![]() |
|
ทรงกำจัดยศของพวกเดียรถีย์เสียด้วย
พระญาณปานดังเพชร เหมือนพระอาทิตย์กำจัดความมืด ฉะนั้น
สมเด็จพระทิพากรเจ้าทรงส่องแสงสว่างจ้าทั้งกลางคืน และกลางวัน
ในที่ทุกหนทุกแห่ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณ เหมือนสาครเป็นบ่อเกิด
แห่งรัตนะ ทรงยังเมฆ คือ ธรรม ให้ตกลงเพื่อหมู่สัตว์ เหมือน
เมฆยังฝนให้ตก ฉะนั้น
ครั้งนั้น เราเป็นผู้พิพากษาอยู่ในพระนคร
หงสวดี ได้เข้าไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามว่าปทุมุตระ
ซึ่งกำลังประกาศคุณของพระสาวกผู้มีสติ ผู้กล่าวสอนภิกษุทั้งหลาย
อยู่ ทรงยังใจของเราให้ยินดี เราได้ฟังแล้วเกิดปีติโสมนัส นิมนต์
พระตถาคตพร้อมด้วยศิษย์ ให้เสวยและฉันแล้ว ปรารถนาฐานันดร
นั้น ครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีส่วนเสมอด้วยหงส์ มี
พระสุรเสียงเหมือนหงส์และมโหรทึก ได้ตรัสว่า จงดูมหาอำมาตย์
ผู้นี้ ผู้แกล้วกล้าในการตัดสินหมอบอยู่แทบเท้าของเรา มีประกาย
ดุจลอยขึ้นและมีใจสูงด้วยปิติ มีวรรณะเหมือนแสงแห่งแก้วมุกดา
งดงาม นัยน์ตาและหน้าผ่องใส มีบริวารเป็นอันมาก ทำราชการ มี
ยศใหญ่
มหาอำมาตย์นี้เขาปรารถนาตำแหน่งภิกษุ ผู้ให้โอวาทแก่
ภิกษุ เพราะพลอยยินดีด้วย ด้วยการบริจาคบิณฑบาตนี้ และด้วย
การตั้งเจตน์จำนงไว้ เขาจักไม่เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัป จัก
เสวยความเป็นผู้มีโชคดีในหมู่ทวยเทพ และจักเสวยความเป็น
ใหญ่ในหมู่มนุษย์ จักบรรลุถึงนิพพานด้วยผลกรรมส่วนที่เหลือ
ในแสนกัปแต่กัปนี้ พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ทรงสมภพ
ในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มหาอำมาตย์นี้
จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดา พระองค์นั้น จักเป็นโอรสอัน
ธรรมเนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดามีนามชื่อว่ากัปปินะ ต่อ
แต่นั้น
เราก็ได้ทำสักการะด้วยดี ในพระศาสนาของพระชินสีห์
ละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดุสิต เราครองราชย์ในเทวดา
และมนุษย์โดยเป็นส่วนๆ แล้วเกิดในสกุลช่างหูก ที่ตำบลบ้าน
ใกล้พระนครพาราณสี เรากับภรรยามีบริวารแสนคน ได้อุปัฏฐาก
พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ได้ถวายโภชนาหารตลอดไตรมาส
แล้วให้ครองไตรจีวร เราทั้งหมดจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เข้าถึง
สวรรค์ชั้นไตรทส เราทั้งหมดจุติจากสวรรค์นั้นแล้ว กลับมาเป็น
มนุษย์อีก พวกเราเกิดในกุกกุฏบุรี ข้างป่าหิมพานต์ เราได้
เป็นโอรสผู้มียศใหญ่ พระนามว่ากัปปินะ พวกที่เหลือเกิดในสกุล
อำมาตย์ เป็นบริวารของเรา เราเป็นผู้ถึงความสุขอันเกิดแต่ความ
เป็นมหาราชา ได้สำเร็จสิ่งที่ต้องประสงค์ทุกประการ ได้สดับข่าวสาร
อุบัติของพระพุทธเจ้าที่พวกพ่อค้าบอกดังนี้ว่า
พระพุทธเจ้าผู้เอก
อัครบุคคลไม่มีใครเสมอเสมือน เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์
ทรงประกาศพระสัทธรรมอันเป็นธรรมไม่ตาย เป็นอุดมสุข และ
สาวกของพระองค์เป็นผู้หมั่นขยัน พ้นทุกข์ ไม่มีอาสวกิเลส ครั้น
เราได้สดับคำของพ่อค้าเหล่านั้นแล้ว ได้ทำการสักการะพวกพ่อค้า
สละราชสมบัติ พร้อมด้วยอำมาตย์ เป็นพุทธมามกะ พากันออก
เดินทาง ได้พบแม่น้ำมหาจันทานที มีน้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบฝั่ง
ทั้งไม่มีท่าน้ำ ไม่มีแพ ข้ามได้ยาก มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว เราระลึก
ถึงพระพุทธคุณแล้วก็ข้ามแม่น้ำไปได้โดยสวัสดี ถ้าพระพุทธองค์
ทรงข้ามกระแสน้ำ คือ ภพไปได้ ถึงที่สุดแห่งโลก ทรงรู้แจ้งชัด
ไซร้ ด้วยสัจจวาจานี้ก็ขอให้การไปของเราจงสำเร็จ ถ้ามรรคเป็น
เครื่องให้สัตว์ถึงความสงบได้ เป็นเครื่องให้โมกขธรรม เป็นธรรม
สงบระงับ นำความสุขมาให้ได้ไซร้
ด้วยสัจจวาจานี้ ก็ขอให้การ
ไปของเราจงสำเร็จ ถ้าพระสงฆ์เป็นผู้ข้ามพ้นทางกันดารไปได้
เป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยมไซร้ ด้วยสัจจาวาจานี้ ก็ขอให้การไปของเราจง
สำเร็จ พร้อมกับที่เราได้ทำสัจจะอันประเสริฐดังนี้ น้ำได้ไหลหลีก
ออกไปจากหนทาง ลำดับนั้น เราได้ข้ามไปขึ้นฝั่งแม่น้ำอันน่า
รื่นรมย์ใจได้โดยสะดวก ได้พบพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่เหมือน
พระอาทิตย์ที่กำลังอุทัย ดังภูเขาทองที่ลุกโพลงเหมือนไม้ประทีปที่
ถูกไฟไหม้โชติช่วง ผู้อันสาวกแวดล้อม เปรียบดังพระจันทร์ที่
ประกอบด้วยดวงดาว ยังเทวดาและมนุษย์ให้เพลิดเพลิน ปานท้าว-
วาสวะผู้ยังฝนคือรัตนะให้ตกลง
เราพร้อมด้วยอำมาตย์ถวายบังคม
แล้ว เฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าทรง
ทราบอัธยาศัยของเรา ได้แสดงพระธรรมเทศนา เราฟังธรรมอัน
ปราศจากมลทินแล้ว ได้กราบทูลพระพิชิตมารว่า ข้าแต่พระมหา-
วีรเจ้า ขอได้โปรดให้พวกข้าพระองค์ได้บรรพชาเถิด พวกข้าพระองค์
เป็นผู้ลงสู่ภพแล้ว พระมหามุนีผู้สูงสุดตรัสว่า ท่านทั้งหลายจง
เป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านทั้งหลายจงประพฤติ
พรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์เถิด พร้อมกันกับพระพุทธดำรัส
เราทุกคนล้วนทรงเพศเป็นภิกษุ เราทั้งหลายอุปสมบทแล้ว เป็น
ภิกษุผู้โสดาบันในพระศาสนา ต่อแต่นั้น
พระผู้นำชั้นพิเศษได้
เสด็จเข้าพระเชตวันมหาวิหารแล้วทรงสั่งสอน เราอันพระพิชิตมาร
ทรงสั่งสอนแล้ว ได้บรรลุอรหัต ลำดับนั้น เราได้สั่งสอนภิกษุ
พันรูป แม้พวกเขาทำตามคำสอนของเรา ก็เป็นผู้ไม่มีอาสวะ
พระพิชิตมารทรงพอพระทัยในคุณข้อนั้น จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ ณ ท่ามกลางมหาชนว่าภิกษุกัปปินะเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุ กรรมที่ได้ทำไว้ในแสนกัป ได้แสดงผลให้เรา
ในครั้งนี้ เราพ้นจากกิเลส ดุจลูกศรที่พ้นจากแล่ง เราได้เผากิเลส
ของเราแล้ว เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาเราได้ทำ
เสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระมหากัปปินเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.
จบ มหากัปปินเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๓. มหากัปปินเถราปทาน
๕๓๓. อรรถกถามหากัปปินเถราปทาน
อปทานของท่านพระมหากัปปินเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตตโร นาม ชิโน ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้มากในภพนั้นๆ.
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุลในหังสวดีนคร บรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อกำลังฟังพระธรรมเทศนาในสำนักของพระศาสดา ได้มองเห็นภิกษุรูปหนึ่งที่พระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ให้โอวาทแล้ว ได้กระทำกรรมที่สูงยิ่งขึ้นไป แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น.
เขาได้กระทำกุศลกรรมไว้ในมนุษยโลกนั้น จนตลอดชีวิตแล้วท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้มาบังเกิดในเรือนของท่านหัวหน้าช่างหูกในหมู่บ้านช่างหูกแห่งหนึ่ง ในที่อันไม่ไกลจากกรุงสาวัตถีนัก.
ในคราวนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณ ๑,๐๐๐ องค์อยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ ๘ เดือน เวลาจะเข้าพรรษาก็มาอยู่ในชนบท ๔ เดือน.
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ครั้งแรกก็ลงมาในที่อันไม่ไกลจากกรุงพาราณสีแล้ว ส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ไปพบพระราชายังพระราชวัง ด้วยคำว่า พวกท่านจงขอหัตถกรรมเพื่อก่อสร้างเสนาสนะ ดังนี้.
ก็ในคราวนั้นได้มีพระราชพิธีวัปปมงคล (พืชมงคล) พระราชานั้นได้ทรงทราบว่า นัยว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมา จึงเสด็จออกมาถามถึงเหตุที่ท่านพากันมาแล้ว ตรัสว่า ท่านผู้เจริญ วันนี้ไม่มีโอกาส พรุ่งนี้เป็นพระราชพิธีวัปปมงคลของโยม วันที่ ๓ โยมจักทำกิจให้ดังนี้แล้ว ไม่นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เสด็จเข้าไปแล้ว.
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายพากันหลีกไปด้วยกล่าวว่า พวกเราจักเข้าไปยังหมู่บ้านอื่น ดังนี้.
ในสมัยนั้น ภริยาของหัวหน้าช่างหูกเดินทางไปยังกรุงพาราณสีด้วยหน้าที่การงานบางอย่าง ได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นเข้า จึงเอ่ยถามว่า พระคุณเจ้ามาในกาลอันมิใช่เวลาเพื่อต้องการอะไร เจ้าคะ.
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นได้เล่าเรื่องแต่ต้นให้ฟังแล้ว.
หญิงผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาถึงพร้อมด้วยปัญญา พอได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงกราบเรียนนิมนต์ว่า ท่านเจ้าขา พรุ่งนี้นิมนต์รับภิกษาของพวกดิฉันนะเจ้าคะ.
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า โยมน้องหญิง พวกอาตมภาพมีด้วยกันมากองค์.
หญิงนั้นถามว่า มีกี่องค์พระคุณเจ้า.
พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า มีประมาณ ๑,๐๐๐ องค์น้องหญิง.
หญิงคนนั้นกราบเรียนว่า ท่านเจ้าขา ในหมู่บ้านของพวกดิฉันนี้ ก็มีคนอยู่ประมาณ ๑,๐๐๐ คนเช่นกัน คนคนหนึ่งจะถวายภิกษุแก่ภิกษุองค์หนึ่ง ขอนิมนต์ท่านจงรับภิกษาเถิด ดิฉันคนเดียวจักให้ช่างก่อสร้างที่อยู่สำหรับพระคุณเจ้าทั้งหลาย.
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายรับนิมนต์แล้ว.
หญิงคนนั้นเข้าไปยังหมู่บ้านโฆษณาป่าวร้องว่า แม่พ่อทั้งหลายเอย ฉันได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณ ๑,๐๐๐ องค์ได้นิมนต์ท่านไว้แล้ว พวกท่านจงช่วยกันตระเตรียมที่สำหรับพระคุณเจ้าทั้งหลายด้วย (และ) จงช่วยกันตระเตรียมข้าวยาคูและภัตรเป็นต้นด้วย ดังนี้แล้วให้คนช่วยกันก่อสร้างมณฑปในท่ามกลางหมู่บ้าน ให้ปูลาดอาสนะทั้งหลายไว้.
พอถึงวันรุ่งขึ้น จึงนิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายนั่งแล้ว อังคาสด้วยขาทนียะโภชนียะอันประณีต.
ในเวลาเสร็จภัตรกิจ ได้พาผู้หญิงทั้งหมดในหมู่บ้านนั้นมา ได้ไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พร้อมกับผู้หญิงเหล่านั้น นิมนต์ให้ท่านรับปฏิญญาเพื่ออยู่จำพรรษาตลอดไตรมาสแล้ว จึงได้ป่าวร้องในหมู่บ้านอีกว่า แม่และพ่อทั้งหลายบุรุษคนหนึ่งๆ จากตระกูลหนึ่งๆ (คัดเอาผู้ชายบ้านละคน) ให้ถือมีดและขวานเป็นต้น เข้าป่าไปนำทัพพสัมภาระมาแล้ว จงสร้างที่อยู่ถวายสำหรับพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายเถิด.
พวกชาวบ้านได้ฟังคำของนางนั้นแล้ว แต่ละคนก็สร้างบรรณศาลาคนละหลัง ทำงานก่อสร้างทั้งคืนทั้งวัน จนบรรณศาลา ๑,๐๐๐ หลังเสร็จเรียบร้อยแล้ว กราบเรียนพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ซึ่งเข้าไปอยู่ในบรรณศาลาของตนของตนว่า เราจักบำรุงท่านโดยความเคารพ เราจักบำรุงท่านโดยความเคารพแล้ว จึงได้พากันบำรุง.
พอถึงเวลาออกพรรษาแล้ว ภริยาหัวหน้าช่างหูกคนนั้น จึงกล่าวว่า พวกท่านจงตระเตรียมผ้าจีวรสาฎกถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อยู่จำพรรษาแล้วในบรรณศาลาของตนของตนเถิด แล้วช่วยตระเตรียมเสร็จแล้ว จึงได้ช่วยกันถวายผ้าจีวรมีค่า ๑,๐๐๐ แด่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ละ ๑ ผืน.
ออกพรรษาแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ทำอนุโมทนาแล้วก็หลีกไป.
แม้พวกชาวบ้านที่ทำบุญกรรมนี้แล้ว จุติจากอัตภาพนั้นได้ไปบังเกิดในดาวดึงสเทวโลก ได้เป็นผู้ชื่อว่า คณเทวดา.
เทวดาเหล่านั้นได้เสวยทิพยสมบัติในดาวดึงสเทวโลกนั้นแล้ว.
ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้พากันมาบังเกิดในบ้านเรือนของพวกกุฎุมพี หัวหน้าช่างหูกในกาลก่อน ได้มาเกิดเป็นลูกชายของหัวหน้ากุฎุมพี แม้ภริยาของหัวหน้าช่างหูกในกาลก่อน ก็ได้มาเกิดเป็นลูกสาวของหัวหน้ากุฎุมพีคนหนึ่ง.
พวกภริยาของช่างหูกที่เหลือในกาลก่อน ได้มาเกิดเป็นพวกลูกสาวของกุฎุมพีที่เหลือทั้งหลาย หญิงเหล่านั้นแม้ทั้งหมดเจริญวัยแล้ว เมื่อจะไปสู่ตระกูลอื่น (มีเหย้าเรือน) ต่างก็แยกกันไปยังเรือนของกุฎุมพีเหล่านั้น (ชาติก่อนเคยเป็นสามีภรรยากันอย่างใด แม้ชาตินี้ก็ได้มาเป็นสามีภรรยากันอย่างนั้นอีก).
ภายหลังวันหนึ่ง เมื่อมีการป่าวประกาศให้ไปฟังธรรมที่พระวิหาร พวกกุฎุมพีเหล่านั้นแม้ทั้งหมดได้ทราบว่า พระศาสดาจักทรงแสดงธรรม จึงได้พร้อมกับภริยาไปยังพระวิหารด้วยมุ่งหมายว่า พวกเราจักฟังธรรม.
ในขณะที่คนเหล่านั้นเข้าไปยังท่ามกลางพระวิหาร ฝนก็ตกลงมา พวกคนที่รู้จักมักคุ้นกับพระหรือมีญาติที่เป็นสามเณรเป็นต้น ต่างก็จะเข้าไปยังบริเวณเป็นต้นของพระและสามเณรที่คุ้นเคยเป็นญาติกันเหล่านั้น (เพื่อหลบฝน) แต่กุฎุมพีเหล่านั้นไม่อาจจะเข้าไปในที่แห่งใดแห่งหนึ่งได้เพราะไม่มีพระภิกษุสามเณรที่รู้จักหรือเป็นญาติเช่นนั้นเลย จึงได้ยืนอยู่ท่ามกลางพระวิหารเท่านั้น.
ต่อมา หัวหน้ากุฎุมพีเหล่านั้นกล่าวว่า ชาวเราเอ๋ย จงดูประการอันแปลกของพวกเราซิ ธรรมดาว่าพวกกุลบุตรควรจะเกี่ยวข้องกันได้ด้วยเหตุเพียงไร.
พวกกุฎุมพีจึงถามว่า พวกเราจะทำอย่างไรดีนาย พวกเราถึงซึ่งประการอันแปลกนี้ เพราะไม่มีที่อยู่สำหรับผู้คุ้นเคยกัน พวกเราทั้งหมดจักรวบรวมทรัพย์สร้างบริเวณ.
หัวหน้าจึงพูดว่า ดีละนาย แล้วได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง. คนที่เหลือได้ให้ทรัพย์คนละห้าร้อย พวกผู้หญิงได้ให้ทรัพย์คนละสองร้อยห้าสิบ กุฎุมพีเหล่านั้นนำทรัพย์นั้นมาแล้ว มอบให้ช่างสร้างเรือนยอดรายไป ๑,๐๐๐ หลัง ได้ชื่อว่าเป็นบริเวณกว้างขวางเพื่อเป็นที่ประทับสำหรับพระศาสดา เพราะค่าที่การก่อสร้างนั้นใหญ่ไปเมื่อทรัพย์ไม่เพียงพอ จึงได้ช่วยกันออกให้อีกครึ่งหนึ่งของจำนวนทรัพย์ที่ได้บริจาคให้แล้วในครั้งก่อน.
เมื่อบริเวณสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วก็ทำการฉลองพระวิหาร ได้ถวายมหาทานแต่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ตลอด ๗ วันแล้ว จัดแจงผ้าจีวรสำหรับภิกษุ ๒,๐๐๐ องค์.
ส่วนภริยาของหัวหน้ากุฎุมพี ดำรงอยู่ด้วยปัญญาของตนเองคิดว่า เราจักไม่ทำให้เสมอกับพวกเขา แต่จะทำให้ยิ่งไปกว่าพวกเขาคือจักบูชาพระศาสดา ดังนี้แล้วจึงถือเอาผอบบรรจุดอกอโนชาพร้อมกับผ้าสาฎกมีมูลค่า ๑,๐๐๐ ซึ่งมีสีดุจดอกอโนชาแล้ว เอาดอกอโนชาบูชาพระศาสดา วางผ้าสาฎกนั้นไว้ใกล้บาทมูลของพระศาสดา ได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้สรีระของข้าพระองค์จงมีสีคล้ายดอกอโนชา ในที่ที่ข้าพระองค์เกิดแล้วเกิดแล้วเถิด และจงมีชื่อว่าอโนชา ดังนี้เถิด.
พระศาสดาได้ทรงกระทำอนุโมทนาด้วยพระดำรัสว่า จงสำเร็จดังปรารถนาเถิด. คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมดดำรงอยู่จนตลอดอายุแล้ว จุติจากอัตภาพนั้นได้ไปบังเกิดในเทวโลก.
ในพุทธบาทกาลนี้ เทวดาเหล่านั้นจุติจากเทวโลกแล้ว ผู้เป็นหัวหน้ากุฎุมพีได้บังเกิดในราชตระกูลในกุกกุฏวดีนคร บรรลุนิติภาวะแล้วได้เป็นพระเจ้ามหากัปปินะ. คนที่เหลือได้ไปบังเกิดในตระกูลอำมาตย์ทั้งหมด.
ภริยาของหัวหน้ากุฎุมพีได้บังเกิดในราชตระกูล ในมัททรัฐสาคลนคร พระนางได้มีพระสรีระงามมีสีดุจดอกอโนชาทีเดียว ด้วยเหตุนั้น พระชนกพระชนนีจึงได้ทรงขนานพระนามของพระนางว่าอโนชา นั่นแล.
พระนางทรงเจริญวัยแล้ว ก็เสด็จไปยังพระราชวังของพระเจ้ามหากัปปินะ ได้มีพระนามปรากฏว่าอโนชาเทวี.
แม้พวกผู้หญิงที่เหลือก็ได้ไปบังเกิดในตระกูลพวกอำมาตย์เจริญวัยแล้ว ได้ไปสู่คฤหาสน์แห่งบุตรอำมาตย์เหล่านั้นแล. คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมดได้เสวยสมบัติเช่นกับสมบัติของพระราชา
ก็ในกาลใด พระเจ้าแผ่นดินทรงประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ เสด็จขึ้นหลังพญาช้างเที่ยวไป แม้ในกาลนั้น คนเหล่านั้นก็เที่ยวไปอย่างนั้นเหมือนกัน. เมื่อพระราชาพระองค์นั้นเสด็จเที่ยวไปด้วยม้าหรือด้วยรถ ถึงพวกอำมาตย์เหล่านั้นก็เที่ยวไปอย่างนั้นเหมือนกัน.
เพราะกำลังแห่งบุญเป็นอันมากที่ได้ทำไว้ร่วมกันอย่างนั้น พวกอำมาตย์เหล่านั้นจึงได้เสวยสมบัติอย่างเดียวกันกับพระราชาแล.
ก็พระราชามีม้า ๕ ตัวคือม้าชื่อว่าวาละ วาลวาหนะ ปุปผะ ปุปผวาหนะและม้าชื่อว่าสุปัตตะ.
ในบรรดาม้า ๕ ตัวเหล่านั้น พระราชาย่อมทรงม้าชื่อว่าสุปัตตะด้วยพระองค์เอง ส่วนม้าอีก ๔ ตัวนอกนี้ได้พระราชทานแก่พวกคนขี่ม้าทั้งหลายเพื่อใช้นำข่าวสารมา.
พระราชาให้พวกคนเหล่านั้นบริโภคแต่เช้าตรู่แล้ว ทรงส่งพวกเขาไปด้วยพระราชดำรัสว่า พนาย พวกเธอจงเที่ยวไปให้ถึงระยะทาง ๒ โยชน์หรือ ๓ โยชน์ แล้วสืบเสาะฟังว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมหรือว่าพระสงฆ์ อุบัติขึ้นแล้ว จงนำสารอันเป็นสุขมาบอกแก่เรา คนเหล่านั้นออกจากประตูทั้ง ๔ ทิศแล้ว เที่ยวไปได้ ๒-๓ โยชน์ ไม่ได้รับข่าวสารอะไรๆ เลย จึงกลับมา.
วันต่อมา พระราชาเสด็จขึ้นม้าสุปัตตะ ทรงมีอำมาตย์พันคนเป็นบริวาร กำลังเสด็จไปยังพระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นพวกพ่อค้าประมาณ ๕๐๐ คนผู้ซึ่งมีร่างกายอิดโรยเหนื่อยอ่อนกำลังเข้าไปยังพระนคร จึงทรงดำริว่า พวกพ่อค้าเหล่านี้อิดโรยเหนื่อยอ่อนเพราะเดินทางไกล เราจักได้ฟังข่าวสารอันเจริญอย่างหนึ่งจากสำนักของพวกพ่อค้าเหล่านี้เป็นแน่ จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้อำมาตย์ไปเรียกพวกพ่อค้าเหล่านั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า พวกเธอมาจากเมืองไหน.
พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นครหนึ่งนามว่าสาวัตถีมีอยู่ไกลจากที่นี้ไปอีก ๒๐๐ โยชน์ พวกข้าพระองค์มาจากพระนครนั้นพระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า มีข่าวสารอะไรเกิดขึ้นในประเทศถิ่นที่อยู่ของพวกเธอบ้างเล่า.
พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข่าวสารอะไรอย่างอื่นไม่มี นอกจากข่าวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นเท่านั้น พระเจ้าข้า.
ในขณะนั้นนั่นเอง พระราชาทรงมีพระสรีระอันปีติมีกำลังกระทบถูกแล้ว ไม่ทรงอาจจะกำหนดอะไรๆ ได้ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสถามอีกว่า พูดอะไรนะพ่อคุณ.
พวกพ่อค้าก็กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ ก็เหมือนครั้งแรกนั่นแล แล้วตรัสถามเป็นครั้งที่ ๔ ว่า พูดอะไรนะพ่อคุณ.
เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า พ่อค้า เพราะการที่ได้ฟังข่าวสารอันเป็นสุข เราจะให้ทรัพย์ ๑ แสนแก่พวกเธอ แล้วตรัสถามว่า ข่าวสารอะไรแม้ที่นอกเหนือไปกว่านี้ยังมีอีกไหมพ่อคุณ.
พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มีพระธรรมอุบัติขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับถ้อยคำแม้นั้นแล้ว ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งตลอด ๓ วาระเหมือนนัยก่อนนั่นแล. ในวาระที่ ๔ เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลว่า พระธรรมอุบัติขึ้นแล้ว ตรัสว่า แม้ในวาระนี้ เราก็จะให้ทรัพย์ ๑ แสนแก่พวกเธอแล้ว ตรัสถามว่า ข่าวสารอะไรแม้ที่นอกเหนือไปกว่านี้ ก็ยังมีอีกไหมพ่อคุณ.
พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มีพระสงฆ์อุบัติขึ้นแล้ว.
พระราชาทรงสดับถ้อยคำแม้นั้นแล้ว ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งตลอด ๓ วาระเหมือนอย่างครั้งก่อนนั้นแล. ในวาระที่ ๔ เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลว่า พระสงฆ์อุบัติขึ้นแล้ว ตรัสว่า แม้ในครั้งนี้เราจะให้ทรัพย์ ๑ แสนแก่พวกเธอ. แล้วทรงทอดพระเนตรดูอำมาตย์พันคน ตรัสถามว่า พ่อคุณ พวกเราจักทำอย่างไร.
พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์จักทำอย่างไร.
พระราชาตรัสว่า พ่อคุณ เราได้สดับว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว พระธรรมทรงอุบัติขึ้นแล้ว พระสงฆ์ทรงอุบัติขึ้นแล้ว เราจักไม่หวนกลับไปอีก เราจักไปบวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้าไปในสำนักของพระองค์.
พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ แม้พวกข้าพระองค์ก็จักบวชกับพระองค์.
พระราชาทรงให้พวกอาลักษณ์จารึกพระอักษรลงในพระสุพรรณบัฏพระราชทานแก่พวกพ่อค้าแล้วตรัสว่า พวกเธอจงมอบพระสุพรรณบัฏนี้แด่พระราชเทวีพระนามว่าอโนชา พระราชเทวีนั้นจักพระราชทานทรัพย์จำนวน ๓ แสนแก่พวกเธอ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเธอพึงกราบทูลกะพระราชเทวีนั้นว่า ทราบว่าพระราชาทรงมอบความเป็นใหญ่ถวายแด่พระองค์ ขอพระองค์จงเสวยสมบัติตามความสบายเถิด ก็ถ้าว่าพระนางตรัสถามว่า พระราชาของพวกท่านเสด็จไปที่ไหนเสีย พวกท่านพึงกราบทูลว่า พระราชาตรัสว่า เราจักบวชอุทิศพระศาสดา แล้วก็เสด็จไปแล้ว.
แม้พวกอำมาตย์ก็ส่งข่าวสารไปเพื่อภรรยาของตนของตนเหมือนอย่างนั้นเช่นกัน.
พระราชาทรงส่งพวกพ่อค้าไปแล้ว ก็เสด็จขึ้นม้า มีอำมาตย์พันคนติดตามแวดล้อม เสด็จออกไปในขณะนั้นเอง.
แม้พระศาสดา ในเวลาเช้ามืดวันนั้น ทรงตรวจดูสัตวโลก ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ามหากัปปินะพร้อมด้วยบริวาร ทรงพระดำริว่า พระเจ้ามหากัปปินะพระองค์นี้ได้ทรงทราบข่าวจากสำนักของพวกพ่อค้าว่า พระรัตนตรัยอุบัติขึ้นแล้ว จึงทรงเอาทรัพย์ ๓ แสน บูชาถ้อยคำของพวกพ่อค้าเหล่านั้นแล้ว ทรงละพระราชสมบัติ ทรงมีอำมาตย์พันคนแวดล้อมแล้ว ทรงมีพระประสงค์จะบวชอุทิศเรา พรุ่งนี้จักเสด็จออก พระราชาพระองค์นั้นพร้อมทั้งบริวารจักได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ เราจักกระทำการต้อนรับ ดังนี้.
ในวันรุ่งขึ้น เมื่อจะเสด็จไปต้อนรับพระราชาผู้ครอบครองบ้านเมืองเล็ก ซึ่งคล้ายกับว่าเสด็จไปต้อนรับพระเจ้าจักรพรรดิฉะนั้น พระองค์เองทรงถือบาตรและจีวร เสด็จไปต้อนรับสิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ทรงประทับนั่งเปล่งพระพุทธรัศมีมีวรรณะ ๖ ประการ ณ ควงไม้นิโครธ ใกล้กับฝั่งแม่น้ำจันทภาคา.
แม้พระราชาเสด็จมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ก็ตรัสถามว่า แม่น้ำสายนี้ชื่ออะไร.
พวกอำมาตย์ก็กราบทูลว่า แม่น้ำสายนี้ชื่อว่าปรัจฉา พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า พ่อคุณ แม่น้ำสายนี้มีขนาดประมาณเท่าไร. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า แม่น้ำสายนี้ลึก ๑ คาวุต กว้าง ๒ คาวุต พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า ก็ในที่นี้มีเรือหรือแพบ้างไหม. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ไม่มี พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า เมื่อเรามัวห่วงถึงพาหนะมีเรือเป็นต้น ชาติคือความเกิด ย่อมนำเข้าไปหาชราความแก่ และชราความแก่ย่อมนำเข้าไปหามรณะความตาย. เราเป็นผู้ไม่มีความสงสัย ออกเดินทางมาแล้วก็เพื่ออุทิศพระรัตนตรัย ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยนั้น ขอน้ำนี้จงอย่าได้เป็นเหมือนน้ำแก่เราเลย แล้วทรงระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ระลึกถึงพระพุทธคุณว่า อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดังนี้ พร้อมด้วยบริวารกับม้า ๑,๐๐๐ ตัว เสด็จไปบนหลังน้ำ. ม้าสินธพทั้งหลายวิ่งไปบนหลังน้ำคล้ายกับว่าวิ่งไปบนหลังแผ่นกินดาดฉะนั้น ม้าทุกตัวเปียกแค่ปลายกีบเท่านั้น.
พระราชาพระองค์นั้นทรงข้ามแม่น้ำนั้นแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปข้างหน้า ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำแม้อื่นอีก ตรัสถามว่า แม่น้ำสายนี้ชื่ออะไร. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ชื่อว่านีลวาหา พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า แม่น้ำสายนี้มีขนาดประมาณเท่าไร. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ทั้งส่วนลึกทั้งส่วนกว้างมีขนาดประมาณครึ่งโยชน์พระเจ้าข้า.
คำที่เหลือก็เป็นเช่นกับคำที่กล่าวมาแล้วในตอนแรกนั้นแล.
ก็พระราชาทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำนั้นแล้ว ก็ทรงอนุสรณ์ระลึกถึงพระธรรมคุณว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ดังนี้แล้วก็เสด็จไปได้ พอเสด็จพระราชดำเนินล่วงพ้นแม่น้ำนั้นไปแล้ว.
พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำอื่นอีกตรัสถามว่า แม่น้ำสายนี้ชื่ออะไร. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ชื่อว่าจันทภาคา พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า แม่น้ำสายนี้มีขนาดประมาณเท่าไร. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ทั้งส่วนลึกทั้งส่วนกว้างมีขนาดโยชน์หนึ่งพอดี พระเจ้าข้า.
คำที่เหลือก็เป็นเช่นกับคำที่กล่าวมาแล้วในตอนแรกนั้นแล.
ก็พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำนั้นแล้ว ก็ทรงอนุสรณ์ระลึกถึงพระสังฆคุณว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว ดังนี้แล้วเสด็จไปได้ พอเสด็จพระราชดำเนินล่วงพ้นแม่น้ำแม้นั้นไปได้.
พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรัศมีพรรณะ ๖ ประการแผ่ซ่านออกจากพระสรีระของพระศาสดา สว่างไสวรอดออกจากกิ่งค่าคบและใบของต้นนิโครธแล้ว ทรงพระดำริว่า แสงสว่างนี้มิใช่แสงสว่างของพระจันทร์ มิใช่แสงสว่างของพระอาทิตย์ มิใช่แสงสว่างของเทวดา มาร พรหม ครุฑและนาค อย่างใดอย่างหนึ่งเลย เราเดินทางมาเพื่ออุทิศพระศาสดา เห็นทีจักได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นแน่ ในบัดดลนั้นเองพระราชาองค์นั้นก็เสด็จลงจากหลังม้า น้อมพระสรีระเข้าไปเฝ้าพระศาสดาตามแนวแสงแห่งพระรัศมี ได้เสด็จเข้าไปภายในพระพุทธรัศมีดุจดำลงไปที่มโนศิลารส ฉะนั้น.
พระราชาองค์นั้นถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ก็ประทับนั่ง ณ สถานที่อันสมควรข้างหน้าพร้อมกับอำมาตย์พันคน.
พระศาสดาตรัสอนุปุพพีกถาแก่คนเหล่านั้น พอจบพระธรรมเทศนา พระราชาพร้อมกับบริวารก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
ลำดับนั้น ชนทั้งหมดลุกขึ้นแล้วทูลขอบวช พระศาสดาทรงใคร่ครวญว่า บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จักมาประสิทธิ์แก่กุลบุตรเหล่านี้หรือไม่หนอ ก็ทรงทราบว่า กุลบุตรเหล่านั้นได้เคยถวายจีวรพันผืนแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าพันองค์ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้ถวายจีวรสองหมื่นผืนแด่ภิกษุสองหมื่นองค์ การมาแห่งบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ จึงไม่เป็นเหตุอัศจรรย์แก่กุลบุตรเหล่านั้นเลย ดังนี้แล้ว ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด ในขณะนั้นนั่นเอง ภิกษุเหล่านั้นก็ได้ทรงบริวาร ๘ เป็นดังพระเถระมีพรรษาตั้ง ๖๐ พรรษาฉะนั้น เหาะขึ้นสู่เวหาสแล้ว ก็กลับลงมาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรด้านหนึ่ง.
ฝ่ายพวกพ่อค้าเหล่านั้นเดินทางไปยังกรุงราชคฤห์แล้ว กราบทูลข่าวสารที่พระราชาส่งไปถวายแด่พระราชเทวีให้ทรงทราบ เมื่อพระราชเทวีตรัสว่า จงเข้ามา จึงเข้าไปยืน ณ ที่สมควรด้านหนึ่ง. ทีนั้นพระราชเทวีจึงตรัสถามพวกพ่อค้าเหล่านั้นว่า พ่อคุณ เพราะเหตุไรจึงเดินทางมานี่. พวกพ่อค้าจึงกราบทูลว่า พระราชาทรงส่งพวกข้าพระพุทธเจ้ามาเฝ้าพระองค์ นัยว่า พระองค์จะพระราชทานทรัพย์ ๓ แสนแก่พวกข้าพระองค์. พระราชเทวีตรัสว่า พนาย! พวกท่านพูดมากไปแล้ว พวกท่านทำประโยชน์อะไรในสำนักของพระราชา พระราชาทรงเลื่อมใสในเรื่องอะไร จึงรับสั่งให้พระราชทานทรัพย์ถึงเพียงนี้แก่พวกท่าน. พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระราชเทวี พวกข้าพระองค์มิได้กระทำเรื่องอะไรอย่างอื่นเลย เพียงแค่แจ้งข่าวสารอย่างหนึ่งให้ทรงทราบเท่านั้น. พระราชเทวีตรัสถามว่า พ่อคุณอาจพอที่จะบอกข่าวสารนั้นแม้แก่เราบ้างได้หรือ.
พวกพ่อค้ากราบทูลว่า อาจ พระเจ้าข้า แล้วบ้วนปากด้วยสุวรรณภิงคาร กราบทูลว่า ข้าแต่พระราชเทวี พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก. แม้พระราชเทวีพระองค์นั้นพอได้สดับคำนั้นแล้ว เป็นผู้มีพระสรีระอันปีติถูกต้องแล้วไม่อาจจะกำหนดอะไรๆ ได้ถึง ๓ ครั้ง ในครั้งที่ ๔ ได้ทรงสดับว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว จึงตรัสว่า พ่อคุณในเพราะบทนี้ พระราชาทรงพระราชทานทรัพย์ให้พ่อเท่าไร.
พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ๑ แสนพระเจ้าข้า. พระราชเทวีตรัสว่า พ่อคุณ พระราชาพระราชทานทรัพย์ ๑ แสนแก่พวกท่าน เพราะได้สดับข่าวสารถึงขนาดนี้ นับว่าทรงกระทำไม่สมควรเลย เราจะให้ทรัพย์ ๓ แสน ในเพราะบรรณาการอันยากแค้นของเราแก่พวกท่าน พวกท่านได้กราบทูลเรื่องอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่.
พวกพ่อค้าเหล่านั้นกราบทูลถึงข่าวสาร ๒ อย่างแม้นอกนี้ให้ทรงทราบว่า เรื่องนี้และเรื่องนี้ พระราชเทวีไม่อาจจะกำหนดอะไรๆ ได้ตลอด ๓ วาระเหมือนกับนัยที่กล่าวแล้วในตอนแรกนั่นแล ทุกๆ ครั้ง ครั้งที่ ๔ ได้พระราชทานทรัพย์ครั้งละ ๓ แสน รวมความว่า พวกพ่อค้าเหล่านั้นได้รับทรัพย์ทั้งหมดไปถึง ๑๒ แสน.
ลำดับนั้น พระราชเทวีจึงตรัสถามพวกพ่อค้าเหล่านั้นว่า พ่อคุณ พระราชาเสด็จไปในที่ไหนเล่า. พวกพ่อค้าจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี พระราชาตรัสว่า เราจักบวชอุทิศพระศาสดาแล้วก็เสด็จไป. พระราชเทวีตรัสถามว่า ข่าวสารอะไรที่พระราชาพระองค์นั้นได้มอบแก่เรามีไหม. พวกพ่อค้ากราบทูลว่า นัยว่า ทรงสละมอบความเป็นใหญ่ทั้งหมดแด่พระองค์ นัยว่า พระองค์จงเสวยสมบัติตามความสุขสำราญเถิด. พระราชเทวีตรัสถามว่า พวกอำมาตย์ไปไหนเสียเล่า พ่อคุณ. พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระราชเทวี แม้พวกอำมาตย์เหล่านั้นก็พูดว่า พวกเราจักบวชกับพระราชาแล้วไปแล้ว.
พระราชเทวีพระองค์นั้นจึงรับสั่งเรียกหาพวกภรรยาของอำมาตย์เหล่านั้นมาแล้ว ตรัสว่า แม่คุณ สามีของพวกเจ้าสั่งไว้ว่า พวกเราจักบวชกับพระราชา แล้วก็พากันไปแล้ว พวกเจ้าจักทำอะไร. พวกภรรยาของอำมาตย์เหล่านั้นจึงทูลถามว่า ข้าแต่พระราชเทวี ข่าวสารอะไรที่พวกสามีส่งฝากมาถึงพวกหม่อมฉัน. พระราชเทวีตรัสว่า ได้ทราบว่า พวกอำมาตย์เหล่านั้นได้สละมอบสมบัติของตนแก่พวกเธอ ได้ทราบว่า พวกเธอจงบริโภคสมบัติตามสบายเถิด.
พวกภรรยาของอำมาตย์เหล่านั้นกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระราชเทวี พวกเราจักกระทำอย่างไรดีเล่า. พระราชเทวีตรัสว่า เบื้องแรก พระราชาของพวกเราพระองค์นั้นดำรงอยู่ในหนทาง เอาทรัพย์ ๓ แสนบูชาพระรัตนตรัยแล้ว สละพระราชสมบัติที่คล้ายกับก้อนเขฬะออกไปได้ด้วยตั้งพระราชหฤทัยว่า เราจักบวช แม้เราได้สดับข่าวสารของพระรัตนตรัย ก็นำเอาทรัพย์ ๙ แสนบูชาพระรัตนตรัยนั้นแล้ว ก็ขึ้นชื่อว่าสมบัตินั้น มิใช่จะเป็นทุกข์แด่พระราชาอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมเป็นทุกข์แม้แก่เราเหมือนกัน ใครจักคุกเข่าลงที่พื้นดินแล้ว อ้าปากรับก้อนเขฬะที่พระราชาถ่มแล้วเล่า เราไม่มีความต้องการสมบัติ เราจักบวชอุทิศพระศาสดา.
พวกภรรยาของพวกอำมาตย์เหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระราชเทวี ถึงพวกข้าพระองค์ก็จักบวชพร้อมกับพระองค์. พระราชเทวีตรัสว่า ถ้าพวกเจ้าอาจสามารถ ก็นับว่าเป็นการดี. พวกภรรยาของพวกอำมาตย์เหล่านั้นกราบทูลว่า พวกข้าพระองค์อาจสามารถ พระเจ้าข้า. พระราชเทวีตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงมา แล้วรับสั่งให้ตระเตรียมรถพันคัน เสร็จแล้วก็เสด็จขึ้นรถ เสด็จออกไปพร้อมกับพวกภรรยาของอำมาตย์เหล่านั้น ในระหว่างทางได้ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำสายแรก ได้ตรัสถามเหมือนอย่างที่พระราชาตรัสถามครั้งแรกเช่นกัน ได้ทรงสดับความเป็นไปทั้งหมดแล้ว จึงตรัสว่า พวกเธอจงแลดูหนทางที่พระราชาเสด็จไปแล้วซิ.
เมื่อพวกภรรยาของอำมาตย์เหล่านั้นกราบทูลว่า พวกหม่อมฉันมองไม่เห็นรอยเท้าของม้าสินธพเลย แล้วตรัสว่า พระราชาทรงกระทำสัจกิริยาว่า เราเป็นผู้ออกไปเพื่ออุทิศพระรัตนตรัยแล้ว ทรงระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยจึงจักเสด็จไปแล้ว แม้เราออกมาก็เพื่ออุทิศพระรัตนตรัย ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัย ขอน้ำนี้จงอย่าเป็นดุจน้ำแก่เราเลย ดังนี้ ทรงอนุสรณ์ถึงคุณของพระรัตนตรัย รถพันคันก็แล่นไปได้ แม่น้ำได้เป็นเช่นกับแผ่นหินดาด. รถทุกคันเปียกเพียงแค่ขอบล้อเท่านั้นแล แม่น้ำอีก ๒ สายนอกนี้พระนางและทุกคนก็ได้ข้ามไปแล้วด้วยอุบายวิธีนี้นั่นแล.
พระศาสดาได้ทรงทราบว่าหญิงเหล่านั้นมาแล้ว จึงทรงอธิษฐานโดยประการที่พวกภิกษุผู้เป็นสามีซึ่งนั่งอยู่แล้วในสำนักของพระองค์ให้มองไม่เห็นหญิงเหล่านั้น แม้พระราชเทวีกำลังเสด็จมา ได้ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีซึ่งแผ่ซ่านออกจากพระสรีระของพระศาสดาแล้ว ก็ได้ทรงจินตนาการเช่นเดียวกับพระเจ้ามหากัปปิยนะเหมือนกัน แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมประทับยืนอยู่ สถานที่อันสมควรข้างหนึ่งแล้วทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้ามหากัปปินะเสด็จออกเพื่ออุทิศพระองค์ (บัดนี้) พระเจ้ามหากัปปินะพระองค์นั้นประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ขอพระองค์จงแสดงพระราชาพระองค์นั้นให้ปรากฏแก่พวกหม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า เชิญพวกเธอนั่งก่อนเถอะ พวกเธอจักได้พบเห็นพระราชาพระองค์นั้นในที่นี้แหละ. หญิงเหล่านั้นแม้ทั้งหมดร่าเริงดีใจพูดกันว่า นัยว่า พวกเรานั่งแล้วในที่นี้แหละจักได้พบเห็นพวกสามีของพวกเราแน่ ดังนี้จึงนั่งแล้ว. พระศาสดาได้ตรัสแสดงอนุปุพพีกถา (แก่หญิงทั้งหมด) ในเวลาจบเทศนา พระนางอโนชาเทวีก็บรรลุโสดาปัตติผลพร้อมกับหญิงเหล่านั้น พระมหากัปปินะเถระพร้อมด้วยพระบริวาร ได้สดับพระธรรมเทศนาที่พระศาสดาทรงแสดงแก่หญิงเหล่านั้นแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔.
ในขณะนั้น พระศาสดาได้ทรงแสดงให้หญิงเหล่านั้นเห็นภิกษุเหล่านั้นได้ ก็ในขณะที่หญิงเหล่านั้นมาถึงแล้ว ได้เห็นพวกสามีของตนซึ่งทรงผ้ากาสาวะ มีศีรษะโล้นเข้า จิตก็จะไม่พึงมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ จะไม่พึงอาจเพื่อที่จะทำมรรคและผลให้บังเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เวลาที่พวกเธอมีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว พระศาสดาจึงทรงแสดงภิกษุเหล่านั้นผู้ได้บรรลุพระอรหัตแล้วแก่หญิงเหล่านั้น แม้หญิงเหล่านั้นได้เห็นภิกษุเหล่านั้นแล้ว ก็ได้กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วเรียนว่า ท่านผู้เจริญ กิจแห่งบรรพชิตของท่านถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นแล้วถวายบังคมพระศาสดา ยืน ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลขอบรรพชา.
ในขณะที่หญิงเหล่านั้นกล่าวคำขอบรรพชาอย่างนี้พระศาสดา ได้ทรงดำริถึงการมาของนางอุบลวรรณาเถรี ในบัดดลที่พระศาสดาทรงดำริแล้วเท่านั้น นางอุบลวรรณาเถรีนั้นก็มาโดยทางอากาศ รับเอาหญิงเหล่านั้นทั้งหมดนำไปยังสำนักภิกษุณีโดยทางอากาศแล้ว จึงให้บรรพชา ไม่นานเท่าไรนัก หญิงเหล่านั้นทั้งหมดก็ได้บรรลุพระอรหัต พระศาสดาได้ทรงพาภิกษุพันรูปไปยังพระเชตวันวิหารโดยทางอากาศ.
สดับมาว่า ณ ที่พระเชตวันนั้น ท่านพระมหากัปปินะเที่ยวเปล่งอุทานว่า อโห สุขํ อโห สุขํ โอ้ สุขจริงหนอ โอ้ สุขจริงหนอ ในสถานที่ต่างๆ มีที่พักกลางคืนเป็นต้น ภิกษุทั้งหลายจึงได้กราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระมหากัปปิยนะเที่ยวเปล่งอุทานว่า โอ สุขจริงหนอ โอ สุขจริงหนอ ดังนี้ คงจะเปล่งอุทานปรารภถึงความสุขอันเกิดแต่พระราชสมบัติของตนกระมัง. พระศาสดารับสั่งให้เรียกพระมหากัปปินะนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า กัปปินะ ทราบว่า เธอเปล่งอุทานปรารภถึงความสุขอันเกิดแก่กามจริงหรือ. พระมหากัปปินะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่าข้าพระองค์เปล่งอุทานปรารภถึงความสุขนั้น หรือว่าข้าพระองค์เปล่งอุทานปรารภถึงความสุขอื่น.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราจะได้เปล่งอุทานปรารภถึงความสุขอันเกิดแก่กาม (หรือว่า) ความสุขอันเกิดแก่ราชสมบัติก็หามิได้ หากแต่ธรรมปีติย่อมบังเกิดขึ้นแก่บุตรของเราผู้ประพฤติธรรมอยู่เท่านั้น เธอปรารภถึงอมตมหานิพพานจึงได้เปล่งอุทานอย่างนั้น ดังนี้.
เมื่อจะทรงสืบต่ออนุสนธิแสดงธรรมจึงตรัสพระคาถาว่า.
ผู้มีปีติในธรรม มีใจผ่องใสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข
บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้าประกาศแล้ว
ในกาลทุกเมื่อ ดังนี้.
ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระกัปปินะได้แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายหรือเปล่า? พวกภิกษุกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระมหากัปปินะเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ประกอบอยู่ด้วยความสุขที่เป็นไปในทิฏฐธรรม ไม่ยอมให้แม้กระทั่งโอวาท.
พระศาสดาทรงมีรับสั่งให้เรียกพระเถระมาแล้ว ตรัสถามว่า กัปปินะ ทราบว่าเธอไม่ยอมให้แม้กระทั่งโอวาทแก่พวกภิกษุอันเตวาสิก จริงไหม? พระมหากัปปินะกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า พราหมณ์ เธออย่าได้กระทำอย่างนั้นเลย ตั้งแต่วันนี้ไปเธอจงแสดงธรรมแก่พวกภิกษุที่เข้ามาหาแล้ว.
พระเถระทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้าว่า สาธุ ดีละ พระเจ้าข้า ดังนี้แล้วจึงโอวาทให้สมณะพันรูป ดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วยการโอวาทเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงสถาปนาพระสาวกของพระองค์ไว้ตามลำดับ จึงได้ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระมหากัปปินะเป็นผู้เลิศกว่าสาวกทั้งหลายของเราผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุแล.
พระเถระได้บรรลุพระอรหัตผลแล้วอย่างนี้ ระลึกถึงบุรพกรรมของตนได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่คนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.
บทว่า อุทิโต อชฏากาเส ได้แก่ ผุดขึ้น ตั้งขึ้น ปรากฏในอากาศทั้งสิ้น. อธิบายว่า คล้ายพระอาทิตย์ปรากฏกลางอากาศในฤดูสรทกาล ฉะนั้น.
บทว่า อกฺขทสฺโส ตทา อาสึ ความว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระนั้น เราได้เป็นผู้มีปกติเห็นสาระ คือเป็นผู้มีปกติเห็นประโยชน์ (เป็นผู้พิพากษาชี้ขาด) ได้ปรากฏเป็นอาจารย์.
บทว่า สาวกสสฺ กตาวิโน เชื่อมความว่า ได้ฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นซึ่งกำลังทรงประกาศคุณของพระสาวกผู้กล่าวสอนภิกษุ คือทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศ ได้แก่ทรงประกอบไว้ในหน้าที่ที่เป็นไปติดต่อกัน ทรงยังใจของเราให้ร่าเริงยินดี.
บทว่า หํสสมภาโค ได้แก่ มีส่วนเสมอกับหงส์.
บทว่า หํสทุนฺทุภินิสฺสโน เชื่อมความว่า มีพระสุรเสียงดุจหงส์ คือมีพระดำรัสคล้ายกับเสียงมโหระทึกและกลองเภรี ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูมหาอำมาตย์ผู้นี้เถิด.
บทว่า สมุคฺคตตนูรุหํ ความว่า มีขนลุกขึ้นชูชันด้วยดี หรือว่ามีใจฟูขึ้น (ด้วยปีติ).
บทว่า ชีมูตวณฺณํ ความว่า มีวรรณะเสมอด้วยแก้วมุกดา คือมีรัศมีแผ่ซ่านออกจากสรีระงดงาม.
บทว่า ปิณํสํ แปลว่า มีพระอังสาบริบูรณ์.
บทว่า ปสนฺนนยนานนํ ความว่า มีนัยน์ตาและใบหน้าผ่องใส.
บทว่า กตาวิโน เชื่อมความว่า มหาอำมาตย์นี้นั้นปรารถนาตำแหน่งของภิกษุผู้บำเพ็ญกุศลมาแล้ว ดำรงอยู่ในตำแหน่งอันเลิศเพราะเขามีความพลอยยินดี คือมีใจร่าเริง.
บทว่า สตโส อนุสาสิยา ความว่า พร่ำสอนด้วยอำนาจถ้อยคำอันเป็นธรรมสม่ำเสมอเป็นเหตุ.
บทว่า พาราณสิยมาสนฺเน ได้แก่ ในหมู่บ้านช่างหูกใกล้พระนครพาราณสี.
บทว่า ชาโต เกนิยชาติยํ ความว่า เกิดในตระกูลช่างทอผ้า คือในตระกูลช่างหูก.
คำที่เหลือมีเนื้อความพอที่จะกำหนดได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถามหากัปปินเถราปทาน


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น