Translate

15 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน พาหิยเถราปทานที่ ๖ ว่าด้วยบุพจริยาของพระพาหิยเถระ

  
               [๑๒๖] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระผู้มีพระภาคผู้นายกมีพระรัศมีใหญ่ เลิศกว่าไตรโลก มีพระนามชื่อว่าปทุมุตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
               เมื่อพระมุนี ตรัสสรรเสริญคุณของภิกษุผู้ตรัสรู้ได้เร็วพลันอยู่ เรา ได้ฟังแล้วก็ชอบใจ จึงได้ทำสักการะแด่พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหา คุณอันใหญ่ ถวายทานแด่พระมหามุนีพร้อมด้วยพระสาวกตลอด ๗ วัน ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ปรารถนาฐานันดรในกาล นั้น
 ลำดับนั้น พระสัมพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์เราว่า จงดูพราหมณ์ ที่หมอบอยู่แทบเท้าของเรานี้ ผู้สมบูรณ์ด้วยโสมนัส มีผิวพรรณ เหมือนเด็กอายุ ๑๖ ปี มีร่างกายอันบุญกรรมสร้างสรรให้คล้าย ทองคำ ผุดผ่อง ผิวบาง ริมฝีปากแดง เหมือนผลตำลึงสุก มี ฟันขาวคมเรียบเสมอ มากด้วยกำลังคือคุณ มีกายและใจสูงเพราะ โสมนัส เป็นบ่อเกิดแห่งกระแสน้ำ คือคุณ มีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยปีติ เขาปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้ตรัสรู้ได้โดยเร็วพลัน พระมหาวีรเจ้าพระนามว่าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในอนาคตกาล เขา จักเป็นธรรมทายาทของพระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้น เป็นโอรสอัน ธรรมเนรมิต จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าพาหิยะ ก็ครั้งนั้น เราเป็นผู้ยินดี หมั่นกระทำสักการะพระมหามุนีเจ้า ตราบเท่าสิ้นชีวิต จุติแล้วได้ไปสวรรค์ ดุจไปที่อยู่ของตน ฉะนั้น เราจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ย่อมเป็นผู้ถึงความสุข เพราะกรรมนั้น ชักนำไป เราจึงได้ท่องเที่ยวไปเสวยราชสมบัติ
 เมื่อพระศาสนาของ พระกัสสปธีรเจ้าเสื่อมไปแล้ว เราได้ขึ้นสู่ภูเขาอันล้วนแล้วด้วยหิน บำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระชินสีห์ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มี ปัญญา ทำกิจพระศาสนาของพระชินสีห์ เรา ๕ คนด้วยกัน จุติจาก อัตตภาพนั้นแล้วไปสู่เทวโลก เราเกิดเป็นบุรุษชื่อพาหิยะ ในภารุ กัจฉนคร อันเป็นเมืองอุดม ภายหลังได้แล่นเรือไปยังสมุทรสาคร ซึ่งมีความสำเร็จเพียงเล็กน้อย ไปได้ ๒-๓ วัน เรือก็อัปปาง ครั้งนั้น เราตกลงไปยังมหาสมุทร อันเป็นที่อยู่แห่งมังกรร้ายกาจ น่าหวาดเสียว
 ครั้งนั้น เราพยายามว่ายข้ามทะเลใหญ่ไปถึงท่าสุป- ปารกะ มีคนรู้จักน้อย เรานุ่งผ้าครองเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต ครั้งนั้น หมู่ชนเป็นผู้ยินดีกล่าวว่านี้พระอรหันต์ท่านมาที่นี่ พวกเราสักการะ พระอรหันต์ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอนและเภสัชแล้วจักถึงความสุข ครั้งนั้น เราได้ปัจจัยอันเขาสักการะบูชา ด้วยปัจจัยเหล่านั้น เกิด ความดำริโดยไม่แยบคายขึ้นว่า เราเป็นพระอรหันต์ ทีนั้น บุรพเทวดา รู้วาระจิตของเรา จึงตักเตือนว่า ท่านหารู้ช่องทางแห่งอุบายไม่ ที่ไหนจะเป็นพระอรหันต์เล่า ครั้งนั้น เราอันเทวดานั้นตักเตือน แล้วสลดใจ จึงสอบถามเทวดานั้นว่า พระอรหันต์ผู้ประเสริฐกว่า นรชนในโลกนี้ คือใคร อยู่ที่ไหน เทวดานั้นบอกว่า พระพิชิตมารผู้มีพระปัญญามาก ประเสริฐ มีปัญญาเสมือน แผ่นดิน ประทับอยู่ที่นครสาวัตถีแคว้นโกศล พระองค์ เป็นโอรสของพระเจ้าศากยะ เป็นพระอรหันต์ไม่มีอาสวะ
 ทรงแสดงธรรมเพื่อบรรลุอรหัตฯ เราได้สดับคำของเทวดา นั้นแล้ว อิ่มใจเหมือนคนกำพร้าได้ขุมทรัพย์ ถึงความ อัศจรรย์ เบิกบานใจที่จะได้พบพระอรหันต์อันอุดม เห็น งาม พึงใจ มีอารมณ์ ไม่มีที่สุด ครั้งนั้น เราออกจากที่ นั้นไป ด้วยตั้งใจว่า เมื่อเราชนะกิเลสได้ ก็จะได้เห็น พระพักตร์อันปราศจากมลทิน ของพระศาสดาทุกทิพาราตรี กาล เราไปถึงแคว้นอันน่ารื่นรมย์นั้นแล้ว ได้ถาม พวกพราหมณ์ว่า พระศาสดาผู้ยังโลกให้ยินดี ประทับอยู่ ที่ไหน ครั้งนั้น พราหมณ์ทั้งหลายตอบว่า พระศาสดา อันนรชนและทวยเทพถวายวันทนาเสด็จเข้าไปสู่บุรีเพื่อทรง แสวงหาพระกระยาหารแล้ว พระองค์ก็คงเสด็จกลับมา ท่านขวนขวายที่จะเข้าเฝ้าพระมุนีเจ้า ก็จงรีบเข้าไปถวาย บังคมพระองค์ผู้เป็นเอกอัครบุคคลนั้นเถิด
 ลำดับนั้น เรารีบไปยังเมืองสาวัตถีบุรีอันอุดม ได้พบพระองค์ผู้ไม่ กำหนัดในอาหาร ไม่ทรงมุ่งด้วยความโลภ ทรงยังอมตธรรมให้                           โชติช่วง อยู่ ณ พระนครนี้ ประหนึ่งว่าเป็นที่อยู่ของศิริ พระ- พักตร์โชติช่วงเหมือนรัศมีพระอาทิตย์ ทรงถือบาตรกำลังเสด็จโคจร บิณฑบาตอยู่ ครั้นพบพระองค์แล้ว เราจึงได้หมอบลงแล้ว                           กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดม ขอพระองค์โปรดเป็นที่พึ่งของข้า พระองค์ผู้เสียหายไปในทางที่น่าเกลียดด้วยเถิด พระมุนีผู้สูงสุด                           ได้ตรัสว่า เรากำลังเที่ยวบิณฑบาต เพื่อประโยชน์แก่การยังสัตว์                           ให้ข้ามพ้น เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะแสดงธรรมแก่ท่าน
                         ครั้งนั้น เราปรารถนาได้ธรรมนัก จึงได้ทูลอ้อนวอนพระพุทธเจ้าบ่อยๆ พระองค์ ได้ตรัสพระธรรมเทศนาสุญญตบทอันลึกซึ้งแก่เรา เราได้สดับธรรม ของพระองค์แล้ว โอ เราเป็นผู้อันพระศาสดาทรงอนุเคราะห์ เราเผา กิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
 พระพาหิยทารุจิริยเถระผู้ล้มลงที่กองหยากเยื่อ เพราะแม่โคภูตผีมอง ไม่เห็นตัวขวิดเอา ได้กล่าวพยากรณ์ด้วยประการดังกล่าวฉะนี้ พระเถระผู้มีปรีชามาก เป็นนักปราชญ์ ครั้นกล่าวบุรพจริตของตน แล้ว ท่านปรินิพพาน ณ พระนครสาวัตถี เมืองอุดมสมบูรณ์ สมเด็จพระฤาษีผู้สูงสุดเสด็จออกจากพระนคร ทอดพระเนตรเห็น ท่านพระพาหิยะผู้นุ่งผ้าคากรองนั้น ผู้เป็นนักปราชญ์ มีความเร่าร้อน อันลอยเสียแล้ว ล้มลงที่ภูมิภาค ดุจเสาคันธงถูกลมล้มลง ฉะนั้น หมดอายุ กิเลสแห้ง ทำกิจพระศาสนาของพระชินสีห์เสร็จแล้ว
 ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระสาวกทั้งหลาย ผู้ยินดีในพระ- ศาสนามาสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับร่างของเพื่อนสพรหมจารี แล้วเผาเสีย จงสร้างสถูปบูชา เขาเป็นคนมีปรีชามาก นิพพานแล้ว สาวกผู้ทำตามคำของเราผู้นี้ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายที่ตรัสรู้ได้เร็ว พลัน คาถาแม้ตั้งพัน ถ้าประกอบด้วยบทที่แสดงความฉิบหายมิใช่ ประโยชน์ไซร้ คาถาบทเดียวที่บุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ก็ ประเสริฐกว่า น้ำ ดิน ไฟ และ ลม ไม่ตั้งอยู่ในนิพพานใด ในนิพพานนั้น บุญกุศลส่องไปไม่ถึง พระอาทิตย์ส่องแสงไม่ถึง พระจันทร์ก็ส่องแสงไม่ถึง ความมืดก็ไม่มี
                         อนึ่ง เมื่อใด พราหมณ์ ผู้ชื่อว่ามุนีเพราะความเป็นผู้นิ่ง รู้จริงด้วยตนเองแล้ว เมื่อนั้นเขา ย่อมพ้นจากรูป อรูป สุขและทุกข์ พระโลกนาถผู้เป็นมุนี เป็นที่ นับถือของโลกทั้งสาม ได้ภาษิตไว้ด้วยประการดังกล่าวฉะนี้แล.
                         ทราบว่า ท่านพระพาหิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.
 จบ พาหิยเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๖. พาหิยเถราปทาน
         ๕๓๖. อรรถกถาพาหิยเถราปทาน         
         อปทานของท่านพระพาหิยพารุจิริยเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสสมหิ ดังนี้. 
         แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มีความรู้ไม่ขาดตกบกพร่องในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย. 
         วันหนึ่งได้ไปยังสำนักของพระศาสดา ขณะฟังธรรมมีใจเลื่อมใส ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ได้เร็วไว) เป็นผู้ประสงค์จะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง 
         จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ตลอด ๗ วัน โดยล่วง ๗ วันไปแล้ว จึงหมอบลงที่บาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ไป พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้สถาปนาภิกษุใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญา ในอนาคตกาล แม้ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้น คือพึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าสำเร็จผลแน่ จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญาแล. 
         เขาได้ทำบุญไว้เป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติในกามาวจร ๖ ชั้นในเทวโลกนั้นแล้ว ก็ได้เสวยสมบัติมีจักรพรรดิสมบัติเป็นต้นในมนุษยโลกอีกหลายร้อยโกฏิกัป. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว จึงได้บวชแล้ว. 
         เมื่อพระศาสนาเสื่อมสิ้นลง ภิกษุ ๗ รูปมองเห็นความประพฤติผิดของบริษัท ๔ ถึงความสังเวชสลดจิต พากันเข้าไปป่า คิดว่า พวกเราจักกระทำที่พึ่งแก่ตนเองตลอดเวลาที่พระศาสนายังไม่เสื่อมสิ้นไป จึงพากันไหว้พระสุวรรณเจดีย์แล้ว ได้มองเห็นภูเขาลูกหนึ่งในป่านั้นพูดว่า ผู้มีความห่วงใยในชีวิตจงกลับไปเสีย ผู้ไม่ห่วงใยในชีวิตจงพากันขึ้นไปยังภูเขาลูกนี้เถิด แล้วจึงพาดพะอง ทั้งหมดพากันขึ้นไปยังภูเขาลูกนั้นแล้ว ผลักพะองให้ตกไปแล้วต่างก็บำเพ็ญสมณธรรม. 
         ในบรรดาภิกษุทั้ง ๗ รูปเหล่านั้น พระสังฆเถระได้บรรลุพระอรหัต โดยล่วงไปเพียงราตรีเดียวเท่านั้น. พระเถระนั้นเคี้ยวไม้สีฟันชื่อนาคลดา ในสระอโนดาด ล้างหน้าแล้ว นำเอาบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้ว พูดกะภิกษุเหล่านั้นว่า ผู้มีอายุจงฉันบิณฑบาตนี้เถิด. 
         ภิกษุเหล่านั้นพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกเราได้กระทำกติกาอย่างนี้ไว้แล้วหรือว่า รูปใดบรรลุพระอรหัตก่อน รูปที่เหลือจงบริโภคฉันบิณฑบาตที่รูปนั้นนำมาแล้ว. 
         พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ ข้อนั้นมิใช่เป็นเช่นนั้น. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ก็ถ้าว่าแม้พวกเราจักได้ทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นได้เหมือนอย่างทานไซร้ ตนเองก็จักนำมาบริโภคฉันเอง ดังนี้จึงไม่ปรารถนาแล้ว. 
         ในวันที่ ๒ พระเถระรูปที่ ๒ ได้เป็นพระอนาคามี ได้นำเอาบิณฑบาตมาแล้วอย่างนั้นเหมือนกันแล้ว นิมนต์ให้ภิกษุนอกนี้ฉัน ภิกษุเหล่านั้นกล่าวแล้วอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ พวกเราได้ทำกติกากันไว้แล้วหรือว่า พวกเราจักไม่ฉันบิณฑบาตที่พระมหาเถระนำมา จักฉันบิณฑบาตเฉพาะที่พระอนุเถระนำมาแล้ว. 
         พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ ก็ข้อนั้นมิใช่เป็นเช่นนั้น. 
         ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แม้พวกเราจักทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นเหมือนอย่างพวกท่านอย่างนั้นแล้ว ก็จักอาจเพื่อขบฉันตามความเป็นอย่างบุรุษของตนของตน ดังนี้ ไม่ปรารถนาแล้ว. 
         ในบรรดาภิกษุเหล่านั้นพระเถระที่ได้บรรลุพระอรหัต ได้ปรินิพพานแล้ว. 
         พระเถระรูปที่ ๒ ได้เป็นพระอนาคามีได้ไปบังเกิดพรหมโลก.
         ภิกษุอีก ๕ รูปนอกนี้ไม่สามารถจะทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นได้ จึงเศร้าโศกใจในวันที่ ๗ ได้กระทำกาละไปบังเกิดในเทวโลก. ได้เสวยทิพยสุขในเทวโลกนั้นแล้ว ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในมนุษยโลก. 
         ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น คนหนึ่งไปเป็นพระราชาพระนามว่าปุกกุสะ อยู่ในกรุงตักกสิลา แคว้นคันธาระ คนหนึ่งชื่อว่ากุมารกัสสปะ คนหนึ่งชื่อว่าพาหิยทารุจิริยะ คนหนึ่งชื่อว่าทัพพมัลลบุตร และคนหนึ่งชื่อว่าสภิยปริพาชกแล. 
         ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น พาหิยทารุจิริยะคนนี้ได้บังเกิดในตระกูลพ่อค้าที่ท่าสุปปารกะ ถึงความสำเร็จในพาณิชยกรรมแล้ว มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก. เขาได้ขึ้นเรือไปต่างประเทศพร้อมกับพวกพ่อค้าซึ่งกำลังเดินทางไปยังสุวรรณภูมิ เดินทางไปได้เล็กน้อย เรือก็อับปาง ผู้คนที่เหลือก็กลายเป็นภักษาของปลาและเต่า เหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่งพยายามว่ายน้ำ ในวันที่ ๗ ก็ล่วงถึงฝั่งแห่งท่าสุปปารกะ. 
         เขาไม่มีผ้านุ่งและผ้าห่ม เขามองไม่เห็นใครอื่น จึงเอาปอผูกท่อนไม้แห้งแล้ว นุ่งและห่ม ถือเอากระเบื้องจากเทวสถานได้ไปยังท่าสุปปารกะ. 
         พวกมนุษย์เห็นเขาเข้าแล้ว ต่างก็พากันให้ยาคูและภัตเป็นต้นแล้วยกย่องว่า ท่านผู้นี้คนเดียวเป็นพระอรหันต์. เมื่อพวกชาวบ้านนำเอาผ้านุ่งผ้าห่มมาให้มากมายเขาจึงคิดว่า ถ้าว่า เราจะนุ่งหรือจะห่มผ้าไซร้ ลาภและสักการะของเราก็จักเสื่อมสิ้นไป จึงพูดห้ามผ้าเหล่านั้นเสียแล้ว ใช้สอยเฉพาะแต่ผ้าเปลือกไม้อย่างเดียว. 
         ลำดับนั้น เมื่อเขาได้รับยกย่องจากประชาชนเป็นอันมากว่าเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ดังนี้ จึงมีความปริวิตกเกิดขึ้นในใจอย่างนี้ว่า พวกที่เป็นพระอรหันต์หรือว่าปฏิบัติดำเนินไปเพื่อบรรลุพระอรหัตมีอยู่ในโลกนี้ ตัวเราก็เป็นผู้หนึ่งของพวกนั้น. เขาเลี้ยงชีวิตด้วยการงานที่หลอกลวงคนอื่นโดยทำนองนั้นแล. 
         ในพระศาสนาแห่งพระกัสสปทศพล เมื่อชนทั้ง ๗ คนขึ้นไปยังภูเขาบำเพ็ญสมณธรรม คนหนึ่งได้เป็นพระอนาคามีได้ไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ตรวจดูพรหมสมบัติของตน รำพึงถึงสถานที่ที่ตนมาแล้ว ขึ้นไปยังภูเขา เห็นที่บำเพ็ญสมณธรรมแล้ว รำพึงถึงสถานที่ที่คนที่เหลือไปเกิด รู้ว่าท่านหนึ่งปรินิพพานแล้ว และรู้ว่านอกนี้อีก ๕ คนไปบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ได้รำพึงถึงคนทั้ง ๕ เหล่านั้นตามกาลอันสมควร. 
         เมื่อรำพึงว่า ก็ในเวลานี้คนทั้ง ๕ เหล่านั้นไปบังเกิดในที่ไหนหนอ จึงได้เห็นทารุจิริยะผู้อาศัยท่าสุปปารกะเลี้ยงชีวิตด้วยการงานคือการหลอกลวงแล้ว คิดว่าผู้นี้เป็นคนพาลฉิบหายแล้วหนอ เขาบำเพ็ญสมณธรรมในกาลก่อน ไม่ได้ฉันบิณฑบาตแม้ที่พระอรหันต์นำมาแล้วโดยความอุกฤษฎ์ยิ่ง บัดนี้เป็นผู้ไม่สมควรเพราะเหตุแห่งท้อง อ้างว่าเป็นพระอรหันต์ เที่ยวหลอกลวงชาวโลกอยู่ ไม่รู้ว่าพระทศพลทรงอุบัติขึ้นแล้ว เราจะไปทำให้เกิดความสังเวช จักให้เขาได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว ดังนี้ 
         ในขณะนั้นนั่นแล จึงลงจากพรหมโลกแล้วได้ปรากฏข้างหน้าทารุจิริยะ ในระหว่างภาคราตรี ณ ที่ท่าสุปปารกะ. 
         ทารุจิริยะนั้นเห็นแสงสว่างส่องมาในที่อยู่ของตน จึงออกมาข้างนอกเห็นท้าวมหาพรหมเข้า จึงประคองอัญชลีถามว่า ท่านเป็นใครหนอ. 
         ท้าวมหาพรหมตอบว่า เราเป็นสหายเก่าของท่าน ได้บรรลุอนาคามิผลแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก หัวหน้าของพวกเราทั้งหมด เป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานแล้ว ส่วนพวกท่าน ๕ คน ไปบังเกิดในเทวโลก บัดนี้เรานั้นได้เห็นท่านเลี้ยงชีวิตด้วยการงานคือการหลอกลวงในที่นี้ จึงได้มาเพื่อสั่งสอนท่านแล้วกล่าวถึงเหตุนี้ว่า พาหิยะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ทั้งไม่ใช่เป็นผู้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัตด้วยปฏิปทาใด ปฏิทาแม้นั้นไม่ได้มีแก่ท่านเลย. 
         ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมได้บอกเขาว่า พระศาสดาทรงอุบัติขึ้นแล้ว และได้บอกเขาว่า พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้ส่งเขาไปด้วยสั่งว่า จงไปเฝ้าพระศาสดาเถิด แล้วก็ได้กลับไปยังพรหมโลกตามเดิม. 
         ฝ่ายพาหิยะมองดูท้าวมหาพรหมผู้ยืนกล่าวอยู่ในอากาศแล้ว คิดว่า โอ เราได้กระทำกรรมหนักหนอ เรามิได้เป็นพระอรหันต์ แต่คิดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ท้าวมหาพรหมนี้กล่าวกะเราว่า ท่านไม่ใช่เป็นพรอรหันต์เลย ทั้งท่านก็มิได้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัตด้วย ดังนี้ คนอื่นที่เป็นพระอรหันต์ในโลกนี้ มีหรือไม่หนอ. 
         ลำดับนั้น พาหิยะจึงถามเทวดานั้นว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกใครเล่าเป็นพระอรหันต์ หรือว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัต. 
         ลำดับนั้น เทวดาจึงบอกเขาว่า พาหิยะ ในอุตตรชนบทมีพระนครหนึ่งชื่อสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกำลังประทับอยู่ในพระนครนั้น พาหิยะ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ และทรงแสดงธรรมเพื่อให้คนเป็นพระอรหันต์. 
         ในส่วนแห่งราตรีนั้น พาหิยะได้ฟังถ้อยคำของเทวดาแล้วมีความสังเวชสลดใจ จึงได้ออกจากท่าสุปปารกะในขณะนั้นนั่นเอง แล้วได้ไปยังกรุงสาวัตถีโดยคืนเดียวแล. ก็เมื่อขณะกำลังเดินทางไปด้วยอานุภาพแห่งเทวดา และด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าจึงทำให้เขาเดินทางไปได้ถึง ๑๒๐ โยชน์ ถึงกรุงสาวัตถี. 
         ในขณะนั้น พระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปยังกรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต เขาเข้าไปยังพระเชตวันแล้ว ถามพวกภิกษุมากรูปผู้กำลังเดินจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งว่า บัดนี้ พระศาสดาเสด็จไปไหนเสียเล่า?
