Translate

10 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน ติณทายกวรรคที่ ๕๓

ติณมุฏฐิทายกเถราปทานที่ ๑ ว่าด้วยผลแห่งการถวายหญ้าคา ๑ กำ
 [๑๑๑] ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อลัมพกะ ที่ภูเขาลัมพกะ นั้น พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ เสด็จจงกรมอยู่กลางแจ้ง เมื่อก่อน เราเป็นพรานเนื้ออยู่ในอรัญราวป่า ได้พบพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดกว่าทวยเทพ จึงได้ถวายหญ้ากำหนึ่งแด่พระพุทธเจ้า เพื่อเป็นที่ประทับนั่ง ครั้นแล้วยังจิตให้เลื่อมใส ถวายบังคม พระสัมพุทธเจ้าแล้ว บ่ายหน้ากลับทางทิศอุดร เราเดินไปไม่นาน ก็ถูกราชสีห์ฆ่า เราเป็นผู้ถูกราชสีห์ฆ่าตายในที่นั้นนั่นเอง เราได้ทำ อาสนกรรม ณ ที่ใกล้พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ไม่มีอาสวะ เรา ได้ไปยังเทวโลกเหมือนลูกศรที่พ้นจากแล่ง ฉะนั้น ปราสาทใน เทวโลกนั้น ซึ่งบุญกรรมเนรมิตให้ เป็นของงดงาม มีแล่งธนูตั้งพัน มีลูกหนังเป็นจำนวนร้อย มีธงประจำปราสาทสีเขียว รัศมีของ ปราสาทนั้นแผ่ซ่านไป เหมือนพระอาทิตย์อุทัย เราเป็นผู้เพียบพร้อม ด้วยเหล่านางเทพกัญญา เพียบพร้อมด้วยกามคุณารมณ์ บันเทิงเริง รมย์อยู่ เราอันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จุติจากเทวโลกมาเป็นมนุษย์ เป็นผู้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ เราได้ ถวายหญ้าสำหรับรองนั่ง ด้วยการถวายหญ้านั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายหญ้ากำหนึ่ง เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...  
  
                         พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                         ทราบว่า ท่านพระติณมุฏฐิทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ ติณมุฏฐิทายกเถราปทาน. 
เวจจกทายกเถราปทานที่ ๒ ว่าด้วยผลแห่งการถวายวัจจกุฎี
 [๑๑๒] เราเลื่อมใส ได้ถวายวัจจกุฎีหลังหนึ่ง แด่พระผู้มีพระภาคเชษฐบุรุษ ของโลก ผู้คงที่ พระนามว่าวิปัสสี ด้วยมือของตน เราได้ยานช้าง ยานม้าและยานทิพย์ เราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ ก็เพราะ การถวายวัจจกุฎีนั้น ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราได้ถวายวัจจกุฎีใด ด้วย การถวายวัจจกุฎีนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวาย วัจจกุฎี เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำ เสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระเวจจกทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ เวจจกทายกเถราปทาน. 
สรณคมนิยเถราปทานที่ ๓ ว่าด้วยผลแห่งการเข้าถึงพระรัตนตรัย
 [๑๑๓] ครั้งนั้น ภิกษุกับเราผู้อาศัยเลี้ยงชีพ ขึ้นเรือไปด้วยกัน เมื่อเรือกำลัง จะอัปปาง ภิกษุได้ให้สรณะแก่เรา ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ ภิกษุนั้นได้ ให้สรณะใดแก่เรา เพราะสรณะนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็น ผลแห่งสรณคมน์ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระสรณคมนิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ สรณคมนิยเถราปทาน. 
อัพภัญชนทายกเถราปทานที่ ๔ ว่าด้วยผลแห่งการถวายยาหยอดตา
 [๑๑๔] เราอยู่ใกล้พระราชอุทยาน ในพระนครพันธุมดี ครั้งนั้น เรานุ่ง หนังเสือเหลือง ถือคณโฑน้ำ เราได้พบพระสยัมภูพุทธเจ้า ผู้ปราศ จากกิเลสธุลี ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้อะไรๆ มีความเพียรเผากิเลส มี พระหฤทัยแน่วแน่ มีปกติเพ่งพินิจ ยินดีในฌาน เป็นนักบวช ผู้สำเร็จความประสงค์ทั้งปวง ข้ามพ้นโอฆะแล้ว ไม่มีอาสวะ ครั้นเราพบแล้วก็เลื่อมใสโสมนัส ได้ถวายยาหยอดตา ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราได้ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จัก ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งยาหยอดตา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระอัพภัญชนทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ อัพภัญชนทายกเถราปทาน.
 สุปฏทายกเถราปทานที่ ๕ ว่าด้วยผลแห่งการถวายผ้าเนื้อดี 
 [๑๑๕] พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้นำโลก เสด็จออกจากที่ประทับสำราญ ในกลางวัน เราได้ถวายผ้าอย่างดีมีเนื้อเบาแล้ว บันเทิงอยู่ในสวรรค์ ตลอดกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราได้ถวายผ้าใด ด้วยการถวายผ้านั้น เราไม่ รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งผ้าอย่างดี เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระสุปฏทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ สุปฏทายกเถราปทาน. 
ทัณฑทายกเถราปทานที่ ๖ ว่าด้วยผลแห่งการถวายไม้เท้า 
 [๑๑๖] ครั้งนั้น เราเข้าไปยังป่าใหญ่ ตัดเอาไม้ไผ่มาทำเป็นไม้เท้าถวาย แด่พระสงฆ์ เรากราบไหว้ท่านผู้มีวัตรอันงาม ด้วยจิตเลื่อมใสนั้น ถวายไม้เท้าแล้วเดินบ่ายหน้าไปทางทิศอุดร ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราได้ถวายไม้เท้าใดในกาลนั้น ด้วยการถวายไม้เท้านั้น เราไม่รู้จัก ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายไม้เท้า เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                         ทราบว่า ท่านพระทัณฑทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ ทัณฑทายกเถราปทาน. 
คิริเนลปูชกเถราปทานที่ ๗ ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกอัญชันเขียว
 [๑๑๗] เมื่อก่อน เราเป็นพรานเนื้อเที่ยวอยู่ในป่า ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ ปราศจากกิเลสธุลี ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เรามีจิตเลื่อมใสโสมนัส ในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงยินดี ในประโยชน์เกื้อกูลของสรรพสัตว์ จึงได้บูชาด้วยดอกอัญชันเขียว ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระคิริเนลปูชกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ คิริเนลปูชกเถราปทาน.
โพธิสัมมัชชกเถราปทานที่ ๘ ว่าด้วยผลแห่งการกวาดลานโพธิ์ 
 [๑๑๘] ในกาลก่อน เราเก็บใบโพธิ์ที่ถูกทิ้งไว้ ณ ลานพระเจดีย์เอาไปทิ้ง เสีย เราจึงได้คุณ ๒๐ ประการ ด้วยเดชแห่งกรรมนั้น เมื่อเรายัง ท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมท่องเที่ยวไปแต่ในสองภพ คือ ในเทวดาและมนุษย์ จุติจากเทวโลกแล้วมาสู่มนุษยโลก ก็ เกิดแต่ในสองสกุล คือ สกุลกษัตริย์และสกุลพราหมณ์ เรามี อวัยวะน้อยใหญ่สมบูรณ์ สูงใหญ่ รูปสวย สะอาดสะอ้าน เต็มเปี่ยม ไม่บกพร่อง เราเกิดในภพใดภพหนึ่ง คือ ในเทวโลกหรือ มนุษยโลก
               ในภพนั้น เรามีผิวพรรณเหมือนทองคำ เปรียบดัง ทองคำที่นายช่างหลอมแล้ว ผิวของเราอ่อนนุ่ม สนิท สุขุม ละเอียดอ่อนอยู่ตลอดเวลา เพราะใบโพธิ์อันเราทิ้งดีแล้ว
               ในคติ ไหนๆ ก็ตามที ฝุ่นละอองย่อมไม่ติดในสรีระของเราผู้ที่อยู่ในที่ ประชุม นี้เป็นวิบากแห่งการทิ้งใบโพธิ์เพราะความร้อนลม แดด หรือเพราะความร้อนของไฟก็ตาม ที่ตัวของเราไม่มีเหงื่อไหล นี้ เป็นวิบากแห่งการทิ้งใบโพธิ์ 
