Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา.ขุททกนิกาย.พุทธวงศ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา.ขุททกนิกาย.พุทธวงศ์ แสดงบทความทั้งหมด

13 ธันวาคม 2568

อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ พุทธปกิรณกกัณฑ์ ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

เรื่องเบ็ดเตล็ดของพุทธวงศ์
         คาถา ๑๘ คาถามีว่า อปริเมยฺยิโต กปฺเป จตุโร อาสุํ วินายกา เป็นอาทิ พึงทราบว่าเป็นนิคมคาถาที่พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายวางไว้. 
         ในคาถาที่เหลือทุกแห่ง คำชัดแล้วทั้งนั้นแล.
เวมัตตกถา
         พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ที่ชี้แจงไว้ในพุทธวงศ์ทั้งสิ้นนี้ พึงทราบว่า มีเวมัตตะคือความแตกต่างกัน ๘ อย่างคือ อายุเวมัตตะ ปมาณเวมัตตะ กุลเวมัตตะ ปธานเวมัตตะ รัศมีเวมัตตะ ยานเวมัตตะ โพธิเวมัตตะ บัลลังกเวมัตตะ.
อายุเวมัตตะ
         บรรดาเวมัตตะเหล่านั้น ชื่อว่าอายุเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งพระชนมายุ ได้แก่ พระพุทธเจ้าบางพระองค์มีพระชนมายุยืน บางพระองค์มีพระชนมายุสั้น. 
         จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้า ๙ พระองค์เหล่านี้คือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระปทุมุตตระ พระอัตถทัสสี พระธัมมทัสสี พระสิทธัตถะ พระติสสะ มีพระชนมายุแสนปี. 
         พระพุทธเจ้า ๘ พระองค์เหล่านี้คือ พระมังคละ พระสุมนะ พระโสภิตะ พระนารทะ พระสุเมธะ พระสุชาตะ พระปิยทัสสี พระปุสสะ มีพระชนมายุเก้าหมื่นปี. 
         พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือ พระเรวตะ พระเวสสภู มีพระชนมายุหกหมื่นปี. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี มีพระชนมายุแปดหมื่นปี. 
         พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์เหล่านี้คือ พระสิขี พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ มีพระชนมายุเจ็ดหมื่นปี, สี่หมื่นปี, สามหมื่นปี, สองหมื่นปี ตามลำดับ. 
         ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา มีพระชนมายุร้อยปี. 
         ประมาณอายุ ไม่มีประมาณ โดยยุคของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประกอบด้วยกรรมที่ทำให้อายุยืน นี้ชื่อว่าอายุเวมัตตะ ของพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์.
ปมาณเวมัตตะ
         ที่ชื่อว่าปมาณเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งประมาณ ได้แก่พระพุทธเจ้าบางพระองค์สูง บางพระองค์ต่ำ. 
         จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าคือพระทีปังกร พระเรวตะ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี พระธัมมทัสสี พระวิปัสสี มีพระสรีระสูง ๘๐ ศอก. 
         พระพุทธเจ้าคือพระโกณฑัญญะ พระมังคละ พระนารทะ พระสุเมธะ มีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก. 
         พระสุมนพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง ๙๐ ศอก. 
         พระพุทธเจ้าคือ พระโสภิตะ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระปทุมุตตระ พระปุสสะ มีพระสรีระสูง ๕๘ ศอก 
         พระสุชาตพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง ๕๐ ศอก. 
         พระพุทธเจ้าคือพระสิทธัตถะ พระติสสะและพระเวสสภู มีพระวรกายสูง ๖๐ ศอก. 
         พระสิขีพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง ๗๐ ศอก. 
         พระพุทธเจ้าคือพระกกุสันธะ พระโกนาคมนะและพระกัสสปะ พระวรกายสูง ๔๐ ศอก ๓๐ ศอก ๒๐ ศอกตามลำดับ. 
         ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา สูง ๑๘ ศอก. 
         นี้ชื่อว่าปมาณเวมัตตะ ของพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์.
กุลเวมัตตะ
         ที่ชื่อว่ากุลเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งตระกูล ได้แก่ พระพุทธเจ้าบางพระองค์เกิดในตระกูลกษัตริย์ บางพระองค์เกิดในตระกูลพราหมณ์. 
         จริงอย่างนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะและพระกัสสปะ เกิดในตระกูลพราหมณ์. 
         พระพุทธเจ้า ๒๒ พระองค์ที่เหลือมีพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้นมีพระโคตมพุทธเจ้าเป็นที่สุด เกิดในตระกูลกษัตริย์ทั้งนั้น. 
         นี้ชื่อว่ากุลเวมัตตะ ของพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์.
ปธานเวมัตตะ
         ที่ชื่อว่าปธานเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งการตั้งความเพียร ได้แก่ พระพุทธเจ้าคือพระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระสุมนะ พระอโนมทัสสี พระสุชาตะ พระสิทธัตถะและพระกกุสันธะ ทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน. 
         พระพุทธเจ้าคือพระมังคละ พระสุเมธะ พระติสสะและพระสิขี ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน. 
         พระเรวตพุทธเจ้า ๗ เดือน. 
         พระโสภิตพุทธเจ้า ๔ เดือน. 
         พระพุทธเจ้าคือ พระปทุมะ พระอัตถทัสสีและพระวิปัสสี ครึ่งเดือน. 
         พระพุทธเจ้าคือ พระนารทะ พระปทุมุตตระ พระธัมมทัสสีและพระกัสสปะ ๗ วัน. 
         พระพุทธเจ้าคือ พระปิยทัสสี พระปุสสะ พระเวสสภูและพระโกนาคมนะ ๖ เดือน. 
         พระพุทธเจ้าของเราทรงบำเพ็ญเพียร ๖ ปี. 
         นี้ชื่อว่าปธานเวมัตตะ.
รัศมีเวมัตตะ
         ที่ชื่อว่ารัศมีเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งพระรัศมี. 
         ได้ยินว่า พระมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไปในหมื่นโลกธาตุ. 
         พระปทุมุตตรพุทธเจ้า แผ่ไป ๑๒ โยชน์. 
         พระวิปัสสีพุทธเจ้า แผ่ไป ๗ โยชน์. 
         พระสิขีพุทธเจ้า แผ่ไป ๓ โยชน์. 
         พระกกุสันธพุทธเจ้า แผ่ไป ๑๐ โยชน์. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ประมาณหนึ่งวาโดยรอบ. 
         พระพุทธเจ้านอกนั้น ไม่แน่นอน. 
         นี้ชื่อว่ารัศมีเวมัตตะ.
ยานเวมัตตะ
         ที่ชื่อว่า ยานเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งพระยาน ได้แก่ พระพุทธเจ้าบางพระองค์ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง บางพระองค์ด้วยยานคือม้า บางพระองค์ด้วยยานคือรถ ดำเนินด้วยพระบาท ปราสาทและวอเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง. 
         จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าคือพระทีปังกร พระสุมนะ พระสุเมธะ พระปุสสะ พระสิขีและพระโกนาคมนะ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง 
         พระโกณฑัญญะ พระเรวตะ พระปทุมะ พระปิยทัสสี พระวิปัสสีและพระกกุสันธะ ด้วยยานคือรถ. 
         พระมังคละ พระสุชาตะ พระอัตถทัสสี พระติสสะและพระโคตมะ ด้วยยานคือม้า. 
         พระอโนมทัสสี พระสิทธัตถะ พระเวสสภู ด้วยยานคือวอ. 
         พระนารทะเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยพระบาท. 
         พระโสภิตะ พระปทุมุตตระ พระธัมมทัสสีและพระกัสสปะ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยปราสาท. 
         นี้ชื่อว่ายานเวมัตตะ.
โพธิรุกขเวมัตตะ
         ที่ชื่อว่าโพธิรุกขเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งโพธิพฤกษ์ ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นกปิตนะ มะขวิด. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าโกณฑัญญะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นสาลกัลยาณี ขานาง 
         พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนาคะ กากะทิง. 
         พระอโนมทัสสี มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัชชุนะ กุ่ม. 
         พระปทุมะและพระนารทะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นมหาโสณะ อ้อยช้างใหญ่. 
         พระปทุมุตตระ มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นสลละ หรือสาละ. 
         พระสุเมธะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนีปะ กะทุ่ม. 
         พระสุชาตะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นเวฬุ ไผ่. 
         พระปิยทัสสี มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นกกุธะ กุ่ม. 
         พระอัตถทัสสี โพธิพฤกษ์ชื่อต้นจัมปกะ จำปา. 
         พระธัมมทัสสี โพธิพฤกษ์ชื่อต้นรัตตกุรวกะ ซ้องแมวแดง.
         พระสิทธัตถะ โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นกณิการะ กรรณิการ์. 
         พระติสสะ โพธิพฤกษ์ชื่อต้นอสนะ ประดู่. 
         พระปุสสะ โพธิพฤกษ์ชื่อต้นอาลมกะ มะขามป้อม. 
         พระวิปัสสี โพธิพฤกษ์ชื่อต้นปาฏลี แคฝอย. 
         พระสิขี โพธิพฤกษ์ชื่อต้นปุณฑรีกะ กุ่มบก. 
         พระเวสสภู โพธิพฤกษ์ชื่อต้นสาละ. 
         พระกกุสันธะ โพธิพฤกษ์ชื่อต้นสรีสะ ซึก. 
         พระโกนาคมนะ โพธิพฤกษ์ชื่อต้นอุทุมพระ มะเดื่อ. 
         พระกัสสปะ โพธิพฤกษ์ชื่อต้นนิโครธ ไทร. 
         พระโคตมะ โพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ โพธิใบ. 
         นี้ชื่อว่าโพธิเวมัตตะ. 
- บาลีในธัมมทัสสีพุทธวงศ์ข้อ ๑๖ เป็นต้นพิมพิชาละ มะพลับ.
บัลลังกเวมัตตะ
         ที่ชื่อว่าบัลลังกเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งบัลลังก์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า คือ พระทีปังกร พระเรวตะ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี พระธัมมทัสสีและพระวิปัสสี มีบัลลังก์ ๕๓ ศอก. 
         พระโกณฑัญญะ พระมังคละ พระนารทะและพระสุเมธะ มีบัลลังก์ ๕๗ ศอก. 
         พระสุมนะ มีบัลลังก์ ๖๐ ศอก. 
         พระโสภิตะ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระปทุมุตตระและพระปุสสะ มีบัลลังก์ ๓๘ ศอก. 
         พระสุชาตะ มีบัลลังก์ ๓๒ ศอก. 
         พระสิทธัตถะ พระติสสะและพระเวสสภู มีบัลลังก์ ๔๐ ศอก. 
         พระสิขี มีบัลลังก์ ๓๒ ศอก. 
         พระกกุสันธะ มีบัลลังก์ ๒๖ ศอก. 
         พระโกนาคมนะ มีบัลลังก์ ๒๐ ศอก. 
         พระกัสสปะ มีบัลลังก์ ๑๕ ศอก. 
         พระโคตมะ มีบัลลังก์ ๑๔ ศอก. 
         นี้ชื่อว่าบัลลังกเวมัตตะ 
         เหล่านี้ชื่อว่าเวมัตตะ ๘.
เรื่องสถานที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงละ
         ก็พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละสถานที่ ๔ แห่ง. 
         จริงอยู่ โพธิบัลลังก์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละ เป็นสถานที่แห่งเดียวกันนั่นเอง. ไม่ทรงละการประกาศพระธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนะมิคทายวัน, ไม่ทรงละสถานที่เหยียบพระบาทครั้งแรก ใกล้ประตูสังกัสสนคร ครั้งเสด็จลงจากเทวโลก, ไม่ทรงละสถานที่วางเท้าเตียง ๔ เท้าแห่งพระคันธกุฎีในพระวิหารเชตวัน, พระวิหารเล็กก็มี ใหญ่ก็มี ทั้งพระวิหารก็ไม่ละ ทั้งพระนครก็ไม่ละ.
เรื่องการกำหนดสหชาตและกำหนดนักษัตร์
         ยังมีอีกข้อหนึ่ง ท่านพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย แสดงกำหนดสหชาตและกำหนดนักษัตร ของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเท่านั้น. 
         สิ่งที่เกิดร่วมกันกับพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ของเรามี ๗ เหล่านี้ คือ พระมารดาพระราหุล ๑ พระอานันทเถระ ๑ พระฉันนะ ๑ พระยาม้ากัณฐกะ ๑ หม้อขุมทรัพย์ ๑ พระมหาโพธิ ๑ พระกาฬุทายี ๑ นี้ชื่อว่ากำหนดสหชาต. 
         โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์ในเดือนอุตตราสาธ พระมหาบุรุษลงสู่พระครรภ์พระชนนี เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงประกาศพระธรรมจักร ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์. โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์ในเดือนวิสาขะ ประสูติตรัสรู้และปรินิพพาน. โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์เดือนมาฆะ พระองค์ทรงประชุมพระสาวกและทรงปลงอายุสังขาร, โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์เดือนอัสสยุชะ เสด็จลงจากเทวโลก. 
         นี้ชื่อว่ากำหนดนักษัตร.
เรื่องธรรมดาของพระพุทธเจ้า
         บัดนี้ เราจะประกาศธรรมดาทั่วไปของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ธรรมดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มี ๓๐ ถ้วน คือ 
         ๑. พระโพธิสัตว์ผู้มีภพสุดท้าย มีสัมปชัญญะรู้ตัว ลงสู่พระครรภ์ของพระชนนี 
         ๒. พระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิในพระครรภ์ของพระชนนีหันพระพักตร์ออกไปภายนอก 
         ๓. พระชนนีของพระโพธิสัตว์ยืนประสูติ 
         ๔. พระโพธิสัตว์ออกจากพระครรภ์พระชนนีในป่าเท่านั้น 
         ๕. พระโพธิสัตว์วางพระบาทลงบนแผ่นทอง หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ย่างพระบาท ๗ ก้าว เสด็จไปตรวจดู ๔ ทิศแล้วเปล่งสีหนาท 
         ๖. พระมหาสัตว์พอพระโอรสสมภพ ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ แล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ 
         ๗. พระมหาสัตว์ทรงถือผ้าธงชัยแห่งพระอรหันต์ ทรงผนวช ทรงบำเพ็ญเพียรกำหนดอย่างต่ำที่สุด ๗ วัน 
         ๘. เสวยข้าวมธุปายาสในวันที่ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ 
         ๙. ประทับนั่งเหนือสันถัตหญ้าบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ 
         ๑๐. ทรงบริกรรมอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน 
         ๑๑. ทรงกำจัดกองกำลังของมาร 
         ๑๒. ณ โพธิบัลลังก์นั่นเอง ทรงได้คุณมีอสาธารณะญาณ ตั้งแต่วิชชา ๓ เป็นต้นไปเป็นอาทิ 
         ๑๓. ทรงยับยั้งใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ 
         ๑๔. ท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาเพื่อให้ทรงแสดงธรรม 
         ๑๕. ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนะ มิคทายวัน 
         ๑๖. ในวันมาฆบูรณมี ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในที่ประชุมสาวกประกอบด้วยองค์ ๔ 
         ๑๗. ประทับอยู่ประจำ ณ ที่พระวิหารเชตวัน 
         ๑๘. ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ใกล้ประตูกรุงสาวัตถี 
         ๑๙. ทรงแสดงพระอภิธรรม ณ ภพดาวดึงส์ 
         ๒๐. เสด็จลงจากเทวโลก ใกล้ประตูสังกัสสนคร 
         ๒๑. ทรงเข้าผลสมาบัติต่อเนื่องกัน 
         ๒๒. ทรงตรวจดูเวไนยชน ๒ วาระ 
         ๒๓. เมื่อเรื่องเกิดขึ้น จึงทรงบัญญัติสิกขาบท 
         ๒๔. เมื่อเหตุต้นเรื่องเกิดขึ้น จึงตรัสชาดก 
         ๒๕. ตรัสพุทธวงศ์ในสมาคมพระประยูรญาติ 
         ๒๖. ทรงทำปฏิสันถารกับภิกษุอาคันตุกะ
         ๒๗. พวกภิกษุจำพรรษาแล้วถูกนิมนต์ ไม่ทูลบอกลาก่อน ไปไม่ได้ 
         ๒๘. ทรงทำกิจก่อนและหลังเสวย ยามต้น ยามกลางและยามสุดท้ายทุกๆ วัน 
         ๒๙. เสวยรสมังสะในวันปรินิพพาน. 
         ๓๐. ทรงเข้าสมาบัติยี่สิบสี่แสนโกฏิสมาบัติแล้วจึงปรินิพพาน. 
         ธรรมดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มี ๓๐ ถ้วนดังกล่าวมาฉะนี้.
เรื่องอนันตรายิกธรรม
         พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีอนันตรายิกธรรม (คือ ไม่มีอันตรายเป็นธรรมดา) ๔ คือ 
         ๑. ใครๆ ไม่อาจทำอันตรายแก่ปัจจัย ๔ ที่มีเฉพาะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 
         ๒. ใครๆ ไม่อาจทำอันตรายแก่พระชนมายุของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 
         สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ข้อที่บุคคลพึงใช้ความพยายามปลงพระชนม์ชีพพระตถาคต ไม่เป็นฐานะ ไม่เป็นโอกาส [คือเป็นไปไม่ได้] 
         ๓. ใครๆ ไม่อาจทำอันตรายแก่พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการและแก่พระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ 
         ๔. ใครๆ ไม่อาจทำอันตรายแก่พระพุทธรังสีได้เหล่านี้ ชื่อว่าอนันตรายิกธรรม ๔.
นิคมนกถา
คำส่งท้ายเรื่อง
               การพรรณนาพุทธวงศ์ อันงดงามด้วยนัยอันวิจิตร 
         ซึ่งผู้รู้บทพรรณนาให้ง่าย ถึงความสำเร็จด้วยกถาเพียง 
         เท่านี้. 
