Translate

15 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน อุรุเวลกัสสปเถราปทานที่ ๘ ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุรุเวลกัสสปเถระ

  
[๑๒๘] ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ผู้รู้แจ้ง โลกทั้งปวง เป็นนักปราชญ์มีจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ เป็นผู้ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์รู้ชัดได้ ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้น วัฏสงสาร ฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยประชุมชนให้ ข้ามพ้นไปเสียเป็นอันมาก
 พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ประกอบด้วย พระกรุณา แสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้า ให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงไม่มี ความอากูล ว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตรด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้น สูงประมาณ ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงามคล้ายทองคำอันล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งนั้น อายุของสัตว์แสนปี พระชินสีห์พระองค์ นั้น เมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณเท่านั้น ได้ทรงยัง ประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้นวัฏสงสารไปได้ ครั้งนั้นเราเป็น พราหมณ์ชาวเมืองหงสวดี อันชนสมมติว่าเป็นคนประเสริฐ ได้ เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ส่องโลก แล้วสดับพระธรรมเทศนา ครั้งนั้น เราได้ฟังพระผู้มีพระภาคทรงตั้งสาวกของพระองค์ ในตำแหน่งเอต- ทัคคะ ในที่ประชุมใหญ่ ก็ชอบใจจึงนิมนต์พระมหาชินเจ้ากับบริวาร เป็นอันมาก แล้วได้ถวายทานพร้อมกันกับพราหมณ์อีก ๑,๐๐๐ คน ครั้นแล้วเราได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคผู้นายก ยืนอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง เป็นผู้ร่าเริง ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ด้วยความเชื่อในพระองค์และด้วยอธิการคุณ ขอให้ข้าพระองค์ผู้เกิด ในภพนั้นๆ มีบริษัทมากเถิด ครั้งนั้น พระศาสดาผู้มีพระสุรเสียง เหมือนคชสารคำรน มีพระสำเนียงเหมือนนกการเวก ได้ตรัสกะ บริษัทว่า จงดูพราหมณ์ผู้นี้ ผู้มีวรรณเหมือนทองคำ แขนใหญ่ ปาก และตาเหมือนดอกบัว มีกายและใจสูงเพราะปีติ ร่าเริง มีความเชื่อ ในคุณของเรา เขาปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้มีเสียงเหมือนราชสีห์ ในอนาคตกาล เขาจักได้ตำแหน่งนี้สมดังมโนรถปรารถนา ในกัป นับแต่นี้ขึ้นไปหนึ่งแสน พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ซึ่ง สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์ นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรม เนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่ากัสสป พระอัคร นายกของโลก พระนามว่าผุสสะ ผู้เป็นพระศาสดาอย่างยอดเยี่ยม หาตัวเปรียบมิได้ ไม่มีใครจะเสมอเหมือน ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าผุสสะพระองค์ นั้นแล ทรงกำจัดความมืดทั้งปวง สางรกชัฏใหญ่ ทรงยังฝนคือ อมตธรรมให้ตกลง ให้มนุษย์และทวยเทพอิ่มหนำ ครั้งนั้น เรา สามคนพี่น้องเป็นราชมหาอำมาตย์ในพระนครพาราณสี ล้วนแต่ เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระมหากษัตริย์ รูปร่างองอาจแกล้วกล้า สมบูรณ์ด้วยกำลังไม่พ่ายแพ้ใครเลยในสงคราม ครั้งนั้นพระเจ้า แผ่นดินผู้มีเมืองชายแดนก่อการกำเริบ ได้ตรัสสั่งเราว่า ท่าน ทั้งหลายจงไปชนบทชายแดน พวกท่านจงยังกำลังของแผ่นดินให้ เรียบร้อย ทำแว่นแคว้นของเราให้เกษม แล้วกลับมาเถิด ลำดับ นั้นเราได้กราบทูลว่า ถ้าพระองค์จะพึงพระราชทานพระนายกเจ้า เพื่อให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอุปัฏฐากไซร้ ข้าพระองค์ทั้งหลายก็จัก ทำกิจของพระองค์ให้สำเร็จ ลำดับนั้น เราผู้ได้รับพระราชทานพร สมเด็จพระภูมิบาลส่งไปทำชนบทชายแดน ให้วางอาวุธแล้วกลับ มายังพระนครนั้น เราทูลขอการอุปัฏฐากพระศาสดาแด่พระราชา ได้พระศาสดาผู้เป็นนายกของโลกผู้ประเสริฐกว่ามุนีแล้ว ได้บูชา พระองค์ตราบเท่าสิ้นชีวิต เราทั้งหลายเป็นผู้มีศีลประกอบด้วย กรุณา มีใจประกอบด้วยภาวนา ได้ถวายผ้ามีค่ามาก ภัตมีรสอันประณีต เสนาสนะอันน่ารื่นรมย์ และเภสัชที่เป็นประโยชน์ที่ตนให้เกิดขึ้น โดยชอบธรรมแก่พระมุนีพร้อมทั้งพระสงฆ์ อุปัฏฐากพระองค์ด้วย จิตเมตตาตลอดกาล ครั้นพระศาสดาผู้เลิศพระองค์นั้นเสด็จนิพพาน แล้ว เราได้ทำการบูชาตามกำลัง เราทุกคนจุติจากอัตภาพนั้น แล้ว ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสวยมหันตสุขในดาวดึงส์นั้น นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เมื่อเรากำลังท่องเที่ยวอยู่ในภพเป็นเหมือน นายช่างดอกไม้ ได้ดอกไม้แล้วแสดงชนิดแห่งดอกไม้แปลกๆ มากมาย ฉะนั้น ได้เกิดเป็นพระเจ้าวิเทหราช เพราะถ้อย คำของคุณอเจลก เราจึงมีอัธยาศัยอันมิจฉาทิฏฐิกำจัดแล้วขึ้นสู่ทาง นรก ไม่เอื้อเฟื้อโอวาทของธิดาเราผู้ชื่อว่ารุจา เมื่อถูกพรหมนารทะ สั่งสอนเสียมากมาย จึงละความเห็นที่ชั่วช้าเสียได้ บำเพ็ญกุศล กรรมบถ ๑๐ ให้บริบูรณ์โดยพิเศษ ละทิ้งร่างกายแล้วได้ไปสวรรค์ เหมือนไปที่อยู่ของตัว ฉะนั้น เมื่อถึงภพสุดท้ายเราเป็นบุตรของ พราหมณ์ เกิดในสกุลที่สมบูรณ์ในพระนครพาราณสี เรากลัวต่อ ความตาย ความเจ็บไข้และความแก่ชราจึงเข้าป่าใหญ่ แสวงหาหน ทางนิพพาน ได้บวชในสำนักของชฎิล ครั้งนั้น น้องชายทั้งสอง ของเรา ก็ได้บวชพร้อมกับเรา เราได้สร้างอาศรมอาศัยอยู่ที่ตำบล อุรุเวลา เรามีนามตามโคตรว่ากัสสป แต่เพราะอาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุ เวลา เราจึงมีนามบัญญัติว่า อุรุเวลกัสสป เพราะน้องชายของเรา อาศัยอยู่ที่ชายแม่น้ำ เขาจึงได้นามว่านทีกัสสป เพราะน้องชาย ของเรา อีกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่ตำบลคยา เขาจึงถูกประกาศนามว่า คยากัสสป น้องชายคนเล็กมีศิษย์ ๒๐๐ คน น้องชายกลางมี ๓๐๐ คน เรามี ๕๐๐ ถ้วน ศิษย์ทุกคนล้วนแต่ประพฤติตามเรา ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้เลิศในโลกเป็นสารถีฝึกนรชนได้เสด็จมาหาเรา ทรงทำ ปาฏิหาริย์ต่างๆ แก่เราแล้วทรงแนะนำ เรากับบริวารพันหนึ่งได้ อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ได้บรรลุอรหัตพร้อมกับภิกษุเหล่านั้นทุก                           องค์ ภิกษุเหล่านั้นและภิกษุพวกอื่นเป็นอันมาก แวดล้อมเราเป็น                           ยศบริวาร และเราก็สามารถที่จะสั่งสอนได้ เพราะฉะนั้นพระผู้มี พระภาคผู้สูงสุด จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะความเป็นผู้มี บริษัทมาก โอ สักการะที่ได้ทำไว้ในพระพุทธเจ้าได้ก่อให้เกิดสิ่งที่ มีผลต่อเราแล้ว เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระอุรุเวลกัสสปเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ อุรุเวลกัสสปเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๘. อุรุเวลกัสสปเถราปทาน
         ๕๓๘. อรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถราปทาน         
         พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :- 
         อปทานของท่านพระอุรุเวลกัสสปเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
         แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านบังเกิดในเรือนอันมีสกุล เจริญวัยแล้ว ได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้มองเห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีบริวารมาก แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น ได้ถวายมหาทาน กระทำปณิธานไว้แล้ว. 
         และพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่าเขาไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล ในพระศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า เขาจักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีบริวารมาก. 
         เขากระทำบุญไว้ในภพนั้นเป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในที่สุด ๙๒ กัปแต่กัปนี้ ได้บังเกิดเป็นพระกนิษฐภาดาต่างพระมารดาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าผุสสะ เขาได้มีกนิฏฐภาดา ๒ คนแม้เหล่าอื่น. 
         คน ๓ คนเหล่านั้นได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บูชาด้วยเครื่องบูชาอย่างยอดเยี่ยมได้กระทำกุศลไว้จนตลอดชีวิตแล้วท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้บังเกิดเป็นพี่น้องกัน ๓ คนในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงพาราณสี ก่อนหน้าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงอุบัติขึ้นทีเดียว 
         ทั้ง ๓ คนได้มีชื่ออย่างนี้ว่ากัสสปะ ด้วยอำนาจแห่งโคตร. คนทั้ง ๓ คนเหล่านั้นเจริญวัยแล้วก็ได้เล่าเรียนจบไตรเพท. 
         บรรดาคนทั้ง ๓ เหล่านั้น คนพี่ชายใหญ่มีบริวาร ๕๐๐ คน คนกลางมีบริวาร ๓๐๐ คน คนน้องเล็กมีบริวาร ๒๐๐ คน. คนทั้ง ๓ นั้นตรวจดูสารถประโยชน์ในคัมภีร์ทั้งหมดของตน ได้เห็นแต่เพียงประโยชน์ปัจจุบันเท่านั้น จึงพากันยินดีการบวช. 
         บรรดาพี่น้อง ๓ คนนั้น คนพี่ใหญ่ได้ไปยังตำบลอุรุเวลาพร้อมกับบริวารของตน บวชเป็นฤๅษี ได้ปรากฏชื่อว่าอุรุเวลกัสสปะ. คนกลางบวชอยู่ที่ทางโค้งแม่น้ำคงคา ปรากฏชื่อว่านทีกัสสปะ. คนเล็กบวชอยู่ที่คยาสีสะได้ปรากฏชื่อว่าคยากัสสปะ. 
         เมื่อพี่น้อง ๓ คนนั้นได้บวชเป็นฤๅษีอย่างนั้น ต่างก็อยู่กันในที่นั้นๆ โดยล่วงไปได้หลายวัน. 
         พระโพธิสัตว์ของพวกเราได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้วโดยลำดับ ทรงให้พระเถระปัญจวัคคีย์ ดำรงอยู่แล้วในพระอรหัต ทรงแนะนำคน ๕๕ คนซึ่งเป็นสหายกันอันมียสกุลบุตรเป็นหัวหน้า (ให้ดำรงอยู่ในพระอรหัต) ทรงส่งพระอรหันต์ ๖๐ องค์ไปด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปเถิด ดังนี้แล้ว ทรงแนะนำพวกภิกษุภัททวัคคีย์ ๓๐ รูป แล้วได้เสด็จไปยังที่อยู่ของอุรุเวลกัสสปะ เสด็จเข้าไปยังโรงไฟเพื่อพักอาศัย ณ ที่นั้น ได้ทรงแนะนำอุรุเวลกัสสปะพร้อมทั้งบริวาร ด้วยปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ มีการทรมานนาคเป็นต้นเสร็จแล้ว จึงให้เขาได้บรรพชา. 
         วิธีการบรรพชาของอุรุเวลกัสสปะนั้นและการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ทั้งหมดจักมีแจ่มแจ้งในอรรถกถาอปทานของท่านนทีกัสสปะแล. 
         แม้ถึงพี่น้องที่เหลืออีก ๒ คนนอนกนี้ พอได้ทราบข่าวว่าอุรุเวลกัสสปะผู้พี่ใหญ่นั้นบวชแล้ว ต่างก็พร้อมด้วยบริวาร พากันมาบวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว. พี่น้อง ๓ คนทั้งหมดนั้นทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นเอหิภิกขุแล้ว. พระศาสดาทรงพาสมณะ ๑,๐๐๐ องค์นั้น เสด็จไปยังคยาสีสะ ประทับนั่งบนแผ่นหิน ทรงให้สมณะทั้งหมดนั้นดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วยพระอาทิตตปริยายเทศนา. 
         พระอุรุเวลกัสสปะนั้นพอได้บรรลุพระอรหัตแล้วอย่างนั้น เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อนของตน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
         ข้าพเจ้าจักพรรณนาเฉพาะบทที่ยากเท่านั้นแล. 
         บทว่า โส จ สฬพํ ตมํ หนฺตฺวา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าผุสสะ พระองค์นั้นทรงกำจัดได้แล้วซึ่ง มหาชฏํ ความว่า สะสาง ทำลายล้างผลาญชัฏเครื่องยุ่งกันใหญ่ ด้วยหมู่แห่งกิเลส ๑,๕๐๐ มีตัณหาและมานะเป็นต้น. 
         มีวาจาประกอบความว่า 
         ทำเทวโลกคือโลกสันนิวาสทั้งสิ้นให้ยินดี ให้อิ่มใจ ให้ชุ่มใจอยู่ ยังฝนคืออมตะมหานิพพานให้ตกลงไหลเอิบอาบแล. 
         บทว่า ตทา หิ พาราณสิยํ มีอรรถวิเคราะห์ว่า 
         คำว่า พารส แปลว่า ๑๒ ดุจในประโยคเป็นต้นว่า มนุษย์ ๑๒ คน เมืองที่มี ๑๒ ราศี ฤๅษีจากหิมวันตประเทศ และฤๅษีคือพระปัจเจกมุนีมาจากภูเขาคันธมาทน์โดยทางอากาศ ย่อมพากันไป คือหยั่งลง ได้แก่ย่อมเข้าไปในเมืองที่มี ๑๒ ราศีนั้น เหตุนั้น เมืองนั้นจึงชื่อว่าพาราณสี. 
         อีกความหมายหนึ่งว่า สถานที่อันบุคคลคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลายแสนพระองค์ทรงหยั่งลงเพื่อประกาศพระธรรมจักรให้เป็นไปทั่ว. 
         บัณฑิตเรียกกันว่าพาราณสี ด้วยอำนาจทางศัพท์เป็นอิตถีลิงค์ เพราะว่า นครศัพท์ให้เป็นลิงควิปลาส. ในพระนครพาราณสีนั้น. 
         บทว่า นิกฺขิตฺตสตฺถํ ปจฺจนฺตํ ความว่า ทำปัจจันตชนบทให้ทิ้งศัสตรา ให้วางอาวุธ ให้สิ้นพยศ. 
         บทว่า กตฺวา ปุนรุปจิจ ตํ ความว่า แล้วกลับเข้ามาถึงยังพระนครนั้นอีก. 
         คำที่เหลือมีเนื้อความพอที่จะกำหนดรู้ได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถราปทาน

ไม่มีความคิดเห็น: