Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภัททิย.วรรค แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภัททิย.วรรค แสดงบทความทั้งหมด

19 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน จูฬสุคันธเถราปทานที่ ๑๐ ว่าด้วยบุพจริยาของพระจูฬสุคันธเถระ

 [๑๔๐] ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากัสสปผู้เป็นพงศ์พันธุ์พรหม ทรงพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย ได้เสด็จอุบัติขึ้น แล้ว พระองค์สมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะ มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ มีพระรัศมีล้อมรอบข้างละวา ประกอบด้วยข่ายรัศมี ทรงยังสัตว์ให้ยินดีได้เหมือนพระจันทร์ แผดแสงเหมือนพระ อาทิตย์ ทำให้เยือกเย็นเหมือนเมฆ เป็นบ่อเกิดแห่งคุณเหมือน สาคร มีศีลเหมือนแผ่นดิน มีสมาธิเหมือนขุนเขาหิมวันต์ มี ปัญญาเหมือนอากาศ ไม่ข้องเหมือนกับลม 
  
 ครั้งนั้น เราเกิดใน สกุลใหญ่ มีทรัพย์และธัญญาหารมากมาย เป็นที่สั่งสมแห่งรัตนะ ต่างๆ ในพระนครพาราณสี เราได้เข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้เป็นนายก ของโลก ซึ่งประทับนั่งอยู่กับบริวารมากมาย ได้สดับอมตธรรมอัน นำมาซึ่งความยินดีแห่งจิต พระพุทธองค์ทรงพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีนักษัตฤกษ์ดีเหมือนพระจันทร์ ทรงสมบูรณ์ด้วย อนุพยัญชนะ บานเหมือนต้นพญารัง
 อันข่ายคือพระรัศมีแวดวง มีพระรัศมีรุ่งเรือง เหมือนภูเขาทอง มีพระรัศมีล้อมรอบด้านละวา มีรัศมีนับด้วยร้อยเหมือนอาทิตย์ มีพระพักตร์เหมือนทองคำ เป็นพระพิชิตมารผู้ประเสริฐ เป็นเหมือนภูเขาอันให้เกิดความยินดี มีพระหฤทัยเต็มด้วยพระกรุณา มีพระคุณปานดังสาคร มีพระเกียรติ ปรากฏแก่โลก เหมือนเขาสิเนรุซึ่งเป็นภูเขาสูงสุด มีพระยศ เป็นที่ปลื้มใจ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเช่นเดียวกับอากาศ เป็น นักปราชญ์ มีพระทัยไม่ข้องในที่ทั้งปวงเหมือนลม เป็นผู้นำ เป็น ที่พึ่งของสรรพสัตว์เหนือแผ่นดิน เป็นมุนีผู้สูงสุด อันโลกไม่เข้า ไปฉาบทาได้เหมือนปทุมน้ำไม่ติด ฉะนั้น เป็นผู้เช่นกับกองไฟเผา หญ้าคือวาทะลวงโลก
 พระองค์เป็นเสมือนยาบำบัดโรค ทำให้ยา พิษคือกิเลสพินาศ ประดับด้วยกลิ่นคือคุณเหมือนภูเขาคันธมาทน์ เป็นนักปราชญ์ที่เป็นบ่อเกิดของคุณ ดุจดังสาครเป็นบ่อเกิดแห่ง รัตนะทั้งหลาย ฉะนั้น และเป็นเหมือนม้าสินธพอาชาไนย เป็นผู้ นำไปซึ่งมลทินคือกิเลส ทรงย่ำยีมารและเสนามารเสียได้ เหมือน นายทหารใหญ่ผู้มีชัยโดยพิเศษ ทรงเป็นใหญ่เพราะรัตนะคือ โพชฌงค์เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงเป็นผู้เยียวยาพยาธิ คือ โทสะเหมือนกับหมอใหญ่ ทรงเป็นหมอผ่าฝีคือทิฏฐิ เหมือน ศัลยแพทย์ผู้ประเสริฐสุด
 ครั้งนั้น พระองค์ทรงส่องโลกให้โชติช่วง อันมนุษย์และทวยเทพสักการะ เป็นดังพระอาทิตย์ส่องแสงสว่าง ให้แก่นรชน ทรงแสดงพระธรรมเทสนาในบริษัททั้งหลาย พระ- องค์ทรงพร่ำสอนอย่างนี้ว่า บุคคลจะมีโภคทรัพย์มากได้เพราะให้ ทาน จะเข้าถึงสุคติก็เพราะศีล จะดับกิเลสได้เพราะภาวนา ดังนี้ บริษัททั้งหลายฟังเทศนานั้น อันให้เกิดความแช่มชื่นมากไพเราะ ทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด มีรสใหญ่ ประหนึ่งน้ำอมฤต เราได้ สดับพระธรรมเทศนาอันไพเราะดี ก็เลื่อมใสในพระศาสนาของพระ พิชิตมาร จึงถึงพระสุคตเจ้าเป็นสรณะ นอบน้อมตราบเท่าสิ้นชีวิต ครั้งนั้น เรานั้นได้เอาของหอมมีชาติ ๔ ทาพื้นพระคันธกุฎีของพระมหามุนีเดือนหนึ่ง ๘ วัน โดยตั้งปณิธานให้สรีระที่ปราศจากกลิ่น หอมให้มีกลิ่นหอม
 ครั้งนั้น พระพิชิตมารได้ตรัสพยากรณ์เราผู้อยาก ได้กายมีกลิ่นหอมว่านระใด เอาของหอมทาพื้นพระคันธกุฎีคราว เดียว ด้วยผลของกรรมนั้น นระนี้เกิดในชาติใดๆ จักเป็นผู้มีตัว หอมทุกชาติไป จักเป็นผู้เจริญด้วยกลิ่นคือคุณ จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ในภพสุดท้ายใน บัดนี้ เราเกิดในสกุลอันมั่งคั่ง เมื่อเรายังอยู่ในครรภ์มารดา มารดา เป็นหญิงมีกลิ่นตัวหอม และในเวลาที่เราคลอดจากครรภ์มารดานั้น พระนครสาวัตถีหอมฟุ้งเหมือนกับถูกอบด้วยกลิ่นหอมทุกอย่าง
 ขณะนั้นฝนดอกไม้อันหอมหวน กลิ่นทิพย์อันน่ารื่นรมย์ใจ และ ธูปมีค่ามาก หอมฟุ้งไป เราเกิดในเรือนหลังใด เรือนหลังนั้น เทวดาได้เอาธูปและดอกไม้ล้วนแต่มีกลิ่นหอม และเครื่องหอมมา อบ ก็ในเวลาที่เรายังเยาว์ ตั้งอยู่ในปฐมวัย พระศาสดาผู้เป็น สารถีฝึกนระ ทรงแนะนำบริษัทของพระองค์ที่เหลือแล้ว เสด็จมา ยังพระนครสาวัตถี พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นทั้งหมด ครั้ง นั้น เราได้พบพุทธานุภาพจึงออกบวช เราเจริญธรรม ๔ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุติอันยอดเยี่ยม แล้วบรรลุธรรม เป็นที่สิ้นอาสวะในคราวที่เราออกบวช ในคราวที่เราเป็นพระ อรหันต์ และในคราวที่เราจักนิพพาน ได้มีฝนมีกลิ่นหอมตกลงมา
 ก็กลิ่นสรีระอันประเสริฐสุดของเรา ครอบงำจันทน์อัน มีค่า ดอกจำปาและดอกอุบลเสีย และเราไปในที่ใดๆ ก็ย่อมจะข่มขี่กลิ่นเหล่านี้เสียโดยประการทั้งปวง ฟุ้งไป เช่นนั้นเหมือนกัน เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่อง ผูกดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่เราได้มายังสำนัก ของพระพุทธเจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ เราบรรลุ แล้วโดยลำดับ พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้ว
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระจูฬสุคันธเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ จูฬสุคันธเถราปทาน.
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
                   ๑. ลกุณฏกภัททิยเถราปทาน  ๒. กังขาเรวตเถราปทาน ๓. สีวลิเถราปทาน ๔. วังคีส- *เถราปทาน ๕. นันทกเถราปทาน  ๖. กาฬุทายีเถราปทาน ๗. อภยเถราปทาน ๘. โลมสติย- *เถราปทาน ๙. วนวัจฉเถราปทาน ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน และในวรรคนี้มีคาถา ๓๑๖ คาถา.
จบ ภัททิยวรรคที่ ๕๕
รวมวรรค
                   ๑. กณิการวรรค  ๒. ผลทายกวรรค  ๓. ติณทายกวรรค  ๔. กัจจายนวรรค  ๕. ภัททิยวรรค
                   บัณฑิตคำนวณคาถาไว้แผนกหนึ่ง รวมได้ ๙๘๔ คาถา และประกาศอปทานรวมได้ ๕๕๖ อปทาน พร้อมกับอุทานคาถา มีคาถารวม ๖๒๑๘ คาถา.
จบ พุทธาปทาน ปัจเจกพุทธาปทาน และเถราปทานแต่เท่านี้
อรรถาธิบาย เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓.๑ ข้อ [๑๔๐].
๕๕. ภัททิยวรรค จูฬสุคันธเถราปทานที่ ๑๐
          เนื้อความในพระไตรปิฎก
          เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง.
                         ๑. ๕๕๐. อรรถกถาจูฬสุคันธเถราปทาน
                        ๒. ยสวรรคที่ ๕๖ ยสเถราปทานที่ ๑ (๕๕๑)
                        ๓. นทีกัสสปเถราปทานที่ ๒ (๕๕๒)
                          ๔. คยากัสสปเถราปทานที่ ๓ (๕๕๓)
                        ๕. กิมิลเถราปทานที่ ๔ (๕๕๔)
                          ๖. วัชชีปุตตเถราปทานที่ ๕ (๕๕๕)
                        ๗. อุตตรเถราปทานที่ ๖ (๕๕๖)
                        ๘. อปรอุตตรเถราปทาน ๗ (๕๕๗)
                          ๙. ภัททชิเถราปทานที่ ๘ (๕๕๘)
                        ๑๐. สิวกเถราปทานที่ ๙ (๕๕๙)
                         ๑๑. อุปวานเถราปทานที่ ๑๐ (๕๖๑)
                        ๑๒. รัฐปาลเถราปทานที่ ๑๑ (๕๖๑)

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน วนวัจฉเถราปทานที่ ๙ ว่าด้วยบุพจริยาของพระวนวัจฉเถระ

  
 [๑๓๙] ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของ พรหม ทรงพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย ได้เสด็จ อุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น เราบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
 ประพฤติพรหมจรรย์ตราบเท่าสิ้นชีวิต จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เพราะ กรรมที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์ นั้นแล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จุติจากนั้นแล้ว ได้เป็นนกพิราบ อยู่ในป่า ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ ยินดีในฌานทุกเมื่อ อาศัยอยู่ในป่า นั้น ท่านเป็นผู้มีจิตเมตตาประกอบด้วยกรุณา มีหน้าเบิกบานทุกเมื่อ วางเฉย มีความเพียรมาก ฉลาดในอัปปมัญญา มีความดำริปราศจาก นิวรณ์ มีอัธยาศัยใคร่ประโยชน์แก่สรรพสัตว์ โดยไม่นาน เราคุ้น เคยในพระสาวกของพระสุคตนั้น เมื่อเราเข้าไปจับอยู่แทบเท้าของ
 ท่านผู้อ่านนั่งอยู่ในอาศรม ณ ครั้งนั้น บางครั้งท่านก็ให้เหยื่อ บางครั้ง ท่านก็แสดงธรรมเทศนา ครั้งนั้น เราเข้าไปหาท่านผู้เป็นโอรสของ พระพิชิตมารด้วยความรักอันไพบูลย์ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไป สวรรค์ปานดังจากที่อยู่แล้วกลับไปเรือนของตัว ฉะนั้น เราจุติจาก สวรรค์แล้วเกิดในมนุษย์ด้วยบุญกรรม ได้ทิ้งเรือนออกบวชโดยมาก เราเป็นสมณะ ดาบส พราหมณ์ ปริพาชกอยู่ในป่ากว่าร้อยชาติ ก็ใน ภพสุดท้าย ในบัดนี้ เราหยั่งลงสู่ครรภ์ภรรยาของพราหมณ์วัจฉโคตร ในพระนครกบิลพัสดุ์ อันน่ารื่นรมย์ เมื่อเรายังอยู่ในครรภ์ มารดา ของเราแพ้ท้องในเวลาที่เราใกล้จะคลอด ท่านตัดสินใจที่จะอยู่ใน ป่า ต่อนั้น มารดาของเราได้คลอดเราภายในป่าอันน่ารื่นรมย์ เมื่อ เราออกจากครรภ์มารดา ชนทั้งหลายเอาผ้ากาสวะรับรองเราขณะนั้น
 พระสิทธัตถราชกุมารผู้เป็นธงชัยของศากยวงศ์ ก็ประสูติ เราเป็น สหายรักสนิทชิดชอบของพระองค์ เมื่อพระองค์ละยศอันไพบูลย์ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เพื่อสาระประโยชน์แก่สัตว์ แม้เราก็บวช แล้วเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ เราพบท่านพระกัสสปผู้อยู่ป่าน่าสรรเสริญ บอกกล่าวธุดงค์ จึงได้สดับข่าวว่า พระพิชิตมารเสด็จอุบัติขึ้น แล้วก็ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นสารถีฝึกนระ พระองค์ได้ทรง แสดงพระธรรมเทศนา ประกาศประโยชน์ทุกประการแก่เรา ต่อนั้น เราก็ได้บวชแล้วเข้าไปป่าตามเดิม เมื่อเราอยู่ในป่านั้น เป็นผู้ไม่ ประมาทก็ได้เห็นอภิญญา ๖ โอ เราเป็นผู้มีลาภอันได้ดีแล้ว เป็น ผู้อันพระศาสดาผู้เป็นกัลยาณมิตรทรงอนุเคราะห์แล้ว เราเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้วดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระวนวัจฉเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ วนวัจฉเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๙. วนวัจฉเถราปทาน
         ๕๔๙. อรรถกถาวนวัจฉเถราปทาน
         พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :- 
         อปทานของท่านพระวนวัจฉเถระมีคำเริ่มต้นว่า อิมมฺหิ ภทฺทเก กปฺเป ดังนี้. 
         แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ท่านได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล บรรลุนิติภาวะแล้ว ได้สดับพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เกิดศรัทธาบวชแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ได้อย่างบริสุทธิ์ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปบังเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้นไปบังเกิดในกำเนิดนกพิราบ อยู่ใกล้พวกภิกษุผู้อยู่ในป่า. 
         เขามีเมตตาจิตในหมู่ภิกษุเหล่านั้น ได้ฟังธรรมจุติจากอัตภาพนั้น ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก. 
         ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงกบิลพัสดุ์. 
         ในเวลาที่เขาอยู่ในท้องของมารดานั่นแลหะ มารดาได้เกิดการแพ้ท้อง เพื่อจะอยู่ใบป่า และเพื่อคลอดในป่า. การออกจากครรภ์ได้มีแก่มารดาผู้อยู่ในป่า ตามอำนาจแห่งความปรารถนานั้นแล้ว. และพวกญาติได้เอาท่อนผ้ารับเขาผู้คลอดจากครรภ์แล้ว. 
         เวลานั้นเป็นเวลาที่พระโพธิสัตว์ก็ได้ทรงอุบัติขึ้นแล้ว. พระราชาทรงมีรับสั่งให้พวกคนนำเด็กนั้นมาแล้ว เลี้ยงไว้ร่วมกับพระโพธิสัตว์. 
         ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เสด็จออกสู่พระมหาภิเนษกรมณ์ ผนวชแล้ว ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาตลอดเวลา ๖ ปี เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว. นายวนวัจฉะนั้นไปหาพระมหากัสสปะเลื่อมใสแล้วในโอวาทของท่าน ได้ทราบจากสำนักของท่านว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว จึงไปเฝ้าพระศาสดา ได้ฟังธรรมแล้วจึงบวช ไม่นานนักก็ได้เป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยอภิญญา ๖. 
         ท่านบรรลุพระอรหัตแล้วระลึกถึงบุรพกรรมของตน ได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิมมฺหิ ภทฺทเก กปฺเป ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า พฺรหฺมพนฺธุ มหายโส นี้ได้แก่ เป็นพวกพร้องคือญาติของพวกพราหมณ์. 
         พึงทราบว่า ในเมื่อควรจะกล่าวว่า พฺราหฺมณพนฺธุ แต่ท่านได้กล่าวไว้ว่า พฺรหฺมพนฺธุ ก็เพื่อความสะดวกแก่การประพันธ์คาถา. 
         ชื่อว่า มหายโส เพราะมียศแผ่ปกคลุมไปในโลกทั้ง ๓. 
         คำที่เหลือทั้งหมดมีเนื้อความพอที่จะกำหนดได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาวนวัจฉเถราปทาน 

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน โลมสติยเถราปทานที่ ๘ ว่าด้วยบุพจริยาของพระโลมสติยเถระ

  
 [๑๓๘] ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัปผู้เป็น (เผ่าพันธุ์) พรหม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น เราและสหายชื่อจันทนะ ได้บรรพชาในพระศาสนา บำเพ็ญกิจ พระศาสนาที่ท้ายร้านตลาด จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เข้าถึงสวรรค์ชั้น ดุสิตทั้งสองคน ครอบงำเทพบุตรที่เหลือในดุสิตนั้น ด้วยการฟ้อน การขับ การประโคม และองค์ ๑๐ มีรูปเป็นต้นอันเป็นทิพย์ อยู่ เสวยมหันตสุขตราบเท่าสิ้นอายุ จุติจากดุสิตนั้นแล้ว จันทนเทพบุตร เข้าถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 
 ส่วนเราเกิดเป็นโอรสของเจ้าศากยะในพระ นครกบิลพัสดุ์ ในคราวที่พระศาสดาผู้นายกของโลก อันพระอุทายี เถระเชิญเสด็จมาถึงพระนครกบิลพัสดุ์ เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เจ้า ศากยะ ครั้งนั้น พวกเจ้าศากยะมีมานะจัด ไม่รู้จักคุณของพระพุทธเจ้า เป็นคนกระด้างเพราะชาติ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่นอบน้อมพระสัมพุทธเจ้า พระพิชิตมารผู้เป็นมุนี ทรงทราบความดำริของเจ้าศากยะเหล่านั้น จึง ได้เสด็จจงกรมในอากาศยังธุลีพระบาทให้ตกลง เหมือนเมฆยังฝน ให้ตกโพลงแล้วเหมือนเปลวไฟลุกโพลงอยู่ ฉะนั้น ทรงแสดงพระรูป ที่ไม่กระสับกระส่าย แล้วทรงหายไปเสียอีก แม้พระองค์เดียวก็เป็น มากองค์ได้ แล้วกลับเป็นพระองค์เดียวอีก ทรงแสดงความมืดและ แสงสว่าง
 ทรงทำพระปาฏิหาริย์มากมาย ทรงปราบพวกพระญาติให้ หมดมานะ ขณะนั้นเอง มหาเมฆอันตั้งขึ้นในทวีปทั้ง ๔ ยังฝนให้ตก ลงแล้ว ก็ในครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทสนาเวสสันดรชาดก คราวนั้น กษัตริย์เหล่านั้นทุกๆ พระองค์ กำจัดความเมาอันเกิดจาก ชาติได้แล้ว ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ ในการนั้น พระเจ้าสุทโธท- นะได้ตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน มีจักษุโดย รอบ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ ที่หม่อมฉันถวายบังคมพระบาท ทั้งสองของพระองค์ ก็ในครั้งพระองค์ประสูติ แผ่นดิน ไหว หม่อมฉันก็ได้ถวายบังคม และครั้งที่เงาไม้หว้าไม่ เอนเอียง หม่อมฉันก็ถวายบังคมพระองค์ฯ.
 ครั้งนั้น เราเห็นพุทธานุภาพนั้นแล้ว เป็นผู้อัศจรรย์ใจจึงได้บรรพชา เป็นคนบูชามารดา จึงได้อาศัยอยู่ในพระนครกบิลพัสดุ์นั่นเอง ครั้งนั้น จันทเทพบุตรได้เข้ามาหาเราแล้ว ถามถึงนัยแห่งผู้มีราตรีเดียวเจริญ ทั้งย่อและพิสดาร ครั้งนั้น เราอันจันทเทพบุตรตักเตือนแล้ว เข้าไป เฝ้าพระศาสดาผู้นำของนรชน ได้สดับภัทเทกรัตตคาถา เป็นผู้สลดใจ รักใคร่ป่า ได้บอกลามารดาว่า จักอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว เมื่อถูกมารดา ห้ามปรามว่า ท่านเป็นคนละเอียดอ่อน เราได้ตอบว่า เราจักทำหญ้าคา หญ้าเลา แฝก หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย ให้แหลกละเอียดทั้งหมด ด้วยอก พอกพูนวิเวก ครั้งนั้น เราได้เข้าป่านึกถึงคำสอนของพระ พิชิตมาร คือ ภัทเทกรัตโตวาทว่า ผู้มีปัญญาไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วง ไปแล้ว
 ไม่ควรหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึงสิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละ ไปแล้ว และสิ่งใดที่ยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็ยังไม่ได้ไม่ถึง ก็บุคคลใด เห็นแจ้งธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอน แคลน บุคคลนั้นมารู้แจ้งธรรมนั้นแล้ว ควรเจริญธรรมนั้นไว้เนืองๆ ความเพียรควรทำเสียในวันนี้แหละ เพราะใคร่เล่าจะพึงรู้ว่าความตาย จะมีในวันพรุ่งนี้ การผัดเพี้ยนกับพระยามัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีเลย มุนีผู้สงบระงับ ย่อมกล่าวสรรเสริญบุคคลผู้มีธรรมเป็น เครื่องอยู่ มีความเพียรเผากิเลสไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลาง คืนอย่างนี้นั้นแลว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญ ดังนี้แล้ว ได้บรรลุอรหัต เรา เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระโลมสติยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ โลมสติยเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๘. โลมสติยเถราปทาน
               ๕๔๘. อรรถกถาโลมกังคิยเถราปทาน๑-
               ๑- บาลีว่า โลมสติยเถราปทาน. 
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :- 
               อปทานของท่านพระโลมสกังคิยเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิมมฺหิ ภทฺทเก กปฺเป ดังนี้. 
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ได้มีศรัทธาเลื่อมใสแล้ว. อีกคนหนึ่งชื่อว่า จันทนะ ได้เป็นสหายของเขา. พวกเขาทั้งสองคนได้ฟังพระธรรมเทศนาในสำนักของพระศาสดาแล้วมีใจเลื่อมใส บวชแล้วได้รักษาศีลจนตลอดชีวิต ได้เสวยทิพยสุขจนตลอดพุทธันดรหนึ่งแล้ว. 
               ทั้งสองคนนั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ คนหนึ่งได้มาบังเกิดในตระกูลสักยะ อีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่าจันทนะ ได้บังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในภพดาวดึงส์. 
         ลำดับนั้น ท่านได้มองเห็นอิทธิปาฏิหาริย์ฝนโบกขรณีพรรษที่พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระกาฬุทายีผู้เลื่อมใสในสักยตระกูล กราบทูลให้ทรงยินดีแล้ว ทรงกระทำการข่มมานะของพวกเจ้าสักยะ แสดงพระธรรมคือเวสสันดรชาดกแล้วมีใจเลื่อมใสบวชแล้ว ได้ฟังพระธรรมเทศนาภัทเทกรัตตสูตรที่ตรัสไว้แล้วในมัชฌิมนิกาย อยู่ในป่า อนุสรณ์ถึงเทศนาคำสั่งสอนในภัทเทกรัตตสูตรแล้ว ส่งญาณไปตามลำดับของเทศนานั้น ตั้งใจบำเพ็ญกัมมัฏฐาน ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. 
               ครั้นท่านได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตนเกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิมมฺหิ ภทฺทเก กปฺเป ดังนี้. 
               คำว่า กัป ในคำว่า กปฺเป นั้นมี ๔ อย่างเท่านั้นคือ สารกัป วรกัป มัณฑกัปและภัททกัป. 
               ในบรรดากัปทั้ง ๔ อย่างนั้น พระพุทธเจ้าองค์เดียวทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่าสารกัป
               พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์หรือ ๓ พระองค์ ทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่าวรกัป
               พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่ามัณฑกัป
               พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่าภัททกัป. 
               แต่ในที่อื่นท่านกล่าวกัปไว้ ๕ อย่าง อย่างนี้คือ :- 
               กัปมี ๕ อย่างคือ สารกัป มัณฑกัป สารมัณฑกัป 
               วรกัปและภัททกัป. พระผู้นำโลกย่อมทรงอุบัติขึ้น 
               ในบรรดากัปทั้ง ๕ อย่างเหล่านี้ตามลำดับคือ :- 
               พระพุทธเจ้า ๑ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในสารกัป 
               พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในมัณฑกัป 
               พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในสารมัณฑกัป 
               พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในวรกัป 
               พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในภัททกัป. 
               บรรดาบทเหล่านั้น กัปนี้ได้มีชื่อว่าภัททกัป เพราะประดับไปด้วยพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้าและพระเมตเตยยพุทธเจ้า. 
               เชื่อมความว่า เพราะฉะนั้น พระกัสสปพุทธเจ้าผู้นำโลกทรงอุบัติขึ้นแล้วในภัททกัปนี้. 
               คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาโลมสกังคิยเถราปทาน

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน อภยเถราปทานที่ ๗ ว่าด้วยบุพจริยาของพระอภยเถระ

  
 [๑๓๗] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้รู้จบธรรมทั้งปวง เป็นพระ ผู้นำ พระนามว่าปทุมุตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระตถาคตเจ้ายัง บุคคลบางพวกให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ ยังบุคคลบางพวกให้ตั้งอยู่ใน ศีล คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ อันอุดม พระธีรเจ้าพระองค์นั้น ทรง ประทานสามัญผลอันอุดมแก่บุคคลบางคน ทรงหลั่งสมาบัติ ๘ และวิชชา ๓ แก่บุคคลบางคน
 พระโลกนาถผู้อุดมกว่านรชนพระองค์ นั้น ทรงประกอบสัตว์บางพวกไว้ในอภิญญา ทรงประทาน ปฏิสัมภิทา ๔ แก่บุคคลบางคน พระผู้เป็นสารถีฝึกนระ ทรงเห็น ประชาสัตว์ที่ควรจะนำไปให้ตรัสรู้ได้ แม้ในสถานที่นับโยชน์ไม่ ถ้วน ก็รีบเสด็จไปทรงแนะนำ
 ครั้งนั้น เราเป็นบุตรของพราหมณ์ ในพระนครหงสวดี เป็นผู้เรียนจบทุกเวท เข้าใจไวยากรณ์ ฉลาด ในนิรุติ แกล้วกล้าในคัมภีร์นิฆัณฑุ เข้าใจตัวบท รู้ชัดในคัมภีร์ เกฏุภะ ฉลาดในฉันท์และกาพย์กลอน เมื่อเที่ยวเดินพักผ่อน ได้ ไปถึงพระวิหารหังสาราม ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด อัน มหาชนแวดล้อม เรามีมติเป็นข้าศึกเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ปราศจาก กิเลสธุลี ซึ่งกำลังทรงแสดงธรรม ได้สดับพระดำรัสของพระองค์อัน ปราศจากมลทิน ไม่ได้พบเห็นพระดำรัสที่ไร้ประโยชน์ของพระมุนี นั้น คือ คำที่ชักมาผิด คำที่ต้องกล่าวซ้ำ หรือคำที่ไม่ถูกทาง เพราะฉะนั้น เราจึงได้บวช โดยเวลาไม่นานเลย เราก็เป็นผู้แกล้ว กล้าในธรรมทุกอย่าง ได้รับสมมติให้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ใน พระพุทธพจน์อันละเอียด
 ครั้งนั้น เราได้กรองคาถา ๔ คาถา ซึ่งมี พยัญชนะสละสลวย ชมเชยพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปราศจากความ กำหนัด มีความเพียรมาก ทรงอยู่ในสงสารที่มีภัย ไม่เสด็จนิพพาน ก็เพราะพระกรุณา ฉะนั้น พระมุนีเจ้าจึงชื่อว่าทรงประกอบด้วย พระกรุณา เพราะเหตุนั้น สัตว์ที่เป็นปุถุชนแต่ไม่ตกอยู่ในอำนาจ กิเลส มีสัมปชัญญะ ประกอบด้วยสติ บุคคลไม่ควรจะคิด กิเลส ที่มีกำลังทุรพล อันนอนเนื่องอยู่ในสันดานของเรา ถูกเผาด้วยไฟ คือญาณแล้วไม่สิ้นไป ข้อนั้นไม่เคยมีเลย
 ผู้ใดเป็นที่เคารพของ โลกทั้งปวง เป็นผู้เลิศลอยในโลก และเป็นอาจารย์ของโลก โลก ย่อมอนุวัตรตามผู้นั้น เราประกาศพระธรรมเทศนาสดุดีพระสัมพุทธเจ้า ด้วยคาถามีอาทิดังกล่าวมาตราบเท่าสิ้นชีวิต จุติจากอัตภาพนั้น แล้วได้ไปสวรรค์ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เรากล่าวสดุดีพระพุทธเจ้าใด เพราะการกล่าวสดุดีนั้น เราไม่รู้สึกทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการกล่าว สดุดี ครั้งนั้น เราได้เสวยราชสมบัติใหญ่อันเป็นทิพย์ในเทวโลก ได้ เสวยราชสมบัติใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิก็มากครั้ง เราเกิดแต่ใน สองภพ คือ ในเทวดาและมนุษย์ คติอื่นไม่รู้จัก นี้เป็นผลแห่งการ กล่าวสดุดี เราเกิดแต่ในสองตระกูล คือ สกุลกษัตริย์และสกุล พราหมณ์ หาเกิดในสกุลที่ต่ำทรามไม่
 นี้เป็นผลแห่งการกล่าวสดุดี ก็ในภพสุดท้าย ในบัดนี้ เราเป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสารในพระนครราชคฤห์อันอุดม มีนามว่าอภัย เราไปสู่อำนาจของปาปมิตร สมาคมกับนิครนถ์ อันนิครนถ์นาฏบุตรส่งไป จึงได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด เราทูลถามปัญหาอันละเอียดสุขุม ได้สดับการ พยากรณ์อย่างสูงแล้วจึงบวช ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัต เราเป็น ผู้กล่าวสดุดีพระชินวรเจ้าทุกเมื่อ เพราะกรรมนั้น เราจึงเป็นผู้มี ร่างกายและปากมีกลิ่นหอม เป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยความสุข เพราะ กรรมนั้นส่งผลให้ เราจึงเป็นคนมีปัญญากล้า มีปัญญาร่าเริง มี ปัญญาเบา มีปัญญามาก และปฏิภาณอันวิจิตร.
                        เราเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส กล่าวสดุดีพระสยัมภูผู้ไม่มีใคร เสมอเหมือน พระนามว่าปทุมุตระ เพราะผลของกรรม นั้น เราจึงไม่ไปอบายภูมิถึงแสนกัป. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้วดังนี้
                        ทราบว่า ท่านพระอภยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ อภยเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๗. อภยเถราปทาน
               ๕๔๗. อรรถกถาอภยเถราปทาน
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๗ ดังต่อไปนี้:- 
               อปทานของท่านพระอภยเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระชินวรพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในหังสวดีนคร. 
               ท่านได้เจริญวัยแล้ว เป็นผู้เล่าเรียนเจนจบเวทางคศาสตร์ เป็นผู้ฉลาดในลัทธิสมัยของตนและของผู้อื่น. วันหนึ่งได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว มีใจเลื่อมใส กล่าวชมพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาทั้งหลาย. 
               ท่านดำรงอยู่ในมนุษยโลกนั้นจนตลอดอายุ ได้ทำบุญทั้งหลายไว้ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปมาเฉพาะแต่ในสุคติภพเท่านั้น. 
               ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ในกรุงราชคฤห์ พระราชบิดาและพระราชมารดาได้ทรงขนานนามพระราชโอรสนั้นว่า อภยกุมาร
               พระราชกุมารนั้น พอได้เจริญวัยแล้ว ก็ได้เป็นผู้คุ้นเคยกับพวกนิครนถ์ท่องเที่ยวไปด้วยกัน. วันหนึ่งถูกนิครนถ์นาฏบุตรส่งไปเฝ้าพระศาสดาเพื่อยกวาทะขึ้นกล่าวแย้ง ได้ทูลถามปัญหาอันสุขุมละเอียด ได้ฟังคำพยากรณ์อันละเอียดแล้ว มีความเลื่อมใส บวชในสำนักพระศาสดา ได้ส่งญาณไปตามลำดับกัมมัฏฐานแล้ว ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต. 
               ท่านครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตนได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
               คำนั้นทั้งหมดมีเนื้อความพอจะกำหนดได้โดยง่ายเลยทีเดียวแล.
จบอรรถกถาอภยเถราปทาน

18 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน กาฬุทายีเถราปทานที่ ๖ ว่าด้วยบุพจริยาของพระกาฬุทายีเถระ

  
[๑๓๖] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ไป พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระผู้มี จักษุในธรรมทั้งปวง เป็นผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์เป็นครู ผู้ประเสริฐกว่าพวกผู้นำ เป็นพระพิชิตมารผู้เข้าใจสิ่งดีและสิ่งชั่ว แจ้งชัด และเป็นคนกตัญญูกตเวที ย่อมประกอบสัตว์ทั้งหลายเข้าใน อุบาย อันเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
 พระองค์ทรงรู้ธรรมทั้งปวง เป็น ที่อาศัยอยู่แห่งความเอ็นดู เป็นที่สั่งสมแห่งอนันตคุณ ทรงพิจารณา ด้วยพระญาณนั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ พระองค์เป็น ผู้มีความเพียรใหญ่ เจ้าปัญญา บางครั้ง ทรงแสดงธรรมไพเราะ ปฏิสังยุตด้วยสัจจะ ๔ แก่หมู่ชนไม่มีที่สุด สัตว์จำนวนแสนได้ บรรลุธรรม เพราะได้ฟังธรรมอันประเสริฐ อันงามในเบื้องต้น งามท่ามกลางและงามที่สุดนั้น
 ครั้งนั้น แผ่นดินสั่นสะเทือน เมฆ กระหึ่ม ทวยเทพ พรหม มนุษย์และอสูร ต่างก็แซ่ซ้องสาธุการ ว่าโอ พระศาสดาประกอบด้วยพระกรุณา โอ พระสัทธรรมเทศนา โอ พระพิชิตมารทรงฉุดหมู่สัตว์ที่จมลงในสมุทรคือภพขึ้นมาแล้ว เมื่อสัตว์พร้อมทั้งมนุษย์ เทวดาและพรหม เกิดความสังเวชเช่นนี้ แล้ว พระพิชิตมารได้ทรงสรรเสริญสาวกผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่าย ทำสกุลให้เลื่อมใส
 ครั้งนั้น เราเกิดในสกุลอำมาตย์ในพระนคร หงสวดี เป็นผู้นำมาซึ่งความเลื่อมใส น่าดู มีทรัพย์และธัญญาหาร เหลือล้น เราเข้าไปยังพระวิหารหังสาราม ถวายบังคมพระตถาคต พระองค์นั้น ได้สดับธรรมอันไพเราะ และทำสักการะแด่พระผู้คงที่ หมอบลงแทบบาทมูลแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมุนีผู้มีความเพียร ใหญ่ ภิกษุใดในศาสนาของพระองค์ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นเหมือนภิกษุนั้น ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเถิด
 ครั้งนั้น พระศาสดา ผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา เมื่อจะเอาน้ำอมฤตรดเรา ได้ตรัสกะ เราว่า ลุกขึ้นเถิดลูก ท่านจะได้ฐานันดรนี้สมมโนรถปรารถนา บุคคลทำสักการะในพระพิชิตมารแล้ว จะพึงเป็นผู้ปราศจากผล อย่างไรได้เล่า ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดามีพระนามชื่อว่า โคดม ผู้สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นใน โลก ท่านจักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็น โอรสอันธรรมเนรมิตร จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่า กาฬุทายี
 ครั้งนั้น เราได้สดับพระพุทธยากรณ์แล้ว เป็นผู้เบิกบาน มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารซึ่งเป็นผู้นำชั้นพิเศษ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย ตราบเท่าสิ้นชีวิต เพราะวิบากของกรรมนั้น และเพราะตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ ก็ในภพสุดท้าย ในบัดนี้ เราเกิดในสกุลมหาอำมาตย์ ของพระเจ้า แผ่นดินพระนามว่าสุทโธทนะ ในพระนครกบิลพัสดุ์ อันรื่นรมย์
 ครั้งนั้น พระสิทธัตถราชกุมารผู้ประเสริฐกว่านรชน ได้ประสูติแล้ว ที่สวนลุมพินีอันรื่นรมย์ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่โลกทั้งมวล เราก็เกิดในวันเดียวกัน เติบโตมาพร้อมกันกับพระสิทธัตถราชกุมาร นั้นแหละ เป็นสหายรักใคร่ชอบใจของกัน คุ้นเคยกัน ฉลาดใน ทางนิติบัญญัติ พระสิทธัตถราชกุมารนั้น มีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ยับยั้งอยู่ ๖ พรรษา ก็ได้เป็นพระ พุทธเจ้าผู้นำชั้นพิเศษ พระพุทธองค์ทรงชำนะมารพร้อมทั้งเสนามาร ยังอาสวะให้สิ้นไป ข้ามห้วงอรรณพคือภพแล้ว เป็นพระพุทธเจ้า ในโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก เสด็จไปยังป่าอิสิปตนะ ทรงแนะนำ ภิกษุเบญจวัคคีย์
 ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคก็เสด็จไปๆ ในที่นั้นๆ แล้วทรงแนะนำเวไนยสัตว์ พระพิชิตมารพระองค์นั้น ทรงแนะนำ เวไนยสัตว์ ทรงสงเคราะห์มนุษย์พร้อมทั้งทวยเทพ ได้เสด็จไปถึง ภูเขาในแคว้นมคธแล้ว ประทับอยู่ในคราวครั้งนั้น
 ครั้งนั้น เราอัน พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่า สุทโธทนะทรงส่งไป ได้ไปเฝ้าพระทศพล บวชแล้ว ได้เป็นพระอรหันต์ ครั้งนั้น เราทูลอ้อนวอนพระศาสดา ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ให้เสด็จไปนครกบิลพัสดุ์ ต่อจากนั้น เราได้ล่วงหน้าไปก่อน ทำสกุลใหญ่ๆ ให้เลื่อมใส พระพิชิตมารผู้ ประเสริฐกว่าบุรุษ ทรงพอพระทัยในคุณข้อนั้นของเรา จึงได้ทรง แต่งตั้งเราไว้ว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายที่ทำสกุลให้เลื่อมใส เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระกาฬุทายีเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ กาฬุทายีเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๖. กาฬุทายีเถราปทาน
         ๕๔๖. อรรถกถากาฬุทายีเถราปทาน
         พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :- 
         อปทานของท่านพระกาฬุทายีเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
         แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล ในหังสวดีนคร ได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ขณะฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา มองเห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ทำสกุลให้เลื่อมใสแล้ว เร่งกระทำบุญกรรมสะสมไว้เพื่อได้ตำแหน่งนั้น ได้ปรารถนาตำแหน่งนั้นแล้ว. 
         ถึงแม้พระศาสดาก็ได้ทรงพยากรณ์แล้ว. 
         เขาได้บำเพ็ญกุศลกรรมไว้จนตลอดชีวิตแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในวันที่พระโพธิสัตว์ของพวกเราถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา (เขาก็) จุติจากเทวโลกแล้ว ได้ถือปฏิสนธิในตระกูลอำมาตย์ในกรุงกบิลพัสดุ์นั่นเอง. 
         เขาได้เกิดในวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์ทีเดียว ในวันนั้นนั่นเอง มารดาบิดาให้เขานอนบนที่นอนที่ทำด้วยผ้าเนื้อดีชนิดหนึ่งแล้วพาไปสู่ที่บำรุงของพระโพธิสัตว์. 
         จริงอยู่ ต้นโพธิพฤกษ์ มารดาของพระราหุล ขุมทรัพย์ ๔ แห่ง ช้างทรง ม้ากัณฐกะ นายฉันนะและกาฬุทายีอำมาตย์ รวม ๗ อย่างเหล่านี้ได้เป็นสหชาติกับพระโพธิสัตว์ เพราะเกิดในวันเดียวกัน. 
         ครั้นถึงวันตั้งชื่อ มารดาบิดาได้ตั้งชื่อเขาว่าอุทายี เพราะเหตุที่เขาเกิดในวันที่ชาวพระนครทั้งสิ้นมีจิตเบิกบาน. แต่กลับปรากฏชื่อว่ากาฬุทายี เพราะเขามีธาตุดำไปหน่อย. เขาเมื่อจะเล่นตามประสาเด็กๆ ก็เล่นกับพระโพธิสัตว์ ได้ถึงความเจริญวัยแล้ว. 
         ในกาลต่อมา เมื่อพระโลกนาถเจ้าเสด็จออกสู่พระมหาภิเนษกรมณ์ ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณตามลำดับแล้ว ทรงอาศัยพระนครราชคฤห์ ประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐให้เป็นไปแล้ว ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร พระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้ทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ทรงสั่งอำมาตย์คนหนึ่งซึ่งมีบริวาร ๑,๐๐๐ คนไปด้วยพระดำรัสว่า เธอจงไปนำลูกของเรามาในพระราชวังนี้เถิด. 
         ในเวลาที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา เขาก็ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ยืนอยู่ที่ท้ายบริษัท ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว พร้อมด้วยบริวาร ก็ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสกะคนเหล่านั้นว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด. ในบัดดลนั้นเอง ชนทั้งหมดได้ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นเช่นกับพระเถระมีพรรษาตั้ง ๖๐ พรรษา. 
         ตั้งแต่ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ธรรมดาว่าพระอริยทั้งหลายย่อมเป็นผู้วางตนเป็นกลาง เพราะฉะนั้น ข่าวสารที่พระราชาทรงส่งไปจึงมิได้กราบทูลให้พระทศพลได้ทรงทราบ. 
         พระราชาตรัสว่า เขาไปแล้วไม่ยอมกลับมา ไม่ได้รับข่าวสารกันเลย จึงทรงส่งอำมาตย์อีกคนหนึ่งพร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คนไปอีก. ถึงจะทรงส่งไปอีกคนหนึ่งก็คงปฏิบัติดำเนินตามอำมาตย์นั้นดังนั้น ทรงส่งไปโดยนัยนี้จึงรวมอำมาตย์ได้ถึง ๙ คน บริวารของอำมาตย์รวมได้ ๙,๐๐๐ คน. 
         ชนทั้งหมดไปแล้วพอบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ได้เป็นผู้นิ่งเฉยเสีย. 
         ลำดับนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า ชนทั้งหลายมีประมาณเท่านี้มิได้กราบทูลคำอะไรๆ เพื่อการเสด็จมาในพระราชวังนี้แด่พระทศพล เพราะไม่ได้มีความเยื่อใยในเราเลย แต่อุทายีคนนี้แลมีวัยเสมอกันกับพระทศพล เคยเล่นฝุ่นด้วยกัน และมีความเยื่อใยในเราแท้ เราจักส่งอุทายีนี้ไป. 
         ลำดับนั้น พระราชาทรงมีรับสั่งให้เรียกอุทายีนั้นมาแล้ว ตรัสว่า พ่อคุณเอ๋ย พ่อจงพาบริวาร ๑,๐๐๐ คนไป นิมนต์พระทศพลมาในพระราชวังนี้เถิด ดังนี้แล้ว จึงทรงส่งไปแล้ว. 
         ก็อุทายีนั้น เมื่อจะไปจึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าหากว่าข้าพระองค์จักได้บวชไซร้ ข้าพระองค์ก็จักนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ามาในพระราชวังนี้ให้จงได้ ดังนี้แล้ว พระราชาตรัสว่า แม้เจ้าบวชแล้ว จงชี้แจงกะบุตรของเราด้วย ดังนี้. 
         เขาจึงไปยังพระนครราชคฤห์ ในเวลาที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา จึงยืนอยู่ที่ท้ายบริษัท ฟังธรรมแล้ว พร้อมกับบริวารได้บรรลุพระอรหัต ดำรงอยู่ในความเป็นเอหิภิกขุแล้ว. 
         ท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว คิดว่า รอก่อน เวลานี้ยังมิใช่เวลาที่พระทศพลจะเสด็จไปยังพระนครตระกูลเดิม แต่เมื่อใกล้จะเข้าพรรษาจักเป็นกาลที่ควรเสด็จไปได้ ตามภูมิภาคที่ดารดาษไปด้วยติณชาติอันเขียวชอุ่มตามที่ภูเขาลำเนาไพร ดังนี้ เมื่อรอกาลเวลาอันควรเสด็จไป ถึงใกล้เข้าพรรษาเข้ามา จึงพรรณนาถึงหนทางที่พระศาสดาจะเสด็จไปยังพระนครแห่งราชตระกูล.
         สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในเถรคาถาว่า :- 
                     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้ทั้งหลาย 
               มีดอกและใบมีสีแดงดังถ่านเพลิง ผลิตผลผลัดใบเก่า 
               ร่วงหล่นไป หมู่ไม้เหล่านั้นงดงาม รุ่งเรืองดังเปลวเพลิง 
               ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรใหญ่ กาลนี้เป็นเวลา 
               สมควรอนุเคราะห์หมู่พระญาติ 
                     ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า หมู่ไม้ทั้งหลายมี 
               ดอกบานงามดี น่ารื่นรมย์ใจ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตระหลบ 
               ไปทั่วทิศโดยรอบด้าน ผลัดใบเก่า ผลิดอกออกผล 
               เวลานี้เป็นเวลาสมควรจะหลีกออกไปจากที่นี้ ขอเชิญ 
               พระพิชิตมารเสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เถิด. 
                     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฤดูนี้ก็เป็นฤดูที่ไม่ 
               หนาวนัก ไม่ร้อนนัก เป็นฤดูพอสบาย ทั้งมรรคาก็ 
               สะดวก ขอพวกศากยะและโกลิยะทั้งหลาย จงได้เข้า 
               เฝ้าพระองค์ที่แม่น้ำโรหินี อันมีหน้าในภายหลังเถิด. 
                     ชาวนาไถนาด้วยความหวังผล หว่านพืช 
               ด้วยความหวังผล พ่อค้าผู้เที่ยวไปหาทรัพย์ ย่อม 
               ไปสู่สมุทรด้วยความหวังทรัพย์ ข้าพระองค์อยู่ใน 
               ที่นี้ด้วยความหวังผลอันใด ขอความหวังผลอันนั้น 
               จงสำเร็จแก่ข้าพระองค์เถิด 
                     ข้าแต่พระมหามุนี ภาคพื้นมีหญ้าสีเขียวสด 
               ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป ภิกษาหาได้ง่าย 
               ไม่แร้นแค้น กาลนี้แลเป็นกาลสมควรจะเสด็จไปได้. 
                     ชาวนาหว่านพืชบ่อยๆ ฝนตกลงบ่อยๆ ชาว 
               นาไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นสมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร 
               บ่อยๆ 
                     พวกยาจกเที่ยวขอทานบ่อยๆ ผู้เป็นทานาธิบดี 
               ก็ให้ทานบ่อยๆ ครั้นให้ทานบ่อยๆแล้ว ย่อมเข้าถึง 
               สวรรค์บ่อยๆ 
                     บุรุษผู้มีความเพียร มีปัญญากว้างขวาง เกิดใน 
               สกุลใด ย่อมยังสกุลนั้นให้บริสุทธิ์สะอาดตลอด ๗ ชั่วคน 
               ข้าพระองค์ย่อมเข้าใจว่า พระองค์เป็นเทพเจ้า ประเสริฐ 
               กว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงสามารถทำให้สกุล 
               บริสุทธิ์ เพราะพระองค์เกิดแล้วโดยอริยชาติ ได้ 
               สัจนามว่าเป็นนักปราชญ์ 
                     สมเด็จพระบิดาของพระองค์ผู้แสวงหาคุณอัน 
               ยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่าสุทโธทนะ สมเด็จพระนาง 
               เจ้ามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระ 
               พุทธมารดา ทรงบริหารพระองค์ผู้เป็น พระโพธิสัตว์ 
               มาด้วยพระครรภ์เสด็จสวรรคตไปบันเทิงอยู่ในไตร 
               ทิพย์ 
                     สมเด็จพระนางเจ้ามายาเทวีนั้น ครั้นสวรรคต 
               จุติจากโลกนี้แล้ว ทรงพรั่งพร้อมด้วยกามคุณอันเป็น 
               ทิพย์ มีหมู่นางฟ้าห้อมล้อม บันเทิงอยู่ด้วยเบญจกาม 
               คุณ 
                     อาตมภาพเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีสิ่ง 
               ใดจะย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกาย 
               ไม่มีผู้จะเปรียบปาน ผู้คงที่ ดูก่อนมหาบพิตร พระ 
               องค์เป็นโยมบิดาของโยมบิดาแห่งอาตมภาพ ดูก่อน 
               มหาบพิตร พระองค์เป็นพระอัยกาของอาตมภาพ 
               โดยธรรม. 
                     มะม่วง ขนุน และมะขวิด ถูกประดับประดา 
               ไปด้วยดอกและใบ มีผลอยู่เนืองนิตย์ ยังมีผลเล็กรส 
               อร่อยมีอยู่สองข้างทาง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้ 
               เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้. 
                     ผลหว้ามีรสอร่อยหวานเย็น ผลไม้สวรรค์คือ 
               รวงผึ้งเหล่านั้น รุ่งเรืองงามทั้งสองข้างทาง ข้าแต่พระ 
               ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้. 
                     หมู่ต้นหญ้า ไม้มะหาด มีสีดุจทองคำเป็นที่ 
               น่ารื่นรมย์ใจ ผลไม้อันประกอบด้วยน้ำก็มีอยู่เป็น 
               นิตย์ ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควร 
               จะเสด็จไปได้. 
                     ต้นกล้วยและกล้วยเล็บมือนาง ต่างก็มีผลสุก 
               งอมห้อยย้อยอยู่สองข้างทาง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ 
               บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้. 
                     ต้นไม้มีผลหวานอร่อยเป็นนิตย์ ต้นหางนก 
               ยูง ดูเป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ ต้นไม้ที่มีผลเล็กก็มีอยู่เป็น 
               นิตย์ ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควร 
               จะเสด็จไปได้. 
                     ต้นเต่าร้างมีผลสุก มีลำต้นคล้ายสีเงินโชติ 
               ช่วง ต้นไม้เล็กซึ่งดารดาษไปด้วยผลสุก มีรสอร่อย 
               จะได้เสวยผลไม้เหล่านั้น ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ 
               บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้. 
                     ต้นมะเดื่อมีสีคล้ายสีอรุณ มีผลอร่อยดีทุก 
               เมื่อ มีผลห้อยย้อยอยู่สองข้างทาง ข้าแต่พระผู้ทรง 
               ยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้. 
                     ต้นไม้ที่มีผลนานาชนิดมากมายเหล่านั้น 
               เป็นเช่นนี้ ห้อยย้อยอยู่ในที่ทั้งสองข้างทาง ข้าแต่ 
               พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จ 
               ไปได้. 
                     ดอกจำปา ดอกช้างน้าว มีกลิ่นหอมยาม 
               เมื่อลมรำเพยพัด ที่ยอดที่ดอกสะพรั่ง งามรุ่งเรือง 
               ได้บูชาแล้วด้วยกลิ่นอันหอมชื่น มีความเอื้อเฟื้อ 
               นอบน้อมแล้ว ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น 
               เวลาสมควรจะเสด็จไปได้. 
                     ดอกบุนนาค ดอกบุนนาคบนเขา ก็เบ่ง 
               บาน มีลำต้นอันมั่นคง มีดอกงามสะพรั่งรุ่งเรือง 
               ได้บูชาแล้วด้วยกลิ่นอันหอมหวล เอื้อเฟื้อ มีปลาย 
               ยอดน้อมลง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น 
               เวลาสมควรจะเสด็จไปได้.
                     ดอกอโศก และดอกปาริชาติ อันประเสริฐ 
               สร้างเสริมความโสมนัสใจ กรรณิการ์กิ่งก้านเกี่ยว 
               พันมีดอกหอม ประดับพื้นที่ด้วยสีเงิน เอื้อเฟื้อ มี 
               ปลายยอดน้อมลง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้ 
               เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้. 
                     ต้นกรรณิการ์ผลิดอกบานเป็นนิตย์ รุ่ง 
               โรจน์ด้วยแสงทอง มีดอกหอมคล้ายดอกไม้เอื้อเฟื้อ 
               น้อมกิ่งลง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลา 
               สมควรของพระองค์เสด็จไปได้. 
                     ดอกการะเกด ดอกลำเจียก มีใบงาม 
               สมบูรณ์ด้วยกลิ่น มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไป หอมไป 
               ทั่วทุกทิศ มีความเอื้อเฟื้อ น้อมกิ่งลงบูชา ข้าแต่ 
               พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระ 
               องค์จะเสด็จไปได้. 
                     ดอกมัลลิกา ดอกมะลิวัลย์ มีกลิ่นหอม 
               มีดอกเล็ก ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทุกทิศ งดงามใน 
               ระหว่างสองข้างทาง มีความเอื้อเฟื้อ น้อมกิ่งลง 
               เพื่อพระองค์ ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น 
               เวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้. 
                     ดอกไม้ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ มีกลิ่นหอม 
               ฟุ้ง น้อมลงบูชาทั่วทุกทิศ งดงามในระหว่าง 
               สองฟากทาง มีความเอื้อเฟื้อน้อมกิ่งลง มีปลาย 
               อ่อนน้อมลง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น 
               เวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้. 
                     สิงห์และราชสีห์ สัตว์ ๔ เท้าอาศัยตั้งมั่น 
               มิคราชผู้ไม่สะดุ้งกลัวถึงความเป็นสัตว์แกล้วกล้า 
               ย่อมพากันบูชาด้วยการบันลือสีหนาท มีความ 
               เอื้อเฟื้อแด่พระองค์ ครองงำหมู่เนื้อ ไล่ออกไป 
               จากสองข้างทาง ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ 
               บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้. 
                     เสือโคร่ง ม้าสินธพ พังพอน ซึ่งมีรูปร่าง 
               งดงามมีความสะดุ้งกลัว เหมือนโลดแล่นไปใน 
               อากาศ ไม่มีความกลัวอะไรๆ ด้วยเหตุบางอย่าง 
               สัตว์เหล่านั้นมีความเอื้อเฟื้ออ่อนน้อมต่อพระองค์ 
               ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควร 
               ของพระองค์จะเสด็จไปได้.
                     ช้างตระกูลฉัททันต์ ตกมันแล้ว ๓ ครั้ง 
               มีรูปร่างดี มีเสียงไพเราะ งดงาม มีองค์อันตั้งมั่น 
               น้อมลงเพื่อพระองค์ ส่งเสียงร้องบันลือในสองข้าง 
               ทาง มีความเอื้อเฟื้อ ร่าเริงอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรง 
               ยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะ 
               เสด็จไปได้. 
                     มิคะ หมู อีเก้ง มีอวัยวะงดงาม งดงามด้วย 
               เส้นคาดเป็นทางลงมีรูปดีสำรวมตัว ขับกล่อมใน 
               ระหว่างสองข้างทาง ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ 
               บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้. 
                     กวางโคกัณณา กวางสรภาและกวางรุรุ ซึ่ง 
               มีเขาตรงและโค้ง มีรูปดี มีร่างกายสมบูรณ์ซึ่งกำลัง 
               พากันหยุดพักอยู่ในคราวนั้น ผู้ต้องการจะคบหา 
               กับพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น 
               เวลาสมควรของพระองค์เสด็จไปได้. 
                     เสือเหลือง หมี และเสือดาว ซึ่งตะปบกิน 
               สัตว์ทุกเมื่อ บัดนี้สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ได้ศึกษา 
               ดีแล้ว มีความมั่นคงต่อพระองค์ด้วยเมตตา เป็น 
               ผู้ต้องการคบหาเฉพาะพระองค์มาเป็นเวลานาน 
               ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควร 
               ของพระองค์จะเสด็จไปได้. 
                     กระต่าย สุนัขจิ้งจอก พังพอนและกระรอก 
               กระแตเป็นจำนวนมาก ไม่มีความสะดุ้ง กล้าหาญ 
               พากันขับร้องเพื่อพระองค์อย่างเดียว ข้าแต่พระองค์ 
               ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะ 
               เสด็จไปได้. 
                     หมู่นกยูงเหล่านั้น มีคอสีเขียว มีหงอนงาม 
               มีปีกสวย มีกำหางงาม ร้องไพเราะ งดงามคล้ายกับ 
               แก้วไพฑูรย์และแก้วมณี ย่อมพากันเปล่งเสียงร้อง 
               บูชาพระองค์อยู่ บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็น 
               ชนกแล้ว. 
                     หมู่หงส์ทองอันงดงาม เป็นหงส์ที่บินไวไป 
               ในอากาศ หงส์เหล่านั้นทั้งหมด ทั้งถิ่นแล้วอาศัย 
               อยู่ พากันขวนขวายในการที่จะได้เห็นพระชินเจ้า 
               ย่อมส่งเสียงร้องด้วยเสียงอันไพเราะ บัดนี้เป็นเวลา 
               ที่พระองค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว. 
                     หมู่หงส์ หมู่นกกระเรียน พากันร้องเสียง 
               ไพเราะ หมู่นกจากพรากก็เที่ยวไปในน้ำ หมู่นก 
               กระยาง หมู่นกตะกรุมอันงดงามน่าพอใจ หมู่กา 
               น้ำ หมู่ไก่ฟ้าเหล่านั้นพากันมีความเอื้อเฟื้อ ร้อง 
               เสียงอันไพเราะ บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้ 
               เห็นพระชนกแล้ว. 
                     หมู่นกสาลิกา หมู่นกแก้ว มีรูปงามวิจิตร 
               มีเสียงไพเราะ พากันส่งเสียงร้องบนยอดไม้ 
               ส่งเสียงร้องทั้งสองข้างทาง บัดนี้เป็นเวลาที่พระ 
               องค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว.
                     นกดุเหว่า ซึ่งล้วนแต่สวยวิจิตร มีสำเนียง 
               เสียงไพเราะ ประเสริฐ เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ปวง 
               ชน มีความกล้าหาญ ในการเป็นมิตรร่วมกัน 
               เป็นต้น กำลังพากันบูชาอยู่ด้วยเสียง บัดนี้เป็น 
               เวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว. 
                     พวกลูกช้าง นกเขา นกกระเต็น มีอยู่ 
               บริบูรณ์ในป่าทุกเมื่อ พากันขับกล่อม มีความ 
               สามัคคีกันและกัน ขับร้องด้วยเสียงอันไพเราะ 
               บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว. 
                     หมู่นกกระทา นกกระเต็น มีเสียงอัน 
               ไพเราะ ไก่ป่าก็มีเสียงเพราะ น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ 
               เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว. 
                     มีสถานที่อันมั่นคง งดงามน่ารื่นรมย์ 
               ดารดาษไปด้วยทรายสีขาว มีสระน้ำอันบริบูรณ์ 
               ด้วยน้ำสะอาด สวยงามทุกเมื่อ ทุกชีวิตพากัน 
               อาบและดื่มกินในสระน้ำมัน บัดนี้เป็นเวลาที่ 
               พระองค์จะได้เห็นหมู่พระญาติแล้ว. 
                     จระเข้แหวกว่ายไปมาเกลื่อนกล่น ปลาสร้อย 
               ปลาเค้า ปลาตะเพียนแดง ปลา และเต่า แหวกว่าย 
               ไปมาในสระที่มีน้ำเย็นสะอาด ซึ่งเป็นที่อาบและ 
               ดื่มกินของทุกชีวิต บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้ 
               เห็นพระญาติแล้ว. 
                     มีสระน้ำงดงาม ดารดาษไปด้วยดอกอุบล 
               สีเขียวและดอกอุบลสีแดง ดารดาษไปด้วยดอกโกมุท 
               มากมายหลายชนิดในสระน้ำนั้น มีน้ำเย็นสะอาด 
               บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระญาติแล้ว. 
                     สระน้ำนั้นดารดาษด้วยดอกบุณฑริก มาก 
               ด้วยดอกปทุม สวยงามทั้งสองข้างทาง ในที่นั้นๆ 
               ได้มีสระโบกขรณีอื่นๆ อีก ซึ่งเป็นที่ชนทั้งหลาย 
               สรงสนานในสระนั้น บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะ 
               ได้เห็นพระญาติแล้ว. 
                     มีสถานที่อันตั้งมั่น น่ารื่นรมย์ใจ เกลื่อน 
               กล่นไปด้วยเม็ดทรายสีขาว มีแม่น้ำอันสวยงดงาม 
               สมบูรณ์เปี่ยมด้วยน้ำเย็นและมีห้วงน้ำกว้างใหญ่ 
               มีน้ำไหลทั้งสองข้างทาง บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์ 
               จะได้เห็นพระญาติแล้ว. 
                     ในสองข้างทาง มีบ้านและนิคมตั้งเรียง 
               ราย ประชาชนทั้งหลายมีศรัทธาเลื่อมใส นับถือ 
               พระรัตนตรัย พวกเขามีความดำริอันเต็มเปี่ยม 
               บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระญาติแล้ว. 
                     พวกเทวดาและพวกมนุษย์ทั้งสอง ในถิ่น 
               ที่นั้นๆ ต่างก็พากันบูชาพระองค์ด้วยระเบียบของ 
               หอม บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระญาติ 
               แล้ว.
         พระเถระได้พรรณนาถึงความงดงามแห่งหนทางเสด็จไปแด่พระศาสดา ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถาอย่างนี้แล้ว. 
         ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า กาฬุทายีปรารถนาจะให้เราไป เราจักทำความดำริของเธอให้บริบูรณ์ ดังนี้แล้วทรงเห็นว่าในการไปในที่นั้น ประชาชนเป็นจำนวนมากจะได้บรรลุคุณวิเศษ ทรงมีพระขีณาสพ ๒ หมื่นรูปแวดล้อม เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ทรงเสวยผลาผลมีประการดังได้กล่าวแล้ว ด้วยอำนาจการเสด็จไปโดยไม่รีบด่วน หมู่แห่งสัตว์ ๒ เท้าและ ๔ เท้าเป็นต้นพากันบูชาด้วยเครื่องบูชา ได้ทรงรับกลิ่นหอมแห่งดอกไม้มีประการดังได้กล่าวแล้ว ทรงกระทำการสงเคราะห์แก่ชาวบ้านและชาวนิคมเสด็จถึงหนทางไปกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว. 
         พระเถระไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ด้วยฤทธิ์ยืนกลางอากาศข้างหน้าพระราชา. 
         พระราชาได้เห็นเพศที่ยังไม่เคยเห็น จึงตรัสว่า ท่านเป็นใครกัน?
         พระเถระเมื่อจะกล่าวว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงรู้จักลูกอำมาตย์ผู้ถูกพระองค์ส่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไซร้ ก็จงรู้จักอย่างนั้นเถิด ดังนี้จึงกล่าวคาถาว่า :- 
                     อาตมภาพเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่ 
               มีสิ่งใดจะย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระ 
               วรกาย ไม่มีผู้ที่จะเปรียบปานได้ ผู้คงที่ ดูก่อน 
               มหาบพิตร พระองค์เป็นพระบิดาของบิดาแห่ง 
               อาตมภาพ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระ 
               ไอยกาของอาตมภาพโดยทางธรรม ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธสฺส ปุตฺโตมฺหิ ความว่า อาตมภาพเป็นพระโอรส เพราะเกิดจากความพยายามให้เกิดในพระอุระ และจากพระธรรมเทศนาของพระสัมพัญญูพุทธเจ้า. 
         บทว่า อสยฺหสหิโน ความว่า ตั้งแต่ในกาลที่ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณแล้วไป เป็นผู้ที่มีพระโพธิสมภารทั้งสิ้น ใครๆ จะย่ำยีไม่ได้ เพราะคนเหล่าอื่นไม่สามารถจะข่มขี่พระมหาโพธิสัตว์ได้ และเป็นผู้มากไปด้วยพระมหากรุณา มีความอดทน เพราะคนเหล่าอื่นแม้ที่อื่นยิ่งไปกว่านั้นก็ยังไม่สามารถเพื่อที่จะข่มขี่ครอบงำได้ ทรงข่มขี่ครอบงำมารทั้ง ๕ ที่คนอื่นย่ำยีไม่ได้ ทรงอดทนต่อพุทธกิจที่คนพวกอื่นจะอดทนย่ำยีไม่ได้ กล่าวคือทรงพร่ำสอนทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ สัมปรายิกัตถประโยชน์และปรมัตถประโยชน์ แก่ปวงเวไนยสัตว์ผู้สมควรซึ่งมีอาสัย อนุสัย จริตและอธิมุตติที่จะหยั่งรู้เบื้องต้นและคุณส่วนพิเศษได้หรือเป็นผู้ไม่มีสิ่งใดจะย่ำยีได้ เพราะทรงมีปกติกระทำคุณงามความดีไว้ในที่นั้นๆ.
         บทว่า องฺคีรสสฺส ได้แก่ ผู้มีสมบัติเช่นศีลที่ทรงทำเป็นส่วนๆ. 
         อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า พระองค์ผู้มีพระโอภาสแผ่ไปจากส่วนต่างๆ. 
         ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระนามทั้งสองเหล่านี้คือ อังคีรสและสิทธัตถะ ที่พระบิดาเท่านั้นทรงถือเอาแล้ว. 
         บทว่า อปฺปฏิมสฺส ความว่า ไม่มีผู้จะเปรียบปานได้เป็นผู้คงที่ เพราะสมบูรณ์ด้วยพระลักษณะแห่งความเป็นผู้คงที่ ในอารมณ์ที่น่าปรารถนาเป็นต้น. 
         บทว่า ปิตุปิตา มยฺหํ ตุวํสิ ความว่า พระองค์เป็นพระบิดาโดยโลกโวหารของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบิดาของอาตมภาพโดยอริยชาติ. พระเถระเรียกพระราชาโดยพระวงศ์ว่าสักกะ. 
         บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ สภาวสโมธานที่มีเองโดยทั้ง ๒ ชาติ คืออริยชาติและโลกียชาติโดยสภาพ. พระเถระเรียกพระราชาโดยพระโคตรว่า โคตมะ. 
         บทว่า อยฺยโกสิ ได้แก่ ได้เป็นพระปิตามหะ (ปู่). 
         และพระเถระเมื่อกล่าวคำเป็นต้นว่า พุทฺธสฺส ปุตฺโตมฺหิ ดังนี้ ในคาถานั้นก็ได้พยากรณ์พระอรหัตผลไว้แล้ว. 
         ก็พระเถระได้ให้พระราชารู้จักตนอย่างนั้นแล้ว พระราชาทรงร่าเริงยินดี นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์ที่สมควรแล้ว ทรงบรรจุบาตรให้เต็มด้วยโภชนะอันมีรสเลิศนานาชนิด ที่ราชบุรุษตระเตรียมไว้เพื่อพระองค์. 
         เมื่อพระราชาทรงถวายบาตรแล้ว พระเถระก็แสดงอาการที่จะไป. 
         เมื่อพระราชาตรัสว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงประสงค์จะไปเสียเล่า นิมนต์ฉันภัตรก่อน. 
         พระเถระทูลว่า จะไปเฝ้าพระศาสดา แล้วจึงจักฉันภัตร. 
         พระราชาตรัสถามว่า พระศาสดาอยู่ที่ไหนเล่า. 
         พระเถระทูลว่า พระศาสดาทรงมีภิกษุสองหมื่นเป็นบริวาร กำลังดำเนินมาตามทางเพื่อต้องการพบพระองค์แล้ว. 
         พระราชาตรัสว่า ท่านจงฉันบิณฑบาตนี้เถิด จงนำบิณฑบาตอื่นไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า. เวลาที่บุตรของเราถึงพระนครนี้ ท่านจึงค่อยนำบิณฑบาตจากที่นี้เท่านั้นไปถวาย. 
         พระเถระทำภัตกิจเสร็จแล้ว แสดงธรรมโปรดพระราชาและบริษัท เพราะมาถึงยังพระราชนิเวศน์ก่อนกว่าพระศาสดา จึงกระทำให้หมู่ชนเลื่อมใสยิ่งในคุณของพระรัตนตรัย เมื่อคนทั้งหมดกำลังแลดูอยู่นั่นแหละ ได้ปล่อยบาตรที่เต็มด้วยภัตรที่ต้องนำไปเพื่อพระศาสดาไปในกลางอากาศ แม้ตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาส น้อมเอาบิณฑบาตไปวางไว้ในพระหัตถ์พระศาสดา. 
         แม้พระศาสดาก็ได้เสวยบิณฑบาตนั้นแล้ว. เมื่อเดินทางไปวันละโยชน์ตลอดหนทาง ๖๐ โยชน์อย่างนี้ พระเถระได้นำเอาภัตรจากพระราชวังไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึงพระนครกบิลพัศดุ์แล้ว วันรุ่งขึ้นเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในถนนหลวง. 
         พระจ้าสุทโธทนมหาราชได้สดับถึงข่าวนั้นแล้ว เสด็จไปในที่นั้นตรัสว่า อย่าสำคัญถึงสิ่งที่พึงกระทำอย่างนี้เลย สิ่งนี้มิใช่ประเพณีแห่งพระราชวงศ์เลย. 
         พระศาสดาตรัสว่า มหาราชเจ้า นี้เป็นวงศ์ของพระองค์ แต่การกระทำเช่นนี้เป็นพุทธวงศ์ของพวกเรา แล้วแสดงธรรมว่า :- 
                     บรรพชิตไม่พึงประมาทในก้อนข้าว อันตนพึง 
               ลุกขึ้นยืนรับ บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ผู้มีปกติ 
               ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า 
               บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึงประพฤติธรรม 
               นั้นให้ทุจริต ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขใน 
               โลกนี้และโลกหน้า ดังนี้ 
         พระราชาทรงดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. 
         แต่นั้น พระราชาก็ทรงนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้เสวยและบริโภคโภชนะที่พระองค์ตบแต่งไว้แล้วในพระราชมนเทียรของพระองค์ ในที่สุดแห่งการบริโภคทรงสดับธัมมปาลชาดกแล้ว พร้อมด้วยบริษัทได้ทรงดำรงอยู่ในอนาคามิผล. 
         กาลต่อมาบรรทมอยู่ ณ ภายใต้มหาเศวตฉัตรนั่นแหละทรงบรรลุพระอรหัต ปรินิพพานแล้ว.
         ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปยังปราสาทของพระนางพิมพาเทวี พระมารดาของพระราหุลกุมาร ทรงแสดงธรรมแก่พระนาง ทรงบรรเทาความเศร้าโศกแล้ว ทรงทำให้พระนางได้เกิดความเลื่อมใสด้วยเทศนาคือจันทกินรีชาดกแล้ว ได้เสด็จไปยังนิโครธาราม.
         ครั้นนั้น พระนางพิมพาเทวีได้ตรัสกะพระราหุลกุมารผู้พระราชโอรสว่า พ่อจงไปขอทรัพย์ที่มีอยู่ของพระบิดาของพ่อเถิด. 
         พระกุมารทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ขอพระองค์จงพระราชทานสมบัติแก่หม่อมฉันเถิด แล้วติดตามประผู้มีพระภาคเจ้าไปพลางกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ พระองค์เป็นร่มเงาที่สุขสบายของหม่อมฉัน. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำพระราหุลกุมารนั้นไปยังนิโครธารามแล้วตรัสว่า เธอจงรับเอาทรัพย์สมบัติคือโลกุตตรธรรมเถิด แล้วทรงให้บรรพชา. 
         ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่ง ณ ท่ามกลางหมู่พระอริยสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาพวกภิกษุสาวกที่ทำตระกูลให้เลื่อมใสของเราแล้ว กาฬุทายีนับว่าเป็นเลิศกว่าเขาทั้งหมด. 
         พระเถระได้รับตำแหน่งเอตทัคคะนั้นแล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตนได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงได้กล่าวคาถาเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
         ในคาถานั้น ข้าพเจ้าจักพรรณนาแต่เฉพาะบทที่ยากเท่านั้น. 
         บทว่า คุณาคุณวิทู มีความหมายว่า คุณและสิ่งมิใช่คุณ ชื่อว่าคุณาคุณะ คือคุณและโทษ. 
         อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าคุณาคุณวิทู เพราะย่อมรู้จักชัดซึ่งกุศลกรรมและอกุศลกรรมนั้น. 
         บทว่า กตญฺญู ความว่า ชื่อว่ากตัญญู เพราะรู้คุณที่คนเหล่าอื่นกระทำแล้ว. 
         ชื่อว่ากตัญญู เพราะสามารถเพื่อจะให้แม้ราชสมบัติ แก่ผู้กระทำอุปการะด้วยการให้ภัตรเป็นต้นแม้ตลอดวันหนึ่งได้. 
         บทว่า กตเวที ความว่า ชื่อว่ากตเวที เพราะย่อมได้ ย่อมเสวยคือย่อมรับเฉพาะซึ่งอุปการะที่เขาทำแล้ว. 
         บทว่า ติตฺเถ โยเชติ ปาณิเน ความว่า ย่อมประกอบ คือย่อมประกอบพร้อมสรรพ ได้แก่ย่อมให้สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่เฉพาะในหนทางแห่งกุศลธรรมคือมรรค อันเป็นอุบายให้เข้าถึงพระนิพพานได้ด้วยการแสดงธรรม. 
         คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล. 
         เนื้อความแห่งคาถาอันพรรณนาถึงหนทางเสด็จ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในเถรคาถานั้นนั่นแล.
จบอรรถกถากาฬุทายีเถราปทาน

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน นันทกเถราปทานที่ ๕ ว่าด้วยบุพจริยาของพระนันทกเถระ

  
[๑๓๕] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ผู้มีจักษุ ในธรรมทั้งปวง เป็นพระผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ กว่านักปราชญ์ทั้งหลาย เป็นบุรุษอาชาไนยทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูล เพื่อประโยชน์ เพื่อสุขแก่สรรพสัตว์ ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยยศ ในโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มีศิริ มีเกียรติคุณเป็นเครื่องอลังการ
 ทรงชำนะมาร ได้รับการบูชาทั่วโลก ปรากฏทั่วไปทุกทิศ พระองค์ ทรงข้ามพ้นวิจิกิจฉา ล่วงพ้นความสงสัย มีความดำริชอบเต็มเปี่ยม ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ทรงยังหนทางที่ยังไม่เกิด ให้เกิด เป็นผู้สูงสุดกว่านรชน ตรัสบอกสิ่งที่คนอื่นยังไม่ได้บอก และทรง ยังสิ่งที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีพร้อม ทรงรู้จักหนทาง ทรงเข้าใจหนทาง แจ้งชัด ตรัสบอกหนทางให้ ประเสริฐกว่านรชน ทรงฉลาดในหน ทาง เป็นครู เป็นพระผู้สูงสุดกว่านายสารถีทั้งหลาย
 ครั้งนั้น พระโลกนายกผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา ได้ตรัสพระธรรมเทศนา ฉุดสัตว์ทั้งหลายผู้จมลงแล้วในหล่มคือโมหะขึ้น พระมหามุนีทรง สรรเสริญพระสาวกผู้มีสมมติว่าเลิศในการให้โอวาทแก่นางภิกษุณี ทั้งหลาย ได้ทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เราได้ฟังพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว ก็ชอบใจ จึงนิมนต์พระตถาคตพร้อมด้วยพระสงฆ์ ให้เสวยและฉันภัตตาหารแล้วปรารถนาฐานันดรนั้น
 ครั้งนั้น พระโลกนาถผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงเบิกบานพระทัยได้ตรัสกะ เราว่า ท่านจงมีสุขอายุยืนเถิด ท่านจักได้ฐานันดรนี้สมมโนรถ ปรารถนา ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ผู้ทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านจักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรส อันธรรมเนรมิต จักได้เป็นสาวกของพระศาสดามีนามชื่อว่านันทกะ เพราะกรรมที่ได้ทำไว้ดีนั้น และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละ ร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ในภพสุดท้ายในบัดนี้ เราเกิดในสกุลเศรษฐี อันมั่นคั่งสมบูรณ์มีทรัพย์มากมาย ใน พระนครสาวัตถี เราได้พบพระสุคตเจ้า
 ในวันที่พระองค์เสด็จเข้า พระนคร เป็นผู้มีใจอัศจรรย์ ได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในวันที่พระ- พุทธองค์ทรงรับพระเชตวนาราม ได้บรรลุอรหัตผลโดยกาลไม่นาน เลย ครั้งนั้น เราอันพระศาสดาผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงทรงพร่ำสอน จึงข้าม ข้ามพ้นสังสารวัฏไปได้ เราสอนธรรมแก่พระภิกษุณี ทั้งหลาย พระภิกษุณีที่เราสอนนั้นรวม ๕๐๐ รูปด้วยกัน ล้วนเป็น ผู้ไม่มีอาสวะ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคผู้มีประโยชน์เกื้อกูลใหญ่ ทรง พอพระทัย จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุ ทั้งหลาย ฝ่ายให้โอวาทพระภิกษุณี กรรมที่เราทำไว้ในกัปที่แสน แสดงผลแก่เราในอัตภาพนี้แล้ว เราเป็นผู้พ้นจากกิเลสด้วยดี เหมือนลูกศรที่พ้นไปจากแล่ง ฉะนั้น เราเผากิเลสเสียแล้ว เราเผา กิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระนันทกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ นันทกเถราปทาน.
 อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๕. นันทกเถราปทาน
               ๕๔๕. อรรถกถานันทกเถราปทาน
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :- 
               อปทานของท่านพระนันทกเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
               คำตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องว่า 
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ดังนี้. 
               ทั้งหมดมีเนื้อความพอจะรู้ได้โดยง่าย ตามแนวพระบาลีนั้นนั่นแล.
จบอรรถกถานันทกเถราปทาน