Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา มี ๔ หน้าต่าง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา มี ๔ หน้าต่าง แสดงบทความทั้งหมด

14 สิงหาคม 2567

หน้าต่าง ๔/๔ อรรถกถา บทภาชนีย์ มาติกา ภุมมัฏฐวิภาคเป็นต้น ทุติยปาราชิกสิกขาบท [ว่าด้วย อทินนาทาน] ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

กถาว่าด้วยด่านภาษี     
               ชนทั้งหลายย่อมตระบัดภาษีจากที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อว่าสุงกฆาฏะ ที่เป็นแดนตระบัดภาษี.
               คำว่า สุงกฆาฏะ นั่นเป็นชื่อของด่านภาษี.
               จริงอยู่ ด่านภาษีนั้น ท่านเรียกว่า สุงกฆาฏะ เพราะเหตุที่ชนทั้งหลาย เมื่อไม่ยอมให้ของควรเสียภาษี เป็นค่าภาษีนำออกไปจากที่นั้น ชื่อว่าตระบัด คือ ยังภาษีของพระราชาให้สูญหายไป.
               สอง บทว่า ตตฺร ปวิสิตฺวา มีความว่า เข้าไปในด่านภาษีที่พระราชาทรงทำกำหนดตั้งไว้ในที่ทั้งหลาย มีเขาขาดเป็นต้นนั้น.
               สองบทว่า ราชคฺฆํ ภณฺฑํ ได้แก่ ภัณฑะที่ควรแก่พระราชา.
               อธิบายว่า ภาษีมีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก เป็นของที่ตนควรถวายแด่พระราชา จากภัณฑะใด, ภัณฑะนั้น. ปาฐะว่า ราชกํ บ้าง. เนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. ภิกษุมีไถยจิต คือยังไถยจิตให้เกิดขึ้นว่า เราจะไม่ให้ภาษีแก่พระราชาจากภัณฑะนี้ แล้วลูบคลำภัณฑะนั้น ต้องทุกกฏ, หยิบจากที่ที่วางไว้ใส่ในย่าม หรือผูกติดกับขาไว้ในที่ปิดบัง ต้องถุลลัจจัย, กิริยาที่ให้เคลื่อนจากฐาน ชื่อว่ายังไม่มี เพราะเขตแห่งปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดด้วยด่านภาษี, ภิกษุยังเท้าที่ ๒ ให้ก้าวข้ามเขตกำหนดด่านภาษีไป ต้องปาราชิก.
           สองบทว่า พหิ สุงฺกฆาฏํ ปาเตติ มีความว่า ภิกษุอยู่ภายในนั่นเองเห็นราชบุรุษทั้งหลายเมินเหม่อเสีย จึงขว้างไป เพื่อต้องการให้ตกไปภายนอก ถ้าภัณฑะนั้นเป็นของจะตกได้แน่นอน พอหลุดจากมือ เธอต้องปาราชิก. ถ้าภัณฑะนั้นกระทบต้นไม้หรือตอไม้ หรือถูกกำลังลมแรงหอบไปตกในภายในนั่นแลอีก ยังคุ้มได้. เธอหยิบขว้างไปอีก ต้องปาราชิก ตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. ถ้าภัณฑะนั้นตกที่พื้นดิน แล้วกลิ้งเข้ามาข้างในอีก เธอต้องปาราชิกเหมือนกัน.
       ส่วนในกุรุนทีและสังเขปอรรถกถากล่าวว่า ถ้าภัณฑะนั้นตกข้างนอก หยุดแล้วจึงกลิ้งเข้าไป เธอต้องปาราชิก ถ้ายังไม่ทันหยุดเลยกลิ้งเข้าไป ยังคุ้มได้. ภิกษุอยู่ภายในใช้มือหรือเท้าหรือไม้เท้า เขี่ยกลิ้งไป หรือว่าให้ผู้อื่นกลิ้งไป, ถ้าภัณฑะนั้นไม่หยุด กลิ้งออกไปต้องปาราชิก. ภัณฑะนั้นหยุดข้างในแล้วจึงออกไปข้างนอก ยังคุ้มได้. ภัณฑะที่ภิกษุวางไว้ภายในด้วยคิดว่า จักกลิ้งออกไปเองหรือว่าผู้อื่นจักให้มันกลิ้งออกไป ภายหลังกลิ้งเองหรือผู้อื่นกลิ้งออกไปข้างนอก ยังคุ้มได้เหมือนกัน. แต่ในภัณฑะที่ภิกษุวางไว้ด้วยจิตบริสุทธิ์และกลิ้งออกไปอย่างนั้น ไม่มีคำที่จะพึงกล่าวเลย.
           ภิกษุทำห่อสองห่อให้ติดกันเป็นพวงเดียว วางไว้ระหว่างแดนของด่านภาษี แม้ว่าค่าภาษีในห่อนอกจะได้ราคาบาทหนึ่งก็จริง ถึงกระนั้นห่อในยังคุ้มไว้ได้ เพราะเนื่องเป็นพวงเดียวกันกับห่อนอกนั้น. แต่ถ้าเธอย้ายห่อที่อยู่ภายในไปวางไว้ข้างนอก ต้องปาราชิก. แม้ในหาบที่ภิกษุทำให้เนื่องเป็นอันเดียวกันวางไว้ ก็มีนัยเหมือนกัน. แต่ถ้าภัณฑะนั้นเป็นของไม่ได้ผูก สักว่าพาดไว้บนปลายคานเท่านั้น เป็นปาราชิก.
               ภิกษุวางไว้ในยานหรือบนหลังม้าเป็นต้นซึ่งกำลังไป ด้วยทำในใจว่า ภัณฑะนี้มันจักนำออกไปในภายนอก เมื่อภัณฑะนั้นถูกนำออกไปแล้ว อวหารย่อมไม่มี แม้ภัณฑไทยก็ไม่มี. 
               เพราะเหตุไร? เพราะพระราชาพิกัดไว้ว่า จงเก็บภาษีแก่คนผู้เข้ามาในที่นี้, จริงอยู่ ภัณฑะนี้ ภิกษุตั้งไว้นอกด่านภาษี และเธอมิได้นำไป เพราะฉะนั้นจึงไม่มีภัณฑไทย ไม่เป็นปาราชิก.
               แม้ในภัณฑะที่วางไว้ในยานที่จอดอยู่เป็นต้น ครั้นเมื่อยานเป็นต้นนั้นไป เว้นประโยคของภิกษุนั้น แม้เมื่อมีไถยจิต อวหารย่อมไม่มีเหมือนกัน.
               แต่ถ้าภิกษุวางแล้ว ขับยานเป็นต้นไปอยู่ ให้ก้าวล่วงไปก็ดี ยืนข้างหน้าแล้วเรียกว่า มาเถิดโว้ย ดังนี้ เพราะความที่
ตนสั่งสมไว้ในมนต์ทั้งหลายมีมนต์เรียกช้างเป็นต้นก็ดี ต้องปาราชิก ในขณะก้าวล่วงแดนไป.
               ในเอฬกโลมสิกขาบท ไม่เป็นอาบัติในฐานะนี้ คือภิกษุให้ผู้อื่นนำขนเจียมไป, ในสิกขาบทนี้เป็นปาราชิก.
               ในเอฬกโลมสิกขาบทนั้น ภิกษุใส่ขนเจียมในยานหรือภัณฑะของชนอื่นผู้ไม่รู้ ให้ก้าวล่วงสามโยชน์ไป, ขนเจียมเป็นนิสสัคคีย์ เพราะเหตุนั้น ภิกษุต้องปาจิตตีย์, ในสิกขาบทนี้หาเป็นอาบัติไม่.
                ภิกษุเสียภาษีที่ด่านภาษีก่อนแล้วจึงไป ควรอยู่.
                ภิกษุรูปหนึ่งทำความผูกใจไว้แล้วไป ด้วยคิดว่า ถ้าเจ้าพนักงานภาษีทวงว่า ท่านจงให้ค่าภาษี เราก็จักให้, ถ้าพวกเขาไม่ทวง เราจักไป ดังนี้.
                เจ้าพนักงานภาษีคนหนึ่งได้เห็นภิกษุรูปนั้นจึงกล่าวว่า ภิกษุรูปนี้จะไป, พวกท่านจงเก็บค่าภาษีภิกษุนั้น.
                เจ้าพนักงานภาษีอีกนายหนึ่งพูดขึ้นว่า บรรพชิตจักมีค่าภาษีแต่ที่ไหนเล่า นิมนต์ไปเถิด ดังนี้, เป็นอันได้ข้ออ้าง ภิกษุควรไป.
                ภิกษุทั้งหลายที่ยังไม่เสียค่าภาษีเสียก่อน ไป ไม่ควร, ก็เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุพูดว่า รับเอาเถิด อุบาสก ดังนี้ก็ดี เมื่อเจ้าพนักงานภาษีพูดว่า เมื่อเราจะเก็บค่าภาษีของภิกษุ ก็จะต้องเอาบาตรและจีวร จะมีประโยชน์อะไรด้วยบาตรและจีวรนั้น นิมนต์ไปเถิด ดังนี้ก็ดี เป็นอันได้ข้ออ้างทีเดียว.
                ถ้าพวกเจ้าพนักงานภาษีนอนหลับอยู่ก็ดี เล่นสกาอยู่ก็ดี หรือไปในที่ไหนๆ เสียก็ดี, และภิกษุนี้ แม้ร้องเรียนว่า พวกเจ้าพนักงานภาษีอยู่ที่ไหนกัน?
                ก็ไม่พบเห็น, เป็นอันได้ข้ออ้างเหมือนกัน. แม้ถ้าภิกษุไปถึงด่านภาษีแล้วเผอเรอไป คิดถึงอะไรๆ อยู่ก็ดี สาธยายอยู่ก็ดี ตามประกอบมนสิการอยู่ก็ดี ถูกภยันตราย มีโจร ช้าง ราชสีห์และเสือโคร่งเป็นต้น ลุกวิ่งไล่ติดตามไปก็ดี เห็นมหาเมฆตั้งเค้าขึ้นแล้ว ประสงค์จะเข้าไปยังศาลาข้างหน้าก็ดี ล่วงเลยสถานที่นั้นไป เป็นอันได้ข้ออ้างเหมือนกัน.
             ในคำว่า ภิกษุหลบเลี่ยงภาษี นี้ ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถากุรุนทีว่า ถึงภิกษุก้าวลงสู่อุปจารแล้วหลบเลี่ยงไป ก็จริง ก็เป็นอวหารทีเดียว. แต่ในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุเล็งเห็นโทษอย่างเดียวว่า พวกราชบุรุษเบียดเบียนผู้หลบเลี่ยง ดังนี้ จึงก้าวลงสู่อุปจารแล้วหลบเลี่ยงไปเป็นทุกกฏ, เมื่อไม่ได้ก้าวลงเลย แต่หลบเลี่ยงไป ไม่เป็นอาบัติ. คำในมหาอรรถกถานี้ย่อมสมด้วยพระบาลี. ในด่านภาษีนี้ ควรกำหนดอุปจารไว้ ๒ เลฑฑุบาต ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยด่านภาษี     
              กถาว่าด้วยสัตว์มีชีวิต
                    ถัดจากกถาด่านภาษีนี้ไป พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงสัตว์ที่มีชีวิต ซึ่งพอควรแก่อวหารโดยส่วนเดียว จึงตรัสว่า มนุสฺสปาโณ เป็นต้น. เมื่อภิกษุลักมนุษย์ผู้ยังมีชีวิตแม้นั้น ซึ่งเป็นไทไป ย่อมไม่เป็นอวหาร. 
                    แม้มนุษย์ผู้เป็นไทคนใด ถูกมารดาหรือบิดาเอาไปจำนำไว้ หรือตัวเองเอาตัวเป็นประกันไว้ แล้วได้ถือเอาทรัพย์ ๕๐ หรือ ๖๐ กหาปณะไป, เมื่อภิกษุลักเอามนุษย์ผู้เป็นไทแม้คนนั้นไป ก็ไม่เป็นอวหาร. ส่วนทรัพย์ย่อมเพิ่มดอกเบี้ยขึ้นในสถานที่เขาไป. แต่เมื่อภิกษุลักทาสนั่นแล ต่างโดยเป็นทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย ทาสสินไถ่และทาสที่ถูกนำมาเป็นเชลย ย่อมเป็นอวหาร.
                    จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาทาสผู้เกิดในเรือนเบี้ยเป็นต้นนั้นนั่นแล จึงตรัสพระดำรัสนี้ไว้ว่า ที่ชื่อว่าสัตว์มีชีวิต เราเรียกคนยังมีชีวิต ดังนี้.
               [บุคคลผู้เป็นทาส ๓ จำพวก] 
   ก็บรรดาทาสเหล่านี้ ทาสที่เกิดในท้องของนางทาสีในเรือนพึงทราบว่า อันโตชาตกะ ทาสที่เกิดภายใน, ทาสที่ซื้อมาด้วยทรัพย์ พึงทราบว่า ธนักกีตกะ ทาสที่ไถ่มาด้วยทรัพย์, บุคคลที่ถูกกวาดต้อนมาจากต่างประเทศ แล้วเข้าถึงความเป็นทาส พึงทราบว่า กรมรานีตะ ทาสที่ถูกนำมาเป็นเชลย.
       ภิกษุคิดว่า เราจักลักมนุษย์ที่มีชีวิตเห็นปานนี้ไป แล้วลูบคลำ ต้องทุกกฏ. เมื่อเธอจับที่มือหรือเท้ายกขึ้น ทำให้ไหว ต้องถุลลัจจัย. เธอใคร่จะยกหนีไป ให้ล่วงเลยจากสถานที่ๆ ยืนอยู่ แม้เพียงปลายเส้นผมไป ต้องปาราชิก. 
       เธอจับที่ผมหรือที่แขนทั้งสองฉุดคร่าไป พึงปรับตามย่างเท้า. ภิกษุคิดว่า เราจักพาเดินไป ขู่หรือตี พลางพูดว่า แกจงไปจากที่นี้.
       เมื่อเขาไปยังทิศาภาคตามที่ภิกษุนั้นสั่ง เธอต้องปาราชิกในย่างเท้าที่ ๒. แม้ภิกษุเหล่าใดมีฉันทะร่วมกับภิกษุนั้น เป็นปาราชิก ในขณะเดียวกันแก่ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด.
        ภิกษุเห็นทาสแล้ว ถามถึงสุขทุกข์หรือไม่ถามก็ตาม พูดว่า แกจงไป จงหนีไปอยู่เป็นสุขเถิด. ถ้าทาสคนนั้นหนีไปไซร้.เธอต้องปาราชิกในย่างเท้าที่ ๒.
        ภิกษุรูปอื่นพูดกะทาสคนนั้น ผู้เข้ามาสู่สำนักของตนว่า แกจงหนีไป. ถ้าภิกษุตั้งร้อยรูปพูดกะทาสผู้เข้ามาสู่สำนักของตนๆ ตามลำดับ ก็เป็นปาราชิกด้วยกันทั้งหมด.
               ส่วนภิกษุรูปใดพูดกะทาสผู้กำลังวิ่งหนีไปนั่นเองว่า แกจงหนีไปตลอดเวลาที่เจ้าของยังจับแกไม่ได้, เธอรูปนั้นไม่ต้องอาบัติปาราชิก. แต่ถ้าเธอพูดกะทาสผู้ค่อยๆ เดินไป และทาสคนนั้นรีบจ้ำเดินไปตามคำของภิกษุนั้น เป็นปาราชิก, เมื่อภิกษุเห็นทาสผู้หนีไปยังบ้านหรือประเทศอื่น แล้วไล่ให้หนีไป แม้จากที่นั้นเป็นปาราชิกเหมือนกัน. ชื่อว่าอทินนาทาน ย่อมพ้นได้โดยปริยาย.
                จริงอยู่ ภิกษุรูปใดพูดอย่างนี้ว่า เธอทำอะไรอยู่ในที่นี้? เธอหนีไปไม่ควรหรือ?
                ก็ดี ว่า การที่เธอไปในที่ไหนๆ แล้ว มีชีวิตอยู่อย่างสบายไม่ควรหรือ? 
                ก็ดี ว่า พวกทาสและสาวใช้พากันหนีไปยังประเทศชื่อโน้นแล้ว ย่อมเป็นอยู่อย่างสบาย
                ก็ดี, และเขาได้ฟังคำพูดของภิกษุนั้นแล้ว ก็หนีไป, ย่อมไม่เป็นอาหาร.
                ฝ่ายภิกษุใดพูดว่า พวกอาตมาจะไปยังประเทศชื่อโน้น ผู้ไปในประเทศนั้นแล้วย่อมเป็นอยู่อย่างสบาย, และเมื่อพวกท่านไปพร้อมกับพวกอาตมา จะไม่มีความลำบากด้วยเสบียงทางเป็นต้น แม้ในระหว่างทางดังนี้แล้ว พาเอาทาสผู้มาพร้อมกับตนไป, ภิกษุรูปนั้นไม่ต้องปาราชิกด้วยไถยจิต ทั้งอวหารก็ไม่มีเลย เพราะอำนาจแห่งการเดินทาง และเมื่อมีพวกโจรดักอยู่ในระหว่างทาง แม้เมื่อภิกษุกล่าวว่า เฮ้ย พวกโจรซุ่มดักแล้ว, แกจงรีบหนีไป จงรีบมาไป ดังนี้ พระอาจารย์ทั้งหลายก็ไม่ปรับเป็นอวหาร เพราะเธอกล่าวเพื่อต้องการให้พ้นจากอันตรายแต่โจร ด้วยประการฉะนี้.
               จบกถาว่าด้วยสัตว์มีชีวิต    
              กถาว่าด้วยสัตว์ไม่มีเท้า
              บรรดาสัตว์ไม่มีเท้าทั้งหลาย ที่ชื่อว่างู มีเจ้าของ คืองูที่พวกหมองูเป็นต้นจับไว้ เมื่อให้เล่น ย่อมได้ค่าดูกึ่งบาทบ้าง บาทหนึ่งบ้าง กหาปณะหนึ่งบ้าง, แม้เมื่อจะปล่อยออก ก็รับเอาเงินและทองแล้วแลจึงปล่อยออก. เจ้าของงูเหล่านั้นไปยังโอกาสที่ภิกษุบางรูปนั่งแล้ววางกล่องงูไว้ นอนหลับไปหรือไปในที่ไหนๆ เสีย.
               ถ้าภิกษุนั้นจับกล่องนั้นในสถานที่นั้นด้วยไถยจิต ต้องทุกกฏ. 
               ทำให้ไหวต้องถุลลัจจัย, ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องปาราชิก. แต่ถ้าเธอเปิดกล่องออกแล้วจับงูที่คอ ต้องทุกกฏ, ยกงูขึ้นต้องถุลลัจจัย, เมื่อเธอยกขึ้นให้ตรงๆ พอเมื่อหางงูพ้นจากพื้นกล่องเพียงปลายเส้นผม ก็ต้องปาราชิก.
               เมื่อเธอดึงครูดออกไป พอหางงูพ้นจากขอบปาก (กล่อง) ไป ต้องปาราชิก. เธอเปิดปากกล่องออกนิดหน่อยแล้ว ตี หรือร้องเรียกออกชื่อว่า เฮ้ย จงเลื้อยออกมา แล้วให้เลื้อยออก ต้องปาราชิก.
               เธอเปิดออกเหมือนอย่างนั้นแล้วจึงทำเสียงกบร้อง หรือเสียงหนูร้อง หรือโปรยข้าวตอกลงก็ตาม แล้วร้องเรียกออกชื่อ หรือดีดนิ้วมือก็ตาม แม้เมื่องูเลื้อยออกไปด้วยกิริยาที่ทำเสียงเป็นต้นอย่างนั้น ก็ต้องปาราชิก.
               เมื่อเธอไม่ได้เปิดปากออก แต่ได้ทำกิริยาอย่างนั้น งูหิวจัด จึงชูศีรษะขึ้นดันฝากล่อง ทำช่องแล้วก็เลื้อยหนีไป เป็นปาราชิกเหมือนกัน. แต่เมื่อเธอเปิดปากออกแล้ว งูเลื้อยออกหนีไปเสียเอง ย่อมเป็นภัณฑไทย. แม้ถ้าเธอเปิดปากออกก็ตาม ไม่ได้เปิดออกก็ตาม แต่ได้ทำเป็นเสียงกบและเสียงหนูร้อง หรือโปรยข้าวตอกลงเท่านั้นอย่างเดียว ไม่ได้ร้องเรียกระบุชื่อ หรือไม่ได้ดีดนิ้วมือ, เพราะหิวจัด งูคิดว่าจักกินกบเป็นต้น จึงเลื้อยออกหนีไป เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน.
        ในอธิการนี้ ปลาอย่างเดียวมาแล้วด้วย อปท ศัพท์. ก็คำที่จะพึงกล่าวในปลานี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในภัณฑะตั้งอยู่ในน้ำนั่นเทียว ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยสัตว์ไม่มีเท้า    
              กถาว่าด้วยสัตว์ ๒ เท้า
   บรรดาสัตว์สองเท้าทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงจำพวกสัตว์ ๒ เท้า ซึ่งใครๆ อาจลักเอาไปได้ จึงตรัสคำว่า มนุสฺสา ปกฺขชาตา เป็นต้น.
               ส่วนพวกเทวดา ใครๆ ไม่อาจลักเอาไปได้.
               ที่ชื่อว่านก เพราะอรรถว่า สัตว์เหล่านั้นมีปีกเกิดแล้ว. สัตว์มีปีกเหล่านั้นมี ๓ จำพวก คือ มีขนเป็นปีกจำพวกหนึ่ง มีหนังเป็นปีกจำพวกหนึ่ง มีกระดูกเป็นปีกจำพวกหนึ่ง, บรรดาสัตว์เหล่านั้น นกยูงและไก่เป็นต้น พึงทราบว่ามีขนเป็นปีก, ค้างคาวเป็นต้น พึงทราบว่ามีหนังเป็นปีก, แมลงภู่เป็นต้นพึงทราบว่า มีกระดูกเป็นปีก.
       ในอธิการนี้ มนุษย์และนกเหล่านั้นทั้งหมดมาแล้วด้วยทวิปทศัพท์ล้วนๆ. ส่วนคำที่จะพึงกล่าวในสัตว์ ๒ เท้านี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในภัณฑะที่อยู่ในอากาศ และสัตว์มีชีวิตนั่นเทียว ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยสัตว์ ๒ เท้า      
               กถาว่าด้วยสัตว์ ๔ เท้า 
 พึงทราบวินิจฉัย ในสัตว์ ๔ เท้าต่อไป :-
              ชนิดแห่งสัตว์ ๔ เท้าทั้งหมด ที่เหลือจากที่มาในพระบาลี พึงทราบว่า ปศุสัตว์ สัตว์เลี้ยง. สัตว์ทั้งหลายมีช้างเป็นต้นปรากฏชัดแล้วแล. บรรดาสัตว์มีช้างเป็นต้นเหล่านั้น เมื่อภิกษุลูบคลำช้างด้วยไถยจิต เป็นทุกกฏ, ทำให้ไหว เป็นถุลลัจจัย. 
              ส่วนภิกษุรูปใดมีกำลังมาก ใช้ศีรษะทูนเอาลูกช้างตัวยังอ่อน ที่ต้นสะดือขึ้น เพราะความเมากำลังให้เท้าทั้ง ๔ และงวงพ้นจากดินแม้เพียงปลายเส้นผม, ภิกษุรูปนั้น ต้องปาราชิก.
               แต่ช้างบางเชือกเขาผูกขังไว้ในโรงช้าง, บางเชือกยืนอยู่ ไม่ได้ผูกเลย, บางเชือกยืนอยู่ภายในที่อยู่, บางเชือกยืนอยู่ที่พระลานหลวง.
               บรรดาช้างเหล่านั้น ช้างเชือกที่ผูกคอขังไว้ในโรงช้าง มีฐาน ๕ คือเครื่องผูกที่คอ และเท้าทั้ง ๔ สำหรับช้างเชือกที่เขาเอาโซ่เหล็กผูกไว้ที่คอและที่เท้าข้างหนึ่ง มีฐาน ๖. ช้างเชือกที่เขาผูกไว้ที่คอและที่เท้าทั้ง ๒ มีฐาน ๗. พึงทราบการทำให้ไหว และให้เคลื่อนจากฐาน ด้วยอำนาจแห่งฐานเหล่านั้น.
               โรงช้างทั้งสิ้นเป็นฐานของช้างเชือกที่เขาไม่ได้ผูกไว้, เป็นปาราชิก ในเมื่อให้ก้าวล่วงจากโรงช้างนั้นไป. พื้นที่ภายในที่อยู่ทั้งสิ้นนั่นแล เป็นฐานของช้างเชือกยืนอยู่ภายในที่อยู่, เป็นปาราชิก ในเมื่อให้ล่วงเลยประตูที่อยู่ของช้างนั้นไป. พระนครทั้งสิ้นเป็นฐานของช้างเชือกที่ยืนอยู่ที่พระลานหลวง, เป็นปาราชิก ในเมื่อให้ช้างนั้นล่วงเลยประตูพระนครไป. สถานที่ยืนอยู่นั่นเองเป็นฐานของช้างเชือกที่ยืนอยู่ภายนอกพระนคร.
           ภิกษุเมื่อลักช้างนั้นไป พึงปรับด้วยย่างเท้า. 
           สำหรับช้างที่นอนอยู่ มีฐานเดียวเท่านั้น. เมื่อภิกษุไล่ให้ช้างลุกขึ้น ด้วยไถยจิต พอช้างลุกขึ้นแล้ว เป็นปาราชิก,
           ถึงในม้าก็มีวินิจฉัยเหมือนกันนี้แล. แต่ถ้าม้านั้นถูกเขาล่ามไว้ที่เท้าทั้ง ๔ เทียว พึงทราบว่ามีฐาน ๘. ถึงในอูฐก็มีนัยเช่นนี้. แม้โคบางตัวเป็นสัตว์ที่เขาผูกขังไว้ใกล้เรือน บางตัวยืนอยู่ไม่ได้ผูกไว้เลย, แต่บางตัว เขาผูกไว้ในคอก บางตัวก็ยืนอยู่ไม่ได้ผูกไว้เลย.
             บรรดาโคเหล่านั้น โคที่เขาผูกขังไว้ใกล้เรือน มีฐาน ๕ คือเท้าทั้ง ๔ และเครื่องผูก. เรือนทั้งสิ้นเป็นฐานของโคที่ไม่ได้ผูก. โคที่เขาผูกไว้ในคอกก็มีฐาน ๕. คอกทั้งสิ้นเป็นฐานของโคที่ไม่ได้ผูก. ภิกษุให้โคนั้นล่วงเลยประตูคอกไป ต้องปาราชิก. 
             เมื่อเธอทำลายคอกลักไปให้ล่วงเลยประตูคอกไป เป็นปาราชิก. เธอเปิดประตูออก หรือทำลายคอกแล้ว ยืนอยู่ข้างนอก แล้วร้องเรียกออกชื่อ บังคับให้โคออกมา ต้องปาราชิก. แม้สำหรับภิกษุผู้แสดงกิ่งไม้ที่หักได้ ให้โคเห็นแล้วเรียกมา ก็มีนัยเหมือนกันนั่นแหละ.
             เธอไม่ได้เปิดประตู คอกก็ไม่ได้ทำลาย เป็นแต่สั่นกิ่งไม้ที่หักได้แล้วเรียกโคมา. โคกระโดดออกมาเพราะความหิวจัด เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
             แต่ถ้าเมื่อเธอเปิดประตูออก หรือทำลายคอกแล้ว โคก็ออกมาเสียเอง เป็นภัณฑไทย. เธอเปิดประตูหรือไม่ได้เปิดก็ตาม ทำลายคอกหรือไม่ได้ทำลายก็ตาม เป็นแต่สั่นกิ่งไม้ที่หักได้อย่างเดียว ไม่ได้เรียกโค. โคเดินออกมาหรือกระโดดออกมา เพราะความหิวจัด, เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน. โคที่เขาล่ามไว้กลางบ้าน ยืนอยู่ตัวหนึ่ง นอนอยู่ตัวหนึ่ง. โคตัวที่ยืนอยู่มีฐาน ๕. ตัวที่นอนอยู่มีฐาน ๒. พึงทราบการทำให้ไหว และให้เคลื่อนจากฐาน ด้วยอำนาจแห่งฐานเหล่านั้น.
               ก็ภิกษุรูปใดไม่ได้ไล่ให้โคที่นอนอยู่ลุกขึ้น แต่ให้ฆ่าเสียในที่นั้นนั่นเอง เป็นภัณฑไทยแก่ภิกษุรูปนั้น. ก็บ้านทั้งสิ้นเป็นฐานของโคตัวยืนอยู่ในบ้านที่ได้ประกอบประตูล้อมไว้เป็นอย่างดี สำหรับโคตัวที่ยืนอยู่ หรือที่เที่ยวไปในบ้านซึ่งไม่ได้ล้อม สถานที่ๆ เท้าทั้ง ๔ ย่ำไปย่ำมานั้นเอง เป็นฐาน.
       แม้ในสัตว์ทั้งหลายมีลาและปศุสัตว์เป็นต้น ก็มีวินิจฉัยเหมือนกันนี้นั่นแล.
               จบกถาว่าด้วยสัตว์ ๔ เท้า
             กถาว่าด้วยสัตว์มีเท้ามาก
 พึงทราบวินิจฉัยในสัตว์มีเท้ามากต่อไป :- ถ้าวัตถุปาราชิกเต็มด้วยตะขาบตัวเดียว เมื่อภิกษุลักตะขาบตัวนั้นไปด้วยเท้า เป็นถุลลัจจัย ๙๙ ตัว,เป็นปาราชิกตัวเดียว. คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               จบกถาว่าด้วยสัตว์มีเท้ามาก
                กถาว่าด้วยภิกษุผู้สั่ง
               ที่ชื่อว่าภิกษุผู้สั่ง เพราะอรรถว่า ประพฤติเลวทราม.    ท่านกล่าวอธิบายว่า ย่อมตามเข้าไปข้างใน ในสถานที่นั้นๆ.
               บทว่า โอจริตฺวา ความว่า คอยกำหนด คือคอยตรวจดู.
               บทว่า อาจิกฺขติ ความว่า ภิกษุแกล้งบอกทรัพย์ที่เก็บไว้ไม่ดี ในตระกูลของชนอื่นหรือในวิหารเป็นต้น ซึ่งมิได้จัดการอารักขาไว้แก่ภิกษุรูปอื่นผู้สามารถจะทำโจรกรรมได้.
               หลายบทว่า อาปตฺติ อุภินฺนํ ปาราชิกสฺส ความว่า เธอทั้งสองรูปต้องอาบัติปาราชิก อย่างนี้ คือในทรัพย์ที่จะต้องลักได้แน่นอน ภิกษุผู้สั่งเป็นในขณะสั่ง ภิกษุผู้รับสั่งนอกนี้ เป็นในขณะทำให้เคลื่อนจากฐาน.
               ส่วนภิกษุรูปใดทำปริยายโดยนัยเป็นต้นว่า ในเรือนไม่มีผู้ชาย เขาเก็บทรัพย์ชื่อโน้นไว้ในส่วนหนึ่ง ไม่ได้จัดการอารักขาไว้ ทั้งประตูก็ไม่ได้ปิด, อาจจะลักเอาไปได้ตามทางที่ไปแล้วนั่นแหละ ชื่อว่าบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งที่จะพึงไปลักเอาทรัพย์นั้น มาเลี้ยงชีวิตอย่างลูกผู้ชายไม่มี. และภิกษุรูปอื่นได้ฟังคำนั้นแล้วคิดว่า บัดนี้เราจักลักเอา (ทรัพย์นั้น) จึงเดินไปลัก, เป็นปาราชิกแก่ภิกษุรูปนั้น ในขณะที่ทำให้เคลื่อนจากฐาน. ส่วนภิกษุรูปนี้ไม่เป็นอาบัติ.
                จริงอยู่ภิกษุผู้ทำปริยายนั้นย่อมพ้นจากอทินนาทานโดยปริยายฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยภิกษุผู้สั่ง    
  กถาว่าด้วยผู้รับของฝาก
               ที่ชื่อว่า ภิกษุผู้รับของฝาก เพราะอรรถว่า รักษาทรัพย์ที่เขานำมาฝากไว้. ภิกษุรูปใดอันชนอื่นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญช่วยดูแลทรัพย์นี้สักครู่ จนกว่ากระผมจะทำกิจชื่อนี้ แล้วกลับมา ได้รักษาทรัพย์ที่เขานำมาในสถานที่อยู่ของตนไว้.
               คำว่า โอณิรกฺโข นั่น เป็นชื่อของภิกษุผู้รับของฝากนั้น. 
เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ที่ชื่อว่าภิกษุผู้รับของฝาก ได้แก่ ภิกษุผู้รักษาทรัพย์ที่เขานำมาฝากไว้ ดังนี้.
               ในเรื่องนั้น ภิกษุผู้รับของฝากไม่ได้แก้ห่อสิ่งของที่เจ้าของเขาผูกมัดตราสินออกเลย โดยส่วนมาก ตัดแต่กระสอบหรือห่อข้างล่างออกแล้วถือเอาแต่เพียงเล็กน้อยทำการเย็บเป็นต้น ให้เป็นปกติเดิมอีก สำหรับภิกษุผู้คิดว่า เราจักถือเอาด้วยอาการอย่างนี้ แล้วทำการจับต้องเป็นต้น พึงทราบว่าเป็นอาบัติตามสมควร ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยสัตว์ ๔ เท้า     
             กถาว่าด้วยสัตว์มีเท้ามาก
พึงทราบวินิจฉัยในสัตว์มีเท้ามากต่อไป :- ถ้าวัตถุปาราชิกเต็มด้วยตะขาบตัวเดียว เมื่อภิกษุลักตะขาบตัวนั้นไปด้วยเท้า เป็นถุลลัจจัย ๙๙ ตัว, เป็นปาราชิกตัวเดียว. คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               จบกถาว่าด้วยสัตว์มีเท้ามาก  
          กถาว่าด้วยภิกษุผู้สั่ง ที่ชื่อว่าภิกษุผู้สั่ง เพราะอรรถว่า ประพฤติเลวทราม. ท่านกล่าวอธิบายว่า ย่อมตามเข้าไปข้างใน ในสถานที่นั้นๆ.
               บทว่า โอจริตฺวา ความว่า คอยกำหนด คือคอยตรวจดู.
               บทว่า อาจิกฺขติ ความว่า ภิกษุแกล้งบอกทรัพย์ที่เก็บไว้ไม่ดี ในตระกูลของชนอื่นหรือในวิหารเป็นต้น ซึ่งมิได้จัดการอารักขาไว้แก่ภิกษุรูปอื่นผู้สามารถจะทำโจรกรรมได้.
               หลายบทว่า อาปตฺติ อุภินฺนํ ปาราชิกสฺส ความว่า เธอทั้งสองรูปต้องอาบัติปาราชิก อย่างนี้ คือในทรัพย์ที่จะต้องลักได้แน่นอน ภิกษุผู้สั่งเป็นในขณะสั่ง ภิกษุผู้รับสั่งนอกนี้ เป็นในขณะทำให้เคลื่อนจากฐาน.ส่วนภิกษุรูปใดทำปริยายโดยนัยเป็นต้นว่า ในเรือนไม่มีผู้ชาย เขาเก็บทรัพย์ชื่อโน้นไว้ในส่วนหนึ่ง ไม่ได้จัดการอารักขาไว้ ทั้งประตูก็ไม่ได้ปิด, อาจจะลักเอาไปได้ตามทางที่ไปแล้วนั่นแหละชื่อว่าบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งที่จะพึงไปลักเอาทรัพย์นั้น มาเลี้ยงชีวิตอย่างลูกผู้ชายไม่มี. และภิกษุรูปอื่นได้ฟังคำนั้นแล้วคิดว่า บัดนี้เราจักลักเอา (ทรัพย์นั้น) จึงเดินไปลัก, เป็นปาราชิกแก่ภิกษุรูปนั้น ในขณะที่ทำให้เคลื่อนจากฐาน. ส่วนภิกษุรูปนี้ไม่เป็นอาบัติ. 
               จริงอยู่ ภิกษุผู้ทำปริยายนั้น ย่อมพ้นจากอทินนาทานโดยปริยาย ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยภิกษุผู้สั่ง     
           กถาว่าด้วยผู้รับของฝาก
ที่ชื่อว่า ภิกษุผู้รับของฝาก เพราะอรรถว่า รักษาทรัพย์ที่เขานำมาฝากไว้. ภิกษุรูปใดอันชนอื่นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ช่วยดูแลทรัพย์นี้สักครู่จนกว่ากระผมจะทำกิจชื่อนี้แล้วกลับมาได้รักษาทรัพย์ที่เขานำมาในสถานที่อยู่ของตนไว้.
               คำว่า โอณิรกฺโข นั่น เป็นชื่อของภิกษุผู้รับของฝากนั้น.  เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ที่ชื่อว่าภิกษุผู้รับของฝาก ได้แก่ ภิกษุผู้รักษาทรัพย์ที่เขานำมาฝากไว้ ดังนี้.
               ในเรื่องนั้น ภิกษุผู้รับของฝากไม่ได้แก้ห่อสิ่งของที่เจ้าของเขาผูกมัดตราสินออกเลย โดยส่วนมาก ตัดแต่กระสอบหรือห่อข้างล่างออกแล้วถือเอาแต่เพียงเล็กน้อยทำการเย็บเป็นต้น ให้เป็นปกติเดิมอีก สำหรับภิกษุผู้คิดว่า เราจักถือเอาด้วยอาการอย่างนี้ แล้วทำการจับต้องเป็นต้น พึงทราบว่าเป็นอาบัติตามสมควร ฉะนี้แล.
     จบกถาว่าด้วยภิกษุผู้รับของฝาก   
             กถาว่าด้วยการชักชวนกันลัก
               การชักชวนกันลัก ชื่อว่าสังวิธาวหาร. มีคำอธิบายว่า การลักที่ทำด้วยความสมรู้ร่วมคิดกะกันและกัน.
               บทว่า สํวิทหิตฺวา มีความว่า ปรึกษาหารือกัน ด้วยความเป็นผู้ร่วมฉันทะกัน คือด้วยความเป็นผู้ร่วมอัธยาศัยกัน.
               [ภิกษุหลายรูปชวนกันไปลักทรัพย์ ต้องอาบัติหมดทุกรูป] วินิจฉัยในสังวิธาวหารนั้น ดังนี้ ภิกษุหลายรูปด้วยกันชักชวนกันว่า พวกเราจักไปเรือนชื่อโน้น จักทำลายหลังคาหรือฝา หรือจักตัดที่ต่อลักของ.
               ในภิกษุเหล่านั้นรูปหนึ่งลักของได้เป็นปาราชิกแก่ภิกษุทั้งหมดในขณะยกภัณฑะนั้นขึ้น.
               จริงอยู่ แม้ในคัมภีร์ปริวาร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ว่า
                                   ๔ คน ได้ชวนกันลักครุภัณฑ์ ๓ คน
                         เป็นปาราชิก คนหนึ่งไม่เป็นปาราชิก
                         ปัญหานี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
                        เนื้อความแห่งคำนั้น พึงทราบดังนี้
   ๔ คน คืออาจารย์กับอันเตวาสิกเป็นผู้ใคร่จะลักครุภัณฑ์ ราคา ๖ มาสก.
               ใน ๔ คนนั้นอาจารย์สั่งว่า คุณจงลัก ๑ มาสก คุณจงลัก ๑ มาสก คุณจงลัก ๑ มาสก ฉันจักลัก ๓ มาสก.
               ฝ่ายบรรดาอันเตวาสิกทั้งหลาย อันเตวาสิกรูปหนึ่งกล่าวว่า ใต้เท้าจงลัก ๓ มาสก นะขอรับ คุณจงลัก ๑ มาสก คุณจงลัก ๑ มาสก ผมจักลัก ๑ มาสก แม้อันเตวาสิก ๒ รูปนอกจากนี้ ก็ได้กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน.
               บรรดาชน ๔ คนนั้น มาสกหนึ่งของอันเตวาสิกคนหนึ่งๆ ในพวกอันเตวาสิก เป็นสาหัตถิกอวหาร, เป็นอาบัติทุกกฏแก่อันเตวาสิกทั้ง ๓ คนนั้น ด้วยมาสกหนึ่งนั้น. ๕ มาสกเป็นอาณัตติกอวหาร, เป็นปาราชิกแก่อันเตวาสิกทั้ง ๓ คนด้วย ๕ มาสกนั้น. ส่วน ๓ มาสก ของอาจารย์เป็นสาหัตถิกะ, เป็นถุลลัจจัยแก่อาจารย์นั้น ด้วย ๓ มาสกนั้น. ๓ มาสกเป็นอาณัตติกะ. แม้ด้วย ๓ มาสกนั้นก็เป็นถุลลัจจัยเหมือนกัน.
           จริงอยู่ ในอทินนาทานสิกขาบทนี้ สาหัตถิกะไม่เป็นองค์ของอาณัตติยะ หรืออาณัตติยะไม่เป็นองค์ของสาหัตถิกะ. แต่สาหัตถิยะ พึงปรับรวมกับสาหัตถิยะด้วยกันได้. อาณัตติยะพึงปรับรวมกับอาณัตติยะด้วยกันได้.
         เพราะเหตุนั้นแล ท่านจึงกล่าวว่า
                                   ๔ คน ได้ชวนกันลักครุภัณฑ์ ๓ คน
                         เป็นปาราชิก คนหนึ่งไม่เป็นปาราชิก ปัญหา
                         นี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว๑-
๑- วิ. ปริวาร.เล่ม ๘/ข้อ ๑๓๐๙.
               อีกอย่างหนึ่ง เพื่อไม่ฉงนในสังวิธาวหาร พึงกำหนดจตุกกะแม้นี้ โดยใจความ คือ ของสิ่งเดียวมีฐานเดียว, ของสิ่งเดียวมีหลายฐาน, ของหลายสิ่ง มีฐานเดียว, ของหลายสิ่ง มีหลายฐาน.
              ในจตุกกะนั้น ข้อว่าของสิ่งเดียว มีฐานเดียว นั้น คือ ภิกษุหลายรูปเห็นของมีราคา ๕ มาสกซึ่งเขาวางไว้ไม่มิดชิด ที่กระดานร้านตลาดของสกุลหนึ่ง จึงบังคับภิกษุรูปหนึ่งว่า คุณจงไปลักของสิ่งนั้น, เป็นปาราชิกแก่ภิกษุทั้งหมด ในขณะที่ยกภัณฑะขึ้นนั้น.
               ข้อว่าของสิ่งเดียว มีหลายฐาน นั้น คือ ภิกษุหลายรูปเห็นมาสกซึ่งเขาวางไว้ไม่มิดชิด บนกระดานร้านตลาดห้าแผ่นๆ ละมาสกของสกุลหนึ่ง จึงสั่งบังคับภิกษุรูปหนึ่งว่า คุณจงไปลักมาสกเหล่านั้น, เป็นปาราชิกแก่ทุกรูป ในขณะที่ยกมาสกที่ ๕ ขึ้น.
               ข้อว่าของหลายสิ่ง มีฐานเดียว นั้น คือ ภิกษุหลายรูปเห็นของมีราคา ๕ มาสกหรือเกินกว่า ๕ มาสกเป็นของๆ คนหลายคน ซึ่งวางไว้ล่อแหลมในที่เดียวกัน จึงสั่งบังคับภิกษุรูปหนึ่งว่า คุณจงไปลักของนั้น, เป็นปาราชิกแก่ทุกรูป ในขณะยกภัณฑะนั้นขึ้น.
               ข้อว่าของหลายสิ่ง มีหลายฐาน นั้น คือ ภิกษุหลายรูปเห็นมาสกของห้าสกุลๆ ละหนึ่งมาสกซึ่งวางไว้ล่อแหลม บนกระดานร้านตลาดห้าแผ่นๆ ละหนึ่งมาสก จึงสั่งบังคับภิกษุรูปหนึ่งว่า คุณจงไปลักมาสกเหล่านั้น, เป็นปาราชิกแก่ทุกรูป ในขณะที่ยกมาสกที่ ๕ ขึ้น ด้วยประการฉะนี้.
      จบกถาว่าด้วยการชักชวนกันลัก  
             กถาว่าด้วยการนัดหมาย
               กรรมเป็นที่หมายรู้กัน ชื่อว่าสังเกตกรรม. อธิบายว่า การทำความหมายรู้กัน ด้วยอำนาจกำหนดเวลา.
               ก็ในสังเกตกรรมนี้ เมื่อภิกษุผู้ใช้สั่งว่า คุณจงลักในเวลาก่อนอาหาร ภิกษุผู้รับใช้จะลักในเวลาก่อนอาหารวันนี้หรือพรุ่งนี้ หรือในปีหน้าก็ตามที, ความผิดสังเกตย่อมไม่มี, เป็นปาราชิกแม้แก่เธอทั้ง ๒ รูปตามนัยที่กล่าวแล้ว ในภิกษุผู้คอยกำหนดสั่งนั่นแล.
               แต่เมื่อภิกษุผู้ใช้สั่งว่า คุณจงลักในเวลาก่อนอาหารวันนี้ ภิกษุผู้รับใช้ลักในวันพรุ่งนี้, สิ่งของนั้นย่อมเป็นอันภิกษุผู้รับใช้ลักมาภายหลัง ล่วงเลยกำหนดหมายนั้นที่ผู้ใช้กำหนดไว้ว่าวันนี้, ถ้าเมื่อภิกษุผู้ใช้สั่งว่า จงลักในเวลาก่อนอาหารพรุ่งนี้ 
               ภิกษุผู้รับใช้ลักในเวลาก่อนอาหารวันนี้, สิ่งของนั้นย่อมเป็นอันผู้รับใช้ลักมาเสียก่อน ยังไม่ทันถึงกำหนดหมายนั้นที่ผู้ใช้กำหนดว่าพรุ่งนี้, เป็นปาราชิกเฉพาะภิกษุผู้ลักซึ่งลักด้วยอวหารอย่างนั้นเท่านั้น, ไม่เป็นอาบัติแก่ผู้ใช้ซึ่งเป็นต้นเหตุ.
               ในเมื่อผู้ใช้สั่งว่า จงลักในเวลาก่อนอาหารพรุ่งนี้, ฝ่ายภิกษุผู้รับใช้ลักในวันนั้นนั่นเอง หรือในเวลาหลังอาหารพรุ่งนี้ พึงทราบว่า ลักมาเสียก่อนและภายหลังการนัดหมายนั้น.
               แม้ในเวลาหลังอาหารกลางคืนและกลางวัน ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
               ก็ในสังเกตกรรมนั้น พึงทราบความถูกนัดหมาย และความผิดการนัดหมาย แม้ด้วยอำนาจแห่งเวลามีปุริมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม กาลปักข์ ชุณหปักข์ เดือน ฤดูและปีเป็นต้น.
               ถามว่า เมื่อภิกษุผู้ใช้สั่งว่า จงลักในเวลาก่อนอาหาร ภิกษุผู้รับใช้พยายามอยู่ด้วยอันคิดว่า จักลักในเวลาก่อนอาหารนั่นเอง และสิ่งของนั้นย่อมเป็นอันเธอลักมาได้ ในเวลาหลังอาหาร. ในอวหารข้อนี้ เป็นอย่างไร?
               แก้ว่า พระมหาสุมเถระกล่าวไว้ก่อนว่า นั่นเป็นประโยคในเวลาก่อนอาหารแท้ เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้สั่งซึ่งเป็นต้นเหตุ ย่อมไม่พ้น. ส่วนพระมหาปทุมเถระกล่าวว่า ชื่อว่าผิดการนัดหมาย เพราะล่วงเลยกำหนดกาลไป เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้สั่งซึ่งเป็นต้นเหตุจึงรอดตัวไป.
               จบกถาว่าด้วยการนัดหมาย  
              กถาว่าด้วยการทำนิมิต
                    การทำนิมิตบางอย่าง เพื่อให้เกิดความหมายรู้ ชื่อนิมิตกรรม.
                    นิมิตกรรมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ๓ อย่าง โดยนัยเป็นต้นว่า เราจักขยิบตาก็ดี. ก็การทำนิมิตแม้อย่างอื่นมีเป็นอเนกประการเป็นต้นว่า แกว่งไกวมือ ปรบมือ ดีดนิ้วมือ เอียงคอลง ไอและกระแอม พึงสงเคราะห์เข้าในนิมิตกรรมนี้. 
                    ส่วนคำที่เหลือในนิมิตกรรมนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วในสังเกตกรรมนั้นทีเดียวแล.
               จบกถาว่าด้วยการทำนิมิต      

หน้า ๓/๔ อรรถกถา บทภาชนีย์ มาติกา ภุมมัฏฐวิภาคเป็นต้น ทุติยปาราชิกสิกขาบท [ว่าด้วย อทินนาทาน] ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในป่า
  วินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในป่า พึงทราบดังนี้ :-  
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงป่าก่อน จึงตรัสว่า
 อรญฺญํ นาม ยํ ปมุสฺสานํ ปริคฺคหิตํ โหติ, ตํ อรญฺญํ (ที่ชื่อว่าป่า ได้แก่ป่าที่พวกมนุษย์หวงห้าม) ดังนี้.
              ในคำว่า อรญฺญํ นั้นมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เพราะขึ้นชื่อว่าป่า แม้ที่พวกมนุษย์หวงห้ามก็มี แม้ที่ไม่หวงห้ามก็มี.
            ในอธิการนี้ ท่านประสงค์เอาป่าที่เขาหวงห้าม มีการอารักขาเป็นแดนที่พวกมนุษย์ไม่ได้เพื่อจะถือเอาไม้และเถาวัลย์เป็นต้น โดยเว้นจากมูลค่า เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ป่าเป็นที่พวกมนุษย์หวงห้าม แล้วตรัสอีกว่า ชื่อว่าป่า ดังนี้.
            ด้วยคำว่าป่านั้น ท่านแสดงความหมายไว้ดังนี้ว่า ความเป็นที่หวงห้ามไม่จัดเป็นลักษณะของป่า, แต่ที่เป็นป่าโดยลักษณะของตน และพวกมนุษย์หวงห้าม ชื่อว่าป่าในความหมายนี้.   วินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในป่านั้นก็เป็นเช่นกับที่กล่าวแล้วในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในสวนเป็นต้น.
            ก็บรรดาต้นไม้ที่เกิดในป่านั้น เมื่อต้นไม้ที่มีราคามากแม้เพียงต้นเดียว ในป่านี้ สักว่าภิกษุตัดขาดแล้ว ก็เป็นปาราชิก.
               อนึ่ง ในบทว่า ลตํ วา นี้ หวายก็ดี เถาวัลย์ก็ดี ก็ชื่อว่าเถาวัลย์ทั้งนั้น.
              บรรดาหวายและเถาวัลย์เหล่านั้น หวายหรือเถาวัลย์ใด เป็นของยาวซึ่งยื่นไป หรือเกี่ยวพันต้นไม้ใหญ่และกอไม้เลื้อยไป เถาวัลย์นั้น ภิกษุตัดที่รากแล้วก็ดี หรือตัดที่ปลายก็ดี ไม่ยังอวหารให้เกิดขึ้นได้. แต่เมื่อใดภิกษุตัดทั้งที่ปลายทั้งที่ราก เมื่อนั้น ย่อมยังอวหารให้เกิดได้ หากเถาวัลย์ไม่เกี่ยวพัน (ต้นไม้) อยู่. ส่วนที่เกี่ยวพัน (ต้นไม้) อยู่ พอภิกษุคลายออกพ้นจากต้นไม้ ย่อมยังอวหารให้เกิดได้.   หญ้าก็ตาม ใบไม้ก็ตาม ทั้งหมดนั้น ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยศัพท์ว่าหญ้า
 ในบทว่า ติณํ วา นี้
           ภิกษุถือเอาหญ้านั้น ที่ผู้อื่นตัดไว้เพื่อประโยชน์แก่เครื่องมุงเรือนเป็นต้น หรือที่ตนเองตัดเอา พระวินัยธรพึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ และจะปรับอาบัติแต่เฉพาะถือเอาหญ้าและใบไม้อย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ ถือเอาเปลือกและสะเก็ดเป็นต้นแม้อย่างอื่นชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็พึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ. เมื่อภิกษุถือเอาวัตถุมีเปลือกไม้เป็นต้น ซึ่งพวกเจ้าของยังมีความอาลัยอยู่ พึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ แม้ต้นไม้ที่เขาถากทิ้งไว้นานแล้ว ก็ไม่ควรถือเอา.