               ข้าพเจ้ายึดทางแห่งอรรถกถาเก่า อันประกาศ 
         ความแห่งบาลี เป็นหลักอย่างเดียว แต่งอรรถกถาพุทธ- 
         วงศ์
               เพราะละเว้นความที่เยิ่นเย้อ ประกาศแต่ความอัน 
         ไพเราะทุกประการ ฉะนั้น จึงชื่อว่ามธุรัตถวิลาสินี. 
               เมื่อสาธุชน ผู้มีวาจาไพเราะ ชื่อกัณหทาส สร้าง 
         วิหาร ที่มีกำแพงและซุ้มประตูอันงามโดยอาการต่างๆ 
         ถึงพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ น่าดู น่ารื่นรมย์ เป็นที่คับ 
         แคบแห่งทุรชนที่ถูกกำจัด เป็นที่สงัดสบาย น่าเจริญใจ 
         ณ ท่าเรือกาวีระ เป็นพื้นแผ่นดินที่เต็มด้วยชุมทางน้ำ 
         แห่งแม่น้ำกาวีระ น่ารื่นรมย์ เกลื่อนกล่นด้วยหญิงชาย 
         ต่างๆ. 
               ข้าพเจ้าอยู่ ณ พื้นปราสาทด้านทิศตะวันออกใน 
         วิหารนั้น ที่เย็นอย่างยิ่ง แต่งอรรถกถาพรรณนาพุทธ- 
         วงศ์. 
               อรรถกถาพรรณนาพุทธวงศ์นี้ เว้นอันตราย 
         ข้าพเจ้าแต่งสำเร็จดีแล้วฉันใด ขอความตรึกของชน 
         ทั้งหลายที่ชอบด้วยธรรม จนถึงความสำเร็จโดยเว้น 
         อันตรายฉันนั้น. 
               ข้าพเจ้าผู้แต่งอรรถกถาพุทธวงศ์นี้ ปรารถนา 
         บุญอันใด ด้วยเทวานุภาพแห่งบุญนั้น ขอโลกจง 
         ประสบประโยชน์อย่างดี ที่สงบยั่งยืนทุกเมื่อ. 
               ขอโรคทั้งปวงในมนุษย์ทั้งหลาย จงพินาศไป 
         แม้ฝนก็จงตกต้องตามฤดูกาล แม้สัตว์นรกก็จงมีสุข 
         อย่างดีเป็นนิตย์ เหล่าปีศาจทั้งหลาย ก็จงปราศจาก 
         ความหิวกระหาย. 
               ขอเทวดาทั้งหลายกับหมู่อัปสรเป็นต้นจงเสวย 
         สุขในเทวโลกนานๆ. 
               ขอธรรมของพระจอมมุนี จงดำรงอยู่ในโลก 
         ยั่งยืนนาน 
               ขอท่านผู้มีหน้าที่คุ้มครองโลกจงปกครอง 
         แผ่นดินให้เป็นสุขเถิด. 
               พระเถระโดยนามที่ท่านครูทั้งหลาย ขนาน 
         ให้ปรากฏว่า พุทธทัตตะ แต่งคัมภีร์อรรถกถา ชื่อ 
         มธุรัตถวิลาสินี. 
               ตั้งคัมภีร์นี้ที่นำประโยชน์สืบๆ กันมา โดย 
         ความที่สังขารตั้งอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องตกไปสู่อำนาจ 
         มฤตยูหนอ. 
         คัมภีร์มธุรัตถวิลาสินีกล่าวโดยภาณวารมี ๒๖ ภาณวาร โดยคันถะมี ๖,๕๐๐ คันถะ โดยอักษรมี ๒๐๓,๐๐๐ อักษร. 
               มธุรัตถวิลาสินีนี้ เข้าถึงความสำเร็จ ปราศจากอันตรายฉันใด 
               ขอความดำริของสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยธรรม จงสำเร็จฉันนั้น 
               เทอญ.
                                  จบอรรถกถาพุทธวงศ์ ชื่อว่ามธุรัตถวิลาสินี
ด้วยประการฉะนี้.

12 ธันวาคม 2568

[ ๓/๓ ] อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๕. โคตมพุทธวงศ์

 อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ . โคตมพุทธวงศ์ อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] 
นิทานใกล้
         พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับนั่งเปล่งพระพุทธอุทานแล้ว ก็ทรงมีพระดำริว่า เราท่องเที่ยวมา ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป ก็เพราะเหตุแห่งบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้เป็นวิชัยบัลลังก์ มงคลบัลลังก์ของเรา เรานั่งเหนือบัลลังก์นี้ ความดำริยังไม่บริบูรณ์ตราบใด เราก็จักไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ตราบนั้น ทรงเข้าสมาบัตินับได้หลายแสนโกฏิ ประทับนั่งเหนือบัลลังก์นั้น ๗ วัน ที่ท่านหมายถึงกล่าวไว้ว่า 
         ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข โดยบัลลังก์เดียว ๗ วัน. 
         ครั้งนั้น เทวดาบางพวกเกิดปริวิตกว่า แม้วันนี้พระสิทธัตถะก็ยังมีกิจที่จะต้องทำแน่แท้ ด้วยยังไม่ทรงละความอาลัยในพระบัลลังก์. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบความวิตกของเทวดาทั้งหลาย ก็เหาะขึ้นสู่เวหาสทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เพื่อระงับความวิตกของเทวดาเหล่านั้น ครั้นทรงระงับความวิตกของเทวดาทั้งหลายด้วยปาฏิหาริย์นี้อย่างนี้แล้ว ประทับยืน ณ ส่วนทิศอุดรอิงทิศปาจีนนิดหน่อย จากบัลลังก์ ทรงพระดำริว่า เราแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ณ บัลลังก์นี้แล้วหนอ ทรงสำรวจดูบัลลังก์และโพธิพฤกษ์อันเป็นสถานที่ทรงบรรลุผลแห่งพระบารมีทั้งหลายที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดสี่อสงไขยกับแสนกัป ด้วยดวงพระเนตรที่ไม่กระพริบ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน. 
         สถานที่นั้นชื่อว่าอนิมิสเจดีย์.
         สถานที่ชื่อว่ารัตนจงกรมเจดีย์         
         ลำดับนั้น ทรงเนรมิตที่จงกรมระหว่างบัลลังก์และสถานที่ประทับยืน เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรมกลับไปมาจากข้างหน้าข้างหลัง ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน. สถานที่นั้นชื่อว่ารัตนจงกรมเจดีย์. 
         แต่ในสัปดาห์ที่ ๔ เทวดาทั้งหลายเนรมิตรัตนฆระ เรือนแก้ว ทางทิศพายัพแต่โพธิพฤกษ์. ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ เรือนแก้วนั้น ทรงพิจารณาพระอภิธรรมปิฎก ยับยั้งอยู่ ๗ วัน. สถานที่นั้นชื่อว่ารัตนฆรเจดีย์. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ ๔ สัปดาห์ ใกล้โพธิพฤกษ์อย่างนี้แล้ว ในสัปดาห์ที่ ๕ เสด็จจากโคนโพธิพฤกษ์ เข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธ ครั้นแล้วก็ประทับนั่งเลือกเฟ้นธรรมและเสวยวิมุตติสุข ณ ต้นอชปาลนิโครธนั้น. 
         พระศาสดาครั้นทรงยับยั้ง ณ ต้นอชปาลนิโครธนั้น ๗ วันแล้วก็เสด็จไปยังโคนต้นมุจลินท์ ณ ที่นั้น พระยานาคชื่อมุจลินท์ เอาขนด ๗ ชั้นวงไว้รอบเพื่อป้องกันความหนาวเป็นต้น เมื่อเกิดฝนตกพรำ ๗ วัน พระศาสดาเสวยวิมุตติสุข เหมือนประทับอยู่ในพระคันธกุฎีที่ไม่คับแคบ ทรงยับยั้งอยู่ ณ โคนต้นมุจลินท์นั้น ๗ วัน จึงเสด็จเข้าไปยังโคนต้นราชายตนะ ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ ที่นั้น ๗ วัน. 
         ครบ ๗ สัปดาห์บริบูรณ์ ด้วยประการฉะนี้. 
         ในระหว่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มีการบ้วนพระโอฐ ไม่มีการปฏิบัติสรีรกิจ ไม่มีการเสวยพระกระยาหาร ทรงยับยั้งอยู่ด้วยสุขในผลอย่างเดียว. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาทรงชำระพระโอฐด้วยไม้ชำระฟันชื่อนาคลดา และด้วยน้ำในสระอโนดาตที่ท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงน้อมถวายในวันที่ ๔๙ วันสุดท้ายแห่ง ๗ สัปดาห์ ประทับนั่ง ณ โคนต้นราชายตนะนั้นนั่นแล. 
         สมัยนั้น พาณิชสองคนชื่อตปุสสะและภัลลิกะ อันเทวดาผู้เป็นญาติสาโลหิต ให้ขมักเขม้นในอันถวายอาหารแด่พระศาสดา ถือข้าวสัตตุผงและสัตตุก้อน เข้าไปเฝ้าพระศาสดายืนกราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความกรุณาโปรดทรงรับอาหารนี้ด้วย เพราะเหตุที่บาตรที่เทวดาถวายครั้งทรงรับข้าวมธุปายาส อันตรธานไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า พระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่รับอาหารด้วยมือเปล่า เราจะพึงรับอาหารนี้ได้อย่างไรหนอ. 
         ครั้งนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จาก ๔ ทิศรู้อัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็น้อมบาตร ๔ บาตรสำเร็จด้วยแก้วมณีและแก้วมรกตถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามบาตรเหล่านั้น. ท้าวจาตุมหาราชจึงน้อมบาตร ๔ บาตรสำเร็จด้วยศิลา สีเหมือนถั่วเขียว. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความกรุณาเทวดาทั้ง ๔ องค์นั้น จึงทรงรับไว้ยุบรวมเป็นบาตรเดียวทรงรับอาหารไว้ในบาตรสำเร็จด้วยศิลามีค่ามากนั้น เสวยแล้วทรงทำอนุโมทนา. 
         พาณิชสองพี่น้องนั้นถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ เป็นทเววาจิกอุบาสก. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาเสด็จไปต้นอชปาลนิโครธอีกประทับนั่ง ณ โคนต้นนิโครธ. พอประทับนั่ง ณ ที่นั้นเท่านั้นทรงพิจารณาว่า ธรรมที่ทรงบรรลุนั้นลุ่มลึก ก็เกิดพระปริวิตกที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงปฏิบัติมา ถึงอาการคือ ความมีพระพุทธประสงค์จะไม่ทรงแสดงธรรมโปรดผู้อื่น โดยนัยว่า ธรรมนี้เราบรรลุแล้ว. 
         ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทรงดำริว่า โลกย่อยยับกันละท่านเอย โลกย่อยยับกันละท่านเอย ก็พาท้าวสักกะ ท้าวสุยาม ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมานรดี ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีและมหาพรหมในหมื่นจักรวาล มายังสำนักพระศาสดา ทูลอ้อนวอนให้ทรงแสดงธรรม โดยนัยเป็นต้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงแสดงธรรม. 
         พระศาสดาประทานปฏิญาณรับแก่ท้าวสหัมบดีพรหมนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า ควรแสดงธรรมโปรดใครก่อนหนอ ทรงทราบว่า อาฬารดาบสและอุททกดาบสทำกาละเสียแล้ว ทรงปรารภภิกษุปัญจวัคคีย์ใส่ไว้ในพระหฤทัยว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะมากแก่เราดังนี้ ทรงนึกว่า เดี๋ยวนี้ ภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้นอยู่กันที่ไหนหนอ ก็ทรงทราบว่าที่อิสิปตนะ มิคทายวัน กรุงพาราณสี ทรงพระดำริว่า เราจักไปที่นั้นประกาศธรรมจักร แล้วเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ประทับอยู่ใกล้โพธิมัณฑสถานนั่นแหละ ๒-๓ วัน ในวันอาสาฬหบูรณมีทรงพระดำริจักเสด็จไปกรุงพาราณสี ทรงถือบาตรจีวรเดินทางได้ ๑๘ โยชน์ ในระหว่างทาง ทรงพบอาชีวกชื่ออุปกะเดินสวนทางมา ทรงบอกอาชีวกนั้นว่า พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า วันนั้นนั่นเอง เวลาเย็นเสด็จถึงอิสิปตนะ มิคทายวัน กรุงพาราณสี. 
         ฝ่ายภิกษุปัญจวัคคีย์เห็นพระตถาคตเสด็จมาแต่ไกล จึงทำการนัดหมายกันว่า ผู้มีอายุ ท่านพระสมณโคดมนี้เวียนมาเพื่อเป็นคนมักมากด้วยปัจจัย มีกายบริบูรณ์มีอินทรีย์เอิบอิ่ม มีผิวพรรณเพียงดังสีทองเสด็จมา เราจักไม่ทำการอภิวาทเป็นต้นแก่ท่านละ เพียงแต่ปูอาสนะไว้. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบวาระจิตของภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้นทรงย่อเมตตาจิต ที่สามารถแผ่ไปโดยไม่เจาะจงในสรรพสัตว์ มาเป็นแผ่เมตตาจิตโดยเจาะจง. 
         ภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้นอันเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าสัมผัสแล้ว เมื่อพระตถาคตเสด็จเข้าไปหา ก็ไม่อาจตั้งอยู่ในข้อนัดหมายของตนได้ พากันทำกิจทุกอย่างมีการกราบไหว้เป็นต้น. 
         ความพิศดารพึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้ในมหาวรรคแห่งวินัยเป็นต้น. 
         ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้นให้เข้าใจถึงความเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์แล้ว ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อย่างดีที่จัดไว้แล้วเมื่อกาลประกอบด้วยนักษัตรเดือนอุตตราสาธอยู่ อันพรหม ๑๘ โกฏิแวดล้อมแล้ว ทรงเรียกพระเถระปัญจวัคคีย์มาแล้วทรงแสดงพระธรรมจักกัปปวัตนสูตร. 
         บรรดาภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ท่านอัญญาโกณฑัญญะส่งญาณไปตามกระแสเทศนา จบพระสูตร ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมด้วยพรหม ๑๘ โกฏิ. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               บัดนี้เราเป็นพระสัมพุทธเจ้า ชื่อโคตมะ ผู้ยังสกุล 
         ศากยะให้เจริญ ตั้งความเพียรแล้ว บรรลุพระสัมโพธิ- 
         ญาณอันอุดม.
               อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว ก็ประกาศพระ- 
         ธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่พรหม ๑๘ โกฏิ.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อหํ ทรงแสดงถึงพระองค์เอง. 
         บทว่า เอตรหิ แปลว่า ในกาลนี้. 
         บทว่า สกฺยวฑฺฒโน แปลว่า ผู้ยังสกุลศากยะให้เจริญ. 
         ปาฐะว่า สกฺยปุงฺคโว ก็มี. ความเพียรท่านเรียกว่า ปธานะ. 
         บทว่า ปทหิตฺวาน ได้แก่ พากเพียร พยายาม. อธิบายว่า ทำทุกกรกิริยา. 
         บทว่า อฏฺฐารสนฺนํ โกฏีนํ ความว่า อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ ๑๘ โกฏิมีพระอัญญาโกณฑัญญะเถระเป็นประธานด้วยการตรัสพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ณ ป่าอิสิปตนะ มิคทายวัน กรุงพาราณสี. 
         บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอภิสมัยอันล่วงมาแล้ว เมื่อจะตรัสอภิสมัยที่ยังไม่มาถึง จึงตรัสคำเป็นต้นว่า 
               นอกจากนั้น เมื่อเราแสดงธรรม ในสมาคมแห่ง 
         มนุษย์และเทวดา อภิสมัยครั้งที่ ๒ จักมีแก่สัตว์นับ 
         จำนวนไม่ได้.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นรเทวสมาคเม ความว่า สมัยอื่นนอกจากนั้น ในมหามงคลสมาคม ท่ามกลางเทวดาและมนุษย์ในหมื่นจักรวาล เวลาจบมงคลสูตร อภิสมัยได้มีแก่มนุษย์และเทวดา เกินที่จะนับได้. 
         บทว่า ทุติยาภิสมโย อหุ ได้แก่ เหสฺสติ. เมื่อจะพึงกล่าวคำอนาคตกาล [ว่า เหสฺสติ] แต่ก็กล่าวคำเป็นอดีตกาลว่า อหุ เพราะตกกระแสแล้ว. หรือจะว่ากล่าวเป็นกาลวิปลาสก็ได้. 
         ในคำนอกจากนี้และคำเช่นนี้ ก็นัยนี้. 
         ต่อมาอีก ในการทรงแสดงราหุโลวาทสูตร ก็ทรงยังสัตว์เกินที่จะนับให้ดื่มน้ำอมฤตคืออภิสมัย. 
         นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               บัดนี้เราสั่งสอนราหุลลูกของเราในที่นี้นี่แล 
               อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็มีแก่สัตว์นับจำนวนไม่ได้. 
         ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีสาวกสันนิบาตประชุมพระสาวกครั้งเดียวเท่านั้น คือ การประชุมพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูป เหล่านี้คือชฎิลสามพี่น้องมีพระอุรุเวลกัสสปเป็นต้น ๑,๐๐๐ รูป พระอัครสาวกทั้งสอง ๒๕๐ รูป. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               เรามีสันนิบาตประชุมพระสาวกผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ 
               เพียงครั้งเดียว คือการประชุมภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป.
         แก้อรรถ         
         บรรดาเหล่านั้น บทว่า เอโกสิ ตัดบทเป็น เอโกว อาสิ มีครั้งเดียวเท่านั้น. 
         บทว่า อฑฺฒเตรสสตานํ แปลว่า สาวกของเรา ๑,๒๕๐ รูป. 
         บทว่า ภิกฺขูนาสิ ตัดบทเป็น ภิกฺขูนํ อาสิ
         พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางภิกษุสาวกเหล่านั้น ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในจาตุรงคสันนิบาต. 
         ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงพระประวัติของพระองค์ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า 
               เราผู้ไร้มลทินรุ่งเรืองอยู่ อยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ 
               ให้ทุกอย่างที่สาวกปรารถนา เหมือนแก้วจินดามณี 
               ให้ทุกอย่างที่ชนปรารถนาฉะนั้น.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิโรจมาโน ได้แก่ รุ่งเรืองอยู่ด้วยพระพุทธสิริอันไม่มีที่สุด. 
         บทว่า วิมโล ได้แก่ ผู้ปราศจากมลทินคือกิเลสมีราคะเป็นต้น. 
         บทว่า มณีว สพฺพกามโท ความว่า เราให้สุขวิเศษทั้งเป็นโลกิยะและโลกุตระทุกอย่างที่สาวกมุ่งมาดปรารถนา เหมือนแก้วจินดามณีให้ทุกอย่างที่ชนปรารถนา. 
         บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความปรารถนาที่สาวกปรารถนา จึงตรัสคำเป็นต้นว่า 
               ด้วยความเอ็นดูสัตว์ทั้งหลาย เราจึงประกาศสัจจะ ๔ 
               แก่ผู้จำนงหวังผล ผู้ต้องการละความพอใจในภพ.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผลํ ได้แก่ ผล ๔ อย่างมีโสดาปัตติผลเป็นต้น. 
         บทว่า ภวจฺฉนฺทชเหสินํ ได้แก่ ผู้ละภวตัณหา ผู้ต้องการละภวตัณหา. 
         บทว่า อนุกมฺปาย ได้แก่ ด้วยความเอ็นดู. 
         บัดนี้ ครั้นทรงทำการประกาศสัจจะ ๔ แล้ว เมื่อจะทรงแสดงอภิสมัยจึงตรัสว่า ทสวีสสหสฺสานํ เป็นต้น. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสวีสสหสฺสานํ ได้แก่ หนึ่งหมื่นและสองหมื่น. 
         อธิบายว่า โดยนัยเป็นต้นว่า หนึ่งหมื่นสองหมื่น. 
         คาถาที่ ๙ และที่ ๑๐ ความง่ายแล. 
         พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๑ และที่ ๑๒ ต่อไป. 
         แม้สองศัพท์ว่า อิทาเนตรหิ ความก็อันเดียวกัน ท่านกล่าวเหมือนบุรุษบุคคล โดยเป็นเวไนยสัตว์. 
         อีกนัยหนึ่ง บทว่า อิทานิ ได้แก่ ในกาลเมื่อเราอุบัติแล้ว. 
         บทว่า เอตรหิ ได้แก่ ในกาลเมื่อเราแสดงธรรมอยู่. 
         บทว่า อปตฺตมานสา ได้แก่ ผู้ยังไม่บรรลุพระอรหัตถผล. 
         บทว่า อริยญชสํ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘. 
         บทว่า โถมยนฺตา แปลว่า สรรเสริญ. 
         บทว่า พุชฺฌิสฺสนฺติ ความว่า จักแทงตลอดสัจธรรม ๔ ในอนาคตกาล. 
         บทว่า สํสารสริตํ ได้แก่ สาครคือสังสารวัฏ. 
         บัดนี้ เมื่อทรงแสดงถึงพระนครที่ทรงสมภพเป็นต้นของพระองค์ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า 
               เรามีนครชื่อกบิลพัสดุ์ มีพระชนกพระนามว่าพระเจ้า 
         สุทโธทนะ พระชนนีพระนามว่าพระนางมายาเทวี. 
               เราครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาทอย่างเยี่ยม 
         ๓ หลัง ชื่อสุจันทะ โกกนุทะและโกญจะ. 
               มีพระสนมกำนัลสี่หมื่นนาง มีอัครมเหสีพระนามว่า 
         ยโสธรา มีโอรสพระนามว่า ราหุล. 
               เราเห็นนิมิต ๔ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือม้า 
         บำเพ็ญเพียรทำทุกกรกิริยา ๖ ปี. 
               เราประกาศธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนะกรุงพาราณสี 
         เราเป็นพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคตมะ เป็นสรณะของ 
         สัตว์ทั้งปวง. 
               คู่ภิกษุอัครสาวกชื่อว่าพระโกลิตะและพระอุปติสสะ 
         มีพระพุทธอุปัฏฐากประจำสำนักชื่อว่าพระอานันทะ มี 
         ภิกษุณีอัครสาวิกาชื่อว่าพระเขมาและพระอุบลวรรณา. 
               มีอัครอุปัฏฐากชื่อว่าจิตตะและหัตถกะอาฬวกะ มี 
         อัครอุปัฏฐายิกาชื่อว่านันทมาตาและอุตตรา. 
               เราบรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดม ณ โคนโพธิพฤกษ์ 
         ชื่อต้นอัสสัตถะ มีรัศมีกายวาหนึ่ง ประจำ กาย สูง ๑๖ ศอก. 
               เรามีอายุน้อย ๑๐๐ ปี ในบัดนี้ เมื่อดำรงชีวิตอยู่ 
         ประมาณเท่านั้น ก็ยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ. 
               เราตั้งคบเพลิง คือธรรมไว้ปลุกชนที่เกิดมาภายหลัง 
         ให้ตื่น ไม่นานนัก เราพร้อมทั้งสงฆ์สาวกก็จักปรินิพพาน 
         ในที่นี้นี่แหละ เพราะสิ้นอาหาร เหมือนไฟดับเพราะสิ้นเชื้อ 
         ฉะนั้น.
         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ทุกอย่างว่า เรามีปราสาท ๓ หลัง ชื่อสุจันทะ โกกนุทะและโกญจะ มี ๙ ชั้น ๗ ชั้นและ ๕ ชั้น มีสนมนาฏกะสี่หมื่นนาง มีอัครมเหสีพระนามว่ายโสธรา เรานั้นเห็นนิมิต ๔ ออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือม้า 
         แต่นั้นก็ตั้งความเพียร ๖ ปี ในวันวิสาขบูรณมีก็บริโภคข้าวมธุปายาสที่ธิดาของเสนานิกุฏุมพี ณ อุรุเวลาเสนานิคม ชื่อสุชาดาผู้เกิดความเลื่อมใสถวายแล้ว พักกลางวัน ณ สาลวัน เวลาเย็นรับหญ้า ๘ กำที่คนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะ ถวายแล้ว เข้าไปยังโคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ กำจัดกองกำลังของมาร ณ ที่นั้น บรรลุพระสัมโพธิญาณ.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺธึ สาวกสงฺฆโต ก็คือ สทฺธึ สาวกสงฺเฆน ความว่า พร้อมทั้งสงฆ์สาวก. 
         บทว่า ปรินิพฺพิสฺสํ ก็คือ ปรินิพพายิสฺสามิ แปลว่า จักปรินิพพาน. 
         บทว่า อคฺคีวาหาร สงฺขยา ก็คือ อคฺคิ วิย อินฺธนกฺขเยน ดุจไฟดับเพราะสิ้นเชื้อฉะนั้น. ความว่า แม้เราไม่มีอุปาทานก็จักปรินิพพาน เหมือนไฟหมดเชื้อก็ดับฉะนั้น. 
         บทว่า ตานิ จ อตุลเตชานิ ความว่า คู่พระอัครสาวกเป็นต้นที่มีเดชไม่มีผู้เสมอเหมือนเหล่านั้น. 
         บทว่า อิมานิ จ ทสพลานิ ความว่า ทศพลที่มีในพระสรีระเหล่านั้น. 
         บทว่า คุณธารโณ เทโห ความว่า และพระวรกายที่ทรงคุณมีพระอสาธารณญาณ ๖ เป็นต้นนี้. 
         บทว่า ตมนฺตรหิสฺสนฺติ ความว่า คุณลักษณะดังกล่าวมานี้ จักอันตรธาน สูญหายไปสิ้น. 
         ศัพท์ว่า นนุ ในคำว่า นนุ ริตฺตา สพฺพสงฺขารา นี้เป็นนิบาตลงในอรรถว่าอนุมัติคล้อยตาม. 
         บทว่า ริตฺตา ได้แก่ ชื่อว่าเปล่า เพราะเว้นจากสาระคือเที่ยง สาระคือยั่งยืน ก็ทั้งหมดนั่นแลอันปัจจัยปรุงแต่งมีอันสิ้นไปเป็นธรรมดา เสื่อมไปเป็นธรรมดา คลายไปเป็นธรรมดา ดับไปเป็นธรรมดา. 
               ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะมีแล้วไม่มี. 
               ชื่อว่าทุกข์ เพราะอันความเกิดเป็นต้นบีบคั้นแล้ว 
               ชื่อว่าอนัตตา เพราะไม่อยู่ในอำนาจ. 
         เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงยกไตรลักษณ์ลงในสังขารทั้งหลายแล้วเจริญวิปัสสนา จงบรรลุพระนิพพานที่ไม่ตาย ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ไม่จุติ นี้เป็นอนุศาสนี เป็นคำสั่งสอนของเรา สำหรับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด. 
         ได้ยินว่า ในเวลาจบเทศนา จิตของเทวดาแสนโกฏิก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่นส่วนเทวดาที่ตั้งอยู่ในมรรคผลนอกนั้น เกินที่จะนับจำนวนได้. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรมในอากาศ ตรัสพุทธวงศ์แม้ทั้งสิ้น กำหนดด้วยกัป นามและชาติเป็นต้นอย่างนี้แล้ว ยังหมู่พระประยูรญาติให้ถวายบังคมแล้วลงจากอากาศ ประทับนั่งเหนือบวรพุทธอาสน์ที่จัดไว้แล้ว. 
         เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว สมาคมพระประยูรญาติก็ถึงความสูงสุดด้วยประการฉะนี้ พระประยูรญาติทุกพระองค์ก็ประทับนั่งมีจิตมีอารมณ์เดียว. 
         แต่นั้น มหาเมฆก็หลั่งฝนโบกขรพรรษลงมา ขณะนั้นเอง น้ำก็ส่งเสียงร้องไหลไปภายใต้ ผู้ต้องการจะเปียกก็เปียก ผู้ไม่ต้องการเปียกแม้แต่หยาดน้ำก็ไม่ตกลงที่ตัว พระประยูรญาติทั้งหมดเห็นความอัศจรรย์นั้นก็อัศจรรย์ประหลาดใจ พากันกล่าวว่า โอ น่าอัศจรรย์ โอ น่าประหลาดใจหนอ.
         พระศาสดาทรงสดับคำนั้นแล้วตรัสว่า มิใช่ฝนโบกขรพรรษตกลงในสมาคมพระประยูรญาติในปัจจุบันนี้เท่านั้น แม้ในอดีตกาลก็ตกลงมาเหมือนกัน. เพราะเหตุแห่งอัตถุปปัตตินี้ จึงตรัสเวสสันดรชาดก. 
         พระธรรมเทศนานั้น เกิดประโยชน์แล้ว. 
         ต่อนั้น พระศาสดาเสด็จลุกจากอาสนะเข้าพระวิหาร.
                          จบพรรณนาวงศ์พระโคดมพุทธเจ้า         
                          แห่งอรรถกถาพุทธวงศ์ ชื่อมธุรัตถวิสาสินีด้วยประการฉะนี้

[ ๒/๓ ] อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๕. โคตมพุทธวงศ์

 อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ . โคตมพุทธวงศ์ อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] 
         แม้พระโพธิสัตว์ก็ขึ้นทรงรถนั้นเสด็จเข้าสู่พระนคร ด้วยราชบริพารหมู่ใหญ่ ด้วยสิริโสภาคย์อันน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก. 
         สมัยนั้น นางกษัตริย์พระนามว่ากีสาโคตมี เพราะไม่ทรามด้วยพระรูปสิริและพระคุณสมบัติ เสด็จไปตามพื้นปราสาทชั้นบน ทรงเห็นพระรูปสิริของพระโพธิสัตว์กำลังเสด็จเข้าสู่พระนคร ทรงเกิดปิติโสมนัสขึ้นเอง ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า 
นิพฺพุตา นูน สา มาตา นิพฺพุโต นูน โส ปิตา 
นิพฺพุตา นูน สา นารี ยสฺสายํ อีทิโส ปติ. 
              บุรุษเช่นนี้เป็นบุตรของมารดาผู้ใด มารดาผู้นั้นก็ 
         เย็นใจแน่ เป็นบุตรของบิดาผู้ใด บิดาผู้นั้นก็เย็นใจแน่ 
         เป็นสามีของนารีผู้ใด นารีผู้นั้นก็เย็นใจแน่. 
         พระโพธิสัตว์ทรงสดับอุทานนั้นแล้ว ทรงดำริว่า สตรีผู้นี้ให้เราได้ยินถ้อยคำที่น่าฟังอย่างดี ด้วยว่าเราก็กำลังเที่ยวแสวงหานิพพาน วันนี้นี่แหละควรที่เราจะละทิ้งฆราวาสวิสัยแล้วออกบวชแสวงหานิพพาน ทรงเปลื้องแก้วมุกดาหารออกจากพระศอ ทรงส่งแก้วมุกดาหารที่ทำความยินดีอย่างยิ่ง มีค่านับแสน แด่เจ้าหญิงกีสาโคตมี ด้วยหมายพระหฤทัยว่า แก้วมุกดาหารนี้จงเป็นสักการะส่วนบูชาอาจารย์สำหรับเจ้าหญิงพระองค์นี้. 
         เจ้าหญิงกีสาโคตมีนั้นเกิดโสมนัสว่า สิทธัตถะกุมารมีจิตปฏิพัทธ์ในเรา ทรงส่งบรรณาการมาประทาน. 
         ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นปราสาทที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ด้วยเหตุให้เกิดสิริยิ่งใหญ่ บรรทมเหนือพระที่บรรทม ในทันใดนั่นเอง เหล่าสตรีรุ่นๆ ทั้งหลายผู้มีดวงหน้างามเสมือนดวงจันทร์เต็มดวง มีริมฝีปากแดงเสมือนผลตำลึงสุก มีฟันขาวสะอาดเรียบมีระเบียบไม่มีร่อง มีดวงตาเขียวคราม มีมวยผม มีคิ้วโก่งเขียวจัดดังดอกอัญชัน มีเต้านมเอิบอิ่มเต็มเสมอเป็นระเบียบ มีตะโพกส่วนหน้าส่วนหลังผายคล่องแคล่ว ดังมณีเมขลาประดับด้วยทองและเงิน ทำความรื่นรมย์ มีลำขาทั้งคู่เฉกเช่นงวงกุญชร ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้องและบรรเลง มีรูปโฉมไฉไลเช่นเทพธิดา ถือดนตรีที่มีเสียงไพเราะ พากันมาห้อมล้อมพระมหาบุรุษนั้นให้ทรงรื่นเริง ประกอบการฟ้อน การขับร้องและบรรเลง. 
         แต่พระโพธิสัตว์ไม่ทรงยินดียิ่งในการฟ้อนการขับร้องเป็นต้น เพราะทรงมีจิตหน่ายในกิเลสทั้งหลาย บรรทมหลับไปครู่หนึ่ง. 
         สตรีเหล่านั้นเห็นพระโพธิสัตว์นั้น คิดว่า พวกเราประกอบการฟ้อนเป็นต้นเพื่อประโยชน์แก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นก็บรรทมหลับไปแล้ว บัดนี้ พวกเราจะลำบากเพื่อประโยชน์อะไรเล่า แล้วก็นอนทับดนตรีที่ต่างถือกันอยู่หลับไป ประทีปน้ำมันหอมก็ยังติดโพลงอยู่ พระโพธิสัตว์ทรงตื่นบรรทม ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือหลังพระที่บรรทม ทรงเห็นสตรีเหล่านั้นนอนทับเครื่องดนตรี มีน้ำลายไหล มีแก้มและเนื้อตัวสกปรก บางพวกกัดฟัน บางพวกกรน บางพวกละเมอ บางพวกอ้าปาก บางพวกผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ปรากฏที่น่ากลัวที่คับแคบ บางพวกมีผมปล่อยยุ่ง นอนทรงรูปเหมาะแก่ป่าช้า. 
         พระมหาสัตว์ทรงเห็นอาการแปลกๆ ของสตรีเหล่านั้น ก็ยิ่งทรงมีจิตหน่ายในกามทั้งหลายสุดประมาณ พื้นปราสาทที่ประดับตกแต่งแม้งดงามเสมือนภพท้าวสหัสสนัยน์ ก็ปรากฏแก่พระมหาสัตว์นั้น ปฏิกูลอย่างยิ่ง เหมือนป่าช้าผีดิบที่เต็มด้วยซากศพสรีระของคนตายที่เขาทอดทิ้งไว้ แม้ภพทั้งสามก็ปรากฏเสมือนภพที่ไฟไหม้ ทรงพร่ำบ่นว่า วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ พระหฤทัยก็น้อมไปเพื่อบรรพชาอย่างยิ่ง. 
         พระองค์ทรงดำริว่าวันนี้นี่แหละ เราควรออกมหาภิเนษกรมณ์ทรงลุกจากที่พระบรรทม เสด็จไปใกล้ประตู ตรัสถามว่าใครอยู่ที่นั่น. นายฉันนะนอนศีรษะใกล้ธรณีประตู ทูลว่า ข้าพระบาทฉันนะ พระลูกเจ้า. 
         ลำดับนั้น พระมหาบุรุษตรัสว่า วันนี้เราประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมณ์ เจ้าอย่าบอกใคร จงเตรียมสินธพเร็วฝีเท้าจัดไว้ตัวหนึ่งนะ. 
         นายฉันนะนั้นทูลรับพระดำรัสแล้วถือเครื่องประกอบม้าไปยังโรงม้า พบม้าฝีเท้าดีชื่อกัณฐกะ ย่ำยีข้าศึกได้ ยืน ณ ภูมิภาคน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ภายใต้เพดานแผ่นดอกมะลิ เมื่อประทีปน้ำมันหอมยังลุกโพลงอยู่คิดว่า วันนี้เราควรเตรียมม้ามงคลตัวนี้เพื่อพระลูกเจ้าออกอภิเนษกรมณ์ แล้วก็เตรียมม้ากัณฐกะไว้. 
         ม้ากัณฐกะนั้นเมื่อถูกจัดเตรียมไว้ก็รู้ว่า การจัดเตรียมนี้หนักนัก ไม่เหมือนการจัดเตรียมในเวลาเสด็จไปเล่นสวน วันอื่นๆ พระลูกเจ้าจักออกมหาภิเนษกรมณ์ในวันนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย. แต่นั้น ม้ากัณฐกะก็มีใจยินดีร้องดังลั่น เสียงร้องนั้นกังวาลไปทั่วกรุงกบิลพัสดุ์ แต่เทวดาปิดกั้นไว้ไม่ให้ใครๆ ได้ยิน. 
         พระโพธิสัตว์คิดว่าเราจักดูลูกเสียก่อน จึงลุกจากที่ประทับยืนอยู่ เสด็จไปยังที่ประทับอยู่ของพระมารดาพระราหุล ทรงเปิดประตูห้อง ขณะนั้นประทีปน้ำมันหอมในห้องยังติดโพลงอยู่ พระมารดาพระราหุลบรรทมวางพระหัตถ์ไว้เหนือกระหม่อมพระโอรสบนที่บรรทม อันเกลื่อนกล่นด้วยดอกมะลิเป็นต้นเป็นอัมพณะ. 
         พระโพธิสัตว์วางพระบาทที่ธรณีประตู ประทับยืนทรงมองดู ทรงดำริว่า ถ้าเราจักยกพระหัตถ์ของพระเทวีออกไปแล้วจับลูกเรา พระเทวีก็จักตื่นเมื่อเป็นดั่งนั้น อภิเนษกรมณ์ของเราก็จักเป็นอันตราย เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงค่อยมาดูลูกเรา เสด็จลงจากพื้นปราสาทแล้วเสด็จเข้าไปใกล้ม้าตรัสอย่างนี้ว่า พ่อกัณฐกะ วันนี้ เจ้าต้องให้เราข้ามไปราตรีหนึ่ง เราอาศัยเจ้าแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า ยังโลกทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆะ แต่นั้นก็ทรงโดดขึ้นหลังม้ากัณฐกะ. 
         ม้ากัณฐะโดยส่วนยาวนับตั้งแต่คอก็ยาว ๑๘ ศอก ประกอบด้วยส่วนสูงพอเหมาะกับส่วนยาวนั้น ถึงพร้อมด้วยรูป ฝีเท้าและกำลังอันเลิศ ขาวปลอด สีสรรน่าดูเสมือนสังข์ขัด. 
         แต่นั้น พระโพธิสัตว์ประทับอยู่บนหลังม้าทรง โปรดให้นายฉันนะจับหางม้า ถึงประตูใหญ่แห่งพระนครตอนครึ่งคืน. 
         ครั้งนั้น แต่ก่อน พระราชาโปรดให้จัดบุรุษไว้คอยเปิดประตูๆ ละพันคน บรรดาบานประตู ๒ ประตู เพื่อห้ามพระโพธิสัตว์เสด็จไป ทรงวางบุรุษไว้เป็นอันมาก กองรักษาการณ์ ณ บานประตูนั้น. 
         ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ทรงกำลังเท่ากับบุรุษจำนวนแสนโกฏิ เท่ากับช้างจำนวนพันโกฏิ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงทรงดำริว่า ผิว่า ประตูไม่ยอมเปิด วันนี้เราจะนั่งหลังกัณฐกะ ให้นายฉันนะจับหาง เอาสองขาบีบกัณฐกะ โดดขึ้นผ่านกำแพง ๑๘ ศอก ไปพร้อมกับฉันนะเลย. 
         นายฉันนะก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราก็จะเอาพระลูกเจ้าขึ้นบนคอ เหวี่ยงกัณฐกะด้วยมือขวา หนีบไว้ที่รักแร้จะโดดขึ้นผ่านกำแพงไปได้. 
         ม้ากัณฐกะก็คิดว่า เมื่อประตูไม่เปิด เราก็จักประดิษฐานพระลูกเจ้าตามที่ประทับนั่งอยู่ โดดขึ้นไปพร้อมกับนายฉันนะที่จับหางไว้ โดดไว้ข้ามหน้ากำแพงไป. 
         ทั้งสามคนคิดเหมือนกันอย่างนี้ เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ประตูก็ช่วยกันเปิดประตูใหญ่. 
         ขณะนั้น มารผู้มีบาปคิดว่าจักให้พระมหาสัตว์กลับไป จึงมายืนอยู่กลางอากาศกล่าวว่า 
มา นิกฺขม มหาวีร อิโต เต สตฺตเม ทิเน 
ทิพฺพํ ตุ จกฺกรตนํ อทฺธา ปาตุ ภวิสฺสติ. 
ท่านมหาวีระ อย่าออกอภิเนษกรมณ์เลย นับแต่นี้ 
ไป ๗ วัน จักรรัตนะทิพย์จะปรากฏแก่ท่านแน่นอน.
         ท่านจักครองราชย์แห่งทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร กลับเสียเถิด ท่านผู้นิรทุกข์.
         พระมหาบุรุษตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร. 
         มารตอบว่า เราเป็นผู้มีอำนาจ [มาร]. 
         พระมหาบุรุษตรัสว่า 
ชานามหํ มหาราช    มยฺหํ จกฺกสฺส สมฺภวํ
 อนตฺถิโกหํ รชฺเชน    คจฺฉ ตฺวํ มาร มา อิธ. 
 ดูก่อนมหาราช เรารู้ว่าจักกรัตนะจะปรากฏแก่เรา 
 แต่เราไม่ต้องการจักกวัตติราชย์ ไปเสียเถิดมาร 
 อย่ามาในที่นี้เลย. 

 สกลํ ทสสหสฺสมฺปิ         โลกธาตุมหํ ปน 
 อุนฺนาเทตฺวา ภวิสฺสามิ    พุทฺโธ โลเก วินายโก. 
 แต่เราจักเป็นพระพุทธเจ้า ผู้นำพิเศษในโลก บันลือลั่นไปทั่วหมื่นโลกธาตุ.
         มารนั้นก็อันตรธานไปในที่นั้นนั่นเอง. 
         เวลาที่พระชนมายุ ๒๙ พรรษา พระมหาสัตว์ทรงทิ้งจักรวรรดิราชย์ที่ตกอยู่ในพระหัตถ์ ไม่ทรงเยื่อใยเหมือนก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์อันเป็นสิรินิวาสแห่งจักรพรรดิ เมื่อดาวนักษัตรอุตตราสาฬหะเพ็ญเดือนอาสาฬหะ เสด็จออกจากพระนคร ได้มีพระประสงค์จะทรงแลดูพระนคร ในลำดับแห่งความตรึกนั่นเอง ภูมิประเทศนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเหมือนจักรแป้นหมุนทำภาชนะดินแก่พระองค์. 
         พระมหาสัตว์ทรงยืนอยู่อย่างเดิม ทอดพระเนตรกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงกระตุ้นม้ากัณฐกะให้บ่ายหน้าไปตามทางที่พึงไป แสดงเจดียสถานชื่อกัณฐกนิวัตตนะ ที่ม้ากัณฐกะหันหน้ากลับ ณ ภูมิประเทศนั้น เสด็จไปด้วยสักการะยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุให้เกิดสิริอันโอฬาร. 
         ครั้งนั้น เมื่อพระมหาสัตว์กำลังเสด็จไป เทวดาทั้งหลายชูคบเพลิงจำนวนหกล้านดวงข้างหน้าพระมหาสัตว์นั้น ข้างหลังก็หกล้านดวงเหมือนกัน ข้างขวาก็หกล้านดวง ข้างซ้ายก็เหมือนกัน เทวดาพวกอื่นๆ อีกก็สักการะด้วยพวงมาลัยดอกไม้หอม จุรณจันทน์ พัดจามรและธงผ้าห้อมล้อมไป สังคีตทิพย์และดนตรีเป็นอันมากก็บรรเลงได้เอง. 
         พระโพธิสัตว์เสด็จไปด้วยเหตุที่ให้เกิดสิริอย่างนี้ เสด็จหนทาง ๓๐ โยชน์ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร ราตรีเดียวเท่านั้นก็ถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา. 
         ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงยืน ณ ริมฝั่งแม่น้ำ ตรัสถามนายฉันนะว่าแม่น้ำนี้ชื่อไร ทูลตอบว่า แม่น้ำอโนมา ทรงใช้ส้นพระบาท กระแทกม้าให้สัญญาณแก่ม้า ม้าก็โดดไปยืนอยู่ริมฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำซึ่งกว้าง ๘ อุสภะ. พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนที่หาดทรายเสมือนกองแก้วมุกดา เรียกนายฉันนะมาตรัสสั่งว่า สหายฉันนะ เจ้าจงนำอาภรณ์ของเรากับกัณฐกะกลับไป เราจักบวช. 
         นายฉันนะทูลว่า แม้ข้าพระบาทก็จักบวช พระลูกเจ้า. 
         พระโพธิสัตว์ตรัสว่า เจ้ายังบวชไม่ได้ เจ้าต้องกลับไป ทรงห้าม ๓ ครั้งแล้วทรงมอบอาภรณ์และม้ากัณฐกะแล้วทรงดำริว่า ผมของเราอย่างนี้ไม่เหมาะแก่สมณะ จำจักตัดผมเหล่านั้นด้วยพระขรรค์ ทรงจับพระขรรค์อันคมกริบด้วยพระหัตถ์ขวา รวบพระจุฬาพร้อมด้วยพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้ายแล้วตัด เหลือพระเกศาสององคุลีเวียนขวาติดพระเศียร พระเกสาเหล่านั้นก็มีประมาณเท่านั้น จนตลอดพระชนมชีพ ส่วนพระมัสสุก็เหมาะแก่ประมาณพระเกสานั้น แต่พระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องปลงพระเกศาและพระมัสสุอีกเลย. 
         พระโพธิสัตว์ทรงรวบพระจุฬาพร้อมด้วยพระเมาลี อธิษฐานว่า ถ้าเราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ผมนี้จงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าไม่เป็นไซร้ ก็จงหล่นลงเหนือพื้นดิน แล้วเหวี่ยงไปในอากาศ กำพระจุฬามณีนั้น ไประยะประมาณโยชน์หนึ่งแล้วก็ตั้งอยู่ในอากาศ. 
         ลำดับนั้น ท้าวสักกะเทวราชทรงตรวจดูด้วยจักษุทิพย์ ทรงเอาผอบรัตนะขนาดโยชน์หนึ่งรับกำพระจุฬามณีนั้น แล้วทรงสถาปนาเป็นพระจุฬามณีเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขนาด ๓ โยชน์ไว้ในภพดาวดึงส์.
         ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า 
                     เฉตฺวาน โมลึ วรคนฺธวาสิตํ 
                     เวหายสํ อุกฺขิปิ อคฺคปุคฺคโล 
                     สหสฺสเนตฺโต สิรสา ปฏิคฺคหิ 
                     สุวณฺณจงฺโกฏวเรน วาสโว. 
        พระผู้เป็นบุคคลผู้เลิศทรงตัดพระเมาลีที่อบด้วยของหอม 
        อย่างดี ทรงเหวี่ยงขึ้นสู่อากาศ ท้าววาสวะสหัสสนัยน์ทรง 
             เอาผอบทองอย่างดีรับไว้ด้วยเศียรเกล้า. 
         พระโพธิสัตว์ทรงดำริอีกว่า ผ้ากาสีเหล่านี้มีค่ามาก ไม่เหมาะแก่สมณะของเรา. 
         ลำดับนั้น ฆฏิการมหาพรหม สหายเก่าครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าของพระโพธิสัตว์นั้น ดำริโดยมิตรภาพที่ไม่ถึงความพินาศตลอดพุทธันดรหนึ่งว่า วันนี้ สหายเราออกอภิเนษกรมณ์ จำเราจักถือสมณบริขารไปเพื่อสหายนั้น จึงนำบริขาร ๘ เหล่านี้ไปถวาย คือ 
ติจีวรญฺจ ปตฺโต จ       วาสี สูจิ จ พนฺธนํ 
 ปริสฺสาวนญฺจ อฏฺเฐเต       ยุตฺตโยคสฺส ภิกฺขุโน. 
 บริขาร ๘ เหล่านี้คือ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม 
 รัดประคดและผ้ากรองน้ำ เป็นของภิกษุผู้ 
 ประกอบความเพียร.
พระมหาบุรุษทรงบรรพชา
         พระมหาบุรุษทรงครองผ้าธงชัยแห่งพระอรหันต์ ถือเพศบรรพชาสูงสุด ทรงเหวี่ยงคู่ผ้า [นุ่งห่ม] ไปในอากาศ. ท้าวมหาพรหมรับคู่ผ้านั้นแล้วสร้างเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะขนาด ๑๒ โยชน์ในพรหมโลก บรรจุคู่ผ้านั้นไว้ข้างใน. 
         ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสกะนายฉันนะว่า ฉันนะเจ้าจงบอกแก่พระชนกพระชนนีตามคำของเราว่าเราสบายดี แล้วทรงส่งไป. 
         แต่นั้น นายฉันนะก็ถวายบังคมพระมหาบุรุษ ทำประทักษิณแล้วหลีกไป. ส่วนม้ากัณฐกะยืนฟังคำของพระโพธิสัตว์ผู้ปรึกษากับนายฉันนะ รู้ว่า บัดนี้เราจะไม่เห็นนายของเราอีก พอละสายตาของพระมหาบุรุษนั้น ไม่อาจทนวิปโยคทุกข์ได้ ก็หัวใจแตกตายไปบังเกิดเป็นเทพบุตรชื่อกัณฐกะ ในภพดาวดึงส์ ซึ่งเป็นภพที่ข้าศึกของเทวดาครอบงำได้แสนยาก. 
         การอุบัติของกัณฐกะเทพบุตรนั้น พึงถือเอาตามอรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อวิมลัตถวิลาสินี. 
         ความโศกได้มีแก่นายฉันนะเป็นครั้งที่ ๑ เพราะความตายของม้ากัณฐกะ นายฉันนะถูกความโศกครั้งที่ ๒ เบียดเบียนก็ร้องไห้คร่ำครวญ เดินทางไปด้วยความทุกข์. 
         ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงผนวชแล้ว ในประเทศนั้นนั่นแล มีสวนมะม่วงชื่ออนุปิยะ อยู่ จึงทรงยับยั้งอยู่ ณ อนุปิยอัมพวันนั้น ๗ วัน ด้วยความสุขในบรรพชาภายหลังจากนั้น ก็ทรงสำรวมด้วยผ้ากาสาวะอันดี เหมือนดวงรัชนีกรเต็มดวง สำรวมอยู่ในหมู่เมฆที่อาบด้วยแสงสนธยา แม้ลำพังพระองค์ก็รุ่งเรืองเหมือนชนเป็นอันมากแวดล้อมแล้ว ทรงทำบรรพชานั้นเหมือนน้ำอมฤตต้องตาของเหล่ามฤคและปักษีที่อยู่ป่า ทรงเที่ยวไปพระองค์เดียวเหมือนราชสีห์ ทรงเป็นนรสีหะ เหมือนควาญผู้รู้จักลีลาของช้างตกมันยังแผ่นดินให้เบาด้วยฝ่าเท้า เสด็จเดินทาง ๓๐ โยชน์ วันเดียวเท่านั้น ทรงข้ามแม่น้ำคงคาซึ่งคลั่งด้วยฤดูและคลื่น แต่ไม่ขัดข้อง เสด็จเข้าสู่นครราชคฤห์ เรือนหลวงอันแพรวพราวด้วยประกายแสงแห่งรัตนะ. 
         ครั้นเสด็จเข้าไปแล้วก็เที่ยวแสวงหาภิกษาตามลำดับตรอก. ทั่วทั้งนครนั้นก็สะเทือนเพราะการเห็นพระรูปของพระโพธิสัตว์ เหมือนนครนั้นสะเทือน เมื่อช้างธนบาลเข้าไป เหมือนเทวนครสะเทือน เมื่อจอมอสูรเข้าไป. 
         เมื่อพระมหาบุรุษเสด็จเที่ยวแสวงหาภิกษา พวกมนุษย์ชาวพระนครเกิดความอัศจรรย์สำหรับผู้เกิดปิติโสมนัส เพราะเห็นพระรูปของพระมหาสัตว์ ก็ได้มีใจนึกถึงการเห็นพระรูปของพระโพธิสัตว์. 
         บรรดามนุษย์เหล่านั้น มนุษย์ผู้หนึ่งกล่าวกะมนุษย์ผู้หนึ่งอย่างนี้ว่า ท่านเอย เหตุอะไรหนอ จันทรเพ็ญที่มีช่อรัศมีที่ถูกภัยคือราหูกำบังแล้ว ยังมาสู่มนุษยโลกได้. มนุษย์อื่นนอกจากนั้นก็ยิ้มพูดอย่างนี้ว่า พูดอะไรกันสหาย ท่านเคยเห็นจันทร์เพ็ญมาสู่มนุษยโลกกันเมื่อไร นั่นกามเทพมีดอกไม้เป็นธงมิใช่หรือ ท่านถือเพศอื่นเห็นความเจริญของลีลาอย่างยิ่งของมหาราชของเราและชาวเมือง จึงเสด็จมาเล่นด้วย. คนอื่นนอกจากนั้นก็ยิ้มพูดอย่างนี้ว่า ท่านเอย ท่านเป็นบ้ากันแล้วหรือ นั่นพระอินทรผู้มีสรีระร้อนเรืองด้วยความโหมของเพลิงยัญอันเรืองแรง ผู้เป็นท้าวสหัสนัยน์ เป็นเจ้าแห่งเทวดามาในที่นี้ด้วยความสำคัญว่าอมรปุระ. คนอื่นนอกจากนั้นหัวร่อนิดหน่อยแล้วกล่าวว่า ท่านเอย พูดอะไรกัน ท่านผิดทั้งคำต้นคำหลัง ท่านผู้นั้นมีพันตาที่ไหน มีวชิราวุธที่ไหน มีช้างเอราวัณที่ไหน ที่แท้ ท่านผู้นั้นเป็นพรหม ท่านรู้ว่าคนที่เป็นพราหมณ์ประมาทกันจึงมาเพื่อประกอบไว้ในพระเวทแล เวทางค์เป็นต้นต่างหากเล่า. 
         คนอื่นที่เป็นบัณฑิตก็ปรามคนเหล่านั้นทั้งหมดพูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้มิใช่พระจันทร์เพ็ญ มิใช่กามเทพ มิใช่ท้าวสหัสนัยน์ มิใช่พรหมทั้งนั้น แต่ท่านผู้นี้เป็นอัจฉริยมนุษย์ จะเป็นศาสดาผู้นำโลกทั้งปวง. 
         เมื่อชาวนครเจรจากันอยู่อย่างนี้ พวกราชบุรุษก็กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระเจ้าพิมพิสารว่า ข้าแต่สมมติเทพ เทพ คนธรรพ์หรือนาคราช ยักษ์ หรือใครหนอเที่ยวแสวงหาภิกษาในนครของเรา. 
         พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงยืน ณ ประสาทชั้นบน ทรงเห็นพระมหาบุรุษเกิดจิตอัศจรรย์ไม่เคยมี ทรงสั่งพวกราชบุรุษว่า พวกท่านจงไปทดสอบท่านผู้นั้น ถ้าเป็นอมนุษย์ก็จักออกจากนครหายไป ถ้าเป็นเทวดาก็จักไปทางอากาศ ถ้าเป็นนาคราชก็จักมุดดิน ถ้าเป็นมนุษย์ก็จักบริโภคภิกษาตามที่ได้มา. 
         ฝ่ายพระมหาบุรุษมีอินทรีย์สงบ มีพระหฤทัยสงบเป็นประหนึ่งดึงดูดสายตามหาชน เพราะความงามแห่งพระรูป ทรงแลชั่วแอก รวบรวมอาหารระคนกัน พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ เสด็จออกจากนครทางประตูที่เสด็จเข้ามา บ่ายพระพักตร์ไปทางตะวันออกแห่งร่มเงาภูเขาปัณฑวะ ประทับนั่งพิจารณาอาหาร ไม่มีอาการผิดปกติเสวย. 
         แต่นั้น พวกราชบุรุษก็ไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา. 
         ลำดับนั้น พระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธพระนามว่าพิมพิสาร ผู้อันเหล่าพาลชนนึกถึงได้ยาก ผู้มีเขาพระเมรุและเขามันทาระเป็นสาระ ผู้ทรงเป็นแก่นสารแห่งสัตว์ ทรงมีความตื่นเต้นเพราะการเห็นที่เกิดเพราะได้สดับคุณของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ทรงรีบเสด็จออกจากพระนคร บ่ายพระพักตร์ตรงภูเขาปัณฑวะ เสด็จไปแล้วลงจากพระราชยาน เสด็จไปยังสำนักพระโพธิสัตว์ อันพระโพธิสัตว์ทรงอนุญาตแล้วประทับนั่งเหนือพื้นศิลา อันเย็นด้วยความรักของชนผู้เป็นพวกพ้องทรงเลื่อมใสในพระอิริยาบถของพระโพธิสัตว์ ทรงได้รับปฏิสันถารแล้ว ทรงถามถึงนามและโคตร ทรงมอบความเป็นใหญ่ทุกอย่างแด่พระโพธิสัตว์. 
         พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ข้าแต่พระมหาราช หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยวัตถุกามหรือกิเลสกาม หม่อมฉันปรารถนาแต่พระปรมาภิสัมโพธิญาณ จึงออกบวช. 
         พระราชาแม้ทรงอ้อนวอนหลายประการ ก็ไม่ได้น้ำพระหฤทัยของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าแน่ จึงทูลว่า ก็พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้วโปรดเสด็จมาแคว้นของหม่อมฉันก่อน แล้วเสด็จเข้าสู่พระนคร. 
     อถ ราชคหํ วรราชคหํ 
     นรราชวเร นครํ ตุ คเต 
     คิริราชวโร มุนิราชวโร 
          มิคราชคโต สุคโตปิ คโต. 
     เมื่อพระนรราชผู้ประเสริฐ เสด็จสู่กรุงราชคฤห์ 
ซึ่งมีเรือนหลวงอย่างประเสริฐ พระจอมคีรีผู้ประเสริฐ 
พระจอมมุนีผู้ประเสริฐ เสด็จไปเป็นเช่นพระยามฤค 
[ราชสีห์] เสด็จไปแล้ว ชื่อว่าเสด็จไปดีแล้ว. 
         ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสด็จจาริกไปตามลำดับ เข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ยังสมาบัติ ๘ ให้เกิดแล้ว ทรงดำริว่า ทางนี้ไม่ใช่ทางแห่งพระโพธิญาณ ไม่ทรงใส่พระหฤทัยถึงสมาปัตติภาวนานั้นมีพระประสงค์จะทรงตั้งความเพียร จึงเสด็จไปยังอุรุเวลาทรงดำริว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริงหนอ ทรงเข้าอยู่ ณ ตำบลนั้น ทรงตั้งความเพียรยิ่งใหญ่. 
         ชน ๕ คนเหล่านี้คือบุตรของพราหมณ์ผู้ทำนายพระมหาปุริสลักษณะ ๔ คนและพราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะ บวชคอยอยู่ก่อน เที่ยวภิกษาจารไปในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย บำรุงพระโพธิสัตว์ ณ ที่นั้น. 
         ลำดับนั้น เมื่อพากันบำรุงพระโพธิสัตว์ผู้ตั้งความเพียรยิ่งใหญ่อยู่ถึง ๖ ปี ด้วยวัตรปฏิบัติมีกวาดบริเวณเป็นต้น ด้วยหวังอยู่ว่า พระโพธิสัตว์จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าบัดนี้ จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าบัดนี้ อยู่ประจำสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น. 
         แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงยับยั้งอยู่ด้วยงาและข้าวสารเมล็ดเดียว ด้วยทรงหมายจักทำทุกกรกิริยาอันถึงที่สุด ได้ทรงตัดอาหารโดยประการทั้งปวง. แม้เทวดาทั้งหลายก็นำทิพโอชะใส่ลงตามขุมขนทั้งหลาย.
         ครั้งนั้น พระวรกายที่มีสีทองของพระองค์ผู้มีพระกายถึงความซูบผอมอย่างยิ่ง เพราะไม่มีอาหารนั้นก็มีสีดำ. พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ก็ถูกปกปิด. 
         ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงถึงที่สุดแห่งทุกกรกิริยา ทรงดำริว่า นี้ไม่ใช่ทางแห่งพระโพธิญาณ มีพระประสงค์จะเสวยอาหารหยาบ จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ คามนิคมทั้งหลาย เสวยพระกระยาหาร. 
         ลำดับนั้น พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ก็กลับเป็นปกติ พระวรกายมีสีเหมือนสีทอง. 
         ขณะนั้น ภิกษุปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์ ก็คิดว่า ท่านผู้นี้แม้ทำทุกกรกิริยามา ๖ ปีก็ไม่อาจแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณได้ มาบัดนี้ยังเที่ยวบิณฑบาตไปในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย บริโภคอาหารหยาบจักอาจได้อย่างไร ท่านผู้นี้มักมากคลายความเพียร ประโยชน์อะไรของเราด้วยท่านผู้นี้ แล้วก็ละพระมหาบุรุษ พากันไปยังป่าอิสิปตนะ กรุงพาราณสี. 
         สมัยนั้น วันวิสาขบูรณมี พระมหาบุรุษเสวยข้าวมธุปายาสซึ่งเทวดาใส่ทิพโอชะ อันหญิงวัยรุ่นชื่อสุชาดา ผู้บังเกิดในครอบครัวของเสนานีกุฎุมพี ตำบลอุรุเวลา เสนานิคมถวายแล้ว ทรงถือถาดทองวางลงสู่กระแสแม่น้ำเนรัญชรา ปลุกพระยากาฬนาคราชผู้หลับให้ตื่นแล้ว. 
         ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ทรงพักกลางวัน ณ สาลวันซึ่งประดับด้วยดอกไม้หอม มีแสงสีเขียว น่ารื่นรมย์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราเวลาเย็น เสด็จมุ่งตรงไปยังต้นโพธิพฤกษ์ตามทางที่เทวดาทั้งหลายประดับแล้ว. เทวดานาคยักษ์สิทธาเป็นต้นพากันบูชาด้วยดอกไม้ของหอมเครื่องลูบไล้. 
         สมัยนั้น คนหาหญ้าชื่อโสตถิยะ ถือหญ้าเดินสวนทางมา รู้อาการของพระมหาบุรุษ จึงถวายหญ้า ๘ กำ. 
         พระโพธิสัตว์ทรงรับหญ้าแล้วเสด็จเข้าไปยังโคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ ซึ่งเป็นวิชัยพฤกษ์อันรุ่งโรจน์กว่าหมู่ต้นไม้ทั้งหลาย คล้ายอัญชันคิรีสีเขียวคราม ประหนึ่งช่วยบรรเทาแสงทินกร มีร่มเงาเย็น เย็นด้วยพระกรุณา ดังพระหฤทัยของพระองค์ เว้นจากการชุมนุมของวิหคนานาชนิด ประดับด้วยกิ่งอันทึบต้องลมอ่อนๆ โชยมาประหนึ่งฟ้อนรำ และประดุจยินดีด้วยปิติ ทรงทำประทักษิณพญาอัสสัตถพฤกษ์ ๓ ครั้ง ประทับยืนทางทิศอีสาน ทรงจับยอดหญ้าเขย่า. 
         ทันใดนั่นเองก็มีบัลลังก์ ๑๔ ศอก หญ้าเหล่านั้นก็เป็นเหมือนจิตรกรวาดไว้. พระโพธิสัตว์ประทับนั่งขัดสมาธิเหนือสันถัตหญ้า ๑๔ ศอก ทรงอธิษฐานความเพียรประกอบด้วยองค์ ๔ ทรงทำลำต้นโพธิพฤกษ์ ๕๐ ศอกไว้เบื้องหลัง ดังลำต้นเงินที่เขาวางไว้เหนือตั่งทอง กั้นด้วยกิ่งโพธิพฤกษ์เหมือนฉัตรมณีไว้เบื้องบน ประทับนั่ง. ก็ยอดอ่อนโพธิพฤกษ์ล่วงลงมาที่จีวรสีทองของพระองค์ ก็รุ่งโรจน์เหมือนวางแก้วประพาฬไว้ที่แผ่นทอง. 
         เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์นั้นวสวัตดีมารเทพบุตรคิดว่าสิทธัตถกุมารประสงค์จะล่วงวิสัยของเรา บัดนี้เราจักไม่ให้สิทธัตถะกุมารนั้นล่วงวิสัย จึงบอกความนั้นแก่กองกำลังของมาร แล้วพากองกำลังมารออกไป. 
         ได้ยินว่า ทัพมารนั้นข้างหน้าของมารก็ขนาด ๑๒ โยชน์ ข้างขวาและข้างซ้ายก็อย่างนั้น แต่ข้างหลังตั้งอยู่สุดจักรวาล เบื้องบนสูง ๙ โยชน์. ได้ยินเสียงคำรามดังเสียงแผ่นดินคำราม ตั้งแต่เก้าพันโยชน์.
พระมหาบุรุษทรงกำจัดมาร
         สมัยนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงยืนเป่าสังข์ชื่อวิชยุตตระ เขาว่าสังข์นั้นยาวสองพันศอก. คนธรรพ์เทพบุตรชื่อปัญจสิขะ ถือพิณสีเหลืองดังผลมะตูม ยาวสามคาวุตบรรเลง ยืนขับร้องเพลงประกอบด้วยมงคล. ท้าวสุยามเทวราชทรงถือทิพยจามร อันมีสิริดังดวงจันทร์ยามฤดูสารท ยาวสามคาวุต ยืนถวายงานพัดลมอ่อนๆ. ส่วนท้าวสหัมบดีพรหมยืนกั้นฉัตรดังจันทร์ดวงที่สอง กว้างสามโยชน์ ไว้เบื้องบนพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้แต่มหากาฬนาคราชอันนาคฝ่ายฟ้อนรำแปดหมื่นแวดล้อม ร่ายคาถาสดุดีนับร้อย ยืนนมัสการพระมหาสัตว์ เทวดาในหมื่นจักรวาลบูชาด้วยพวงดอกไม้หอมและจุรณธูปเป็นต้น พากันยืนถวายสาธุการ. 
         ลำดับนั้น เทวบุตรมารขึ้นช้างที่กันข้าศึกได้ เป็นช้างที่ประดับด้วยรัตนะชื่อคิริเมขละ งามน่าดูอย่างยิ่ง เสมือนยอดหิมะคิรี ขนาดร้อยห้าสิบโยชน์ เนรมิตแขนพันแขน ให้จับอาวุธต่างๆ ด้วยการจับอาวุธที่ยังไม่ได้จับ. แม้บริษัทของมารมีกำลังถือดาบ ธนู ศร หอก ยกธนู สาก ผาล เหล็กแหลม หอก หลาว หิน ค้อน กำไลมือ ฉมวก กงจักร เครื่องสวมคอ ของมีคม มีหน้าเหมือนกวาง ราชสีห์ แรด กวาง หมู เสือ ลิง งู แมว นกฮูกและมีหน้าเหมือนควาย ฟาน ม้า ช้างพลายเป็นต้น มีกายต่างๆ น่ากลัว น่าประหลาด น่าเกลียด มีกายเสมือนมนุษย์ยักษ์ปีศาจ ท่วมทับพระมหาสัตว์โพธิสัตว์ผู้ประทับนั่ง ณ โคนโพธิพฤกษ์ เดินห้อมล้อม ยืนมองดูการสำแดงของมาร. 
         แต่นั้น เมื่อกองกำลังของมารเข้าไปยังโพธิมัณฑสถาน บรรดาเทพเหล่านั้นมีท้าวสักกะเป็นต้น เทพแม้แต่องค์หนึ่งก็ไม่อาจจะยืนอยู่ได้. เทพทั้งหลายก็พากันหนีไปต่อหน้าๆ นั่นแหละ ก็ท้าวสักกะเทวราชทำวิชยุตตรสังข์ไว้ที่ปฤษฎางค์ ประทับยืน ณ ขอบปากจักรวาล. ท้าวมหาพรหมวางเศวตฉัตรไว้ที่ปลายจักรวาลแล้วก็เสด็จไปพรหมโลก. กาฬนาคราชก็ทิ้งนาคนาฏกะไว้ทั้งหมด ดำดินไปยังภพมัญเชริกนาคพิภพลึก ๕๐๐ โยชน์ นอนเอามือปิดหน้า ไม่มีแม้แต่เทวดาสักองค์เดียวที่จะสามารถอยู่ในที่นั้นได้. 
         ส่วนพระมหาบุรุษประทับนั่งอยู่แต่ลำพัง เหมือนมหาพรหมในวิมานว่างเปล่า. นิมิตร้ายที่ไม่น่าปรารถนาเป็นอันมากปรากฏก่อนทีเดียวว่า บัดนี้ มารจักมา ดังนี้.
               เมื่อเวลาการยุทธของพระยามาร และของพระ 
         ผู้เผ่าพันธุ์แห่งไตรโลก ดำเนินไปอยู่ อุกกาบาตอัน 
         ร้ายกาจก็ตกลงโดยรอบ ทิศทั้งหลายก็มืดคลุ้มด้วยควัน. 
               แผ่นดินแม้นี้ไม่มีใจ ก็เหมือนมีใจ ถึงความ 
         พลัดพราก เหมือนหญิงสาวพลัดพรากสามี แผ่นดิน 
         ที่ทรงสระต่างๆ พร้อมทั้งสาครก็หวั่นไหว เหมือน 
         เถาวัลย์ต้องลมพัดแรง. 
               มหาสมุทรก็มีน้ำปั่นป่วน แม้น้ำทั้งหลายก็ไหล 
         ทวนกระแส ลำต้นไม้ต่างๆ ก็คดงอแตกติดดินแห่ง 
         ภูผาทั้งหลาย. 
               ลมร้ายก็พัดไปรอบๆ มีเสียงอึกทึกครึกโครม 
         ความมืดที่ปราศจากดวงอาทิตย์ ก็เลวร้าย ตัวกะพันธ์ 
         ก็ท่องไปกลางหาว. 
               เขาว่า ลางร้ายอันพิลึก ดังกล่าวไม่น่าเจริญใจ 
         ไม่น่าปรารถนา ทั้งที่อยู่ในอากาศและที่อยู่ภาคพื้นดิน 
         เป็นอันมาก ก็มีโดยรอบในขณะที่มารมา. 
               ส่วนหมู่เทพทั้งหลายเห็นมารประสงค์จะประหาร 
         พระมหาสัตว์ผู้เป็นเทพแห่งเทพนั้น ก็เอ็นดูพร้อมด้วย 
         หมู่เทพก็พากันทำเสียงว่า หา หา. 
               แม้ภายหลัง ก็เห็นมารนั้นพร้อมทั้งกองกำลังเป็น 
         อันมาก ที่ฝึกมาดีแล้ว พากันหนีไปในทิศใหญ่ ทิศน้อย 
         อาวุธในมือก็ตกไป. 
               พระผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ผู้แกล้วกล้า ปราศจากภัย 
         ประทับนั่งอยู่ท่ามกลางกองกำลังของมาร เหมือนพระ 
         ยาครุฑอยู่ท่ามกลางฝูงวิหค เหมือนราชสีห์ผู้ยิ่งยงอยู่ 
         ท่ามกลางฝูงมฤคฉะนั้น. 
         ครั้งนั้น มารคิดว่าจักยังพระสิทธัตถะให้กลัวแล้วหนีไป แต่ไม่อาจให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยฤทธิ์มาร ๙ ประการ คือ ลม ฝน ก้อนหิน เครื่องประหาร ถ่านไฟ ไฟนรก ทราย โคลน ความมืด มีใจขึ้งโกรธ บังคับหมู่มารว่า พนาย พวกเจ้าหยุดอยู่ไย จงทำสิทธัตถะให้ไม่เป็นสิทธัตถะ จงจับ จงฆ่า จงตัด จงมัด จงอย่าปล่อย จงให้หนีไป ส่วนตัวเองนั่งเหนือคอคชสารชื่อคิรีเมขละ ใช้กรข้างหนึ่งกวัดแกว่งศร เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า ท่านสิทธัตถะจงลุกขึ้นจากบัลลังก์. ทั้งหมู่มารก็ได้ทำความบีบคั้นร้ายแรงยิ่งแก่พระมหาสัตว์. 
         ครั้งนั้น พระมหาบุรุษตรัสคำเป็นต้นว่า ดูก่อนมาร ท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อบัลลังก์มาแต่ครั้งไร แล้วทรงน้อมพระหัตถ์ขวาสู่แผ่นปฐพี. 
         ขณะนั้นนั่นเอง ลมและน้ำที่รองแผ่นปฐพี ซึ่งหนาหนึ่งล้านหนึ่งหมื่นสี่พันโยชน์ ก็ไหวก่อนต่อจากนั้น มหาปฐพีนี้ซึ่งหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็ไหว ๖ ครั้ง. สายฟ้าแลบและอสนีบาตหลายพันเบื้องบนอากาศ ก็ผ่าลงมา. 
         ลำดับนั้น ช้างคิรีเมขละก็คุกเข่า. มารที่นั่งบนคอคิรีเมขละก็ตกลงมาที่แผ่นดิน. แม้พรรคพวกของมารก็กระจัดกระจายไปในทิศใหญ่ทิศน้อย เหมือนกำแกลบที่กระจายไปฉะนั้น. 
         ลำดับนั้น แม้พระมหาบุรุษทรงกำจัดกองกำลังของมารพร้อมทั้งตัวมารนั้น ด้วยอานุภาพพระบารมีทั้งหลายของพระองค์ มีขันติ เมตตา วิริยะและปัญญาเป็นต้น ปฐมยามทรงระลึกถึงขันธ์ที่อาศัยมาแต่ก่อน มัชฌิมยามทรงชำระทิพยจักษุ ปัจจุสมัยใกล้รุ่งทรงหยั่งญาณลงในปัจจยาการที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงปฏิบัติมา ทรงยังจตุตถฌานมีอานาปานะเป็นอารมณ์ให้เกิดแล้ว ทรงทำจตุตถฌานนั้นให้เป็นบาทแล้ว ทรงเจริญวิปัสสนา ทรงยังกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปด้วยมรรคที่ ๔ ซึ่งทรงบรรลุมาตามลำดับมรรค ทรงแทงตลอดพระพุทธคุณทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงปฏิบัติมา ทรงเปล่งพระพุทธอุทานว่า 
      อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ 
           คหการํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ 
      คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ 
              สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ 
          วิสงฺขารคตํ จิตตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา. 
      เราแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหา เมื่อ 
ไม่พบ ก็ต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก 
การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้สร้างเรือนคือ 
ตัณหา เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนแก่เราอีกไม่ 
ได้แล้ว โครงสร้างเรือนของท่าน เราก็หักหมดแล้ว ยอด 
เรือนคืออวิชชา เราก็รื้อเสียแล้ว จิตเราถึงวิสังขาร ปัจจัย 
ปรุงแต่งไม่ได้ เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว.

[ ๑/๓ ] อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๕. โคตมพุทธวงศ์

 อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ . โคตมพุทธวงศ์ อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] พรรณาวงศ์พระโคดมพุทธเจ้าที่ ๒๕ 
เรื่องนิทานกาลไกล         
                  เพราะเหตุที่ถึงลำดับการพรรณนาวงศ์ ของ 
            พระพุทธเจ้าของเราแล้ว ฉะนั้น บัดนี้จะพรรณนา 
               วงศ์พระพุทธเจ้าของเรานั้น ดังต่อไปนี้. 
         ในนิทานกาลไกลนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทรงทำอธิการในสำนักของพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์มีพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้น มาถึงสี่อสงไขยกำไรแสนกัป แต่ส่วนกาลภายหลังของพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น เว้นแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้. 
         ดังนั้น พระโพธิสัตว์ผู้ได้พยากรณ์ในสำนักพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ ก็ทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรมมีทานบารมีเป็นต้น ที่พระโพธิสัตว์ผู้รวบรวมธรรม ๘ ประการเหล่านี้ว่าอภินีหารย่อมสำเร็จได้ เพราะรวบรวมธรรม ๘ ประการ คือ 
         ๑. มนุสสัตตะ เป็นมนุษย์ 
         ๒. ลิงคสัมปัตติ เป็นเพศบุรุษ 
         ๓. เหตุ มีอุปนิสสยสมบัติบรรลุมรรคผลได้ 
         ๔. สัตถารทัสสนะ พบพระพุทธเจ้าขณะที่ยังทรงพระชนม์อยู่ 
         ๕. ปัพพัชชา บวชเป็นดาบสหรือภิกษุอยู่ 
         ๖. คุณสมบัติ ได้สมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ 
         ๗. อธิการ อาจสละชีวิตแก่พระพุทธเจ้าได้ 
         ๘. ฉันทตา มีฉันทะ อุตสาหะ บำเพ็ญพุทธการกธรรม. 
         แล้วทำอภินีหารแทบเบื้องบาทพระทีปังกรพุทธเจ้า แล้วทำอุตสาหะว่า จำเราจะเลือกเฟ้นพุทธการกธรรม อย่างโน้นอย่างนี้แสดงไว้ว่า ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็ได้เห็นทานบารมีเป็นอันดับแรก ดังนี้ ตราบจนมาถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรและเมื่อมาถึงก็มาประสบอานิสงส์แห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้ทำอภินีหารไว้แล้ว ที่ทรงสรรเสริญไว้ว่า 
            พระนิยตโพธิสัตว์ ถึงพร้อมด้วยองค์ครบถ้วนอย่างนี้ 
      แม้ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยาวนานนับร้อยโกฏิกัป ก็ไม่เกิด 
      ในอเวจีและในโลกันตริกนรก ไม่เกิดเป็นนิชฌานตัณหิก- 
      เปรต ขุปปิปาสิกเปรต กาฬกัญชิกาสูร แม้เข้าถึงทุคติก็ไม่ 
      เป็นสัตว์ขนาดเล็ก 
            เมื่อเกิดในหมู่มนุษย์ก็ไม่เป็นคนตาบอดแต่กำเนิด 
      โสตก็ไม่วิกลบกพร่อง ไม่เป็นคนประเภทใบ้ ไม่เป็นสตรี 
      ไม่เป็นคนสองเพศและไม่เป็นบัณเฑาะก์. 
            พระนิยตโพธิสัตว์ ไม่เป็นผู้นับเนื่องดังกล่าว พ้นจาก 
      อนันตริยกรรม มีโคจรบริสุทธิ์ในภพทั้งปวง ไม่เสพมิจฉา 
      ทิฏฐิ มีความเห็นว่ากรรมเป็นอันทำมีผล 
            แม้อยู่ในสวรรค์ทั้งหลายก็ไม่เข้าถึงอสัญญีภพ ทั้ง 
      ไม่มีเหตุที่ไปเกิดในเทพชั้นสุทธาวาส เป็นผู้น้อมไปใน 
      เนกขัมมะ เป็นสัตบุรุษ ไม่เกาะเกี่ยวในภพใหญ่น้อย 
      บำเพ็ญแต่โลกัตถจริยาทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีทั้งปวง. 
      เมื่อมาประสบอานิสงส์อย่างนี้ ก็ตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ทำบุญยิ่งใหญ่ที่ทำให้มหาปฐพีไหวเป็นต้นอย่างนี้ว่า 
            แผ่นปฐพีนี้ไม่มีใจ ไม่รู้สึกสุขทุกข์ แผ่นปฐพี 
            แม้นั้นก็ไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังทานของเรา. 
      สุดท้ายแห่งอายุ ก็จุติจากอัตภาพนั้น บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต.
         เรื่องนิทานกาลใกล้
โกลาหล ๓ 
         เมื่อพระโพธิสัตว์กำลังอยู่ในภพดุสิต ธรรมดาว่าพุทธโกลาหลก็เกิดขึ้น. 
         จริงอยู่ เกิดโกลาหลขึ้นในโลก ๓ อย่าง คือ กัปปโกลาหล พุทธโกลาหลและจักกวัตติโกลาหล. 
         บรรดาโกลาหลทั้ง ๓ นั้น เหล่าเทวดาชั้นกามาวจรชื่อว่าโลกพยูหะ ทราบว่า ล่วงไปแสนปีกัปจักตั้งขึ้น ดังนี้ ปล่อยผมสยาย ร้องไห้เอาหัตถ์ฟายน้ำตา นุ่งห่มผ้าแดง ทรงเพศแปลกๆ อย่างยิ่ง เที่ยวไปในถิ่นมนุษย์ บอกกล่าวว่า 
         ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปแสนปีนับแต่วันนี้ไปกัปจักตั้งขึ้น โลกนี้จักพินาศไป แม้มหาสมุทรก็จักเหือดแห้ง มหาปฐพีแผ่นนี้และขุนเขาสิเนรุ จักมอดไหม้พินาศไป ความพินาศจักมีจนถึงพรหมโลก 
         ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ พวกท่านจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จงบำรุงมารดาบิดา จงเป็นผู้ยำเกรงในท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ดังนี้ 
         นี้ชื่อว่ากัปปโกลาหล. 
         เทวดาฝ่ายโลกบาลทราบว่า ล่วงไปพันปีจักเกิดพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้าขึ้นในโลก จึงเที่ยวไปโฆษณาว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ตั้งแต่นี้ล่วงไปพันปี จักเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นในโลก ดังนี้ นี้ชื่อว่าพุทธโกลาหล. 
         พวกเทวดาทราบว่า ล่วงไปร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิราชจักเกิดขึ้น จึงเที่ยวโฆษณาไปว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ นับแต่นี้ล่วงไปร้อยปี จักเกิดจักรพรรดิราชขึ้นดังนี้ นี้ชื่อว่าจักกวัตติโกลาหล. 
         บรรดาโกลาหล ๓ นั้น เทวดาทั่วหมื่นจักรวาลฟังเสียงข่าวพุทธโกลาหล ก็ประชุมพร้อมกัน รู้ว่าสัตว์ชื่อโน้นจักเป็นพระพุทธเจ้า ก็เข้าไปหาอ้อนวอน แต่เมื่ออ้อนวอนก็จะอ้อนวอนเมื่อบุพนิมิตของสัตว์ผู้นั้นเกิดขึ้น. 
         แต่ในครั้งนั้น เทวดาเหล่านั้นแม้ทั้งหมดในแต่ละจักรวาลก็ประชุมกันในจักรวาลเดียว พร้อมกับมหาราชทั้ง ๔ ท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันตุสิตะ ท้าวสุนิมมิตะ ท้าววสวัตตีและท้าวมหาพรหม พากันไปยังสำนักพระโพธิสัตว์ผู้มีนิมิตแห่งการจุติเกิดแล้วในภพดุสิต ช่วยกันอ้อนวอนว่า 
         ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ บารมี ๑๐ ท่านก็บำเพ็ญแล้ว แต่เมื่อบำเพ็ญ ท่านมิใช่บำเพ็ญปรารถนาสมบัติท้าวสักกะ สมบัติพรหมเป็นต้น แต่ท่านบำเพ็ญปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณเพื่อช่วยโลก. เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า. 
               ข้าแต่ท่านมหาวีระ บัดนี้เป็นเวลาสมควรสำหรับ 
         ท่านแล้ว ท่านจงเกิดในพระครรภ์พระชนนี เมื่อจะยัง 
         โลกทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆะ ท่านจงตรัสรู้อมตบทเถิด.
         มหาวิโลกนะ ๕ ประการ 
         ลำดับนั้น พระมหาสัตว์อันทวยเทพทูลอ้อนวอนอย่างนั้น มิได้ประทานปฏิญญา [คำรับรอง] แก่เทวดาทั้งหลาย แต่ทรงพิจารณามหาวิโลกนะ ๕ คือ ขั้นตอน ได้แก่ กาละ ทวีป ประเทศ ตระกูล กำหนดพระชนมายุพระชนนี. 
         บรรดามหาวิโลกนะ ๕ นั้น พระมหาบุรุษทรงพิจารณาเวลาเป็นอันดับแรกว่าเป็นกาลสมควรหรือยัง. ในข้อว่ากาลนั้น กาลที่อายุคนเจริญขึ้นเกินแสนปีไม่ใช่กาลสมควร. เพราะเหตุไร 
         เพราะว่า ในกาลนั้น [กาลที่มนุษย์มีอายุแสนปี] ชาติชรามรณะจักไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย และพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีพ้นจากไตรลักษณ์ [อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา] เลย เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมไม่สำคัญพระพุทธดำรัสที่ควรฟัง ที่ควรเชื่อว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายกำลังตรัสเรื่องอะไรกันนั่น. แต่นั้น อภิสมัยการตรัสรู้ก็จะไม่มี เมื่ออภิสมัยไม่มี คำสั่งสอนก็ไม่เป็นนิยยานิกะนำสัตว์ออกจากทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นการสมควร. 
         แม้กาลที่อายุคนต่ำกว่าร้อยปี ก็ยังไม่ใช่กาลอันสมควร. เพราะเหตุไร
         เพราะว่าในกาลนั้น [กาลที่มนุษย์มีอายุต่ำกว่าร้อยปี] สัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนาแน่น และโอวาทที่ประทานแก่สัตว์ที่มีกิเลสหนาแน่นจะไม่คงอยู่ในฐานะควรโอวาท จะขาดหายไปเร็วเหมือนรอยไม้ที่ขีดในน้ำ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่กาลอันสมควร. 
         แต่กาลแห่งอายุต่ำกว่าแสนปีลงมา สูงเกินร้อยปีขึ้นไป ชื่อว่ากาลอันสมควร กาลนั้นเป็นเวลาร้อยปี. 
         ดังนั้น พระมหาสัตว์จึงทรงเห็นกาลว่าเป็นกาลที่ควรบังเกิด. 
         ต่อแต่นั้น เมื่อทรงพิจารณาถึงทวีปก็ทรงพิจารณามหาทวีปทั้ง ๔ พร้อมทั้งทวีปบริวาร ก็ทรงเห็นทวีปว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เกิดในทวีปทั้ง ๓ เกิดในชมพูทวีปเท่านั้น. 
         ต่อแต่นั้น เมื่อทรงสำรวจดูโอกาสว่า ธรรมดาชมพูทวีปเป็นทวีปใหญ่ขนาดถึงหมื่นโยชน์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเกิดที่ไหนกันหนอ ก็ทรงเห็นมัชฌิมประเทศ จึงตกลงพระหฤทัยว่า มีนครกบิลพัสดุ์อยู่ จำเราจะพึงเกิด ณ นครนั้น. 
         แต่นั้น เมื่อทรงพิจารณาดูตระกูลก็ทรงเห็นตระกูลว่าธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เกิดในตระกูลแพศย์หรือตระกูลศูทร แต่บังเกิดในตระกูลกษัตริย์หรือตระกูลพราหมณ์ที่โลกสมบัติ บัดนี้ ตระกูลกษัตริย์โลกสมมติ จำเราจักเกิดในตระกูลนั้น พระเจ้าสุทโทธนะจักทรงเป็นพระชนกของเรา. 
         แต่นั้น เมื่อทรงพิจารณาดูพระชนนีก็ทรงเห็นว่าธรรมดาพระพุทธมารดามิใช่เป็นสตรีโลเล นักเลงสุรา แต่บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป มีศีลไม่ขาดวิ่นมาแต่เกิด ก็พระเทวีพระนามว่าพระนางมหามายาพระองค์นี้เป็นเช่นนี้ พระนางจักเป็นชนนีของเรา. พระชนมายุของพระนางเท่าไรเล่า. ๑๐ เดือนกับ ๗ วัน. 
         พระมหาสัตว์ครั้นพิจารณามหาวิโลกนะ ๕ อย่างนี้ดังนี้แล้วจึงทรงรับปฏิญญาของเทวดาทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เป็นกาลสมควรเป็นพระพุทธเจ้าสำหรับเราแล้วละ จึงส่งเทวดาเหล่านั้นด้วยพระดำรัสว่า พวกท่านไปกันเถิด อันเทวดาชั้นดุสิตแวดล้อมแล้วก็เสด็จเข้าไปยังสวนนันทนวันในชั้นดุสิต. 
         ด้วยว่าในเทวโลกทุกชั้นมีสวนนันทนวันทั้งนั้น. 
         ในสวนนันทนวัน ในชั้นดุสิตนั้น เทวดาทั้งหลาย เมื่อจะยังพระมหาสัตว์นั้นให้รำลึกถึงโอกาสแห่งกุศลกรรมที่ทำแต่ปางก่อนว่า ท่านจุติจากนี้แล้วจงไปสู่สุคติ จึงเที่ยวไป. 
         พระมหาสัตว์นั้นอันเทวดาเหล่านั้นให้ระลึกถึงกุศลแวดล้อมแล้ว ก็เที่ยวไปในนันทนวันนั้น ก็จุติไปถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางมหามายาเทวี โดยดาวนักขัตอุตตราสาธ. ในขณะที่พระมหาบุรุษทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระชนนี ทั่วหมื่นโลกธาตุก็ไหวพร้อมกันในคราวเดียวกัน. บุพนิมิต ๓๒ ประการก็ปรากฏ. 
         เทวบุตร ๔ องค์ถือพระขรรค์ ทำหน้าที่อารักขาเพื่อป้องกันอุปัทวเหตุแก่พระโพธิสัตว์ผู้ถือปฏิสนธิ และพระชนนีของพระโพธิสัตว์ ด้วยประการฉะนี้. ราคจิตในบุรุษทั้งหลายมิได้เกิดแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์ พระชนนีนั้นประสบลาภอย่างเลิศ ยศอย่างเลิศ มีสุข พระวรกายมิลำบาก พระชนนีแลเห็นพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์ของพระนางเอง เหมือนด้ายขาวร้อยแก้วมณีอันใสฉะนั้น. 
         เพราะเหตุที่พระครรภ์ที่พระโพธิสัตว์อยู่ ก็เป็นเสมือนห้องพระเจดีย์ สัตว์อื่นไม่อาจอยู่หรือใช้สอยได้ ฉะนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์ เมื่อพระโพธิสัตว์เกิดได้ ๗ วัน จึงต้องทำกาละ [ทิวงคต] บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต. 
         ก็สตรีอื่นๆ ถึง ๑๐ เดือนก็มี เกินก็มี นั่งคลอดบ้าง นอนคลอดบ้างฉันใด พระมารดาของพระโพธิสัตว์หาเป็นฉันนั้นไม่. แต่พระมารดาของพระโพธิสัตว์บริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ ๑๐ เดือนแล้วทรงยืนประสูติ. นี้เป็นธรรมดาของพระมารดาของพระโพธิสัตว์. 
         แม้พระนางมหามายาเทวีทรงบริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ ๑๐ เดือนแล้ว มีพระครรภ์บริบูรณ์ มีพระประสงค์จะเสด็จไปเรือนพระญาติ จึงกราบทูลแด่พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม เกล้าหม่อมฉันใคร่จะไปเทวทหนครเพคะ. พระราชาทรงอนุญาตแล้ว โปรดให้ทำทางตั้งแต่กรุงกบิลพัสดุ์จนถึงเทวทหนครให้เรียบ ให้ประดับด้วยต้นกล้วย หม้อเต็มน้ำ หมาก ธงผ้าเป็นต้น ให้ประทับนั่งในวอทองใหม่ ทรงส่งไปด้วยสิริสง่าและด้วยบริพารกลุ่มใหญ่. 
         ระหว่างพระนครทั้งสองมีมงคลสาลวันชื่อลุมพินี ที่ควรใช้สอยของชาวนครทั้งสอง. มงคลสาลวันนั้น สมัยนั้นออกดอกบานสะพรั่งไปหมด ตั้งแต่โคนจนถึงยอด เพราะทรงเห็นวนะ งามเสมือนสวนนันทนวัน อันเป็นที่สำเริงสำราญแห่งเทพ ซึ่งหมู่แมลงผึ้งอันผึ้งอื่นๆ เลี้ยงดู ผู้เพลินในรสหวานที่ทำความยินดีอย่างยิ่ง อันน่ารื่นรมย์ ยินดีด้วยความเมา มีรวงรังอันเสพแล้ว ร่ำร้องกระหึ่มอยู่ตามระหว่างกิ่ง และระหว่างดอกทั้งหลาย. 
         พระเทวีก็เกิดจิตคิดจะลงเล่นสวนสาลวัน. 
    วิภูสิตา พาลชนาติจาลินี 
  วิภูสิตงฺคี วนิเตว มาลินี 
  สทา ชนานํ นยนาลิมาลินี 
    วิลุมฺปินีวาติวิโรจิ ลุมฺพินี. 
สวนลุมพินีอันธรรมชาติประดับแล้ว เป็นที่ 
หวั่นไหวของคนปัญญาอ่อน หมู่ภมรแต่งตัว 
แล้วย่อมชอบชมเชย มีหมู่แมลงผึ้งประหนึ่ง 
ดวงตาของชนทั้งหลายคอยรุม จึงรุ่งเรืองทุกเมื่อ. 
         เหล่าอำมาตย์กราบทูลพระราชาแล้ว พาพระราชเทวีเข้าไปยังลุมพินีวันนั้น. พระนางเสด็จไปยังโคนต้นมงคลสาละ มีพระประสงค์จะทรงจับกิ่งใดของมงคลสาละนั้นซึ่งมีลำต้นตรงเรียบและกลม ประดับด้วยดอกผลและใบอ่อน กิ่งมงคลสาละนั้น ไม่มีแรง รวนเรเหมือนใจชน ก็น้อมลงมาเองถึงฝ่าพระกรของพระนาง. 
         ลำดับนั้น พระนางก็ทรงจับกิ่งสาละนั้น ด้วยพระกรที่ทำความยินดีอย่างยิ่งข้างขวา ซึ่งงามด้วยกำไลพระกรทองใหม่ มีพระองคุลีกลมกลึงดังกลีบบัว อันรุ่งเรืองด้วยพระนขานูนมีสีแดง. พระนางประทับยืนจับกิ่งสาละนั้น เป็นพระราชเทวีงดงามเหมือนจันทรเลขาอ่อนๆ ที่ลอดหลืบเมฆสีเขียวครามเหมือนแสงเปลวไฟ ซึ่งตั้งอยู่ได้ไม่นาน และเหมือนเทวีที่เกิดในสวนนันทนวัน. 
         ในทันทีนั้นเอง ลมกัมมัชวาตของพระนางก็ไหว ขณะนั้น ชนเป็นอันมากก็กั้นผ้าม่านเป็นกำแพงแล้วหลีกไป. พระนางเมื่อประทับยืนจับกิ่งสาละอยู่นั่นเอง พระโพธิสัตว์ก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระนางนั้น. 
         ในทันใดนั้นเอง ท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ พระองค์ก็ถือข่ายทองมารองรับพระโพธิสัตว์ด้วยข่ายทองนั้น วางไว้เบื้องพระพักตร์พระชนนี ตรัสว่า ดูก่อนพระเทวี ขอจงทรงดีพระหฤทัยเถิด พระโอรสของพระองค์มีศักดิ์มาก สมภพแล้ว. 
         ก็สัตว์อื่นๆ เมื่อออกจากครรภ์มารดาก็เปรอะเปื้อนด้วยของปฏิกูลไม่สะอาดออกไปฉันใด พระโพธิสัตว์หาเป็นฉันนั้นไม่. แต่ พระโพธิสัตว์เหยียดพระหัตถ์ทั้งสอง พระบาททั้งสอง ยืน ไม่เปรอะเปื้อนด้วยของไม่สะอาดไรๆ จากสมภพในพระครรภ์ของพระชนนี หมดจด สดใส รุ่งเรืองเหมือนมณีรัตนะอันเขาวางไว้บนผ้ากาสี ออกจากพระครรภ์พระชนนี.
         เมื่อเป็นเช่นนั้น เพื่อสักการะแด่พระโพธิสัตว์และพระชนนีของพระโพธิสัตว์ ท่อธารน้ำสองท่อก็ออกมาจากอากาศ โสรจสรงที่พระสรีระของพระโพธิสัตว์และพระชนนีของพระโพธิสัตว์. 
         ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ก็เอาผ้าขนสัตว์ที่มีสัมผัสอันสบาย ซึ่งสมมติกันว่าเป็นมงคลรับจากพระหัตถ์ของท้าวมหาพรหม ซึ่งยืนรับพระโพธิสัตว์นั้นไว้ด้วยข่ายทอง. พวกมนุษย์ก็เอาเบาะผ้าเนื้อดี รับจากพระหัตถ์ของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น. 
         พระโพธิสัตว์พ้นจากมือของมนุษย์ ก็ยืนที่แผ่นดินมองดูทิศบูรพา หลายพันจักรวาลก็มีลานเป็นอันเดียวกัน. เทวดาและมนุษย์ในที่นั้น เมื่อบูชาด้วยของหอมดอกไม้มาลัยเป็นต้นก็พากันทูลว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษ ผู้ที่เสมือนกับพระองค์ในที่นี้ไม่มี ผู้ที่จะยิ่งกว่าจะมีแต่ไหน. 
         พระโพธิสัตว์ทรงเหลียวแลดูทิศทั้ง ๑๐ ทิศ ไม่เห็นผู้ที่เสมือนกับพระองค์จึงบ่ายพระพักตร์มุ่งสู่ทิศอุดร ทรงดำเนินไป ๗ ย่างก้าว. และเมื่อดำเนินไปก็ดำเนินไปบนแผ่นดินนั่นแหละ มิใช่ดำเนินไปทางอากาศ ไม่มีผ้า [ปกปิด] ดำเนินไป มิใช่มีผ้าดำเนินไป เป็นทารกอ่อนดำเนินไป มิใช่ทารกอายุ ๑๖ ขวบดำเนินไป แต่ปรากฏแก่มหาชนเหมือนดำเนินไปทางอากาศ เหมือนประดับตกแต่งพระองค์ และเหมือนมีอายุ ๑๖ ขวบ. แต่นั้น ย่างก้าวที่ ๗ ก็ทรงหยุด เมื่อทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส ดังนี้เป็นต้น ทรงเปล่งสีหนาท. 
         ความจริง พระโพธิสัตว์พอออกจากครรภ์มารดาก็เปล่งวาจาได้ใน ๓ อัตภาพ คือ อัตภาพเป็นมโหสถ อัตภาพเป็นเวสสันดร อัตภาพนี้. 
         เล่ากันว่า ในอัตภาพเป็นมโหสถ พอออกจากครรภ์มารดาเท่านั้น ท้าวสักกเทวราชก็เสด็จมาวางแก่นจันทน์ไว้ในพระหัตถ์แล้วเสด็จไป. พระมโหสถนั้นเอาแก่นจันทน์นั้นไว้ที่หลังแล้วก็คลอดออกมา ขณะนั้น มารดาถามมโหสถนั้นว่า ลูกเอ๋ย เจ้าถืออะไรมาด้วยนะ. มโหสถตอบว่า โอสถจ้ะแม่ ดังนั้น เพราะเหตุที่ถือโอสถมาด้วย มารดาบิดาจึงขนานนามว่า โอสถกุมาร. 
         ส่วนในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร พอออกจากครรภ์พระมารดา ก็เหยียดพระหัตถ์ขวาบอกว่า แม่จ๋าในเรือนมีทรัพย์ไรๆ อยู่หรือ ลูกจักให้ทานนะ. ขณะนั้น พระมารดาเอาหัตถ์พระโอรสไว้ที่ฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว วางถุงทรัพย์นับพันไว้ตรัสว่า ลูกเอ๋ย เจ้าเกิดมาในตระกูลมีทรัพย์แล้วนะ. 
         แต่ในอัตภาพนี้ทรงเปล่งสีหนาท ดังนั้น พระโพธิสัตว์พอออกจากครรภ์พระมารดา ก็ทรงเปล่งวาจาใน ๓ อัตภาพด้วยประการฉะนี้. 
         แม้ในพระสมภพบุพนิมิต ๓๒ ก็ปรากฏแก่พระองค์. 
         แต่ว่า ในสมัยใดพระโพธิสัตว์ของเราสมภพ ณ ลุมพินีวัน ในสมัยนั้นเหมือนกัน พระเทวีมารดา พระราหุล อานันทะ ฉันนะ กาฬุทายีอมาตย์ พระยาม้ากัณฐกะ ต้นมหาโพธิพฤกษ์ และหม้อขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ก็เกิด. 
         บรรดาขุมทรัพย์ทั้ง ๔ นั้น ขุมทรัพย์ขุมหนึ่งขนาดหนึ่งคาวุต ขุมหนึ่งขนาดครึ่งโยชน์ ขุมหนึ่งขนาดสามคาวุต ขุมหนึ่งขนาดหนึ่งโยชน์. 
         เหล่านี้ชื่อว่า สหชาตทั้ง ๗. 
         ชาวนครทั้งสองพาพระมหาบุรุษไปยังกรุงกบิลพัสดุ์. 
         วันนั้นนั่นแล หมู่เทพในชั้นดาวดึงส์ร่าเริงยินดีว่า โอรสของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชในกรุงกบิลพัสดุ์จักประทับนั่ง ณ โคนโพธิพฤกษ์เป็นพระพุทธเจ้า จึงพากันยกแผ่นผ้าเป็นต้นขึ้นโบกสะพัดเล่นกรีฑา. 
         สมัยนั้น ดาบสชื่อกาฬเทวละ ผู้ได้สมาบัติ ๘ ผู้ประจำตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนะ ฉันอาหารแล้วก็ไปยังภพดาวดึงส์ เพื่อพักกลางวัน นั่งพักกลางวันในที่นั้นแล้วเห็นเทวดาเหล่านั้นดีใจระเริงเล่นจึงถามว่า เหตุไร พวกท่านจึงพากันดีใจเบิกบานใจระเริงเล่น โปรดบอกเหตุนั้นแก่เราเถิด. 
         แต่นั้น เทวดาทั้งหลายก็บอกว่า ท่านผู้นิรทุกข์ โอรสพระเจ้าสุทโธทนะเกิดแล้ว โอรสพระองค์นั้นจักประทับนั่งที่โพธิมัณฑสถานเป็นพระพุทธเจ้าประกาศพระธรรมจักร ด้วยเหตุนี้ เราจึงยินดีต่อพระองค์ว่า พวกเราจะได้เห็นพุทธลีลาอันไม่มีที่สุด. 
         ดาบสได้ฟังคำของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ก็ลงจากเทวโลกอันสว่างไสวด้วยรัตนะ น่าดูอย่างยิ่ง เข้าไปยังพระราชนิเวศของนฤบดี นั่งเหนือวรอาสน์ที่จัดไว้ ทูลพระราชาผู้ทำปฏิสันถารว่า ขอถวายพระพร ได้ข่าวว่าพระโอรสของมหาบพิตรสมภพแล้ว อาตมภาพอยากเห็นพระราชโอรสนั้น. พระราชาโปรดให้นำพระโอรสที่ประดับตกแต่งพระองค์มาแล้ว นำไปใกล้ชิดเพื่อให้ไหว้เทวลดาบส. พระบาทของพระมหาบุรุษ กลับไปประดิษฐานเหนือชฎาของดาบส เหมือนสายฟ้าแลบกำลังอยู่เหนือยอดเมฆสีเขียวคราม. 
         แท้จริง บุคคลอื่นชื่อว่าอันพระโพธิสัตว์พึงไหว้โดยอัตภาพนั้น ไม่มี ดังนั้น ดาบสจึงลุกจากอาสนะประคองอัญชลีต่อพระโพธิสัตว์ พระราชาทรงเห็นความอัศจรรย์นั้นจึงทรงไหว้พระโอรสของพระองค์. 
         ดาบสเห็นลักษณสมบัติของพระโพธิสัตว์ ระลึกว่าผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่เป็นพระพุทธเจ้าหนอ พิจารณาทบทวน รู้ได้ด้วยอนาคตังสญาณว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย จึงทำอาการแย้มว่า ผู้นี้เป็นอัจฉริยบุรุษ. 
         ต่อนั้นจึงพิจารณาทบทวนว่า เราจะได้เห็นท่านผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ได้เห็นหนอ เห็นว่าเราไม่ได้เห็นเราจักทำกาละเสียในระหว่างนี่แลไปบังเกิดในอรูปภพ ที่พระพุทธเจ้าร้อยพระองค์ พันพระองค์ ไม่อาจเสด็จไปโปรดให้ตรัสรู้ได้ แล้วร้องไห้ว่า เราจักไม่ได้เห็นอัจฉริยบุรุษเช่นนี้เป็นพระพุทธเจ้า เราจักเสื่อมใหญ่. 
         มนุษย์ทั้งหลายเห็นก็ถามว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อกี้หัวเราะกลับมาร้องไห้อีก อันตรายไรๆ จักมีแก่พระลูกเจ้าของเราหรือ. 
         ดาบสตอบว่า อันตรายไม่มีแก่พระลูกเจ้านั้นดอก พระลูกเจ้าจักเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ต้องสงสัย. 
         มนุษย์ทั้งหลายจึงถามอีกว่า เมื่อเป็นดังนี้ เหตุไร ท่านจึงร้องไห้เล่า. 
         ดาบสตอบว่า เราเศร้าใจถึงตัวเราว่าจักไม่ได้เห็นอัจฉริยบุรุษเช่นนี้เป็นพระพุทธเจ้า เราจักเสื่อมใหญ่ดังนี้จึงร้องไห้.
         พราหมณ์บัณฑิต ๘ ท่านทำนายพระลักษณะ
         ต่อแต่นั้น พระประยูรญาติให้สรงสนานพระเศียรพระโพธิสัตว์. ในวันที่ ๕ ปรึกษากันว่าจักเฉลิมพระนาม จึงฉาบทาพระราชนิเวศน์ด้วยของหอม ๔ ชนิด โปรยดอกไม้มีข้าวตอกครบ ๕ ให้หุงข้าวมธุปายาสไม่ผสม นิมนต์พราหมณ์ ๑๐๘ ผู้จบไตรเพท ให้นั่งในราชนิเวศน์ ให้บริโภคข้าวมธุปายาส กระทำสักการะแล้วให้ตรวจทำนายพระลักษณะว่าจักเป็นอย่างไร.
         บรรดาพราหมณ์ ๑๐๘ นั้น พราหมณ์บัณฑิต ๘ ท่านมีรามพราหมณ์เป็นต้น เป็นผู้ตรวจทำนายพระลักษณะ. 
         บรรดาพราหมณ์บัณฑิต ๘ ท่านนั้น ๗ ท่านยกสองนิ้ว พยากรณ์เป็นสองส่วนว่า ประกอบด้วยพระลักษณะเหล่านี้ เมื่ออยู่ครอง ฆราวาสวิสัยจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อผนวชจะเป็นพระพุทธเจ้า. 
         บรรดาพราหมณ์บัณฑิต ๘ ท่านนั้น พราหมณ์โดยโคตรชื่อโกณฑัญญะหนุ่มกว่าเขาหมด เห็นพระวรลักษณสมบัติของพระโพธิสัตว์ ยกนิ้วเดียวเท่านั้น พยากรณ์เป็นส่วนเดียวว่า ท่านผู้นี้ไม่มีเหตุอยู่ครองฆราวาสวิสัย จักเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีหลังคาอันเปิดแล้วโดยส่วนเดียว.
         ครั้งนั้น พระประยูรญาติเมื่อถือพระนามของพระโพธิสัตว์นั้น จึงเฉลิมพระนามว่าสิทธัตถะ เพราะทรงทำความสำเร็จประโยชน์แก่โลกทั้งปวง. 
         ครั้งนั้น พราหมณ์เหล่านั้นกลับถึงบ้านเรือนของตนแล้ว ก็เรียกลูกๆ มาพูดสั่งอย่างนี้ว่า พ่อแก่แม่เฒ่าแล้วจะได้อยู่ชมพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ หรือไม่ได้ชมก็ได้ แต่เมื่อพระโอรสพระองค์นั้นทรงผนวชบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ลูกๆ ก็จงบวชในพระศาสนาของพระองค์นะ. 
         ต่อนั้น ท่านพราหมณ์บัณฑิต ๗ ท่านอยู่จนตลอดชีวิตแล้วก็ไปตามกรรม โกณฑัญญมาณพไม่มีโรค. 
         แต่ในครั้งนั้น พระราชาทรงสดับคำของพราหมณ์บัณฑิตเหล่านั้นแล้วตรัสถามว่า ลูกของเราเห็นอะไรจึงจักผนวช. พราหมณ์เหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่เทวะ เห็นบุพนิมิต ๔ พระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า ก็อะไรกันเล่า. ทูลตอบว่า คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย นักบวช. 
         พระราชาตรัสสั่งว่า นับตั้งแต่นี้ไปพวกเจ้าอย่าให้คนแก่ คนเจ็บ นักบวชมาใกล้ลูกเรานะ แล้วทรงตั้งกองรักษาการณ์ ทุกระยะคาวุตหนึ่งๆ ทั้ง ๔ ทิศเพื่อป้องกันคนแก่เป็นต้นมาปรากฏในสายตาพระกุมาร. 
         วันนั้น พระประยูรญาติแปดหมื่นตระกูล ประชุมกันในมงคลสถาน พระญาติแต่ละพระองค์ก็ทูลปฏิญญาถวายโอรสแต่ละองค์ว่า พระกุมารนี้จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือจะเป็นพระราชาก็ตาม พวกเราก็จะถวายโอรสแต่ละองค์ ถ้าพระกุมารจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ก็จักมีขัตติยสมณะคอยแวดล้อมจาริกไป ถ้าจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิไซร้ก็จักมีขัตติยกุมารคอยแวดล้อมตามเสด็จไป. 
         พระราชาพระราชทานพระพี่เลี้ยงนางนม ๖๔ นางผู้ปราศจากโทษทุกอย่าง ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติอย่างยิ่ง แด่พระมหาบุรุษ. 
         พระโพธิสัตว์ทรงเจริญวัยด้วยบริวารไม่มีที่สุด ด้วยสิริสมุทัยอย่างใหญ่. 
         ต่อมา วันหนึ่งเป็นวันพระราชพิธีวัปมงคล วันนั้นพระราชาเสด็จออกจากพระนครโดยสิริสง่ายิ่งใหญ่ด้วยราชบริพารกลุ่มใหญ่ ทรงพาพระโอรสเสด็จไปด้วย. 
         ณ ที่กสิกรรม มีต้นหว้าต้นหนึ่ง มีเงาทึบร่มเย็นน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง. ทรงปูที่บรรทมสำหรับพระกุมารภายใต้ต้นหว้านั้น ผูกเพดานผ้าแดงประดับดาวทอง กั้นม่านตั้งกองรักษาการณ์. 
         พระราชาประดับเครื่องอลังการทุกอย่างอันหมู่อำมาตย์แวดล้อมแล้ว เสด็จไปเพื่อจรดพระนังคัล ในที่กสิกรรมนั้น พระราชาทรงถือพระนังคัลทองอันเป็นมงคลอย่างยิ่ง พวกอำมาตย์เป็นต้นถือหางไถเงินเป็นต้น วันนั้นประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลพันหนึ่ง. พระพี่เลี้ยงนางนมนั่งล้อมพระโพธิสัตว์ คิดว่าจักดูสมบัติของพระราชา แล้วพากันออกไปนอกม่าน. 
         ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงแลดูข้างโน้นข้างนี้ ไม่เห็นใครๆ ก็พลันลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ ยังปฐมฌานให้เกิด พวกพี่เลี้ยงนางนมเตร่ไปในระหว่างอาหาร ชักช้าอยู่เล็กน้อย เงาของต้นไม้ต้นอื่นๆ คล้อยกลับไป แต่เงาของต้นหว้าต้นนั้นยังเป็นปริมณฑลตั้งอยู่ในที่นั้นนั่นเอง. 
         ฝ่ายพระพี่เลี้ยงนางนมของพระโพธิสัตว์นั้น คิดว่าพระลูกเจ้าอยู่แต่ลำพังจึงรีบยกม่านขึ้นหา ก็เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่บนที่บรรทม และเห็นปาฏิหาริย์นั้น ไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา. 
         พระราชารีบเสด็จมา ทรงเห็นปาฏิหาริย์นั้น ทรงไหว้พระโอรสตรัสว่า ลูกพ่อเอย นี่พ่อไหว้ลูกเป็นหนที่สองนะ. 
         ครั้งนั้น พระมหาบุรุษทรงมีพระชันษา ๑๖ พรรษาตามลำดับ พระราชาโปรดให้สร้างปราสาท ๓ หลัง ชื่อรัมมะ สุรัมมะและสุภะ ๙ ชั้นหลังหนึ่ง ๗ ชั้นหลังหนึ่ง ๕ ชั้นหลังหนึ่งอันเหมาะแก่ ๓ ฤดูแก่พระโพธิสัตว์ ปราสาทแม้ทั้ง ๓ หลัง ส่วนสูงมีขนาดเท่ากัน แต่ชั้นต่างกัน. 
         พระราชาทรงพระดำริว่า ลูกของเราเจริญวัยแล้ว จำเราจะให้ยกฉัตรแก่ลูก จักเห็นสิริราชสมบัติ. ท้าวเธอก็ทรงส่งสาสน์แก่เจ้าศากยะทั้งหลายว่า ลูกเราเจริญวัยแล้ว เราจักสถาปนาลูกเราไว้ในสิริราชสมบัติ เจ้าศากยะทุกพระองค์จงส่งทาริกาที่เจริญวัยแล้วในเรือนของตนไปสู่เรือนนี้. 
         เจ้าศากยะเหล่านั้นฟังสาส์นของพระราชา ก็พากันกล่าวว่า พระกุมารงามแต่รูปอย่างเดียว ยังไม่รู้ศิลปะไรๆ เลย จักไม่อาจทำการเลี้ยงภริยาได้ พวกเราจักไม่ให้ธิดาของเรา. 
         พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้วจึงเสด็จไปหาพระโอรส ทรงบอกเรื่องนั้น. 
         พระโพธิสัตว์ทูลถามว่า ควรจะแสดงศิลปะอะไร. 
         พระราชาตรัสว่าลูกเอ๋ย ควรจะใช้วิชากำลังบุรุษพันคนยกธนูขึ้น. 
         พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น โปรดให้นำธนูมา. 
         พระราชาโปรดให้นำธนูมาพระราชทาน. 
         บุรุษพันหนึ่งยกธนูนั้นขึ้น บุรุษพันหนึ่งยกลง. 
         พระมหาบุรุษให้นำธนูนั้นมาแล้ว ประทับนั่งขัดสมาธิ ทรงคล้องหัวสายธนูที่นิ้วแม่พระบาท โน้มขึ้นธนูด้วยนิ้วแม่พระบาทนั่นแหละ ทรงถือคันธนูด้วยพระหัตถ์ซ้ายแล้วขึ้นสายธนูด้วยพระหัตถ์ขวา. 
         ทั่วพระนครก็ถึงอาการดังกึกก้องขึ้น และเมื่อถูกถามว่านั่นเสียงอะไร ก็ตอบกันว่า เมฆฝนคำรามดังนั้น. 
         คนอื่นๆ จึงบอกว่า พวกท่านไม่รู้ ไม่ใช่เมฆฝนคำรามดอก เมื่อพระกุมารอังคีรสทรงใช้วิชากำลังบุรุษพันคนยกธนูขึ้น ทรงดีดสายธนู นั่นเสียงดีดสายธนูดอกนะ. 
         เจ้าศากยะทั้งหลายฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็พากันมีจิตคึกคักมีใจยินดี. 
         ลำดับนั้น พระมหาบุรุษตรัสว่า ควรทำอะไรต่อไป. 
         พระราชาตรัสว่า ควรเอาลูกธนูยิงแผ่นเหล็กหนา ๘ นิ้ว. ทรงยิงทะลุแผ่นเหล็กนั้นแล้วตรัสว่า ควรทำอะไรอย่างอื่น. 
         พระราชาตรัสว่า ควรยิงทะลุกระดานไม้ประดู่หนา ๔ นิ้ว. ทรงยิงทะลุแผ่นกระดานไม้ประดู่นั้นแล้วตรัสว่า ควรทำอะไรอย่างอื่น. 
         พระราชาตรัสว่า ควรยิงทะลุแผ่นกระดานไม้มะเดื่อหนาคืบหนึ่ง. ทรงยิงทะลุแผ่นกระดานไม้มะเดื่อแล้วตรัสว่า ควรทำอะไรอย่างอื่น. 
         เจ้าศากยะทั้งหลายตรัสว่า ยิงเกวียนบรรทุกทราย. 
         พระมหาสัตว์ทรงยิงทะลุเกวียนบรรทุกทรายบ้าง เกวียนบรรทุกฟางบ้าง เกวียนบรรทุกไม้เลียบบ้าง ทรงยิงลูกธนูไปในน้ำได้ประมาณอุสภะหนึ่ง บนบกได้ประมาณแปดอุสภะ.
         ครั้งนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายตรัสกะพระโพธิสัตว์ว่า ควรยิงขนทรายที่หมายไว้ที่ผลมะอึก. 
         พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงผูกผลมะอึก ไกลประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วให้ผูกขนทรายที่หมายไว้ที่ผลมะอึก ไกลประมาณโยชน์หนึ่ง ทรงยิงลูกธนูไปในทิศที่ปิดด้วยแผ่นเมฆ ในความมืดแห่งราตรี. ลูกธนูนั้นไปผ่าขนทราย ไกลประมาณโยชน์หนึ่งแล้วเข้าไปสู่แผ่นดิน. มิใช่เพียงเท่านั้นอย่างเดียว วันนั้น พระมหาบุรุษทรงแสดงศิลปะที่ใช้กันอยู่ในโลกทุกอย่าง. 
         ครั้งนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายประดับธิดาของตนส่งไป สตรีสี่หมื่นนางได้เป็นนางสนมนาฏ ส่วนพระเทวีมารดาพระราหุลได้เป็นอัครมเหสี. 
         พระมหาบุรุษอันสตรีรุ่นจำเริญแห่งมนุษย์แวดล้อม เหมือนเทวกุมารอันสตรีรุ่นจำเริญแห่งเทวดาแวดล้อมฉะนั้น อันดนตรีที่ไร้บุรุษบำเรออยู่ เสวยมหาสมบัติ ประทับอยู่ ณ ปราสาท ๓ หลังนั้น เปลี่ยนไปตามฤดู. 
         ต่อมาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์มีพระประสงค์จะเสด็จไปยังภาคพื้นที่พระอุทยาน ทรงเรียกสารถีมาแล้วตรัสสั่งว่า จงเทียมรถไว้ เราจะชมสวน. 
         สารถีนั้นรับพระดำรัสแล้ว ก็ประดับรถอันเป็นพาหนะที่สมควรยิ่งใหญ่มีทูบและสายรัดงามมั่นคง มีกงและดุมมั่นคง มีงอนและหน้าประดับด้วยทองเงินและแก้วมณี ข้างกงประดับด้วยดวงดาวทองและเงิน มีสิริสง่าด้วยพวงดอกไม้มีกลิ่นหอมชนิดต่างๆ ที่กำรวมกันไว้ เป็นที่น่าดูเสมือนรถพระอาทิตย์ เทียมมงคลสินธพ ๔ ตัวที่เป็นม้าอาชาไนย ฝีเท้าดังพระยาครุฑในอากาศ มีสีเสมือนดวงจันทร์และดอกกุมุท แล้วทูลให้พระโพธิสัตว์ทรงทราบ. 
         พระโพธิสัตว์ เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่งคันนั้น ซึ่งเสมือนเทพพิมาน เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปสู่พระอุทยาน. 
         ลำดับนั้น เทวดาทั้งหลายดำริกันว่า ใกล้เวลาตรัสรู้ของพระสิทธัตถะกุมารแล้ว จำเราจักแสดงบุพนิมิตแด่พระองค์ จึงแสดงเป็นเทพบุตรองค์หนึ่งมีสรีระคร่ำคร่าเพราะชรา ฟันหัก ผมหงอก ตัวค้อมลง สั่นเทา. 
         พระโพธิสัตว์และสารถีต่างก็เห็นคนแก่นั้น แต่นั้น พระโพธิสัตว์จึงตรัสถามโดยนัยที่มาในมหาปทานสูตรว่า ดูก่อนสารถี บุรุษนั่นชื่ออะไร แม้แต่ผมของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ เป็นต้น ครั้นฟังคำของสารถีนั้นแล้ว ก็ทรงสังเวชพระหฤทัยว่าท่านเอ๋ย น่าตำหนิชาติจริงหนอที่คนเกิดมาแล้ว ต้องปรากฏชราความแก่ดังนี้ เสด็จกลับจากที่นั้นแล้วก็เสด็จขึ้นปราสาท. 
         พระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไร ลูกของเราจึงกลับ. สารถีทูลว่า เพราะทรงเห็นคนแก่ พระเจ้าข้า. แต่นั้น พระราชาทรงหวั่นพระหฤทัย ทรงวางกองรักษาการณ์ไว้ในที่กึ่งโยชน์. 
         วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์เสด็จไปพระอุทยาน ทรงเห็นคนเจ็บซึ่งเทวดาเหล่านั้นนั่นแหละเนรมิต ทรงถามเหมือนนัยก่อน สังเวชพระหฤทัย เสด็จกลับขึ้นปราสาท. 
         พระราชาตรัสถามแล้ว ทรงจัดนักฟ้อนทั้งหลาย ทรงพระดำริว่า จำเราจักทำใจลูกเราให้แยกออกไปจากการบวช จึงทรงเพิ่มอารักขา ทรงตั้งกองรักษาการณ์ในที่ประมาณสามคาวุตโดยรอบ. 
         แม้รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ก็เสด็จไปพระอุทยาน ทรงเห็นคนตายที่เทวดาเนรมิตอย่างนั้นเหมือนกัน ทรงถามเหมือนนัยก่อน สังเวชพระหฤทัยแล้วเสด็จกลับขึ้นปราสาทเลย. พระราชาตรัสถามถึงเหตุที่เสด็จกลับ ทรงเพิ่มอารักขาอีก ทรงตั้งกองรักษาการณ์ไว้ในที่โยชน์หนึ่ง. 
         แม้รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ก็เสด็จไปพระอุทยาน ทรงเห็นนักบวชนุ่งดี ห่มดี ที่เทวดาเนรมิตอย่างนั้นเหมือนกัน ตรัสถามสารถีว่า สหายสารถี ผู้นั้นชื่ออะไร. 
         สารถีไม่รู้จักนักบวชหรือคุณของนักบวช เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น เขาก็ตอบโดยอานุภาพของเทวดาว่า ผู้นี้ชื่อนักบวช พระเจ้าข้า. แล้วพรรณนาคุณของการบวชแก่พระโพธิสัตว์นั้น. 
         แต่นั้น พระโพธิสัตว์เกิดความชอบใจการบวช จึงเสด็จไปพระอุทยาน. 
         พระโพธิสัตว์ทั้งหลายอายุยืน เมื่อล่วงไปทุกร้อยปีจึงเห็นบุพนิมิตแต่ละอย่าง บรรดาบุพนิมิต ๔ มีคนแก่เป็นต้น. 
         ส่วนพระโพธิสัตว์ของเรา เพราะอุบัติในยุคที่มนุษย์มีอายุน้อย ล่วงไปทุก ๔ เดือนจึงเสด็จไปพระอุทยาน ทรงเห็นบุพนิมิตแต่ละอย่างโดยลำดับ. แต่พระอาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าวว่า ได้เสด็จไปเห็นนิมิต ๔ วันเดียวกันเท่านั้น. 
         พระโพธิสัตว์ทรงเล่น ณ พระอุทยานนั้นตลอดทั้งวัน ทรงชื่นชมรสพระอุทยาน แล้วทรงสรงสนาน ณ สระมงคลโบกขรณี เมื่อดวงอาทิตย์อัสดงคต ประทับนั่งเหนือพื้นพระแท่นมงคลศิลา มีพระประสงค์จะทรงแต่งพระองค์. 
         ลำดับนั้น วิสสุกรรมเทพบุตรอันท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงทราบพระหฤทัยของพระโพธิสัตว์ ทรงใช้แล้ว ก็มาเป็นเสมือนช่างกัลบกสำหรับพระโพธิสัตว์นั้น ก็ประดับด้วยเครื่องอลังการที่เป็นทิพย์. 
         เมื่อนักดนตรีสัพพตาลทั้งหลายแสดงปฏิภาณของตนๆ แก่พระโพธิสัตว์นั้นซึ่งประดับด้วยอลังการทุกอย่างแล้ว และเมื่อพราหมณ์ทั้งหลายสรรเสริญด้วยถ้อยคำเป็นต้นว่า ชย นรินฺท ข้าแต่พระจอมนระ ขอจงทรงชนะ และเมื่อผู้ถือมงคลมีสุตมังคลิกะเป็นต้นสรรเสริญด้วยคำมงคลและเสียงสดุดีมีประการต่างๆ พระโพธิสัตว์ก็เสด็จขึ้นรถ ที่ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง. 
         สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงสดับข่าวว่า พระมารดาพระราหุลประสูติโอรส ก็ทรงส่งข่าวไปว่า พวกเจ้าจงแจ้งความยินดีแก่ลูกของเรา. 
         พระโพธิสัตว์ฟังข่าวนั้นแล้วตรัสว่า ห่วงเกิดแล้ว เครื่องผูกเกิดแล้ว. 
         พระราชาตรัสถามว่า ลูกของเราพูดอะไร. ทรงสดับคำนั้นแล้วตรัสว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลานเราจงมีชื่อว่าราหุลกุมาร.