               ในกายของเรา ไม่มีโรคเรื้อน ฝี กราก ตกกระ หูดและหิด เปื่อยเลย นี้เป็นวิบากแห่งการทิ้ง ใบโพธิ์ คุณแห่งการทิ้งใบโพธิ์อีกข้อหนึ่ง คือ 
               บุคคลเกิดใน ภพน้อยภพใหญ่ ย่อมไม่มีโรคในกาย นี้เป็นวิบากแห่งการทิ้งใบโพธิ์ คุณอีกข้อหนึ่ง คือ
               เขาเกิดในภพน้อยใหญ่ ย่อมไม่มีความบีบคั้น ที่เกิดขึ้นทางใจเลย นี้เป็นวิบากแห่งการทิ้งใบโพธิ์ คุณอีกข้อหนึ่ง คือ
 เขาเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมไม่มีใครเป็นข้าศึกเลย นี้เป็น วิบากแห่งการทิ้งใบโพธิ์ คุณอีกข้อหนึ่ง คือเขาเกิดในภพน้อย ภพใหญ่ ย่อมมีโภคทรัพย์ไม่บกพร่องเลย นี้เป็นวิบากแห่งการทิ้ง ใบโพธิ์ คุณอีกข้อหนึ่ง คือ เขาเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ย่อม ไม่มีภัยแต่ไฟ พระราชา โจรและน้ำ คุณอีกข้อหนึ่ง คือ เขา เกิดในภพน้อยภพใหญ่ทาสหญิงชายและคนเดินตาม ย่อมประพฤติ ตามจิตของเขา เขาเกิดในมนุษยโลกในปริมาณอายุเท่าใด อายุ ของเขาย่อมไม่ลดไปจากปริมาณอายุนั้น ย่อมดำรงอยู่ตราบเท่าสิ้น อายุคนใน คนนอก ตลอดถึงชาวนิคม ชาวรัฐ
               ล้วนแต่เป็น ผู้ช่วยเหลือ ใคร่ความเจริญปรารถนาความสุขแก่เขาทั้งนั้น ใน ทุกๆ ภพ เราเป็นคนมีโภคทรัพย์ มียศ มีศิริ มีญาติ พวกพ้อง ไม่มีเวร หมดความสะดุ้ง ในกาลทั้งปวง
               เมื่อเรายังท่องเที่ยวอยู่ ในภพ เทวดา มนุษย์ อสูร คนธรรพ์ ยักษ์และรากษส ล้วน แต่ป้องกันรักษาเราทุกเมื่อ เราเสวยยศสองอย่างทั้งในเทวโลกและ มนุษยโลก ในอวสานเราได้บรรลุศิวโมกข์มหานฤพานอันยอดเยี่ยม บุรุษใดประสพบุญเพราะเจาะจงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือโพธิ- พฤกษ์ของพระศาสดาพระองค์นั้น
               สำหรับบุรุษเช่นนั้น สิ่งอะไร เล่าที่เขาจะหาได้ยาก เขาย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่นๆ ในเพราะ มรรคผล นิกายเป็นที่มาและคุณ คือ ฌานและ อภิญญา ไม่มี อาสวะ ปรินิพพาน เมื่อก่อน เรามีใจยินดีเก็บใบโพธิ์เอาไปทิ้ง จึงเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยองค์ ๒๐ ประการนี้ ทุกทิพาราตรีกาล เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระโพธิสัมมัชชกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ โพธิสัมมัชชกเถราปทาน.
อามัณฑผลทายกเถราปทานที่ ๙ ว่าด้วยผลแห่งการถวายแฟง
 [๑๑๙] พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวงเป็นนายก ของโลก ออกจากสมาธิแล้วเสด็จจงกรมอยู่ ครั้งนั้น เราเอา ผลไม้ใส่หาบหาบมา ได้พบพระพุทธเจ้ามหามุนี ผู้ปราศจากกิเลส ธุลี กำลังเสด็จจงกรมอยู่ เรามีจิตเลื่อมใสโสมนัส ประนมกรอัญชลี เหนือเศียรเกล้า ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าแล้วถวายผลแฟง ใน กัปที่แสนแต่กัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการถวาย ผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งผลแฟง เราเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระอามัณฑผลทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ อามัณฑผลทายกเถราปทาน.
