เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง.
ยสวรรคที่ ๕๖ #-
อุปวานเถราปทานที่ ##- ๑๐ (๕๖๑)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุปวานเถระ #- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ. ##- ในบาลีทีฆนิกายเล่มที่ ๑๐ ข้อ ๑๓๐ ว่า อุปวาณเถระ.
[๑๕๐] พระชินเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ผู้รุ่งโรจน์แล้ว เสมือน กองเพลิงที่ลุกโพลงฉะนั้น พระสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน แล้ว.
มหาชนมาประชุมกันแล้ว บูชาพระตถาคตกระทำจิตกาธานให้ดีแล้ว ยกพระสรีระขึ้นสู่จิตกาธาน แล้ว.
กระทำสรีรกิจแล้ว รวบรวมพระธาตุไว้ ในที่ นั้น มนุษย์และเทวดาทั้งสิ้นเหล่านั้น ได้กระทำพระ สถูปพระพุทธเจ้าแล้ว.
พระสถูปนั้น ชั้นหนึ่งสำเร็จด้วยทอง ชั้นที่ สองสำเร็จด้วยแก้วมณี ชั้นที่สามสำเร็จด้วยเงิน ชั้นที่สี่สำเร็จด้วยแก้วผลึก.
ที่พระสถูปชั้นที่ห้านั่นแล สำเร็จด้วยแก้วทับทิมล้วน ชั้นที่หกสำเร็จด้วยแก้วลาย ทั่วทั้งองค์ ตลอดถึงยอดสำเร็จด้วยรัตนะ ทางเท้าสำเร็จด้วยแก้วมณี แท่นบูชาสำเร็จด้วยรัตนะ พระสถูปทั้งองค์สำเร็จด้วยทอง สูงหนึ่งโยชน์.
เทวดาทั้งหลายมาประชุมกัน ณ ที่นั้นร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า แม้พวกเราจักพากันเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่บ้าง.
พระธาตุมิได้กระจัดกระจาย พระสรีระธาตุเป็นก้อนเดียว พวกเราจะเสริมแต่งหุ้มพระพุทธสถูปนี้.
เทวดาทั้งหลายได้เสริมแต่งพระสถูปให้สูงขึ้นอีกหนึ่งโยชน์ ประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ เพราะฉะนั้น พระสถูปจึงสูงเป็นสองโยชน์ พระสถูปนั้นสูงขึ้นไปในหมอก.
พวกนาคทั้งหลายมาประชุมกัน ณ ที่นั้น ร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า มนุษย์และเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นได้สร้างพระพุทธสถูปกันแล้ว พวกเราอย่าได้เป็นผู้ประมาทเลย เพราะ พวกมนุษย์และเทวดา เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว แม้พวกเราจักเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง.
พวกนาคได้ประชุมกันแล้ว ได้หุ้มห่อพระสถูป ด้วยแก้วอินทนิล แก้วมหาอินทนิลและแก้วโชติรส.
องค์พระพุทธเจดีย์ได้สำเร็จด้วยแก้วมณี ตลอดทั้งองค์ เพิ่มความสูงขึ้นเป็นสามโยชน์ ในครั้งนั้นได้กระทำที่นั้นให้สว่างแล้ว.
พวกครุฑมาประชุมกันแล้วร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า มนุษย์ เทวดาและนาคเหล่านั้นได้พากันกระทำพุทธบูชาแล้ว.
พวกเราอย่าได้ประมาทเลย พวกมนุษย์ เทวดาและนาค เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว แม้พวกเราก็จักเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง.
พวกครุฑเหล่านั้นได้กระทำการหุ้มห่อพระสถูป ให้สำเร็จด้วยแก้วมณีทั้งองค์ แม้พวกครุฑเหล่านั้นได้เสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นอีกหนึ่งโยชน์.
พระพุทธสถูปจึงสูงขึ้นเป็นสี่โยชน์ รุ่งโรจน์ยิ่ง สว่างแจ้งไปทุกทิศ แสงสว่างพวยพุ่งขึ้นสูง สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ฉะนั้น.
พวกกุมภัณฑ์มาประชุมกันแล้ว ร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นเหมือนอย่างที่มนุษย์ เทวดา นาคและครุฑปรึกษากันฉะนั้น พวกเขาเหล่านั้นต่างพากันกระทำพระสถูปอันอุดม ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐแล้ว พวกเราอย่าเป็นผู้ประมาทเลย พวกมนุษย์และเทวดาเป็นต้น เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว.
แม้พวกเราก็จักเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่บ้าง พวกเราจักเสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นไปด้วยรัตนะ.
แม้พวกเขาเหล่านั้นก็ได้เสริมแต่ง พระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นไปหนึ่งโยชน์ ครั้งนั้นพระสถูปจึงสูงห้าโยชน์ ส่องแสงสว่างอยู่.
พวกยักษ์ได้มาในที่นั้นแล้ว ต่างประชุมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า พวกมนุษย์ เทวดา นาค ครุฑและกุมภัณฑ์ ได้เสริมแต่งพระสถูปแล้ว.
พวกเขาเหล่านั้นต่างได้กระทำพระสถูป อันอุดมของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐแล้ว พวกเราอย่าได้เป็นผู้ประมาทเลย พวกมนุษย์และเทวดา เป็นต้นเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว.
แม้พวกเราก็จักเสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง พวกเราจักเสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ ด้วยแก้วผลึก.
แม้พวกเขา (ยักษ์) เหล่านั้น ได้เสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นหนึ่งโยชน์ ในครั้งนั้น พระสถูปจึงสูงเป็นหกโยชน์ ส่องสว่างอยู่.
พวกคนธรรพ์ได้มาประชุมกันแล้ว ได้ประชุมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า พวกมนุษย์ เทวดา นาค กุมภัณฑ์และครุฑ ได้กระทำกันแล้วอย่างนั้น.
พวกเขาทั้งหมดได้กระทำพระพุทธสถูปแล้ว พวกเราในที่นี้ยังมิได้กระทำ แม้พวกเรา ก็จักกระทำพระสถูปของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่บ้าง.
ในครั้งนั้น พวกคนธรรพ์ได้กระทำที่บูชา ๗ ที่ กระทำธงและฉัตรแต่งเสริมพระสถูปให้สำเร็จด้วยทองคำทั้งองค์.
ในครั้งนั้น พระสถูปสูงได้เจ็ดโยชน์ ส่องแสงสว่างอยู่ จนไม่ปรากฏว่า เป็นกลางคืน หรือกลางวัน โลกคงมีแต่แสงสว่างตลอดกาล.
แสงสว่างของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และ ดวงดาวทั้งหลาย ไม่ครอบงำแสงสว่างพระสถูปนั้นได้ แสงสว่างนั้นสว่างแผ่ไปถึงระยะหนึ่งร้อยโยชน์โดยรอบ จนแม้ประทีป ก็ไม่สว่าง
ในกาลนั้น มนุษย์บางพวกบูชาพระสถูปอยู่ ทั้งที่นั้นมนุษย์เหล่านั้นก็มิได้ขึ้นสู่พระสถูป มนุษย์เหล่านั้นก็เสมือนขึ้นไปอยู่สูงในท้องฟ้า ฉะนั้น.
ยักษ์มีนามว่าอภิสมมต ยืนอยู่กับพวกเทวดา ได้ยกธงและพวงดอกไม้ขึ้นสูงยิ่ง.
ชนเหล่านั้นมิได้เห็นยักษ์นั้น เมื่อเดินไปก็เห็นพวงดอกไม้ เมื่อเห็นพวงดอกไม้ ก็เดินไปอยู่อย่างนั้น ชนเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมไปสู่สุคติ.
มนุษย์เหล่าใด ประพฤติชอบในปาพจน์และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มนุษย์เหล่านั้นใคร่จะเห็นปาฏิหาริย์ จึงบูชาพระสถูป.
ครั้นเมื่อข้าพเจ้าเกิดเป็นคนรับจ้าง อาศัยอยู่ในพระนครหังสวดี เห็นชนรื่นเริงยินดีแล้ว จึงคิดอย่างนี้ว่า ก็ชนเหล่านี้ยินดีแล้ว ย่อมไม่อิ่มต่อการบุญที่ควรกระทำ อันปรากฏในพระสถูป บรรจุพระธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สูงสุดพระองค์นั้น.
แม้ข้าพเจ้าจักกระทำบุญ ข้าพเจ้าจักเป็นทายาทในธรรมของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่ พระองค์นั้น ในอนาคตกาลบ้าง.
ข้าพเจ้าจักทำความสะอาด ด้วยการเช็ดล้างพระสถูป ยกธงแผ่นผ้าของข้าพเจ้าขึ้นให้สูง ผูกธงที่ปลายไม้ไผ่แล้วยกขึ้น.
ข้าพเจ้ายืนประคองธงอยู่ ธงของข้าพเจ้าถูกยกสูงขึ้นไปในอัมพร ข้าพเจ้าเห็นธงถูกลมปลิวสะบัดแล้ว ข้าพเจ้ามีความยินดีเกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้ากระทำจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น จึงเข้าไปหาพระสมณะ ถวายอภิวาทพระภิกษุนั้น ถามถึงวิบากในการถวายธง.
พระภิกษุนั้นมีความยินดี กล่าวกับข้าพเจ้า คือกล่าวถึงวิบากของการถวายธงนั้น ยังความปีติให้เกิดแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลทั้งปวง.
กองทหารช้าง กองทหารม้า กองทหารรถ กองทหารเดินเท้า และจตุรงคเสนาแวดล้อมเขา อยู่เป็นประจำ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง.
นักดนตรีหกหมื่นคน กับกลองที่ประดับแล้ว แวดล้อมเขาอยู่เป็นประจำ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง.
สตรีผู้ประดับตกแต่งแล้ว ๘๖,๐๐๐ นาง ประดับตกแต่งด้วยเครื่องผ้าอาภรณ์อันวิจิตร ประดับประดาด้วยแก้วมณีและตุ้มหู.
มีปากงาม เจรจาด้วยความยิ้มแย้ม อกผึ่ง ตะโพกผาย ทรวดทรงองค์เอวกลมกลึง แวดล้อมเขาอยู่เป็นประจำ นี้เป็นผลของการถวายธง.
ท่านจักยินดีในเทวโลก ตลอดเวลาสามหมื่นกัป จักเป็นจอมเทวดา ๘๐ ครั้ง จักเสวยเทวรัชสมบัติ.
จักเป็นพระราชา ๑,๐๐๐ ครั้ง และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ครั้ง จักเป็นพระเจ้าประเทศราช ผู้ไพบูลย์โดยประมาณนับมิได้.
ในกัปที่หนึ่งแสน พระมหาบุรุษจักทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช มีพระนามตามพระโคตรว่าโคตมะ จักทรงเป็นพระศาสดาในโลก.
ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว อันกุศลตักเตือนแล้ว อันบุญกรรมให้ระลึกได้แล้ว จักเกิดเป็นพราหมณ์.
ท่านจักทอดทิ้งโภคสมบัติจำนวน ๘๐ โกฏิ ทาสและกรรมกรเป็นจำนวนมาก จักบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคตมะ.
ท่านจักกราบทูลพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคตมะ ผู้ประเสริฐในสักยวงศ์ให้ทรงยินดี ด้วยชื่อว่าอุปวานะ จักเป็นสาวกของพระศาสดา.
กรรมที่ข้าพเจ้ากระทำไว้ในแสนกัป จักให้ผลแก่ข้าพเจ้าในกัปนี้ ข้าพเจ้าได้หลุดพ้นแล้วจากแรงเสียบแทงของกิเลสเพียงดังลูกศร ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว.
ธงทั้งหลายได้ชักขึ้นเพื่อข้าพเจ้า ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้สงบ ผู้ปกครองทวีปทั้ง ๔ โดย รอบสามโยชน์ ในกาลทุกเมื่อ.
แต่ในกัปที่แสนในกาลนั้น ข้าพเจ้าได้กระทำกรรมใดไว้ ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายธง.
กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้เผาทิ้งไปสิ้นแล้ว ฯลฯ ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่.
ข้าพเจ้าเป็นผู้มาดีแล ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
ปฏิสัมภิทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระอุปวานเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอุปวานเถราปทาน
ยศวรรคที่ ๕๖
๕๖๐. อรรถกถาอุปวาณเถราปทาน๑-
๑- บาลีเป็น อุปวานเถระ
พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
เรื่องราวของท่านพระอุปวาณเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.
ได้ทราบว่า พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ.