             ส่วนต้นไม้ใดซึ่งเขาตัดที่ปลายและรากแล้ว กิ่งของต้นไม้นั้นเกิดเน่าผุบ้าง สะเก็ดทั้งหลายกระเทาะออกบ้าง, จะถือเอาด้วยคิดว่า ต้นไม้นี้ พวกเจ้าของทอดทิ้งแล้ว ดังนี้ ควรอยู่. แม้ต้นไม้ที่สลักเครื่องหมายไว้ เมื่อใดเครื่องหมายถูกสะเก็ดงอกปิด เมื่อนั้นจะถือเอาก็ควร. มนุษย์ทั้งหลายตัดต้นไม้ เพื่อประโยชน์แก่เรือนเป็นต้น เมื่อใด เขาสร้างเรือนเป็นต้นนั้นเสร็จแล้ว และเข้าอยู่อาศัย, เมื่อนั้น แม้ไม้ทั้งหลายย่อมเสียหายไปเพราะฝนและแดดแผดเผาอยู่ในป่า. ภิกษุพบเห็นไม้แม้เช่นนี้ จะถือเอาด้วยคิดว่า เขาทอดทิ้งแล้ว ดังนี้ ควรอยู่
               เพราะเหตุไร?
        เพราะเหตุว่า ไม้เหล่านั้นเจ้าของป่า (เจ้าพนักงานป่าไม้) ไม่มีอิสระ.
               ไม้ทั้งหลายที่ชนเหล่าใดให้ไทยธรรม (ค่าภาคหลวง) แก่เจ้าของป่าแล้วจึงตัด, ชนเหล่านั้นนั่นเองเป็นอิสระแห่งไม้เหล่านั้น และชนเหล่านั้นก็ทิ้งไม้เหล่านั้น พวกเขาเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในไม้เหล่านั้นแล้ว เพราะเหตุนั้น ภิกษุจะถือเอาไม้เช่นนั้นก็ควร.
             แม้ภิกษุรูปใดให้ไทยธรรม (ค่าภาคหลวง) แก่พนักงานผู้รักษาป่าไม้ก่อนทีเดียวแล้วเข้าป่า ให้ไวยาวัจกรถือเอาไม้ทั้งหลายได้ตามความพอใจ, การที่ภิกษุรูปนั้น แม้จะไม่ไปยังที่อารักขา (ด่านตรวจ) ของเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้เหล่านั้น ไปโดยทางตามที่ตนชอบใจ ก็ควร.
               แม้ถ้าเธอเมื่อเข้าไป ยังไม่ได้ให้ไทยธรรม ทำในใจว่า ขณะออกมาจักให้ ดังนี้ ให้ถือเอาไม้ทั้งหลาย แล้วขณะออกมาให้ไทยธรรมที่ควรให้แก่พวกเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้เหล่านั้นแล้วไป สมควรแท้.
             แม้ถ้าเธอทำความผูกใจไว้แล้วจึงไป เมื่อเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้ทวงว่า ท่านจงให้ ตอบว่า อาตมาจักให้ เมื่อเขาทวงอีกว่าจงให้ ควรให้ทีเดียว ถ้ามีบางคนให้ทรัพย์ของตนแล้ว พูด (กับเจ้าพนักงาน) ว่า พวกท่านจงให้ภิกษุไปเถิดดังนี้, ภิกษุจะไปตามข้ออ้างที่ตนได้แล้วนั้นแลควรอยู่. แต่ถ้าบางคนมีชาติเป็นอิสระ (เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่) ไม่ได้ให้ทรัพย์เลย ห้ามไว้ว่า พวกท่านอย่าได้รับค่าภาคหลวงสำหรับพวกภิกษุ ดังนี้ แต่พวกเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้พูดว่า เมื่อพวกเราไม่รับเอาของพวกภิกษุและดาบส จักได้จากที่ไหนเล่า? ให้เถิดขอรับ ดังนี้ ภิกษุควรให้เหมือนกัน.
              ส่วนภิกษุรูปใด เมื่อเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้นอนหลับ หรือขลุกขลุ่ยอยู่ในการเล่น หรือหลีกไปในที่ไหนๆ เสีย มาถึงแล้วแม้เรียกหาอยู่ว่า เจ้าพนักงานผู้ควบคุมป่าไม้อยู่ที่ไหนกัน ดังนี้ ครั้นไม่พบจึงไปเสีย, ภิกษุรูปนั้นเป็นภัณฑไทย.
               ฝ่ายภิกษุรูปใด ครั้นไปถึงสถานที่อารักขาแล้ว แต่มัวใฝ่ใจถึงกรรมฐานเป็นต้นอยู่หรือส่งจิตไปที่อื่นเสีย เลยผ่านไป เพราะระลึกไม่ได้. ภิกษุรูปนั้นเป็นภัณฑไทยเหมือนกัน.  แม้ภิกษุรูปใดไปถึงสถานที่นั้นแล้ว มีโจร ช้าง เนื้อร้ายหรือมหาเมฆปรากฏขึ้น, เมื่อภิกษุรูปนั้นรีบผ่านเลยสถานที่นั้นไป เพราะต้องการจะพ้นจากอุปัทวะนั้น ยังรักษาอยู่ก่อน แต่ก็เป็นภัณฑไทย. ก็ขึ้นชื่อว่า สถานที่อารักขาในป่านี้ เป็นของหนักมาก แม้กว่าด่านภาษี.
               จริงอยู่ ภิกษุเมื่อไม่ก้าวเข้าไปสู่เขตแดน ด่านภาษี หลบหลีกไปเสียแต่ที่ไกล จะต้องเพียงทุกกฏเท่านั้น แต่เมื่อเธอหลบหลีกที่อารักขาในป่านี้ไปด้วยไถยจิต ถึงจะไปโดยทางอากาศก็ตาม ก็เป็นปาราชิกโดยแท้ เพราะเหตุนั้น ภิกษุไม่ควรเป็นผู้ประมาทในสถานที่อารักขาในป่า ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในป่า               
              กถาว่าด้วยน้ำ               
               ก็ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยในน้ำดังนี้ :-
               บทว่า ภาชนคตํ ได้แก่ น้ำที่เขารวมใส่ไว้ในภาชนะทั้งหลายมีไหใส่น้ำเป็นต้น ในเวลาที่หาน้ำได้ยาก.
               เมื่อภิกษุเอียงภาชนะที่เขาใส่น้ำนั้นก็ดี ทำให้เป็นช่องทะลุก็ดี แล้วสอดภาชนะของตนเข้าไปรับเอาน้ำที่มีอยู่ ในภาชนะของเขาเหล่านั้นกับในสระโบกขรณีและบ่อก็พึงทราบวินิจฉัยโดยนัยดังที่กล่าวไว้ในเนยใสและน้ำมันนั่นแล.
               ส่วนในการเจาะคันนา มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เมื่อภิกษุเจาะคันนาแม้พร้อมทั้งภูตคามซึ่งเกิดขึ้นในคันนานั้น เป็นทุกกฏ เพราะเป็นประโยคแห่งอทินนาทาน.
               ก็แล ทุกกฏนั้นย่อมเป็นทุกๆ ครั้งที่ขุดเจาะ.
               ภิกษุยืนอยู่ข้างใน แล้วหันหน้าไปข้างนอกเจาะอยู่ พระวินัยธรพึงปรับอาบัติด้วยส่วนข้างนอก. เมื่อยืนอยู่ข้างนอกแล้วหันหน้าเข้าไปข้างในเจาะอยู่ พึงปรับอาบัติด้วยส่วนข้างใน, เมื่อเธอเจาะหันหน้าไปทั้งข้างในและข้างนอก คือ ยืนอยู่ที่ตรงกลางทำลายคันนานั้นอยู่ พึงปรับอาบัติด้วยส่วนตรงกลาง.
               ภิกษุทำคันนาให้ชำรุดแล้ว จึงร้องเรียกฝูงโคมาเอง หรือใช้ให้พวกเด็กชาวบ้านร้องเรียกมาก็ตาม, ฝูงโคเหล่านั้นพากันเอากีบเล็บตัดคันนา เป็นอันว่าภิกษุรูปนั้นนั่นเองตัดคันนา. ภิกษุทำคันนาให้ชำรุดแล้ว ต้อนฝูงโคเข้าไปในน้ำ หรือสั่งพวกเด็กชาวบ้านให้ต้อนเข้าไปก็ตาม, ระลอกคลื่นที่โคเหล่านั้นทำให้เกิดขึ้นซัดทำลายคันนาไป.
               อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุพูดชวนพวกเด็กชาวบ้านว่า จงพากันเล่นน้ำเถิด หรือตวาดพวกเด็กผู้เล่นอยู่ให้สะดุ้งตกใจ, ระลอกคลื่นที่เด็กเหล่านั้นทำให้ตั้งขึ้น ทำลายคันนาไป.
               ภิกษุตัดต้นไม้ที่เกิดอยู่ภายในน้ำเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นตัดก็ตาม, ระลอกคลื่นแม้ที่ต้นไม้ซึ่งล้มลงนั้นทำให้ตั้งขึ้น ซัดทำลายคันนาไป. เป็นอันว่าภิกษุรูปนั้นนั่นเอง เป็นผู้ทำลายคันนา.
               ภิกษุทำคันนาให้ชำรุดแล้ว ปิดน้ำที่เขาไขออกไป หรือปิดลำรางสำหรับไขน้ำออกจากสระเสีย เพื่อต้องการรักษาสระก็ดี ก่อคันหรือแต่งลำรางให้ตรงโดยอาการที่น้ำซึ่งไหลบ่าไปแต่ที่อื่น จะไหลเข้าไปในสระนี้ได้ก็ดี พังสระของตนซึ่งอยู่เบื้องบนสระของคนอื่นนั้นก็ดี, น้ำที่เอ่อล้นขึ้นไหลบ่าพัดเอาคันนาไป เป็นอันว่าภิกษุรูปนั้นนั่นเอง เป็นผู้ทำลายคันนา.
               ในที่ทุกๆ แห่ง พระวินัยธรพึงปรับด้วยอวหาร พอเหมาะสมแก่ราคาน้ำที่ไหลออกไป. แม้เมื่อภิกษุรื้อถอนท่อลำรางสำหรับไขน้ำออกไปเสีย ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               อนึ่ง ถ้าภิกษุนั้นทำคันนาให้ชำรุดแล้ว ฝูงโคซึ่งเดินมาตามธรรมดาของตนนั่นเอง หรือพวกเด็กชาวบ้านผู้ไม่ได้ถูกบังคับ ช่วยกันขับต้อนให้ขึ้นไปเอากีบเล็บตัดคันนาก็ดี ฝูงโคที่พวกเด็กชาวบ้านผู้ไม่ได้ถูกบังคับ ช่วยกันขับต้อนให้ลงไปในน้ำตามธรรมดาของตนเอง ทำให้ระลอกคลื่นตั้งขึ้นก็ดี, พวกเด็กชาวบ้านพากันเข้าไปเล่นน้ำเสียเอง ทำให้ระลอกคลื่นตั้งขึ้นก็ดี,
               ต้นไม้(ซึ่งเกิดอยู่) ภายในน้ำที่ถูกชนเหล่าอื่นตัดขาดล้มลงแล้ว ทำระลอกคลื่นให้ตั้งขึ้น, ระลอกคลื่นนั้นๆ ซัดคันนาขาดก็ดี, แม้หากว่า ภิกษุทำคันนาให้ชำรุดแล้ว ปิดที่ๆ เขาไขน้ำออกไป หรือลำรางสำหรับไขน้ำแห่งสระที่แห้ง ก่อคันหรือแต่งลำรางที่แห้งให้ตรงทางน้ำที่จะไหลบ่าไปแต่ที่อื่น, ภายหลังในเมื่อฝนตก น้ำไหลบ่ามาเซาะทำลายคันนาไป, ในที่ทุกๆ แห่ง เป็นภัณฑไทย.
               ส่วนภิกษุใดทำลายคันบึงแห้งในฤดูแล้งให้พังลงจนถึงพื้น, ภายหลังในเมื่อฝนตก น้ำที่ไหลมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไหลผ่านไป เป็นภัณฑไทยแก่ภิกษุรูปนั้น.     ข้าวกล้ามีประมาณเท่าใดที่เกิดขึ้นเพราะมีน้ำนั้นเป็นปัจจัย, ภิกษุเมื่อไม่ใช้ แม้ค่าทดแทนเท่าราคาบาทหนึ่งจากข้าวกล้า (ที่เสียไป) นั้น จัดว่าไม่เป็นสมณะ เพราะพวกเจ้าของทอดธุระ.
               แต่พวกชาวบ้านแม้ทั้งหมดเป็นอิสระแห่งน้ำในบึงทั่วไปแก่ชนทั้งปวง และปลูกข้าวกล้าทั้งหลายไว้ภายใต้แห่งบึงนั้นด้วย. น้ำก็ไหลออกจากลำรางใหญ่แต่บึงไปโดยท่ามกลางนา เพื่อหล่อเลี้ยงข้าวกล้า. แม้ลำรางใหญ่นั้นก็เป็นสาธารณะแก่ชนทั้งปวง ในเวลาน้ำไหลอยู่เสมอ. ส่วนพวกชนชักลำรางเล็กๆ ออกจากลำรางใหญ่นั้น แล้วไขน้ำให้เข้าไปในนาของตนๆ. ไม่ยอมให้คนเหล่าอื่นถือเอาน้ำในลำรางเล็กของตนนั้น, เมื่อมีน้ำน้อยในฤดูแล้ง จึงแบ่งปันน้ำให้กันตามวาระ. ผู้ใด เมื่อถึงวาระน้ำไม่ได้น้ำ, ข้าวกล้าของผู้นั้นย่อมเหี่ยวแห้งไป เพราะเหตุนั้น ผู้อื่นจะรับเอาน้ำในวาระของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่ได้.
              บรรดาลำรางเล็กเป็นต้นนั้น ภิกษุใดไขน้ำจากลำรางเล็ก หรือจากนาของชนเหล่าอื่น ให้เข้าไปยังเหมืองหรือนาของตน หรือของคนอื่นด้วยไถยจิตก็ดี ให้น้ำไหลบ่าปากดงไปก็ดี, ภิกษุนั้นเป็นอวหารแท้.
               ฝ่ายภิกษุใดคิดว่า นานๆ เราจักมีน้ำสักคราวหนึ่ง และข้าวกล้านี้ก็เหี่ยวแห้ง จึงปิดทางไหลของน้ำที่กำลังไหลเข้าไปในนาของชนเหล่าอื่นเสีย แล้วให้ไหลเข้าไปยังนาของตน ภิกษุนั้นเป็นอวหารเหมือนกัน.
               ก็ถ้าว่าเมื่อน้ำยังไม่ไหลออกจากบึง หรือยังไม่ไหลไปถึงปากเหมืองของชนเหล่าอื่น, ภิกษุก่อลำรางแห้งนั่นเองไว้ในที่นั้นๆ โดยอาการที่น้ำซึ่งกำลังไหลมา จะไม่ไหลเข้าไปในนาของชนเหล่าอื่น ไหลเข้าไปแต่ในนาของตนเท่านั้น เมื่อน้ำยังไม่ไหลออกมา แต่ภิกษุได้ก่อคันไว้ก่อนแล้ว ก็เป็นอันเธอก่อไว้ดีแล้ว, เมื่อน้ำไหลออกมาแล้ว ถ้าภิกษุก่อคันไว้ เป็นภัณฑไทย.
               แม้เมื่อภิกษุไปยังบึงแล้วรื้อถอนท่อลำรางสำหรับไขน้ำออกเสียเอง ให้น้ำไหลเข้าไปยังนาของตนไม่เป็นอวหาร.
               เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า ตนอาศัยบึงจึงได้ทำนา.
               แต่ในอรรถกถากุรุนทีเป็นต้นกล่าวว่า เป็นอวหาร คำที่ท่านกล่าวไว้นั้น ย่อมไม่สมด้วยลักษณะนี้ว่า วัตถุกาละและเทสะเป็นต้น.  เพราะเหตุนั้น คำที่ท่านกล่าวไว้ในมหาอรรถกถานั่นแหละชอบแล้ว ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยน้ำ               
              กถาว่าด้วยไม้ชำระฟัน         
    ไม้ชำระฟันอันผู้ศึกษาพึงวินิจฉัยตามข้อที่วินิจฉัยไว้ในภัณฑะตั้งอยู่ในสวน.
               ส่วนความแปลกกันในไม้ชำระฟันนี้ มีดังต่อไปนี้ :-
               ไวยาวัจกรคนใดเป็นผู้ที่สงฆ์เลี้ยงไว้ด้วยค่าบำเหน็จ ย่อมนำไม้ชำระฟันมาถวายทุกวัน หรือตามวารปักษ์และเดือน, ไวยาวัจกรคนนั้นนำไม้ชำระฟันนั้นมา แม้ตัดแล้วยังไม่มอบถวายภิกษุสงฆ์เพียงใด, ไม้ชำระฟันนั้นก็ยังเป็นของไวยาวัจกกรผู้นำมานั้นนั่นเองเพียงนั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุเมื่อถือเอาไม้ชำระฟันนั้นด้วยไถยจิต พึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ.
               อนึ่ง มีของครุภัณฑ์ซึ่งเกิดขึ้นในอารามนั้น, ภิกษุเมื่อถือเอาของครุภัณฑ์แม้นั้นที่ภิกษุสงฆ์รักษาคุ้มครอง ก็พึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ. ในไม้ชำระฟันที่ตัดแล้วและยังมิได้ตัดซึ่งเป็นของคณะบุคคลและมนุษย์คฤหัสถ์ก็ดี ในภัณฑะที่เกิดขึ้นในอารามและสวนเป็นต้น ของคณะบุคคลและมนุษย์คฤหัสถ์เหล่านั้นก็ดี ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               สามเณรทั้งหลาย เมื่อนำไม้ชำระฟันมาถวายแก่ภิกษุสงฆ์ตามวาระ ย่อมนำมาถวายแม้แก่พระอาจารย์และอุปัชฌายะ (ของตน). เธอเหล่านั้น ครั้นตัดไม้ชำระฟันนั้นแล้ว ยังไม่มอบถวายสงฆ์เพียงใด, ไม้ชำระฟันนั้นแม้ทั้งหมดก็ยังเป็นของเธอเหล่านั้นนั่นเองเพียงนั้น, เพราะเหตุนั้น ภิกษุเมื่อถือเอาไม้ชำระฟันแม้นั้นด้วยไถยจิต ก็พึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ.
              แต่เมื่อใด สามเณรเหล่านั้นตัดไม้ชำระฟันแล้วได้มอบถวายสงฆ์แล้ว แต่ยังเก็บไว้ในโรงไม้ชำระฟัน ด้วยคิดในใจอยู่ว่า ภิกษุสงฆ์จงใช้สอยตามสบายเถิด ดังนี้, ตั้งแต่กาลนั้นไปไม่เป็นอวหาร แต่ก็ควรทราบธรรมเนียม.
               จริงอยู่ ภิกษุรูปใดเข้าไปในท่ามกลางสงฆ์ทุกวัน ภิกษุรูปนั้นควรถือเอาไม้ชำระฟันได้เพียงวันละอันเท่านั้น. ส่วนภิกษุรูปใดไม่เข้าไปในท่ามกลางสงฆ์ทุกวัน พักอยู่ในเรือนที่บำเพ็ญเพียร จะปรากฏตัวได้ก็แต่ในที่ฟังธรรมหรือในโรงอุโบสถ. ภิกษุรูปนั้นควรกำหนดประมาณ แล้วเก็บไม้ชำระฟัน ๔-๕ อันไว้ในที่อยู่ของตนเคี้ยวเถิด.
             เมื่อไม้ชำระฟันเหล่านั้นหมดไปแล้ว แต่ถ้าในโรงไม้ชำระฟันยังมีอยู่มากทีเดียว ก็ควรนำมาเคี้ยวได้อีก, ถ้าเธอไม่กำหนดประมาณ ยังนำมาอยู่ไซร้, เมื่อไม้ชำระฟันเหล่านั้นยังไม่หมดสิ้นไปเลย แต่ในโรงหมดไป. คราวนั้น พระเถระทั้งหลายบางพวกจะพึงพูดว่า พวกภิกษุผู้นำไม้ชำระฟันไป จงนำมาคืน, บางพวกจะกล่าวว่า จงเคี้ยวไปเถิด, พวกสามเณรจักขนมาถวายอีก เพราะเหตุนั้น จึงควรกำหนดประมาณ เพื่อป้องกันการวิวาทกัน แต่ไม่มีโทษในการถือเอา. แม้ภิกษุผู้จะเดินทาง ควรใส่ไม้ชำระฟันหนึ่งหรือสองอันในถุงย่ามแล้วจึงไป ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยไม้ชำระฟัน      
                     กถาว่าด้วยต้นไม้เจ้าป่า               บทว่า วนปฺปติ ได้แก่ ต้นไม้เป็นเจ้าแห่งป่า. 
               คำว่า วนัปปติ นั่นเป็นชื่อของต้นไม้ที่เจริญที่สุดในป่า. ก็ต้นไม้ที่พวกมนุษย์หวงห้ามแม้ทั้งหมดมีมะม่วง ขนุนสำมะลอและขนุนธรรมดาเป็นต้น ท่านประสงค์เอาในอธิการนี้.
               ก็หรือว่า พวกมนุษย์ปลูกกระวานและเถาวัลย์เป็นต้นขึ้นไว้ที่ต้นไม้ใด, ต้นไม้นั้น เมื่อถูกภิกษุตัด ถ้าเปลือกก็ดี ใยก็ดี สะเก็ดก็ดี กระพี้ก็ดี แม้อันเดียวยังติดเนื่องกันอยู่แล ล้มลงบนพื้นดิน ก็ยังรักษาอยู่ก่อน.
              ส่วนต้นไม้ใดแม้ถูกตัดขาดแล้ว ก็ยังตั้งอยู่ตรงๆ นั่นเอง เพราะมีเถาวัลย์หรือกิ่งไม้โดยรอบธารไว้ หรือเมื่อล้มลงไปยังไม่ถึงพื้นดิน, ในต้นไม้นั้นไม่มีการหลีกเลี่ยง คือเป็นอวหารทีเดียว. แม้ต้นไม้ใดที่ภิกษุเอาเลื่อยตัดขาดแล้ว ก็ยังตั้งอยู่ในที่นั้นนั่นเอง เป็นเหมือนยังไม่ขาดฉะนั้น, แม้ในต้นไม้นั้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               ส่วนภิกษุรูปใดทำต้นไม้ให้หย่อนกำลัง ภายหลังจึงเขย่าให้ล้มลงก็ดี ให้ผู้อื่นเขย่าก็ดี ตัดไม้ต้นอื่นใกล้ต้นไม้นั้นทับลงไว้เองก็ดี ให้ผู้อื่นตัดทับก็ดี ต้อนพวกลิงให้ไปขึ้นบนต้นไม้นั้นก็ดี สั่งคนอื่นให้ต้อนขึ้นไปก็ดี ต้อนพวกค้างคาวให้ขึ้นบนต้นไม้นั้นก็ดี สั่งคนอื่นให้ต้อนขึ้นไปก็ดี ค้างคาวเหล่านั้นทำต้นไม้นั้นให้ล้มลง. อวหารย่อมมีแก่ภิกษุรูปนั้นเหมือนกัน.
             แต่ถ้าเมื่อเธอทำต้นไม้ให้หย่อนกำลังแล้ว มีผู้อื่นซึ่งเธอมิได้บังคับเคย เขย่าต้นไม้นั้นให้ล้มลงก็ตาม เอาต้นไม้ทับไว้เองก็ตาม พวกลิงหรือค้างคาวขึ้นเกาะตามธรรมดาของตนก็ตาม มีผู้อื่นซึ่งเธอมิได้บังคับขึ้นไปเองก็ตาม เธอแผ้วถางทางลมไว้เสียเองก็ตาม, ลมที่มีกำลังแรงพัดมาทำต้นไม้ให้ล้มลง. เป็นภัณฑไทยในที่ทุกแห่ง.
               ก็ในอธิการนี้ การแผ้วถางทางลมในเมื่อลมยังไม่พัดมา สมด้วยกิจทั้งหลาย มีการแต่งลำรางที่แห้งให้ตรงเป็นต้น หาสมโดยประการอื่นไม่. ภิกษุเจาะต้นไม้แล้วเอาศัสตราตอกก็ดี จุดไฟเผาก็ดี ตอกเงี่ยงกระเบนที่เป็นพิษไว้ก็ดี ต้นไม้นั้นย่อมตายไป ด้วยการกระทำใด, ในการกระทำนั้นทั้งหมด เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยต้นไม้เจ้าป่า  
           กถาว่าด้วยผู้นำทรัพย์ไป 
    ในภัณฑะที่มีผู้นำไป มีวินิจฉัยดังนี้ :-
              ภัณฑะที่ผู้อื่นนำไป ชื่อว่า หรณกะ.
              สองบทว่า เถยฺยจิตฺโต อามสติ ความว่า ภิกษุเห็นชนอื่นผู้ใช้สีสภาระเป็นต้นทูนเอาสิ่งของเดินไป แล้วคิดอยู่ในใจว่า เราจักแย่งเอาสิ่งของนั่นไป จึงรีบไปลูบคลำ เพียงการลูบคลำเท่านี้ เธอเป็นทุกกฏ.
               บทว่า ผนฺทาเปติ ความว่า ภิกษุทำการฉุดมาและฉุดไป แต่เจ้าของยังไม่ปล่อย, เพราะทำให้ไหวนั้น เธอเป็นถุลลัจจัย.
               สองบทว่า ฐานา จาเวติ ความว่า ภิกษุฉุดมาให้พ้นจากมือเจ้าของ, เพราะเหตุที่ให้พ้นนั้น เธอเป็นปาราชิก. แต่ถ้าเจ้าของภัณฑะลุกขึ้นแล้วโบยตี ภิกษุนั้นบังคับให้วางภัณฑะนั้น แล้วจึงรับคืนอีก. ภิกษุเป็นปาราชิก เพราะการถือเอาคราวแรกนั่นเอง.
               เมื่อภิกษุตัดหรือแก้เครื่องอลังการจากศีรษะ หู คอหรือจากมือถือเอา พอสักว่าเธอแก้ให้พ้นจากอวัยวะมีศีรษะเป็นต้น ก็เป็นปาราชิก. แต่เธอไม่ได้นำกำไลมือหรือทองปลายแขนที่มือออก เป็นแต่รูดไปทางปลายแขน ให้เลื่อนไปๆ มาๆ หรือทำให้เชิดไปในอากาศ ก็ยังรักษาอยู่ก่อน เครื่องประดับมีกำไลมือเป็นต้นให้เกิดเป็นปาราชิกไม่ได้ ดุจวลัยที่โคนต้นไม้และราวจีวรฉะนั้น.
               เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า มือที่สวมเครื่องประดับมีวิญญาณ.
               จริงอยู่ เครื่องประดับมีกำไลมือเป็นต้น ซึ่งสวมอยู่ในส่วนแห่งอวัยวะที่มีวิญญาณ ยังนำออกจากมือนั้นไม่ได้เพียงใด ก็ยังมีอยู่ในมือนั้นนั่นเองเพียงนั้น. ในวงแหวนที่สวมนิ้วมือในเครื่องประดับเท้าและสะเอวก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               ส่วนภิกษุรูปใดแย่งชิงเอาผ้าสาฎกที่ผู้อื่นนุ่งห่มอยู่ และผู้อื่นนั้นก็ไม่ปล่อยให้หลุดออกโดยเร็ว เพราะมีความละอาย, ภิกษุผู้เป็นโจรดึงทางชายข้างหนึ่ง, ผู้อื่น (คือเจ้าของผ้า) ก็ดึงทางชายอีกข้างหนึ่ง ยังรักษาอยู่ก่อน. เมื่อสักว่าผ้านั้นพ้นจากมือของผู้อื่น ภิกษุนั้นต้องปาราชิก.
               แม้ถ้าเอกเทศแห่งผ้าสาฎกที่ภิกษุดึงมาขาดไปอยู่ในมือ และเอกเทศนั้นได้ราคาถึงบาท ก็เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
               บทว่า สหภณฺฑหารกํ ความว่า ภิกษุคิดว่า เราจักนำภัณฑะพร้อมกับคนผู้ขนภัณฑะไป ดังนี้แล้วจึงคุกคามผู้ขนภัณฑะไปว่า เองจงไปจากที่นี้. บุคคลผู้ขนภัณฑะไปนั้นเกรงกลัว จึงได้หันหน้าไปยังทิศตามที่ภิกษุผู้เป็นโจรประสงค์ ก้าวเท้าข้างหนึ่งไป เป็นถุลลัจจัย แก่ภิกษุผู้เป็นโจร, เป็นปาราชิกในก้าวเท้าที่สอง.
               บทว่า ปาตาเปติ ความว่า แม้ถ้าภิกษุผู้เป็นโจร เห็นอาวุธในมือของบุคคลผู้ขนภัณฑะไป เป็นผู้มีความหวาดระแวง ใคร่จะทำให้อาวุธตกไปแล้วถืออาวุธนั้น จึงถอยออกไปอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งตวาด ทำให้อาวุธตกไป พอสักว่าอาวุธหลุดจากมือของผู้อื่นแล้ว ก็ต้องปาราชิก. ส่วนคำว่า ทำทรัพย์ให้ตกไป ต้องอาบัติทุกกฏ เป็นต้น พระองค์ตรัสไว้แล้วด้วยอำนาจความกำหนดหมาย.
 จริงอยู่ ภิกษุรูปใดกำหนดหมายไว้ว่า เราจักทำให้สิ่งของตกไปแล้วจักถือเอาสิ่งของที่เราชอบใจ ดังนี้ แล้วจึงทำให้ตกไป, เธอรูปนั้นต้องทุกกฏ เพราะทำให้สิ่งของนั้นตกไป และเพราะการจับต้องสิ่งของนั้น,ต้องถุลลัจจัย เพราะทำให้ไหว,ต้องปาราชิก เพราะทำสิ่งของที่มีราคาถึงบาทให้เคลื่อนจากฐาน.
               แม้เมื่อภิกษุถูกบุคคลผู้ขนภัณฑะไปผลักให้ล้มลงในภายหลังจึงปล่อยสิ่งของนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย. ฝ่ายภิกษุรูปใดเห็นบุคคลผู้ขนสิ่งของกำลังก้าวเดินไป จึงติดตามไป พลางพูดว่า หยุด หยุด วางสิ่งของลง ทำให้เขาวางสิ่งของลง, แม้ภิกษุรูปนั้นก็เป็นปาราชิก ในเมื่อสักว่าสิ่งของพ้นไปจากมือของผู้ขนไป เพราะคำสั่งนั้นเป็นเหตุ.
               ส่วนภิกษุรูปใดพูดว่า หยุดๆ แต่ไม่ได้พูดว่า วางสิ่งของลง, และบุคคลผู้ขนสิ่งของไปนอกนี้ จึงเหลียวดูภิกษุผู้เป็นโจรนั้น แล้วคิดว่า ถ้าภิกษุโจรรูปนี้พึงมาถึงตัวเรา จะพึงฆ่าเราเสียก็ได้ ยังเป็นผู้มีความห่วงใยอยู่ จึงได้ซ่อนสิ่งของนั้นไว้ในที่รกชัฏ ด้วยคิดในใจว่า จักกลับมาถือเอา ดังนี้แล้วหลีกไป, ยังไม่เป็นปาราชิก เพราะมีการทำให้ตกเป็นปัจจัย, แต่เมื่อภิกษุมาถือเอาด้วยไถยจิต เป็นปาราชิกในขณะยกขึ้น.
               ก็ถ้าภิกษุผู้เป็นโจรนั้นมีความรำพึงอย่างนี้ว่า สิ่งของนี้เมื่อเราทำให้ตกไปเท่านั้น ชื่อว่าได้ทำให้เป็นของๆ เราแล้ว ในระหว่างที่รำพึงนั้น จึงถือเอาสิ่งของนั้น ด้วยความสำคัญว่า เป็นของตน, ยังรักษาอยู่ ในเพราะการถือเอา, แต่เป็นภัณฑไทย. ครั้นเมื่อเจ้าของพูดว่า ท่านจงคืนให้ เมื่อไม่คืนให้ เป็นปาราชิก ในเมื่อเจ้าของทอดธุระ.
               แม้เมื่อภิกษุถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญาว่า เจ้าของภัณฑะนั้นทิ้งสิ่งของนี้ไป, บัดนี้ เขาไม่หวงแหนสิ่งของนี้ ดังนี้ก็มีนัยเหมือนกันนี้.ในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า แต่ถ้าเจ้าของกำลังตรวจดูด้วยเหตุเพียงคำที่ภิกษุโจรพูดว่า หยุด หยุด เท่านั้น เห็นภิกษุโจรนั้นแล้วทอดธุระเสียด้วยคิดว่า บัดนี้ มันไม่ใช่ของเรา หมดความห่วงใย ทอดทิ้งหนีไป, เมื่อภิกษุถือเอาของสิ่งนั้นด้วยไถยจิต เป็นทุกกฏ ในเมื่อยกขึ้น, เมื่อเจ้าของให้นำมาคืน พึงคืนให้, เมื่อไม่คืนให้ เป็นปาราชิก.
               เพราะเหตุไร?
               เพราะเหตุว่าเขาทอดทิ้งสิ่งของนั้น ด้วยประโยคของภิกษุนั้น.
               แต่ในอรรถกถาทั้งหลายอื่นไม่มีคำวิจารณ์เลย.
               วินิจฉัยแม้ในภิกษุผู้ถือเอาด้วยความสำคัญว่า เป็นของตนก็ดี ด้วยบังสุกุลสัญญาก็ดี โดยนัยก่อนนั่นเอง ก็เหมือนกันนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยผู้นำทรัพย์ไป
            กถาว่าด้วยสิ่งของที่เขาฝากไว้  
      พึงทราบวินิจฉัยในของฝากต่อไป :-
แม้ในเพราะการกล่าวเท็จทั้งที่รู้ตัวอยู่ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้รับไว้ ดังนี้ จึงเป็นทุกกฏ เพราะเป็นบุพประโยคแห่งอทินนาทาน. คงเป็นทุกกฏนั่นเอง แม้แก่ภิกษุผู้กล่าวคำเป็นต้นว่า ท่านพูดอะไร? คำนี้ไม่สมควรแก่ข้าพเจ้า, ทั้งไม่สมควรแก่ท่านด้วย. เจ้าของยังความสงสัยให้เกิดขึ้นว่า เราได้มอบทรัพย์ไว้ในมือของภิกษุนี้ในที่ลับ คนอื่นไม่มีใครรู้, เธอจักให้แก่เรา หรือไม่หนอ? เป็นถุลลัจจัยแก่ภิกษุ.
             เจ้าของเห็นข้อที่ภิกษุนั้นเป็นผู้หยาบคายเป็นต้นจึงทอดธุระว่า ภิกษุรูปนี้จักไม่คืนให้แก่เรา. ในภิกษุและเจ้าของภัณฑะนั้น ถ้าภิกษุนี้ยังมีความอุตสาหะในอันให้อยู่ว่า เราจักทำให้เขาลำบากแล้วจักให้ ยังรักษาอยู่ก่อน. แม้ถ้าเธอไม่มีควาอุตสาหะในอันให้, แต่เจ้าของภัณฑะยังมีความอุตสาหะในอันรับ ยังรักษาอยู่เหมือนกัน. แต่ถ้าภิกษุไม่มีอุตสาหะในอันให้นั้น. เจ้าของภัณฑะทอดธุระว่า ภิกษุนี้จักไม่ให้แก่เรา เป็นปาราชิกแก่ภิกษุ เพราะทอดธุระของทั้งสองฝ่ายด้วยประการฉะนี้.
        แม้ถ้าภิกษุพูดแต่ปากว่า จักให้ แต่จิตใจไม่อยากให้, แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นปาราชิก ในเพราะเจ้าของทอดธุระ แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ย้ายภัณฑะ ชื่อว่าของฝากนั้น ที่ชนเหล่าอื่นมอบไว้ในมือของตน เพื่อประโยชน์แก่การคุ้มครองไปจากฐาน โดยความเป็นประเทศนี้ไม่ได้คุ้มครอง นำไปเพื่อต้องการเก็บไว้ในที่คุ้มครอง. อวหารย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้ให้เคลื่อนจากฐานแม้ด้วยไถยจิต. เพราะเหตุไร? เพราะเป็นของที่เขาฝากไว้ในมือของตน แต่เป็นภัณฑไทย.
               แม้เมื่อภิกษุผู้ใช้สอยเสียด้วยไถยจิต ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ถึงในการถือเอาเป็นของยืมก็เหมือนกันแล. แม้คำว่า ธมฺมํ จรนฺโต เป็นอาทิ ก็มีนัยดังกล่าวแล้วเหมือนกัน. พรรณนาพระบาลีเท่านี้ก่อน.
               ส่วนวินิจฉัยนอกพระบาลีในของฝากนี้ ท่านกล่าวไว้แล้วด้วยอำนาจแห่งจตุกกะมีปัตตจตุกกะเป็นต้น อย่างนี้ :-
           ได้ยินว่า ภิกษุรูปหนึ่งให้เกิดความโลภขึ้นในบาตรที่
มีราคามากของผู้อื่น ใคร่จะลักบาตรนั้น จึงกำหนดที่ซึ่งเขาวางบาตรนั้นไว้ได้อย่างดี แล้วจึงวางบาตรแม้ของตนไว้ใกล้ชิดบาตรนั้นทีเดียว.
           ในสมัยใกล้รุ่ง แม้เธอจึงมาให้บอกธรรม แล้วเรียนพระมหาเถระผู้กำลังหลับอยู่ อย่างนี้ว่า กระผมไหว้ ขอรับ พระเถระถามว่า นั่นใคร? เธอจึงตอบว่า กระผมเป็นภิกษุอาคันตุกะ ขอรับ อยากจะลาไปแต่เช้านี่แหละ และบาตรของกระผมมีสายโยคเช่นนี้ มีถลกเช่นนี้ วางไว้ที่โน้น, ดีละ ขอรับ กระผมควรได้บาตรนั้น. พระเถระเข้าไปฉวยเอาบาตรนั้น, เป็นปาราชิกแก่ภิกษุผู้เป็นโจร ในขณะยกขึ้นทีเดียว.
           ถ้าเธอกลัวแล้วหนีไปในเมื่อพระเถระมาแล้ว ถามว่า คุณเป็นใคร มาผิดเวลา. เธอต้องปาราชิกแล้วเทียวจึงหนีไป. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่พระเถระ เพราะท่านมีจิตบริสุทธิ์. พระเถระทำในใจว่า เราจักหยิบบาตรนั้น แต่ฉวยเอาใบอื่นไป, แม้ในบาตรใบนั้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แต่นัยนี้ย่อมเหมาะในเมื่อพระเถระหยิบบาตรใบอื่น แต่เหมือนใบนั้น ดังเรื่องคนที่เหมือนกันกับคนที่สั่งในมนุสสวิคคหสิกขาบทฉะนั้น.
             ส่วนในกุรุนที ท่านกล่าวไว้ว่า พึงปรับอาบัติด้วยการย่างเท้าไป. คำที่ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีนั้น ย่อมสมในเมื่อพระเถระหยิบบาตรอื่น แต่ไม่เหมือนใบนั้นเลย. พระเถระสำคัญว่าเป็นบาตรใบนั้น แต่ได้หยิบเอาบาตรของตนให้ไป, ไม่เป็นปาราชิกแก่ภิกษุผู้เป็นโจร เพราะบาตรนั้นเจ้าของให้ เพราะตนถือเอาด้วยจิตไม่บริสุทธิ์ เป็นทุกกฏ. พระเถระสำคัญว่าเป็นบาตรใบนั้น แต่ได้หยิบเอาบาตรของภิกษุผู้เป็นโจรนั่นเองให้ไป, แม้ในอธิการว่าด้วยการหยิบบาตรของภิกษุผู้เป็นโจรให้ไปนี้ ไม่เป็นปาราชิกแก่ภิกษุผู้เป็นโจร เพราะบาตรใบนั้นเป็นของๆ ตน, แต่เพราะตนถือเอาด้วยจิตไม่บริสุทธิ์ เป็นทุกกฏแท้. เป็นอนาบัติแก่พระเถระในที่ทั้งปวง.
               ภิกษุอีกรูปอื่นคิดว่าจักลักบาตร แล้วไหว้พระเถระผู้กำลังจำวัด หลับอยู่เหมือนอย่างนั่นเอง และถูกพระเถระถามว่า นี้ใคร? ภิกษุนั้นเรียนว่า กระผมเป็นภิกษุไข้ ขอรับ ได้โปรดให้บาตรใบหนึ่งแก่กระผมก่อน กระผมไปยังประตูบ้านแล้ว จักนำเภสัชมา. พระเถระกำหนดว่า ในที่นี้ไม่มีภิกษุไข้ นี้จักเป็นโจร แล้วพูดว่า จงนำบาตรนี้ไป ได้นำบาตรของภิกษุผู้คู่เวรของตนให้ไป, เป็นปาราชิกแก่ทั้งสองรูป ในขณะที่ยกขึ้นนั่นเอง.
               แม้เมื่อพระเถระจำได้ดีว่า เป็นบาตรของภิกษุผู้คู่เวร แล้วยกบาตรของรูปอื่นขึ้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
              ก็ถ้าพระเถระจำได้ดีว่า บาตรใบนี้ของภิกษุผู้คู่เวร แต่ได้ยกเอาบาตรของภิกษุผู้เป็นโจรนั่นเองให้ไป เป็นปาราชิกแก่พระเถระ เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้เป็นโจร โดยนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               ถ้าพระเถระสำคัญอยู่ว่า บาตรใบนี้ของภิกษุผู้คู่เวรของภิกษุผู้เป็นโจรนั้น จึงให้บาตรของตนไป เป็นทุกกฏทั้งสองรูป โดยนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               พระมหาเถระรูปหนึ่งพูดกะภิกษุผู้อุปัฏฐากว่า คุณจงถือเอาบาตรและจีวร, เราจักไปบิณฑบาตยังบ้านชื่อโน้น. ภิกษุหนุ่มถือเอาเดินไปข้างหลังพระเถระ ยังไถยจิตให้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเลื่อนภาระบนศีรษะลงมาที่คอ ไม่เป็นปาราชิก.
               เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า บาตรและจีวรนั้น เธอถือไปตามคำสั่ง, แต่ถ้าเธอแวะออกจากทางเข้าดงไป พึงปรับอาบัติด้วยการย่างเท้า. ถ้าเธอกลับบ่ายหน้าไปทางวิหาร หนีไป เข้าวิหารแล้วจึงไป เป็นปาราชิกในขณะก้าวล่วงอุปจารไป. ถ้าแม้นเธอบ่ายหน้าสู่บ้าน หนีไปจากสถานที่พระมหาเถระผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งห่ม เป็นปาราชิกในขณะก้าวล่วงอุปจารบ้านไป.
               แต่ถ้าทั้งสองรูปเที่ยวบิณฑบาตฉันแล้ว หรือถือเอาออกไป, ฝ่ายพระเถระพูดกะภิกษุหนุ่มรูปนั้นแม้อีกว่า คุณจงถือเอาบาตรและจีวร เราจักไปยังวิหาร และภิกษุหนุ่มรูปนั้นก็เลื่อนภาระบนศีรษะลงมาที่คอในสถานที่นั้น โดยนัยก่อนนั่นแล ยังรักษาอยู่ก่อน. ถ้าแวะออกจากทางเข้าดงไป พึงปรับอาบัติด้วยการย่างเท้า. เธอกลับแล้วมุ่งหน้าไปสู่บ้านนั่นแลหนีไป เป็นปาราชิกในขณะก้าวล่วงอุปจารบ้านไป. เธอมุ่งหน้าไปยังวิหารข้างหน้าหนีไป แต่ไม่ยืน ไม่นั่งในวิหาร ไปเสียด้วยไถยจิต ยังไม่ทันสงบนั่นเอง, เป็นปาราชิกในขณะก้าวล่วงอุปจารไป.
               ฝ่ายภิกษุรูปใด ท่านมิได้ใช้ฉวยเอาเอง เป็นปาราชิกแก่ภิกษุรูปนั้น ในเพราะเลื่อนภาระที่ศีรษะลงมาที่คอเป็นต้น. คำที่เหลือเหมือนกับคำก่อนนั่นแล.
               ส่วนภิกษุใดอันพระเถระสั่งว่า คุณจงไปยังวิหารชื่อโน้นแล้ว ซักหรือย้อมจีวรแล้วจงมา ดังนี้รับคำว่า สาธุ แล้วฉวยเอาไป ไม่เป็นปาราชิก แม้แก่ภิกษุรูปนั้น ในเพราะยังไถยจิตให้เกิดขึ้น แล้วเลื่อนภาระบนศีรษะลงมาที่คอเป็นต้นในระหว่างทาง. 
              ในเพราะแวะออกจากทาง พึงปรับเธอด้วยการย่างเท้า.
               เธอไปยังวิหารนั้นแล้ว พักอยู่ในวิหารนั้นนั่นเองใช้สอยให้เก่าไปด้วยไถยจิต หรือว่าพวกโจรลักเอาจีวรนั้นของพระเถระนั้นไป ไม่เป็นอวหารแต่เป็นภัณฑไทย. แม้เมื่อเธอออกจากวิหารนั้นมาก็นัยนี้แล.
               ฝ่ายภิกษุใดท่านมิได้สั่ง เมื่อพระเถระทำนิมิตแล้ว หรือตนเองกำหนดได้ เห็นจีวรเศร้าหมองแล้ว จึงกล่าวว่า โปรดมอบจีวรเถิด ขอรับ ผมจักไปยังบ้านชื่อโน้นย้อมแล้วจักนำมา ดังนี้แล้วฉวยเอาไป เป็นปาราชิกแก่ภิกษุนั้นในเพราะยังไถยจิตให้เกิดขึ้น แล้วเลื่อนภาระบนศีรษะลงมาที่คอเป็นต้นในระหว่างทาง. เพราะเหตุไร? เพราะจีวรนั้น ตนถือเอาด้วยท่านมิได้สั่ง.
               เมื่อเธอแวะออกจากทางก็ดี กลับมายังวิหารนั้นนั่นเอง แล้วก้าวล่วงแดนวิหารไปก็ดี ก็เป็นปาราชิก ซึ่งมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ในเมื่อไถยจิตเกิดขึ้น แม้แก่เธอผู้ไปแล้วที่บ้านนั้น ย้อมจีวรแล้วกลับมาอยู่ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               แต่ถ้าเธอไปในวิหารใดก็พักอยู่ในวิหารนั้น หรือในวิหารในระหว่างทาง หรือกลับมายังวิหาร (เดิม) นั้นนั่นแลแล้วพักอยู่ ไม่ให้ก้าวล่วงแดนอุปจารในด้านหนึ่งแห่งวิหารนั้นไปก็ดี ใช้สอยให้เก่าไปด้วยไถยจิตก็ดี พวกโจรลักจีวรนั้นของภิกษุรูปนั้นไปก็ดี จีวรนั้นสูญหายไปด้วยประการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี เป็นภัณฑไทย. แต่เมื่อเธอก้าวล่วงแดนอุปจารสีมาไป เป็นปาราชิก.
               ฝ่ายภิกษุใด เมื่อพระเถระทำนิมิตอยู่ จึงเรียนท่านว่า โปรดให้เถิด ขอรับ ผมจักย้อมมาถวาย ดังนี้ แล้วเรียนถามว่า ผมจะไปย้อมที่ไหน ขอรับส่วนพระเถระกล่าวกะภิกษุรูปนั้นว่า คุณจงไปย้อมในที่ซึ่งคุณปรารถนาเถิด. ภิกษุรูปนี้ชื่อว่าทูตที่ท่านส่งไป. ภิกษุนี้ แม้เมื่อหนีไปด้วยไถยจิตก็ไม่ควรปรับด้วยอวหาร. แต่เมื่อเธอหนีไปด้วยไถยจิตก็ดี ให้ฉิบหายเสียด้วยการใช้สอยหรือด้วยประการอื่นก็ดี ย่อมเป็นภัณฑไทยเหมือนกัน.
               ภิกษุฝากบริขารบางอย่างไปไว้ในมือของภิกษุ ด้วยสั่งว่า ท่านจงให้แก่ภิกษุชื่อโน้น ในวิหารชื่อโน้น. วินิจฉัยในเมื่อไถยจิตเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ที่รับบริขารนั้นในที่ทั้งปวง ก็เป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในคำนี้ว่า คุณจงไปยังวิหารชื่อโน้นแล้ว ซักหรือย้อมจีวรแล้วจงมา ดังนี้. ภิกษุอีกรูปหนึ่งใคร่จะส่ง (บริขาร) ไป จึงทำนิมิตโดยนัยว่า ใครหนอจักรับไป. ก็ในสถานที่นั้นมีภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า โปรดให้เถิด ขอรับ ผมจักรับไป ดังนี้แล้วก็รับเอา (บริขารนั้น) ไป.
      วินิจฉัยในเมื่อไถยจิตเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ที่รับบริขารนั้น ในที่ทั้งปวงเป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในคำนี้ว่า โปรดให้จีวรเถิด ขอรับ ผมไปยังบ้านชื่อโน้น ย้อมแล้ว จักนำมา ดังนี้.
      พระเถระได้ผ้าเพื่อประโยชน์แก่จีวรแล้ว ก็เก็บไว้ในตระกูลอุปัฏฐาก. ถ้าอันเตวาสิกของพระเถระนั้นใคร่จะลักเอาผ้าไป จึงไปในตระกูลนั้น แล้วพูดเหมือนตนถูกพระเถระใช้ให้ไปว่า นัยว่าพวกท่านจงให้ผ้านั้น. อุบาสิกาเชื่อคำของภิกษุรูปนั้นแล้ว ได้นำเอาผ้าที่อุบาสกเก็บไว้มาถวายก็ดี อุบาสกหรือใคร คนอื่น (เชื่อคำของภิกษุรูปนั้นแล้ว) ได้นำเอาผ้าที่อุบาสิกาเก็บไว้มาถวายก็ดี. ภิกษุรูปนั้นเป็นปาราชิกในขณะที่ยกขึ้นนั่นเอง.
     แต่ถ้าพวกอุปัฏฐากของพระเถระพูดว่า พวกเราจักถวายผ้านี้แก่พระเถระ แล้วก็เก็บผ้าของตนไว้, ถ้าอันเตวาสิกของพระเถระนั้นใคร่จะลักเอาผ้านั้น จึงไปในตระกูลนั้นแล้วพูดว่า นัยว่า พวกท่านใคร่จะถวายผ้าแก่พระเถระ จงให้ผ้านั้นเถิด. และอุปัฏฐากเหล่านั้นเชื่ออันเตวาสิกรูปนั้น แล้วพูดว่า ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า นิมนต์ให้ท่านฉันแล้วจักถวาย จึงได้เก็บไว้,
 นิมนต์ท่านรับเอาไปเถิด แล้วก็ถวายไป ไม่เป็นปาราชิก เพราะผ้านั้นพวกเจ้าของถวายแล้ว แต่เป็นทุกกฏ เพราะเธอถือเอาด้วยจิตไม่บริสุทธิ์ และเป็นภัณฑไทยด้วย.
           ภิกษุเดินไปยังบ้านบอกแก่ภิกษุว่า ผู้มีชื่อนี้จักถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ผม, ท่านพึงรับเอาผ้านั้นแล้วเก็บไว้ด้วย. ภิกษุรูปนั้นรับว่า ดีละ แล้วเก็บผ้าสาฎกที่มีราคามากที่ภิกษุนั้นให้ไว้ กับผ้าสาฎกที่มีราคาน้อยซึ่งตนได้แล้ว ภิกษุนั้นมาแล้วจะรู้ว่าผ้าที่ตนได้มีราคามากหรือไม่รู้ก็ตาม พูดว่า ท่านจงให้ผ้าอาบน้ำฝนแก่ผมเถิด. เธอตอบว่า ผ้าสาฎกที่ท่านได้มามีเนื้อหยาบ ส่วนผ้าสาฎกของผมมีราคามาก ทั้งสองผืนผมได้เก็บไว้ในโอกาสชื่อโน้นแล้ว โปรดเข้าไปเอาเถิด. เมื่อภิกษุรูปที่ทวงนั้นเข้าไปเอาผ้าสาฎกเนื้อหยาบแล้ว, ภิกษุรูปนอกนี้ถือเอาผ้าสาฎกอีกผืนหนึ่ง เป็นปาราชิกในขณะยกขึ้น.
               แม้ถ้าภิกษุที่เก็บผ้าไว้นั้นได้จารึกชื่อของตนไว้ในผ้าสาฎกของภิกษุที่มาทวงนั้น และชื่อของภิกษุที่มาทวงนั้นไว้ในผ้าสาฎกของตน แล้วกล่าวว่า ท่านจงไปอ่านดูชื่อ ถือเอาไปเถิด ดังนี้. แม้ในผ้าสาฎกที่กล่าวนั้นก็นัยนี้เหมือนกัน.
               ส่วนภิกษุเจ้าถิ่นรูปใดเก็บผ้าสาฎกที่ตนเองและภิกษุอาคันตุกะนั้นได้มารวมกันไว้แล้ว พูดกะภิกษุอาคันตุกะนั้นอย่างนี้ว่า ผ้าสาฎกที่ท่านและผมได้ทั้งสองผืนเก็บไว้ภายในห้อง ท่านจงไปเลือกเอาผ้าที่ท่านปรารถนาเถิด.
                และภิกษุอาคันตุกะนั้นถือเอาผ้าสาฎกเนื้อหยาบที่ภิกษุเจ้าถิ่นได้มานั่นแล เพราะความละอาย. ในภิกษุอาคันตุกะและเจ้าถิ่นนั้น เมื่อภิกษุเจ้าถิ่นถือเอาผ้าสาฎกนอกนี้ เหลือจากที่อาคันตุกะภิกษุเลือกเอาแล้ว ไม่เป็นอาบัติ.
                ภิกษุอาคันตุกะ เมื่อพวกภิกษุเจ้าถิ่นทำจีวรกรรมอยู่ เก็บบาตรและจีวรไว้ในที่ใกล้เข้าใจว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้นจักคุ้มครองไว้ จึงไปอาบน้ำหรือไปในที่อื่นเสีย. ถ้าภิกษุเจ้าถิ่นคุ้มครองบาตรและจีวรนั้นไว้ ข้อนั้นเป็นการดี. 
                ถ้าไม่คุ้มครองไว้ เมื่อบาตรและจีวรนั้นสูญหายไป ก็ไม่เป็นสินใช้. แม้ถ้าภิกษุอาคันตุกะนั้นกล่าวว่า จงเก็บบาตรและจีวรนี้ไว้เถิด ขอรับ แล้วไป. และภิกษุเจ้าถิ่นนอกนี้ไม่ทราบเพราะมัวขวนขวายในกิจอยู่พึงทราบนัยเหมือนกันนี้.
                แม้ถ้าภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้นอันภิกษุอาคันตุกะกล่าวว่า จงเก็บบาตรและจีวรนี้ไว้เถิด ขอรับ ได้ห้ามว่า พวกข้าพเจ้ากำลังยุ่ง และภิกษุอาคันตุกะนอกนี้ก็คิดว่า ท่านเหล่านี้จักเก็บแน่นอน ไม่ติดใจแล้วไปเสีย, พึงทราบนัยเหมือนกันนี้.
                แต่ถ้าภิกษุเจ้าถิ่นถูกพระอาคันตุกะรูปนั้น ขอร้องหรือไม่ขอก็ตาม พูดว่า พวกข้าพเจ้าจักเก็บไว้เอง, ท่านจงไปเถิด ดังนี้ ต้องรักษาบาตรและจีวรนั้นไว้ ถ้าไม่รักษาไว้ไซร้, เมื่อบาตรและจีวรนั้นสูญหายไป ย่อมเป็นสินใช้. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า บาตรและจีวรนั้น พวกเธอรับไว้แล้ว.
                 ภิกษุรูปใดเป็นภัณฑาคาริก (ผู้รักษาเรือนคลัง) เวลาจวนรุ่งสางนั่นเองได้รวบรวมบาตรและจีวรของภิกษุทั้งหลายลงไปไว้ยังปราสาทชั้นล่าง ไม่ได้ปิดประตู ทั้งไม่ได้บอกแม้แก่ภิกษุเหล่านั้น ไปเที่ยวภิกขาจารในที่ไกลเสีย, ถ้าพวกโจรลักเอาบาตรและจีวรเหล่านั้นไปไซร้ ย่อมเป็นสินใช้แก่เธอแท้.
               ส่วนภิกษุภัณฑาคาริกรูปใดถูกพวกภิกษุกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านยกบาตรและจีวรลงมาเถิด บัดนี้ ได้เวลาจับสลากจึงถามว่า พวกท่านประชุมพร้อมกันแล้วหรือ?
               เมื่อท่านเหล่านั้นเรียนว่า ประชุมพร้อมแล้ว ขอรับ จึงได้ขนเอาบาตรและจีวรออกมาวางไว้ แล้วกั้นประตูภัณฑาคาร (เรือนคลัง) แล้วสั่งว่า พวกท่านถือเอาบาตรและจีวร แล้วพึงปิดประตูภายใต้ปราสาทเสียก่อนจึงไป ดังนี้แล้วไป. ก็ในพวกภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งมีชาติเฉื่อยชา เมื่อภิกษุทั้งหลายไปกันแล้ว ภายหลังจึงเช็ดตาลุกขึ้นเดินไปยังที่มีน้ำ หรือที่ล้างหน้า. ขณะนั้นพวกโจรพบเห็นเข้า จึงลักเอาบาตรและจีวรของเธอนั้นไป เป็นอันพวกโจรลักไปด้วยดี ไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริก.
             แม้ถ้าภิกษุบางรูปไม่ได้แจ้งแก่ภิกษุภัณฑาคาริกเลย ก็เก็บจีวรของตนไว้ในภัณฑาคาร, แม้เมื่อบริขารนั้นสูญหายไป ก็ไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริก.     แต่ถ้าภิกษุภัณฑาคาริกเห็นบริขารนั้นแล้วคิดว่า เก็บไว้ในที่ไม่ควร จึงเอาไปเก็บไว้. เมื่อบริขารนั้นสูญหายไป เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริกรูปนั้น.
              ถ้าภิกษุภัณฑาคาริกอันภิกษุผู้เก็บไว้กล่าวว่า ผมเก็บบริขารชื่อนี้ไว้แล้ว ขอรับ โปรดช่วยดูให้ด้วย รับว่า ได้ หรือรู้ว่าเก็บไว้ไม่ดีจึงเก็บไว้ในที่อื่นเสีย, เมื่อบริขารนั้นสูญหายไป เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริกนั้นเหมือนกัน.
              แต่เมื่อเธอห้ามอยู่ว่า ข้าพเจ้าไม่รับรู้ ไม่เป็นสินใช้. ฝ่ายภิกษุใด เมื่อภิกษุภัณฑาคาริกเห็นอยู่นั่นเอง เก็บไว้ ทั้งไม่ให้ภิกษุภัณฑาคาริกรับรู้, บริขารของภิกษุนั้นหายไป เป็นอันสูญหายไปด้วยดีแล, ถ้าภิกษุภัณฑาคาริกเก็บบริขารนั้นไว้ในที่แห่งอื่น เมื่อสูญหายไปเป็นสินใช้.
       [โจรลักของสงฆ์ในเรือนคลัง ปรับสินไหมภิกษุผู้รักษา]
      ถ้าภัณฑาคารรักษาดี บริขารทั้งปวงของสงฆ์และของเจดีย์ เขาเก็บไว้ในภัณฑาคารนั้นแล. แต่ภิกษุภัณฑาคาริกเป็นคนโง่ ไม่ฉลาด เปิดประตูไว้ไปเพื่อฟังธรรมกถา หรือเพื่อทำกิจอื่นบางอย่างในที่ใดที่หนึ่ง ขณะนั้นพวกโจรเห็นแล้ว ลักภัณฑะไปเท่าใด ภัณฑะเท่านั้นเป็นสินใช้แก่เธอทั้งหมด.
      เมื่อภัณฑาคาริกออกจากภัณฑาคารไปจงกรมอยู่ภายนอก หรือเปิดประตูตากอากาศ หรือนั่งตามประกอบสมณธรรมในภัณฑาคารนั่นเอง หรือนั่งในภัณฑาคารนั้นเอง ขวนขวายด้วยกรรมบางอย่าง หรือเป็นผู้แม้ปวดอุจจาระปัสสาวะ เมื่ออุปจารในที่นั้นเองมีอยู่ แต่ไปข้างนอกหรือเลินเล่อเสียด้วยอาการอื่นบางอย่าง.
      พวกโจรเปิดประตู หรือเข้าทางประตูที่เปิดไว้นั่นเอง หรือตัดที่ต่อลักภัณฑะไปเท่าใด เพราะความเลินเล่อของเธอเป็นปัจจัย ภัณฑะเท่านั้นเป็นสินใช้แก่เธอนั้นแลทั้งหมด.
               ฝ่ายพระอาจารย์บางพวกกล่าวว่า ในฤดูร้อนจะเปิดหน้าต่างนอน ก็ควร. แต่เมื่อปวดอุจจาระปัสสาวะแล้วไปในที่อื่น ในเมื่ออุปจารนั้นไม่มี จัดว่าเหลือวิสัย เพราะเธอตั้งอยู่ในฝ่ายของผู้เป็นไข้. เพราะเหตุนั้น ไม่เป็นสินใช้.
               ฝ่ายภิกษุใดถูกความร้อนภายในเบียดเบียน จึงทำประตูให้เป็นของรักษาดีแล้วออกไปข้างนอก. และพวกโจรจับภิกษุนั้นได้แล้ว บังคับว่าจงเปิดประตู.
               เธอไม่ควรเปิดจนถึงครั้งที่สาม. แต่ถ้าพวกโจรเงื้อขวานเป็นต้นขู่ว่า ถ้าท่านไม่ยอมเปิด พวกเราจักฆ่าท่านเสียด้วย จักทำลายประตูลักบริขารไปเสียด้วย.
               เธอจะเปิดให้ด้วยทำในใจว่า เมื่อเราตาย เสนาสนะของสงฆ์ก็ฉิบหาย ไม่มีคุณเลย ดังนี้ สมควรอยู่,  แม้ในอธิการนี้ พระอาจารย์บางพวกกล่าวว่า ไม่มีสินใช้เพราะเหลือวิสัย.ถ้าภิกษุอาคันตุกะบางรูปไขกุญแจ หรือเปิดประตูไว้, พวกโจรลักภัณฑะไปเท่าใด ภัณฑะเท่านั้นเป็นสินใช้แก่อาคันตุกะนั้นทั้งหมด.
               สลักยนต์และกุญแจเป็นของที่สงฆ์ติดให้ไว้ เพื่อประโยชน์แก่การรักษาภัณฑาคาร.
               ภัณฑาคาริกใส่เพียงลิ่มแล้วนอน. พวกโจรเปิดเข้าไปลักบริขาร เป็นสินใช้แก่เธอแท้.
               แต่ภัณฑาคาริกนั้นใส่สลักยนต์และกุญแจแล้วนอน, ถ้าพวกโจรมาบังคับว่าจงเปิด เธอพึงปฏิบัติในคำของพวกโจรนั้นตามนัยก่อนนั่นแล.
               ก็เมื่อภัณฑาคาริกนั้นทำการรักษาอย่างนั้นแล้ว จึงนอน, ถ้าพวกโจรทำลายฝาหรือหลังคา หรือเข้าทางอุโมงค์ ลักไป, ไม่เป็นสินใช้แก่เธอ.
               ถ้าพระเถระแม้เหล่าอื่นอยู่ในภัณฑาคาร เมื่อประตูเปิด ท่านจงถือเอาบริขารส่วนตัวไป ภัณฑาคาริกไม่ระวังประตู ในเมื่อพระเถระเหล่านั้นไปแล้ว, ถ้าของอะไรๆ ในภัณฑาคารนั้นถูกลักไป, เป็นสินใช้แก่ภัณฑาคาริกเท่านั้น เพราะภัณฑาคาริกเป็นใหญ่. ฝ่ายพวกพระเถระพึงเป็นพรรคพวก. นี้เป็นสามีจิกรรมในภัณฑาคารนั้น. แต่ถ้าภัณฑาคาริกบอกว่า ขอพวกท่านจงยืนรับบริขารของพวกท่านข้างนอกเถิด อย่าเข้ามาเลย. และพระเถระโลเลรูปหนึ่งแห่งพวกพระเถระเหล่านั้น พร้อมด้วยสามเณรและอุปัฏฐากทั้งหลาย เปิดภัณฑาคารเข้าไปนั่งและนอน, ภัณฑะหายไปเท่าใดเป็นสินใช้แก่พระเถระนั้น
ทั้งหมด.
               ฝ่ายภัณฑาคาริกและพระเถระที่เหลือ พึงเป็นพรรคพวก.
               ถ้าภิกษุภัณฑาคาริกนั่นเองชวนเอาพวกสามเณรโลเลและเหล่าผู้อุปัฏฐาก ไปนั่งและนอนอยู่ในภัณฑาคาร. สิ่งของใดในภัณฑาคารนั้นหายไป. ของทั้งหมดนั้นเป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริกเท่านั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุภัณฑาคาริกเท่านั้นควรพักอยู่ในภัณฑาคารนั้น. พวกภิกษุที่เหลือควรพักอยู่ที่มณฑปหรือโคนต้นไม้ แต่ไม่ควรพักอยู่ในภัณฑาคาร ด้วยประการฉะนี้.
               อนึ่ง ภิกษุเหล่าใดเก็บบริขารของพวกภิกษุผู้เป็นสภาคกันไว้ในห้องที่อยู่ของตนๆ เมื่อบริขารหายไป ภิกษุเหล่าใดเก็บไว้ เป็นสินใช้แก่ภิกษุเหล่านั้นนั่นแล.
               ฝ่ายภิกษุนอกนี้ควรเป็นพรรคพวก. แต่ถ้าสงฆ์สั่งให้ถวายข้าวยาคูและภัตแก่ภิกษุภัณฑาคาริกในวิหารนั่นเอง และภิกษุภัณฑาคาริกรูปนั้นเข้าไปสู่บ้าน เพื่อต้องการภิกขาจาร, สิ่งของหายไปย่อมเป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริกรูปนั้นนั่นเอง. 
                แม้ภิกษุผู้รับหน้าที่เฝ้าวิหารที่พวกภิกษุผู้เข้าไปเที่ยวภิกขาจารตั้งไว้ เพื่อต้องการให้รักษาอติเรกจีวร ได้ยาคูและภัตหรืออาหารเหมือนกัน ยังไปภิกขาจาร.
                สิ่งของใดในวิหารนั้นหายไป สิ่งของนั้นทั้งหมดเป็นสินใช้แก่เธอ. และสิ่งของนั้นนั่นเองจะเป็นสินใช้อย่างเดียวก็หามิได้, สิ่งของใดหายไป เพราะความประมาทของภิกษุผู้เฝ้าวิหารนั้นเป็นปัจจัย, สิ่งของนั้นทั้งหมดเป็นสินใช้แก่เธอเหมือนภิกษุภัณฑาคาริกฉะนั้น (เหมือนสิ่งของที่หายไปเพราะความประมาทของภิกษุภัณฑาคาริก เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริกฉะนั้น)   ถ้าเป็นวิหารใหญ่, เมื่อเธอเดินไปเพื่อรักษาที่ส่วนหนึ่ง สิ่งของที่เก็บไว้ในอีกที่หนึ่ง พวกโจรลักเอาไป ย่อมไม่เป็นสินใช้ เพราะเป็นเหตุเหลือวิสัย.
  ก็ในที่เช่นนั้น เธอควรเก็บบริขารทั้งหลายไว้ในที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งปวง แล้วนั่งในท่ามกลางวิหาร หรือพึงตั้งภิกษุรับหน้าที่เฝ้าวิหารไว้ ๒-๓ รูป. ถ้าแม้เมื่อเธอเหล่านั้นมิได้เป็นผู้ประมาท คอยระแวดระวังอยู่ข้างโน้นและข้างนี้นั่นแล สิ่งของอะไรๆ หายไป ก็ไม่เป็นสินใช้แก่เธอเหล่านั้น. สิ่งของที่พวกโจรมัดภิกษุผู้รับหน้าที่รักษาวิหารไว้แล้ว ลักเอาไปก็ดี สิ่งของที่ถูกลักไปโดยทางอื่น
    เมื่อภิกษุรับหน้าที่เฝ้าวิหาร เดินสวนทางพวกโจรไปก็ดี ไม่เป็นสินใช้แก่เธอเหล่านั้น.  ถ้าข้าวยาคูและภัตหรืออาหารที่จะพึงถวายในวิหารไม่มีแก่ภิกษุผู้รับหน้าที่รักษาวิหาร, จะตั้งสลากข้าวยาคู ๒-๓ ที่ ซึ่งมีเหลือเฟือจากลาภที่ภิกษุเหล่านั้นพึงได้ และสลากภัตพอแก่ภิกษุผู้เฝ้าวิหารเหล่านั้นก็ควร แต่ไม่ควรตั้งให้เป็นประจำ. เพราะว่าพวกชาวบ้านจะมีความร้อนใจว่า พวกภิกษุผู้รับหน้าที่เฝ้าวิหารเท่านั้น ย่อมฉันภัตของพวกเรา. เพราะเหตุนั้น จึงควรผลัดเปลี่ยนวาระกันตั้งไว้.
           ถ้าพวกภิกษุที่เป็นสภาคกันของภิกษุผู้รับวาระเฝ้าวิหารเหล่านั้น นำสลากภัตมาถวาย ข้อนั้นก็เป็นการดี, ถ้าไม่ถวาย ควรให้ภิกษุทั้งหลายรับวาระแล้วให้นำมาถวายเถิด.
           ถ้าภิกษุผู้รับหน้าที่รักษาวิหาร เมื่อได้รับสลากข้าวยาคู ๒-๓ ที่และสลากภัต ๔-๕ ที่เสมอ ยังไปภิกขาจาร, สิ่งของหายไปทั้งหมดเป็นสินใช้แก่เธอ เหมือนภิกษุภัณฑาคาริก ฉะนั้น.
           ถ้าภัตหรือค่าจ้างเพื่อภัตของสงฆ์ที่จะพึงถวายแก่ภิกษุผู้เฝ้าวิหารไม่มี ภิกษุรับเอาตามวาระเฝ้าวิหารแล้วจึงให้นิสิตของตนๆ ช่วยปฏิบัติจะไม่รับเอาวาระที่มาถึง ย่อมไม่ได้, ควรทำเหมือนอย่างที่ภิกษุเหล่าอื่นทำอยู่ฉะนั้น.
           แต่ว่าภิกษุใดไม่มีสหายหรือเพื่อน ไม่มีภิกษุผู้ชอบพอกันที่จะนำภัตมาให้, ภิกษุทั้งหลายไม่ควรให้วาระถึงแก่ภิกษุเห็นปานนั้น.
            ภิกษุทั้งหลายตั้งแม้ส่วนใดไว้ในวิหาร เพื่อประโยชน์เป็นเสบียงกรัง, ควรตั้งภิกษุผู้รับเอาส่วนนั้นเลี้ยงชีพ (ให้เป็นผู้รับวาระ). ภิกษุใดไม่รับเอาส่วนนั้นเลี้ยงชีพ ไม่ควรให้ภิกษุนั้นรับวาระ. ภิกษุทั้งหลายแต่งตั้งภิกษุไว้ในวิหาร แม้เพื่อต้องการให้รักษาผลไม้น้อยใหญ่, ครั้นปฏิบัติรักษาแล้วก็แจกกันฉันตามคราวแห่งผลไม้. ภิกษุที่ฉันผลไม้เหล่านั้น ควรตั้งให้รับวาระ. 
            ภิกษุผู้ไม่อาศัย (ผลไม้นั้น) เลี้ยงชีพ ไม่ควรให้รับวาระ. ภิกษุทั้งหลายจะแต่งตั้งภิกษุไว้ แม้เพื่อต้องการให้รักษาเสนาสนะ เตียง ตั่งและเครื่องปูลาด, ควรแต่งตั้งภิกษุผู้อยู่ในอาวาส, ส่วนภิกษุผู้ถืออัพโภกาสิกธุดงค์ก็ดี ผู้ถือรุกขมูลิกธุดงค์ก็ดี ไม่ควรให้รับวาระ.
               อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ภิกษุรูปหนึ่งยังเป็นพรพนวกะอยู่, แต่เธอเป็นพหูสูต สอนธรรมให้การสอบถาม บอกบาลีแสดงธรรมกถาแก่ภิกษุเป็นอันมาก ทั้งช่วยภาระของสงฆ์ด้วย, ภิกษุนี้ เมื่อฉันลาภอยู่ก็ดี อยู่ในอาวาสก็ดี ไม่ควรให้รับวาระ, ควรรู้กันว่าเป็นคนพิเศษ.
               แต่ภิกษุผู้รักษาโรงอุโบสถและเรือนพระปฏิมา ควรให้ข้าวยาคูและภัตเป็นทวีคูณ ข้าวสารทะนานหนึ่งทุกวัน ไตรจีวรประจำปีและกัปปิยภัณฑ์ที่มีราคา ๑๐ หรือ ๒๐ กหาปณะ. ก็ถ้าเมื่อเธอได้รับข้าวยาคูและภัตนั้นอยู่นั่นเอง สิ่งของอะไรๆ ในโรงอุโบสถและเรือนพระปฏิมานั้นหายไป เพราะความประมาท เป็นสินใช้แก่เธอทั้งหมด. แต่สิ่งของที่ถูกพวกโจรผูกมัดตัวเธอไว้แล้ว แย่งชิงเอาไปโดยพลการย่อมไม่เป็นสินใช้แก่เธอ,
               การที่จะให้รักษาสิ่งของๆ เจดีย์ไว้รวมกับสิ่งของๆ เจดีย์เอง หรือกับสิ่งของๆ สงฆ์ในโรงอุโบสถเป็นต้นนั้น สมควรอยู่, แต่การที่จะให้รักษาสิ่งของๆ สงฆ์ไว้รวมกับสิ่งของๆ เจดีย์ไม่ควร. แต่สิ่งของอันใดที่เป็นของสงฆ์ ซึ่งเก็บรวมกับของเจดีย์, สิ่งของๆ สงฆ์นั้น เมื่อให้รักษาของเจดีย์ไว้แล้ว ก็เป็นอันรักษาไว้แล้วทีเดียว เพราะฉะนั้น การรักษาไว้อย่างนั้นควรอยู่.
               แม้เมื่อภิกษุรักษาสถานที่ทั้งหลายมีโรงอุโบสถเป็นต้น ตามปักขวาระ สิ่งของที่หายไป เพราะอำนาจความประมาทย่อมเป็นสินใช้เหมือนกัน ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยของที่เขาฝากไว้  

หน้า ๒/๔ อรรถกถา บทภาชนีย์ มาติกา ภุมมัฏฐวิภาคเป็นต้น ทุติยปาราชิกสิกขาบท [ว่าด้วย อทินนาทาน] ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่บนบก
               พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่บนบก.
               สองบทว่า ถเล นิกฺขิตฺตํ ความว่า ได้แก่ ทรัพย์ที่เขาวางไว้บนพื้นดินก็ดี บนพื้นปราสาทและบนภูเขาเป็นต้นแห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งปกปิดหรือไม่ปกปิดก็ดี
               พึงทราบว่า ทรัพย์ที่ตั้งอยู่บนบก. ทรัพย์นั้น ถ้าเขาทำเป็นกองไว้ พึงตัดสินตามคำวินิจฉัยที่กล่าวไว้ ในการทำทรัพย์ให้อยู่ในภาชนะและการตัดกำเอาในภายในหม้อ.
               ถ้าทรัพย์นั้นติดเนื่องเป็นอันเดียวกัน มียางรักและยางสนเป็นต้น พึงตัดสินตามคำวินิจฉัยที่กล่าวไว้ในนํ้าผึ้งและนํ้าอ้อยที่เคี่ยวสุกแล้ว.
               ถ้าทรัพย์เป็นของหนัก จะเป็นแท่งโลหะก็ตาม งบนํ้าอ้อยก็ตาม วัตถุมีนํ้ามันนํ้าผึ้งและเปรียงเป็นต้นก็ตาม ซึ่งเนื่องด้วยภาระ พึงตัดสินตามคำวินิจฉัยที่กล่าวไว้ในการยังหม้อให้เคลื่อนจากฐาน และพึงกำหนดความต่างของฐานแห่งสิ่งของที่เขาผูกไว้ด้วยโซ่.
               ส่วนภิกษุถือเอาวัตถุมีผ้าปาวารผ้าลาดพื้นและผ้าสาฎกเป็นต้นที่เขาปูลาดไว้ฉุดมาตรงๆ เมื่อชายผ้าข้างโน้นล่วงเลยโอกาสที่ชายผ้าข้างนี้ถูกต้องไป เป็นปาราชิก. ในทุกๆ ทิศ ก็ควรกำหนดด้วยอาการอย่างนี้.
               ภิกษุห่อแล้วยกขึ้น เมื่อทำให้ลอยไปในอากาศ เพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นเอง ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่บนบก               
               กถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่ในอากาศ               
               พึงทราบวินิจฉัยในของที่อยู่ในอากาศ.
               สำหรับนกยูง พึงทราบการกำหนดฐานโดยอาการ ๖ อย่าง คือ ข้างหน้ากำหนดด้วยจะงอยปาก ข้างหลังกำหนดด้วยปลายลำแพนหาง ข้างทั้ง ๒ กำหนดด้วยปลายปีก    เบื้องตํ่ากำหนดด้วยปลายเล็บเท้า          เบื้องบนกำหนดด้วยปลายหงอน.
               ภิกษุคิดว่าจักจับนกยูงซึ่งมีเจ้าของ อัน (บิน) อยู่ในอากาศ ยืนอยู่ข้างหน้า หรือเหยียดมือออก. นกยูงกางปีกอยู่ในอากาศนั่นแหละ กระพือปีกแล้วหยุดบินยืนอยู่ เป็นทุกกฏแก่ภิกษุนั้น, ไม่ให้นกยูงนั้นไหว เอามือลูบคลํา เป็นทุกกฏเหมือนกัน, ไม่ให้เคลื่อนจากฐาน ให้ไหวอยู่ เป็นถุลลัจจัย.     ส่วนจะเอามือจับหรือไม่จับก็ตาม ให้ปลายลำแพนหางล่วงเลยโอกาสที่จะงอยปากถูก หรือให้จะงอยปากล่วงเลยโอกาสที่ปลายลำแพนหางถูก, ถ้านกยูงนั้นได้ราคาบาทหนึ่งไซร้ เป็นปาราชิก.
               อนึ่ง ให้ปลายปีกข้างขวาล่วงเลยโอกาสที่ปลายปีกข้างซ้ายถูก หรือให้ปลายปีกข้างซ้ายล่วงเลยโอกาสที่ปลายปีกข้างขวาถูก ก็เป็นปาราชิก.
               อนึ่ง ให้ปลายหงอนล่วงเลยโอกาสที่ปลายเล็บเท้าถูก หรือให้ปลายเล็บเท้าล่วงเลยโอกาสที่ปลายหงอนถูก ก็เป็นปาราชิก.
               นกยูงบินไปทางอากาศ จับที่บรรดาอวัยวะมีศีรษะเป็นต้น อันใด, อวัยวะอันนั้นเป็นฐานของนกยูงนั้น เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นแม้เมื่อทำนกยูงตัวนั้น ซึ่งเกาะอยู่ที่มือให้ส่ายไปข้างโน้นและข้างนี้ ชื่อว่าทำให้ไหวแท้. และถ้าเธอเอามืออีกข้างหนึ่งจับให้เคลื่อนจากฐาน เป็นปาราชิก.
               ภิกษุยื่นมืออีกข้างหนึ่งเข้าไปใกล้ นกยูงโดดไปเกาะที่มือนั้นเสียเอง ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุมีไถยจิต รู้ว่านกยูงจับที่อวัยวะ ย่างเท้าก้าวแรก เป็นถุลลัจจัย, ก้าวที่สอง เป็นปาราชิก.
               นกยูงจับอยู่บนพื้นดินย่อมได้ฐาน ๓ ด้วยอำนาจเท้าทั้งสองและลำแพนหาง. เมื่อภิกษุยกนกยูงนั้นขึ้น เป็นถุลลัจจัย ตลอดเวลาที่ฐานแม้เพียงฐานเดียวยังถูกแผ่นดิน. เมื่อนกยูงนั้นสักว่าอันภิกษุให้พ้นจากแผ่นดินแม้เพียงปลายเส้นผม          ก็เป็นปาราชิก.
               ภิกษุยกนกยูงซึ่งอยู่ในกรงขึ้นพร้อมทั้งกรง ต้องปาราชิก. แต่ถ้านกยูงตัวนั้นไม่ได้ราคาถึงบาทไซร้ พึงปรับตามราคาทุกๆ แห่ง.
               ภิกษุมีไถยจิต ทำนกยูงตัวซึ่งเที่ยวอยู่ภายในสวนให้ตกใจ ไล่มันเดินออกไปนอกสวนด้วยเท้าเทียว ให้ล่วงเลยเขตที่กำหนดแห่งประตู ต้องปาราชิก.
               จริงอยู่ ภายในสวนเป็นฐานของนกยูงนั้น เหมือนคอกเป็นฐานของโคที่อยู่ในคอก ฉะนั้น. แต่เมื่อภิกษุเอามือจับให้มันบินไปในอากาศ แม้ภายในสวน ก็ต้องปาราชิกเหมือนกัน. เมื่อภิกษุยังนกยูงแม้เที่ยวอยู่ภายในบ้านให้ล่วงเลยเครื่องล้อมแห่งบ้านไป ต้องปาราชิก. 
               นกยูงตัวที่ออกไปเที่ยวอยู่ในอุปจารบ้านหรืออุปจารสวนเองทีเดียว และภิกษุมีไถยจิต ยังมันให้ตกใจด้วยไม้หรือด้วยกระเบื้อง ทำให้มันบ่ายหน้าเข้าดง. นกยูงบินไปเกาะอยู่ภายในบ้าน หรือภายในสวน หรือบนหลังคา ยังรักษาอยู่. แต่ถ้ามันบ่ายหน้าเข้าดงบินไปก็ดี เดินไปก็ดี, เมื่อไม่มีความหมายใจว่า เราให้มันเข้าดงไปแล้ว จักจับเอา ต้องปาราชิก ในเมื่อสักว่า      มันบินขึ้นพ้นแผ่นดินแม้เพียงปลายเส้นผม           หรือในย่างเท้าที่สอง.
               เพราะเหตุไร?
               เพราะเหตุว่า ที่ซึ่งยืนเท่านั้น เป็นฐานของมันซึ่งออกจากบ้านแล้ว.
               แม้ในนกทั้งหลายมีนกคับแคเป็นต้น ก็พึงทราบวินิจฉัยดังนี้แล.
               บทว่า สาฏกํ วา มีความว่า ภิกษุเอามือจับผ้าสาฎกที่แข็งด้วยแป้ง ซึ่งปลิวไปในอากาศ ลอยมาตรงหน้าที่ชายผ้าข้างหนึ่ง เหมือนผ้าที่เขาขึงลาดไว้บนพื้นแผ่นดินถูกลมกระพือพัด ฉะนั้น, เมื่อไม่ได้ทำฐานให้ไหวไปข้างโน้นและข้างนี้เลย ต้องทุกกฏ เพราะงดการเดิน, เมื่อไม่ทำให้เคลื่อนจากฐานรักษาอยู่ 
เป็นถุลลัจจัย เพราะทำให้ไหว, ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องปาราชิก.
               ก็การกำหนดฐานแห่งผ้าสาฎกนั้น พึงทราบด้วยอาการ ๖ อย่าง เหมือนการกำหนดฐานแห่งนกยูง ฉะนั้น.
               ส่วนผ้าสาฎกที่ไม่แข็ง พอภิกษุจับที่ชายผ้าข้างหนึ่งเท่านั้น ก็ตกลงไปกองอยู่บนพื้นดินทั้งชายที่สอง ผ้าสาฎกนั้นมีฐาน ๒ คือ มือ ๑ พื้นดิน ๑. ภิกษุทำผ้าสาฎกนั้นตามที่จับเอาแล้วนั่นแล ให้เคลื่อนไปจากประเทศแห่งโอกาสที่ตนจับเอาครั้งแรก ต้องถุลลัจจัย ภายหลังเอามือที่สองหรือเท้ายกขึ้นจากพื้นดิน ต้องปาราชิก.
               อนึ่ง ครั้งแรกยกขึ้นจากพื้นดิน ต้องถุลลัจจัย, ภายหลังให้เคลื่อนจากประเทศแห่งโอกาสที่ตนจับเอา ต้องปาราชิก.
               อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเมื่อไม่ปล่อยการจับ ยื่นมือลงไปตรงๆ ป้องผ้าให้อยู่ที่พื้นดิน จึงเอามือนั้นนั่นเองยกผ้าขึ้น ต้องปาราชิก.
               แม้ในผ้าโพก ก็พึงทราบวินิจฉัยดังนี้แหละ.
               หลายบทว่า หิรญฺญํ วา สุวณฺณํ วา ฉิชฺชมานํ มีความว่า เครื่องประดับมีสร้อยคอเป็นต้นของพวกมนุษย์ผู้ตกแต่งอยู่ก็ดีแท่งทองของพวกช่างทองผู้ตัดซี่ทองอยู่ก็ดี ขาดตกไป. ถ้าภิกษุมีไถยจิตเอามือจับเอาเครื่องประดับ หรือแท่งทองที่ขาดตกลอยมาทางอากาศนั้น. การจับเอานั่นแหละเป็นฐาน เอามือออกจากประเทศที่ตนจับเอาต้องปาราชิก. เอามือยกเครื่องประดับมีสร้อยคอเป็นต้นที่ตกลงไปในจีวรขึ้น ต้องปาราชิก. 
 ไม่ได้ยกขึ้นเลยแต่เดินไป ต้องปาราชิกในย่างเท้าที่สอง.    ถึงในเครื่องประดับมีสร้อยคอเป็นต้นที่ตกลงไปในบาตร ก็มีนัยอย่างนี้แล. เอามือจับเอาเครื่องประดับมีสร้อยคอเป็นต้น ที่ตกลงที่ศีรษะ ที่หน้า หรือที่เท้า ต้องปาราชิก. ไม่ได้จับเอาเลยแต่เดินไป ต้องปาราชิกในย่างเท้าที่สอง.
               อนึ่ง เครื่องประดับมีสร้อยคอเป็นต้นที่ตกลงที่ศีรษะ ที่หน้า หรือที่เท้า ต้องปาราชิก. ไม่ได้จับเอาเลยแต่เดินไป ต้องปาราชิกในย่างเท้าที่สอง.
               อนึ่ง เครื่องประดับมีสร้อยคอเป็นต้นนั้นตกไปในที่ใดๆ เฉพาะโอกาสที่เครื่องประดับเป็นต้นตั้งอยู่ในที่นั้นๆ เป็นฐานของเครื่องประดับเป็นต้นนั้น อังคาพยพทั้งหมดก็ดี บาตรและจีวรก็ดี หาได้เป็นฐานไม่ ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่ในอากาศ               
               กถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่ในกลางแจ้ง               
               พึงทราบวินิจฉัยในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในกลางแจ้ง.
               ภัณฑะที่เขาวางไว้บนเตียงและตั่งเป็นต้น จะเป็นของควรจับต้องหรือไม่ควรจับต้องก็ตาม เมื่อภิกษุจับต้องด้วยไถยจิต เป็นทุกกฎ.
               ก็แลในภัณฑะที่เขาวางไว้บนเตียงและตั่งนี้        ควรทราบวินิจฉัยตามนัยที่กล่าวไว้ในภัณฑะที่ตั้งอยู่บนบก.
               ส่วนความแปลกกัน พึงทราบดังนี้ :-
ถ้าผ้าสาฎกที่แข็งด้วยแป้ง ซึ่งเขาขึงไว้ที่เตียงหรือตั่ง ตรงกลางไม่ถูกพื้นเตียง ถูกแต่เท้าเตียงเท่านั้น. พึงทราบฐานด้วยอำนาจแห่งเท้าทั้ง ๔ ของเตียงนั้น.
               จริงอยู่ เมื่อผ้าสาฎกนั้นสักว่าอันภิกษุให้ล่วงเลยโอกาสที่ถูกเบื้องบนแห่งเท้าเตียงเท่านั้น ย่อมเป็นปาราชิก ในเพราะเหตุให้ก้าวล่วงนั้น. แต่เมื่อภิกษุลักไปพร้อมทั้งเตียงและตั่ง พึงทราบฐานด้วยอำนาจโอกาสที่เท้าเตียงและตั่งตั้งจดอยู่.
               บทว่า จีวรวํเส วา มีความว่า บนราวหรือบนขอไม้ที่เขาผูกตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่การพาดจีวร. เฉพาะโอกาสที่ถูกกับโอกาสที่ตั้งอยู่เป็นฐานของจีวรที่พาดไว้บนราวนั้น ซึ่ง เอาชายไว้ข้างนอก เอาขนดไว้ข้างใน, ราวจีวรทั้งหมด หาได้เป็นฐานไม่. เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุจับจีวรนั้นที่ขนดดึงมาด้วยไถยจิต ให้โอกาสที่ตั้งอยู่บนราวด้านนอก ล่วงเลยประเทศที่ราวจีวรถูกด้านในไป เป็นปาราชิก ด้วยการดึงมาเพียงนิ้วเดียวหรือสองนิ้วเท่านั้น.
               นัยแม้แห่งภิกษุผู้จับที่ชายดึงมา ก็เหมือนกันนี้.
     แต่เมื่อภิกษุรูดลงข้างซ้ายหรือข้างขวาบนราวจีวรนั้นนั่นเอง ครั้นเมื่อจีวรนั้นสักว่าล่วงเลยฐานแห่งชายข้างขวาด้วยชายข้างซ้าย หรือสักว่าล่วงเลยฐานแห่งชายข้างซ้ายด้วยชายข้างขวาไป เป็นปาราชิก ด้วยการรูดไปเพียง ๑๐ นิ้ว หรือ ๑๒ นิ้วเท่านั้น. เมื่อภิกษุยกขึ้นข้างบน เป็นปาราชิก ด้วยการยกขึ้นเพียงปลายเส้นผม. เมื่อภิกษุแก้จีวรที่เขาเอาเชือกผูกแขวนไว้ จะถูกราวจีวรหรือไม่ถูกก็ตาม เป็นถุลลัจจัย, เมื่อแก้ออกแล้ว เป็นปาราชิก.
               จริงอยู่ จีวรนั้นพอสักว่าแก้ออกเท่านั้นย่อมถึงความนับว่าพ้นจากฐาน. เมื่อภิกษุคลายจีวรที่เขาพันไว้ที่ราวออก เป็นถุลลัจจัย, ครั้นเมื่อจีวรนั้นสักว่าคลายออกเสร็จแล้ว ก็ต้องปาราชิก.
               ในจีวรที่เขาทำเป็นห่วงเก็บไว้ ภิกษุตัดห่วงออกก็ดี แก้ออกก็ดี ปลดปลายราวข้างหนึ่งแล้วรูดออกก็ดี ต้องถุลลัจจัย, ครั้นเมื่อห่วงนั้น สักว่าขาดก็ดี สักว่าแก้ออกแล้วก็ดี สักว่ารูดออกแล้วก็ดี ต้องปาราชิก.
               ภิกษุไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย รูดไปรูดมาบนราวจีวร, ยังรักษาอยู่ก่อน.
               จริงอยู่ ราวจีวรแม้ทั้งหมดเป็นฐานของห่วง.
               เพราะเหตุไร?
         เพราเหตุที่การรูดหมุนไปบนราวจีวรนั้นเป็นของธรรมดา. แต่ถ้าภิกษุเอามือจับจีวรนั้นทำให้ลอยไปในอากาศ ต้องปาราชิก. เพียงโอกาสที่ถูกกับโอกาสที่ตั้งอยู่ เป็นฐานของจีวรที่เขาคลี่พาดไว้.
          วินิจฉัยในจีวรชนิดนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในจีวรที่พับพาดไว้. ส่วนจีวรใดเป็นของถูกพื้นด้วยชายข้างหนึ่ง, ฐานจีวรนั้นมี ๒ ฐาน ด้วยอำนาจโอกาสที่จดราวจีวรและพื้น. ในจีวรที่จดพื้นด้วยชายข้างหนึ่งนั้น พึงทราบวินิจฉัยตามนัยที่กล่าวแล้วในผ้าสาฎกไม่แข็งนั่นแหละ.
               แม้ในสายระเดียงจีวร ก็พึงทราบวินิจฉัยดังนี้แล.
               ส่วนภัณฑะที่เขาวางแขวนไว้บนขอ จะเป็นหม้อยาหรือถุงยาก็ตาม, ถ้าตั้งอยู่ไม่ถูกฝาหรือพื้น. เมื่อภิกษุรูดหูที่คล้องปลดออก เมื่อภัณฑะนั้นสักว่าออกจากปลายขอไป เป็นปาราชิก. หูสำหรับคล้องเป็นของแข็ง เมื่อภิกษุยกขึ้นพร้อมทั้งหลักหู ทำให้ลอยไปในอากาศ ถึงเมื่อหูที่คล้องนั้นยังไม่หลุดออกจากปลายขอ ก็เป็นปาราชิก.
 ภัณฑะเป็นของพิงติดอยู่กับฝา ภิกษุดึงภัณฑะนั้นออกจากปลายขอครั้งแรก ต้องถุลลัจจัย, ภายหลังจึงปลดฝาออก ต้องปาราชิก.   นัยแม้แห่งภิกษุผู้ปลดฝาออกครั้งแรกแล้ว ภายหลังจึงนำออกจากขอ ก็เหมือนกันนี้.     ก็ถ้าภิกษุไม่อาจปลดภัณฑะที่หนักออกได้ ตนเองจึงทำให้พิงฝาแล้วปลดออกจากขอ. เมื่อภัณฑะนั้น แม้ภิกษุไม่ให้ห่างฝา สักว่าปลดออกจากขอได้เท่านั้น เป็นปาราชิก. เพราะว่าฐานที่ตนทำ ไม่จัดเป็นฐาน.
               แต่สำหรับภัณฑะที่ตั้งจดพื้นมี ๒ ฐานเท่านั้น. วินิจฉัยในภัณฑะที่ตั้งจดพื้นนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วแล. ก็แลภัณฑะใด เขาใส่สาแหรกแขวนไว้ เมื่อภิกษุปลดภัณฑะนั้นออกจากสาแหรกก็ดี ปลดภัณฑะนั้นทั้งสาแหรกออกจากขอก็ดี เป็นปาราชิก. และถึงความต่างกันแห่งฐานในภัณฑะที่เขาใส่สาแหรกแขวนไว้นี้ ก็พึงทราบอย่างภัณฑะที่ชิดฝาและพื้น.
               ตะปูที่เขาตอกฝาไว้ตรงๆ ก็ดี เดือยที่เกิดในฝานั้นนั่นเองก็ดี ชื่อว่าภิตติขีละ ตะปูฝา. ส่วนตะปูงอนที่เขาตอกไว้นั่นแหละ ชื่อฟันนาค. ภัณฑะที่เขาแขวนไว้บนตะปูฝาและฟันนาคนั้น พึงทราบวินิจฉัยตามนัยที่กล่าวแล้วในภัณฑะที่แขวนไว้บนขอ.
               ก็หอกหรือหลาวหรือแส้หางสัตว์ ซึ่งเขายกขึ้นพาดไว้บนตะปูฝาหรือฟันนาค ๒-๓ อัน ซึ่งติดเรียงกันเป็นลำดับ ภิกษุจับที่ปลายหรือที่ด้ามลากมา เพียงแต่โอกาสที่ตะปูฝาหรือฟันนาคอันหนึ่งๆ ถูกล่วงเลยไปเท่านั้น ต้องปาราชิก. เพราะว่าเพียงโอกาสที่ถูกเท่านั้น ย่อมเป็นฐานของหอกหลาวและแส้
หางสัตว์เหล่านั้น, ตะปูฝาหรือฟันนาคทั้งหมด ไม่จัดเป็นฐาน.
             ภิกษุยืนหันหน้าเข้าฝา จับตรงกลางลากมา เพียงแต่ส่วนด้านนอกล่วงเลยโอกาสที่ส่วนด้านในถูก ต้องปาราชิก. 
แม้เมื่อภิกษุเลื่อนไปข้างหน้าก็มีนัยเหมือนกันนี้.
            เมื่อภิกษุเอามือจับยกขึ้น ทำให้ลอยไปในอากาศ แม้เพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก. ภิกษุลากหอกเป็นต้นนั้นที่เขาวางไว้ชิดฝาครูดฝามา.
            เมื่อเธอให้ด้ามล่วงเลยโอกาสที่ปลายถูก หรือให้ปลายล่วงเลยโอกาสที่ด้ามถูกไป ต้องปาราชิก. ภิกษุยืนหันหน้าเข้าฝา ลากมาให้ส่วนที่สุดข้างอื่นล่วงเลยโอกาสที่ส่วนอีกข้างหนึ่งถูกไป ต้องปาราชิก. เมื่อยกขึ้นตรงๆ ทำให้ลอยไปในอากาศเพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก.
           สองบทว่า รุกฺเข วา ลคฺคตํ ได้แก่ ภัณฑะที่เขายกขึ้นแขวนไว้ที่ต้นตาลเป็นต้น. พึงทราบวินิจฉัยตามนัยที่กล่าวแล้วในภัณฑะที่แขวนไว้บนขอเป็นต้น.
               ก็แลเมื่อภิกษุเขย่าทะลายตาลที่เกิดอยู่บนต้นตาลนั้น วัตถุแห่งปาราชิกจะเต็มในผลใด. เมื่อผลนั้นสักว่าหลุดจากขั้ว ต้องปาราชิก.
               ภิกษุตัดทะลายตาล ต้องปาราชิก.
               ส่วนทะลายตาลที่เขายกขึ้นเอาปลายพาดไว้ในง่ามใบได้ ๒ ฐาน คือฐานที่พาดไว้ ๑ ฐานคือขั้ว ๑. วินิจฉัยใน ๒ ฐานนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้ว.
               ส่วนภิกษุใดยกปลายพาดที่ง่ามใบเองแล้วจึงตัดเพราะกลัวว่า พอตัดขาดตกลงมาจะพึงทำเสียง สักว่าตัดเสร็จ ภิกษุนั้นต้องปาราชิก. เพราะว่าฐานที่ตนทำ ไม่จัดเป็นฐาน.
               ในดอกและผลของต้นไม้ทั้งปวง พึงทราบวินิจฉัยโดยอุบายนี้.
               ในคำว่า ปตฺตาธารเกปิ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
  จะเป็นเชิงไม้ก็ตาม เชิงวลัยก็ตาม เชิงท่อนไม้ก็ตาม ที่ตั้งบาตรชนิดใดชนิดหนึ่ง แม้เป็นกระเช้าก็ช่าง ทุกอย่างถึงความนับว่า เชิงรองบาตร ทั้งนั้น เพียงโอกาสที่บาตรถูกนั่นเอง เป็นฐานของบาตรที่เขาตั้งไว้บนเชิงรองบาตรนั้น.
             ในเชิงไม้ของบาตรนั้น มีกำหนดฐานโดยอาการ ๕ อย่าง.
             ภิกษุจับบาตรที่ตั้งอยู่บนเชิงไม้นั้นที่ขอบปาก แล้วลากไปข้างใดข้างหนึ่งในทิศทั้ง ๔ ในส่วนข้างอื่นล่วงเลยโอกาสที่ส่วนข้างหนึ่งๆ ถูกไป ต้องปาราชิก. เมื่อยกขึ้นข้างบนเพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก. แต่พึงให้ตีราคาของปรับอาบัติทุกๆ แห่ง. แม้เมื่อภิกษุลักบาตรไปพร้อมทั้งเชิงรอง ก็มีนัยนี้เหมือนกัน ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในกลางแจ้ง               
               กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในน้ำ               
               พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในน้ำ :-
               หลายบทว่า อุทเก นิกฺขิตฺตํ โหติ ความว่า ภัณฑะที่พวกชนผู้กลัวแต่ราชภัยเป็นต้น ทำการปิดเสียให้ดีในวัตถุทั้งหลายมีภาชนะทองแดงและโลหะเป็นต้นซึ่งจะไม่เสียหายไปด้วยน้ำเป็นธรรมดา แล้วเก็บไว้ในน้ำนิ่งในสระโบกขรณีเป็นต้น. เพียงโอกาสที่ตั้งอยู่เป็นฐานของทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในน้ำนั้น. น้ำทั้งหมด ไม่จัดเป็นฐาน.
               หลายบทว่า คจฺฉติ วา อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ความว่า เมื่อภิกษุเดินไปในน้ำที่ไม่ลึก เป็นทุกกฏทุกๆ ย่างเท้า. ในน้ำลึกเมื่อทำความพยายามด้วยมือ หรือด้วยเท้าก็ดี ทำความพยายามทั้งมือและเท้าก็ดีเป็นทุกกฏทุกประโยค.
               ถึงในการดำลงและผุดขึ้น เพื่อลักเอาหม้อ ก็มีนัยเหมือนกันนี้. แต่ถ้าภิกษุเห็นภัยบางอย่าง จะเป็นงูน้ำหรือปลาร้ายก็ตาม กลัวแล้วก็หนีไปเสียในระหว่าง ไม่เป็นอาบัติ. ในอาการมีจับต้องเป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยโดยนัยที่กล่าวแล้วในหม้อ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินนั่นแล.
               ส่วนความแปลกกันมีดังต่อไปนี้ :-
  ในภุมมัฏฐกถานั้น ภิกษุขุดลากไปบนแผ่นดิน, ในอุทกัฏฐกถานี้ ภิกษุกดให้จมลงในโคลน. ความกำหนดฐานย่อมมีได้ด้วยอาการ ๖ ด้วยประการฉะนี้.
               ในดอกอุบลเป็นต้น วัตถุแห่งปาราชิกจะครบในดอกใด, เมื่อดอกนั้นสักว่า ภิกษุเด็ดแล้ว ต้องปาราชิก. ก็บรรดาชาติดอกบัวเหล่านี้ เปลือกบัวแม้ที่ข้างๆ หนึ่งแห่งอุบลชาติทั้งหลาย ยังไม่ขาดไปเพียงใด ยังรักษาอยู่เพียงนั้น. 
               ส่วนปทุมชาติเมื่อก้านขาดแล้ว ใยข้างในแม้ยังไม่ขาด ก็รักษาไว้ไม่ได้. ดอกอุบลเป็นต้นที่เจ้าของตัดวางไว้ ดอกใดจะยังวัตถุปาราชิกให้ครบได้ เมื่อดอกนั้นอันภิกษุยกขึ้นแล้ว ก็เป็นปาราชิก.
               ดอกอุบลเป็นต้น เป็นของที่เขามัดเป็นกำๆ ไว้, วัตถุปาราชิกจะครบในกำใด เมื่อกำนั้นอันภิกษุยกขึ้น ต้องปาราชิก. ดอกอุบลเป็นต้นเป็นของเนื่องด้วยภาระ๑- เมื่อภิกษุให้ภาระนั้นเคลื่อนจากฐาน ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งอาการ ๖ ต้องปาราชิก ตามนัยที่กล่าวแล้วในหม้อที่ตั้งอยู่บนแผ่นดิน
๑- คือ หาบ คอน แบก ตะพาย.
               ดอกอุบลเป็นต้นมีก้านยาวที่เขามัดที่ดอกหรือที่ก้านให้เป็นกำ ลาดหญ้าบนเชือกบนหลังน้ำ วางไว้หรือล่ามไว้, กำหนดการให้เคลื่อนจากฐานแห่งดอกอุบลเป็นต้นเหล่านั้น พึงทราบโดยอาการ ๖ อย่าง คือด้านยาวกำหนดด้วยปลายดอกและที่สุดก้าน ด้านขวางกำหนดด้วยที่สุดสองข้าง เบื้องล่างกำหนดด้วยโอกาสที่จด เบื้องบนกำหนดด้วยหลังแห่งดอกที่อยู่ข้างบน. แม้ภิกษุใดทำน้ำให้กระเพื่อม ให้คลื่นเกิดขึ้นยังกำดอกไม้ที่เขาวางไว้บนหลังน้ำให้เคลื่อนจากฐานที่ตั้งเดิม แม้เพียงปลายเส้นผม ภิกษุนั้นต้องปาราชิก.
               แต่ถ้าเธอกำหนดหมายไว้ว่า ถึงที่นี่แล้วเราจักถือเอา ดังนี้ยังรักษาอยู่ก่อน. เมื่อเธอยกขึ้นในที่ซึ่งกำดอกไม้ลอยไปถึงแล้ว เป็นปาราชิก. น้ำทั้งสิ้นเป็นฐานของดอกไม้ที่ขึ้นพ้นน้ำแล้ว. เมื่อภิกษุถอนดอกไม้นั้นยกขึ้นตรงๆ เมื่อที่สุดของก้านห่างจากน้ำเพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก. ภิกษุจับดอกไม้ผลักไปแล้วเหนี่ยวมาข้างๆ จึงถอนขึ้น น้ำไม่เป็นฐาน. เมื่อดอกไม้นั้นสักว่า          ภิกษุถอนขึ้นแล้วก็เป็นปาราชิก.
       ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าว ๒ คำนี้ไว้ว่า ดอกไม้ที่มัดเป็นกำๆ เขาผูกตั้งไว้ในที่น้ำหรือที่ต้นไม้หรือที่กอไม้, เมื่อภิกษุไม่แก้เครื่องผูกออก ทำให้ลอยไปข้างโน้นและข้างนี้ เป็นถุลลัจจัย. เมื่อเครื่องผูกสักว่าหลุดออก ต้องปาราชิก. ภิกษุแก้เครื่องผูกก่อนแล้วนำไปทีหลัง, ในดอกไม้ที่เขาผูกไว้นี้ กำหนดฐานโดยอาการ ๖ อย่าง.
           สำหรับภิกษุผู้ใคร่จะถือเอาดอกปทุมในกอปทุมพร้อมทั้งกอ พึงทราบกำหนดฐานเบื้องบนและด้านกว้าง ด้วยอำนาจแห่งน้ำที่ก้านดอกและก้านใบถูก. และเมื่อเธอยังไม่ได้ถอนกอปทุมนั้นขึ้น แต่เหนี่ยวดอกหรือใบมาเฉพาะหน้าตน เป็นถุลลัจจัย, พอถอนขึ้นต้องปาราชิก.
               เมื่อเธอแม้ไม่ยังก้านดอกและก้านใบให้เคลื่อนจากฐาน ถอนกอปทุมขึ้นก่อน เป็นถุลลัจจัย. เมื่อก้านแห่งดอกและ
ใบเธอให้เคลื่อนจากฐานในภายหลัง ต้องปาราชิก.
               ส่วนภิกษุผู้ถือเอาดอกในกอปทุมที่เขาถอนขึ้นไว้แล้ว พึงให้ตีราคาภัณฑะปรับอาบัติ. แม้ในดอกที่กองไว้ ที่มัดไว้เป็นกำๆ และที่เนื่องในภาระ ซึ่งวางไว้นอกสระมีนัยเหมือนกันนี้.
               เหง้าบัวหรือรากบัว วัตถุปาราชิกจะครบด้วยเหง้าหรือรากอันใด, เมื่อภิกษุถอนเหง้าหรือรากอันนั้นขึ้น ต้องปาราชิก. 
ก็ในเหง้าและรากบัวนี้ พึงกำหนดฐานด้วยอำนาจโอกาสที่เปือกตมถูก.
      ในมหาอรรถกถานั่นเอง ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุถอนเหง้าหรือรากบัวเหล่านั้นขึ้น แม้รากฝอยที่ละเอียดยังไม่ขาด ก็ยังรักษาอยู่ก่อน. ใบก็ดี ดอกก็ดี เกิดที่ข้อเหง้าบัวมีอยู่ แม้ใบและดอกนั้นก็ยังรักษาอยู่ ดังนี้. ก็แล ที่หัวเหง้าบัวเป็นของมีหนาม เหมือนตุ่มสิวที่ใบหน้าของพวกคนกำลังแตกเนื้อหนุ่มสาว ฉะนั้น หนามนี้รักษาไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นของยาว.
               คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวไว้แล้วในดอกอุบล เป็นต้นนั่นเอง.
               น้ำทั้งสิ้นในชลาลัยทั้งหลายมีบึงเป็นต้นเป็นฐานของปลาและเต่าที่มีเจ้าของ. เพราะเหตุนั้น ภิกษุใดเอาเบ็ดก็ดี ข่ายก็ดี ไซก็ดี มือก็ดี จับเอาปลาที่มีเจ้าของ ในที่ที่เขายังรักษา, วัตถุปาราชิกจะครบด้วยปลาตัวใด, เมื่อปลาตัวนั้น สักว่าภิกษุยกขึ้นจากน้ำแม้เพียงปลายเส้นผม ภิกษุนั้นต้องปาราชิก.
               ปลาบางตัวเมื่อถูกจับ วิ่งไปทางโน้นและทางนี้ กระโดดขึ้นไปยังอากาศ ตกลงไปที่ตลิ่ง แม้เมื่อภิกษุจับเอาปลาตัวที่อยู่ในอากาศหรือที่ตกไปที่ตลิ่งนั้น ก็เป็นปาราชิกเหมือนกัน. เมื่อภิกษุจับเอาแม้เต่าตัวที่คลานไปหาอาหารกินภายนอกขอบสระ ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ก็เมื่อภิกษุให้สัตว์น้ำพ้นจากน้ำ         เป็นปาราชิก.
[สมัยหลังพุทธกาลพวกชนขุดบ่อน้ำใช้เลี้ยงปลา]
          ชนทั้งหลายในชนบทนั้นๆ อาศัยลำรางสำหรับไขน้ำของสระใหญ่ที่ทั่วไปแก่ชนทั้งปวง ขุดห้วงน้ำเช่นกันแม่น้ำน้อยอันทั่วไปแก่ชนทั้งปวงเหมือนกัน. พวกเขาได้ชักลำรางเล็กๆ จากห้วงน้ำคล้ายกับแม่น้ำนั้นไป แล้วขุดเป็นบ่อไว้เพื่อประโยชน์แก่การใช้สอยของตนๆ ที่ปลายลำราง. และชนเหล่านั้นมีความต้องการน้ำในเวลาใด ในเวลานั้นจึงชำระลำรางเล็กในบ่อ และห้วงน้ำให้สะอาด แล้วลอกลำรางสำหรับไขน้ำไป. ปลาทั้งหลายออกจากสระใหญ่นั้นพร้อมกับน้ำ ไปถึงบ่อโดยลำดับแล้วอยู่. ชนทั้งหลายไม่ห้ามผู้ที่จับปลาในสระและห้วงน้ำนั้น. แต่ไม่ยอม คือห้ามมิให้จับปลาทั้งหลายที่เข้าไปในลำรางและบ่อน้ำเล็กๆ ของตนๆ.
[ภิกษุจับเอาปลาที่เขาเลี้ยงปรับอาบัติตามราคาปลา]
           ภิกษุใดจับปลาในที่เหล่านั้น ในสระหรือในลำรางสำหรับไขน้ำหรือในห้วงน้ำ, ภิกษุนั้นอันพระวินัยธรพึงให้ปรับอาบัติด้วยอวหาร. แต่เมื่อจับปลาที่เข้าไปในลำรางเล็กหรือในบ่อแล้ว พึงปรับอาบัติด้วยอำนาจแห่งราคาปลาที่จับได้. ถ้าปลาที่กำลังถูกจับจากลำรางเล็กและบ่อน้ำนั้น กระโดดขึ้นไปในอากาศ หรือตกลงมาริมตลิ่ง. เมื่อภิกษุจับเอาปลานั้น ซึ่งอยู่ในอากาศหรือที่อยู่บนตลิ่งพ้นจากน้ำแล้ว อวหารไม่มี.
               เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า ชนเหล่านั้นเป็นเจ้าของปลา ซึ่งอยู่ในที่หวงห้ามของตนเท่านั้น. จริงอยู่ กติกาเห็นปานนี้
เป็นกติกาในชนบทเหล่านั้น. แม้ในเต่าก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               ก็ถ้าว่า ปลาที่กำลังจะถูกจับว่ายขึ้นจากบ่อไปลงรางเล็ก, แม้เมื่อภิกษุจับปลานั้นในรางเล็กนั้น เป็นอวหารแท้. แต่ไม่เป็นอวหารแก่ภิกษุผู้จับปลาที่ว่ายขึ้นจากลำรางเล็กไปลงห้วงน้ำ และที่ว่ายขึ้นจากห่วงน้ำนั้นไปลงสระแล้ว.
               ภิกษุเอาเมล็ดข้าวสุกล่อปลาจากบ่อไปขึ้นลำรางแล้วจับเอา เป็นอวหารแก่ภิกษุนั้นแท้. แต่ไม่เป็นอวหารแก่ภิกษุผู้ล่อจากลำรางนั้นไปลงห้วงน้ำแล้วจับเอา.   ชนบางพวกนำเอาปลาจากที่สาธารณะแก่ชนทั้งปวง บางแห่งนั่นแลขังเลี้ยงไว้ในบ่อน้ำที่หลังสวน แล้วฆ่าเสียคราวละ ๒-๓ ตัว เพื่อประโยชน์แก่แกงเผ็ดทุกวัน. เมื่อภิกษุจับปลาเห็นปานนั้นซึ่งอยู่ในน้ำ หรือบนอากาศ หรือริมตลิ่งแห่งใดแห่งหนึ่ง เป็นอวหารแท้. แม้ในเต่าก็มีนัยเหมือนกันนี้.
               ก็ในฤดูแล้ง กระแสน้ำในแม่น้ำขาดสาย น้ำย่อมขังอยู่ในที่ลุ่มบางแห่ง. มนุษย์ทั้งหลายโปรยผลไม้เบื่อเมาและยาพิษเป็นต้นลง เพื่อความวอดวายแห่งปลาทั้งหลายในลุ่มน้ำนั้นแล้วไปเสีย. ปลาทั้งหลายกินผลไม้เบื่อเมาและยาพิษเป็นต้นเหล่านั้น แล้วตายหงายท้องลอยอยู่บนน้ำ. ภิกษุใดไปในที่นั้นแล้วจับเอาด้วยทำในใจว่า เจ้าของยังไม่มาเพียงใด, เราจักจับเอาปลาเหล่านี้เพียงนั้น, ภิกษุนั้น พระวินัยธรพึงปรับอาบัติตามราคา. เมื่อเธอถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญาไม่เป็นอวหาร. แต่เมื่อเจ้าของให้นำมาเป็นภัณฑไทย.
             มนุษย์ทั้งหลายโปรยยาพิษเบื่อปลาแล้วพากันกลับไปนำภาชนะมาบรรจุให้เต็มแล้วไป. พวกเขายังมีอาลัยอยู่ว่า พวกเราจักกลับมาแม้อีกเพียงใด ปลาเหล่านั้นยังจัดว่าเป็นปลามีเจ้าของเพียงนั้น. แต่เมื่อใด พวกเขาสิ้นอาลัยหลีกไปเสียด้วยปลงใจว่า พวกเรา พอละ จำเดิมแต่นั้นไป เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ถือเอาด้วยไถยจิต, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีบังสุกุลสัญญา.
               พึงทราบวินิจฉัยในชาติสัตว์น้ำแม้ทุกชนิดเหมือนในปลาและเต่า.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในน้ำ               
               กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเรือ               
               พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเรือ :-
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงเรือเป็นอันดับแรกก่อน จึงตรัสว่า นาวา นาม ยาย ตรติ ดังนี้. เพราะฉะนั้น ในอธิการว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเรือนี้ พาหนะสำหรับข้ามน้ำโดยที่สุด จะเป็นรางย้อมผ้าก็ตาม        แพไม้ไผ่ก็ตาม พึงทราบว่าเรือทั้งนั้น.
               ส่วนในการสมมติสีมา เรือประจำที่ภิกษุขุดภายใน หรือต่อด้วยแผ่นกระดาน จัดทำไว้ โดยกำหนดอย่างต่ำที่สุด บรรทุกคนข้ามฟากได้ถึง ๓ คน จึงใช้ได้.        แต่ในนาวัฏฐาธิการนี้ บรรทุกคนได้แม้คนเดียว ท่าน      ก็เรียกว่า เรือ เหมือนกัน.
                ภัณฑะอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องกับตัวเรือก็ตาม ไม่เนื่องกับตัวเรือ ก็ตาม ชื่อว่าภัณฑะที่เก็บไว้ในเรือ. ลักษณะการลักภัณฑะที่เก็บไว้ในเรือนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในภัณฑะที่ตั้งอยู่บนบก นั่นแล. 
                การแสวงหาเพื่อน การเดินไป การจับต้อง และการทำให้ไหว ในคำเป็นต้นว่า นาวํ อวหริสฺสามิ มีนัยดังกล่าวแล้ว นั่นแล. 
                ส่วนในคำว่า พนฺธนํ โมจติ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
เรือลำใด เมื่อแก้เครื่องผูกแล้ว ก็ยังไม่เคลื่อนจากฐาน, เครื่องผูกของเรือ ลำนั้น ยังแก้ไม่ออกเพียงใด, เป็นทุกกฏเพียงนั้น, แต่ครั้นแก้ออกแล้ว เป็นถุลลัจจัยก็มี เป็นปาราชิกก็มี. คำนั้นจักมีแจ้งข้างหน้า. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ. พรรณนาเฉพาะบาลีมีเท่านี้ก่อน.
 ส่วนวินิจฉัยนอกบาลี ในนาวัฏฐาธิการนี้ มีดังต่อไปนี้ :-
 สำหรับเรือที่ผูกจอดไว้ในกระแสน้ำเชี่ยว มีฐานเดียว คือ เครื่องผูกเท่านั้น. เมื่อเครื่องผูกนั้น สักว่าแก้ออกแล้วต้องปาราชิก. ความยุกติในเครื่องผูกนั้น ได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้นนั่นแล. ส่วนในเรือที่เขาล่มไว้ ตั้งแผ่ไปตลอดประเทศแห่งน้ำใดๆ ประเทศแห่งน้ำนั้นๆ เป็นฐานของเรือนั้น. เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุกู้เรือนั้นขึ้นข้างบนก็ดี กดให้จมลงในเบื้องต่ำก็ดี ให้ล่วงเลยโอกาสที่เรือ ถูกในทิศทั้ง ๔ ไปก็ดี ก็เป็นปาราชิกในขณะที่พอเลยไป. เรือไม่ได้ผูกจอดอยู่ตามธรรมดาของเรือในน้ำนิ่ง เมื่อภิกษุฉุดลาก ไปข้างหน้าก็ดี ไปข้างหลังก็ดี ข้างซ้ายและข้างขวาก็ดี ครั้นเมื่อสักว่าส่วนที่ตั้งอยู่ในน้ำอีกข้างหนึ่ง ล่วงเลยโอกาสที่ส่วนข้างหนึ่งถูกไป เป็นปาราชิก. เมื่อยกขึ้นข้างบนให้พ้นจากน้ำเพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก. เมื่อกดลงข้างล่างให้ขอบปากล่วงเลยโอกาสที่พื้นท้องเรือถูกต้องไป เป็นปาราชิก.
               สำหรับเรือที่ผูกไว้ริมตลิ่งจอดอยู่ในน้ำนิ่งมีฐาน ๒ คือ เครื่องผูก ๑ โอกาสที่จอด ๑. ภิกษุแก้เรือนั้นออกจากเครื่องผูกก่อน ต้องถุลลัจจัย, ภาลหลังให้เคลื่อนจากฐาน โดยอาการอันใดอันหนึ่งแห่งอาการ ๖ อย่าง                ต้องปาราชิก.
               แม้ในการให้เคลื่อนจากฐานก่อน แก้เครื่องผูกทีหลัง ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
               โอกาสที่ถูกเทียว เป็นฐานของเรือที่เข็นขึ้นวางหงายไว้บนบก. กำหนดฐานของเรือนั้น พึงทราบโดยอาการ ๕ อย่าง. แต่โอกาสที่ขอบปากถูกเท่านั้น เป็นฐานของเรือที่เขาวางคว่ำไว้. ผู้ศึกษาพึงทราบการกำหนดฐานของเรือแม้นั้นไปโดยอาการ ๕ อย่าง แล้วทราบว่าเป็นปาราชิก ในเมื่อเรือสักว่าล่วงเลยโอกาสที่ถูกข้างใดข้างหนึ่งและเบื้องบนไปเพียงปลายเส้นผม.
               ก็แลโอกาสที่ไม้หมอนถูกเท่านั้นเป็นฐานของเรือที่เขาเข็นขึ้นบกแล้ววางบนไม้หมอนสองอัน. เพราะฉะนั้น วินิจฉัยในเรือที่เขาวางบนไม้หมอนนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในผ้าสาฎกเนื้อแข็งที่พาดไว้เฉพาะบนปลายเท้าเตียง และในหลาว แส้หางสัตว์ที่เขาพาดไว้บนไม้ฟันนาค. แต่ว่าเมื่อเรือผูกเชือกไว้ ไม่ใช่เพียงแต่โอกาสที่ถูกต้องเท่านั้นเป็นฐานแห่งเรือที่เขายังมิได้แก้เชือกซึ่งยาวประมาณ ๖๐-๗๐ วา ไว้เลยแล้วเหนี่ยวมาคล้องไว้กับหลักที่ตอกลงดินตั้งไว้บนบกพร้อมกับเชือก, โดยที่แท้ พึงทราบว่า ด้านยาวเพียงที่ส่วนเบื้องหลังของโอกาสที่เรือจดแผ่นดิน จับแต่ปลายเชือกมา เป็นฐานก่อน ส่วนด้านขวางประมาณที่สุดรอบที่เรือและเชือกจดแผ่นดิน เป็นฐาน.
 เมื่อภิกษุฉุดลากเรือนนั้นไปตามยาวก็ดี ตามขวางก็ดี พอสักว่าให้ส่วนที่จดดิน อีกข้างหนึ่งเลยโอกาสที่ส่วนข้างหนึ่งถูก เป็นปาราชิก, เมื่อยกขึ้นข้างบนให้พ้นจากแผ่นดินพร้อมทั้งเชือก เพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก.
               อนึ่ง ภิกษุใดมีไถยจิต ขึ้นไปยังเรือที่จอดอยู่ที่ท่า เอาถ่อหรือไม้พายแจวไป ภิกษุนั้นต้องปาราชิก. แต่ถ้าภิกษุกางร่ม หรือเอาเท้าทั้งสองเหยียบจีวร และเอามือทั้งสองยกขึ้นทำต่างใบเรือให้กินลม, ลมแรงพัดมาพาเรือไป, เรือนั้นเป็นอันถูกลักไปด้วยลมนั่นแล.อวหารไม่มีแก่บุคคล แต่ความพยายามมีอยู่. ก็ความพยายามนั้น หาใช่เป็นความพยายามในอันที่ให้เคลื่อนจากฐานไม่. ก็ถ้าเรือนั้นแล่นไปอยู่อย่างนั้น ภิกษุงดไม่ให้แล่นไปตามปกติเสีย นำไปยังทิศาภาคส่วนอื่น ต้องปาราชิก. เรือที่แล่นไปถึงท่าบ้านแห่งใดแห่งหนึ่งเสียเอง ภิกษุไม่ให้เคลื่อนจากฐานเลยขายเสียแล้วก็ไป, ไม่เป็นอวหารเลย,
               แต่เป็นภัณฑไทย ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเรือ               
               กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในยาน               
               พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในยาน :-
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงยานก่อนจึงตรัสว่า ยานํ นาม วยฺหํ เป็นต้น.
               ในคำว่า วยฺหํ เป็นต้นนั้นมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ยานที่ปิดบังด้วยไม้เลียบไว้เบื้องบน คล้ายกับมณฑปก็ตาม ที่เขาทำปิดคลุมไว้ทั้งหมดก็ตาม ชื่อว่าคานหาม. เตียงที่เขาใส่กลอนซึ่งสำเร็จด้วยทองและเงินเป็นต้นไว้ที่ข้างทั้งสองแล้วทำไว้โดยนัยดังปีกครุฑ ชื่อว่าเตียงหาม, รถและเกวียนปรากฏชัดแล้วแล. ภัณฑะที่มีวิญญาณหรือไม่มีวิญญาณ ซึ่งเขาเก็บไว้ด้วยอำนาจเป็นกองเป็นต้น ในบรรดาคานหามเป็นต้นเหล่านั้นแห่งใดแห่งหนึ่ง เมื่อภิกษุให้เคลื่อนจากฐานด้วยไถยจิต พึงทราบว่าเป็นปาราชิก โดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในเรือและที่ตั้งอยู่บนบก.
               ส่วนความแปลกกัน มีดังต่อไปนี้ :-
เมื่อภิกษุเอาตะกร้ารับเอาสิ่งของมีข้าวสารเป็นต้นที่ตั้งอยู่ในยาน แม้เมื่อไม่ยกตะกร้าขึ้น ครั้นตบตะกร้า ทำให้วัตถุมีข้าวสารเป็นต้นซึ่งเนื่องเป็นอันเดียวกัน กระจายไป เป็นปาราชิก. นัยนี้ ย่อมใช้ได้แม้ในสิ่งของที่ตั้งอยู่บนบกเป็นต้น. กิจทั้งหลายมีการเที่ยวหาเพื่อนเป็นต้น ในคำว่า เราจักลักยาน มีนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               ก็ในคำว่า ฐานา จาเวติ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
       สำหรับยานที่เทียมด้วยโคคู่ มี ๑๐ ฐาน คือ เท้าทั้ง ๘ ของโคทั้ง ๒ และล้อ ๒. เมื่อภิกษุมีไถยจิตขึ้นเกวียนนั้น นั่งบนทูบขับไป เป็นถุลลัจจัย ในเมื่อโคทั้ง ๒ ยกเท้าขึ้น, และเมื่อโอกาสเพียงปลายเส้นผมล่วงเลยไปจากประเทศที่ล้อทั้ง ๒ จดแผ่นดิน เป็นปาราชิก. แต่ถ้าโคทั้ง ๒ รู้ว่า ผู้นี้มิใช่เจ้าของๆ เรา แล้วสลัดแอกทิ้ง ไม่ยอมเข็นไป หยุดอยู่ก็ตาม ดิ้นรนอยู่ก็ตาม ยังรักษาอยู่ก่อน. เมื่อภิกษุจัดโคทั้งสองให้เทียมเข้าไปตรงๆ แล้วพาดแอกเทียมให้มั่น แทงด้วยปฏักขับไปอีก เป็นถุลลัจจัย ในเมื่อโคเหล่านั้นยกเท้าขึ้น ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล, เป็นปาราชิก ในเมื่อล้อเคลื่อนไป.
               ถ้าแม้ในทางที่มีโคลนตม ล้อข้างหนึ่งติดแล้วในโคลน, โคลากล้อข้างที่ ๒ หมุนเวียนอยู่, อวหารยังไม่มีก่อน เพราะล้อข้างหนึ่งยังคงตั้งอยู่. แต่เมื่อภิกษุจัดโคทั้งสองให้เทียมตรง แล้วขับไปอีก เมื่อล้อที่หยุดอยู่หมุนเลยโอกาสที่ถูกไป เพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก.
               และพึงทราบความต่างกันแห่งฐานของยานที่เทียม โดยอุบายนี้ คือยานที่เทียม ๔ มีฐาน ๑๘ ที่เทียม ๘ มีฐาน ๓๔. ส่วนยานใดที่มิได้เทียม เขาใช้ไม้ค้ำที่ตรงทูบอันหนึ่ง และค้ำข้างหลัง ๒ อันจอดไว้, ยานนั้น มีฐาน ๕ ด้วยอำนาจแห่งไม้ค้ำ ๓ อัน และล้อทั้ง ๒. ถ้าไม้ค้ำที่ตรงแอก เขาบากเป็นง่ามที่ตอนล่าง มีฐาน ๖. ส่วนยานที่ไม่ได้ค้ำไว้ข้างหลัง ค้ำที่ทูบเท่านั้น มีฐาน ๓ บ้าง ๔ บ้าง ด้วยอำนาจแห่งไม้ค้ำ สำหรับยานที่เขาเอาทูบพาดไว้บนกระดานหรือบนไม้ มีฐาน ๓. ยานที่เขาเอาทูบพาดไว้ที่แผ่นดินก็เหมือนกัน.
               เมื่อภิกษุลากหรือยกยานนั้น ให้เคลื่อนจากฐานไปข้างหน้าและข้างหลัง เป็นถุลลัจจัย, เมื่อฐานที่ล้อทั้งสองจดอยู่
 ล่วงเลยไปเพียงปลายเส้นผม ก็เป็นปาราชิก.
               สำหรับยานที่เบาถอดล้อออกแล้วเอาหัวเพลาทั้ง ๒ พาดไว้บนไม้มีฐาน ๒. ภิกษุเมื่อลากหรือยกยานนั้นให้ล่วงเลยโอกาสที่ถูกไป เป็นปาราชิก.
               ยานที่เขาวางไว้บนแผ่นดินมีฐาน ๕ ด้วยอำนาจแห่งที่ซึ่งจดกับทูบ และไม้ค้ำเพลา ๔ อัน. เมื่อภิกษุจับยานนั้นที่ทูบลากไป ครั้นส่วนสุดข้างหน้ากับส่วนสุดข้างหลังแห่งไม้ค้ำเพลา คลาดจากกัน เป็นปาราชิก. เมื่อจับที่ไม้ค้ำเพลาลากไป เมื่อส่วนเบื้องหลังกับส่วนเบื้องหน้าของไม้ค้ำเพลาคลาดจากกัน เป็นปาราชิก. เมื่อจับตรงสีข้างลากไป เป็นปาราชิก ในเมื่อที่ซึ่งไม้ค้ำเพลานั่นเองจดอยู่ตามขวางคลาดจากกันไป. เมื่อจับตรงกลางยกขึ้น ครั้นโอกาสเพียงปลายเส้นผมพ้นจากแผ่นดิน เป็นปาราชิก. ถ้าไม้เดือยค้ำเพลาไม่มี, เขาทำปีกทูบให้เท่ากันดีแล้ว เจาะตรงกลางสอดหัวเพลาเข้าไป. ยานนั้นตั้งอยู่ถูกแผ่นดินทั้งหมด โดยรอบพื้นเบื้องล่าง. ในยานนั้นพึงทราบว่า เป็นปาราชิกด้วยอำนาจล่วงเลยฐานที่ถูกใน ๔ ทิศและเบื้องบน.
               ล้อที่เขาวางเอาดุมตั้งบนภาคพื้น มีฐานเดียวเท่านั้น. การกำหนดล้อนั้น พึงทราบโดยอาการ ๕ อย่าง. ล้อที่ตั้งให้ข้างกงและดุมภูมิ (ดิน) มีฐาน ๒. เมื่อภิกษุเอาเท้าเหยียบส่วนที่เชิดขึ้นแห่งกงให้ถูกที่พื้นแล้วจับที่กำหรือที่กงยกขึ้น ฐานที่ตนทำไม่จัดเป็นฐาน. เพราะเหตุนั้น เมื่อส่วนที่เหลือแม้ที่คงตั้งอยู่นั้น
              สักว่าล่วงเลยไป เป็นปาราชิก.
               แม้สำหรับล้อที่เขาวางพิงฝาไว้ ก็มีฐาน ๒.
    บรรดาฐานทั้ง ๒ นั้น เมื่อภิกษุปลดออกจากฝาครั้งแรก เป็นถุลลัจจัย, ภายหลังในเมื่อยกขึ้นจากแผ่นดินเพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก. แต่เมื่อภิกษุปลดให้พ้นจากพื้นดินครั้งแรก ถ้าฐานที่ล้อตั้งอยู่ใกล้ฝา ไม่กระเทือน ก็มีนัยนี้แหละ. ถ้าเมื่อภิกษุจับที่กำลากไปข้างล่าง ปลายส่วนเบื้องบนแห่งโอกาสที่ตั้งถูกฝาล่วงเลยปลายส่วนเบื้องล่างไป เป็นปาราชิก.
               ในยานที่กำลังเดินทางไป เจ้าของยานลงจากยานแวะออกจากทางไปด้วยกรณียะบางอย่าง ถ้ามีภิกษุรูปอื่นเดินสวนทางมา พบเห็นยานว่างจากการอารักขา จึงคิดว่า เราจักลักเอายาน แล้วขึ้นขี่. โคทั้งหลายพาหลีกไป เว้นจากความพยายามของภิกษุทีเดียว ไม่เป็นอวหาร.
               คำที่เหลือเป็นเช่นดังที่กล่าวไว้แล้วในเรือ ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในยาน               
               [กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในภาระ]               
               ถัดจากภัณฑะที่ตั้งอยู่ในยานนี้ไป ภาระนั่นแล ชื่อว่าภารัฏฐะ (ภัณฑะที่ตั้งอยู่ในภาระ). ภาระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ ๔ ประการด้วยอำนาจแห่งสีสภาระเป็นต้น.
               ในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในภาระนั้น พึงทราบการกำหนดอวัยวะมีศีรษะเป็นต้น เพื่อความไม่ฉงนในภาระทั้งหลาย มีสีสภาระเป็นต้น. บรรดาอวัยวะเหล่านั้น พึงทราบการกำหนดศีรษะก่อน; นี้กำหนดส่วนเบื้องล่างคือ ที่คอเบื้องหน้ามีหลุมคอ, ที่คอเบื้องหลังของคนบางพวก มีขวัญอยู่ที่ท้ายผม, ที่ข้างทั้งสองแห่งหลุมคอนั่นเอง ผมของคนบางพวก เกิดลามลงมา, ผมเหล่าใด เขาเรียกว่าจอนหู, ส่วนเบื้องต่ำแห่งผมเหล่านั้นด้วย. กำหนดเบื้องบนแต่นั้นขึ้นไป พึงทราบว่าเป็นศีรษะ. ภาระที่ตั้งอยู่ในระหว่างนี้ ชื่อว่าสีสภาระ.
               อวัยวะที่ชื่อว่า คอในข้างทั้งสอง เบื้องต่ำตั้งแต่จอนหูลงไป, เบื้องบนตั้งแต่ข้อศอกขึ้นไป, เบื้องต่ำตั้งแต่รากขวัญที่ท้ายทอยและหลุมคอลงไป. เบื้องบนตั้งแต่รากขวัญกลางหลังและหลุมตรงลิ้นปี่ ในท่ามกลางที่กำหนดของอกขึ้นไป. ภาระที่ตั้งอยู่ในระหว่างนี้ ชื่อว่าขันธภาระ.
               ส่วนเบื้องต่ำตั้งแต่รากขวัญกลางหลัง และหลุมตรงลิ้นปี่ลงไปจนถึงปลายเล็บเท้า, นี้เป็นการกำหนดแห่งสะเอว, ภาระที่ตั้งอยู่ในสรีระโดยรอบในระหว่างนี้ ชื่อว่ากฏิภาระ.
               ส่วนเบื้องต่ำตั้งแต่ข้อศอกลงไป จนถึงปลายเล็บมือ, นี้เป็นการกำหนดแห่งของที่หิ้ว. ภาระที่ตั้งอยู่ในระหว่างนี้ ชื่อว่าโอลัมพกะ.
               บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยเป็นลำดับไป 
ในคำว่า สีเส ภารํ เป็นต้นดังต่อไปนี้ :-
               ภิกษุใดอันพวกเจ้าของมิได้สั่งว่า ท่านจงถือเอาภัณฑะนี้ไปในที่นี้ พูดเองเลยว่า ท่านจงมอบภัณฑะชื่อนี้ให้แก่ข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจะนำเอาภัณฑะของพวกท่านไป ดังนี้ แล้วเอาศีรษะทูนภัณฑะของพวกชนเหล่านั้นไป ลูบคลำภัณฑะนั้นด้วยไถยจิต ต้องทุกกฏ. เมื่อยังไม่ทันให้ล่วงเขตกำหนดศีรษะตามที่กล่าวแล้วเลย เป็นแต่ลากย้ายไปข้างนี้ๆ บ้าง ลากย้ายกลับมาบ้าง ต้องถุลลัจจัย, เมื่อภัณฑะนั้นพอเธอลดลงสู่คอ แม้พวกเจ้าของจะมีความคิดว่า จงนำไปเถิด ดังนี้        ก็จริงอยู่ ถึงกระนั้นก็ต้องปาราชิก       เพราะตนมิได้ถูกพวกเขาสั่งไว้.
               อนึ่ง เมื่อเธอแม้ไม่ได้ลดลงมาสู่คอ           แต่ให้พ้นจากศีรษะ แม้เพียงปลายเส้นผม ก็เป็นปาราชิก.
               อนึ่ง สำหรับภาระคู่ส่วนหนึ่งตั้งอยู่บนศีรษะ ส่วนหนึ่งตั้งอยู่ที่หลัง. ในภาระคู่นั้น พึงทราบวินิจฉัยด้วยอำนาจแห่งฐาน ๒. แต่การชี้แจงนี้ได้ปรารภด้วยอำนาจแห่งภาระมีสีสภาระล้วนๆ เป็นต้นเท่านั้น.
               อนึ่ง แม้ในขันธภาระเป็นต้น ก็มีวินิจฉัยเหมือนที่กล่าวไว้ในสีสภาระนี้แหละ.
               ส่วนในคำว่า หตฺเถ ภารํ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
               ภัณฑะที่หิ้วไป เรียกว่าหัตถภาระ เพราะเป็นของที่ถือไปด้วยมือ. ภาระนั้นจะเป็นของที่ถือเอาจากภาคพื้นก่อนทีเดียว หรือจะเป็นของที่ถือเอาจากศีรษะเป็นต้น ด้วยจิตบริสุทธิ์ก็ตามที ย่อมถึงความนับว่าหัตถภาระเหมือนกัน. เมื่อภิกษุเห็นที่รกชัฏเช่นนั้น จึงปลงภาระนั้นลงที่ภาคพื้นหรือที่กอไม้เป็นต้นด้วยไถยจิต, เมื่อภาระนั้นสักว่าพ้นจากมือ เป็นปาราชิก.
               ก็แล ในคำว่า ภูมิโต คณฺหาติ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เมื่อภิกษุปลงภาระเหล่านั้นอย่างใดอย่างหนึ่งลง บนภาคพื้นด้วยจิตบริสุทธิ์ เพราะเหตุมีอาหารเช้าเป็นต้น แล้วกลับยกขึ้นอีกด้วยไถยจิต แม้เพียงเส้นผมเดียวก็เป็นปาราชิกฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในภาระ               
               กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในสวน               
               พึงทราบวินิจฉัยแม้ในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในสวนต่อไป :-
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงสวนก่อน จึงตรัสว่า สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ชื่อว่าสวนดังนี้.
               บรรดาสวนเหล่านั้น สวนเป็นที่บานแห่งดอกไม้ทั้งหลายมีดอกมะลิเป็นต้น ชื่อว่าสวนดอกไม้. สวนเป็นที่เผล็ดแห่งผลไม้ทั้งหลาย มีผลมะม่วงเป็นต้น ชื่อว่าสวนผลไม้.
               วินิจฉัยภัณฑะที่เขาเก็บไว้แม้ในสวนโดยฐาน ๔ มีนัยดังกล่าวแล้ว ในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในภาคพื้นเป็นต้นนั่นแล.
               ส่วนวินิจฉัยในของซึ่งเกิดในสวนนั้น พึงทราบดังนี้ :-
               รากไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งมีแฝกและตะไคร้เป็นต้น ชื่อว่าเหง้า. เมื่อภิกษุถอนรากนั้นถือเอาก็ดี ถือเอาที่เขาถอนไว้แล้วก็ดี วัตถุแห่งปาราชิกจะเต็มด้วยรากใด, ครั้นเมื่อรากนั้นอันเธอถือเอาแล้ว เป็นปาราชิก.
               แม้เหง้ามันก็สงเคราะห์เข้าด้วยรากเหมือนกัน.
               ก็เมื่อภิกษุถอนเหง้าขึ้นเป็นถุลลัจจัยทีเดียว ในเมื่อเหง้านั่นยังไม่ขาดแม้มีประมาณเล็กน้อย.
               คำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในเหง้าบัวนั่นแล.
               บทว่า ตจํ ได้แก่ เปลือกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่พอจะใช้ประกอบเพื่อเป็นเครื่องยา หรือเพื่อเป็นเครื่องย้อม. เมื่อภิกษุถากถือเอาเปลือกไม้นั้นหรือถือเอาเปลือกไม้ที่เขาถากไว้แล้ว เป็นปาราชิก โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในรากไม้นั่นแล.
               บทว่า ปุปฺผํ ได้แก่ ดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งมีดอกมะลิเครือและมะลิซ้อนเป็นต้น. เมื่อภิกษุเก็บเอาดอกไม้นั้นหรือถือเอาดอกไม้ที่เขาเก็บไว้แล้ว เป็นปาราชิก โดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในดอกอุบลและดอกปทุมนั่นแล.
               จริงอยู่ แม้ดอกไม้ทั้งหลายมีขั้วหรือมีที่ต่อยังไม่ขาด ก็ยังรักษาอยู่. แต่สำหรับดอกไม้บางเหล่ามีไส้อยู่ภายในขั้ว ไส้นั้นรักษาไม่ได้.
               บทว่า ผลํ ได้แก่ ผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีผลมะม่วงและผลตาลเป็นต้น. วินิจฉัยสำหรับภิกษุผู้ถือเอาผลไม้นั้นจากต้นไม้ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในกถาว่าด้วยภัณฑะที่คล้องไว้บนต้นไม้. ผลไม้ที่เขาเก็บวางไว้ สงเคราะห์เข้าด้วยภัณฑะที่ตั้งอยู่บนภาคพื้นเป็นต้นนั่นแล.
               สองบทว่า อารามํ อภิยุญฺชติ ความว่า ภิกษุกล่าวเท็จตู่เอาสวนซึ่งเป็นของคนอื่นว่า นี้เป็นสวนของข้าพเจ้า ดังนี้ เป็นทุกกฏ เพราะเป็นประโยคแห่งอทินนาทาน.
               หลายบทว่า สามิกสฺส วิมตึ อุปฺปาเทติ มีความว่า ภิกษุยังความสงสัยให้เกิดขึ้นแก่เจ้าของสวน เพราะความเป็นผู้ฉลาดในการวินิจฉัย หรือเพราะอาศัยคนที่มีกำลังเป็นต้น.
               คืออย่างไร?
               คือตามความจริง เจ้าของเห็นภิกษุนั้นซึ่งเป็นผู้ขวนขวายในการวินิจฉัยอยู่อย่างนั้น จึงคิดว่า เราจักอาจทำสวนนี้ให้กลับคืนเป็นของเรา หรือไม่หนอ? ความสงสัยเมื่อเกิดขึ้นแก่เจ้าของนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นอันภิกษุนั้นให้เกิดขึ้นแล้วด้วยอาการดังกล่าวมานี้ เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นย่อมต้องถุลลัจจัย.
          สองบทว่า ธุรํ นิกฺขิปติ มีความว่า ก็เมื่อใด เจ้าของทอดธุระเสียด้วยคิดว่า ภิกษุนี้หยาบช้าทารุณ พึงทำแม้ซึ่งอันตรายแก่ชีวิตและพรหมจรรย์ของเรา, บัดนี้ เราไม่ต้องการสวนนี้ละ. เมื่อนั้น ภิกษุผู้ตู่ย่อมต้องปาราชิก หากแม้ตนจะเป็นผู้ทำการทอดธุระเสียเองก็ตาม. แต่ถ้าเจ้าของทอดธุระแล้วก็ตาม ภิกษุผู้ตู่ไม่ทอดธุระ ยังมีความอุตสาหะในอันจะพึงให้คืนทีเดียวด้วยคิดว่า เราจักบีบเจ้าของสวนนี้ให้หนักแล้วแสดงความแผ่อำนาจของเรา ตั้งเจ้าของสวนคนนั้นไว้ในความเป็นผู้รับใช้ แล้วจึงจักให้คืน ดังนี้ยังรักษาอยู่ก่อน. ถ้าแม้ภิกษุผู้ตู่ ครั้นแย่งชิงเอาแล้ว ก็ทอดธุระเสีย ด้วยคิดว่า บัดนี้ เราจักไม่คืนสวนนั้นให้แก่เจ้าของคนนี้ ฝ่ายเจ้าของก็ไม่ทอดธุระเสีย ยังเที่ยวแสวงหาพรรคพวก ทั้งรอคอยเวลาอยู่ด้วยคิดว่า เราได้ลัชชีบริษัทเสียก่อน ภายหลังจึงจักรู้ ดังนี้ยังเป็นผู้มีความอุตสาหะในการรับคืนทีเดียว ก็ยังรักษาอยู่นั่นเทียว.
               แต่เมื่อใด แม้ภิกษุผู้ตู่นั้นทอดธุระเสีย ด้วยคิดว่า เราจักไม่คืนให้ ทั้งเจ้าของก็ทอดธุระเสียด้วยคิดว่า เราจักไม่ได้คืนทั้งสองฝ่าย ทอดธุระเสียดังกล่าวมานี้. เมื่อนั้น ภิกษุผู้ตู่เป็นปาราชิก.  แต่ถ้าภิกษุครั้นตู่แล้ว ก็ทำการวินิจฉัยความเสียเอง เมื่อวินิจฉัยยังไม่เสร็จ ทั้งเจ้าของก็มิได้ทอดธุระ รู้อยู่ทีเดียวว่า ตนมิใช่เป็นเจ้าของเลย ได้ถือเอาดอกไม้หรือผลไม้บางอย่างจากสวนนั้น พระวินัยธรพึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ.
               บทว่า ธมฺมญฺจรนฺโต ได้แก่ ภิกษุผู้ตู่ ทำการตัดสินความในหมู่ภิกษุ หรือในราชตระกูล.
               สองบทว่า สามิกํ ปราเชติ ความว่า ภิกษุผู้ตู่นั้นให้ของกำนัลแก่พวกผู้พิพากษา แล้วอ้างพยานโกง ย่อมชนะเจ้าของสวน.
               สองบทว่า อาปตฺติ ปาราชิกสฺส ความว่า มิใช่จะเป็นปาราชิก เฉพาะภิกษุผู้ประกอบคดีนั้นอย่างเดียวก็หามิได้ พวกภิกษุผู้พิพากษาโกงก็ดี ผู้เป็นพยานโกงก็ดี ผู้แกล้งดำเนินคดีในการให้สำเร็จประโยชน์แก่ภิกษุผู้ฟ้องร้องนั้น ก็เป็นปาราชิกทั้งหมด.
               ก็ในคำว่า ธมฺมญฺจรนฺโต นี้ พึงทราบความปราชัย ด้วยอำนาจเจ้าของทอดธุระเท่านั้น. จริงอยู่ เจ้าของยังไม่ทอดธุระจัดว่ายังไม่แพ้ทีเดียว.
               หลายบทว่า ธมฺมญฺจรนฺโต ปรชฺชติ ความว่า แม้ถ้าตนเองถึงความปราชัย เพราะคำพิพากษาที่เป็นไปโดยธรรมโดยวินัย โดยสัตถุศาสน์. แม้ด้วยประการอย่างนี้ ภิกษุผู้ตู่นั้นยังต้องถุลลัจจัย เพราะทำการบีบคั้นเจ้าของด้วยการกล่าวเท็จเป็นปัจจัย ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในสวน               
               กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในวิหาร               
               พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์แม้ที่ตั้งอยู่ในวิหารต่อไป :-
               ทรัพย์ที่เก็บไว้โดยฐาน ๔ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               ก็วินิจฉัยแม้ในการตู่เอาในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในวิหารนี้ พึงทราบดังนี้ :-
 เมื่อภิกษุตู่เอาวิหารก็ดี บริเวณก็ดี อาวาสก็ดีทั้งใหญ่ ทั้งเล็ก ซึ่งเขาถวายพวกภิกษุอุทิศสงฆ์มาจากทิศทั้ง ๔ ตู่ไม่ขึ้น, ทั้งไม่อาจเพื่อจะแย่งชิงเอาได้. เพราะเหตุไร? เพราะไม่มีการทอดธุระแห่งภิกษุทั้งปวง.
               จริงอยู่ ภิกษุทั้งหมดผู้อยู่ในทิศทั้ง ๔ จะทำการทอดธุระในวิหารเป็นต้นที่เป็นของสงฆ์นี้ไม่ได้แล. แต่ภิกษุผู้ตู่ถือเอาสิ่งของๆ คณะอันต่างด้วยคณะผู้กล่าวทีฆนิกายเป็นต้น หรือของบุคคลบางคน ย่อมอาจทำคณะและบุคคลบางคนเหล่านั้นให้ทอดธุระได้ เพราะฉะนั้น ในสิ่งของๆ คณะและบุคคลบางคนนั้น พึงทราบวินิยฉัยโดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในสวนนั่นแล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในวิหาร   
               กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในนา               
               พึงทราบวินิจฉัยแม้ในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในนาต่อไป :-
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงนาก่อน จึงตรัสว่า ที่ซึ่งปุพพัณชาติหรืออปรัณชาติเกิด ชื่อว่านา. บรรดาปุพพัณชาติเป็นต้นนั้น ข้าวเปลือก ๗ ชนิดมีข้าวสาลีเป็นต้น ชื่อว่าปุพพัณชาติ. พืชทั้งหลายมีถั่วเขียวและถั่วราชมาษเป็นต้น ชื่อว่าอปรัณชาติ. แม้ไร่อ้อยเป็นต้นก็สงเคราะห์เข้าในบทว่า อปรัณชาติ นี้เหมือนกัน. ภัณฑะที่เขาเก็บไว้โดยฐาน ๔ แม้ในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในนานี้          ก็มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               ส่วนในภัณฑะที่เกิดขึ้นในนานั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
           เมื่อภิกษุแย่งชิงเอาธัญชาติมีรวงข้าวสาลีเป็นต้นก็ดี ใช้มือนั่นเองเด็ดเอาหรือใช้เคียวเกี่ยวเอา ทีละรวงๆ ก็ดี หรือถอนรวมกันเอาทีละมากๆ ก็ดี วัตถุปาราชิกจะครบในเมล็ด ในรวง ในกำหรือในผลมีถั่วเขียวและถั่วราชมาษเป็นต้นใดๆ เมื่อเมล็ดเป็นต้นนั้นๆ สักว่าเธอให้หลุดจากขั้ว เป็นปาราชิก.
               ส่วนลำต้นก็ดี ใยก็ดี เปลือกก็ดี ที่ยังไม่ขาดแม้มีประมาณน้อย ก็ยังรักษาอยู่. ซังข้าวเปลือกแม้เป็นของยาว, ลำต้นของรวงข้าวเปลือก ยังไม่หลุดออกจากซังข้าวภายในเพียงใด ยังรักษาอยู่เพียงนั้น. เมื่อพื้นเบื้องล่างของลำต้นหลุดออกจากซังข้าวแล้ว แม้เพียงปลายเส้นผม พระวินัยธรพึงปรับอาบัติด้วยอำนาจราคาสิ่งของ.
               ก็เมื่อภิกษุใช้เคียวเกี่ยวถือเอา ครั้นเมื่อลำต้นข้าวอยู่ในกำมือ แม้ขาดแล้วในตอนล่าง, ถ้ารวงทั้งหลายยังเกี่ยวประสานกันอยู่ ยังรักษาอยู่ก่อน. แต่เมื่อเธอสางยกขึ้น แม้เพียงปลายเส้นผม ถ้าวัตถุปาราชิกครบ เป็นปาราชิก.
               ก็แลเมื่อภิกษุถือเอาข้าวเปลือกที่เจ้าของเกี่ยววางไว้พร้อมทั้งข้าวลีบหรือทำให้หมดข้าวลีบ, วัตถุปาราชิกจะครบด้วยรวงใด ครั้นเมื่อรวงนั้นอันเธอถือเอาแล้ว เป็นปาราชิก.
               ถ้าเธอกำหนดหมายไว้ว่า เราจักนวดข้าวเปลือกนี้แล้วจักฝัดถือเอาแต่เมล็ดข้าวเท่านั้น ดังนี้ ยังรักษาอยู่ก่อน. แม้เมื่อเธอให้เคลื่อนจากฐาน ในเพราะการนวดและฝัด ยังไม่เป็นปาราชิก ภายหลัง เมื่อเธอสักว่าตักใส่ภาชนะ               เป็นปาราชิก.
               ส่วนการตู่เอาในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในนานี้ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               ในการปักหลักรุกล้ำเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ขึ้นชื่อว่าแผ่นดินเป็นของหาค่ามิได้ เพราะเหตุนั้น ถ้าว่าภิกษุทำประเทศแห่งแผ่นดินแม้เพียงปลายเส้นผมให้เป็นของๆ ตน ด้วยหลักเพียงอันเดียวเท่านั้น พวกเจ้าของจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม, ที่หลักนั้นจะจารึกชื่อหรือไม่จารึกก็ตาม พอเธอรุกเสร็จ ก็เป็นปาราชิกแก่เธอด้วย แก่ภิกษุทั้งปวงผู้มีฉันทะร่วมกับเธอด้วย.
               แต่ถ้าที่นานั้นเป็นของที่จะพึงโกงเอาได้ ด้วยหลัก ๒ อัน, เป็นถุลลัจจัยในหลักอันที่ ๑, เป็นปาราชิกในหลักอันที่ ๒.
               ถ้าเป็นของที่จะพึงโกงเอาได้ด้วยหลัก ๓ อัน เป็นทุกกฏในหลักอันที่ ๑ เป็นถุลลัจจัยในหลักอันที่ ๒ เป็นปาราชิกในหลักอันที่ ๓.
               แม้ในหลักมากอัน ก็พึงทราบว่า เป็นทุกกฏด้วยหลักต้นๆ เว้นในที่สุดไว้ ๒ หลัก เป็นถุลลัจจัยด้วยหลักอันหนึ่ง แห่งสองหลักในที่สุด, เป็นปาราชิกด้วยหลักอีกอันหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้. ก็ปาราชิกนั้นแล ย่อมมีด้วยความทอดธุระของพวกเจ้าของ. ในการรุกทั้งปวงมีการรุกล้ำด้วยเชือกเป็นต้น ก็อย่างนี้.
               บทว่า รชฺชํ วา มีความว่า ภิกษุมีความประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าใจว่า นานี้เป็นของเรา ขึงเชือกก็ตาม ทอดไม้เท้าลงก็ตาม ต้องทุกกฏ. เมื่อเธอทำในใจว่า บัดนี้เราจักทำให้เป็นของๆ ตนด้วย ๒ ประโยค เป็นถุลลัจจัยในประโยคที่หนึ่งแห่ง ๒ ประโยคนั้น เป็นปาราชิกในประโยคที่ ๒.
               บทว่า วติ วา มีความว่า ภิกษุมีความประสงค์จะทำนาของผู้อื่นให้เป็นของๆ ตน ด้วยอำนาจแห่งการล้อม จึงปักหลักกระทู้ลง ต้องทุกกฏทุกๆ ประโยค, เมื่อประโยคหนึ่งยังไม่สำเร็จ เป็นถุลลัจจัย เมื่อประโยคนั้นสำเร็จแล้ว เป็นปาราชิก. ถ้าเธอไม่อาจทำด้วยประโยคมีประมาณเท่านั้น แต่อาจทำให้เป็นของๆ ตนได้ ด้วยล้อมไว้ ด้วยกิ่งไม้เท่านั้น แม้ในการทอดกิ่งก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
              ภิกษุอาจเพื่อจะล้อมด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้เป็นของๆ ตนได้ ด้วยประการอย่างนี้, ในวัตถุนั้นๆ พึงทราบว่า เป็นทุกกฏด้วยประโยคต้นๆ, เป็นถุลลัจจัยด้วยประโยคอันหนึ่ง แห่งสองประโยคในที่สุด,          เป็นปาราชิกด้วยประโยคนอกจากนี้.
               บทว่า ปริยาทํ วา มีความว่า ภิกษุมีความประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าใจนาของผู้อื่นว่า นี้เป็นนาของเรา จึงรุกคันนาของตนเข้าไป โดยประการที่แนวนา (ของตน) จะล้ำนาของผู้อื่น หรือเอาดินร่วนและดินเหนียวเป็นต้น เสริมทำให้กว้างออกไปหรือว่าตั้งคันนาที่ยังไม่ได้ทำขึ้น ต้องทุกกฏในประโยคต้นๆ, เป็นถุลลัจจัยด้วยประโยคอันหนึ่งแห่งสองประโยคหลัง เป็นปาราชิกด้วยประโยคนอกจากนี้ ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในนา     
              กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่               
               พึงทราบวินิจฉัยแม้ในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่อไป :-
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงพื้นที่ก่อน จึงตรัสว่า วตฺถุ นาม อารามวตฺถุ วิหารวตฺถุ (ที่ชื่อว่าพื้นที่ ได้แก่พื้นที่สวน พื้นที่วิหาร) ดังนี้.
               บรรดาพื้นที่สวนเป็นต้นนั้น ภูมิภาคที่เขามิได้ปลูกพืช หรือต้นไม้ที่ควรปลูกไว้เลย แผ้วถางพื้นดินไว้อย่างเดียว หรือล้อมด้วยกำแพง ๓ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่สวนดอกไม้เป็นต้น ชื่อว่าอารามวัตถุ. ภูมิภาคที่เขาตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่วิหารบริเวณ และอาวาสหนึ่งๆ โดยนัยนั้นนั่นเอง ชื่อว่าวิหารวัตถุ.
               ภูมิภาคแม้ใดในกาลก่อน เป็นอารามและเป็นวิหาร, ภายหลังร้างไป ตั้งอยู่เป็นเพียงภูมิภาค ไม่สำเร็จกิจแห่งอารามและวิหาร ภูมิภาคแม้นั้นก็สงเคราะห์ โดยการรวมเข้าในอารามวัตถุและวิหารวัตถุเหมือนกัน. ส่วนวินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนและพื้นที่วิหารนี้ เป็นเช่นกับที่กล่าวแล้วในนานั่นเอง ฉะนี้แล.
               จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่               
    คำที่ควรจะกล่าวในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในบ้าน ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วทั้งนั้น.