![]() |
|
ส่วนเราเกิดเป็นโอรสของเจ้าศากยะในพระ
นครกบิลพัสดุ์ ในคราวที่พระศาสดาผู้นายกของโลก อันพระอุทายี
เถระเชิญเสด็จมาถึงพระนครกบิลพัสดุ์ เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เจ้า
ศากยะ ครั้งนั้น พวกเจ้าศากยะมีมานะจัด ไม่รู้จักคุณของพระพุทธเจ้า
เป็นคนกระด้างเพราะชาติ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่นอบน้อมพระสัมพุทธเจ้า
พระพิชิตมารผู้เป็นมุนี ทรงทราบความดำริของเจ้าศากยะเหล่านั้น จึง
ได้เสด็จจงกรมในอากาศยังธุลีพระบาทให้ตกลง เหมือนเมฆยังฝน
ให้ตกโพลงแล้วเหมือนเปลวไฟลุกโพลงอยู่ ฉะนั้น ทรงแสดงพระรูป
ที่ไม่กระสับกระส่าย แล้วทรงหายไปเสียอีก แม้พระองค์เดียวก็เป็น
มากองค์ได้ แล้วกลับเป็นพระองค์เดียวอีก ทรงแสดงความมืดและ
แสงสว่าง
ทรงทำพระปาฏิหาริย์มากมาย ทรงปราบพวกพระญาติให้
หมดมานะ ขณะนั้นเอง มหาเมฆอันตั้งขึ้นในทวีปทั้ง ๔ ยังฝนให้ตก
ลงแล้ว ก็ในครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทสนาเวสสันดรชาดก
คราวนั้น กษัตริย์เหล่านั้นทุกๆ พระองค์ กำจัดความเมาอันเกิดจาก
ชาติได้แล้ว ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ ในการนั้น พระเจ้าสุทโธท-
นะได้ตรัสว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน มีจักษุโดย
รอบ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ ที่หม่อมฉันถวายบังคมพระบาท
ทั้งสองของพระองค์ ก็ในครั้งพระองค์ประสูติ แผ่นดิน
ไหว หม่อมฉันก็ได้ถวายบังคม และครั้งที่เงาไม้หว้าไม่
เอนเอียง หม่อมฉันก็ถวายบังคมพระองค์ฯ.
ครั้งนั้น เราเห็นพุทธานุภาพนั้นแล้ว เป็นผู้อัศจรรย์ใจจึงได้บรรพชา
เป็นคนบูชามารดา จึงได้อาศัยอยู่ในพระนครกบิลพัสดุ์นั่นเอง ครั้งนั้น
จันทเทพบุตรได้เข้ามาหาเราแล้ว ถามถึงนัยแห่งผู้มีราตรีเดียวเจริญ
ทั้งย่อและพิสดาร ครั้งนั้น เราอันจันทเทพบุตรตักเตือนแล้ว เข้าไป
เฝ้าพระศาสดาผู้นำของนรชน ได้สดับภัทเทกรัตตคาถา เป็นผู้สลดใจ
รักใคร่ป่า ได้บอกลามารดาว่า จักอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว เมื่อถูกมารดา
ห้ามปรามว่า ท่านเป็นคนละเอียดอ่อน เราได้ตอบว่า เราจักทำหญ้าคา
หญ้าเลา แฝก หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย ให้แหลกละเอียดทั้งหมด
ด้วยอก พอกพูนวิเวก ครั้งนั้น เราได้เข้าป่านึกถึงคำสอนของพระ
พิชิตมาร คือ ภัทเทกรัตโตวาทว่า ผู้มีปัญญาไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วง
ไปแล้ว
ไม่ควรหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึงสิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละ
ไปแล้ว และสิ่งใดที่ยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็ยังไม่ได้ไม่ถึง ก็บุคคลใด
เห็นแจ้งธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอน
แคลน บุคคลนั้นมารู้แจ้งธรรมนั้นแล้ว ควรเจริญธรรมนั้นไว้เนืองๆ
ความเพียรควรทำเสียในวันนี้แหละ เพราะใคร่เล่าจะพึงรู้ว่าความตาย
จะมีในวันพรุ่งนี้ การผัดเพี้ยนกับพระยามัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น
ย่อมไม่มีเลย มุนีผู้สงบระงับ ย่อมกล่าวสรรเสริญบุคคลผู้มีธรรมเป็น
เครื่องอยู่ มีความเพียรเผากิเลสไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลาง
คืนอย่างนี้นั้นแลว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญ ดังนี้แล้ว ได้บรรลุอรหัต เรา
เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระโลมสติยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โลมสติยเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๘. โลมสติยเถราปทาน
๕๔๘. อรรถกถาโลมกังคิยเถราปทาน๑-
๑- บาลีว่า โลมสติยเถราปทาน.
พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
อปทานของท่านพระโลมสกังคิยเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิมมฺหิ ภทฺทเก กปฺเป ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ.
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ได้มีศรัทธาเลื่อมใสแล้ว. อีกคนหนึ่งชื่อว่า จันทนะ ได้เป็นสหายของเขา. พวกเขาทั้งสองคนได้ฟังพระธรรมเทศนาในสำนักของพระศาสดาแล้วมีใจเลื่อมใส บวชแล้วได้รักษาศีลจนตลอดชีวิต ได้เสวยทิพยสุขจนตลอดพุทธันดรหนึ่งแล้ว.
ทั้งสองคนนั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ คนหนึ่งได้มาบังเกิดในตระกูลสักยะ อีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่าจันทนะ ได้บังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในภพดาวดึงส์.
ลำดับนั้น ท่านได้มองเห็นอิทธิปาฏิหาริย์ฝนโบกขรณีพรรษที่พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระกาฬุทายีผู้เลื่อมใสในสักยตระกูล กราบทูลให้ทรงยินดีแล้ว ทรงกระทำการข่มมานะของพวกเจ้าสักยะ แสดงพระธรรมคือเวสสันดรชาดกแล้วมีใจเลื่อมใสบวชแล้ว ได้ฟังพระธรรมเทศนาภัทเทกรัตตสูตรที่ตรัสไว้แล้วในมัชฌิมนิกาย อยู่ในป่า อนุสรณ์ถึงเทศนาคำสั่งสอนในภัทเทกรัตตสูตรแล้ว ส่งญาณไปตามลำดับของเทศนานั้น ตั้งใจบำเพ็ญกัมมัฏฐาน ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.
ครั้นท่านได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตนเกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิมมฺหิ ภทฺทเก กปฺเป ดังนี้.
คำว่า กัป ในคำว่า กปฺเป นั้นมี ๔ อย่างเท่านั้นคือ สารกัป วรกัป มัณฑกัปและภัททกัป.
ในบรรดากัปทั้ง ๔ อย่างนั้น พระพุทธเจ้าองค์เดียวทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่าสารกัป.
พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์หรือ ๓ พระองค์ ทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่าวรกัป.
พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่ามัณฑกัป.
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่าภัททกัป.
แต่ในที่อื่นท่านกล่าวกัปไว้ ๕ อย่าง อย่างนี้คือ :-
กัปมี ๕ อย่างคือ สารกัป มัณฑกัป สารมัณฑกัป
วรกัปและภัททกัป. พระผู้นำโลกย่อมทรงอุบัติขึ้น
ในบรรดากัปทั้ง ๕ อย่างเหล่านี้ตามลำดับคือ :-
พระพุทธเจ้า ๑ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในสารกัป
พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในมัณฑกัป
พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในสารมัณฑกัป
พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในวรกัป
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในภัททกัป.
บรรดาบทเหล่านั้น กัปนี้ได้มีชื่อว่าภัททกัป เพราะประดับไปด้วยพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้าและพระเมตเตยยพุทธเจ้า.
เชื่อมความว่า เพราะฉะนั้น พระกัสสปพุทธเจ้าผู้นำโลกทรงอุบัติขึ้นแล้วในภัททกัปนี้.
คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาโลมสกังคิยเถราปทาน


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น