เพราะถูกกรรมบางอย่างมาตัดรอน ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เขาจึงได้มาบังเกิดในตระกูลคนยากจน บรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้เก็บเอาพระธาตุของพระองค์ไว้แล้ว เมื่อพวกมนุษย์ เทวดา นาคราช ครุฑ ยักษ์ กุมภัณฑ์และคนธรรพ์ พากันสร้างสถูปประมาณ ๗ โยชน์ อันสำเร็จล้วนด้วยรัตนะ ๗ ประการ ได้เอาผ้าอุตตราสงฆ์อันขาวสะอาดของตนทำเป็นธงผูกติดปลายไม้ไผ่แล้ว ได้ทำการบูชา ณ ที่สถูปนั้น.
เสนาบดียักษ์ชื่อว่าอภิสัมมตกะ ถือเอาธงนั้น ได้ตั้งพวกเทวดาไว้เพื่อรักษาเครื่องบูชาที่พระเจดีย์แล้ว เป็นผู้ไม่ปรากฏกาย ทรงตัวอยู่ในอากาศ ได้ทำประทักษิณพระเจดีย์ ๓ รอบ.
ด้วยบุญกรรมอันนั้น เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก.
ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี ได้มีชื่อว่าอุปวาณะ เจริญวัยแล้ว ได้มองเห็นพุทธานุภาพในการรับพระเชตวัน ได้มีศรัทธาบวชแล้ว บำเพ็ญวิปัสสนา ได้อภิญญา ๖ แล้ว.
ก็โดยสมัยนั้น อาพาธเกี่ยวด้วยโรคลมได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พราหมณ์ชื่อว่าเทวหิตะ ผู้เป็นสหายคฤหัสถ์ของพระเถระ อยู่ประจำในกรุงสาวัตถี. เขาได้ปวารณาพระเถระไว้ด้วยปัจจัย ๔.
ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปยังนิเวศน์ของพราหมณ์นั้นแล้ว. พราหมณ์ทราบว่าพระเถระเห็นจักมาด้วยประโยชน์อะไรสักอย่างเป็นแน่ จึงพูดว่า พระคุณเจ้าต้องการอะไร ก็พูดมาเถอะขอรับ.
พระเถระเมื่อจะบอกถึงความประสงค์แก่พราหมณ์นั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
พราหมณ์เอ๋ย! พระสุคตมุนีเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์
ในโลก ถูกโรคลมเข้าเบียดเบียน ถ้าท่านมีน้ำอุ่นจงถวายแด่พระมุนีเจ้าเถิด การบูชาแล้วแก่ผู้ควรบูชา การสักการะแล้วแก่ผู้ควรสักการะ การนอบน้อมแล้วแก่ผู้ควรนอบน้อม เราปรารถนาเพื่อจะนำน้ำอุ่นไปเพื่อพระมุนีเจ้าพระองค์นั้น.
เนื้อความแห่งบาทคาถานั้นว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด อันพวกเทวดามีท้าวสักกะเป็นต้นและอันพวกพรหมมีท้าวมหาพรหมเป็นต้น ได้บูชาแล้วแก่ผู้ควรบูชาในโลกนี้, ผู้อันพระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าโกศลเป็นต้นทรงกระทำสักการะแล้ว แก่ผู้ควรสักการะ, ผู้อันพระขีณาสพผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่นอบน้อมแล้ว แก่ผู้ควรนอบน้อม, ทรงเป็นพระอรหันต์ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลายเป็นต้น, ทรงเป็นผู้เสด็จไปดี เพราะเสด็จไปได้อย่างงดงามเป็นต้น, ทรงเป็นพระสัพพัญญู เป็นพระมุนีคือพระศาสดาของพวกเรา ซึ่งทรงเป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา ทรงเป็นท้าวสักกะยิ่งกว่าท้าวสักกะ ทรงเป็นท้าวมหาพรหมยิ่งกว่าพวกพรหม. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นถูกโรคลม มีลมเป็นเหตุ เกิดการกระสับกระส่ายเพราะลมเป็นเหตุ ทรงกลายเป็นผู้อาพาธ.
ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านมีน้ำอุ่น, เราปรารถนาจะนำน้ำอุ่นนั้นไปเพื่อระงับอาพาธเนื่องด้วยโรคลมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ดังนี้.
พราหมณ์ได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงได้น้อมเภสัชระงับโรคลม อันพอเหมาะกับน้ำอุ่นนั้นเข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
ก็โรคของพระศาสดา ได้ระงับแล้วด้วยเภสัชนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำอนุโมทนาแล้วแก่พราหมณ์นั้น.
ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะได้ระลึกถึงบุรพกรรมของตน ในกาลต่อมา เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงได้กล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปทุมุตฺตโร เป็นต้น มีเนื้อความตามที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นนั่นแล.
บทว่า มหาชน สมาคมฺม ความว่า ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นได้รวมกันเป็นกลุ่ม.
บทว่า จิตกํ กตฺวา เชื่อมความว่า ชนทั้งหลายได้ทำจิตกาธานด้วยหมู่ไม้จันทน์สูงตั้งโยชน์ แล้วยกพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นวางบนจิตกาธานนั้น.
บทว่า สรีรกิจฺจํ กตฺวาน ความว่า กระทำกิจคือการเผาด้วยไฟ คือการจุดไฟ.
บทว่า ชงฺฆา มณิมยา อาสิ ความว่า ทางเท้าไปที่สถูปอันพวกมนุษย์สร้างขึ้นไว้ คือสร้างทำด้วยแก้วมณี ได้แก่ทำสถานที่นั้นด้วยแก้วอินทนิล เพื่อนำดอกไม้ไป.
บทว่า มยมฺปิ ความว่า พวกเทวดาทั้งหมดจักสร้างสถูปไว้แน่.
บทว่า ธาตุ อาเวณิกา นตฺถิ ความว่า พระธาตุไม่มีเป็นแผนกๆ เพื่อที่พวกเทวดาและมนุษย์จะสร้างเจดีย์ไว้เป็นแห่งๆ เมื่อจะแสดงถึงพระธาตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า สรีรํ เอกปิณฺฑิตํ เป็นต้น.
อธิบายว่า ด้วยกำลังแห่งการอธิษฐานพระสรีรธาตุทั้งสิ้น จึงได้เป็นเพียงก้อนเดียวเท่านั้น เปรียบดุจพระปฏิมาที่สำเร็จด้วยศิลาก้อนเดียว ฉะนั้น.
บทว่า อิมมฺหิ พุทฺธถูปมฺหิ ความว่า พวกเราทั้งหมดจักมาพร้อมกันแล้ว ช่วยกันสร้างเครื่องปกคลุมสถูปไว้ ณ สถูปทองคำนี้ ที่พวกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นได้พากันสร้างไว้แล้ว.
บทว่า อินฺทนีลํ มหานีลํ ความว่า แก้วมณีที่มีสีและแสงดุจดอกบัวสีน้ำเงิน เรียกว่าแก้วอินทนิล.
เชื่อมความว่า ชื่อว่าแก้วมณีก้อนใหญ่ เพราะมีสียิ่งด้วยแก้วอินทนิลนั้น, เราได้นำเอาแก้วมณีอินทนิล แก้วมณีสีเขียวชนิดก้อนใหญ่ แก้วมณีโชติรสและแก้วมณีสีแดงโดยชาติ มารวมเป็นก้อนเดียวกัน แล้วทำเป็นเครื่องคลุมที่สถูปทองคำ ปกคลุมไว้แล้ว.
บทว่า ปจฺเจกํ พุทฺธเสฏฺฐสฺส เพื่อให้เป็นอิสระแด่พระพุทธเจ้าผู้สูงสุด.
บทว่า กุมฺภณฺฑา คุยฺหกา ตถา ความว่า เทวดาพวกที่มีอัณฑะประมาณเท่าหม้อ ชื่อว่ากุมภัณฑ์, จึงกลายมาเป็นชื่อกำเนิดเทวดาพวกครุฑ เพราะปกปิดทำให้มิดชิด, พวกกุมภัณฑ์เหล่านั้น ตัวเองมีเครื่องปกปิด จึงได้สร้างสถูปมีเครื่องปกปิดบ้าง.
บทว่า อติโภนฺติ น ตสฺสาภา ความว่า แสงสว่างแห่งพระจันทร์ พระอาทิตย์และหมู่ดาว จึงไม่สาดส่อง ไม่เล็ดลอดท่วมทับรัศมีแห่งพระเจดีย์นั้นได้.
บทว่า อหมฺปิ การํ กสฺสามิ ความว่า แม้เราก็จักทำสักการะบุญกิริยา คือกุศลกรรมได้แก่การบูชาด้วยธงชัยและธงปฎาก ณ พระสถูปของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่บ้าง.
จบอรรถกถาอุปวาณเถราปทาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น