการอธิษฐานพระสรีรธาตุทั้งสิ้น จึงได้เป็นเพียงก้อนเดียวเท่านั้น เปรียบดุจพระปฏิมาที่สำเร็จด้วยศิลาก้อนเดียว ฉะนั้น. 
         บทว่า อิมมฺหิ พุทฺธถูปมฺหิ ความว่า พวกเราทั้งหมดจักมาพร้อมกันแล้ว ช่วยกันสร้างเครื่องปกคลุมสถูปไว้ ณ สถูปทองคำนี้ ที่พวกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นได้พากันสร้างไว้แล้ว. 
         บทว่า อินฺทนีลํ มหานีลํ ความว่า แก้วมณีที่มีสีและแสงดุจดอกบัวสีน้ำเงิน เรียกว่าแก้วอินทนิล. 
         เชื่อมความว่า ชื่อว่าแก้วมณีก้อนใหญ่ เพราะมีสียิ่งด้วยแก้วอินทนิลนั้น, เราได้นำเอาแก้วมณีอินทนิล แก้วมณีสีเขียวชนิดก้อนใหญ่ แก้วมณีโชติรสและแก้วมณีสีแดงโดยชาติ มารวมเป็นก้อนเดียวกัน แล้วทำเป็นเครื่องคลุมที่สถูปทองคำ ปกคลุมไว้แล้ว. 
         บทว่า ปจฺเจกํ พุทฺธเสฏฺฐสฺส เพื่อให้เป็นอิสระแด่พระพุทธเจ้าผู้สูงสุด. 
         บทว่า กุมฺภณฺฑา คุยฺหกา ตถา ความว่า เทวดาพวกที่มีอัณฑะประมาณเท่าหม้อ ชื่อว่ากุมภัณฑ์, จึงกลายมาเป็นชื่อกำเนิดเทวดาพวกครุฑ เพราะปกปิดทำให้มิดชิด, พวกกุมภัณฑ์เหล่านั้น ตัวเองมีเครื่องปกปิด จึงได้สร้างสถูปมีเครื่องปกปิดบ้าง. 
         บทว่า อติโภนฺติ น ตสฺสาภา ความว่า แสงสว่างแห่งพระจันทร์ พระอาทิตย์และหมู่ดาว จึงไม่สาดส่อง ไม่เล็ดลอดท่วมทับรัศมีแห่งพระเจดีย์นั้นได้. 
         บทว่า อหมฺปิ การํ กสฺสามิ ความว่า แม้เราก็จักทำสักการะบุญกิริยา คือกุศลกรรมได้แก่การบูชาด้วยธงชัยและธงปฎาก ณ พระสถูปของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่บ้าง.
จบอรรถกถาอุปวาณเถราปทาน 

หน้าต่างที่ ๑๐ / ๑๒. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน ๕๕๐. อรรถกถาจูฬสุคันธเถราปทาน

           เนื้อความในพระไตรปิฎก
           เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง.
อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
                        ยสวรรคที่ ๕๖ #-         
                        สิวกเถราปทานที่ ๙ (๕๕๙)
                        ว่าด้วยบุพจริยาของพระสิวกเถระ #- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ. 

                     [๑๔๙ ] ข้าพเจ้าได้เห็นบาตรของพระวิปัสสี 
               พุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้กำลังเสด็จไป เพื่อ 
               แสวงหาบิณฑะ ว่างเปล่า จึงถวายขนมกุมมาสจนเต็ม. 
                     ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ 
               ถวายภิกษาใด ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติ 
               เลย นี้เป็นผลของการถวายขนมกุมมาส. 
                     ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ฯลฯ ข้าพเจ้า 
               เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่. 
                     ข้าพเจ้าเป็นผู้มาดีแล้วแล ฯลฯ คำสอนของ 
               พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ทำเสร็จแล้ว. 
         ทราบว่า ท่านพระสิวกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบสิวกเถราปทาน
               ยศวรรคที่ ๕๖         
               ๕๕๙. อรรถกถาสิวกเถราปทาน
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :- 
               อปทานของท่านพระสิวกเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า เอสนาย จรนฺตสฺส ดังนี้. 
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ท่านได้เกิดในเรือนอันมีสกุล บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่งเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต มีใจเลื่อมใส รับบาตรมาบรรจุขนมกุมมาสจนเต็มแล้วจึงได้ถวาย. 
               ด้วยบุญกรรมอันนั้น เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก. 
               ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุลของพราหมณ์ ในกรุงราชคฤห์ เขาได้มีชื่อว่าสิวกะ
               เขาเจริญวัยแล้วจบการศึกษาในวิชาและศิลปะทั้งหลายแล้ว เพราะค่าที่ตนมีอัธยาศัยใคร่จะออกบวช จึงละกาม บวชเป็นพระดาบส ท่องเที่ยวจาริกไป ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมแล้วได้มีศรัทธาบวชแล้ว บำเพ็ญวิปัสสนา ไม่นานเท่าไรนักก็ได้บรรลุพระอรหัต. 
               ท่านครั้นได้บรรลุพระอรหัตแล้ว เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า เอสนาย จรนฺตสฺส ดังนี้. 
               คำนั้นทั้งหมดบัณฑิตพอที่จะกำหนดรู้ได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาสิวกเถราปทาน

หน้าต่างที่ ๙ / ๑๒. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน ๕๕๐. อรรถกถาจูฬสุคันธเถราปทาน

           เนื้อความในพระไตรปิฎก
           เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง.
อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
                        ยสวรรคที่ ๕๖ #-         
                        ภัททชิเถราปทานที่ ๘ (๕๕๘)
                        ว่าด้วยบุพจริยาของพระภัททชิเถระ #- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ. 

                     [๑๔๘] ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ลงสู่สระบัว 
               ได้ถอนเหง้าบัว อันเป็นอาหารที่ช้างชอบเสพใน 
               สระนั้นขึ้นมา เพราะเหตุที่มีความหิว. 
                     ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า 
               พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงไว้ซึ่งความสูงสุด 
               ผู้กำลังเสด็จมาทางอากาศ. 
                     ผ้าบังสุกุลจีวร ปลิวสะบัดอยู่ ในครั้งนั้น 
               ข้าพเจ้าได้ยินเสียง ข้าพเจ้าจึงแหงนหน้าขึ้นมอง 
               ดูเบื้องบน ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้นายกของโลก. 
                     ข้าพเจ้ายืนสงบอยู่ในที่นั้นนั่นแหละ ได้ 
               ทูลอาราธนาพระโลกนายกให้ทรงรับน้ำผึ้ง พร้อม 
               กับเหง้าบัว น้ำนม เนยใส และเหง้าบัว. 
                     พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงรับภิกษาแล้ว 
               เพื่อทรงอนุเคราะห์ข้าพเจ้า แต่นั้นพระศาสดาผู้มี 
               พระกรุณา ผู้มีพระยศใหญ่ เสด็จลงมาจากอากาศ 
               แล้ว. 
                     พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ จึงทรงรับภิกษา 
               ของข้าพเจ้า เพื่อทรงอนุเคราะห์ข้าพเจ้า ครั้นทรง 
               รับแล้ว ได้ทรงกระทำอนุโมทนาแก่ข้าพเจ้าว่า 
                     ท่านผู้มีบุญใหญ่ ท่านจงมีความสุข คติจง 
               สำเร็จแก่ท่าน ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเหง้าบัวนี้ 
               ท่านจงได้สุขอันไพบูลย์เถิด. 
                     พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ 
               ครั้นตรัสพระดำรัสนี้แล้ว พระสัมพุทธเจ้าได้นำ 
               ภิกษาไปทางอากาศ พระพุทธชินเจ้าได้เสด็จไป 
               ทางอากาศแล้ว. 
                     แต่นั้น ข้าพเจ้าถือเอาเหง้าบัวกลับไปยัง 
               อาศรมของข้าพเจ้า ได้แขวนพวงเหง้าบัวไว้ที่ 
               ต้นไม้แล้ว ระลึกถึงทานของข้าพเจ้า. 
                     ครั้งนั้น ลมพายุใหญ่ก็เกิดขึ้น ไฟป่าก็ 
               ไหม้ป่า อากาศก็กำเริบคะนองยิ่ง และในขณะ 
               นั้น ฟ้าก็ผ่าลงมา. 
                     ครั้งนั้น อสุนีบาตตกบนศีรษะข้าพเจ้า 
               จนล้มลง ในขณะนั้น ข้าพเจ้านั่งสงบอยู่ ข้าพเจ้า 
               ได้ทำกาละแล้วในที่นั้น. 
                     ข้าพเจ้าระลึกถึงบุญกรรมแล้ว ไปอุปบัติ 
               ยังดุสิต ข้าพเจ้าละทิ้งซากร่างกายไว้ แต่ข้าพเจ้า 
               ไปร่าเริงยินดีอยู่ในเทวโลก. 
                     สตรี ๘๖,๐๐๐ นาง ประดับตกแต่งร่างกาย 
               งาม คอยบำรุงรับใช้ทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น อันนี้ 
               เป็นผลแห่งการถวายเหง้าบัว. 
                     ครั้นกลับมาสู่กำเนิดมนุษย์ แต่ละครั้ง 
               ข้าพเจ้ามีแต่ความสุข โภคะทั้งหลายของข้าพเจ้า 
               ไม่บกพร่องเลย นี้เป็นผลของการถวายเหง้าบัว. 
                     ข้าพเจ้าผู้อันกรรมนั้นและเทพแห่งเทพ 
               ผู้คงที่อนุเคราะห์แล้ว เพราะเป็นผู้สิ้นอาสวะทั้ง 
               ปวงแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มีแล้ว. 
                     ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ ในครั้งนั้น 
               ข้าพเจ้าได้ถวายเหง้าบัวใด ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้า 
               ไม่รู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายเหง้าบัว. 
                     ข้าพเจ้าได้เผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ฯลฯ 
               ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่. 
                     ข้าพเจ้าได้มาดีแล้วแล ฯลฯ คำสอนของ 
               พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
                     ปฏิสัมภิทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธ 
               เจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
         ทราบว่า ท่านพระภัททชิเถระได้กล่าวคาถาเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้แล.
จบภัททชิเถราปทาน
               ยศวรรคที่ ๕๖         
               ๕๕๘. อรรถกถาภัททชิเถราปทาน
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :- 
               อปทานของท่านพระภัททชิเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า โอคยฺหาหํ โปกฺขรณึ ดังนี้. 
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ บรรลุนิติภาวะแล้ว จบการศึกษาในศิลปะวิชาการของหมู่พราหมณ์ ละกามบวชเป็นพระดาบส สร้างอาศรมอยู่ในป่า. 
               วันหนึ่งเห็นพระศาสดาเสด็จมาทางอากาศ มีใจเลื่อมใส ได้ยืนประคองอัญชลี. 
               พระศาสดาทรงเห็นอัธยาศัยของเขา จึงเสด็จลงจากอากาศ.
               ก็เขาได้น้อมน้ำผึ้ง เหง้าบัว เนยใสและนมสดเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เสด็จลงแล้ว. 
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุเคราะห์เขาจึงทรงรับสิ่งของนั้นแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนา เสด็จหลักไป. 
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาจึงได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ดำรงอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นจนตลอดอายุแล้ว จุติจากอัตภาพนั้นท่องเที่ยวไปมาในเฉพาะแต่สุคติภพอย่างเดียวเท่านั้น. 
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เขาเป็นเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากมาย ได้นิมนต์ให้ภิกษุ ๑ ล้าน ๘ แสนรูปใช้สอยนุ่งห่มผ้าไตรจีวรแล้ว. 
         เขาได้ทำกุศลไว้เป็นอันมากอย่างนั้นแล้วก็ได้บังเกิดในเทวโลก. เขาดำรงอยู่ในเทวโลกนั้นจนตลอดอายุแล้ว ก็เคลื่อนจากเทวโลกนั้นได้บังเกิดในมนุษยโลก ในโลกที่ว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้า ได้บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ด้วยปัจจัย ๔ แล้ว จุติจากอัตภาพนั้น ได้บังเกิดในราชตระกูล เมื่อจะพร่ำสอนความเป็นพระราชา ได้บำรุงบุตรของตนผู้บรรลุพระปัจเจกโพธิญาณอยู่แล้ว ถือเอาพระธาตุของท่านผู้ปรินิพพานแล้ว สร้างเป็นเจดีย์บูชาแล้ว. 
               เขาได้บำเพ็ญบุญเหล่านั้นไว้ในภพนั้นอย่างนั้นแล้ว ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดเป็นลูกชายคนเดียวของภัททิยเศรษฐี ผู้มีทรัพย์สมบัติมาถึง ๘๐ โกฏิ ในภัททิยนคร. เขาได้มีชื่อว่าภัททชิ. 
               ทราบว่า อิสริยสมบัติ โภคสมบัติและบริวารสมบัติของเขา ได้มีในภพสุดท้าย คล้ายกับของพระโพธิสัตว์ฉะนั้น. 
               ในคราวนั้น พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี เพื่อจะทรงทำการสงเคราะห์ภัททชิกุมาร จึงพร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังภัททิยนคร ประทับอยู่ในชาติวัน ทรงคอยเวลาให้ญาณของเขาแก่กล้าเสียก่อน. 
               แม้ภัททชิกุมารนั้นก็นั่งอยู่บนปราสาทเปิดสีหบัญชรมองดู เห็นมหาชนกำลังเดินไปฟังธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ถามว่า มหาชนนี้กำลังไปไหนกันดังนี้. 
               ครั้นทราบเหตุอันนั้นแล้ว แม้ตนเองพร้อมด้วยบริวารหมู่ใหญ่ก็ไปสำนักของพระศาสดา ฟังธรรม ทั้งที่ประดับประดาไปด้วยอาภรณ์พร้อมสรรพ ทำกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต. 
               ก็เมื่อท่านได้บรรลุพระอรหัตแล้ว พระศาสดาตักเตือนท่านภัททิยเศรษฐีว่า ลูกชายของท่านประดับประดาด้วยเครื่องอลังการ ฟังธรรม ได้ดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว. บุตรของท่านสมควรเพื่อจะได้บวชเสียเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าจักไม่บวช ก็จักปรินิพพานแน่. 
               เศรษฐีกราบทูลว่า บุตรของข้าพระองค์ยังเป็นคนหนุ่มแน่นอยู่ กิจด้วยการปรินิพพานจะมีไม่ได้ ขอพระองค์จงให้เขาบวชเถิด. 
               พระศาสดาทรงให้เขาได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว ประทับอยู่ในที่นั้นได้ ๗ วันแล้ว ก็เสด็จไปถึงโกฏิตาม. 
         ก็หมู่บ้านนั้นได้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา. ก็ชาวบ้านโกฏิคามได้ยังมหาทานให้เป็นไปแก่หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. พระภัททชิเถระไปยังนอกหมู่บ้าน เพื่อปรารภจะให้พระศาสดาทรงอนุโมทนาเสียก่อน ด้วยคิดว่า ในเวลาที่พระศาสดาเสด็จมาใกล้หนทางฝั่งแม่น้ำคงคาจึงจักออกไปดงนี้ ทำการกำหนดเวลาแล้ว ก็นั่งเข้าสมาบัติ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง. 
               แม้เมื่อพระมหาเถระทั้งหลายจะมาก็ไม่ยอมลุกขึ้น ต่อเมื่อถึงเวลาที่พระศาสดาเสด็จมาแล้วเท่านั้น จึงลุกขึ้น. 
               พวกภิกษุผู้เป็นปุถุชนก็พากันเพ่งโทษว่า ภิกษุรูปนี้บวชมายังไม่ทันไรเลย ก็กลายเป็นผู้แข็งกระด้าง ไม่ยอมลุกขึ้นในเวลาที่พระมหาเถระทั้งหลายมาถึง. 
               ชาวบ้านโกฏิคามได้พากันผูกเรือแพเป็นอันมากเพื่อพระศาสดาและภิกษุสงฆ์. 
               พระศาสดาทรงพระดำริว่า เราจะประกาศถึงอานุภาพของพระภัททชิ แล้วจึงประทับยืนบนเรือ ตรัสถามว่า ภัททชิไปไหน? 
               พระภัททชิเถระกราบทูลว่า พระเจ้าข้า แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วได้ยืนประคองอัญชลี. 
               พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ มานี่ซิ, เธอจงขึ้นเรือลำเดียวกันกับเราเถอะ. 
               พระภัททชินั้นจึงเหาะขึ้นแล้ว ได้ยืนในเรือลำที่พระศาสดาประทับอยู่แล้ว. 
               ในเวลาที่เรือแล่นไปในท่ามกลางแม่น้ำคงคา พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ ในเวลาที่เธอเป็นพระเจ้ามหาปนาทะ รัตนปราสาทจมลงในที่ไหนเล่า? พระเถระกราบทูลว่า จมลงในที่ตรงนี้ พระเจ้าข้า. 
               พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ ถ้าเช่นนั้น เธอจงตัดความสงสัยของเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายเสียเถอะ. 
               ในขณะนั้น พระเถระจึงถวายบังคมพระศาสดาแล้วไปด้วยกำลังแห่งฤทธิ์แล้ว เอาระหว่างนิ้วเท้าคีบยอดปราสาท ถือปราสาทอัน ใหญ่ประมาณ ๓๕ โยชน์ไว้ เหาะไปในอากาศ. ก็เมื่อเหาะไป ได้ยกขึ้นสูงถึง ๕๐ โยชน์. 
               ลำดับนั้น พวกญาติของท่านในภพก่อน ซึ่งได้เกิดเป็นปลาเต่าและกบ ด้วยความโลภในปราสาท เมื่อปราสาทนั้นถูกยกลอยไป ก็พากันล้มกลิ้งไปมา. 
               พระศาสดาทรงเห็นสัตว์เหล่านั้นล้มกลิ้งเช่นนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ภัททชิ พวกญาติของเธอกำลังลำบากนะ. พระเถระเชื่อพระดำรัส ของพระศาสดา จึงปล่อยปราสาทแล้ว. ปราสาทก็คงตั้งสถิตอยู่ตามเดิมนั่นแล. 
               พระศาสดาเสด็จถึงฝั่งแล้ว ถูกพวกภิกษุทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปราสาทหลังนี้อันพระภัททชิเถระ ให้จมลงเมื่อไร แล้วจึงตรัสมหาปนาทชาดก ทำชนหมู่มากให้ได้ดื่มน้ำอมตะคือธรรมะ. 
               ส่วนพระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว ระลึกถึงบุญสมภารในกาลก่อนแล้ว เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า โอคยฺหาหํ โปกฺขรณี ดังนี้. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอคยฺหาหํ โปกฺขรณี ความว่า ข้าพเจ้าหยั่งลงดำลง เข้าไปหยั่งลงไปสู่ชลาลัยอันได้นามว่าโบกขรณี เพราะเขาขุดห้วงน้ำใหญ่และกว้างมากมาย คือเมื่อข้าพเจ้าเข้าไปยังสระโบกขรณีนั้นเพื่อของกินและของเคี้ยวแล้วเก็บเอาเหง้าบัวและรากบุณฑริกขึ้นมา. 
               คำที่เหลือมีเนื้อความพอที่จะกำหนดได้โดยง่าย ตามลำดับแห่งเนื้อความ เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวเนื้อความไว้แล้วในหนหลัง และเพราะมีเนื้อความง่ายทั้งหมดแล.
จบอรรถกถาภัททชิเถราปทาน

หน้าต่างที่ ๘ / ๑๒. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน ๕๕๐. อรรถกถาจูฬสุคันธเถราปทาน

           เนื้อความในพระไตรปิฎก
           เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง.
อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
                        ยสวรรคที่ ๕๖#-         
                        อปรอุตตรเถราปทาน ๗ (๕๕๗) 
                        ว่าด้วยบุพจริยาของพระอปรอุตตรเถระ #- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ. 

                     [๑๔๗ ] เมื่อพระพุทธเจ้า พระนามว่า 
               สิทธัตถะ ผู้เป็นนาถะของโลก ผู้นำโลก นิพพาน 
               แล้ว ข้าพเจ้าประชุมกันระหว่างพวกญาติของ 
               ข้าพเจ้าแล้วได้ทำการบูชาพระธาตุ. 
                     ในกัปที่ ๙๔ ข้าพเจ้าได้บูชาพระธาตุใด 
               ไว้ เพราะกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย นี้ 
               เป็นผลแห่งการบูชาพระธาตุ. 
                     ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ฯลฯ 
               ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่. 
                     ข้าพเจ้าได้มาดีแล้วแล ฯลฯ คำสอนของ 
               พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
                     ปฏิปทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า 
               ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
         ทราบว่า ท่านพระอุตตรเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอปรอุตตรเถราปทาน
               ยศวรรคที่ ๕๖         
               ๕๕๗. อรรถกถาอปรอุตตรเถราปทาน
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :- 
               อปทานของท่านพระอุตตรเถระรูปอื่นอีกมีคำเริ่มต้นว่า นิพฺพุเต โลกนาถมฺหิ ดังนี้. 
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
               ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ ท่านได้เกิดในเรือนอันมีสกุล เจริญวัยแล้วบรรลุนิติภาวะแล้ว ได้เป็นผู้เลื่อมใสในพระศาสนา ประกาศตนเป็นอุบาสก. 
               เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว อุบาสกนั้นเรียกประชุมหมู่ญาติของตนรวบรวมเครื่องบูชาสักการะมากมายแล้ว ได้ทำการบูชาพระธาตุ. ด้วยบุญกรรมอันนั้น เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก. 
         ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์เมืองสาเกตุ มีชื่อว่าอุตตระ เจริญวัยแล้ว ไปเมืองสาวัตถีด้วยการงานบางอย่าง มองเห็นยมกปาฏิหาริย์ที่พระศาสดาทรงกระทำแล้ว ณ โคนต้นคัณฑามพพฤกษ์แล้วเลื่อมใส มีศรัทธาเจริญยิ่งขึ้นด้วยเทศนากาฬการามสูตรอีก บรรพชาแล้วไปยังกรุงราชคฤห์กับพระศาสดา ได้อุปสมบทแล้วเที่ยวจาริกไปอย่างนั้นแล เริ่มเจริญวิปัสสนา ไม่นานนักแลก็ได้อภิญญา ๖. 
               ก็ท่านเป็นผู้ได้อภิญญา ๖ เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี จึงออกจากกรุงราชคฤห์ไปยังกรุงสาวัตถีเพื่ออุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ถูกพวกภิกษุถามว่า อาวุโส กิจแห่งการบวช ท่านทำให้ถึงที่สุดได้แล้วหรือ จึงได้พยากรณ์ความเป็นพระอรหันต์แล้ว. 
               ก็ท่านได้บรรลุพระอรหัตแล้ว เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า นิพฺพุเต โลกนาถมฺหิ ดังนี้. 
               คำนั้นทั้งหมด มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวความหมายไว้แล้วในหนหลังแล.
จบอรรถกถาอปรอุตตรเถราปทาน

หน้าต่างที่ ๗ / ๑๒. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน ๕๕๐. อรรถกถาจูฬสุคันธเถราปทาน

           เนื้อความในพระไตรปิฎก
           เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง.
อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
                        ยสวรรคที่ ๕๖ #-         
                        อุตตรเถราปทานที่ ๖ (๕๕๖)
                        ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุตตรเถระ #- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ. 
                            [๑๔๖] พระผู้มีพระภาคสัมพุทธเจ้าพระ 
                           นามว่า สุเมธะ ทรงประกอบด้วยพระวรลักษณะ 
                           ๓๒ ประการ ทรงพอพระทัยในความวิเวก เสด็จ 
                           เข้าไปยังหิมวันตประเทศ 
                           พระมุนี ผู้เป็นบุรุษสูงสุด ทรงประกอบ 
                           ด้วยพระกรุณา ผู้เลิศ ครั้นถึงหิมวันตประเทศ 
                           แล้ว ประทับนั่งขัดสมาธิ. 
                           ในกาลครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดเป็นวิทยาธร 
                           สามารถแม้เหาะไปในอากาศได้ ถืออาวุธวิเศษ 
                           คือตรีศูลอันคมฉกาจนัก ในเวลานั้น ข้าพเจ้า 
                           กำลังเหาะท่องเที่ยวไปในอัมพร. 
                           พระพุทธเจ้า ทรงยังป่าหิมวันต์ให้สว่าง 
                           กระจ่างแจ้งอยู่ เสมือนกองไฟที่ลุกโพลงอยู่ 
                           บนยอดภูเขา เสมือนแสงแห่งดวงจันทร์ที่ 
                           กำลังเต็มดวง หรือเสมือนต้นพญาสาละที่ 
                           มีดอกกำลังบานเต็มต้นฉะนั้น. 
                           จิตของข้าพเจ้าเลื่อมใส เพราะได้เห็น 
                           พระพุทธเจ้า ผู้กำลังเสด็จออกมาจากป่า มี 
                           พระพุทธรังสีกำลังซ่านออก ดุจดังแสงไฟที่ 
                           กำลังเผาไหม้ป่าต้นอ้อฉะนั้น. 
                           ข้าพเจ้าได้ถือเอาดอกไม้ ๓ ดอก คือ 
                          ดอกทานตะวัน ดอกกรรณิการ์ และดอกเทว- 
                          คันธีมาบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ. 
                          เพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้า ในขณะ 
                          นั้น ดอกไม้ทั้งสามดอกของข้าพเจ้า ได้ทำขั้ว 
                          ขึ้นเบื้องบน เอาดอกลงเบื้องล่าง ทำเป็นดังร่ม 
                           บังเงาให้พระศาสดา. 
                           เพราะกรรมที่ข้าพเจ้า ได้กระทำมาดี 
                           แล้วนั้น ประกอบกับที่ข้าพเจ้าตั้งเจตนาไว้ดี 
                           เมื่อข้าพเจ้าจุติจากความเป็นมนุษย์แล้ว ก็ 
                           ไปเกิดในดาวดึงส์. 
                           วิมานของข้าพเจ้าในดาวดึงส์นั้น บุญ 
                           กรรมได้สร้างให้เป็นอย่างดี มีชื่อปรากฏว่า 
                           กัณณิการี สูง ๖๐ โยชน์ กว้าง ๓๐ โยชน์. 
                           มียอดแหลม ๑,๐๐๐ ยอด มียอดเป็นโดม 
                           ๑๐๐ ยอดประดับด้วยธงสีเหลือง ประกอบด้วย 
                           ป้อมหอคอยหนึ่งแสนป้อม สิ่งเหล่านี้มีปรากฏอยู่ 
                           ในวิมานของข้าพเจ้า. 
                           แท่นนั่งสำเร็จด้วยแก้วผลึกก็มี สำเร็จ 
                           ด้วยทอง ด้วยแก้วมณี และด้วยทับทิมก็มี ผู้นั่ง 
                           ย่อมได้ตามปรารถนา. 
                           ที่นอนมีราคามาก ประกอบด้วยชนิดที่ 
                           ยัดด้วยนุ่น แต่ละชายประดับด้วยครุยขนสัตว์ 
                           และประกอบด้วยหมอน. 
                           ครั้นข้าพเจ้าจุติจากภพแล้ว ท่องเที่ยวไป 
                           สู่ภพเทวดา ข้าพเจ้าท่องเที่ยวไปตามปรารถนา 
                           เป็นผู้มีหมู่เทวดาแวดล้อมแล้ว.
                           ข้าพเจ้าดำรงอยู่ภายใต้ร่มดอกไม้ ดอก 
                            ไม้กั้นอยู่เบื้องบนข้าพเจ้า กว้างโดยรอบหนึ่ง 
                           ร้อยโยชน์แวดล้อมด้วยดอกกรรณิการ์. 
                           นักดนตรีหกหมื่นคน บำรุงข้าพเจ้า อยู่ 
                           ตลอดเวลาตั้งแต่เย็นถึงเช้า แวดล้อมข้าพเจ้า 
                           อยู่เป็นประจำทั้งกลางคืนกลางวัน โดยไม่เกียจ 
                           คร้าน. 
                           ในเทวโลกนั้น ข้าพเจ้ายินดีอยู่กับนางรำ 
                           นางร้อง นางประโคม นางนักดนตรี เพลิดเพลิน 
                           อยู่กับความยินดี บันเทิงอยู่กับความใคร่ในกาม. 
                           ในเทวโลกนั้นมีแต่รับประทานและดื่ม ใน 
                           ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเพลิดเพลินอยู่ในไตรทศ พรั่ง 
                           พร้อมไปด้วยหมู่นางสนมนารี ข้าพเจ้าเพลิด 
                           เพลินอยู่ในวิมานอันอุดม. 
                           ข้าพเจ้าเสวยรัชสมบัติอยู่ ๕๐๐ ครั้ง และ 
                            ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ ๓๐๐ ครั้ง ส่วนที่ 
                           เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ ไม่อาจจะ 
                           นับประมาณได้. 
                           เมื่อข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในระหว่างภพ 
                           กับภพ ย่อมได้โภคสมบัติเป็นอันมาก ข้าพเจ้า 
                            ไม่มีความบกพร่องในโภคสมบัติเป็นอันมาก 
                           นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า. 
                           เมื่อข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในภพ ก็ท่อง 
                           เที่ยวอยู่ในภพทั้งสอง คือ ภพแห่งเทวดา และ 
                           ภพแห่งมนุษย์ ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติอื่นเลย นี้ 
                           เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า. 
                           เมื่อข้าพเจ้าเกิด ก็เกิดในตระกูลทั้งสอง 
                           คือ ตระกูลกษัตริย์ และตระกูลพราหมณ์ ข้าพ- 
                           เจ้า ไม่รู้จักตระกูลต่ำเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชา 
                           พระพุทธเจ้า. 
                           ข้าพเจ้า ได้รับยานช้าง ยานม้า ยานวอ 
                           อันไปได้รวดเร็ว ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่งการ 
                           บูชาพระพุทธเจ้า. 
                           ข้าพเจ้า ได้รับหมู่ทาสี หมู่ทาส หมู่สตรี 
                           ผู้แต่งกายงดงาม ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่งการ 
                           บูชาพระพุทธเจ้า. 
                           ข้าพเจ้าได้รับผ้าไหม ผ้ากัมพล ผ้าลินิน 
                           และผ้าฝ้าย ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่งการบูชา 
                           พระพุทธเจ้า.
                           ข้าพเจ้า ได้รับผ้าใหม่ และผลไม้ใหม่ 
                           โภชนะมีรสอร่อยเลิศ ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่ง 
                           การบูชาพระพุทธเจ้า. 
                           ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าว่า เชิญท่านจง 
                           เคี้ยวกินสิ่งนี้ เชิญท่านจงบริโภคสิ่งนี้ เชิญท่าน 
                           จงนอนบนที่นอนนี้ ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่ง 
                           การบูชาพระพุทธเจ้า. 
                          ข้าพเจ้าได้รับการบูชาในที่ทุกแห่ง เกียรติ 
                          ยศของข้าพเจ้าฟุ้งขจรไป มีสหายมากในกาลทุก 
                          เมื่อ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีบริษัทไม่แตกแยกในกาล 
                          ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าเป็นผู้สูงสุดกว่าหมู่ญาติ นี้เป็น 
                          ผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า. 
                          ข้าพเจ้าไม่รู้จักความหนาว ความร้อน 
                           ไม่มีความเร่าร้อน อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่มีทุกข์ทาง 
                          จิตในหทัยเลย. 
                          ข้าพเจ้าเป็นผู้มีวรรณะ เพียงดังวรรณะ 
                          แห่งทอง ท่องเที่ยวไปในระหว่างภพกับภพ 
                          ข้าพเจ้าไม่รู้จักความเป็นผู้มีวรรณะต่างออกไป 
                          เลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า. 
                          ข้าพเจ้าจุติจากเทวโลกแล้ว อันกุศลมูล 
                          ชักจูงแล้ว ไปเกิดในนครสาวัตถี ในตระกูล 
                          มหาศาล ผู้มั่งคั่ง. 
                          ครั้น ข้าพเจ้าละกามคุณ ๕ แล้ว บวช 
                          ในความเป็นผู้ไม่มีเรือน ข้าพเจ้ามีอายุเพียง ๗ 
                          ขวบแต่ปีเกิด ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. 
                          พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุทรงทราบคุณ 
                          ของข้าพเจ้าแล้ว ทรงอนุญาตการอุปสมบท 
                          ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก เป็นผู้ได้รับการบูชา 
                          ผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า. 
                          ข้าพเจ้าเป็นผู้มีทิพยจักษุบริสุทธิ์ เป็น 
                          ผู้ฉลาดในสมาธิ เป็นผู้บรรลุถึงฝั่งแห่งอภิญญา 
                          นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า. 
                          ข้าพเจ้า เป็นผู้บรรลุปฏิสัมภิทาตามลำดับ 
                          แล้ว เป็นผู้ฉลาดในอิทธิบาท เป็นผู้บรรลุถึงฝั่ง 
                          ในธรรมทั้งหลาย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระ 
                          พุทธเจ้า. 
                          ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ ข้าพเจ้าได้บูชาพระ 
                          พุทธเจ้าใด ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติ 
                          เลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า. 
                          ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ฯลฯ 
                          ข้าพเจ้าเป็นไม่มีอาสวะอยู่. 
                          ข้าพเจ้าเป็นผู้มาดีแล้วแล ฯลฯ คำสอน 
                          พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
                          ปฏิสัมภิทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธ 
                          เจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. 
         ทราบว่า ท่านพระอุตตรเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอุตตรเถราปทาน
               ยศวรรคที่ ๕๖         
               ๕๕๖. อรรถกถาอุตตรเถราปทาน
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :- 
               อปทานของท่านอุตรสามเณรมีคำเริ่มต้นว่า สุเมโธ นาม สมฺพุทฺโธ ดังนี้. 
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ท่านเป็นวิทยาธร เที่ยวไปทางอากาศ. 
               ก็โดยสมัยนั้น พระศาสดาประทับนั่งเปล่งพระพุทธรัศมีมีพรรณะ ๖ ประการ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่งระหว่างป่า เพื่อทรงอนุเคราะห์สรรพสัตว์ในที่นั้นนั่นแล. 
               วิทยาธรนั้นไปทางอากาศ มองเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วมีใจเลื่อมใส ลงจากอากาศนำเอาดอกกรรณิการ์อันบริสุทธิ์สะอาดงามตา น้อมบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ดอกไม้ทั้งหลายได้ตั้งอยู่ในอาการดังฉัตรอยู่เบื้องบนพระศาสดา. 
                วิทยาธรนั้นมีจิตเลื่อมใสโดยประมาณยิ่ง ในกาลต่อมากระทำกาละแล้ว บังเกิดในดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติ ดำรงอยู่ในดาวดึงส์นั้นจนตลอดอายุ จุติจากภพนั้นแล้วท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก. 
               ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาลในกรุงราชคฤห์. เขาได้มีชื่อว่าอุตตระ. เขาได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ถึงความสำเร็จในวิชาของพราหมณ์แล้ว ด้วยชาติตระกูล ด้วยรูปสมบัติ ด้วยความรู้ ด้วยวัยและด้วยศีลาจารวัตร เขาจึงได้รับความยกย่องจากชาวโลก. 
               วัสสการพราหมณ์ตำแหน่งมหาอำมาตย์ประจำแคว้นมคธ ได้มองเห็นสมบัติอันนั้นของอุตตระนั้นแล้ว จึงมีความประสงค์ที่จะยกธิดาของตนมอบให้แก่เขา ได้ประกาศความประสงค์ของตนให้ทราบแล้ว. 
               อุตตระนั้นปฏิเสธเรื่องผู้หญิง เพราะว่าเขาเป็นผู้มีอัธยาศัยเพื่อจะออกจากทุกข์ เข้าไปหาพระธรรมเสนาบดีเป็นประจำตามกาลอันสมควร ได้ฟังธรรมในสำนักของท่านแล้ว ได้มีศรัทธาบรรพชาแล้ว เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรปฏิบัติ บำรุงพระเถระเป็นประจำ. 
               ก็โดยสมัยนั้น อาพาธอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่พระเถระ. อุตตรสามเณรประสงค์จะปรุงเภสัชถวายพระเถระ รุ่งขึ้นเช้า จึงถือบาตรและจีวรออกจากวิหาร ในระหว่างหนทางได้วางบาตรไว้ใกล้สระน้ำแล้ว เข้าไปใกล้น้ำ ล้างหน้าอยู่. 
               ครั้งนั้น โจรขุดอุโมงค์คนหนึ่งไปทำการลักขโมยมาแล้ว ถูกพวกตำรวจติดตามไล่จับ ออกจากเมืองโดยถนนใหญ่ เมื่อจะหนีไปได้ใส่ห่อรัตนะที่ตนถือมาลงในบาตรของสามเณรแล้ว จึงหนีไป. แม้สามเณรเข้าไปใกล้บาตรแล้ว. 
               พวกตำรวจติดตามโจรไป มองเห็นห่อของในบาตรของสามเณรเข้าใจผิดว่า ผู้นี้เป็นโจร ผู้นี้ได้กระทำโจรกรรมแล้ว ดังนี้แล้วจึงผูกแขนสามเณรไพล่หลัง นำไปแสดงแก่ท่านวัสสการพราหมณ์. 
         ก็ในครั้งนั้น ท่านวัสสการพราหมณ์เป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาประจำพระราชสำนัก ย่อมตัดสินการตัดและการทำลายได้. ท่านวัสสการพราหมณ์กล่าวว่า ครั้งก่อน ท่านไม่เชื่อถ้อยคำเรา ไปบวชในหมู่ผู้ประพฤตินอกรีตนอกรอยจากทางที่บริสุทธิ์ ดังนี้ไม่ยอมชำระคดีให้ขาวสะอาด ใคร่จะตัดสินฆ่าอย่างเดียว โดยวิธีเอาหลาวเสียบเขาทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละ. 
         ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแลเห็นว่าญาณของเขาแก่กล้าแล้ว จึงเสด็จไปยังสถานที่นั้น ทรงวางพระหัตถ์มีพระองคุลียาวเรียวอ่อนนุ่มดุจปุยนุ่นเหมือนดัดด้วยเปลวไฟ คล้ายท่อธารทองคำสีแดงชาติหลั่งไหลออก เพราะมีพระหัตถ์และพระนขาอันงดงามดุจสำเร็จด้วยแก้วมณีทำให้สั่นสะเทือน ลงบนศีรษะของอุตตรสามเณรตรัสว่า อุตตระ นี้เป็นผลกรรมในครั้งก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เธอ เธอพึงอดกลั้นด้วยกำลังแห่งปัจจเวกขณญาณแล้ว จึงทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่อัธยาศัย. 
         อุตตรสามเณรได้รับปีติปราโมทย์อันโอฬาร เพราะเกิดความเลื่อมใสโสมนัสใจ ด้วยการสัมผัสพระหัตถ์ของพระศาสดา เช่นกับได้รับการรดด้วยน้ำอมฤต เริ่มยกจิตขึ้นสู่หนทางวิปัสสนาตามที่ตนได้สั่งสมมา เพราะญาณถึงความแก่กล้า และเพราะความไพเราะแห่งเทศนาของพระศาสดา จึงทำกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปได้ตามลำดับแห่งมรรค ในขณะนั้นนั่นเอง เป็นผู้ได้อภิญญา ๖. 
               ก็ครั้นท่านเป็นผู้ได้อภิญญา ๖ แล้วได้ถอนตนขึ้นจากหลาว ยืนอยู่ในอากาศ เพื่ออนุเคราะห์ผู้อื่นจึงแสดงปาฏิหาริย์แล้ว. มหาชนได้เกิดความอัศจรรย์ใจ. ในขณะนั้นนั้นเอง แผลของท่านก็หายสนิทดี. 
         สามเณรนั้นถูกพวกภิกษุถามว่า อาวุโสได้รับทุกข์ถึงอย่างนั้น เธอยังสามารถเพื่อเจริญวิปัสสนาได้อย่างไร ดังนี้จึงกล่าวว่า อาวุโส จะกล่าวไปทำไมถึงโทษในสงสารของผมเล่า ก็สภาวะแห่งสังขารทั้งหลาย ผมเห็นได้ชัดเจนแล้ว ผมแม้จะเสวยทุกข์ถึงเช่นนั้นก็ยังสามารถเพื่อบรรลุวิปัสสนาได้ และกล่าวอีกว่า ในชาติก่อนเวลาเป็นเด็กหนุ่ม ผมถือหลาวไม้สะเดาไล่แทงแมลงวัน เพราะอาศัยการเล่นจับสัตว์เสียบหลาว จึงได้เสวยความทุกข์ถูกเสียบหลาว ตั้งหลายร้อยชาติอย่างนี้ ในชาติสุดท้ายนี้ก็ยังได้รับทุกข์ถึงอย่างนี้แล. 
               ครั้นในกาลต่อมา ท่านระลึกถึงบุรพกรรมได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า สุเมโธ นาม สมฺพุทฺโธ ดังนี้. 
               ในคำนั้นข้าพเจ้าจักทำการอธิบายเฉพาะบทที่ยากเท่านั้น. 
               บทว่า วิชฺชาธโร ตทา อาสึ ความว่า เราได้เป็นผู้สามารถไปในอากาศได้ด้วยวิชาที่สำเร็จมามีมนต์ภายนอกศาสนาเป็นต้น รักษาวิชานั้นไม่ให้เสื่อมไปด้วยการประพฤติเสมอ ด้วยอำนาจการบริหารรักษาไว้ จึงได้กำเนิดเกิดเป็นวิทยาธร. 
               บทว่า อนฺตลิกฺขจโร อหํ ความว่า ชื่อว่าอันตลิกขะ เพราะกระทำการกำหนดเบื้องต้นและที่สุดได้. 
               อีกความหมายหนึ่ง ชื่อว่าอันตลิกขะ เพราะเป็นเหตุให้กำหนดแลดูเบื้องต้นและที่สุดได้. 
               อธิบายว่า ในอากาศนั้น ข้าพเจ้าเที่ยวไปในอากาศเป็นประจำ. 
               บทว่า ติสูลํ สุกตํ คยฺห ความว่า หลาวอันคมกริบ คืออาวุธชั้นยอด ได้แก่หลาวที่ทำเป็นอย่างดี. 
               อธิบายว่า ข้าพเจ้าถือเอาอาวุธคือหลาวที่ทำอย่างดี สามารถที่จะทิ่มแทง ย่ำยีและประหารสัตว์ได้ แล้วไปทางท้องฟ้า. 
               คำที่เหลือทั้งหมดมีเนื้อความพอที่จะกำหนดรู้ได้โดยง่าย ด้วยวิธีประกอบตามเนื้อความ เพราะมีความหมายดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
จบอรรถกถาอุตตรเถราปทาน