 สุคันธเถราปทานที่ ๑๐ ว่าด้วยผลแห่งการสดุดีพระรัตนตรัย
 [๑๒๐] พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์ ทรงพระยศใหญ่ มี พระนามชื่อว่ากัสสปะ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลายเสด็จอุบัติ ขึ้นแล้วในภัทกัปนี้ พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะมีพระ ลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ อันรัศมีวาหนึ่งแวดล้อม มีข่าย รัศมีบังเกิดปรากฏ ก่อให้เกิดความยินดีเหมือนพระจันทร์ ส่องแสง สว่างเหมือนพระอาทิตย์ ทรงยังหมู่สัตว์ให้เยือกเย็น เหมือนเมฆฝน เป็นบ่อเกิดแห่งคุณเหมือนสาคร ปานประหนึ่งว่าแผ่นดินโดยศีล
 เปรียบดังภูเขาหิมวันต์โดยสมาธิ เหมือนอย่างอากาศโดยปัญญา เป็นผู้ไม่เกาะเกี่ยวเหมือนลม ไม่พร่องเหมือนวิหาร แกล้วกล้าใน บริษัท ทรงประกาศสัจธรรมช่วยมหาชนให้รอดพ้น ครั้งนั้นเรา เป็นเศรษฐีบุตรผู้มียศใหญ่ ในพระนครพาราณสี มีทรัพย์และ ข้าวเปลือกมากมาย เราเที่ยวเดินเล่นไปจนถึงป่ามฤคทายวัน ได้ เห็นพระศาสดาผู้เป็นนาถะ กำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง หนทางอมตธรรม เราได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นเทพยิ่ง กว่าทวยเทพ มีพระดำรัสเกลี้ยงเกลา น่ารัก มีพระสุรเสียงสม่ำ เสมอเหมือนนกการะเวก มีพระสำเนียงก้องเหมือนเสียงหงส์และ เสียงกลองใหญ่ ยังมหาชนให้ทราบชัดได้ และได้สดับพระสุรเสียง อันไพเราะ จึงได้ละโภคทรัพย์มิใช่น้อย ออกบวชเป็นบรรพชิต เราบวชแล้ว เช่นนี้
 ไม่นานก็เป็นพหูสูต เป็นพระธรรมกถึก มีปฏิภาณอันวิจิตร เราเป็นคนองอาจในการพรรณนา ได้พรรณนา พระคุณของพระศาสดาผู้มีพระฉวีวรรณเหมือนทองคำ ในท่ามกลาง บริษัทใหญ่บ่อยๆ ว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ เป็นพระขีณาสพ เป็นผู้ตื่นแล้วไม่มีทุกข์ ทรงตัดความสงสัยได้แล้ว ทรงถึงความ สิ้นกรรมทุกอย่าง ทรงพ้นกิเลสแล้วในเพราะธรรมเป็นที่สิ้นไป แห่งอุปธิ พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้นั้นเป็นผู้ตื่นแล้ว พระองค์เป็น ผู้ประเสริฐยิ่ง ทรงประกาศพรหมจรรย์ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ทรงฝึกพระองค์เองและทรงฝึกผู้อื่น ทรงสงบระงับเองและทรงทำ ผู้อื่นให้สงบระงับ เป็นผู้ดับกิเลส เป็นนักบวช ทรงยังผู้อื่นให้ดับ กิเลส เป็นผู้เบาพระทัยและทรงยังมหาชนให้เบาใจ ทรงมีความ เพียร องอาจ กล้าหาญ มีพระปัญญาทรงประกอบด้วยพระกรุณา ทรงมีความชำนาญ เป็นผู้มีชัยชนะ เป็นพระพิชิตมาร ไม่ทรงคะนอง ทรงหมดความห่วงใย เป็นผู้ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นสะเทือน เป็น นักปราชญ์ ไม่ทรงหลงใหล ไม่มีใครเทียมทัน
 เป็นมุนี มีปกติ นำธุระไป ทรงอาจหาญแม้ในพวกครู ดังโคอุสุภราชพระยาคชสาร (และ) ไกรสรสีหราช เป็นผู้ปราศจากราคะ ปราศจากมลทิน เป็นดังพรหม กล้ากว่านักปราชญ์ หักเสียซึ่งข้าศึกคือกิเลส หมด เสี้ยนหนาม ปราศจากความเศร้าโศกไม่มีใครเสมอเสมือน เป็นผู้ ประเสริฐ สะอาดหมดจด เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นนาถะ เป็นหมอ เป็นผู้กำจัดลูกศร เป็นนักรบ เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้ หลับและตื่น ไม่หวั่นไหว มีใจเบิกบาน ยิ้มแย้ม ทรงทำการฝึก อินทรีย์ เป็นผู้นำตนไป เป็นผู้ทำ เป็นผู้นำ เป็นผู้ประกาศ เป็น ผู้ทำสัตว์ให้ร่าเริง เป็นผู้วิด เป็นผู้ตัก เป็นผู้ฟัง เป็นผู้สรรเสริญ เป็นผู้ไม่กำเริบ ปราศจากลูกศร ไม่มีทุกข์ ไม่ทรงมีความสงสัย เป็นผู้หมดตัณหา ปราศจากธุลี เป็นผู้ขุด เป็นผู้ทำลาย เป็นผู้ กล่าว เป็นผู้ทำให้ปรากฏ เป็นผู้ยังสัตว์ให้ข้าม ให้ทำประโยชน์ เป็นผู้ถึงสัมปทา เป็นผู้ยังสัตว์ให้บรรลุ เป็นผู้ไปด้วยกัน เป็นผู้ฆ่า ทรงยังกิเลสให้เร่าร้อน ให้เหือดแห้ง
 ดำรงอยู่ในสัจจะ เสมอ ด้วยผู้เสมอ ไม่มีสหาย เป็นที่อยู่แห่งความเอ็นดู มีมนต์อัศจรรย์ ไม่ทรงลวงให้พิศวง เป็นผู้ทำ เป็นนักบวชองค์ที่ ๗ ทรงข้ามพ้น ความสงสัยแล้ว ไม่ทรงถือพระองค์ ทรงมีคุณหาประมาณมิได้ ไม่มีใครเปรียบปาน ล่วงคลองแห่งถ้อยคำทุกชนิด ล่วงเวไนย สัตว์ทุกคน ทรงชนะหมู่มาร ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้ ประเสริฐมีพระรัศมีกำหนดด้วยร้อยพระองค์นั้น ย่อมนำอมตมหา นิพพานมาให้ เพราะฉะนั้น ความเชื่อในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม และในพระสงฆ์ จึงมีประโยชน์ใหญ่ เราสรรเสริญพระพุทธเจ้าผู้ เป็นสรณะอย่างสูงสุดของโลก ๓ ด้วยคุณมีอาทิเห็นปานดังนี้ แสดงธรรมกถาในท่ามกลางบริษัท จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ เสวยมหันตสุขในสวรรค์ชั้นดุสิต
 จุติจากดุสิตแล้วเกิดในมนุษย์ เป็นผู้มีกลิ่นหอม ลมหายใจ กลิ่นปากและกลิ่นตัวของเราก็เช่นนั้น เหมือนกัน คือ มีกลิ่นหอม และกลิ่นหอมนั้นนั่นแหละฟุ้งไป เนืองนิตย์ เรามีกลิ่นหอมทุกอย่างกลิ่นปากของเราหอมฟุ้งอยู่ทุกเมื่อ สรีระของเรางดงาม หอมฟุ้งทุกทิพาราตรีกาล ปานดังดอกปทุม ดอกอุบลและดอกจำปา ฉะนั้น ทั้งหมดนั้นเป็นผลแห่งการกล่าว สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ผลนั้นน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ขอท่านทั้งหลาย จงตั้งใจสดับคุณของพระพุทธเจ้านั้น ซึ่งเราได้กล่าวแล้ว ครั้นเรา กล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า ซึ่งนำประโยชน์และความสุขมา ให้แล้ว เป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วในธรรมทั้งปวง
 พระสงฆ์เป็นผู้ ประกอบด้วยความเพียร มียศ ถึงความสุข งดงาม รุ่งเรือง น่ารักน่าชม เป็นผู้กล่าวไม่ดูหมิ่นดูแคลน ไม่มีโทษ และเป็นผู้มี ปัญญาขวนขวายในธรรมที่เป็นสิ้นกิเลส สำหรับผู้ภักดีต่อพระพุทธ เจ้าได้นิพพานโดยง่าย เราจักกล่าวถึงเหตุของพวกเรา เชิญท่าน ทั้งหลายฟังเหตุนั้นตามเรื่อง เราถวายบังคมก็เพราะค้นพบพระยศ ของพระผู้มีพระภาคที่มีอยู่ เพราะฉะนั้น แม้เราจะเกิดในภพใดๆ ก็ย่อมเป็นผู้มียศในภพนั้นๆ เราสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้ทำที่สุด ทุกข์ และพระธรรมอันสงบระงับ ปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง จึงได้เป็นผู้ ถึงความสุข เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าทรงประทานความ สุขแก่สัตว์ทั้งหลาย เรากล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าว่า มีทั้งส่วนพระองค์และที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น จึงเป็นผู้ประกอบ ด้วยปีติในพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้มีความงดงาม
 เมื่อเรากล่าวสรรเสริญพระคุณ ชื่อว่าชมเชยพระผู้นำ ซึ่งทรงชำนะ มาร ล่วงเสียซึ่งเดียรถีย์ ครอบงำเดียรถีย์โกงเสียได้ เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นคนมีความรุ่งเรือง เมื่อเรากล่าวสรรเสริญพระคุณของ พระสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าพระองค์ให้เป็นที่รักแม้แห่งหมู่ชน เพราะ ฉะนั้น เราจึงเป็นผู้น่ารัก น่าชม เหมือนพระจันทร์อันมีในสรทกาล ฉะนั้น เราชมเชยพระสุคตเจ้าด้วยวาจาทุกอย่าง ตามสติสามารถ เพราะฉะนั้น เราจึงมีปฏิภาณวิจิตร เหมือนท่านพระวังคีสะ คน พาลพวกใดเป็นผู้ถึงความสงสัย จึงดูหมิ่นพระมหามุนี เราข่มขี่ คนพาลพวกนั้นโดยชอบธรรม เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ถูกดูหมิ่น เราได้ช่วยทำกิเลสของสัตว์ทั้งหลายให้หมดไป ด้วยการสรรเสริญ พระคุณพระพุทธเจ้า
 เพราะอำนาจของกรรมนั้น เราจึงเป็นผู้มีใจ ไม่มีกิเลส เราผู้แสดงพุทธานุสสติ ได้ทำปัญญาเครื่องตรัสรู้ให้ เกิดแก่ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งอรรถอัน ละเอียด เราจักเป็นผู้สิ้นอาสวะทุกอย่าง จักข้ามพ้นสาครคือ สงสารไปได้ และมีความชำนิชำนาญ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ถึง ความดับสนิท ในกัปนี้เองเราได้ชมเชยพระชินเจ้าใด ด้วยการ ชมเชยนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผา กิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระสุคันธเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุคันธเถราปทาน.
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
            ๑. ติณมุฏฐิทายกเถราปทาน ๖. ทัณฑทายกเถราปทาน
            ๒. เวจจกทายกเถราปทาน ๗. คิริเนลปูชกเถราปทาน
            ๓. สรณคมนิยเถราปทาน ๘. โพธิสัมมัชชกเถราปทาน
            ๔. อัพภัญชนทายกเถราปทาน ๙. อามัณฑผลทายกเถราปทาน
            ๕. สุปฏทายกเถราปทาน ๑๐. สุคันธเถราปทาน
            ในวรรคนี้ บัณฑิตคำนวณคาถาทั้งหมดได้ ๑๒๓ คาถา.
จบ ติณทายกวรรคที่ ๕๓.

ไม่มีความคิดเห็น: