Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา ๒ หน้าต่าง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา ๒ หน้าต่าง แสดงบทความทั้งหมด

17 สิงหาคม 2567

หน้าต่าง ๒/๒ อรรถกถา ตติยปาราชิกสิกขาบท [ว่าด้วย มนุสสวิคคหะ] ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

[กุลบุตรจะเรียนกรรมฐานต้องบำเพ็ญศีลให้บริสุทธิ์ก่อน]  
        กุลบุตรควรชำระศีล ๔ อย่างให้หมดจดก่อน. ในศีลนั้นมีวิธีชำระให้หมดจด ๓ อย่าง คือ ไม่ต้องอาบัติ ๑ ออกจากอาบัติที่ต้องแล้ว ๑ ไม่เศร้าหมองด้วยกิเลสทั้งหลาย ๑.
         จริงอยู่ ภาวนาย่อมสำเร็จแก่กุลบุตรผู้มีศีลบริสุทธิ์อย่างนั้น. กุลบุตรควรบำเพ็ญแม้ศีลที่ท่านเรียกว่าอภิสมาจาริก
ศีล ให้บริบูรณ์ดีเสียก่อน ด้วยอำนาจวัตรเหล่านี้ คือวัตรที่ลานพระเจดีย์ วัตรที่ลานต้นโพธิ์ อุปัชฌายวัตร อาจริยวัตร วัตรที่เรือนไฟ วัตรที่โรงอุโบสถ ขันธกวัตร ๘๒ มหาวัตร ๑๔.
          จริงอยู่ กุลบุตรใดพึงกล่าวว่า เรารักษาศีลอยู่, กรรมด้วยอภิสมาจาริกวัตรจะมีประโยชน์อะไร? ข้อที่ศีลของกุลบุตรนั้น จักบริบูรณ์ได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้. แต่เมื่ออภิสมาจาริกวัตรบริบูรณ์ ศีลก็จะบริบูรณ์. เมื่อศีลบริบูรณ์ สมาธิย่อมถือเอาห้อง.
           สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุนั้นหนอไม่บำเพ็ญธรรม คืออภิสมาจาริกวัตรให้บริบูรณ์แล้ว จักบำเพ็ญศีลทั้งหลายให้บริบูรณ์ได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้.  เรื่องนี้ควรให้พิสดาร.
           เพราะเหตุฉะนั้น กุลบุตรนี้ควรบำเพ็ญแม้วัตร มีเจติยังคณวัตรเป็นต้น ที่ท่านเรียกว่าอภิสมาจาริวัตร ให้บริบูรณ์ด้วยดีเสียก่อน.      เบื้องหน้าแต่การชำระศีลให้หมดจดนั้น ก็ควรตัดปลิโพธ (ความกังวล) อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีอยู่ในบรรดาปลิโพธ ๑๐ อย่างที่พระอาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
                                   ปลิโพธ (ความกังวล) ๑๐ อย่างนั้น คือ
                         อาวาส ๑ ตระกูล ๑ ลาภ (คือปัจจัยสี่) ๑ คณะ
                         (คือหมู่) ๑ การงาน (คือการก่อสร้าง) เป็นที่
                         คำรบห้า ๑ อัทธานะ (คือเดินทางไกล) ๑
                         ญาติ ๑ อาพาธ ๑ คัณฐะ (คือการเรียนปริยัติ) ๑
                         อิทธิฤทธิ์ ๑.
               กุลบุตรผู้ตัดปลิโพธได้อย่างนี้แล้ว จึงควรเรียนกรรมฐาน. ๑- องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๒๑/หน้า ๑๕-๑๖.
[กรรมฐาน ๒ พร้อมทั้งอธิบาย]
 กรรมฐานนั้น มีอยู่ ๒ อย่าง คือ สัพพัตถกกัมมัฏฐาน (กรรมฐานมีประโยชน์ในกุศลธรรมทั้งปวง) ๑ ปาริหาริยกัมมัฏฐาน (กรรมฐานควรบริหารรักษา) ๑. บรรดากรรมฐาน ๒ อย่างนั้นที่ชื่อว่า สัพพัตถกกัมมัฏฐาน ได้แก่เมตตา (ที่เจริญไป) ในหมู่ภิกษุเป็นต้นและมรณัสสติ (การระลึกถึงความตาย). พระอาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า อสุภสัญญา บ้าง.
            จริงอยู่ ภิกษุผู้จะเจริญกรรมฐาน ครั้งแรกต้องตัดปลิโพธเสียก่อน แล้วจึงเจริญเมตตาไปในหมู่ภิกษุผู้อยู่ในสีมา, ลำดับนั้น พึงเจริญไปในเหล่าเทวดาผู้อยู่ในสีมา, ถัดจากนั้นพึงเจริญไปในอิสรชนในโคจรคาม, ต่อจากนั้นพึงเจริญไปในเหล่าสรรพสัตว์กระทั่งถึงชาวบ้านในโคจรคามนั้น.
             แท้จริง ภิกษุนั้นทำพวกชนผู้อยู่ร่วมกันให้เกิดมีจิตอ่อนโยน เพราะเมตตาในหมู่ภิกษุ. เวลานั้น เธอจะมีความอยู่เป็นสุข. เธอย่อมเป็นผู้อันเหล่าเทวดาผู้มีจิตอ่อนโยน เพราะเมตตาในเหล่าเทวดาผู้อยู่ในสีมาจัดการอารักขาไว้เป็นอย่างดี ด้วยการรักษาที่ชอบธรรม. ทั้งเป็นผู้อันอิสรชนทั้งหลายผู้มีจิตสันดานอ่อนโยน เพราะเมตตาในอิรชนในโคจรคาม จัดรักษาระแวดระวังไว้อย่างดี ด้วยการรักษาที่ชอบธรรม. และเป็นผู้อันชาวบ้านเหล่านั้นผู้มีจิตถูกอบรมให้เลื่อมใส เพราะเมตตาในพวกชาวบ้านในโคจรคามนั้น ไม่ดูหมิ่นเที่ยวไป. เป็นผู้เที่ยวไปไม่ถูกอะไรๆ กระทบกระทั่งในที่ทุกสถาน เพราะเมตตา
ในเหล่าสรรพสัตว์. 
               อนึ่ง เธอเมื่อคิดว่า เราจะต้องตายแน่แท้ ด้วยมรณัสสติ ละการแสวงหาที่ไม่สมควรเสีย เป็นผู้มีความสลดใจเจริญสูงขึ้นเป็นลำดับ ย่อมเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน.
               ตัณหาย่อมไม่เกิดขึ้น แม้ในอารมณ์ที่เป็นทิพย์ เพราะอสุภสัญญา.
               เพราะเหตุนั้น คุณธรรมทั้ง ๓ (คือ เมตตา ๑ มรณัสสติ ๑ อสุภสัญญา ๑) นั้นของภิกษุนั้น ท่านเรียกว่าสัพพัตถกกัมมัฏฐาน เพราะทำอธิบายว่าเป็นกรรมฐานอันกุลบุตรพึงปรารถนา คือพึงต้องการในที่ทุกสถาน เพราะเป็นธรรมมีอุปการะมาก และเพราะความเป็นปทัฏฐานแห่งการหมั่นประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรตามที่ประสงค์ไป โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้.
               ก็บรรดาอารมณ์ ๓๘ ประการ กรรมฐานใดที่คล้อยตามจริตของกุลบุตรใด กรรมฐานนั้น ท่านเรียกว่า ปาริหาริยกรรมฐาน เพราะเป็นกรรมฐานที่กุลบุตรนั้นควรบริหารไว้เป็นนิตย์ โดยนัยตามที่กล่าวแล้วนั่นเอง แต่ในตติยปาราชิกนี้ อานาปานกรรมฐานนี้แล ท่านเรียกว่า ปาริหาริยกรรมฐาน.
               ในอธิการว่าด้วยอานาปานกัมมัฏฐานนี้ มีความสังเขปเท่านี้.   ส่วนความพิสดารนักศึกษาผู้ต้องการกถาว่าด้วยการชำระศีลให้หมดจด และกถาว่าด้วยการตัดปลิโพธ พึงถือเอาจากปกรณ์วิเสสชื่อวิสุทธิมรรคเถิด.
[ควรเรียนกรรมฐานในสำนักพุทธโอรสกระทั่งถึงท่านผู้ได้ฌาน]
               อนึ่ง กุลบุตรผู้มีศีลบริสุทธิ์และตัดปลิโพธได้แล้วอย่างนั้น เมื่อจะเรียนกรรมฐานนี้ ควรเรียนเอาในสำนักพุทธบุตร ผู้ให้จตุตถฌานเกิดขึ้นด้วยกรรมฐานนี้แล แล้วเจริญวิปัสสนา ได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์.
               เมื่อไม่ได้พระขีณาสพนั้น ควรเรียนเอาในสำนักพระอนาคามี เมื่อไม่ได้แม้พระอนาคามีนั้น ก็ควรเรียนเอาในสำนักพระสกทาคามี, เมื่อไม่ได้แม้พระสกทาคามีนั้น ก็ควรเรียนเอาในสำนักพระโสดาบัน, เมื่อไม่ได้แม้พระโสดาบันนั้น ก็ควรเรียนเอาในสำนักของท่านผู้ได้จตุตถฌาน ซึ่งมีอานาปานะเป็นอารมณ์, เมื่อไม่ได้ท่านผู้ได้จตุตถฌานแม้นั้น ก็ควรเรียนเอาในสำนักของพระวินิจฉยาจารย์ ผู้ไม่เลอะเลือนทั้งในบาลีและอรรถกถา.
               จริงอยู่ พระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระอรหันต์เป็นต้น ย่อมบอกเฉพาะมรรคที่ตนได้บรรลุแล้วเท่านั้น. ส่วนพระวินิจฉยาจารย์นี้เป็นผู้ไม่เลอะเลือน กำหนดอารมณ์เป็นที่สบายและไม่สบายในอารมณ์ทั้งปวงแล้วจึงบอกให้ เหมือนผู้นำไปสู่ทางช้างใหญ่ ในป่าที่รกชัฏฉะนั้น.
[กรรมฐานมีสนธิคือที่ต่อ ๕ อย่าง]
              ในอธิการว่าด้วยการเรียนกรรมฐานนั้น มีอนุบุพพีกถาดังต่อไปนี้ :-
               ภิกษุนั้นควรเป็นผู้มีความประพฤติเบา สมบูรณ์ด้วยวินัยและมรรยาทเข้าไปหาอาจารย์ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว พึงเรียนกรรมฐานมีสนธิ ๕ ในสำนักของอาจารย์นั้นผู้มีจิตอันตนให้ยินดี ด้วยวัตรและข้อปฏิบัติ.
               ในคำว่า กรรมฐานมีสนธิ ๕ นั้น สนธิมี ๕ อย่างเหล่านี้ คือ อุคคหะ การเรียน ๑ ปริปุจฉา การสอบถาม ๑ อุปัฏฐานะ ความปรากฏ ๑ อัปปนา ความแน่นแฟ้น ๑ ลักษณะ ความกำหนดหมาย ๑. ในอุคคหะเป็นต้นนั้น การเรียนกรรมฐาน ชื่อว่าอุคคหะ.
               การสอบถามกรรมฐาน ชื่อว่าปริปุจฉา. ความปรากฏแห่งกรรมฐาน ชื่อว่าอุปัฏฐานะ. ความแน่วแน่แห่งกรรมฐาน ชื่อว่าอัปปนา. ลักษณะแห่งกรรมฐาน ชื่อว่าลักษณะ.
               มีคำอธิบายว่า ความใคร่ครวญแห่งสภาพกรรมฐานว่า กรรมฐานนี้มีลักษณะอย่างนี้. ภิกษุเมื่อเรียนกรรมฐานซึ่งมีสนธิ ๕ อย่างนี้ แม้ตนเองก็ไม่ลำบาก ทั้งไม่ต้องรบกวนอาจารย์ให้ลำบาก. เพราะฉะนั้น ควรเรียนอาจารย์ให้บอกแต่น้อย สาธยายตลอดเวลาเป็นอันมาก.
               ครั้นเรียนกรรมฐานซึ่งมีสนธิ ๕ อย่างนั้นแล้ว ถ้าในอาวาสนั้นมีเสนาสนะเป็นต้นเป็นที่สบายไซร้ ควรอยู่ในอาวาสนั้นนั่นแล. ถ้าในอาวาสนั้นไม่มีเสนาสนะเป็นที่สบายไซร้ ควรบอกลาอาจารย์ ถ้าเป็นผู้มีปัญญาอ่อน ควรไปสิ้นระยะโยชน์หนึ่งเป็นอย่างยิ่ง. ถ้าเป็นผู้มีปัญญากล้าก็ควรไปแม้ไกล (กว่านั้น) ได้แล้วเข้าไปยังเสนาสนะที่ประกอบด้วยองค์แห่งเสนาสนะ ๕ อย่าง เว้นเสนาสนะที่มีโทษ ๑๘ อย่าง แล้วพักอยู่ในเสนาสนะนั้น ตัดปลิโพธหยุมหยิมเสีย ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว บรรเทาความเมาอาหาร ทำจิตให้ร่าเริงด้วย การอนุสรณ์ถึงคุณพระรัตนตรัย ไม่หลงลืมกรรมฐานแม้บทหนึ่ง แต่ที่เรียนเอาจากอาจารย์ พึงมนสิการอานาปานัสสติกรรมฐานนี้.
               ในวิสัยแห่งตติยปาราชิกนี้ มีความสังเขปเท่านี้.
               ส่วนความพิสดาร นักศึกษาผู้ต้องการกถามรรคนี้  พึงถือเอาจากปกรณ์วิเสสชื่อวิสุทธิมรรคเถิด.
               [วิธีมนสิการอานาปานัสสติกรรมฐาน ๘ อย่าง]     ก็ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า พึงมนสิการอานาปานัสสติกรรมฐานนี้ มีมนสิการวิธีดังต่อไปนี้ :-
               คือ การนับ การตามผูก การถูกต้อง การหยุดไว้ การกำหนด การเปลี่ยนแปลง ความหมดจดและการเห็นธรรมเหล่านั้นแจ่มแจ้ง.
               การนับนั่นแล ชื่อว่าคณนา. การกำหนดตามไป ชื่อว่าอนุพันธนา. ฐานที่ลมถูกต้อง ชื่อว่าผุสนา. ความแน่วแน่ชื่อว่าฐปนา.  ความเห็นเห็นแจ้ง ชื่อว่าสัลลักขณา. มรรค ชื่อว่าวิวัฏฏนา. ผลชื่อว่าปาริสุทธิ. การพิจารณา ชื่อว่า เตสัญจ ปฏิปัสสนา.
 [อธิบายวิธีนับลมหายใจเข้าออก]
               บรรดามนสิการวิธีมีการนับเป็นต้นนั้น กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญนี้ควรมนสิการกรรมฐานนี้โดยการนับก่อน. และเมื่อจะนับไม่ควรหยุดนับต่ำกว่า ๕ ไม่ควรนับให้เกินกว่า ๑๐ ไม่ควรแสดง (การนับ) ให้ขาดในระหว่าง.
               เพราะเมื่อหยุดนับต่ำกว่า ๕ จิตตุปบาทย่อมดิ้นรนในโอกาสคับแคบ ดุจฝูงโคที่รวมขังไว้ในคอกที่คับแคบฉะนั้น. เมื่อนับเกินกว่า ๑๐ ไป จิตตุปบาทก็พะวงอยู่ด้วยการนับเท่านั้น. เมื่อแสดง (การนับ) ให้ขาดในระหว่าง จิตย่อมหวั่นไปว่า กรรมฐานของเราถึงที่สุดหรือไม่หนอ.
              เพราะฉะนั้น ต้องเว้นโทษเหล่านี้เสียแล้ว จึงค่อยนับ. เมื่อจะนับครั้งแรก ควรนับโดยวิธีนับช้าๆ คือนับอย่างวิธีคนตวงข้าวเปลือก.
               จริงอยู่ คนตวงข้าวเปลือกตวงเต็มทะนานแล้วบอกว่า ๑ จึงเทลง เมื่อตวงเต็มอีก พบหยากเยื่อบางอย่าง เก็บมันทิ้งเสีย จึงบอกว่า ๑-๑.
               ในคำว่า ๒-๒ เป็นต้น ก็นัยนี้.
               กุลบุตรแม้นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บรรดาลมหายใจเข้าและหายใจออก ส่วนใดปรากฏพึงจับเอาส่วนนั้น แล้วพึงกำหนดลมที่กำลังผ่านไปๆ ตั้งแต่ต้นว่า ๑-๑ ไป จนถึงว่า ๑๐-๑๐ เมื่อกุลบุตรนั้นนับอยู่โดยวิธีอย่างนี้ ลมอัสสาสะปัสสาสะที่กำลังผ่านออกและผ่านเข้า ย่อมปรากฏ.
               ลำดับนั้น กุลบุตรนี้ควรละวิธีนับช้าๆ คือนับอย่างวิธีคนตวงข้าวเปลือกนั้นเสีย แล้วพึงนับโดยวิธีเร็วๆ คือนับอย่างวิธีนายโคบาล. แท้จริง นายโคบาลผู้ฉลาดเอาก้อนกรวดใส่พก มือถือเชือกและไม้ตะพดไปสู่คอกแต่เช้าตรู่ ตีโคที่หลังแล้ว นั่งอยู่บนเสาลิ่มสลัก นับแม่โคตัวมาถึงประตูแล้วๆ ใส่ก้อนกรวดลงไปว่า ๑-๒ เป็นต้น. ฝูงโคที่อยู่ลำบากในโอกาสที่คับแคบตลอดราตรี ๓ ยาม เมื่อออก (จากคอก) เบียดเสียดกันและกันรีบออกเป็นหมู่ๆ.
                นายโคบาล นั้นย่อมนับอย่างรวดเร็วทีเดียวว่า ๓-๔-๕-๑๐ เป็นต้น. แม้เมื่อกุลบุตรนี้นับอยู่โดยนัยก่อนอย่างว่ามาแล้วนี้ ลมอัสสาสะและปัสสาสะย่อมปรากฏสัญจรไปมา อย่างรวดเร็ว. ลำดับนั้น เธอรู้อยู่ว่า ลม อัสสาสะและปัสสาสะย่อมสัญจรไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วไม่ถือเอาลมภายในและภายนอก พึงกำหนดเฉพาะลมที่มาถึงช่องๆ เท่านั้น นับอย่างเร็วๆ ทีเดียวว่า
                         ๑-๒-๓-๔-๕                   ๑-๒-๓-๔-๕-๖
                         ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗           ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘
                         ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘-๙ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘-๙-๑๐.
 เพราะว่าในกรรมฐานที่เนื่องด้วยการนับ จิตย่อมมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ ด้วยกำลังแห่งการนับเท่านั้น ดุจการหยุดเรือไว้ในกระแสน้ำเชี่ยว ด้วยอำนาจที่เอาถ่อค้ำไว้ฉะนั้น. เมื่อเธอนับอยู่เร็วๆ อย่างนี้กรรมฐานย่อมปรากฏเป็นดุจว่า ดำเนินไปไม่ขาดสาย. เวลานั้น ครั้นเธอรู้ว่า กรรมฐานดำเนินไปไม่ขาดสายแล้ว อย่ากำหนดลมทั้งภายในและภายนอก พึงนับเร็วๆ ตามนัยก่อนนั่นแล. เมื่อเธอส่งจิตเข้าไปพร้อมกับลมที่เข้าไปภายใน ฐานภายในถูกลมกระทบแล้ว ย่อมเป็นเหมือนเต็มด้วยมันข้นฉะนั้น. เมื่อนำจิตออกมาพร้อมกับลมที่ออกมาภายนอก จิตย่อมส่ายไปในอารมณ์มากหลายในภายนอก. แต่ภาวนาย่อมสำเร็จแก่ผู้ตั้งสติไว้ในโอกาสที่ลมถูกต้อง เจริญอยู่เท่านั้น. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า อย่ากำหนดลมทั้งภายในและภายนอก พึงนับเร็วๆ ตามนัยก่อนนั่นแล.
               ถามว่า จะพึงนับลมอัสสาสะและปัสสาสะนั่น นานเท่าไร?
               แก้ว่า พึงนับไปจนกว่าสติที่เว้นจากการนับจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ คือลมอัสสาสะและปัสสาสะ. เพราะว่าการนับ ก็เพื่อจะตัดวิตกที่พล่านไปในภายนอก แล้วตั้งสติไว้ในอารมณ์คือลมอัสสาสะและปัสสาสะเท่านั้น.
[อธิบายเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดลมหายใจเข้าออก]
               พระโยคาวจร ครั้นมนสิการโดยการนับอย่างนั้นแล้ว พึงมนสิการโดยการตามผูก. กิริยาที่หยุดพักการนับแล้วส่งสติไปตามลมอัสสาสะและปัสสาสะติดต่อกันไป ชื่อว่าการตามผูก. ก็แลการส่งสติไปตามนั้น หาใช่ด้วยอำนาจการไปตามเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด (แห่งลมอัสสาสะ) ไม่.
               จริงอยู่ นาภี (สะดือ) เป็นเบื้องต้นแห่งลมออกไปภายนอก หทัย (หัวใจ) เป็นท่ามกลาง นาสิก (จมูก) เป็นที่สุด. ปลายนาสิกเป็นเบื้องต้นแห่งลมเข้าไปภายใน หทัยเป็นท่ามกลาง นาภีเป็นที่สุด.
               ก็เมื่อพระโยคาวจรนั้นไปตามเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด (แห่งลมอัสสาสะและปัสสาสะ) นั้น จิตที่ถึงความฟุ้งซ่าน ย่อมเป็นไปเพื่อความกระวนกระวาย และเพื่อความหวั่นไหว.
               เหมือนอย่างที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า    เมื่อพระโยคาวจรส่งสติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจเข้า กายก็ดี จิตก็ดี ย่อมมีความระส่ำระสาย หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่านไปภายใน เมื่อพระโยคาวจรส่งสติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจออก กายก็ดี จิตก็ดี ย่อมมีความระส่ำระสาย หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่านไปภายนอก.๑-
               เพราะฉะนั้น พระโยคาวจร เมื่อมนสิการโดยการตามผูก ไม่พึงมนสิการด้วยอำนาจแห่งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด อนึ่งแลพึงมนสิการด้วยอำนาจการถูกต้อง และด้วยอำนาจการหยุดไว้ เพราะว่าไม่มีการมนสิการเป็นแผนกหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งการถูกต้องและหยุดไว้ เหมือนกับด้วยอำนาจแห่งการนับและการตามผูก. แต่พระโยคาวจรเมื่อนับอยู่ในฐานที่ลมถูกต้องแล้วๆ นั่นแหละชื่อว่ามนสิการด้วยการนับและการถูกต้อง.
               พระโยคาวจร เมื่อหยุดพักการนับในฐานที่ลมถูกต้องแล้วๆ นั้นนั่นแล ใช้สติตามผูกลมอัสสาสะและปัสสาสะนั้น และตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจอัปปนา ท่านเรียกว่ามนสิการด้วยการตามผูก การถูกต้องและการหยุดไว้.
               ใจความนี้นั้น พึงทราบด้วยข้ออุปมาเหมือนคนง่อยและคนรักษาประตูที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถา และด้วยข้ออุปมาเหมือนเลื่อยที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทา. ๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๖๙/หน้า ๒๔๙.
[ข้ออุปมาเหมือนคนง่อยโล้ชิงช้า]
บรรดาข้ออุปมา ๓ อย่างนั้น ข้ออุปมาเหมือนคนง่อยโล้ชิงช้ามีดังต่อไปนี้ :-
                เปรียบเหมือนคนง่อยไกวชิงช้า ให้แก่มารดาและบุตรผู้เล่นชิงช้าอยู่ แล้วนั่งอยู่ที่โคนเสาชิงช้าในที่นั้นนั่นเอง เมื่อกระดานชิงช้าไกวไปอยู่โดยลำดับ ย่อมเห็นที่สุดทั้งสองข้างและตรงกลาง แต่มิได้ขวนขวายเพื่อจะดูที่สุดทั้งสองข้างและตรงกลาง แม้ฉันใด
               ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยืนที่ใกล้โคนเสาอันเข้าไปผูกไว้ด้วยอำนาจสติแล้วโล้ชิงช้าคือลมหายใจเข้าและหายใจออก นั่งอยู่ด้วยสติ ในนิมิตนั้นนั่นเองส่งสติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจเข้าและหายใจออก ในฐานที่ลมถูกต้องแล้วซึ่งพัดผ่านมาและผ่านอยู่โดยลำดับ และตั้งจิตเฉยไว้ในนิมิตนั้น และไม่ขวนขวายเพื่อจะแลดูลมเหล่านั้น.
           นี้เป็นข้ออุปมาเหมือนคนง่อย.
               [ข้ออุปมาเหมือนคนรักษาประตู]    ส่วนข้ออุปมาเหมือนคนรักษาประตูมีดังต่อไปนี้ :- คนรักษาประตูจะไม่สอบสวนบุรุษทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกพระนครว่า ท่านเป็นใคร? มาแต่ไหน? จะไปไหน? หรือว่า ในมือของท่านมีอะไร? ความจริง พวกมนุษย์ผู้เดินไปทั้งภายในและภายนอกพระนครเหล่านั้นไม่ใช่หน้าที่ของคนรักษาประตูนั้น แต่เขาย่อมสอบสวนเฉพาะคนผู้มาถึงประตูแล้วๆ เท่านั้น แม้ฉันใด ลมที่เข้าไปข้างในและลมที่ออกไปข้างนอก ย่อมไม่เป็นหน้าที่ของภิกษุนี้ฉันนั้นเหมือนกัน จะเป็นหน้าที่ก็เฉพาะแต่ลมที่มาถึงช่องแล้วๆ เท่านั้น.            
              นี้เป็นข้ออุปมาเหมือนคนรักษาประตู.
               [การกำหนดลมหายใจเปรียบเหมือนเลื่อย]               
               ส่วนข้ออุปมาเหมือนเลื่อย ควรทราบจำเดิมแต่ต้นไป.
               สมดังคำที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า   นิมิต ลมหายใจเข้า และลมหายใจ
                         ออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว และ
                         เมื่อบุคคลไม่รู้ธรรมทั้ง ๓ ประการ ย่อมไม่
                         ได้ภาวนา (ภาวนาย่อมไม่สำเร็จ). นิมิต ลมหายใจเข้า และลมหายใจ
                         ออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว และ
                         เมื่อบุคคลรู้ซึ่ธรรม ๓ ประการ ย่อมได้ภาวนา.
               ถามว่า ธรรม ๓ ประการเหล่านี้จะไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียวและธรรม ๓ ประการเหล่านี้จะไม่ปรากฏก็หามิได้จิตจะไม่ถึงความฟุ้งซ่าน ประธาน (ความเพียร) ย่อมปรากฏ แลพระโยคาวจรจะทำประโยคให้สำเร็จ ได้บรรลุคุณวิเศษอย่างไร.
               แก้ว่า เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้บนภาคพื้นที่เรียบเสมอ บุรุษเอาเลื่อย เลื่อยต้นไม้นั้น สติของบุรุษย่อมปรากฏด้วยอำนาจแห่งฟันเลื่อยที่ถูกต้นไม้ และเขาย่อมไม่ได้ใฝ่ใจถึงฟันเลื่อยที่ผ่านมาหรือผ่านไป ทั้งฟันเลื่อยที่ผ่านมาหรือผ่านไป จะไม่ปรากฏก็หามิได้ ประธาน (ความเพียรในการตัดต้นไม้) ย่อมปรากฏ และเขาย่อมให้ประโยค (กิริยาที่ตัดต้นไม้นั้น) สำเร็จได้.๑-
               นิมิตคือสติเป็นเครื่องเข้าไปผูกไว้ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้บนภาคพื้นที่เรียบเสมอ. ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เปรียบเหมือนฟันเลื่อย.
               ภิกษุนั้นตั้งสติไว้มั่นที่ปลายจมูกหรือที่ริมฝีปาก ย่อมไม่ใฝ่ใจถึงลมหายใจเข้าและหายใจออกที่ผ่านมาหรือที่ผ่านไป ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่ผ่านมาหรือผ่านไป จะไม่ปรากฏก็หามิได้ ประธานย่อมปรากฏ และภิกษุนั้นย่อมให้ประโยคสำเร็จได้ ทั้งบรรลุคุณพิเศษด้วย เหมือนบุรุษตั้งสติไว้ด้วยอำนาจแห่งฟันเลื่อยซึ่งถูกต้นไม้ เขาย่อมไม่ได้ใฝ่ใจถึงฟันเลื่อยที่ผ่านมาหรือที่ผ่านไป ทั้งฟันเลื่อยที่ผ่านมาหรือผ่านไป จะไม่ปรากฏก็หามิได้ ประธานย่อมปรากฏ และเขาย่อมทำประโยคให้สำเร็จได้ ฉะนั้น. ๑- บาลีที่มาเดิม มีศัพท์ว่า วิเสสมธิจฺฉติ. ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๘๔/หน้า ๒๕๗.
               คำว่า ประธาน ความว่า ประธานเป็นไฉน?    กายก็ดี จิตก็ดี ของภิกษุผู้ปรารภความเพียรย่อมควรแก่การงาน, นี้เป็นประธาน. 
               ประโยคเป็นไฉน? ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ย่อมละอุปกิเลสได้ วิตกย่อมสงบไป, นี้เป็นประโยค.
               คุณพิเศษเป็นไฉน? ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมหมดสิ้นไป, นี้เป็นคุณพิเศษ. 
               ธรรม ๓ ประการเหล่านี้ย่อมไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว และธรรม ๓ ประการเหล่านี้จะไม่ปรากฏ ก็หามิได้, จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่าน, ประธาน (ความเพียร) ย่อมปรากฏ, และพระโยคาวจร ทำให้ประโยค(การหมั่นประกอบภาวนา)สำเร็จได้ทั้งได้บรรลุคุณพิเศษด้วย.
                 ภิกษุใด เจริญอานาปานัสสติให้บริบูรณ์ดี
                 อบรมมาโดยลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
                 ไว้แล้ว, ภิกษุนั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างได้ เหมือน
                         พระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้นแล.๒-
๒- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๘๖/หน้า ๒๕๗.
               ข้อนี้อุปมาเหมือนเลื่อย.
               ก็ในข้ออุปมาเหมือนเลื่อยนี้ พึงทราบว่า เหตุเพียงไม่ใฝ่ใจด้วยอำนาจลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่ผ่านมาแล้วๆ เท่านั้น เป็นประโยชน์แก่ภิกษุนั้น. กรรมฐานนี้เมื่อภิกษุบางรูป มนสิการนิมิต ย่อมเกิดขึ้นโดยไม่ชักช้าเลยและฐปนากล่าวคืออัปปนา ซึ่งประกอบด้วยองค์ฌานที่เหลือ ก็ย่อมสำเร็จ. แก่สำหรับภิกษุบางรูปมีจำเดิมแต่เวลามนสิการโดยอำนาจการนับนั่นแล คือตั้งแต่เวลาทำไว้ในใจด้วยอำนาจการนับ เมื่อความกระวนกระวายทางกายสงบไป ด้วยอำนาจลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่หยาบดับไปโดยลำดับ กายก็ดี จิตก็ดี ย่อมเป็นของเบา ร่างกายย่อมเป็นดุจถึงอาการลอยขึ้นไปในอากาศเหมือนภิกษุผู้มีกายกระสับกระส่าย เมื่อนั่งลงบนเตียงหรือตั่งเตียงและตั่งย่อมโอนเอน คดงอไป เครื่องปูลาดย่อมย่นเป็นเกลียว,
              แต่เมื่อเธอมีกายไม่กระสับกระส่าย นั่งลง เตียงและตั่งย่อมไม่โอนเอน ไม่คดงอ เครื่องปูลาดก็ไม่ย่นเป็นเกลียว, เตียงตั่งเป็นเหมือนเต็มด้วยปุยนุ่น,
               เพราะเหตุไร?   เพราะเหตุว่า กายไม่กระสับกระส่าย ย่อมเป็นของเบาฉะนั้น.
               เมื่อลมอัสสาสะและปัสสาสะที่หยาบดับไปแล้ว จิตของภิกษุนั้นมีนิมิต คือลมอัสสาสะและปัสสาสะที่ละเอียดเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นไป, แม้เมื่อจิตดวงนั้นดับไปแล้ว จิตดวงต่อๆ ไปซึ่งมีอารมณ์คือนิมิตที่ละเอียดจนละเอียดกว่าจิตนั้น ย่อมเป็นไปนั่นเทียว.
               ถามว่า จิตดวงต่อๆ ไป ย่อมเป็นไปอย่างไร?
               แก้ว่า เปรียบเหมือนบุรุษพึงเอาซี่เหล็กท่อนใหญ่ตีกังสดาล ด้วยการตีเพียงครั้งเดียว เสียงดังพึงเกิดขึ้น, จิตของบุรุษนั้นซึ่งมีเสียงดัง (หยาบ) เป็นอารมณ์ พึงเป็นไป, เมื่อเสียงดังดับไป ต่อจากนั้นภายหลัง จิตซึ่งมีเสียงละเอียดเป็นอารมณ์ พึงเป็นไป, แม้เมื่อจิตซึ่งมีนิมิต คือเสียงละเอียดเป็นอารมณ์นั้นดับไปแล้ว จิตดวงต่อๆ ไปซึ่งมีอารมณ์คือนิมิตที่ละเอียดจนละเอียดกว่าจิต ซึ่งมีนิมิตคือเสียงละเอียดเป็นอารมณ์นั้น ย่อมเป็นไปทีเดียว ฉันใด, จิตซึ่งมีนิมิตคือลมอัสสาสะและปัสสาสะเป็นอารมณ์นั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเป็นไปฉันนั้น.
               แม้ข้อนี้สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า๓-   เปรียบเหมือนบุคคลตีกังสดาล (เสียงดังคือเสียงหยาบ ย่อมกระจายไปก่อน) ดังนี้เป็นต้น. ๓- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๔๐๖/หน้า ๒๗๙.
               ควรให้พิสดาร.  เหมือนอย่างว่า กรรมฐานเหล่าอื่นย่อมปรากฏชัดในชั้นสูงๆ ขึ้นไปฉันใด อานาปานัสสติกรรมฐานนี้จะเป็นฉันนั้น ก็หามิได้. แต่อานาปานัสสติกรรมฐานนี้ เมื่อภิกษุเจริญๆ ในชั้นสูงขึ้นไป ย่อมถึงความเป็นของละเอียด คือจะไม่ถึงแม้ความปรากฏ.
               ก็เมื่อกรรมฐานนั้นไม่ปรากฏอยู่อย่างนั้น ภิกษุนั้นไม่ควรลุกขึ้นจากอาสนะ ตบท่อนหนังไปเสีย. ไม่ควรลุกขึ้นด้วยคิดว่า จะพึงทำอย่างไร? เราจักถามพระอาจารย์ หรือว่า บัดนี้กรรมฐานของเราเสื่อมแล้ว.
               จริงอยู่ เมื่อเธอให้อิริยาบถกำเริบเดินไป กรรมฐานย่อมปรากฏเป็นของใหม่ๆ เรื่อยไป เพราะเหตุนั้น ควรนั่งอยู่ตามเดิม
                นั่นแหละ นำกรรมฐานมาจากที่ถูกต้องตามปกติ.
 [อุบายเป็นเหตุนำอานาปานัสสติกรรมฐานมา]  ในอธิการว่าด้วยอานาปานัสสติกรรมฐานนั้น มีอุบายเป็นเครื่องนำมาดังต่อไปนี้ :-
               จริงอยู่ ภิกษุนั้นรู้ว่ากรรมฐานไม่ปรากฏ ควรพิจารณาสำเหนียกอย่างนี้ว่า ชื่อว่าลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ มีอยู่ในที่ไหน?
              ไม่มีในที่ไหน? ของใครมี? ของใครไม่มี?  ภายหลัง เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาดูอยู่อย่างนี้ก็รู้ได้ว่า ลมหายใจเข้า และหายใจออกนี้ (ของทารกผู้อยู่) ภายในท้องของมารดา ไม่มี, พวกชนผู้ดำน้ำก็ไม่มี, พวกอสัญญีสัตว์ คนตายแล้ว ผู้เข้าจตุตถฌาน ท่านผู้พร้อมเพรียงด้วยรูปภพและอรูปภพ ท่านผู้เข้านิโรธ ก็ไม่มีเหมือนกัน แล้วพึงตักเตือนตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า   แน่ะบัณฑิต ตัวเธอไม่ใช่ผู้อยู่ในท้องของมารดา ไม่ใช่ผู้ดำน้ำ ไม่ใช่เป็นอสัญญีสัตว์ ไม่ใช่คนตาย ไม่ใช่ผู้เข้าจตุตถฌานไม่ใช่ผู้พร้อมเพรียงด้วยรูปภพและอรูปภพ ไม่ใช่ผู้เข้านิโรธ มิใช่หรือ? ตัวเธอยังมีลมหายใจเข้าและหายใจออกอยู่แท้ๆ แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถจะกำหนดได้ เพราะยังมีปัญญาอ่อน. 
                ภายหลัง เธอนั่นควรตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจที่ลมถูกต้องโดยปกตินั่นเอง ให้มนสิการเป็นไป. จริงอยู่ ลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้กระทบโครงจมูกของผู้มีจมูกยาวผ่านไป, กระทบริมฝีปากข้างบนของผู้มีจมูกสั้นผ่านไป. เพราะฉะนั้น เธอนั่นจึงควรตั้งนิมิตไว้ว่า ลมหายใจเข้าและหายใจออกย่อมกระทบฐานชื่อนี้.
                ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงตรัสว่า๑-         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวการเจริญอานาปานัสสติ แก่ภิกษุผู้หลงลืมสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่. ๑- ม. อุป. เล่ม ๑๔/ข้อ ๒๘๙/หน้า ๑๙๖-๑๙๗.
                จริงอยู่ กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมสำเร็จแก่ผู้มีสติ มีความรู้ตัวเท่านั้น แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น กรรมฐานอย่างอื่นนอกจากอานาปานัสสติกรรมฐานนี้ ย่อมปรากฏได้แก่ผู้ที่มนสิการอยู่.
                แต่อานาปานัสสติกรรมฐานนี้เป็นภาระหนัก เจริญสำเร็จได้ยาก ทั้งเป็นภูมิแห่งมนสิการของมหาบุรุษทั้งหลาย คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธบุตรเท่านั้น ไม่ใช่เป็น กรรมฐานต่ำต้อย, ทั้งมิได้เป็นกรรมฐานที่สัตว์ผู้ต่ำต้อยซ่องเสพ, เป็นกรรมฐานสงบและละเอียด โดยประการที่มหาบุรุษทั้งหลายย่อมทำไว้ในใจ. เพราะฉะนั้น ในอานาปานัสสติกรรมฐานนี้จำต้องปรารถนาสติและปัญญาอันมีกำลัง.
          เหมือนอย่างว่า ในเวลาชุนผ้าสาฎกเนื้อเกลี้ยง แม้เข็มก็จำต้อง ปรารถนาอย่างเล็ก, แม้ด้ายซึ่งร้อยในบ่วงเข็มก็จำต้องปรารถนาเส้นละเอียดกว่านั้นฉันใด, ในเวลาเจริญกรรมฐานนี้ซึ่งเป็นเช่นกับผ้าสาฎกเนื้อเกลี้ยงก็ฉันนั้นเหมือนกัน สติมีส่วนเปรียบด้วยเข็มก็ดี ปัญญาที่สัมปยุตด้วยสตินั้น มีส่วนเปรียบด้วยด้ายร้อยบ่วงเข็มก็ดีจำต้องปรารถนาให้มีกำลัง.
           ก็แล ภิกษุผู้ประกอบด้วยสติและปัญญานั้นแล้ว ไม่จำต้องแสวงหาลมหายใจเข้าและหายใจออกนั้น นอกจากโอกาสที่ลมถูกต้องโดยปกติ. เปรียบเหมือนชาวนาไถนาแล้วปล่อยพวกโคถึก ให้บ่ายหน้าไปสู่ที่หากินแล้วพึงนั่งพักที่ร่มไม้, คราวนั้น พวกโคถึกเหล่านั้นของเขาก็เข้าดงไปโดยเร็ว.
               ชาวนาผู้ฉลาดประสงค์จะจับโคถึกเหล่านั้นมาเทียมไถอีก จะไม่เดินตามรอยเท้าโคถึกเหล่านั้นเข้าไปยังดง. โดยที่แท้ เขาจะถือเอาเชือกและประตักเดินตรงไปยังท่าน้ำซึ่งโคถึกเหล่านั้นลงทีเดียว นั่งหรือนอนคอยอยู่. 
               เวลานั้น เขาได้เห็นโคเหล่านั้นซึ่งเที่ยวไปสิ้นทั้งวัน แล้วลงไปสู่ท่าน้ำดื่มอาบและกินน้ำแล้ว ขึ้นมายืนอยู่ จึงเอาเชือกผูกแล้วเอาประตักทิ่มแทง นำไปเทียม (ไถ) ทำการงานอีกฉันใด.
               ภิกษุนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่จำต้องแสวงหาลมหายใจเข้าและหายใจออก นอกจากโอกาสที่ลมถูกต้องโดยปกติ แต่พึงถือเอาเชือก คือสติและประตักคือปัญญาแล้ว ตั้งจิตไว้ในโอกาสที่ลมถูกต้องโดยปกติ ยังมนสิการให้เป็นไป. เพราะว่า เมื่อเธอมนสิการอยู่อย่างนั้นต่อกาลไม่นานเลย ลมหายใจเข้าและหายใจออกนั้นจะปรากฏดุจพวกโคปรากฏที่ท่าลงดื่มฉะนั้น.
               ในลำดับนั้น เธอพึงเอาเชือกคือสติผูกประกอบไว้ในที่นั้นนั่นแหละ แล้วแทงด้วยประตักคือปัญญาตามประกอบกรรมฐานอีก. เมื่อเธอหมั่นประกอบอยู่อย่างนั้น ต่อกาลไม่นานเลย นิมิตจะปรากฏ.
               อาจารย์บางพวกกล่าวไว้ว่า ก็นิมิตนี้นั้นย่อมไม่เป็นเช่นเดียวกันแก่พระโยคาวจรทุกรูป. อนึ่งแล นิมิตนั้นย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูปดุจปุยนุ่น ดุจปุยฝ้ายและดุจสายลม ให้เกิดสุขสัมผัส.
                ส่วนวินิจฉัยในอรรถกถา มีดังต่อไปนี้:-
               จริงอยู่ นิมิตนี้ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูป ดุจดวงดาว ดุจพวงแก้วมณีและดุจพวงแก้ว มุกดา, บางรูปปรากฏเป็นของมีสัมผัสหยาบ ดุจเมล็ดฝ้ายและดุจเสี้ยนไม้แก่น, บางรูปปรากฏเป็นดุจสายสังวาลที่ยาว ดุจพวงแห่งดอกคำและดุจเปลวควันไฟ, บางรูปดุจใยแมงมุมที่กว้าง ดุจช่อกลีบเมฆ ดุจดอกปทุม ดุจล้อรถ ดุจมณฑาพระจันทร์และดุจมณฑลพระอาทิตย์ ฉะนั้น.
      ก็แลกรรมฐานนี้นั้นเป็นอันเดียวกันแท้ๆ แต่ปรากฏโดยความต่างกัน เพราะมีสัญญาต่างกัน เหมือนบรรดาภิกษุหลายรูปด้วยกันนั่งสาธยายพระสูตรอยู่ เมื่อภิกษุรูปหนึ่งพูดว่า พระสูตรนี้ย่อมปรากฏแก่พวกท่านเป็นเช่นไร?               รูปหนึ่งพูดว่า ย่อมปรากฏแก่ผม เป็นเหมือนแม่น้ำไหลตกจากภูเขาใหญ่, อีกรูปอื่นพูดว่า ย่อมปรากฏแก่ผม เป็นเหมือนแนวป่าแห่งหนึ่ง, รูปอื่นพูดว่า ย่อมปรากฏแก่ผม เป็นเหมือนรุกชาติที่เพียบพร้อมด้วยภาระคือผลไม้ซึ่งมีร่มเงาเย็น สมบูรณ์ด้วยกิ่ง.
     จริงอยู่ พระสูตรของเธอเหล่านั้นก็เป็นสูตรเดียวกันนั่นเอง แต่ปรากฏโดยความเป็นของต่างกัน เพราะมีสัญญาต่างกัน ฉะนั้น. ความจริง กรรมฐานนี้เกิดแต่สัญญา มีสัญญาเป็นต้นเหตุ มีสัญญาเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ย่อมปรากฏโดยความต่างกัน เพราะมีสัญญาต่างกัน.
[ธรรม ๓ อย่างมีบริบูรณ์กรรมฐานจึงถึงอัปปนา]
        ก็บรรดาลมหายใจเข้าหายใจออกและนิมิตนี้ จิตที่มีลมหายใจเข้าเป็นอารมณ์ก็อย่างหนึ่งต่างหาก จิตที่มีลมหายใจออกเป็นอารมณ์ก็อย่างหนึ่ง จิตที่มีนิมิตเป็นอารมณ์ก็อย่างหนึ่ง.              
        จริงอยู่ กรรมฐานของภิกษุผู้ไม่มีธรรม ๓ อย่างนี้ ย่อมไม่ถึงอัปปนา ไม่ถึงอุปจาระ. ส่วนกรรมฐานของภิกษุผู้มีธรรม ๓ อย่างนี้ ย่อมถึงอัปปนาและอุปจาระด้วย.
               สมจริงดังคำที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า๑-
                                   นิมิต ลมหายใจเข้า และลมหายใจ
                         ออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว, และ
                         เมื่อภิกษุไม่รู้ธรรม ๓ ประการ ย่อมไม่ได้
                         ภาวนา (ย่อมไม่สำเร็จ),
                                   นิมิต ลมหายใจเข้า และลมหายใจ
                         ออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว, และ
                         เมื่อภิกษุรู้ซึ่งธรรม ๓ ประการย่อมได้ภาวนา.
๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๘๔/หน้า ๒๕๗.
             พระอาจารย์ทั้งหลายผู้กล่าวทีฆนิกายได้กล่าวไว้อย่างนี้ก่อนว่า ก็เมื่อนิมิตปรากฏแล้วอย่างนั้น ภิกษุนั้นควรไปสำนักของอาจารย์ แล้วบอกว่า นิมิตชื่อเห็นปานนี้ ย่อมปรากฏแก่ผลขอรับ ส่วนอาจารย์ไม่ควรพูดว่า นั่นเป็นนิมิตหรือว่าไม่ใช่นิมิต ควรพูดว่า ย่อมเป็นอย่างนั้นละ คุณ แล้วพึงพูดว่า คุณจงมนสิการบ่อยๆ. 
              จริงอยู่ เมื่ออาจารย์พูดว่า เป็นนิมิต เธอจะพึงถึง
ความถอยหลัง, เมื่ออาจารย์พูดว่า ไม่ใช่นิมิต เธอก็จะเป็นผู้หมดหวังจมอยู่. เพราะเหตุนั้น ไม่ควรพูดแม้ทั้งสองอย่างนั้น ควรประกอบเธอนั้นไว้ในมนสิการนั่นแล.
              ส่วนอาจารย์ทั้งหลายผู้กล่าวมัชฌิมนิกายได้กล่าวไว้ว่า เธออันอาจารย์พึงพูดว่า นี้เป็นนิมิต คุณ ขอให้คุณจงมนสิการกรรมฐานบ่อยๆ เถิดสัตบุรุษ!              ภายหลัง เธอรูปนั้นพึงตั้งจิตไว้ในนิมิต นั่นเอง. จำเดิมแต่ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นนี้ ภาวนานี้ของเธอรูปนั้นย่อมมีได้ด้วยอำนาจการตั้งไว้ด้วยประการอย่างนี้.
               สมจริงดังคำที่พระโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า
                พระโยคีผู้เป็นธีรชน เมื่อตั้งจิตไว้ในนิมิต
               เจริญลมหายใจเข้า และหายใจออก ซึ่งมีอาการ
      ต่างๆ อยู่ชื่อว่า ย่อมผูกจิตของตนไว้.
               จำเดิมตั้งแต่นิมิตปรากฏโดยนัยดังกล่าวแล้วนั้น นิวรณ์ทั้งหลายย่อมเป็นอันพระโยคีนั้นข่มได้โดยแท้ กิเลสทั้งหลายสงบนิ่ง สติเข้าไปตั้งมั่นทีเดียว จิตก็ตั้งมั่นเช่นกัน.
 [จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิด้วยองค์]
               จริงอยู่ จิตนี้ย่อมชื่อว่าเป็นธรรมชาติตั้งมั่นด้วยองค์ ๒ คือ ด้วยการละนิวรณ์ในอุปจารภูมิ หรือด้วยความปรากฏแห่งองค์ในปฏิลาภภูมิ. 
               บรรดาภูมิ ๒ อย่างนั้น ที่ชื่อว่าอุปจารภูมิ ได้แก่อุปจารสมาธิ. ที่ชื่อว่าปฏิลาภภูมิ ได้แก่อัปปนาสมาธิ.
               ถามว่า สมาธิทั้งสองนั้นมีการทำต่างกันอย่างไร?
               แก้ว่า อุปจารสมาธิแล่นไปในกุศลวิถีแล้ว ก็หยั่งลงสู่ภวังค์.
               อัปปนาสมาธิ เมื่อพระโยคีนั่งแนบสนิทตลอดทั้งวัน แล่นไปในกุศลวิถีแม้ตลอดทั้งวัน ก็ไม่หยั่งลงสู่ภวังค์.
              บรรดาสมาธิ ๒ อย่างเหล่านี้ จิตย่อมเป็นธรรมชาติตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิ เพราะนิมิตปรากฏ. ภายหลัง ภิกษุนี้ไม่พึงมนสิการนิมิตนั้นโดยสี ทั้งไม่พึงพิจารณาโดยลักษณะ. 
              ก็อีกอย่างหนึ่งแล เธออย่าประมาท ควรรักษานิมิตไว้ดุจพระมเหสีของกษัตริย์ ทรงรักษาครรภ์แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ  และดุจชาวนารักษารวงแห่งข้าวสาลีและข้าวเหนียวฉะนั้น.
               จริงอยู่ นิมิตที่รักษาไว้ได้ ย่อมจะอำนวยผลแก่เธอ.
                                   เมื่อพระโยคีรักษานิมิตไว้ได้ จะไม่
                         มีความเสื่อม จากอุปจารฌานที่ตนได้แล้ว,
                         เมื่อไม่มีการอารักขา (นิมิต) ฌานที่ตนได้
             แล้วๆ ก็จะพินาศไป ฉะนี้แล.
 [อุบายสำหรับรักษาอานาปานัสสติกรรมฐานไม่ให้เสื่อม] ในอธิการแห่งอานาปานัสสติกรรมฐานนั้น มีอุบายสำหรับรักษาดังต่อไปนี้ :-
              ภิกษุนั้นควรเว้นอสัปปายะ ๗ อย่างเหล่านี้ คือ อาวาส ๑ โคจร ๑ การสนทนา ๑ บุคคล ๑ โภชนะ ๑ ฤดู ๑ อิริยาบถ ๑ แล้วเสพสัปปายะ ๗ อย่างเหล่านั้นนั่นแล มนสิการนิมิตนั้นบ่อยๆ . 
              พระโยคีนั้น ครั้นทำนิมิตให้มั่นคงด้วยการเสพสัปปายะอย่างนั้นแล้ว ควรรอคอยความเจริญงอกงามไพบูลย์ บำเพ็ญความเพียรไม่ละทิ้งอัปปนาโกศล ๑๐ อย่างเหล่านี้ คือ ทำวัตถุให้สละสลวย ๑ ประคองอินทรีย์ให้เป็นไปเสมอ ๑ ฉลาดในนิมิต ๑ ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ๑ ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง ๑ ปลอบจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรปลอบจิตให้ร่าเริง ๑ เพ่งดูจิตในสมัยที่ควรเพ่งดู ๑ เว้นบุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ๑ เสพบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น ๑ น้อมไปในสมาธินั้น ๑.
               เมื่อพระโยคีนั้นหมั่นประกอบโดยนัยดังกล่าวมาอย่างนี้อยู่ มโนทวาราวัชชนะ ซึ่งมีนิมิตเป็นอารมณ์ ตัดภวังค์แล้วก็เกิดขึ้นในขณะที่ควรกล่าวว่าอัปปนา จักเกิดขึ้นในบัดนี้. ก็เมื่อมโนทวาราวัชชนะนั้นดับไป. บรรดาชวนะทั้งหลาย ๔ หรือ ๕ ดวงยึดเอาอารมณ์นั้นนั่นแลแล่นไป ซึ่งชวนะดวงแรกชื่อบริกรรม, ที่ ๒ ชื่ออุปจาระ, ที่ ๓ ชื่ออนุโลม, ที่ ๔ ชื่อโคตรภู, ที่ ๕ ชื่ออัปปนาจิต.
               อีกอย่างหนึ่ง ดวงแรกเรียกว่าบริกรรมและอุปจาระ, ที่ ๒ เรียกว่าอนุโลม, ที่ ๓ เรียกว่า โคตรภู, ที่ ๔ เรียกว่าอัปปนาจิต.
               จริงอยู่ ชวนะดวงที่ ๔ เท่านั้น บางทีที่ ๕ ย่อมเป็นไป๑- ไม่ถึงดวงที่ ๖ หรือที่ ๗ เพราะอาสันนภวังค์ (ภวังค์ใกล้อัปปนา) ตกไป. ๑- โยชนา ๑/๓๓๘ แก้ อปฺเปติ เป็น ปวตฺตติ ส่วนพระโคทัตตเถระผู้ชำนาญอภิธรรมกล่าวไว้ว่า กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเป็นธรรมมีกำลัง โดยอาเสวนปัจจัย เพราะฉะนั้น ชวนะย่อมถึงที่ ๖ หรือที่ ๗. คำนั้นถูกคัดค้านในอรรถกถาทั้งหลาย.
               ในชวนจิตเหล่านั้น จิตที่เป็นบุรพภาคเป็นกามาวจร ส่วนอัปปนาจิตเป็นรูปาวจร. ปฐมฌานซึ่งละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕ สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ๑๐ มีความงาม ๓ ย่อมเป็นอันพระโยคีนี้บรรลุแล้ว โดยนัยดังกล่าวมาฉะนี้. 
               เธอยังองค์ฌานทั้งหลายมิวิตกเป็นต้นให้สงบราบคาบในอารมณ์นั้นนั่นเอง ย่อมบรรลุฌานที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔. และด้วยเหตุมีประมาณเพียงนี้ เธอย่อมเป็นผู้ถึงที่สุดแห่งภาวนา ด้วยอำนาจแห่งการหยุดไว้.
               ในอธิการนี้ มีสังเขปกถาเท่านี้ ส่วนนักศึกษาผู้ต้องการความพิสดาร พึงถือเอาจากปกรณ์วิเสส ชื่อวิสุทธิมรรคเถิด.
               ส่วนในกายานุปัสสนานี้ ภิกษุผู้บรรลุจตุตถฌานแล้วอย่างนั้นมีความประสงค์ที่จะเจริญกรรมฐาน ด้วยอำนาจการกำหนดและการเปลี่ยนแปลง แล้วบรรลุความหมดจด กระทำฌานนั้นนั่นแลให้ถึงความชำนิชำนาญ (วสี) ด้วยอาการ ๕ อย่า กล่าวคืออาวัชชนะ การรำพึง, สมาปัชชนะ การเข้า,อธิฏฐานะ  การตั้งใจ, วุฏฐานะ การออกและปัจจเวกขณะ การพิจารณา แล้วกำหนดรูปและอรูปว่า รูป มีอรูปเป็นหัวหน้า หรืออรูป มีรูปเป็นหัวหน้าแล้วเริ่มตั้งวิปัสสนา.
               ถามว่า เริ่มตั้งวิปัสสนาอย่างไร?
               แก้ว่า จริงอยู่ พระโยคีนั้น ครั้นออกจากฌานแล้วกำหนดองค์ฌาน ย่อมเห็นหทัยวัตถุซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งองค์ฌานเหล่านั้น ย่อมเห็นภูตรูปซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งหทัยวัตถุนั้น และย่อมเห็นกรัชกายแม้ทั้งสิ้นซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งภูตรูปเหล่านั้น. 
               ในลำดับแห่งการเห็นนั้น เธอย่อมกำหนดรูปและอรูป
ว่า องค์ฌานจัดเป็นอรูป, (หทัย) วัตถุเป็นต้นจัดเป็นรูป.
               อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้นครั้นออกจากสมาบัติแล้ว กำหนดภูตรูปทั้ง ๔ ด้วยอำนาจปฐวีธาตุเป็นต้น ในบรรดาส่วนทั้งหลายมีผมเป็นอาทิ และรูปซึ่งอาศัยภูตรูปนั้น ย่อมเห็นวิญญาณพร้อมทั้งสัมปยุตธรรมซึ่งมีรูปตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์ หรือมีรูปวัตถุและทวารตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์.
               ลำดับนั้น เธอย่อมกำหนดว่า ภูตรูปเป็นต้นจัดเป็นรูป, วิญญาณที่มีสัมปยุตธรรมจัดเป็นอรูป. อีกอย่างหนึ่ง เธอครั้นออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมเห็นว่า กรัชกายและจิตเป็นที่เกิดขึ้นแห่งลมอัสสาสะและปัสสาสะ. เหมือนอย่างว่า เมื่อสูบของช่างทองยังสูบอยู่ ลมย่อมสัญจรไปมา เพราะอาศัยการสูบ และความพยายามอันเกิดจากการสูบนั้นของบุรุษ ฉันใด, ลมหายใจเข้าและหายใจออกย่อมเข้าออก เพราะอาศัยกายและจิตฉันนั้นเหมือนกันแล.
               ลำดับนั้น เธอกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกและกายว่า เป็นรูป, กำหนดจิตนั้นและธรรมที่สัมปยุตด้วยจิตว่า เป็นอรูป. ครั้นเธอกำหนดนามรูป ด้วยอาการอย่างนั้นแล้ว ย่อมแสวงหาปัจจัยแห่งนามรูปนั้น. และเธอเมื่อแสวงหาอยู่ ก็ได้เห็นปัจจัยมีอวิชชาและตัณหาเป็นต้นนั้นแล้ว ย่อมข้ามความสงสัยปรารภความเป็นไปแห่งนามรูปในกาลทั้ง ๓ เสียได้.
         เธอนั้นข้ามความสงสัยได้แล้ว ยกไตรลักษณ์ขึ้นด้วยอำนาจพิจารณากลาปละวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง มีโอภาสเป็นต้นซึ่งเกิดขึ้นแล้วในส่วนเบื้องต้น ด้วยอุทยัพพยานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ) กำหนดปฏิปทาญาณที่พ้นจากอุปกิเลสว่าเป็นมรรค ละความเกิดเสีย ถึงภังคานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความดับ) เบื่อหน่ายคลายกำหนัดพ้นไปในสรรพสังขาร ซึ่งปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว ด้วยพิจารณาเห็นความดับติดต่อกันไป ได้บรรลุอริยมรรคทั้ง ๔ ตามลำดับ แล้วตั้งอยู่ในพระอรหัตผลถึงที่สุดแห่งปัจจเวกขณญาณ ๑๙ อย่าง เป็นอัครทักขิไณยแห่งโลกพร้อมทั้งเทวดา.
               ก็การเจริญอานาปานัสสติสมาธิของภิกษุผู้ประกอบในอานาปานกรรมฐานนั้น ตั้งต้นแต่การนับจนถึงมรรคผลเป็นที่สุด 
จบบริบูรณ์เพียงเท่านี้แล.
               นี้พรรณนาปฐมจตุกกะโดยอาการทุกอย่าง
               ก็เพราะใน ๓ จตุกกะนอกนี้ ขึ้นชื่อว่านัยแห่งการเจริญกรรมฐาน แผนกหนึ่งย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาควรทราบเนื้อความแห่ง ๓ จตุกกะเหล่านั้น โดยนัยแห่งการพรรณนาตามบทนั่นแล.
               บทว่า ปีติปฏิสํเวที ความว่า เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำปีติให้รู้แจ้ง คือทำให้ปรากฏหายใจเข้า หายใจออก. 
               บรรดาปีติและสุขเหล่านั้น ปีติย่อมเป็นอันภิกษุรู้แจ้งแล้วโดยอาการ ๒ อย่าง คือโดยอารมณ์และโดยความไม่งมงาย.
                ถามว่า ปีติย่อมเป็นอันภิกษุรู้แจ้งแล้ว โดยอารมณ์อย่างไร?
                แก้ว่า ภิกษุนั้นย่อมเข้าฌานทั้ง ๒ (ปฐมฌานและทุติยฌาน) ซึ่งมีปีติ, ปีติชื่อว่าเป็นอันภิกษุนั้นรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์ ด้วยการได้ฌานในขณะเข้าสมาบัติ เพราะอารมณ์เป็นธรรมชาติอันภิกษุนั้นรู้แจ้งแล้ว.
               ถามว่า ปีติย่อมเป็นอันภิกษุรู้แจ้งแล้ว โดยความไม่งมงายอย่างไร?
               แก้ว่า ภิกษุนั้นเข้าฌานทั้ง ๒ ซึ่งมีปีติ ออกจากฌานแล้ว ย่อมพิจารณาปีติที่สัมปยุตด้วยฌาน โดยความสิ้น ความเสื่อม, ปีติชื่อว่าเป็นอันภิกษุรูปนั้นรู้แจ้งแล้วโดยความไม่งมงาย เพราะแทงตลอดลักษณะในขณะแห่งวิปัสสนา.
               ข้อนี้ สมจริงดังคำที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาว่า 
             เมื่อภิกษุรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น, ปีตินั้นย่อมเป็นอันเธอนั้นรู้แจ้งแล้วด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น, เมื่อภิกษุรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจลมหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น, ปีตินั้นย่อมเป็นอันเธอนั้นรู้แจ้งแล้วด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น, เมื่อภิกษุรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจลมหายใจเข้าสั้น สติย่อมตั้งมั่น, ปีตินั้นย่อมเป็นอันเธอนั้นรู้แจ้งแล้วด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น, เมื่อภิกษุรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจลมหายใจออกสั้น สติย่อมตั้งมั่น, ปีตินั้นย่อมเป็นอันเธอนั้นรู้แจ้งแล้วด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น, 
             เมื่อภิกษุรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวง หายใจเข้าและหายใจออก สติย่อมตั้งมั่น. ปีตินั้นย่อมเป็นอันเธอนั้นรู้แจ้งแล้วด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น, เมื่อภิกษุรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจความเป็นผู้ระงับกายสังขาร หายใจเข้าและหายใจออก สติย่อมตั้งมั่น, ปีตินั้นย่อมเป็นอันเธอนั้นรู้แจ้งแล้วด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น,
              เมื่อรำพึงถึง ปีตินั้นย่อมเป็นอันเธอนั้นรู้แจ้งแล้ว, เมื่อรู้ เมื่อเห็น เมื่อพิจารณา เมื่ออธิษฐานจิต เมื่อน้อมใจไปด้วยศรัทธา เมื่อประคองความเพียร เมื่อเข้าไปตั้งสติไว้ เมื่อตั้งจิตไว้มั่น เมื่อรู้ชัดด้วยปัญญา เมื่อรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ เมื่อละธรรมที่ควรละ เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญ เมื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ปีตินั้นย่อมเป็นอันเธอนั้นรู้แจ้งแล้ว, ปีตินั้นเป็นอันภิกษุรู้แจ้งแล้วด้วยอาการอย่างนี้.๑- ๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๔๐๘/หน้า ๒๘๑-๒๘๒.
             แม้บทที่เหลือ ก็พึงทราบโดยเนื้อความตามนัยนี้นั่นแล.
             แต่ในสองบทนี้มีความสักว่าแปลกกัน ดังต่อไปนี้ :-
             พึงทราบความเป็นผู้รู้แจ้งสุข ด้วยอำนาจแห่งฌาน ๓ พึงทราบความเป็นผู้รู้แจ้งจิตสังขาร ด้วยอำนาจแห่งฌานทั้ง ๔. 
             ขันธ์ ๒ มีเวทนาเป็นต้น ชื่อว่าจิตสังขาร.
             ก็บรรดาสองบทนี้ ในสุขปฏิสังเวทิบท ท่านพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทา เพื่อแสดงภูมิแห่งวิปัสสนาว่า 
             คำว่า สุข ได้แก่สุข ๒ อย่าง คือ กายิกสุข ๑ เจตสิกสุข ๑.
             สองบทว่า ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ ความว่า ระงับ คือดับจิตสังขารที่หยาบๆ เสีย. ความดับจิตสังขารนั้น พึงทราบ
โดยพิสดารตามนัยดังที่กล่าวแล้วในกายสังขารนั้นแหละ.
             อีกอย่างหนึ่ง บรรดาบทเหล่านี้ ในปีติบท ท่านกล่าวเวทนาไว้ด้วยปีติเป็นประธาน, ในสุขปฏิสังเวทิบท ท่านกล่าวเวทนาไว้โดยสรูปทีเดียว, ในจิตสังขารบททั้งสอง เป็นอันท่านกล่าวเวทนาที่สัมปยุตด้วยสัญญาไว้ เพราะพระบาลีว่า สัญญาและเวทนาเป็นเจตสิก 
             ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตสังขาร๒- ดังนี้.
             จตุกกะนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยเวทนานุปัสสนานัย ด้วยประการอย่างนี้. ๒- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๔๐๙/หน้า ๒๘๓-๒๘๔.
             แม้ในจตุกกะที่ ๓ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
             บัณฑิตพึงทราบความเป็นผู้รู้แจ้งจิต ด้วยอำนาจแห่งฌาน ๔.
               สองบทว่า อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ ความว่า ภิกษุย่อมสำเหนียกว่า เราจักยังจิตให้บันเทิงคือให้ร่าเริง ได้แก่ให้เบิกบานหายใจเข้าหายใจออก. ในสองบทนั้น ความบันเทิงย่อมมีได้ด้วยอาการ ๒ อย่างคือ ด้วยอำนาจสมาธิและด้วยอำนาจวิปัสสนา.
               ถามว่า ความบันเทิงย่อมมีได้ด้วยอำนาจสมาธิอย่างไร?
               แก้ว่า ภิกษุย่อมเข้าฌานทั้ง ๒ (ปฐมฌานและทุติยฌาน) ซึ่งมีปีติ. เธอนั้นย่อมให้จิตรื่นเริง ด้วยปีติที่สัมปยุตในขณะแห่งสมาบัติ.
               ถามว่า ความบันเทิงย่อมมีได้ด้วยอำนาจวิปัสสนาอย่างไร?
               แก้ว่า ภิกษุครั้นเข้าฌานทั้ง ๒ ซึ่งมีปีติ ออกจากฌานแล้วพิจารณาอยู่ซึ่งปีติที่สัมปยุตด้วยฌาน โดยความสิ้น ความเสื่อม. เธอทำปีติสัมปยุตด้วยฌานให้เป็นอารมณ์ ในขณะแห่งวิปัสสนาอย่างนั้นแล้ว ให้จิตรื่นเริง บันเทิงอยู่. ผู้ปฏิบัติอย่างนั้น ท่านเรียกว่า  ย่อมสำเหนียกว่า เราจักยังจิตให้บันเทิง หายใจเข้าหายใจออก.
               สองบทว่า สมาทหํ จิตฺตํ ความว่า ดำรงจิตไว้เสมอ คือตั้งจิตไว้เสมอในอารมณ์ ด้วยอำนาจแห่งฌานมีปฐมฌานเป็นต้น.
               ก็หรือว่าเมื่อเธอเข้าฌานเหล่านั้นแล้วออกจากฌาน  พิจารณาอยู่ซึ่งจิตที่สัมปยุตด้วยฌานโดยความสิ้น ความเสื่อม. 
               ความที่จิตมีอารมณ์เดียวชั่วขณะ (ขณิกสมาธิ) ย่อมเกิดขึ้น เพราะการแทงตลอดลักษณะในขณะแห่งวิปัสสนา ภิกษุผู้ดำรงจิตไว้เสมอคือตั้งจิตไว้เสมอในอารมณ์ แม้ด้วยอำนาจแห่งความที่จิตมีอารมณ์เดียวชั่วขณะซึ่งเกิดขึ้นแล้วอย่างนั้นท่านก็เรียกว่าย่อมสำเหนียกว่าเราจักตั้งจิตไว้มั่นหายใจเข้าหายใจออก.
               สองบทว่า วิโมจยํ จิตฺตํ ความว่า เมื่อเปลื้อง เมื่อปล่อยจิตให้พ้นจากนิวรณ์ทั้งหลายด้วยปฐมฌาน คือเมื่อเปลื้อง ปล่อยจิตให้พ้นจากวิตกวิจารด้วยทุติยฌาน จากปีติด้วยตติยฌาน จากสุขและทุกข์ด้วยจตุตถฌาน.
               ก็หรือว่าเธอเข้าฌานเหล่านั้นแล้วออกมาพิจารณาอยู่ซึ่งจิตที่สัมปยุตด้วยฌาน โดยความสิ้น ความเสื่อม ในขณะแห่งวิปัสสนา เธอนั้นเปลื้องคือปล่อยจิตให้พ้นจากนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าเที่ยง) ด้วยอนิจจานุปัสสนา (ความพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง), เปลื้องคือปล่อยจิตให้พ้นจากสุขสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นสุข) ด้วยทุกขานุปัสสนา (ความพิจารณาเห็นว่าเป็นทุกข์), จากอัตตสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นตัวตน) ด้วยอนัตตานุปัสสนา (ความพิจารณาเห็นว่าไม่ใช่ตัวตน), จากนันทิ (ความเพลิดเพลิน) ด้วยนิพพิทานุปัสสนา (ความพิจารณาเห็นความเบื่อหน่าย), จากราคะ (ความกำหนัด) ด้วยวิราคานุปัสสนา (ความพิจารณาเห็นธรรมเครื่องคลายความกำหนัด), จากสมุทัย (ตัณหาที่ยังทุกข์ให้เกิด) ด้วยนิโรธานุปัสสนา (ความพิจารณาเห็นธรรมเห็นเครื่องดับ), จากอาทาน (ควายึดถือ)ด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา (ความพิจารณาเห็นธรรมเป็นเครื่องสละคืนซึ่งอุปธิ)หายใจเข้าและหายใจออกอยู่.
               เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า 
                 ย่อมสำเหนียกว่า เราจักปล่อยจิตหายใจเข้า หายใจออก.
               จตุกกะนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจแห่งจิตตานุปัสสนาอย่างนี้.         ส่วนในจตุกกะที่ ๔ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ในบทว่า อนิจฺจานุปสฺสี นี้ พึงทราบอนิจจัง (ของไม่เที่ยง) พึงทราบอนิจจตา (ความเป็นของไม่เที่ยง) พึงทราบอนิจจตานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นของไม่เที่ยง) พึงทราบอนิจจานุปัสสี (ผู้พิจารณาเห็นของไม่เที่ยง) เสียก่อน.
               ในลักษณะ ๔ อย่างมีอนิจจังเป็นต้นนั้น ที่ชื่อว่าอนิจจัง ได้แก่เบญจขันธ์ เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า เบญจขันธ์มีความเกิดขึ้น มีความเสื่อมไปและมีความเป็นไปโดยประการอื่น.
               ที่ชื่อว่าอนิจจตา ได้แก่ ข้อที่เบญจขันธ์เหล่านั้นนั่นเองมีความเกิดขึ้น มีความเสื่อมไปและมีความเป็นไปโดยอาการอื่น หรือมีแล้ว กลับไม่มี.
               อธิบายว่า เบญจขันธ์เหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว ไม่ตั้งอยู่โดยอาการนั้นนั่นแล แตกดับเพราะความแตกดับไปชั่วขณะ.
               ที่ชื่อว่าอนิจจานุปัสสนา ได้แก่ การพิจารณาเห็นในเบญจขันธ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้นว่าไม่เที่ยง ด้วยอำนาจแห่งความเป็นของไม่เที่ยงนั้น.
               ที่ชื่อว่าอนิจจานุปัสสี ได้แก่ พระโยคาวจรผู้ประกอบด้วยอนุปัสสนานั้น. เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรผู้เป็นแล้วอย่างนี้หายใจเข้าและหายใจออกอยู่ บัณฑิตพึงทราบในอธิการนี้ว่า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นว่า ไม่เที่ยง หายใจเข้า หายใจออก.
               ส่วนวิราคะ ในบทว่า วิราคานุปัสสี นี้มี ๒ อย่าง คือ ขยวิราคะ คลายความกำหนัด คือความสิ้นไป ๑ อัจจันตวิราคะ คลายความกำหนัดโดยส่วนเดียว ๑.   บรรดาวิราคะ ๒ อย่างนั้น ความแตกดับไปชั่วขณะแห่งสังขารทั้งหลาย ชื่อว่าขยวิราคะ. พระนิพพาน ชื่อว่าอัจจันตวิราคะ. วิปัสสนาและมรรคที่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งการเห็นวิราคะทั้ง ๒ อย่างนั้น ชื่อว่าวิราคานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นการคลายความกำหนัด). พระโยคาวจรเป็นผู้ประกอบด้วย อนุปัสสนาแม้ทั้ง ๒ อย่างนั้น หายใจเข้าและหายใจออกอยู่ บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นวิราคะหายใจเข้าหายใจออก.
               แม้ในบทว่า นิโรธานุปัสสี ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
               ปฏินิสสัคคะ (ความสละคืออุปธิ) แม้ในบทว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี นี้ก็มี ๒ อย่าง คือปริจจาคปฏินิสสัคคะ ความสละคืน คือความเสียสละ ๑ ปักขันทนปฏินิสสัคคะ ความสละคืนคือความแล่นไป ๑. การพิจารณาเห็น คือความสละคืนนั่นเอง ชื่อว่าปฏินิสสัคคานุปัสสนา.
               คำว่า ปฏินิสสัคคานุปัสสนา นั่นเป็นชื่อแห่งวิปัสสนาและมรรค. จริงอยู่ วิปัสสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า การสละคืนคือการละ เพราะย่อมละกิเลสทั้งหลายพร้อมทั้งขันธาภิสังขาร ด้วยอำนาจตทังคปหาน และว่าการสละคืนคือการแล่นไปเพราะย่อมแล่นไปในพระนิพพานซึ่งผิดจากสังขารนั้น เหตุที่น้อมไปในพระนิพพานนั้น เพราะเห็นโทษแห่งสังขตธรรม.
               มรรค พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า การสละคืนคือการละ เพราะย่อมละกิเลสพร้อมทั้งขันธาภิสังขาร ด้วยสามารถ
สมุจเฉทปหาน และว่า การสละคืนคือการแล่นไป เพราะย่อมแล่นไป.    ในพระนิพพาน ด้วยการกระทำให้เป็นอารมณ์.
               ก็วิปัสสนาญาณและมรรคญาณแม้ทั้ง ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า อนุปัสสนา เพราะเล็งเห็นญาณต้นๆ ในภายหลัง. 
               ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนาทั้ง ๒ อย่างนั้น หายใจเข้าและหายใจออกอยู่ บัณฑิตพึงทราบว่า สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้มีปกติเล็งเห็นญาณชื่อปฏินิสสัคคะในภายหลัง หายใจเข้าหายใจออก ดังนี้.
               คำว่า เอวํ ภาวิโต ความว่า เจริญแล้วด้วยอาการอย่างนี้ คือด้วยอาการ ๑๖ อย่าง. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
     กถาว่าด้วยอานาปานัสสติสมาธิ จบ. 
                  ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติตติยปาราชิกสิกขาบท               
               ก็ในคำว่า อถโข ภควา เป็นต้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้ :-  พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงปลอบภิกษุทั้งหลายให้เบาใจ ด้วยอานาปานัสสติสมาธิกถาอย่างนี้แล้ว ในลำดับนั้น ตรัสให้ประชุมภิกษุสงฆ์ เพราะเกิดเรื่องที่ภิกษุทั้งหลายปลงชีวิตกันและกัน อันเป็นเหตุก่อให้เกิดผล และเป็นเหตุเริ่มแรกแห่งการบัญญัติตติยปาราชิก  สิกขาบทนี้แล้ว ตรัสสอบถามและทรงติเตียนแล้ว
               เพราะในการปลงชีวิตนั้น การปลงชีวิตตนเองและการใช้ให้มิคลัณฑิกสมณกุตก์ปลงชีวิตตน ย่อมไม่เป็นวัตถุแห่งปาราชิก  ฉะนั้น จึงทรงเว้นการปลงชีวิต ๒ อย่างนั้นเสีย ทรงถือเอาการปลงชีวิตกันและกันอันเป็นวัตถุแห่งปาราชิกอย่างเดียว ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบท ตรัสพระพุทธพจน์มีคำว่า อนึ่ง ภิกษุใด แกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ดังนี้ เป็นต้น.๑-
               ก็ในพระบาลีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสว่า โมฆปุริสา ตรัสว่า เต ภิกฺขู เพราะภิกษุเหล่านั้นเจือด้วยพระอริยบุคคล.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๗๙/หน้า ๑๓๔

หน้าต่าง ๑/๒ อรรถกถา ตติยปาราชิกสิกขาบท [ว่าด้วย มนุสสวิคคหะ] ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

ตติยปาราชิกวรรณนา      
ตติยปาราชิกใด ซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้หมดจดทาง      ไตรทวารทรงประกาศแล้ว, บัดนี้ ถึงลำดับสังวรรณนา    แห่งตติยปาราชิกนั้นแล้ว เพราะเหตุนั้น คำใดที่จะพึง   รู้ได้ง่าย และคำใดที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้แล้วในก่อน  สังวรรณนานี้แม้แห่งตติยปาราชิกนั้น จะเว้นคำนั้นๆ   เสียฉะนี้แล. 
             พระบาลีอุกเขปพจน์ว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฏาคารสาลายํ เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไปนี้ :-
               [อธิบายเรื่องเมืองไพศาลี]
              บทว่า เวสาลิยํ มีความว่า ใกล้นครที่มีชื่ออย่างนั้นคือมีโวหารเป็นไปด้วยอำนาจแห่งอิตถีลิงค์.
              จริงอยู่ นครนั้น เรียกว่าเวสาลี เพราะเป็นเมืองที่กว้างขวาง ด้วยขยายเครื่องล้อม คือกำแพงถึง ๓ ครั้ง.  ความสังเขปในตติยปาราชิกนี้มีเท่านี้.
              ส่วนความพิสดารแห่งบทว่า  เวสาลีนั้นอันผู้ปรารถนาอนุบุพพิกถาพึงถือเอาจากวรรณนาแห่งรัตนสูตร ในอรรถกถาแห่งขุททกปาฐะชื่อปรมัตถโชติกาเถิด. 
              ก็แลนครแม้นี้ พึงทราบว่า เป็นเมืองถึงความไพบูลย์โดยอาการทั้งปวง ในเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้วเท่านั้น.
              ท่านพระอุบาลีเถระ ครั้นแสดงโคจรคามอย่างนั้นแล้ว จึงกล่าวที่เสด็จประทับไว้ว่า มหาวเน กูฏาคารสาลายํ (ที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน).
     บรรดาป่ามหาวันและกูฏาคารศาลานั้น ป่าใหญ่มีโอกาสเป็นที่กำหนดเกิดเอง ไม่ได้ปลูก ชื่อว่าป่ามหาวัน. ส่วนป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ เนื่องเป็นอันเดียวกันกับป่าหิมพานต์ ไม่มีโอกาสเป็นที่กำหนด ตั้งจดมหาสมุทร. ป่ามหาวันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น คือเป็นป่าใหญ่ มีโอกาสเป็นที่กำหนด เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าป่ามหาวัน. ส่วนกูฏคารศาลาอันถึงพร้อมด้วยอาการทั้งปวง ซึ่งสร้างให้มีหลังคาคล้ายทรวดทรงแห่งหงส์ ทำเรือนยอดไว้ข้างใน ณ อารามที่สร้างไว้อาศัยป่ามหาวัน พึงทราบว่า เป็นพระคันธกุฎีสำหรับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอสุภกรรมฐานแก่พวกภิกษุ] หลายบทว่า อเนกปริยาเยน อสุภกถํ กเถฺติ มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงกถาเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่ายในกายซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจแห่งความเล็งเห็นอาการอันไม่งาม ด้วยเหตุมากมาย.
               ทรงแสดงอย่างไร?
               ทรงแสดงว่า มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน ฯลฯ มูตร.
               มีคำอธิบายอย่างไร? มีคำอธิบายอย่างนี้ว่า
           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บางคน เมื่อค้นหาดูแม้ด้วยความเอาใจใส่ทุกอย่างในกเลวระมีประมาณวาหนึ่ง จะไม่เห็นสิ่งอะไรๆ จะเป็นแก้วมุกดาหรือแก้วมณี แก้วไพฑูรย์หรือกฤษณา แก่นจันทน์หรือกำยาน การบูรหรือบรรดาเครื่องหอมมีจุณสำหรับอบเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามที ซึ่งเป็นของสะอาด แม้มาตรว่าน้อย. โดยที่แท้จะเห็นแต่ของไม่สะอาดมีประการต่างๆ มีผมและขนเป็นต้นเท่านั้น ซึ่งมีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง น่าเกลียด มีการเห็นไม่เป็นมิ่งขวัญ เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรทำความพอใจหรือความรักใคร่ในกายนี้ อันที่จริง ขึ้นชื่อว่าผมเหล่าใดซึ่งเกิดบนศีรษะอันเป็นอวัยวะสูงสุด แม้ผมเหล่านั้นก็เป็นของไม่งามเหมือนกัน ทั้งไม่สะอาด ทั้งเป็นของปฏิกูล.
            ก็แล ข้อที่ผมเหล่านั้นเป็นของไม่งาม ไม่สะอาดและเป็นของปฏิกูลนั้น พึงทราบโดยเหตุ ๕ อย่าง คือโดยสีบ้าง โดยสัณฐานบ้าง โดยกลิ่นบ้าง โดยที่อยู่บ้าง โดยโอกาสบ้าง. ข้อที่ส่วนทั้งหลายมีขนเป็นต้นเป็นของไม่งาม ไม่สะอาด และเป็นของปฏิกูลก็พึงทราบด้วยอาการอย่างนี้แล.
            ความสังเขปในอธิการแห่งตติยปาราชิกนี้มีเท่านี้.
            ส่วนความพิสดารพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในปกรณ์วิเสสชื่อวิสุทธิมรรค.
            พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอสุภกถาในส่วนอันหนึ่งๆ โดยอเนกปริยาย มีประเภทส่วนละ ๕ๆ ด้วยประการฉะนี้.
              ข้อว่า อสุภาย วณฺณํ ภาสติ มีความว่า พระองค์ทรงตั้งอสุภมาติกาด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกอสุภะเป็นต้นแล้ว เมื่อจะทรงจำแนก คือทรงพรรณนา สังวรรณนา อสุภมาติกานั้น ด้วยบทภาชนีย์ จึงตรัสคุณานิสงส์แห่งอสุภะ.
              ข้อว่า อสุภภาวนาย วณฺณํ ภาสติ มีความว่า ความอบรม คือความเจริญ ความเพิ่มเติมจิตที่ถือเอาอาการอันไม่งาม ในส่วนทั้งหลายมีผมเป็นต้น หรือในอสุภะมีอุทธุมาตกอสุภะเป็นต้น หรือในวัตถุภายในและภายนอกทั้งหลาย เป็นไปนี้ใด พระองค์จะทรงแสดงอานิสงส์แห่งอสุภภาวนานั้น จึงตรัสสรรเสริญ คือทรงประกาศคุณ.
               ตรัสอย่างไรเล่า? ตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบเฉพาะซึ่งอสุภภาวนา ในวัตถุมีผมเป็นต้น หรือในวัตถุมีอุทธุมาตกอสุภะเป็นต้น ย่อมได้เฉพาะซึ่งปฐมฌานอันละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕ มีความงาม ๓ อย่างและถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ภิกษุนั้นอาศัยหีบใจ กล่าวคือปฐมฌานนั้น เจริญวิปัสสนา ย่อมบรรลุพระอรหัตซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุด.
 [ปฐมฌานมีลักษณะ ๑๐ และความงาม ๓]
           บรรดาความงาม ๓ และลักษณะ ๑๐ เหล่านั้น ลักษณะ ๑๐ แห่งปฐมฌานเหล่านี้ คือ ความหมดจดแห่งจิตจากธรรมที่เป็นอันตราย ๑ ความปฏิบัติสมาธินิมิตอันเป็นท่ามกลาง ๑ ความแล่นไปแห่งจิตในสมาธินิมิตนั้น ๑ ความเพิกเฉยแห่งจิตที่หมดจด ๑ ความเพิกเฉยแห่งจิตที่ดำเนินถึงความสงบ ๑ ความเพิกเฉยแห่งจิตที่ปรากฏด้วยอารมณ์อันเดียว ๑ ความผุดผ่องด้วยอรรถคือความไม่กลับกลายแห่งธรรมทั้งหลายที่เกิดในฌานจิตนั้น ๑ ความผุดผ่องด้วยอรรถคือความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีรสเป็นอันเดียวกัน ๑ ความผุดผ่องด้วยอรรถคือความเป็นไปแห่งความเพียร อันสมควรแก่สมาธิปัญญาและอินทรีย์ซึ่งเป็นธรรมไม่กลับกลาย และมีรสเป็นอันเดียวกันนั้น ๑ ความผุดผ่องด้วยอรรถคือความเสพคุ้น ๑.  บาลี๑- ในวิสัยเป็นที่เปิดเผยลักษณะ ๑๐ นั้น ดังนี้ :-
   อะไรเป็นเบื้องต้น อะไรเป็นท่ามกลาง อะไรเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน? ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้น ความเพิ่มพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลาง ความผุดผ่องเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน.  ความหมดจดแห่งปฏิปทา เป็นเบื้องต้นแห่งปฐมฌาน.
        เบื้องต้นมีลักษณะเป็นเท่าไร?  เบื้องต้นมีลักษณะ ๓. ธรรมใดเป็นอันตรายของจิตนั้น จิตย่อมหมดจดจากธรรมนั้น จิตย่อมดำเนินไปสู่สมาธินิมิตอันเป็นท่ามกลาง เพราะค่าที่เป็นธรรมชาติหมดจด จิตแล่นไปในสมาธินิมิต (ซึ่งเป็นโคจรแห่งอัปปนา) นั้น เพราะความเป็นธรรมชาติดำเนินไปแล้ว. จิตหมดจดจากธรรมที่เป็นอันตราย ๑ จิตดำเนินไปสู่สมาธินิมิตอันเป็นท่ามกลาง เพราะค่าที่เป็นธรรมชาติหมดจด ๑ จิตแล่นไปในสมาธินิมิตนั้น เพราะเป็นธรรมชาติดำเนินไป ๑ เป็นปฏิปทาวิสุทธิซึ่งเป็นเบื้องต้นแห่งปฐมฌาน.
               เบื้องต้นมีลักษณะ ๓ เหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ปฐมฌานท่านจึงกล่าวว่า เป็นคุณชาติงามในเบื้องต้น และถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๓.
               ความเพิ่มพูนอุเบกขา เป็นท่ามกลางแห่งปฐมฌาน.
               ท่ามกลางมีลักษณะเท่าไร?
               ท่ามกลางมีลักษณะ ๓. จิตหมดจดย่อมเพิกเฉย จิตดำเนินถึงความสงบย่อมเพิกเฉย จิตปรากฏด้วยอารมณ์อันเดียวย่อมเพิกฉาย. จิตหมดจดเพิกเฉย ๑ จิตดำเนินถึงความสงบเพิกเฉย ๑ จิตปรากฏด้วยอารมณ์อันเดียวเพิกเฉย ๑ เป็นความเพิ่มพูนอุเบกขาซึ่งเป็นท่ามกลางแห่งปฐมฌาน.
               ท่ามกลางมีลักษณะ ๓ เหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ปฐมฌานท่านจึงกล่าวว่า เป็นคุณชาติงามในท่ามกลางและถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๓.
               ความผุดผ่อง เป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน.
               ที่สุดมีลักษณะเท่าไร?
               ที่สุดมีลักษณะ ๔. ความผุดผ่องด้วยอรรถ คือความไม่กลับกลายแห่งธรรมทั้งหลายที่เกิดในฌานจิตนั้น ๑ ความผุดผ่องด้วยอรรถ คือความที่อินทร์ทั้งหลายมีรสเป็นอันเดียวกัน ๑ ความผุดผ่องด้วยอรรถ คือความเป็นไปแห่งความเพียร อันสมควรแก่สมาธิปัญญาและอินทรีย์ ซึ่งเป็นธรรมไม่กลับกลาย และมีรสเป็นอันเดียวกันนั้น ๑ ความผุดผ่องด้วยอรรถ คือความเสพคุ้น ๑. ความผุดผ่องเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน.
               ที่สุดมีลักษณะ ๔ เหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ปฐมฌาน ท่านจึงเรียกว่า เป็นคุณชาติงามในที่สุด และถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๔. จิตที่ถึงความเป็นธรรมชาติ ๓ อย่าง มีความงาม ๓ อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยวิตก ถึงพร้อมด้วยวิจาร ปิติและสุข ถึงพร้อมด้วยการตั้งมั่นแห่งจิต ถึงพร้อมด้วยศรัทธา และเป็นจิตที่ ถึงพร้อมด้วยวิริยะ สติ สมาธิและปัญญาด้วยประการฉะนี้.
               ข้อว่า อาทิสฺส อาทิสฺส อสุภสมาปตฺติยา วณฺณํ ภาสติ มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสรรเสริญ คือตรัสอานิสงส์ ทรงประกาศคุณแห่งอสุภสมาบัติ เพราะทรงทำการกำหนดอ้างถึงบ่อยๆ ว่า เป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง.
               ตรัสอย่างไร? ตรัสอย่างนี้ว่า
            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยอสุภสัญญาอยู่เนืองๆ จิตย่อมงอ หดเข้า หวนกลับจากความเข้าประชิดด้วยเมถุนธรรม คือไม่ฟุ้งซ่านไป ย่อมตั้งอยู่โดยความวางเฉย หรือโดยความเป็นของปฏิกูล
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนปีกไก่ หรือท่อนเอ็นที่บุคคลใส่เข้าไปในไฟ ย่อมงอ หดเข้า ม้วนเข้า คือไม่แผ่ออก แม้ฉันใด
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยอสุภสัญญาอยู่เนืองๆ จิตย่อมงอ หดเข้า หวนกลับจากความเข้าประชิดด้วยเมถุนธรรม คือไม่ฟุ้งซ่านไป ฉันนั้นเหมือนกันแล.
               ข้อว่า อิจฺฉามหํ ภิกฺขเว อฑฺฒมาสํ ปฏิสลฺลิยิตุํ 
ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกออก คือหลีกเร้นอยู่โดดเดี่ยวลำพังผู้เดียว ตลอดกึ่งเดือนหนึ่ง.
               ข้อว่า นมฺหิ เกนจิ อุปสงฺกมิตพฺโพอญฺญตฺร เอเกน ปิณฺฑปาตนีหารเกน มีความว่า ภิกษุรูปใดไม่ทำปยุตวาจา (วาจาเนื่องด้วยปัจจัย) ด้วยตน นำบิณฑบาตที่เขาตกแต่งเพื่อประโยชน์แก่เราในตระกูลมีศรัทธา น้อมเข้ามาแก่เรา ยกเว้นภิกษุผู้นำบิณฑบาต เข้าไปให้นั้นรูปเดียว ใครๆ คนอื่นจะเป็นภิกษุหรือคฤห์ก็ตาม อย่าเข้าไปหาเรา.
๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๗๑/หน้า ๒๕๒-๒๕๓. ๒- องฺ. สตฺตก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๔๖/หน้า ๔๘.
   [พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้ามภิกษุฆ่ากัน เพราะทรงเห็นกรรมเก่า]
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้?
               แก้ว่า ได้ยินว่า ในครั้งดึกดำบรรพ์ นายพรานเนื้อประมาณ ๕๐๐ คน เอาท่อนไม้และข่ายเครื่องจับสัตว์เป็นอันมาก ล้อมป่าไว้พากันหัวเราะรื่นเริง รวมเป็นพวกเดียวกันนั่นแล สำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยกรรมคือการฆ่าเนื้อและนก จนตลอดชีวิต แล้วเกิดในนรก.
              พรานเนื้อเหล่านั้นหมกไหม้ในนรกนั้นแล้วเกิดในหมู่มนุษย์ เพราะกุศลกรรมบางอย่างที่ตนทำไว้แล้วในหนหลังนั่นแลจึงได้บรรพชาและอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทั้งหมดด้วย อำนาจแห่งอุปนิสัยแห่งกรรมอันงาม. อปราปรเจตนาของพรานเนื้อเหล่านั้นที่ยังไม่ได้เผล็ดผล เพราะอกุศลกรรมที่เป็นรากเหง้านั้น ได้กระทำโอกาสเพื่อเข้าไปตัดรอนชีวิตเสียด้วยความพยายามของตนเอง และด้วยพยายามของผู้อื่น ในภายในกึ่งเดือนนั้น.
          พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นความขาดไปแห่งชีวิตนั้นแล้ว. ขึ้นชื่อว่ากรรมวิบากใครๆ ไม่สามารถจะห้ามได้. 
          ก็บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนก็มี 
          เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระขีณาสพก็มี. 
          ในภิกษุเหล่านั้น  ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระขีณาสพไม่มีการถือปฏิสนธิ พระอริยสาวกทั้งหลายนอกนี้เป็นผู้มีคติแน่นอน คือมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. 
          คติของพวกภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชน ไม่แน่นอน.               คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า ภิกษุเหล่านี้กลัวต่อมรณภัย เพราะความรักด้วยอำนาจความพอใจในอัตภาพ จักไม่อาจชำระคติให้บริสุทธิ์ได้.
          เอาเถิด เราจะแสดงอสุภกถาเพื่อละความรักด้วยอำนาจความพอใจแก่เธอเหล่านั้น เธอเหล่านั้น ครั้นได้ฟังอสุภกถานั้นแล้วจัดทำการชำระคติให้บริสุทธิ์ได้ เพราะเป็นผู้ปราศจากความรักด้วยอำนาจความพอใจในอัตภาพแล้ว จักถือเอาปฏิสนธิในสวรรค์การบรรพชาในสำนักของเรา จักเป็นคุณชาติมีประโยชน์แก่เธอเหล่านั้น ด้วยอาการอย่างนี้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอสุภกถา ด้วยหัวข้อพระกรรมฐาน เพื่ออนุเคราะห์แก่เธอเหล่านั้น หาได้แสดงด้วยความประสงค์ในการพรรณนาถึงคุณแห่งความตายไม่.
               ก็แล ครั้นทรงแสดงแล้ว พระองค์ได้มีความดำริอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายจักพบเห็นเราตลอดกึ่งเดือนนี้ไซร้ เธอเหล่านั้นจักมาบอกเราว่า วันนี้ภิกษุมรณภาพไปรูปหนึ่ง วันนี้มรณภาพไป ๒ รูป ฯลฯ วันนี้มรณภาพไป ๑๐ รูป ดังนี้
               ก็แลกรรมวิบากนี้ เราหรือใครคนอื่นก็ไม่สามารถจะห้ามได้ เรานั้นแม้ได้ฟังเหตุนั้นแล้วก็จักทำอะไรเล่า? จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา ด้วยการฟังที่หาประโยชน์มิได้มีแต่ความฉิบหายใช่ประโยชน์ เอาเถิด เราจะเข้าไปยังสถานที่ๆ ภิกษุทั้งหลายจะเห็นไม่ได้.
               เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกออกเร้นอยู่ตลอดกึ่งเดือน ใครๆ อย่าเข้าไปหาเรา นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปให้รูปเดียว.
               ส่วนอาจารย์เหล่าอื่นกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงได้หลีกออกเร้นอยู่ เพื่อจะเว้นความติเตียนของผู้อื่น. นัยว่า ชนพวกอื่นจักกล่าวติเตียนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้เป็นผู้ทรงรู้สิ่งทั้งปวง ทั้งทรงปฏิญาณอยู่ว่า เราเป็นผู้ยังจักรคือพระสัทธรรมอันบวรให้เป็นไป ไม่ทรงสามารถจะห้ามพระสาวกทั้งหลายแม้ของพระองค์ ผู้วานกันและกันให้ฆ่ากันอยู่ ไฉนจักทรงอาจห้ามบุคคลอื่นได้เล่า?
               ในข้อที่ผู้อื่นกล่าวติเตียนนั้น บัณฑิตทั้งหลายจักกล่าวแก้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกอบการหลีกออกเร้นอยู่ หาได้ทรงทราบความเป็นไปนี้ไม่ แม้ผู้จะทูลบอกพระองค์ บางคนก็ไม่มี ถ้าพึงทรงทราบไซร้ ก็จะพึงทรงห้ามแน่นอน. 
                แต่เพียงข้อที่ทรงมีความปรารถนาเป็นข้อแรกนี้นั่นเอง ย่อมเป็นเหตุในคำนี้ได้.
                ศัพท์ว่า อสฺสุธ ในคำว่า นาสฺสุธ นี้เป็นนิบาตลงในอรรถสักว่าทำบทให้เต็ม หรือในอรรถคือการห้ามว่า ใครๆ อย่าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย.
                อสุภภาวนานุโยค (ความหมั่นประกอบเนืองๆ ในการเจริญอสุภกรรมฐาน) นั้นมีกระบวนการทำต่างๆ ด้วยเหตุทั้งหลายมีสีและสัณฐานเป็นต้นมากมาย เพราะเหตุนั้น 
                จึงชื่อว่า อเนกาการโวการ (มีกระบวนการทำต่างๆ มากมาย). มีคำอธิบายว่า เคล้าคละปะปนกันด้วยอาการมากมาย คือเจือปนกันด้วยเหตุหลายอย่าง.
               อเนกาการโวการนั้นได้แก่อะไร? ได้แก่อสุภภาวนานุโยค. ซึ่งความหมั่นประกอบเนืองๆ ในการเจริญอสุภกรรมฐานมีกระบวนการต่างๆ มากมายนั้น.
               สองบทว่า อนุยุตฺตา วิหรนฺติ ความว่า ภิกษุเหล่านั้นประกอบคือขวนขวายอยู่.
               บทว่า อฏฺฏิยนฺติ ความว่า ย่อมเป็นผู้อึดอัด คือมีความลำบากด้วยกายนั้น.
               บทว่า หรายนฺติ แปลว่า ย่อมระอา.
               บทว่า ชิคุจฺฉนฺติ แปลว่า เป็นผู้เกิดความเกลียดชังขึ้นเอง.
               บทว่า ทหโร แปลว่า เด็กรุ่นหนุ่ม.
               บทว่า ยุวา แปลว่า ผู้ประกอบด้วยความเป็นหนุ่ม
               บทว่า มณฺฑนาขาติโย แปลว่า ผู้ชอบแต่งตัวเป็นปกติ.
               สองบทว่า สีสํ นหาโต แปลว่า ผู้อาบน้ำพร้อมทั้งศีรษะ.ในสองคำว่า ทหโร ยุวา นี้ท่านพระอุบาลีเถระแสดงความเป็นผู้แรกเป็นหนุ่ม    ด้วยคำว่า ทหระ.
               จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายในคราวแรกเป็นหนุ่มย่อมมีปกติเป็นผู้ชอบแต่งตัวโดยพิเศษ.
               ท่านพระอุบาลีเถระแสดงถึงเวลาขวนขวายการแต่งตัวด้วยคำทั้งสองว่า   สีสํ นหาโต นี้.   แท้จริง แม้คนหนุ่มทำการงานบางอย่างแล้วมีร่างกายเศร้าหมอง ก็หาเป็นผู้ขวนขวายการแต่งตัวไม่.
               แต่เขาอาบน้ำสระเกล้าเสร็จแล้วจึงตามประกอบการ
แต่งตัวทีเดียว ย่อมไม่ปรารถนาแม้ที่จะเห็นของสกปรกมีซากงูเป็นต้น.
               [พวกภิกษุฆ่าตัวเองและวานให้ผู้อื่นฆ่า]
               ขณะนั้น บุรุษหนุ่มนั้นพึงอึดอัด สะอิดสะเอียน เกลียดชังด้วยซากงู ซากสุนัขหรือซากศพมนุษย์อันคล้องอยู่ที่คอ คือมีบุคคลผู้เป็นข้าศึกบางคนนั่นเองนำมาผูกไว้ คือสวมไว้ที่คอฉันใด ภิกษุเหล่านั้นก็อึดอัด ระอา เกลียดชังด้วยร่างกายของตน ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้ใคร่จะสละร่างกายของตนเสีย เพราะเป็นผู้ปราศจากความรักด้วยอำนาจความพอใจ ดุจบุรุษคนนั้นผู้ใคร่จะสละทิ้งซากศพนั้นเสีย ฉะนั้น จึงถือเอาศัสตราแล้วปลงชีวิตตนเองบ้าง วานกันและกันให้ปลงชีวิตบ้าง ด้วยพูดอย่างนี้ว่า ท่านจงปลงกระผมเสียจากชีวิต กระผมจะปลงท่านเสียจากชีวิต.
               คำว่า มิคลัณฑิกะ ในสอง บทว่า มิคลณฺฑิกมฺปิ สมณกุตฺตกํ นี้เป็นชื่อของเขา.
               บท ว่า สมณกุตฺตโก ได้แก่ ผู้ทรงเพศสมณะ.
               ได้ยินว่า มิคลัณฑิกะนั้นโกนศีรษะไว้เพียงจุก นุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่งพาดไว้บนไหล่ เข้าอาศัยวิหารนั้นแล เป็นอยู่โดยความเป็นคนกินเดน. 
                ภิกษุทั้งหลายเข้าไปหามิคลัณฑิกผู้ทรงเพศสมณะแม้นั้นแล้วกล่าวอย่างนั้น.
               ศัพท์ว่า สาธุ เป็นนิบาตลงในอรรถว่าขอร้อง. โน เป็นทุติยาวิภัตติ พหุวจนะ. มีคำอธิบายว่า พ่อคุณ ดีละ เธอจงช่วยปลงชีวิตพวกฉันที.
               ก็บรรดาภิกษุเหล่านั่น ภิกษุผู้เป็นอริยะไม่กระทำปาณาติบาต ไม่ชักชวนบุคคลอื่น ทั้งไม่อนุญาตด้วย. ส่วนภิกษุผู้เป็นปุถุชน กระทำได้แทบทุกอย่าง.
               บทว่า โลหิตกํ แปลว่า เปื้อนเลือด. แม่น้ำที่เขาสมมติกันว่าเป็นบุญของชาวโลก เรียกว่าวัคคุ ในคำว่า เยน วคฺคุมุทา นี้. ได้ยินว่า แม้มิคลัณฑิกะนั้น ไปยังแม่น้ำนั้น ด้วยความสำคัญว่า จักลอยบาปในแม่น้ำนั้น.
               [มิคลัณฑิกะฆ่าภิกษุแล้วเกิดความเสียใจ]
               สองบทว่า อหุเทว กุกฺกุจฺจํ ความว่า ได้ยินว่า บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางรูปไม่ได้ทำกายวิการ หรือวจีวิการ, ทั้งหมดทุกรูป มีสติรู้สึกตัวอยู่ นอนลงโดยตะแคงขวา. 
               เมื่อมิคลัณฑิกะนั้นตามระลึกถึงความไม่กระทำกายวิการและวจีวิการนั้น ได้มีความรำคาญใจแล้วนั่นเทียว. บาปแม้มีประมาณน้อย ชื่อว่าเขาละได้แล้ว ด้วยอานุภาพแห่งแม่น้ำย่อมไม่มี.
               คำว่า อหุ วิปฺปฏิสาโร นั่น ท่านกล่าวไว้ เพื่อกำหนดสภาพแห่งความรำคาญนั้นนั่นแล. ได้มีความรำคาญ เพราะ
ความวิปฏิสาร มิใช่ความรำคาญทางพระวินัยแล.
               ท่านกล่าวคำว่า อลาภา วต เม เป็นต้น เพื่อแสดงอาการคือความเป็นไปแห่งความรำคาญ.
               บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า อลาภา วต เม ความว่า มิคลัณฑิกะนั้นทอดถอนใจอยู่ว่า บัดนี้ ชื่อว่าลาภคือประโยชน์เกื้อกูลและความสุขของเราย่อมไม่มีต่อไป. ก็เขาเน้นเนื้อความนั้นนั่นเองให้หนักแน่น ด้วยคำว่า ลาภของเราไม่มีหนอ นี้. แท้จริง ในคำว่า น วต เม ลาภา นี้ มีอธิบายดังนี้ว่า แม้ถ้ามีใครๆ พึงกล่าวว่า เป็นลาภของท่าน คำนั้นผิด ลาภของเรา ย่อมไม่มีเลย.
               ข้อว่า ทุลฺลทฺธํ วต เม มีความว่า ความเป็นมนุษย์นี้ แม้ที่เราได้แล้วด้วยกุศลานุภาพ ก็เป็นอันเราได้ไม่ดีหนอ. ก็เขาย่อมเน้นเนื้อความนั้นนั่นเอง ให้หนักแน่นด้วยคำนี้ว่า เราได้ไม่ดีหนอ. จริงอยู่ ในคำว่า น วต เม สุลทฺธํ นี้ มีอธิบายดังนี้ว่า แม้ถ้าใครๆ พึงกล่าวว่า ท่านได้ดีแล้ว คำนั้นผิด เราได้ไม่ดีหนอ.
               สองบทว่า อปุญฺญํ ปสุตํ  ความว่า สิ่งมิใช่บุญเราสั่งสมหรือก่อให้เกิดขึ้นแล้ว. 
               หากจะพึงมีผู้ถามว่า เพราะเหตุไร? พึงเฉลยว่า เพราะเหตุที่เราได้ปลงภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม เสียจากชีวิต. คำนั้นมีอธิบายว่า เพราะเหตุที่เราได้ปลงภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมคือผู้มีอุดมธรรม มีธรรมอันประเสริฐ เพราะความเป็นผู้มีศีลนั้นแล จากชีวิต.
[เทวดาช่วยปลอบโยนมิคลัณฑิกะให้ฆ่าภิกษุต่อไป]          
                 สองบทว่า อญฺญตรา มารกายิกา มีความว่า ภุมเทวดาตนหนึ่งไม่ปรากฏชื่อ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นฝักฝ่ายแห่งมาร ประพฤติตามมาร คิดว่า มิคลัณฑิกะนี้จักไม่กล้าล่วงบ่วงของมารคือวิสัยของมารไปได้ ด้วยอุบายอย่างนี้ ดังนี้แล้วจึงประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง เมื่อจะแสดงอานุภาพของตน จึงเดินมาบนน้ำอันไม่แตกแยก ดุจเดินไปมาอยู่บนพื้นดินฉะนั้น ได้กล่าวคำนั่นกะมิคลัณฑิกะสมณกุตก์.
               ศัพท์ว่า สาธุ สาธุ เป็นนิบาต ลงในอรรถคือความร่าเริง. เพราะเหตุนั้น ในพระบาลีนี้จึงกล่าวย้ำ ๒ ครั้งอย่างนี้แล.
               สองบทว่า อติณฺเณ ตาเรสิ ความว่า ท่านช่วยส่งพวกคนที่ยังข้ามไม่พ้น ให้ข้ามพ้น คือช่วยเปลื้องให้พ้นจากสงสาร ด้วยการปลงเสียจากชีวิตนี้.
                ได้ยินว่า เทวดาผู้เป็นพาลทรามปัญญาตนนั้น มีลัทธิดังนี้ว่า บุคคลทั้งหลายผู้ยังไม่ตาย ชื่อว่ายังไม่พ้นจากสงสาร ผู้ที่ตายแล้วจึงพ้น. เพราะเหตุนั้น เทวดาผู้มีลัทธิอย่างนั้นก็เป็นเหมือนชนชาวป่า๑- ผู้จะเปลื้องตนจากสงสารฉะนั้น ได้ประกอบแม้มิคลัณฑิกะนั้นไว้ในการให้ช่วยปลงเสียจากชีวิตนั้น จึงกล่าวอย่างนั้น. ๑- มิลกฺข มลกฺโข คนชาวป่า, คนป่า, ผู้พูดอย่างเสียงสัตว์ร้อง, เป็นคนมิได้รับการศึกษาเลย.
 [มิคลัณฑิกะฆ่าภิกษุต่อไปวันละ ๑ รูปถึง ๕๐๐ รูป]
               ครั้งนั้นแล มิคลัณฑิกะสมณกุตก์ถึงแม้เป็นผู้มีความเดือดร้อนเกิดขึ้นกล้าแข็งเพียงนั้นก็ตาม ครั้นเห็นอานุภาพของเทวดานั้นก็ถึงความตกลงใจว่าเทวดาตนนี้ได้กล่าวอย่างนี้ประโยชน์นี้พึงเป็นอย่างนี้ทีเดียวแน่แท้ แล้วกล่าวคำเป็นต้นว่านัยว่าเป็นลาภของเรา จึงจากวิหารเข้าไปสู่วิหารจากบริเวณเข้าไปสู่บริเวณ แล้วกล่าวอย่างนี้ คือเข้าไปยังวิหารและบริเวณนั้นๆ แล้วเปิดประตู เข้าไปภายใน กล่าวกะภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่าใครยังข้ามไม่พ้น ข้าพเจ้าจะช่วยส่งให้ข้ามพ้น.
               สองบทว่า โหติเยว ภยํ ความว่า มีจิตสะดุ้ง เพราะอาศัยความตาย.
               บทว่า ฉมฺภิตตฺตํ ความว่า มีร่างกายสั่นเทา ตั้งแต่เนื้อหัวใจเป็นต้นไป. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ความมีร่างกายแข็งทื่อ เพราะกลัวจัดดังนี้บ้าง.
               จริงอยู่ ความมีร่างกายแข็งดุจเสา ท่านเรียกว่า ความหวาดเสียว. 
               ความมีขนตั้งชูขึ้นข้างบน ชื่อว่าความมีขนชูชัน. ส่วนพระขีณาสพทั้งหลายย่อมไม่เห็นสัตว์ตายเลย เพราะท่านเห็นดีแล้ว โดยความเป็นของว่างจากสัตว์. เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า อันตรายมีความกลัวเป็นต้นนั่น แม้ทั้งหมดหาได้มีแก่พระขีณาสพเหล่านั้นไม่.
                มิคลัณฑิกะนั้นได้ปลงภิกษุมีประมาณ ๕๐๐ รูป แม้ทั้งหมด   เหล่านั้นเสียจากชีวิตด้วยอำนาจการคำนวณอย่างนี้ คือ เขาได้ปลงภิกษุจากชีวิตเสีย วันละ ๑ รูปบ้าง ๒ รูปบ้าง ฯลฯ ๖๐ รูปบ้าง.
 [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าภิกษุสงฆ์เบาบางไป]
               สองบทว่า ปฏิสลฺลานาวุฏฺฐิโต ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบข้อที่ภิกษุมีประมาณ ๕๐๐ รูปเหล่านั้นถึงมรณภาพ จึงเสด็จออกจากความเป็นผู้โดดเดี่ยวนั้น ถึงแม้จะทรงทราบ ก็เป็นเหมือนไม่ทรงทราบจึงได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มา เพื่อให้ตั้งเรื่องขึ้น.
               ข้อว่า กินฺนุโข อานนฺท ตนุภูโต วิย ภิกฺขุสงฺโฆ     มีความว่า พระองค์ทรงรับสั่งว่า ดูก่อนอานนท์ ในกาลก่อนแต่นี้ไป พวกภิกษุเป็นจำนวนมากย่อมมาสู่ที่อุปัฏฐาก โดยรวมเป็นพวกเดียวกัน เรียนเอาอุเทศ ปริปุจฉา สาธยายอยู่, 
               อารามย่อมปรากฏดุจรุ่งเรืองเป็นอันเดียวกัน, แต่บัดนี้ โดยล่วงไปเพียงกึ่งเดือน ภิกษุสงฆ์ดูเหมือนน้อยไป คือเป็นประหนึ่งว่าเบาบาง เล็กน้อย ร่อยหรอ โหรงเหรงไป มีเหตุอะไรหรือ? พวกภิกษุหลีกไปในทิศทั้งหลายหรือ?
 [พระอานนท์ทูลให้ตรัสบอกกรรมฐานอย่างอื่นแก่พวกภิกษุ]
               ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อไม่กำหนดเหตุที่ภิกษุเหล่านั้นถึงมรณภาพไป เพราะผลแห่งกรรม แต่มากำหนดเพราะความหมั่นประกอบในอสุภกรรมฐานเป็นปัจจัย จึงได้กราบทูลคำเป็นต้นว่า ตถา หิ ปน ภนฺเต ภควา ดังนี้
               เมื่อจะทูลขอพระกรรมฐานอย่างอื่นเพื่อให้ภิกษุทั้งหลายบรรลุอรหัตผล  จึงได้กราบทูลคำเป็นต้นว่า สาธุ ภนฺเต ภควา ดังนี้. 
               คำนั้นมีใจความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดตรัสบอกการณ์อย่างอื่น ซึ่งเป็นเหตุให้ภิกษุสงฆ์ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล.
               อธิบายว่า จริงอยู่ พระกรรมฐานที่เป็นคุณชาติหยั่งลงสู่พระนิพพานดุจท่าเป็นที่หยั่งลงสู่มหาสมุทร แม้เหล่าอื่นก็มีมาก ต่างโดยประเภท คือ อนุสติ ๑๐ กสิณ ๑๐ จตุธาตุววัฏฐาน ๔ พรหมวิหาร ๔ และอานาปานัสสติ. ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลอบภิกษุทั้งหลายให้เบาใจในพระกรรมฐานเหล่านั้น แล้วตรัสบอกพระกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเถิด.
                ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะทรงทำเช่นนั้น เมื่อจะส่งพระเถระไปจึงทรงรับสั่งว่า     เตนหิ อานนฺท ดังนี้เป็นต้น.
                บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า เวสาลึ อุปนิสฺสาย  ความว่า ภิกษุมีประมาณเท่าใดซึ่งอาศัยเมืองไพศาลีอยู่ โดยรอบในที่คาวุตหนึ่งบ้าง กึ่งโยชน์บ้าง, เธอจงเผดียงภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดให้ประชุมกัน.
               ข้อว่า สพฺเพ อุปฏฺฐานสาลายํ สนฺนิปาเตตฺวา ความว่า ไปสู่ที่ๆ ตนควรจะไปเองแล้ว ในที่อื่นส่งภิกษุหนุ่มไปแทน จัดพวกภิกษุให้ประชุมกันไม่ให้เหลือ ที่อุปัฏฐานศาลาโดยครู่เดียวเท่านั้น.
               ในคำว่า ยสฺสิทานิ ภนฺเต ภควา กาลํมญฺญติ นี้มีอธิบายดังนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว, นี้เป็นกาลเพื่อทรงทำธรรมกถา เพื่อประทานพระอนุศาสนีแก่ภิกษุทั้งหลาย, ขอพระองค์ทรงทราบกาลแห่งกิจที่ควรทรงกระทำในบัดนี้เถิด.
 [พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกอานาปานัสสติแก่พวกภิกษุ]
               ข้อว่า อถโข ภควา ฯเปฯ ภิกฺขู อามนฺเตสิ อยมฺปิ โข ภิกฺขเว  มีความว่า ก็แล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นรับสั่งตักเตือนแล้ว เมื่อจะตรัสบอกปริยายอย่างอื่นจากอสุภกรรมฐานที่ตรัสบอกแล้วในก่อน เพื่อบรรลุพระอรหัตแก่ภิกษุทั้งหลาย จึงตรัสว่า อานาปานสฺสติสมาธิ เป็นต้น. 
                บัดนี้ เพราะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบาลีนี้ เพื่อทรงแสดงพระกรรมฐานที่เป็นคุณสงบและประณีตจริงๆ แก่ภิกษุทั้งหลาย ฉะนั้น ข้าพเจ้าจักทำการพรรณนาในพระบาลีนี้ ตามลำดับอรรถโยชนา ไม่ละทิ้งให้เสียไป.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยมฺปิ โข ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีโยชนาดังต่อไปนี้ก่อนว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสุภภาวนาอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อละกิเลส หามิได้, อีกอย่างหนึ่ง อานาปานัสสติสมาธิแม้นี้แล อันภิกษุอบรมทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นคุณสงบประณีตเยือกเย็น อยู่เป็นสุข และยังบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วๆ ให้อันตรธานสงบไปโดยฉับพลัน.
               ก็ในคำว่า อานาปานสฺสติสมาธิ เป็นต้นนี้ มีอรรถวรรณนาดังต่อไปนี้ :-
               สติกำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออกชื่อว่าอานาปานัสสติ.  สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาว่า ลมหายใจเข้า ชื่อว่าอานะ ไม่ใช่ปัสสาสะ, ลมหายใจออก ชื่อว่าปานะ ไม่ใช่อัสสาสะ, สติเข้าไปตั้งอยู่ ด้วยอำนาจลมหายใจเข้า สติเข้าไปตั้งอยู่ด้วยอำนาจลมหายใจออก ย่อมปรากฏแก่บุคคลผู้หายใจเข้า ย่อมปรากฏแก่บุคคลผู้หายใจออก. 
               ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับสติที่กำหนดลมหายใจเข้าและหายใจออกนั้น ชื่อว่าสมาธิ. ก็เทศนานี้ท่านกล่าวไว้ด้วยหัวข้อ คือสมาธิ หาใช่ด้วยหัวข้อคือสติไม่. เพราะฉะนั้น 
               ในบทว่า อานาปานสฺสติสมาธิ นี้ พึงทราบใจความอย่างนี้ว่า สมาธิที่ประกอบด้วยอานาปานัสสติ หรือสมาธิในอานาปานัสสติ
               ชื่อว่า อานาปานัสสติสมาธิ.
               บทว่า ภาวิโต แปลว่า ให้เกิดขึ้น หรือให้เจริญแล้ว.
               บทว่า พหุลีกโต แปลว่า กระทำบ่อยๆ.
               สองบทว่า สนฺโต เจว ปณีโต จ คือ เป็นคุณสงบด้วยนั่นเทียวเป็นคุณประณีตด้วยทีเดียว. ในบททั้งสองพึงทราบความแน่นอนด้วยเอวศัพท์.
               ท่านกล่าวอธิบายไว้อย่างไร?
               ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า จริงอยู่ อานาปานัสสติสมาธินี้จะเป็นธรรมไม่สงบหรือไม่ประณีต โดยปริยายอะไรๆเหมือนอสุภกรรมฐานซึ่งเป็นกรรมฐานสงบและประณีตด้วยอำนาจการแทงตลอดอย่างเดียว แต่ไม่สงบไม่ประณีตด้วยอำนาจอารมณ์ เพราะมีอารมณ์หยาบและเพราะมีอารมณ์ปฏิกูลฉันนั้น หามิได้, 
               อนึ่งแล อานาปานัสสติสมาธินี้สงบ คือระงับดับสนิท เพราะมีอารมณ์สงบบ้าง เพราะมีองค์คือการแทงตลอดสงบบ้าง ประณีต คือไม่กระทำให้เสียเกียรติ เพราะมีอารมณ์ประณีตบ้าง เพราะมีองค์ประณีตบ้าง. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า สงบและประณีต.
               ก็ในคำว่า อเสจนโก จ สุโจ จ วิหาโร นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-   อานาปานัสสติสมาธินั้น ไม่มีเครื่องรด เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าเยือกเย็น คือไม่มีเครื่องราดไม่เจือปน แผนกหนึ่งต่างหาก ไม่ทั่วไป. 
               อนึ่ง ความสงบโดยบริกรรมหรือโดยอุปจารในอานาปานัสสติสมาธินี้ไม่มี. อธิบายว่า เป็นธรรมสงบและประณีต โดยสภาพของตนทีเดียว จำเดิมแต่เริ่มต้นใฝ่ใจ. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า อเสจนโก   ความว่า ไม่มีเครื่องราด คือมีโอชะ มีรสอร่อยโดยสภาพทีเดียว. 
              โดยอรรถดังกล่าวมาอย่างนี้ อานาปานัสสติสมาธินี้ บัณฑิตพึงทราบว่า เยือกเย็นและอยู่เป็นสุข เพราะเป็นไปเพื่อ
ให้ได้ความสุขทางกายและทางจิต ในขณะที่เข้าถึงแล้วๆ.
               บทว่า อุปฺปนฺนุปฺปนฺเน หมายความว่า ที่ยังข่มไม่ได้ๆ.
               บทว่า ปาปเก หมายความว่า เลวทราม.
               สองบทว่า อกุสเล ธมฺเม ได้แก่ ธรรมที่เกิดจากความไม่ฉลาด.
               สองบทว่า ฐานโส อนฺตรธาเปติ ความว่า ย่อมให้อันตรธานไป คือข่มไว้ได้โดยฉับพลันทีเดียว.
               บทว่า วูปสเมติ ความว่า ย่อมให้สงบไปด้วยดี.
               อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า อานาปานัสสติสมาธินี้ ย่อมถึงความเจริญด้วยอริยมรรคโดยลำดับ เพราะมีส่วนแห่งการแทงตลอด ย่อมตัดขาดด้วยดี คือย่อมสงบราบคาบได้.
               คำว่า เสยฺยถาปิ นี้ เป็นคำแสดงความอุปมา.
               หลายบทว่า คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ได้แก่ ในเดือนอาสาฬหะ (เดือน ๘).
               บทว่า อูหตรโชชลฺลํ๑-   ความว่า ฝุ่นและละอองถูกลมพัดฟุ้งขึ้นเบื้องบน คือลอยขึ้นบนอากาศจากพื้นดิน ที่แตกระแหงเพราะกีบโคและกระบือเป็นต้นกระทบ ซึ่งแห้งเพราะลมและแดดเผาตลอดกึ่งเดือน.       เมฆซึ่งขึ้นเต็มท้องฟ้าทั้งหมด แล้วให้ฝนตกตลอดกึ่งเดือนทั้งสิ้นในชุณหปักข์แห่งเดือนอาสาฬหะ ชื่อว่าฝนห่าใหญ่ที่ตกในสมัยมิใช่ฤดูกาล. จริงอยู่ เมฆนั้น ท่านประสงค์เอาในอธิการนี้ว่า อกาลเมฆ เพราะเกิดขึ้นในเวลายังไม่ถึงฤดูฝน. ๑- บาลีเป็น อูหตํ รโชชลฺลํ.
               หลายบทว่า ฐานโส อนฺตรธาเปติ วูปสเมติ ความว่า ฝนห่าใหญ่ที่ตกในสมัยมิใช่ฤดูกาลนั้น ย่อมพัดเอาฝุ่นและละอองนั้นๆ ไป ไม่ให้แลเห็น คือพัดให้จมหายไปในแผ่นดินโดยฉับพลันทีเดียว.
               คำว่า เอวเมว โข นี้ เป็นคำเปรียบเทียบข้ออุปไมย.
               ถัดจากคำว่า เอวเมว โข นั้นไป มีนัยดังกล่าวมาแล้วนั่นแล.
                  ในคำว่า กถํ ภาวิโต จ ภิกฺขเว อานาปานสฺสติสมาธิ
                  นี้พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               คำว่า กถํ เป็นคำถาม คือความเป็นผู้ใคร่จะยังอานาปานัสสติสมาธิภาวนาให้พิสดาร โดยประการต่างๆ.
               คำว่า ภาวิโต จ ภิกฺขเว อานาปานสฺสติสมาธิ เป็นคำแสดงไขข้อธรรมที่ถูกถาม เพราะความเป็นผู้ใคร่จะยังอานาปานัสสติสมาธิ  นั้นให้พิสดาร โดยประการต่างๆ.
               แม้ในบทที่สอง ก็นัยนั่น.
               ก็ในคำว่า กถํ ภาวิโต จ เป็นต้นนี้ มีความสังเขปดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานัสสติสมาธิ อันภิกษุอบรมแล้ว ด้วยประการไร ด้วยอาการไร ด้วยวิธีไร? ทำให้มากแล้ว ด้วยประการไร? จึงเป็นคุณสงบประณีต เยือกเย็น อยู่เป็นสุข และยังบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วๆ ให้อันตรธานไปโดยฉับพลัน.               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงยังเนื้อความนั้นให้พิสดาร จึงตรัสว่า อิธ ภิกฺขเว เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น ข้อว่า อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ  มีความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้.
               จริงอยู่ อิธศัพท์นี้ ในบทว่า ภิกฺขเว นี้แสดงศาสนาซึ่งเป็นที่อาศัยของบุคคลผู้ให้อานาปานัสสติสมาธิเกิดขึ้นโดยประการทั้งปวง และปฏิเสธความไม่เป็นเช่นนั้นแห่งศาสนาอื่น. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๒- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะ (ที่ ๑) มีในธรรมวินัยนี้เท่านั้น สมณะที่ ๒ มีในธรรมวินัยนี้, สมณะที่ ๓ มีในธรรมวินัยนี้ สมณะที่ ๔ มีในธรรมวินัยนี้ ลัทธิอื่นว่างจากสมณะทั้ง ๔. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า ภิกษุในศาสนานี้. ๒- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๑๔๑/หน้า ๓๒๓.
             คำว่า อรญฺญคโต วา ฯเปฯ สุญฺญาคารคโต วา นี้แสดงการที่ภิกษุนั้นเลือกหาเสนาสนะที่เหมาะแก่การเจริญอานาปานัสสติสมาธิ. เพราะว่า จิตของภิกษุนี้เคยซ่านไปในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้นเสียนาน จึงไม่อยากจะก้าวขึ้นสู่อารมณ์ของอานาปานัสสติสมาธิ คอยแต่จะแล่นไปนอกทางอย่างเดียว ดุจรถที่เขาเทียมด้วยโคโกงฉะนั้น. เพราะฉะนั้นคนเลี้ยงโคต้องการจะฝึกลูกโคโกง ตัวดื่มน้ำนมทั้งหมดของแม่โคโกง เติบโตแล้ว พึงพรากออกจากแม่โคนม ปักหลักใหญ่ไว้ส่วนหนึ่ง แล้วเอาเชือกผูกไว้ที่หลักนั้น, คราวนั้นลูกโคนั้นของเขา ดิ้นรนไปทางโน้นทางนี้ ไม่อาจหนีไปได้ พึงยืนพิงหรือนอนอิงหลักนั้นนั่นแล ชื่อแม้ฉันใด.
               ภิกษุแม้รูปนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ประสงค์จะฝึกฝนจิตที่ถูกโทษประทุษร้าย ซึ่งเจริญด้วยการดื่มรสแห่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นมานานแล้ว พึงพรากออกจากอารมณ์มีรูปเป็นต้นแล้วเข้าไปสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างเปล่าแล้วพึงเอาเชือกคือสติผูกไว้ที่หลัก คือลมอัสสาสะและปัสสาสะนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตของเธอนั้น แม้จะกวัดแกว่งไปทางโน้นและทางนี้ก็ตามเมื่อไม่ได้รับอารมณ์ที่เคยชินมาในกาลก่อนไม่สามารถจะตัดเชือกคือสติหนีไปได้ ย่อมจดจ่อและแนบสนิทอารมณ์นั้นแล ด้วยอำนาจอุปจาระและอัปปนา.
               เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
                                   นรชน เมื่อจะฝึกลูกโค พึงผูกติดไว้
                         ที่หลัก ฉันใด ภิกษุในศาสนานี้ พึงเอาสติ
                         ผูกจิตของตนไว้ที่อารมณ์ให้มั่นฉันนั้น.
               เสนาสนะนั้น ย่อมเป็นสถานที่เหมาะแก่การเจริญอานาปานัสสติสมาธินั้น ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า คำนี้แสดงการที่ภิกษุนั้นเลือกหาเสนาสนะที่เหมาะแก่การเจริญอานาปานัสสติสมาธิ.
               อีกอย่างหนึ่ง เพราะอานาปานัสสติกรรมฐานนี้เป็นยอดในประเภทแห่งกรรมฐาน เป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุคุณพิเศษ และเป็นสุขวิหารธรรมในปัจจุบันของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวก อันพระโยคาวจรไม่ละชายบ้านที่อื้ออึงด้วยเสียงสตรี บุรุษ ช้างและม้าเป็นต้น
               จะเจริญให้ถึงพร้อม ทำไม่ได้ง่าย เพราะเสียงเป็นข้าศึกต่อฌาน.
               แต่ในป่าซึ่งไม่ใช่บ้าน พระโยคาวจรกำหนดกรรมฐานนี้แล้ว ยังจตุตถฌานอันมีลมหายใจเข้าและหายใจออก เป็นอารมณ์ให้เกิดแล้ว ทำฌานนั้นนั่นเองให้เป็นบาทพิจารณาสังขารทั้งหลายได้บรรลุพระอรหัตอันเป็นผลที่เลิศจะทำได้ง่าย. 
               เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะที่เหมาะแก่ภิกษุนั้น จึงตรัสพระพุทธพจน์มีอาทิว่า อรญฺญคโต วา ดังนี้.
               ด้วยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประดุจอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณรู้ชัยภูมิพื้นที่. อาจารย์ผู้ทรงวิทยารู้พื้นที่เห็นพื้นที่ที่จะสร้างนครแล้วพิจารณาโดยตระหนักแล้วชี้ว่า ขอพระองค์จงโปรดสร้างพระนครในที่นี้ เมื่อนครสำเร็จแล้วโดยสวัสดี ย่อมได้มหาสักการะแต่ราชตระกูล ฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงพิจารณาเสนาสนะอันสมควรแก่พระโยคาวจรแล้วย่อมทรงชี้ว่า กรรมฐานอันกุลบุตรผู้มีความเพียรพึงพากเพียรพยายามในที่นี้, แต่นั้น เมื่อพระโยคาวจรประกอบกรรมฐานอยู่ในเสนาสนะนั้นแล้ว บรรลุพระอรหัตโดยลำดับ ย่อมได้มหาสักการะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้แล ฉันนั้นเหมือนกัน.
                ส่วนภิกษุนี้ ท่านว่า เช่นกับพยัคฆ์, เหมือนอย่างพญาเสือใหญ่ แอบอาศัยพงหญ้า ชัฏป่าหรือเทือกเขา อยู่ในไพร ย่อมจับหมู่มฤคมีกระบือป่า ชะมด (หรือกวาง) และสุกรเป็นต้น (เป็นภักษา) ฉันใด ภิกษุพากเพียรกรรมฐานอยู่ในเสนาสนะมีป่าเป็นต้นนี้ ก็ฉันนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมยึดไว้ได้ซึ่งโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรคและอริยผล โดยลำดับ.
               เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
                                   ขึ้นชื่อว่า พยัคฆ์ ย่อมแอบจับหมู่มฤค
                         (เป็นภักษา) แม้ฉันใด พุทธบุตรผู้ประกอบ
                         ความเพียรบำเพ็ญวิปัสสนานี้ ก็เหมือนกัน
                         เข้าไปสู่ป่าแล้ว ย่อมยึดไว้ได้ซึ่งผลอันอุดม.
               เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอรัญญเสนาสนะอันเป็นภูมิควรแก่การประกอบเชาวนปัญญา เพื่อความเจริญก้าวหน้าแก่พระโยคาวจรนั้น จึงตรัสพระพุทธพจน์มีอาทิว่า อรญฺญคโต วา ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า อรญฺญคโต วา ความว่า ไปสู่ป่าอันสะดวกแก่ความสงัดแห่งใดแห่งหนึ่ง ในบรรดาป่าซึ่งมีลักษณะที่กล่าวไว้อย่างนี้ว่า ที่ชื่อว่าป่า ได้แก่ สถานที่ภายนอกจากเสาเขื่อนออกไป นั่นทั้งหมดชื่อว่าป่า๓- และว่า เสนาสนะที่สุดไกลประมาณ ๕๐๐ ชั่วธนู ชื่อว่าเสนาสนะป่า.๔-
               บทว่า รุกฺขมูลคโต ว่า ความว่า ไปสู่ที่ใกล้ต้นไม้.
               บทว่า สุญฺญาคารคโต วา ความว่า ไปสู่โอกาสที่สงัด ซึ่งว่างเปล่า.
               แต่ในอธิการนี้ แม้ภิกษุจะเว้นป่าและโคนต้นไม้เสีย ไปยังเสนาสนะ ๗ อย่างที่เหลือ ก็ควรเรียกได้ว่า ไปสู่เรือนว่างเปล่า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงชี้เสนาสนะอันสมควรแก่การเจริญอานาปานัสสติ ซึ่งเหมาะแก่ฤดูทั้ง ๓ และเหมาะแก่ธาตุและจริยาแก่ภิกษุนั้นอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะทรงชี้อิริยาบถที่สงบ ซึ่งเป็นฝ่ายแห่งความไม่ท้อแท้และไม่ฟุ้งซ่าน จึงตรัสว่า นิสีทติ ดังนี้. ภายหลังเมื่อจะทรงแสดงภาวะแห่งการนั่งเป็นของมั่นคง ข้อที่ลมอัสสาสะปัสสาสะเป็นไปสะดวก และอุบายเครื่องกำหนดจับอารมณ์แก่เธอนั้น จึงตรัสพระพุทธพจน์มี อาทิว่า ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺ วา ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปลฺลงฺกํ ได้แก่ การนั่งพับขาทั้ง ๒ โดยรอบ (คือนั่งขัดสมาธิ).
               บทว่า อาภุชิตฺวา แปลว่า คู้เข้าไว้.
               ข้อว่า อุชุํ กายํ ปาณิธาย มีความว่า ตั้งร่างกายส่วนบนให้ตรง คือให้กระดูกสันหลัง ๑๘ ท่อนจดที่สุดต่อที่สุด.
               จริงอยู่ เมื่อภิกษุนั่งด้วยอาการอย่างนั้นแล้ว หนัง เนื้อและเส้นเอ็นย่อมไม่หงิกงอ. เวลานั้น เวทนาทั้งหลายที่จะพึงเกิดขึ้นแก่เธอในขณะๆ เพราะความหงิกงอแห่งหนัง เนื้อและเอ็นเหล่านั้นเป็นปัจจัยนั่นแล ย่อมไม่เกิดขึ้น.
               เมื่อเวทนาเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น จิตก็มีอารมณ์เป็นอันเดียว, กรรมฐานไม่ตกไป ย่อมเข้าถึงความเจริญรุ่งเรือง.
               ข้อว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา มีความว่า ตั้งสติมุ่งหน้าต่อกรรมฐาน.
               อีกอย่างหนึ่ง ก็ในคำว่า ปริมุขํ สตึ ปุปฏฺฐเปตฺวา นี้ พึงเห็นใจความตามนัยดังที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทานั้นแลอย่างนี้ว่า
               ศัพท์ว่า ปริ มีความกำหนดถือเอาเป็นอรรถ,
               ศัพท์ว่า มุขํ มีความนำออกเป็นอรรถ,
               ศัพท์ว่า สติ มีความเข้าไปตั้งไว้เป็นอรรถ.
               เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า.๓-
               ในบทว่า ปริมุขํ สตึ นั้นมีความย่อดังนี้ว่า ทำสติเป็นเครื่องนำออกที่ตนกำหนดถือเอาแล้ว.
๓- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๘๘/หน้า ๒๖๔. อภิ. วิ. เล่ม๓๕/ข้อ ๖๑๖/หน้า ๓๓๘. ๔- วิ. มหา. เล่ม ๒/ข้อ ๑๖๖/หน้า ๑๔๖.
               [อรรถาธิบายวิธีอบรมสติ ๓๒ อย่าง]
               ข้อว่า โส สโตว อสฺสสติ มีความว่า ภิกษุนั้นนั่งอย่างนั้นและตั้งสติไว้อย่างนั้นแล้ว เมื่อไม่ละสตินั้น ชื่อว่ามีสติหายใจเข้า ชื่อว่ามีสติหายใจออก. มีคำอธิบายว่า เป็นผู้อบรมสติ.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอาการเป็นเครื่องอบรมสติเหล่านั้นจึงตรัสพระพุทธพจน์ว่า ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต เป็นต้น.
               สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ในวิภังค์เฉพาะแห่งสองคำนี้ว่า โส สโตว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ ในปฏิสัมภิทาว่า ภิกษุย่อมเป็นผู้อบรมสติ โดยอาการ ๓๒ อย่าง คือ สติของภิกษุผู้รู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจลมหายใจเข้ายาว ย่อมตั้งมั่น,
                เธอชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั่น ด้วยญาณนั้น, สติของภิกษุผู้รู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจลมหายใจออกยาว ย่อมตั้งมั่น,
                เธอชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ
                สติของภิกษุผู้รู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า... ด้วยอำนาจความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืน หายใจออก ย่อมตั้งมั่น, เธอชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้นด้วยญาณนั้น.๑-
๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๘๙/หน้า ๒๖๔-๒๖๕.
 [มติลมหายใจเข้าและออกตามอรรถกถาวินัยและพระสูตร]
                บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต ได้แก่ เมื่อให้ลมหายใจเข้ายาวเป็นไปอยู่.
                ในอรรถกถาวินัย ท่านกล่าวไว้ว่า ลมที่ออกไปข้างนอก ชื่อว่าอัสสาสะ คือลมหายใจออก๑- ลมที่เข้าไปข้างใน ชื่อว่าปัสสาสะ คือลมหายใจเข้า. ส่วนในอรรถกถาแห่งพระสูตรทั้งหลาย มาโดยกลับลำดับกัน.
                 บรรดาลมทั้งสองนั้น ในเวลาที่สัตว์ผู้นอนอยู่ในครรภ์แม้ทุกชนิดออกจากท้องแม่ ลมภายในครรภ์ย่อมออกไปข้างนอกก่อน ภายหลัง ลมข้างนอกพาเอาละอองที่ละเอียดเข้าไปข้างใน กระทบเพดานแล้วดับไป.
               พึงทราบลมอัสสาสะและปัสสาสะอย่างนี้ก่อน.
               ส่วนความที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านั้น มีระยะยาวและสั้น พึงทราบด้วยอำนาจแห่งกาล. เหมือนอย่างว่า น้ำหรือทรายแผ่ออกไปตลอดระยะ คือโอกาสตั้งอยู่ เขาเรียกว่าน้ำยาว ทรายยาว น้ำสั้น ทรายสั้นฉันใด ลมหายใจเข้าและหายใจออกแม้ที่ละเอียดจนยิบก็ฉันนั้น ยังประเทศอันยาวในตัวช้างและตัวงู กล่าวคืออัตภาพของช้างและงูเหล่านั้น ให้ค่อยๆ เต็มแล้วก็ค่อยๆ ออกไป เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่ายาว.
           ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกยังประเทศอันสั้น กล่าวคืออัตภาพแห่งสุนัขและกระต่ายเป็นต้นให้เต็มเร็วแล้วก็ออกเร็วเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าสั้น.        แต่บรรดาหมู่มนุษย์ มนุษย์บางจำพวกหายใจเข้าและหายใจออกยาวด้วยอำนาจระยะกาล ดุจช้างและงูเป็นต้น บางจำพวกหายใจเข้าและหายใจออกสั้น ดุจสุนัขและกระต่ายเป็นต้น เพราะฉะนั้น ลมหายใจเข้าและหายใจออกเหล่านั้นของมนุษย์เหล่านั้น ด้วยอำนาจกาลที่ออกและเข้าอยู่กินเวลานาน พึงทราบว่ายาว ที่ออกและเข้าอยู่ชั่วเวลาน้อย พึงทราบว่าสั้น.
๑- ศัพท์ว่า อสฺสาโส และปสฺสาโส หรือ อสฺสสติ และปสฺสสติ ทั้ง ๒ ศัพท์นี้ ๑- บางท่าน แปล อสฺสาโส หรืออสฺสสติ ว่า หายใจออก ๑- ปาสฺสาโส หรือปสฺสสติ ว่า หายใจเข้า, ๑- ส่วนในหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้นมาได้แปล อสฺสาโส หรืออสฺสสติ ๑- ว่า หายใจเข้า, ปสฺสาโส หรือปสฺสสติ ว่า หายใจออก, ๑- ที่แปลเช่นนี้ ก็เพราะอาศัยนัยอรรถกถาแห่งพระสูตรเป็นหลัก ๑- เช่นอรรถกถามหาหัตถิปโทปมสูตรในปัญจสูทนี ทุติยภาคหน้า ๓๐๘ ๑- เป็นต้น ซึ่งท่านอธิบายไว้ดังนี้ คือ :-
๑- อสฺสาโสติ อนฺโต ปวิสนนาสิกวาโต ลมที่จมูกเข้าไปข้างใน ชื่อว่า อัสสาสะ ๑- คือลมหายใจเข้า, ปสฺสาโสติ พหิ นิกฺขมนนาสิกวาโต ลมที่ออกไปภายนอก ๑- ชื่อว่า ปัสสาสะ คือลมหายใจออก, ๑- ส่วนในอรรถกถาวินัย ท่านก็อธิบายไว้กลับกัน.
 [ผู้เจริญอานาปานัสสติกรรมฐานย่อมได้ความปราโมทย์เป็นต้น]
               ในลมหายใจเข้าและออกนั้น ภิกษุนั้นเมื่อหายใจเข้าและหายใจออกยาว โดยอาการ ๙ อย่าง ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจเข้าหายใจออกยาว.
               ก็เมื่อเธอรู้ชัดอยู่อย่างนี้ พึงทราบว่า การเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ย่อมสำเร็จด้วยอาการอันหนึ่ง เหมือนอย่างที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาว่า ถามว่าภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว๑- ฯลฯ เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น อย่างไร?๒-
               แก้ว่า ภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาว ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับว่ายาว เมื่อหายใจออกยาว ย่อมหายใจออกในขณะที่นับว่ายาว, เมื่อหายใจเข้าและหายใจออกยาว ย่อมหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างในขณะที่นับว่ายาว ฉันทะย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้เมื่อหายใจเข้าและหายใจออกยาว หายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้าง ในขณะที่นับว่ายาว,
               ภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาวละเอียดกว่านั้น ด้วยอำนาจฉันทะย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับว่ายาว, เมื่อหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้น ด้วยอำนาจฉันทะ ย่อมหายใจออกในขณะที่นับว่ายาว, เมื่อหายใจเข้าและหายใจออก ละเอียดกว่านั้น ด้วยอำนาจฉันทะ ย่อมหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้าง
               ในขณะที่นับว่ายาว, ความปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ผู้เมื่อหายใจเข้าและหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้น ด้วยอำนาจฉันทะ หายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้าง ในขณะที่นับว่ายาว, เมื่อหายใจเข้ายาวละเอียดกว่านั้น ด้วยอำนาจความปราโมทย์ ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับว่ายาว, เมื่อหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้น ด้วยอำนาจความปราโมทย์ ย่อมหายใจออกในขณะที่นับว่ายาว ฯลฯ
               เมื่อหายใจเข้าและหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้น ด้วยอำนาจความปราโมทย์ ย่อมหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้าง ในขณะที่นับว่ายาว, จิตของภิกษุผู้เมื่อหายใจเข้าและหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้น ด้วยอำนาจความปราโมทย์ หายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้าง ในขณะที่นับว่ายาว, ย่อมหลีก ออกจากการหายใจเข้าและหายใจออกยาว อุเบกขาย่อมดำรงอยู่.
               กายคือลมหายใจเข้าและหายใจออกยาวด้วยอาการ ๙ อย่างเหล่านี้ย่อมปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ กายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุ
                ดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า การเจริญสติปัฏฐาน
                คือ การพิจารณาเห็นกายในกาย๓- ดังนี้.
๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๙๐/หน้า ๒๖๕. ๒- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๔๐๑/หน้า ๒๗๔. ๓- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๙๐-๔๐๑/หน้า ๒๖๕-๒๗๔.
                แม้ในบทที่กำหนดด้วยลมสั้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
                ส่วนความแปลกกันมีดังต่อไปนี้ :-
             ในบทที่กำหนดด้วยลมยาวนั่น ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อหายใจเข้ายาวย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับว่ายาว ดังนี้ ฉันใด ในบทที่กำหนดด้วยลมสั้นนี้ ก็มีคำที่มาในบาลีว่า เมื่อหายใจเข้าสั้น ย่อมหายใจเข้าในขณะนับว่าเล็กน้อย ฉันนั้น. เพราะฉะนั้น พึงประกอบด้วยสามารถแห่งบทที่กำหนดว่าสั้นนั้น จนถึงคำว่า เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า การเจริญสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นกายในกาย. ภิกษุนี้ เมื่อรู้ชัดลมหายใจเข้าและหายใจออกโดยอาการ ๙ อย่างเหล่านี้ ด้วยอำนาจกาลยาวและด้วยอำนาจกาลนิดหน่อยดังพรรณนามาฉะนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาว ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว ฯลฯ หรือเมื่อหายใจออกสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น ดังนี้.
               อนึ่ง เมื่อภิกษุนั้นรู้อยู่อย่างนี้  วรรณะ (คืออาการ) ทั้ง ๔ คือ ลมหายใจเข้ายาวและสั้น แม้ลมหายใจออกก็           เช่นนั้น ย่อมเป็นไปเฉพาะที่ปลายจมูกของ         ภิกษุ ฉะนี้แล.
               ข้อว่า สพฺพกายปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ ฯเปฯ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ  มีอธิบายว่า เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งกองลมหายใจเข้าทั้งสิ้น ให้รู้แจ้งคือทำให้ปรากฏหายใจเข้า (และ) ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดแห่งกองลมหายใจออกทั้งสิ้น ให้รู้แจ้งคือทำให้ปรากฏหายใจออก.
               เมื่อเธอทำให้รู้แจ้ง คือทำให้ปรากฏด้วยอาการอย่างนั้น ย่อมหายใจเข้าและหายใจออก ด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยญาณ         เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ย่อม  สำเหนียกว่า เราจักหายใจเข้า จักหายใจออก.
               จริงอยู่ เบื้องต้นในกองลมหายใจเข้าหรือในกองลมหายใจออกที่แล่นไปอย่างละเอียด๑- ย่อมปรากฏแก่ภิกษุรูปหนึ่ง แต่ท่ามกลางและที่สุดไม่ปรากฏ เธอสามารถกำหนดได้เฉพาะเบื้องต้นเท่านั้น ย่อมไม่ลำบากในเบื้องต้นและที่สุด.
                 อีกรูปหนึ่ง ย่อมปรากฏแต่ท่ามกลาง เบื้องต้นและที่สุดไม่ปรากฏ เธอสามารถกำหนดได้เฉพาะท่ามกลางเท่านั้น ย่อมลำบากในเบื้องต้นและที่สุด
                 อีกรูปหนึ่ง ย่อมปรากฏแต่ที่สุด เบื้องต้นและท่ามกลางไม่ปรากฏ เธอสามารถกำหนดได้เฉพาะที่สุดเท่านั้น ย่อมลำบากในเบื้องต้นและท่ามกลาง.
                 อีกรูปหนึ่ง ย่อมปรากฏได้แม้ทั้งหมด เธอสามารถกำหนดได้  แม้ทั้งหมด ย่อมไม่ลำบากในส่วนไหนๆ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงชี้ว่า อันภิกษุพึงเป็นผู้เช่นนั้น จึงตรัสว่า ภิกษุย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจเข้า, ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจออก ดังนี้.
                บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า สิกฺขติ    ความว่า ย่อมพากเพียร คือพยายามอย่างนั้น. อีกอย่างหนึ่ง 
                ในบทว่า สิกฺขติ นี้ พึงเห็นใจความอย่างนี้ว่า ความสำรวมของภิกษุผู้เป็นอย่างนั้น นี้ชื่อว่าอธิสีลสิกขา ในอธิการว่าด้วยอานาปานัสสติภาวนานี้ สมาธิของเธอผู้เป็นอย่างนั้น นี้ชื่อว่าอธิจิตตสิกขา ปัญญาของเธอผู้เป็นอย่างนั้น นี้ชื่อว่าอธิปัญญาสิกขา เธอย่อมสำเหนียกคือย่อมซ่องเสพ เจริญกระทำให้มากซึ่งสิกขา ๓ อย่างดังพรรณนามานี้ ด้วยสตินั้น ด้วยมนสิการนั้น ในอารมณ์นั้น.
                 เพราะว่า โดยนัยก่อน บรรดาสองนัยนั้น ภิกษุพึงหายใจเข้าและหายใจออกอย่างเดียวเท่านั้นไม่ต้องทำกิจอะไรๆ อื่น แต่จำเดิมแต่เวลาที่รู้ชัดลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ไป ควรทำความพากเพียรในอาการที่ให้ญาณเกิดขึ้นเป็นต้น เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ในนัยก่อนนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบาลีไว้ด้วยอำนาจเป็นวัตตมานาวิภัตติว่า ย่อมรู้ชัดว่าเราหายใจเข้า ย่อมรู้ชัดว่าเราหายใจออก เท่านั้น แล้วยกพระบาลีขึ้นด้วยอำนาจคำที่เป็นอนาคตกาล โดยนัยมีอาทิว่า เธอย่อมสำเหนียก ว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวง หายใจเข้า ดังนี้ เพื่อจะทรงแสดงอาการที่ให้ญาณเกิดขึ้นเป็นต้นซึ่งควรทำจำเดิมแต่กาลนี้ไป. ๑- วิสุทธิมรรค ๒/๖๑ เป็น จุณฺณวิสเฎ, สารัตถทีปนี ๒/๒๙๕ แก้ว่า ๑- จุณฺณวิคเตติ อเนกกลาปตาย จุณฺณวิจณฺเณภาเวน วิสเฏ.
     [ภิกษุกำหนดกรรมฐานแล้ว กายสังขารจึงสงบ]
               ข้อว่า ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามีติ ฯเปฯ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ  ความว่า เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้สงบคือระงับ ดับ ได้แก่ให้กายสังขารที่หยาบสงบไป หายใจเข้าหายใจออก.
               ในคำว่า จักเป็นผู้ระงับกายสังขารที่หยาบ นั้นพึงทราบความที่ลมเป็นของหยาบและละเอียด และความระงับอย่างนี้ คือ :-
               ก็ในกาลก่อนคือในเวลาที่ภิกษุนี้ยังไม่ได้กำหนดกรรมฐาน กายและจิตยังมีความกระวนกระวาย ยังหยาบ๑- เมื่อกายและจิตซึ่งเป็นของหยาบ ยังไม่สงบ แม้ลมหายใจเข้าและหายใจออกก็เป็นของหยาบ คือเป็นไปเกินกำลัง จมูกไม่พอหายใจ ต้องยืนหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างทางปาก.
               ต่อเมื่อใด กายก็ดี จิตก็ดี เป็นของอันเธอกำหนดแล้ว เมื่อนั้น กายและจิตนั้นจึงเป็นของสงบระงับ.
               ครั้นเมื่อกายและจิตนั้นสงบแล้ว ลมหายใจเข้าและหายใจออกย่อมเป็นไป ละเอียด คือเป็นสภาพถึงอาการที่จะต้องค้นหาว่า มีอยู่หรือไม่หนอ.
               เปรียบเหมือนลมหายใจเข้าและหายใจออกของบุรุษผู้วิ่งลงจากภูเขา หรือผู้ปลงของหนักลงจากศีรษะแล้วยืนอยู่ ย่อมเป็นของหยาบ จมูกไม่พอหายใจ ต้องยืนหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างทางปากต่อเมื่อใด เขาบรรเทาความกระวนกระวายนั้นเสีย อาบและดื่มน้ำแล้ว เอาผ้าเปียกคลุมที่หน้าอกนอนพักที่ร่มไม้เย็นๆ เมื่อนั้น ลมหายใจเข้าและหายใจออกนั้นของเขาจึงเป็นของละเอียด คือถึงอาการที่จะต้องค้นหาว่ามีอยู่หรือไม่หนอ แม้ฉันใด ในกาลก่อน คือในเวลาที่ภิกษุนี้ยังไม่ได้กำหนดกรรมฐาน กายและจิต ฯลฯ คือถึงอาการที่ต้องค้นหาว่า มีอยู่หรือไม่หนอ ฉันนั้นเหมือนกัน.
             ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น ในกาลก่อน คือในเวลาที่เธอยังมิได้กำหนดกรรมฐาน การคำนึง การประมวลมา การมนสิการและการพิจารณาว่า เราจะระงับกายสังขารส่วนหยาบๆ ดังนี้ หามีแก่เธอนั้นไม่, แต่ในเวลาที่เธอกำหนดแล้ว จึงมีได้. เพราะเหตุนั้นในเวลาที่กำหนดกรรมฐาน กายสังขารของเธอนั้น จึงเป็นของละเอียดกว่าเวลาที่ยังไม่ได้กำหนด. เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้ว่า  เมื่อกายและจิต ยังระส่ำระสายอยู่        กายสังขารย่อมเป็นไปเกินประมาณ เมื่อกาย       และจิต ไม่ระส่ำระสาย กายสังขารย่อมเป็นไปละเอียด.
๑- ศัพท์ว่า โอฬาริกนํ ให้แก้เป็น โอฬาริกา เป็นบทคุณของกายและจิต. ๑- วิสุทธิมรรค ภาค ๒/๖๒ แก้เป็นอย่างนี้.
               [กายสังขารในฌานชั้นสูงขึ้นไปย่อมละเอียดไปตามลำดับ]
                กายสังขารแม้ในเวลากำหนดก็ยังหยาบ 
                ในอุปจารแห่งปฐมฌานละเอียด. ถึงแม้
                ในอุปจารแห่งปฐมฌานนั้นก็ยังหยาบ 
                ในปฐมฌานละเอียด. 
                ในปฐมฌานและ
                ในอุปจารแห่งทุติยฌานยังหยาบ 
                ในทุติยฌานละเอียด. 
                ในทุติยฌานและ
                ในอุปจารแห่งตติยฌานก็ยังหยาบ 
                ในตติยฌานละเอียด. 
                ในตติยฌานและอุปจารแห่งจตุตถฌานก็ยังหยาบ    ในจตุตถฌานละเอียดยิ่งนัก ถึงความไม่เป็นไปทีเดียว.
                คำนี้เป็นมติของพระอาจารย์ผู้กล่าวทีฆนิกายและสังยุตตนิกายก่อน. ส่วนพระอาจารย์ทั้งหลายผู้กล่าวมัชฌิมนิกาย ย่อมปรารถนาความละเอียดกว่ากัน แม้ในอุปจารแห่งฌานชั้นสูงๆ ขึ้นไปกว่าฌานชั้นต่ำๆ อย่างนี้ คือกายสังขารที่เป็นไปในปฐมฌาน ยังเป็นของหยาบ ในอุปจารแห่งทุติยฌาน จึงจัดว่าละเอียด ดังนี้เป็นต้น. ก็ตามมติของพระอาจารย์ทั้งหมดนั้นแล ควรทราบดังนี้ว่า กายสังขารที่เป็นไปในเวลาที่ยังมิได้กำหนด (กรรมฐาน) ย่อมระงับไปในเวลาที่กำหนดแล้ว กายสังขารที่เป็นไปในเวลาที่ได้กำหนด ย่อมระงับไปในอุปจารแห่งปฐมฌาน ฯลฯ กายสังขารที่เป็นไปในอุปจารแห่งจตุตถฌาน ย่อมระงับไปในจตุตถฌาน.
                       ในสมถะมีนัยเท่านี้ก่อน.
       ส่วนในวิปัสสนา พึงทราบนัยดังนี้:-  กายสังขารที่เป็นไปในเมื่อยังมิได้กำหนด ยังหยาบ ในการกำหนดมหาภูตรูปละเอียด, แม้การกำหนดมหาภูตรูปนั้นก็ยังหยาบ ในการกำหนดอุปทายรูปละเอียด, แม้การกำหนดอุปาทายรูปนั้นก็ยังหยาบ ในการกำหนดรูปทั้งสิ้นละเอียด, แม้การกำหนดรูปทั้งสิ้นนั้นก็ยังหยาบ ในการกำหนดอรูปละเอียด, แม้การกำหนดอรูปนั้นก็ยังหยาบ ในการกำหนดรูปและอรูปละเอียด, แม้การกำหนดรูปและอรูปนั้นก็ยังหยาบ ในการกำหนดปัจจัยละเอียด, แม้การกำหนดปัจจัยนั้นก็ยังหยาบ ในการเห็นนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยละเอียด, แม้การเห็นนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยนั้นก็ยังหยาบ ในวิปัสสนาที่ประกอบด้วยลักษณะและอารมณ์ ละเอียด, แม้นั้นก็ยังหยาบ ในวิปัสสนาที่มีกำลังเพลา ในวิปัสสนาที่มีกำลังจึงจัดว่าละเอียด. ในวิปัสสนานัยนั้น พึงทราบความสงบไปแห่งลมอัสสาสะและปัสสาสะก่อนๆ ด้วยลมอัสสาสะและปัสสาสะหลังๆ โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั่นแล.
               ในคำว่า ระงับกายสังขารที่หยาบ นี้ พึงทราบความที่ลมหยาบละเอียดและสงบไป โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้แล.
               ส่วนในปฏิสัมภิทา พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวเนื้อความแห่งบทนั้น พร้อมกับคำท้วงแลคำแก้ให้กระจ่างอย่างนี้ :-
               ภิกษุย่อมสำเหนียกอย่างไร?
               ย่อมสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก.
               กายสังขารเป็นไฉน?
          ลมหายใจเข้ายาวเป็นไปทางกาย ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกายเป็นกายสังขาร ภิกษุระงับคือดับ สงบกายสังขารเหล่านั้น สำเหนียกอยู่, ลมหายใจออกยาวเป็นไปทางกาย ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกายเป็นกายสังขารภิกษุระงับคือดับ สงบกายสังขารเหล่านั้น สำเหนียกอยู่; ลมหายใจเข้าสั้น ลมหายใจออกสั้น ลมที่ภิกษุรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจเข้า ลมที่ภิกษุรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจออกเป็นไปทางกาย ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกายเป็นกายสังขาร ภิกษุระงับคือดับ สงบกายสังขารเหล่านั้น สำเหนียกอยู่,
     ความอ่อนไป ความน้อมไป ความเอนไป ความโอนไป ความหวั่นไหว ความดิ้นรน ความโยก ความโคลงแห่งกาย เพราะกายสังขารเห็นปานใด, ภิกษุย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารเห็นปานนั้นหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารเห็นปานนั้น หายใจออก.
    ความไม่อ่อนไป ความไม่น้อมไป ความไม่เอนไป ความไม่โอนไป ความไม่หวั่นไหว ความไม่ดิ้นรน ความไม่โยก ความไม่โคลงแห่งกาย เพราะกายสังขารเห็นปานใด, ภิกษุย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารที่ละเอียดสุขุมเห็นปานนั้น หายใจเข้า หายใจออก.
               หากว่าภิกษุสำเหนียกอยู่อย่างนี้ว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก.
               เมื่อเป็นอย่างนั้น ความได้ลม๑- (อัสสาสะและปัสสาสะ) ก็ไม่เป็นไป (คือไม่เกิดขึ้น), ลมอัสสาสะและปัสสาสะก็ไม่เป็นไป อานาปานัสสติก็ไม่เป็นไป อานาปานัสสติสมาธิก็ไม่เป็นไป และสมาบัตินั้น บัณฑิตทั้งหลายจะเข้าบ้าง จะออกบ้าง ก็หาไม่,
               ถ้าหากว่าภิกษุสำเหนียกอยู่อย่างนี้ว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า หายใจออก. เมื่อเป็นอย่างนี้ ความได้ลม๑- (อัสสาสะและปัสสาสะ) ย่อมเป็นไป (คือเกิดขึ้น), ลมอัสสาสะและปัสสาสะย่อมเป็นไป อานาปานัสสติย่อมเป็นไป, อานาปานัสสติสมาธิย่อมเป็นไป และสมาบัตินั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมเข้าบ้าง ย่อมออกบ้าง.
               ข้อนั้นเปรียบเหมือนอะไร? เปรียบเหมือนเมื่อบุคคลตีกังสดาล เสียงดัง (เสียงหยาบ) ย่อมกระจายไปก่อน เพราะกำหนดใส่ใจ จำไว้ด้วยดีซึ่งนิมิตแห่งเสียงดัง แม้เมื่อเสียงดังดับไปแล้ว.
               ต่อมาเสียงละเอียด (เสียงครวญ) ย่อมกระจายไปภายหลัง เพราะกำหนดใส่ใจ จำไว้ด้วยดีซึ่งนิมิตแห่งเสียงครวญ แม้เมื่อเสียงครวญดับไปแล้ว.
               ต่อมาจิตย่อมเป็นไปภายหลัง แม้เพราะมีนิมิตแห่งเสียงครวญเป็นอารมณ์. 
               ข้อนี้ก็เหมือนกันฉะนั้น ลมหายใจเข้าและหายใจออกที่หยาบย่อมเป็นไปก่อน เพราะกำหนดใส่ใจจำไว้ด้วยดี ซึ่งนิมิตแห่งลมหายใจเข้าและหายใจออกที่หยาบ เมื่อลมหายใจเข้าและหายใจออกที่หยาบ แม้ดับไปแล้ว. 
                ต่อมาลมหายใจเข้าและหายใจออกที่ละเอียดย่อมเป็นไปภายหลัง เพราะกำหนดใส่ใจ จำไว้ด้วยดีซึ่งนิมิตแห่งลมหายใจเข้าและหายใจออกที่ละเอียด เมื่อลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่ละเอียดแม้ดับไปแล้ว.
                ต่อมาจิตไม่ถึงความฟุ้งซ่านในภายหลัง แม้เพราะมีนิมิตแห่งลมหายใจเข้าและหายใจออกที่ละเอียดเป็นอารมณ์. เมื่อเป็นอย่างนี้ ความได้ลม (อัสสาสะและปัสสาสะ) ย่อมเป็นไป, ลมอัสสาสะและปัสสาสะย่อมเป็นไป อานาปานัสสติย่อมเป็นไป อานาปานัสสติสมาธิย่อมเป็นไป และสมาบัตินั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมหายใจเข้าบ้าง ย่อมหายใจออกบ้าง.
               กายคือความที่บุคคลระงับกายสังขารหายใจเข้าและหายใจออกย่อมปรากฏ, สติเป็นอนุปัสสนาญาณ, กายย่อมปรากฏ ไม่ใช่สติ, สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย, ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น.
               เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า การเจริญสติปัฏฐานคือการพิจารณาเห็นกายในกาย๒- ดังนี้.
               ในบทว่า ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ นี้ มีการพรรณนาตามลำดับบทแห่งปฐมจตุกกะ ซึ่งตรัสไว้ด้วยสามารถแห่งกายานุปัสสนาเพียงเท่านี้ก่อน. แต่เพราะในอธิการนี้ จตุกกะนี้เท่านั้น ตรัสไว้ด้วยสามารถแห่งกรรมฐานของกุลบุตรผู้เริ่มทำ,
               ส่วนอีก ๓ จตุกกะนอกนี้ ตรัสไว้ด้วยสามารถแห่งเวทนานุปัสสนาและธัมมานุปัสสนา ของกุลบุตรผู้บรรลุฌานแล้วในปฐมจตุกกะนี้; ฉะนั้น พุทธบุตรผู้ปรารถนาจะเจริญกรรมฐานนี้ แล้วบรรลุพระอรหัตพร้อมกับปฏิสัมภิทา ด้วยวิปัสสนาอันมีอานาปานจตุตถฌานเป็นปทัฏฐาน ควรทราบกิจที่ตนควรทำก่อนทั้งหมดตั้งแต่ต้น ในอธิการแห่งอานาปานัสสติกรรมฐานนี้แล ด้วยสามารถแห่งกุลบุตรผู้เริ่มทำ.
๑- วาตปลทฺธิ ความสำเหนียก กำหนดหมายลม. ๒-ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๔๐๖/หน้า ๒๗๘-๒๘๐.