         พวกภิกษุตอบว่า พระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีแล้วถามว่า คุณมาจากไหนเล่า? 
         เขาตอบว่า ผมมาจากท่าสุปปารกะขอรับ. 
         ถามว่า คุณออกเดินทางเวลาเท่าไร? 
         เขาตอบว่า ผมออกเดินทางเมื่อเย็นวานนี้ ขอรับ. 
         พวกภิกษุกล่าวต้อนรับว่า คุณเดินทางมาไกล เชิญนั่ง ล้างเท้าทาน้ำมันเสียก่อน พักผ่อนสักหน่อย ในเวลาไม่นานนักจักได้เห็นพระศาสดา. 
         พาหิยะกราบเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ผมไม่รู้ถึงอันตรายในชีวิตของพระศาสดาเสียก่อนแล้ว จึงพักผ่อนภายหลัง. 
         เขาพูดอย่างนั้นแล้วก็รีบร้อน เข้าไปยังกรุงสาวัตถี ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งกำลังเสด็จจาริกไปด้วยพระพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้ คิดว่าเป็นเวลานานหนอที่เราได้พบพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าดังนี้ ตั้งแต่ที่ได้พบเห็นแล้วก็น้อมสรีระไปแล้ว กราบลงที่ระหว่างถนนด้วยเบญจางคประดิษฐ์จับที่ข้อพระบาทไว้มั่นแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรมเถิด ขอพระสุคตเจ้าจงทรงแสดงธรรมเถิด ซึ่งจะได้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนาน. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาทรงตรัสห้ามเขาไว้ว่า เวลานี้มิใช่กาล พาหิยะ เราจะเข้าไปยังละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาต. 
         พาหิยะได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว จึงกราบทูลวิงวอนอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏไม่เคยได้อาหารคือคำข้าวไม่มี ข้าพระองค์ไม่รู้อันตรายในชีวิตของพระองค์หรือว่าของข้าพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด ขอพระสุคตเจ้าจงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด. 
         พระศาสดาตรัสห้ามอย่างนั้นนั่นแลแม้ครั้งที่ ๒. 
         นัยว่า พระศาสดาได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า ตั้งแต่เวลาที่พาหิยะนี้เห็นแล้ว สรีระทั้งสิ้นของเขามีปิติท่วมทับหาระหว่างมิได้ กำลังแห่งปิติที่มีกำลังมาก แม้จะได้ฟังธรรมแล้วก็จำไม่สามารถเพื่อบรรลุได้เลย จงพักผ่อนด้วยมัชฌัตตุเปกขาเสียก่อน เพราะเมื่อเขาเดินทางมาสิ้นหนทางถึง ๑๒๐ โยชน์โดยราตรีเดียวเท่านั้น จงระงับความเหน็ดเหนื่อยอันนั้นเสียก่อน เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามถึง ๒ ครั้ง เขาทูลขอในครั้งที่ ๓ ประทับยืนอยู่ในระหว่างทางนั่นแล ได้ทรงแสดงธรรมโดยอเนกปริยายโดยนัยเป็นต้นว่า 
         เพราะเหตุนั้นในข้อนี้ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ พาหิยะ เมื่อเธอเห็นแล้ว จักเป็นสักว่าเห็น. 
         พาหิยะนั้นขณะกำลังฟังธรรมของพระศาสดาอยู่นั่นแล ได้ทำอาสวะทั้งปวงให้หมดสิ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔. 
         พาหิยะนั้น ในขณะที่ได้บรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล ระลึกถึงบุรพกรรมของตน เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสสมหิ ดังนี้. 
         คำนั้นมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. ข้าพเจ้าจักกระทำการพรรณนาเฉพาะบทที่ยากเท่านั้น. 
         บทว่า หสนํ ปจฺจเวกฺขณํ ความว่า พิจารณาดูความสมบูรณ์ด้วยโสมนัส คือมีวรรณะของคนวัยหนุ่มวัยสาว ละเอียดอ่อนยิ่งนัก. 
         บทว่า เหมยณฺโญปจิตงฺคํ ความว่า ผู้มีอวัยวะสรีระร่างกายอันบุญกรรมสร้างสรรให้คล้ายกับเส้นทองคำ. 
         บทว่า ปลมฺพพิพฺพตมฺโพฏฺฐํ ความว่า มีริมฝีปากทั้ง ๒ ข้างเป็นสีแดงคล้ายกับผลตำลึงสุก. 
         บทว่า เสตติณฺหสมํ ทิชํ ความว่า มีฟันเสมอคล้ายกระทำการตัดด้วยเครื่องตัดเหล็กและโลหะอันคมด้วยหินลับมีดชั้นดี ทำให้เสมอ. 
         บทว่า ปีติสมฺผุลฺลิตานนํ ความว่า มีใบหน้าเบิกบานด้วยดีด้วยปีติ คือมีหน้าแจ่มใสเช่นกับพื้นกระจก. 
         บทว่า ขิปฺปาภิญฺญสฺส ภิกฺขุโน ความว่า แห่งภิกษุผู้สามารถจะตรัสรู้ได้โดยพิเศษยิ่งโดยเร็วพลัน คือในขณะที่ยกธรรมขึ้นแสดงเท่านั้น. 
         บทว่า สคฺคํ อคํ สภวนํ ยถา ความว่า เราได้ไปสู่โลกสวรรค์ซึ่งคล้ายกับบ้านเรือนของตนฉะนั้น. 
         บทว่า น ตฺวํ อุปายมคฺคญฺญู ความว่า เธอมิใช่เป็นผู้รู้หนทางอันเป็นอุบายให้ได้บรรลุพระนิพพาน. 
         บทว่า สตฺถุโน สทา ชินํ มีประโยชน์ว่า เราพ่ายแพ้ต่อความกำเริบจักได้เห็นพระชินเจ้าผู้มีพระพักตร์อันผ่องใสดุจพื้นกระจก ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดกาลทั้งปวง คือจักออกไปเพื่อเข้าเฝ้า. 
         บทว่า ทิเช อปุจฺฉึ กุหึ โลกนนฺทโน ความว่า เราได้ถามพวกผู้เกิดสองครั้งคือพราหมณ์ ได้แก่พวกภิกษุว่า พระศาสดาผู้ทรงกระทำให้ชาวโลกเลื่อมใส ประทับอยู่ ณ ที่ไหน. 
         บทว่า สโสว ขิปฺปํ มุนิทิสฺสนุสฺสุโก ความว่า เป็นผู้มีความพยายามอุตสาหะในการเห็นพระมุนีเจ้า คือในการเห็นพระตถาคตเจ้า ดุจกระต่ายหมายจันทร์ฉะนั้น ย่อมบรรลุโดยพลัน. 
         บทว่า ตุวฏํ คนฺตฺวา คือ ไปโดยเร็วพลัน. 
         บทว่า ปิณฺฑตฺถํ อปิหาคิธํ ความว่า อาศัยบิณฑบาตไม่ละโมบ ปราศจากความละโมบ ไม่กำหนด ไม่มีตัณหา. 
         บทว่า อโลลกฺขํ เชื่อมความว่า เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไม่เหลียวมองดูข้างโน้นข้างนี้ เสด็จเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีอันอุดม. 
         บทว่า สิรีนิลยสงฺกาสํ ความว่า คล้ายกับที่อยู่อันงดงามด้วยสิริลักษณะและอนุพยัญชนะ คือเช่นกับเสาค่ายอันลุกโพลง. 
         บทว่า รวิทิตฺติหรานนํ ความว่ามณฑลหน้ามุขอันลุกโชติช่วง คล้ายกับมณฑลพระอาทิตย์อันรุ่งโรจน์ฉะนั้น. 
         บทว่า กุปเถ วิปฺปนฏฺฐสูส ความว่า ขอพระองค์จงเป็นสรณะคือจงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ ผู้หลงทาง ปฏิบัติผิดในหนทางที่บัณฑิตติเตียน คือในหนทางที่มีอันตราย. 
         คำว่า โคตม ความว่า พาหิยะย่อมร้องเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยพระโคตร. 
         บทว่า น ตตฺถ สุกฺกา โชตนฺติ ความว่า หมู่ดาวมีดาวประกายพรึกที่เรืองแสงเป็นต้น สมบูรณ์ด้วยรัศมีสุกปลั่ง ย่อมไม่รุ่งโรจน์อับแสงไป. 
         คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล. 
         พาหิยะนั้น ครั้นได้ประกาศเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อนอย่างนั้นแล้ว จึงได้ทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้นนั่นแล. และเขาถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า บาตรและจีวรของเธอมีครบแล้วหรือ จึงกราบทูลว่า ยังไม่ครบ พระเจ้าข้า. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะเขาว่า ถ้าอย่างนั้น เธอจงไปแสวงหาบาตรและจีวรมาเถิด แล้วก็เสด็จหลีกไป. 
         ได้ทราบมาว่า เขาบำเพ็ญสมณธรรมมาสิ้น ๒ หมื่นปี กล่าวว่า ธรรมดาว่าภิกษุได้ปัจจัยทั้งหลายมาด้วยตัวเอง ไม่ห่วงใยภิกษุรูปอื่น ตนเองนั้นย่อมสมควรเพื่อจะใช้สอยเอง ดังนี้แล้วจึงไม่ได้ทำการสงเคราะห์ด้วยบาตรหรือจีวรแม้แก่ภิกษุรูปหนึ่งเลย. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จักไม่เกิดขึ้นแก่เขาแน่ จึงมิได้ประทานการบรรพชาด้วยเอหิภิกขุ. 
         อมนุษย์ผู้มีเวรกันในกาลก่อน เข้าสิงในร่างของโคแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง ขวิดเขาเข้าที่โคนขาข้างซ้าย นำเขาผู้กำลังแสวงหาบาตรและจีวร ซึ่งฉุดดึงเอาท่อนผ้าออกจากกองหยากเยื่อแม้นั้นให้ถึงความสิ้นชีวิตไป. 
         พระศาสดาเสด็จจาริกไปบิณฑบาตแล้วทรงกระทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ขณะกำลังเสด็จออกพร้อมกับพวกภิกษุมากรูป ได้ทอดพระเนตรเห็นร่างของพาหิยะ ซึ่งฟุบจมกองหยากเยื่อแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงประคองพาหิยทารุจิริยะนี้ไป ดังนี้แล้วประทับยืนที่ประตูเรือนแห่งหนึ่ง ทรงสั่งพวกภิกษุว่า จงนำร่างนี้ขึ้นเตียงนำออกไปจากประตูเมืองแล้ว ให้ทำการฌาปนกิจ เก็บเอาธาตุไว้ก่อเป็นสถูป. 
         พวกภิกษุเหล่านั้นช่วยกันก่อสร้างสถูปบรรจุพระธาตุไว้ที่หนทางใหญ่แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ได้กราบทูลให้ทรงทราบถึงการงานที่ตนได้ทำเสร็จแล้ว แต่นั้นมาในท่ามกลางสงฆ์ก็เกิดถ้อยคำขึ้นว่า พระตถาคตเจ้าทรงบังคับให้เก็บเอาพระธาตุบรรจุไว้ที่เจดีย์ หนทางไหนหนอ ที่พาหิยะนั้นได้บรรลุแล้ว เขาเป็นสามเณรหรือว่าภิกษุหนอแล. 
         พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยะ ทารุจิริยะดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเพิ่มเติมขึ้นอีก. และพระศาสดาได้ตรัสบอกว่า พาหิยะนั้นปรินิพพานแล้ว จึงทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยะ ทารุจิริยะเลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลายของเราผู้ตรัสรู้ได้โดยพลันแล. 
         ลำดับนั้น พวกภิกษุจึงกราบทูลถามพระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า พาหิยะ ทารุจิริยะบรรลุพระอรหัตแล้ว เขาได้บรรลุพระอรหัตในเวลาใด พระเจ้าข้า. 
         พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเวลาที่เขาได้ฟังธรรมของเราแล้ว. 
         พวกภิกษุทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระองค์ตรัสแสดงธรรมแก่เขาเมื่อไร? 
         พระศาสดาตรัสว่า เมื่อเวลาที่เราจาริกไปเพื่อภิกษา ยืนอยู่ระหว่างถนน. พวกภิกษุทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ประทับยืนอยู่ระหว่างถนนแสดงธรรมเพียงเล็กน้อย เขายังคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้น ได้ด้วยพระธรรมเพียงเท่านั้นได้อย่างไร. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าคิดว่า ธรรมของเราน้อยหรือมาก ด้วยว่าคาถา ๑,๐๐๐ คาถาที่ประกอบด้วยบทอันหาประโยชน์มิได้ แม้จะมีเป็นอเนกก็ตาม ย่อมไม่ประเสริฐเลย ส่วนว่าบทแห่งคาถาแม้บทเดียวที่ประกอบด้วยประโยชน์ ย่อมประเสริฐแท้ ดังนี้. 
         เมื่อจะทรงสืบต่ออนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- 
               หากว่าคาถาที่ประกอบด้วยบทอันไม่มีประโยชน์ แม้มีตั้ง   ๑,๐๐๐ คาถา บทแห่งคาถาเพียงคาถาเดียวที่ตนได้ฟัง 
               แล้วสงบได้ ประเสริฐกว่าคาถาตั้ง ๑,๐๐๐ นั้น. 
         ในเวลาจบเทศนา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้บรรลุธรรมาภิสมัยแล.
จบอรรถกถาพาหิยเถราปทาน

ไม่มีความคิดเห็น: