Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา.รัตนะจงกรมกัณฑ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา.รัตนะจงกรมกัณฑ์ แสดงบทความทั้งหมด

29 พฤศจิกายน 2568

หน้าต่างที่ ๑๒ / ๑๒ อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ รัตนะจงกรมกัณฑ์

 อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ รัตนะจงกรมกัณฑ์ เนื้อความในพระไตรปิฎก เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง. อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
  ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตนั้นใคร่ครวญยิ่งขึ้นไปว่า ไม่ควรมีแต่พุทธการกธรรมเพียงเท่านี้ ก็เห็นศีลบารมีเป็นอันดับสอง จึงสอนตนเองอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิตตั้งแต่นี้ไป ท่านควรบำเพ็ญศีลบารมี ขึ้นชื่อว่าเนื้อจามรีไม่อาลัยแม้แต่ชีวิต ย่อมรักษาขนหางของตนอย่างเดียวฉันใด ตั้งแต่นี้ไป ท่านไม่อาลัยแม้แต่ชีวิต รักษาศีลอย่างเดียวฉันนั้น แล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า จึงอธิษฐานศีลบารมีอันดับสองไว้มั่น. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               พุทธธรรมเหล่านั้น ไม่ใช่จักมีแต่เพียงเท่านี้ 
         เท่านั้น เราจึงเลือกเฟ้นพุทธธรรมแม้อื่นๆ ที่ช่วย 
         อบรมบ่มโพธิญาณ. 
               ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นศีลบารมีอันดับ 
         สอง ซึ่งพระผู้แสวงคุณทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ พากัน 
         ซ่องเสพอยู่เป็นประจำ. 
               ท่านจงสมาทานศีลบารมีอันดับสองนี้ไว้มั่นก่อน 
         จงบำเพ็ญศีลบารมี ผิว่า ท่านต้องการจะบรรลุพระโพธิ 
         ญาณ. 
               เนื้อจามรี รักษาขนหางที่ติดอยู่ในที่บางแห่ง 
         ยอมตายอยู่ในที่นั้น ไม่ยอมให้ขนหางกระจุย ฉันใด 
               ท่านจงทำศีลทั้งหลายให้บริบูรณ์ในฐานะ ๔ 
         จงบริรักษ์ศีลทุกเมื่อ เหมือนจามรีรักษาขนหางฉันนั้น 
         เหมือนกัน.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เหเต ได้แก่ น หิ เอเตเยว มิใช่พุทธธรรมเหล่านั้นเท่านั้น. 
         บทว่า โพธิปาจนา ได้แก่ บ่มมรรค หรืออบรมบ่มพระสัพพัญญุตญาณ. 
         บทว่า ทุติยํ สีลปารมึ ความว่า ธรรมดาศีลเป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมทุกอย่าง ผู้ตั้งอยู่ในศีลย่อมไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย ทั้งย่อมได้คุณส่วนโลกิยะและโลกุตระทุกอย่าง เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นศีลบารมีเป็นอันดับสองว่า ควรบำเพ็ญศีลบารมี. 
         บทว่า อาเสวิตนิเสวิตํ ได้แก่ เจริญแล้วและทำให้มากแล้ว. 
         บทว่า จมรี ได้แก่ เนื้อจามรี. 
         บทว่า กสฺมิญฺจิ ได้แก่ ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง คือในต้นไม้เถาวัลย์และเรียวหนามเป็นต้นแห่งใดแห่งหนึ่ง. 
         บทว่า ปฏิลคฺคิตํ แปลว่า ติดอยู่. 
         บทว่า ตตฺถ ความว่า ขนหางติดอยู่ในที่ใด มันก็ยืนยอมตายในที่นั้น. 
         บทว่า น วิโกเปติ ได้แก่ ไม่ตัด. 
         บทว่า วาลธึ ได้แก่ ไม่ตัดขนหางไป. อธิบายว่า ยอมตายในที่นั้นนั่นแหละ. 
         บทว่า จตูสุ ภูมีสุ สีลานิ ความว่า ศีลทั้งหลายแจกเป็น ๔ ฐานะ คือปาติโมกขสังวรศีล อินทรียสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล และปัจจยสันนิสสิตศีล. 
         แต่เมื่อว่าโดยภูมิ ศีล ๔ แม้นั้นนั่นแล นับเนื่องในภูมิ ๒ นั่นแล. 
         บทว่า ปริปูรย ได้แก่ จงให้บริบูรณ์ โดยไม่มีขาดเป็นท่อน เป็นช่องด่างพร้อยเป็นต้น. 
         บทว่า สพฺพทา ได้แก่ ทุกเวลา. 
         บทว่า จมรี วิย ได้แก่ เหมือนเนื้อจามรี. 
         คำที่เหลือแม้ในข้อนี้ ก็มีความง่ายทั้งนั้นแล. 
         ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตนั้นใคร่ครวญยิ่งขึ้นไปว่าพุทธการกธรรมมิใช่มีเพียงเท่านี้ ก็เห็นเนกขัมมบารมีเป็นอันดับสาม จึงสอนตนเองอย่างนี้ว่า
         ดูก่อนสุเมธบัณฑิต ตั้งแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี บุรุษที่อยู่ในเรือนจำมานาน ย่อมไม่รักเรือนจำนั้น ที่แท้ก็เอือมระอา ไม่อยากอยู่แม้ฉันใด แม้ตัวท่านก็จงเห็นภพทั้งปวงเป็นเสมือนเรือนจำ จงเอือมระอาอยากพ้นไปจากภพทั้งปวง มุ่งหน้าต่อเนกขัมมะอย่างเดียว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้น ท่านก็จักเป็นพระพุทธเจ้าได้. 
         แล้วอธิษฐานเนกขัมมบารมีอันดับสามไว้มั่น. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีเพียงเท่านี้เท่านั้น 
         เราจึงเลือกเฟ้นพุทธธรรมแม้อื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรมบ่ม 
         โพธิญาณ. 
               ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้น ก็เห็นเนกขัมมบารมี 
         อันดับสาม ซึ่งพระผู้แสวงคุณทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ 
         ซ่องเสพกันอยู่เป็นประจำ. 
               ท่านจงสมาทานเนกขัมมบารมีอันดับสามนี้ไว้ 
         ให้มั่นก่อน จงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ผิว่า ท่านต้องการ 
         จะบรรลุพระโพธิญาณ. 
               บุรุษอยู่ในเรือนจำมานาน ระทมทุกข์ ย่อมไม่ 
         เกิดความรักในเรือนจำนั้น แสวงหาทางพ้นอย่างเดียว 
         ฉันใด. 
               ท่านจงเห็นภพทั้งปวงเหมือนเรือนจำ มุ่งหน้า 
         ต่อเนกขัมมะ เพื่อหลุดพ้นจากภพ ฉันนั้นเหมือนกัน.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺทุฆเร แปลว่า เรือนจำ. 
         บทว่า จิรวุฏฺโฐ แปลว่า อยู่มาตลอดกาลนาน. 
         บทว่า ทุขฏฺฏิโต ได้แก่ ถูกทุกข์บีบคั้น. 
         บทว่า น ตตฺถ ราคํ ชเนติ ความว่า ไม่ยังความคิด ความรักให้เกิดให้อุบัติในเรือนจำนั้นได้. อธิบายว่า ไม่ยังความรักให้เกิดในเรือนจำนั้นอย่างนี้ว่า เราพ้นเรือนจำนี้แล้วจักไม่ไปในที่อื่น บุรุษผู้นั้นจะแสวงหาความหลุดความพ้นไปทำไมเล่า. 
         บทว่า เนกฺขมฺมาภิมุโข ได้แก่ จงมุ่งหน้าต่อการออกบวช. 
         บทว่า ภวโต ได้แก่ จากภพทั้งปวง. บทว่า ปริมุตฺติยา ได้แก่ เมื่อหลุดพ้น 
         ปาฐะว่า เนกฺขมฺมาภิมุโข หุตฺวา สมฺโพธึ ปาปุณิสฺสสิ ดังนี้ก็มี. 
         คำที่เหลือในข้อนั้นมีความง่ายทั้งนั้นแล. 
         ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตนั้นใคร่ครวญยิ่งขึ้นไปว่า อันพุทธการกธรรมมิใช่มีเพียงเท่านี้เท่านั้น ก็เห็นปัญญาบารมีอันดับสี่ แล้วสอนตนเองอย่างนี้ว่า 
         ดูก่อนสุเมธบัณฑิต ตั้งแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้ปัญญาบารมี ท่านไม่พึงเว้นคนชั้นต่ำชั้นกลางและชั้นสูงไรๆ เข้าไปหาบัณฑิตทุกท่าน แล้วถามปัญหา. 
         ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ไม่เว้นตระกูลทั้งหลายมีตระกูลต่ำเป็นต้นไรๆ เที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับ ย่อมได้อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไปได้เร็วฉันใด แม้ท่านก็จงเข้าไปหาบัณฑิตทุกท่านถามปัญหา ก็จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ฉันนั้นเหมือนกัน.
         แล้วอธิษฐานปัญญาบารมีอันดับสี่ไว้มั่น. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีเพียงเท่านี้เท่านั้น 
         จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยอบรมบ่ม 
         พระโพธิญาณ. 
               ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้น ก็เห็นปัญญาบารมี 
         อันดับสี่ ซึ่งพระผู้แสวงคุณทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ 
         ซ่องเสพกันอยู่เป็นประจำ. 
               ท่านจงสมาทานปัญญาบารมี อันดับสี่นี้ไว้ให้มั่น 
         จงบำเพ็ญปัญญาบารมี ผิว่า ท่านต้องการจะบรรลุ 
         พระโพธิญาณ. 
               เหมือนอย่างว่า ภิกษุเมื่อขอก็ขอทั้งตระกูลชั้นต่ำ 
         ตระกูลชั้นกลางและตระกูลชั้นสูง ไม่เว้นตระกูลทั้ง 
         หลายเลย ดังนั้นจึงได้อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไป 
         ได้ ฉันใด. 
               ท่านสอบถามชนผู้รู้ทุกเวลา ถึงฝั่งปัญญาบารมี 
         แล้ว ก็จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ฉันนั้นเหมือนกัน.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขนฺโต ได้แก่ ผู้เที่ยวไปบิณฑบาต. 
         บทว่า หีนมุกฺกฏฺฐมชฺฌิเม ความว่า ตระกูลทั้งชั้นต่ำ ชั้นสูงและชั้นกลาง. ท่านทำเป็นลิงควิปลาส. 
         บทว่า น วิวชฺเชนฺโต ได้แก่ ไม่บริหาร. อธิบายว่า ภิกษุละลำดับเรือนเที่ยวบิณฑบาต ชื่อว่าเว้นไม่ทำอย่างนั้น. 
         บทว่า ปริปุจฺฉนฺโต ความว่า เข้าไปหาบัณฑิต ผู้มีชื่อเสียงในที่นั้นๆ สอบถามโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านเจ้าข้า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษดังนี้. 
         บทว่า พุธํ ชนํ ได้แก่ ชนผู้เป็นบัณฑิต. ปาฐะว่า พุเธ ชเน ดังนี้ก็มี.
         บทว่า ปญฺญาย ปารมึ ได้แก่ ฝั่งแห่งปัญญาบารมี. ปาฐะว่า ปญฺญาปารมิตํ คนฺตฺวา ดังนี้ก็มี. 
         คำที่เหลือในข้อแม้นี้ก็มีความง่ายเหมือนกันแล. 
         ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตนั้นใคร่ครวญยิ่งขึ้นไปว่า อันพุทธการกธรรมทั้งหลายมิใช่เพียงเท่านี้เท่านั้น ก็เห็นวิริยบารมีอันดับห้า จึงสอนตนเองอย่างนี้ว่า 
         ดูก่อนสุเมธบัณฑิต ตั้งแต่นี้ไป ท่านต้องบำเพ็ญแม้แต่วิริยบารมี ราชสีห์ พระยามฤค มีความเพียรมั่นคงในอิริยาบถทั้งหมดแม้ฉันใด แม้ตัวท่านก็ต้องมีความเพียรมั่นคง มีความเพียรไม่ท้อถอยในอิริยาบถทั้งปวง ในภพทั้งปวงอยู่ฉันนั้น จึงจักเป็นพระพุทธเจ้าได้ อธิษฐานวิริยบารมีอันดับห้าไว้อย่างมั่นคง. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
            พุทธธรรมเหล่านั้นจักมีเพียงเท่านี้เท่านั้นก็หาไม่ 
         จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรมบ่ม 
         โพธิญาณ. 
            ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นวิริยบารมีอันดับห้า 
      ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ ซ่องเสพ 
      กันเป็นประจำ. 
            ท่านจงสมาทาน วิริยบารมีอันดับห้านี้ไว้ให้มั่นก่อน 
      จงบำเพ็ญวิริยบารมี ผิว่าท่านต้องการจะบรรลุพระโพธิญาณ. 
               ราชสีห์พระยามฤค มีความเพียรไม่ท้อถอยใน 
         อิริยาบถนอน ยืน เดิน ประคองใจทุกเมื่อ ฉันใด. 
               ท่านจงประคองความเพียรไว้ให้มั่นในภพทั้งปวง 
         ถึงฝั่งแห่งวิริยบารมีแล้ว ก็จักบรรลุพระสัมโพธิญาณฉันนั้น 
         เหมือนกัน.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลีนวิริโย แปลว่า มีความเพียรไม่ย่อหย่อน. 
         บทว่า สพฺพภเว ได้แก่ ในภพที่เกิดแล้วเกิดอีก. อธิบายว่า ในภพทั้งปวง. 
         ปาฐะว่า อารทฺธวิริโย หุตฺวา สมฺโพธึ ปาปุณิสฺสสิ ดังนี้ก็มี 
         คำที่เหลือแม้ในข้อนี้ ก็ง่ายเหมือนกันแล. 
         ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตนั้นใคร่ครวญยิ่งขึ้นไปว่า อันพุทธการกธรรมทั้งหลายมิใช่พึงมีเพียงเท่านี้เท่านั้น ก็เห็นขันติบารมีอันดับหกจึงสอนตนเองอย่างนี้ว่า 
         ดูก่อนสุเมธบัณฑิต ตั้งแต่นี้ไป ท่านต้องบำเพ็ญขันติบารมี ต้องอดทนทั้งในการยกย่อง ทั้งในการดูหมิ่น เหมือนอย่างว่า ชนทั้งหลายย่อมทิ้งของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่ทำความรักหรือความขัดเคือง ด้วยเหตุนั้น ย่อมอดทนอดกลั้นได้ทั้งนั้นฉันใด แม้ตัวท่านก็ต้องอดทนในการยกย่องและดูหมิ่นของคนทั้งปวงได้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันจึงจักเป็นพระพุทธเจ้าได้. 
         ก็อธิษฐานขันติบารมีอันดับหกไว้มั่นคง. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               พุทธธรรมเหล่านั้นจักมีเพียงเท่านี้เท่านั้นก็หาไม่ 
         จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรมบ่มพระ 
         โพธิญาณ. 
               ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นขันติบารมีอันดับ 
         หก ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ 
         ซ่องเสพกันมาเป็นประจำ. 
               ท่านจงสมาทานขันติบารมี อันดับหกนี้ไว้ให้มั่น 
         ก่อน ท่านจงมีใจไม่เป็นสองในขันติบารมีนั้น ก็จักบรรลุ 
         พระสัมโพธิญาณได้. 
               ขึ้นชื่อว่าแผ่นดิน ย่อมทนสิ่งของที่เขาทิ้งลงมา 
         สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างทุกอย่าง ไม่ทำความยินดี 
         ยินร้าย ฉันใด. 
               แม้ตัวท่าน ก็ต้องอดทนการยกย่องและการดูหมิ่น 
         ของชนทั้งปวง ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงฝั่งแห่งขันติบารมี 
         แล้ว ก็จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในขันติบารมีนั้น. 
         บทว่า อเทฺวชฺฌมานโส ได้แก่ มีใจส่วนเดียว. 
         บทว่า สุจิมฺปิ ได้แก่ ของสะอาดมีจันทน์หญ้าฝรั่นของหอมดอกไม้เป็นต้นบ้าง. 
         บทว่า อสุจิมฺปิ ได้แก่ ของไม่สะอาดมีซากงู สุนัข คนและมูตร น้ำลาย น้ำมูกเป็นต้นบ้าง. 
         บทว่า สหติ ได้แก่ อดกลั้น. 
         บทว่า นิกฺเขปํ ได้แก่ นิกฺขิตฺตํ อันเขาทิ้งแล้ว. 
         บทว่า ปฏิฆํ ได้แก่ ความโกรธ. 
         บทว่า ตยา คือ เพราะพฤติการณ์นั้น หรือเพราะเหตุที่ทิ้งของนั้น.
         ปาฐะว่า ปฏิฆํ ทยํ ดังนี้ก็มี 
         ปาฐะนั้นมีความว่า ไม่ทำความยินดียินร้าย เพราะการทิ้งของนั้น. 
         บทว่า สมฺมานาวมานกฺขโม ความว่า แม้ตัวท่านก็จงทนการยกย่องและการดูหมิ่นของคนทั้งปวง. 
         พุทธบริษัททั้งหลายสวดกันว่า ตเถว ตฺวมฺปิ สมฺภเว สมฺมานนวิมานกฺขโม ดังนี้ก็มี ปาฐะว่า ขนฺติยา ปารมึ คนฺตฺวา ดังนี้ก็มี. ความว่า ถึงโดยบำเพ็ญขันตินั้นให้เป็นบารมี. 
         คำที่เหลือแม้ในข้อนี้ก็ง่ายเหมือนกันแล. 
         ต่อแต่นี้ไป จักไม่กล่าวความมีประมาณเท่านี้ กล่าวแต่ที่แปลกกัน แสดงปาฐะอื่นไป. 
         ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตใคร่ครวญยิ่งขึ้นไปว่า อันพุทธการกธรรมทั้งหลายมิใช่มีแต่เพียงเท่านี้เท่านั้น ก็เห็นสัจบารมีอันดับเจ็ด จึงสอนตนเองอย่างนี้ว่า 
         ดูก่อนสุเมธบัณฑิต ตั้งแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้แต่สัจบารมี เมื่อสายฟ้าแม้ตกลงตรงกระหม่อม ท่านก็อย่าพูดเท็จทั้งรู้ โดยอคติมีฉันทาคติเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์เป็นอาทิ ธรรมดาดาวประกายพรึก ถึงละทางโคจรของตนในฤดูทุกฤดู ก็ไม่โคจรไปทางอื่น โคจรอยู่ในทางของตนเท่านั้นแม้ฉันใด ถึงตัวท่านละสัจจะก็ไม่พูดเท็จฉันนั้นเหมือนกัน ก็จักเป็นพระพุทธเจ้าได้. 
         แล้วอธิษฐานสัจบารมีอันดับเจ็ดไว้มั่น. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               พุทธธรรมเหล่านั้นจักมีเพียงเท่านี้เท่านั้นก็หาไม่ 
         จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรมบ่มพระ 
         โพธิญาณ. 
               ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้น ก็เห็นสัจบารมีอันดับเจ็ด 
         ซึ่งพระผู้แสวงคุณทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ ซ่องเสพกันเป็น 
         ประจำ. 
               ท่านจงสมาทานสัจบารมีอันดับเจ็ดนี้ไว้มั่นก่อน 
         ท่านมีวาจาไม่เป็นสองในสัจบารมีนั้น ก็จักบรรลุพระสัมโพธิ 
         ญาณ. 
               ธรรมดาดาวประกายพรึก เป็นดังตาชั่งของโลก 
         พร้อมทั้งเทวโลก ไม่ว่าในฤดูฝนฤดูหนาวฤดูร้อน ไม่โคจร 
         ออกนอกวิถีโคจรเลย แม้ฉันใด. 
               ถึงตัวท่าน ก็อย่าเดินออกนอกวิถีทางในสัจจะทั้ง 
         หลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงฝั่งสัจบารมีแล้วก็จักบรรลุพระ 
         สัมโพธิญาณ.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในสัจบารมี. 
         บทว่า อเทฺวชฺฌวจโน แปลว่า มีวาจาไม่เท็จ. 
         บทว่า โอสธี นาม แปลว่า ดาวประกายพรึก. 
         ในการถือเอายา ชนทั้งหลายแลเห็นดาวประกายพรึกขึ้นจึงถือเอายา เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่าดาวประกายพรึก. 
         บทว่า ตุลาภูตา ได้แก่ เป็นเครื่องวัด. 
         บทว่า สเทวเก แปลว่า ของโลกพร้อมทั้งเทวโลก. 
         บทว่า สมเย ได้แก่ ในฤดูฝน. 
         บทว่า อุตุวสฺเส ได้แก่ ในฤดูหนาวฤดูร้อน. ปาฐะว่า สมเย อุตุวฏฺเฏ ดังนี้ก็มี. 
         ปาฐะนั้นมีความว่า บทว่า สมเย ได้แก่ ฤดูร้อน. 
         บทว่า อุตุวฏฺเฏ ได้แก่ ฤดูหนาวและฤดูฝน. ได้แก่ ฤดูหนาวและฤดูฝน. 
         บทว่า น โอกฺกมติ วีถิโต ดาวประกายพรึกย่อมไม่โคจรออกจากวีถี คือไม่โคจรไปนอกวิถีโคจรของตนในฤดูนั้นๆ คือ โคจรไปทิศปัจฉิม ๖ เดือน โคจรไปทิศบูรพา ๖ เดือน. 
         อีกนัยหนึ่ง ยา มีขิง ดีปลี พริกเป็นต้น ชื่อว่าโอสธี. 
         บทว่า น โวกฺกมติ ความว่า ยาขนานใดๆ สามารถให้ผล ยาขนานนั้นๆ ให้ผลแล้ว ไม่ให้ผลของตัวเองก็ไม่สูญหายไป. 
         บทว่า วีถิโต ได้แก่ จากทางไป. อธิบายว่า ยาแก้ดีก็รักษาดี แก้ลมก็รักษาลม แก้เสมหะก็รักษาเสมหะ. 
         คำที่เหลือแม้ในข้อนี้ ก็ง่ายเหมือนกันแล. 
         ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตนั้นใคร่ครวญยิ่งขึ้นไปว่า อันพุทธการกธรรมทั้งหลายมีเท่านี้เท่านั้นก็หาไม่ ก็เห็นอธิษฐานบารมีอันดับแปด จึงสอนตนเองอย่างนี้ว่า 
         ดูก่อนสุเมธบัณฑิต ตั้งแต่นี้ไป ท่านต้องบำเพ็ญแม้แต่อธิษฐานบารมี ตั้งอธิษฐานใดไว้ ก็เป็นผู้ไม่คลอนแคลนในอธิษฐานนั้น. ชื่อว่าภูเขา เมื่อลมพัดมากระทบทุกทิศก็ไม่หวั่นไม่ไหว นิ่งอยู่ในที่ของตนเท่านั้นฉันใด ถึงตัวท่านเมื่อไม่คลอนแคลนในอธิษฐานของตน ก็จักเป็นพระพุทธเจ้าฉันนั้นเหมือนกัน. 
         ก็อธิษฐานอธิษฐานบารมีอันดับแปดไว้มั่น 
         และด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               พุทธธรรมเหล่านั้นจักมีแต่เพียงเท่านี้เท่านั้นก็หาไม่ 
         จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรมบ่มพระ 
         โพธิญาณ. 
               ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นอธิษฐานบารมีอันดับ 
         แปด ซึ่งพระผู้แสวงคุณทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ ซ่องเสพกัน 
         เป็นประจำ. 
               ท่านจงสมาทานอธิษฐานบารมีอันดับแปดนี้ไว้ให้ 
         มั่นก่อน ท่านเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานบารมีนั้นแล้ว 
         ก็จักบรรลุพระโพธิญาณได้. 
               ภูเขาหิน ที่ไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมไม่ไหว 
         ด้วยลมแรงกล้า ย่อมตั้งอยู่ในฐานของตน ฉันใด. 
               ถึงตัวท่านก็จงไม่หวั่นไหวในอธิษฐานบารมีทุกเมื่อ 
         ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านถึงฝั่งแห่งอธิษฐานบารมีแล้ว จึงจัก 
         บรรลุพระสัมโพธิญาณได้.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสโล ได้แก่ ที่สำเร็จด้วยหิน. 
         บทว่า อจโล ได้แก่ ไม่คลอนแคลน. 
         บทว่า สุปฺปติฏฺฐิโต ได้แก่ ชื่อว่าตั้งมั่นด้วยดี เพราะไม่คลอนแคลนนั่นแล. 
         ปาฐะว่า ยถาปิ ปพฺพโต อจโล นิขาโต สุปฺปติฏฺฐิโต ดังนี้ก็มี. 
         บทว่า ภุสวาเตหิ ได้แก่ ด้วยลมมีกำลัง. 
         บทว่า สกฏฺฐาเนว ได้แก่ ในฐานของตนนั่นแหละ. อธิบายว่า ในฐานตามที่ตั้งอยู่นั่นแล. 
         คำที่เหลือแม้ในข้อนี้ ก็ง่ายเหมือนกันแล. 
         ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตนั้นก็ใคร่ครวญยิ่งขึ้นไปว่าอันพุทธการกธรรมทั้งหลายจะพึงมีเพียงเท่านี้เท่านั้นก็หาไม่ เห็นเมตตาบารมีอันดับเก้าแล้ว ก็สอนตนเองอย่างนี้ว่า 
         ดูก่อนสุเมธบัณฑิต ตั้งแต่นี้ไป ท่านต้องบำเพ็ญเมตตาบารมี ท่านพึงมีจิตเป็นอย่างเดียวกัน ทั้งในผู้มีประโยชน์เกื้อกูล ทั้งในผู้ไม่มีประโยชน์เกื้อกูล เปรียบเหมือนน้ำย่อมเอิบอาบทำความเย็นเป็นอย่างเดียวกัน ทั้งบาปชน ทั้งกัลยาณชน แม้ฉันใด ถึงตัวท่าน มีจิตเป็นอย่างเดียวกันด้วยเมตตาจิตในสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็จักเป็นพระพุทธเจ้า ฉันนั้นเหมือนกัน. 
         อธิษฐานเมตตาบารมีอันดับเก้าไว้นั่นแล. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               พุทธธรรมเหล่านั้นจักมีเพียงเท่านี้เท่านั้นก็หามิได้ 
         จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรมบ่มพระ 
         โพธิญาณ. 
               ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นเมตตาบารมีอันดับ 
         เก้า ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระองค์ก่อนๆ ซ่อง 
         เสพกันมาเป็นประจำ. 
               ท่านจงสมาทานเมตตาบารมีอันดับเก้านี้ไว้มั่นก่อน 
         จงเป็นผู้ไม่มีผู้เสมอด้วยเมตตา ผิว่า ท่านต้องการบรรลุพระ 
         โพธิญาณ. 
               ธรรมดาน้ำย่อมแผ่ความเย็นไปเสมอกัน ทั้งในคนดี 
         และคนชั่ว ย่อมพัดพาซึ่งมลทินคือธุลีไป แม้ฉันใด. 
               ท่านจงแผ่เมตตาไปสม่ำเสมอ ในคนที่เป็นประโยชน์ 
         เกื้อกูล และชนที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลฉันนั้นเหมือนกัน 
         ท่านถึงฝั่งแห่งเมตตาบารมีแล้ว ก็จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสโม โหหิ ได้แก่ จงเป็นผู้ไม่มีผู้เสมือนด้วยเมตตาภาวนา. 
         ในคำนั้น ปาฐะว่า ตฺวํ สมสโม โหหิ ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้นมีความง่ายแล. 
         บทว่า สมํ ได้แก่ ชั่งได้. บทว่า ผรติ ได้แก่ ถูกต้อง. 
         บทว่า ปวาเหติ ได้แก่ ชำระ. บทว่า รโช ได้แก่ ธุลีที่จรมา. 
         บทว่า มลํ ได้แก่ มลทินมีมลทินคือเหงื่อเป็นต้นซึ่งเกิดขึ้นที่สรีระ.
         ปาฐะว่า รชมลํ ดังนี้ก็มี ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน. 
         บทว่า หิตาหิเต ได้แก่ ผู้มีประโยชน์และผู้ไม่มีประโยชน์. อธิบายว่า มิตรและอมิตร. 
         บทว่า เมตฺตาย ภาวย ได้แก่ จงเจริญเพิ่มพูนเมตตา. 
         คำที่เหลือแม้ในข้อนี้ก็ง่ายเหมือนกันแล. 
         ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตนั้นใคร่ครวญยิ่งขึ้นไปว่า อันพุทธการกธรรมทั้งหลายจะพึงมีเพียงเท่านี้เท่านั้นหามิได้ เห็นอุเบกขาบารมีอันดับสิบ จึงสอนตนเองอย่างนี้ว่า 
         ดูก่อนสุเมธบัณฑิต ตั้งแต่นี้ไป ท่านต้องบำเพ็ญอุเบกขาบารมีพึงวางตัวเป็นกลาง ทั้งในสุข ทั้งในทุกข์ ขึ้นชื่อว่าแผ่นดิน ย่อมเป็นกลางในผู้ใส่ของสะอาดบ้างแม้ฉันใด ถึงตัวท่าน เมื่อวางตัวเป็นกลางได้ในสุขและทุกข์ก็จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ฉันนั้น. 
         ก็อธิษฐานอุเบกขาบารมีอันดับสิบไว้มั่น. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               พุทธธรรมเหล่านั้นจักมีเพียงเท่านี้เท่านั้นก็หามิได้ 
         จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรมบ่มพระ 
         โพธิญาณ. 
               ครั้งนั้น เมื่อเราเลือกเฟ้นก็เห็นอุเบกขาบารมีซึ่งพระ 
         ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ ซ่องเสพกันมา 
         เป็นประจำ. 
               ท่านจงสมาทานอุเบกขาบารมี อันดับสิบนี้ไว้ให้มั่น 
         ก่อน ท่านจงเป็นผู้มั่นคงดั่งตาชั่งก็จักบรรลุพระโพธิญาณได้. 
               ธรรมดาแผ่นดิน ย่อมวางเฉยต่อสิ่งของที่เขาทิ้งลง 
         ไม่ว่าสะอาด ไม่สะอาด แม้ทั้งสองอย่างเว้นความยินดียินร้าย 
         แม้ฉันใด. 
               ท่านจงเป็นดั่งตาชั่งในสุขและทุกข์ทุกเมื่อฉันนั้น 
         เหมือนกัน ท่านถึงฝั่งแห่งอุเบกขาบารมีแล้ว ก็จักบรรลุพระ 
         สัมโพธิญาณได้.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตุลาภูโต ได้แก่ ตั้งอยู่ในความเป็นกลาง คันตาชั่งที่เขาชั่งเท่ากัน ก็ตั้งอยู่เท่ากันไม่หกลง ไม่กระดกขึ้น ฉันใด แม้ตัวท่านก็ต้องเป็นเสมือนตาชั่งในสุขและทุกข์ทั้งหลาย จึงจักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. 
         บทว่า โกปานุนยวชฺชิตา ได้แก่ เว้นความยินดียินร้าย. 
         ปาฐะว่า ทยาโกปวิวชฺชิตา ดังนี้ก็มี ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน. 
         คำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวมาแล้วในขันติบารมีนั่นแล. 
         แต่นั้น สุเมธบัณฑิต ครั้นเลือกเฟ้นบารมีธรรม ๑๐ นี้แล้ว ต่อจากนั้นก็คิดว่าธรรมที่ทำความเป็นพระพุทธเจ้าอันช่วยอบรมบ่มพระโพธิญาณอันพระโพธิสัตว์ทั้งหลายพึงบำเพ็ญในโลกนี้ มีเพียงเท่านี้เท่านั้น ไม่มียิ่งไปกว่า แต่ว่าบารมีเหล่านี้ไม่มีอยู่แม้ในอากาศเบื้องบน ไม่มีอยู่แม้ในทิศทั้งหลายมีทิศบูรพาเป็นต้น แต่ว่าตั้งอยู่ในระหว่างเนื้อหัวใจของเราเท่านั้น เห็นว่าบารมีเหล่านั้นตั้งอยู่ในหัวใจตนอย่างนี้แล้ว ก็อธิษฐานบารมีเหล่านั้นทั้งหมดไว้มั่น. 
         เมื่อพิจารณาบ่อยๆ ก็พิจารณาทั้งอนุโลม ทั้งปฏิโลม จับปลายเอามาชนต้น จับต้นเอามาชนปลาย จับกลางเอามาชนทั้งสองข้าง จับปลายทั้งสองข้างเอามาชนกลาง บริจาคสิ่งของภายนอกชื่อบารมี บริจาคอวัยวะชื่ออุปบารมี บริจาคชีวิตชื่อปรมัตถบารมี รวมเป็นบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ รวมบารมี ๓๐ ทัศ พิจารณาเหมือนหมุนกลับน้ำมันในยนตร์. 
         เมื่อสุเมธบัณฑิตนั้นพิจารณาบารมี ๑๐ อยู่ ด้วยเดชแห่งธรรม มหาปฐพีอันกว้างหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ก็ส่งเสียงร้องก้องกัมปนาทสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ประหนึ่งกำอ้อที่ถูกช้างเหยียบ และประหนึ่งเครื่องยนตร์หีบอ้อยที่บีบคั้น ปั่นหมุนประหนึ่งล้อแป้นทำภาชนะดินและล้อยนตร์บีบคั้นน้ำมันฉะนั้น. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               ธรรมซึ่งช่วยอบรมบ่มพระโพธิญาณ ในโลกมี 
         เพียงเท่านี้เท่านั้น ที่สูงนอกไปจากนั้นไม่มี ท่านจง 
         ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านั้นอย่างมั่นคง. 
               เมื่อเรากำลังพิจารณาธรรมเหล่านี้ โดยลักษณะ 
         แห่งกิจคือสภาวะ หมื่นแผ่นพสุธาก็หวาดไหวเพราะ 
         เดชแห่งธรรม. 
               ปฐพีไหวส่งเสียงร้อง เหมือนยนตร์หีบอ้อยบีบ 
         อ้อย แผ่นดินก็ไหวเหมือนลูกล้อในยนตร์บีบน้ำมันงา 
         ฉะนั้น.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตฺตกาเยว ท่านกล่าวเพื่อแสดงว่า บารมี ๑๐ ที่ยกแสดงไม่ขาดไม่เกิน. 
         บทว่า ตตุทฺธํ ความว่า ที่สูงไปกว่าบารมี ๑๐ นั้นไม่มี. 
         บทว่า อญฺญตฺร แปลว่า อื่น. 
         ลักษณะศัพท์พึงถือตามคัมภีร์ศัพท์ศาสตร์. 
         ความว่า พุทธการกธรรมอื่นจากบารมี ๑๐ นั้นไม่มี. 
         บทว่า ตตฺถ ได้แก่ บารมี ๑๐ เหล่านั้น. 
         บทว่า ปติฏฺฐห แปลว่า จงตั้งอยู่. ความว่า จงทำให้บริบูรณ์ตั้งอยู่. 
         บทว่า เม ธมฺเม ได้แก่ บารมีธรรม. 
         บทว่า สมฺมสโต ได้แก่ ทรงสอบสวน. 
         พึงเห็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถอนาทระ. 
         บทว่า สภาวสรสาลฺกขเณ ความว่า ทรงพิจารณาโดยลักษณะที่มีกิจคือหน้าที่ กล่าวคือสภาวะความจริง. 
         บทว่า ธมฺมเตเชน ได้แก่ ด้วยเดชคืออำนาจแห่งการรู้จักเลือกเฟ้นบารมี. 
         รัตนะเรียกว่า วสุ ในบทว่า วสุธา. ธรรมชาติใดทรงไว้ซึ่งรัตนะนั้นหรือรัตนะทรงอยู่ในธรรมชาตินั้น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า วสุธา ทรงไว้ซึ่งรัตนะหรือเป็นที่ทรงรัตนะ. ธรรมชาตินั้นคืออะไร คือเมทนีแผ่นดิน. 
         บทว่า ปกมฺปถ แปลว่า ไหวแล้ว. 
         อธิบายว่า ก็เมื่อสุเมธบัณฑิตกำลังเลือกเฟ้นบารมีทั้งหลาย ด้วยเดชแห่งญาณของสุเมธบัณฑิตนั้น หมื่นแผ่นปฐพีก็กัมปนาท. 
         บทว่า จลติ ได้แก่ ไหว. มี ๖ ประการ. 
         บทว่า รวติ ได้แก่ บันลือส่งเสียงร้อง. 
         บทว่า อุจฺฉุยนฺตํว ปีฬิตํ แปลว่า เหมือนยนตร์หีบอ้อยบีบอ้อย. 
         ปาฐะว่า คุฬยนฺตํว ปีฬิตํ ดังนี้ก็มี ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน. 
         บทว่า เตลยนฺเต แปลว่าในยนตร์ที่คั้นน้ำมัน. 
         บทว่า ยถา จกฺกํ ได้แก่ เหมือนยนตร์ที่มีล้อใหญ่ของผู้ใช้ยานมีล้อ [ล้อรถ-เกวียน]. 
         บทว่า เอวํ ความว่า ยนตร์ที่ใช้ลูกกลมคั้นน้ำมัน ย่อมหมุน ย่อมสั่นฉันใด เมทนีคือแผ่นดินนี้ก็สั่นฉันนั้น. 
         คำที่เหลือแม้ในข้อนี้ก็ง่ายเหมือนกันแล. 
         เมื่อมหาปฐพีไหวอยู่อย่างนี้ มนุษย์ชาวรัมมนครที่เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่อาจยืนอยู่ได้ ก็ล้มสลบเหมือนต้นสาละใหญ่ ถูกยุคันธวาตะพัดกระหน่ำ ภาชนะดินมีหม้อเป็นต้นก็หมุนกระทบกันและกันแหลกเป็นจุรณไป. 
         มหาชนหวาดกลัวก็เข้าไปหาพระศาสดา ทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่รู้เหตุนี้ว่า นี้เป็นอาการหมุนตัวของนาค หรือของภูต ยักษ์ เทวดาพวกหนึ่งหรือพระเจ้าข้า อนึ่ง เล่ามหาชนนี้ทั้งหมดถูกภัยรบกวนจักเป็นความชั่วของโลกนี้ หรือเป็นความดีพระเจ้าข้า ขอโปรดตรัสบอกเหตุนี้ด้วยเถิด. 
         ครั้งนั้น พระศาสดาทรงสดับคำของชนเหล่านั้นแล้วตรัสว่า 
         พวกท่านอย่ากลัวกันเลย อย่าคิดอะไรเลย ไม่มีภัยที่เกิดจากเหตุการณ์นี้แก่พวกท่านดอก. ผู้ใดเราพยากรณ์ว่า วันนี้ สุเมธบัณฑิตจักเป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคตมะ ในอนาคตกาล ผู้นั้นกำลังพิจารณาบารมีทั้งหลายในบัดนี้ ด้วยเดชแห่งธรรมของท่านผู้กำลังพิจารณานั้น ทั่วหมื่นโลกธาตุจึงไหวและส่งเสียงร้องพร้อมๆ กัน.
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               บริษัทที่อยู่ในที่เฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ตัวสั่นงันงกอยู่ 
         ในที่นั้น พากันนอนสลบอยู่เหนือพื้นดิน. 
               หม้อเป็นอันมากหลายร้อยหลายพัน กระทบกัน 
         และกัน แหลกเป็นจุรณอยู่ในที่นั้น. 
               มหาชนทั้งหลาย หวาดสะดุ้งกลัวหมุนวนมีใจ 
         ถูกบีบ ก็พากันมาประชุมเข้าเฝ้าพระทีปังกรพุทธเจ้า 
         ทูลถามว่า 
               ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ เหตุดีเหตุชั่วจักมีแก่ 
         โลกหรือ โลกถูกเหตุนั้นรบกวนทั้งโลกหรือ ขอพระองค์ 
         โปรดทรงบรรเทาความกลัวนั้นด้วยเถิด. 
               ครั้งนั้น พระมหามุนีทีปังกรทรงยังมหาชนเหล่า 
         นั้นให้เข้าใจแล้วตรัสว่า พวกท่านจงวางใจ อย่ากลัวใน 
         การที่แผ่นดินไหวทั้งนี้เลย. 
               วันนี้ เราพยากรณ์ผู้ใดว่าจักเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ 
         นั้นกำลังพิจารณาธรรมก่อนๆ ที่พระชินเจ้าทรงเสพแล้ว. 
               เมื่อท่านผู้นั้นกำลังพิจารณาธรรมคือพุทธภูมิไม่ 
         เหลือเลย ด้วยเหตุนั้น หมื่นแผ่นปฐพีนี้ในโลกพร้อมทั้ง 
         เทวโลก จึงไหว.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตา แปลว่า มีประมาณเท่าใด. 
         บทว่า อาสิ แปลว่า ได้มีแล้ว. ปาฐะว่า ยา ตทา ปริสา อาสิ ดังนี้ก็มี. 
         ปาฐะนั้นมีความว่า บริษัทใดตั้งอยู่ในที่นั้น. 
         บทว่า ปเวธมานา แปลว่า ไหวอยู่. 
         บทว่า สา ได้แก่ บริษัทนั้น. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในที่เข้าเฝ้านั้น. 
         บทว่า เสติ แปลว่า นอนแล้ว. บทว่า ฆฏา แปลว่า แห่งหม้อทั้งหลาย. 
         คำนี้เป็นปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ ความว่า หลายพันแห่งหม้อทั้งหลาย. 
         บทว่า สญฺจุณฺฌมถิตา แปลว่า เป็นจุรณด้วย แหลกด้วย. ความว่า แหลกเป็นจุรณ. 
         บทว่า อญฺญมญฺญํ ปฆฏฺฏิตา แปลว่า กระทบซึ่งกันและกัน. 
         บทว่า อุพฺพิคฺคา ได้แก่ มีใจหวาด. บทว่า ตสิตา ได้แก่ เกิดสะดุ้ง. 
         บทว่า ภีตา ได้แก่ กลัวภัย. 
         บทว่า ภนฺตา ได้แก่ มีใจแปรปรวน. อธิบายว่า มีใจหมุนไปผิดแล้ว 
         คำเหล่านี้ทั้งหมดเป็นไวพจน์ของกันและกัน. 
         บทว่า สมาคมฺม ได้แก่ มาประชุมกัน. หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
         บทว่า อุปทฺทุโต ได้แก่ ถูกย่ำยี. 
         บทว่า ตํ วิโนเทหิ ได้แก่ จงบรรเทา. อธิบายว่า จงกำจัดภัยที่คุกคามนั้น. 
         บทว่า จกฺขุม ได้แก่ ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ ด้วยจักษุ ๕. 
         บทว่า เตสํ ตทา ได้แก่ ครั้งนั้น ยังชนเหล่านั้น. 
         คำนี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถทุติยาวิภัตติ. 
         บทว่า สญฺญาเปสิ ได้แก่ ให้รู้ให้ตื่น. 
         บทว่า วิสฺสตฺถา ได้แก่ มีจิตสนิทสนม. 
         บทว่า มา ภาถ แปลว่า อย่ากลัว. 
         บทว่า ยมหํ ตัดบทเป็น ยํ อหํ หมายถึงสุเมธบัณฑิต. 
         บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ บารมีธรรม. บทว่า ปุพฺพกํ ได้แก่ ของเก่า. 
         บทว่า ชินเสวิตํ ความว่า อันพระชินเจ้าทั้งหลายเสพแล้ว ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์. 
         บทว่า พุทฺธภูมึ ได้แก่ บารมีธรรม. บทว่า เตน ได้แก่ ด้วยเหตุที่พิจารณานั้น. 
         บทว่า กมฺปิตา ได้แก่ ไหวแล้ว. บทว่า สเทวเก ได้แก่ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก. 
         ต่อนั้น มหาชนฟังพระดำรัสของพระตถาคตแล้วก็ร่าเริงยินดี พากันถือดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นต้นออกจากรัมมนคร เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ บูชาด้วยดอกไม้ของหอมเป็นต้น ไหว้แล้ว ทำประทักษิณแล้ว กลับเข้าไปยังรัมมนคร. 
         ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาบารมี ๑๐ กระทำอธิษฐานวิริยะให้มั่น แล้วลุกขึ้นจากอาสนะ. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               เพราะฟังพระพุทธดำรัส ใจของมหาชนก็สงบเย็น 
         ในทันที ทุกคนจึงเข้ามาหาเรา พากันกราบไหว้เราอีก. 
               ครั้งนั้น เรายึดถือพระพุทธคุณ ทำใจไว้มั่น น้อม 
         นมัสการพระทีปังกรพุทธเจ้าแล้วจึงลุกขึ้นจากอาสนะ.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มโน นิพฺพายิ ความว่า ใจของมหาชนผู้มีใจหวาด เพราะแผ่นดินไหว ก็สงบเย็น. 
         อธิบายว่า ถึงความสงบ เพราะฟังเหตุที่แผ่นดินไหวนั้น. 
         ปาฐะว่า ชโน นิพฺพายิ ดังนี้ก็มี ปาฐะนั้นง่ายเหมือนกัน. 
         บทว่า สมาทิยิตฺวา ได้แก่ ถือเอาโดยชอบ. อธิบายว่า สมาทาน. 
         บทว่า พุทฺธคุณํ ได้แก่ บารมีทั้งหลาย. 
         คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น. 
         ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ผู้เอ็นดูสรรพสัตว์กำลังลุกขึ้นจากอาสนะ เทวดาสิ้นทั้งหมื่นจักรวาลก็ประชุมกันบูชาด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้นอันเป็นทิพย์ ก็เปล่งสดุดีมงคลเป็นต้นว่า 
         ข้าแต่ท่านสุเมธดาบสผู้เป็นเจ้า วันนี้ ท่านปรารถนาความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ แทบบาทมูลของพระทีปังกรทศพล ขอความปรารถนานั้นจงสำเร็จแก่ท่านโดยไม่มีอันตรายเถิด ภัยหรือความหวาดกลัวในความปรารถนานั้นอย่าได้มีแก่ท่านเลย โรคแม้จำนวนเล็กน้อยก็จงอย่าเกิดในสรีระของท่าน ท่านจงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วแทงตลอดพระสัมมาสัมโพธิญาณโดยเร็ว 
         ต้นไม้ดอกต้นไม้ผลย่อมออกดอก ออกผลตามฤดูกาล ฉันใด แม้ตัวท่านก็อย่าล่วงเลยฤดูสมัยนั้นเสีย จงสัมผัสพระโพธิญาณโดยพลันเทอญ. 
         ครั้นเปล่งสดุดีอย่างนี้แล้วก็พากันกราบไหว้แล้วกลับไปยังเทวสถานของตนๆ. 
         ฝ่ายพระโพธิสัตว์อันเทวดาทั้งหลายสดุดีแล้ว ดำริว่า เราจักบำเพ็ญบารมี ๑๐ แล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า ในที่สุดสี่อสงไขยกำไรแสนกัป แล้วอธิษฐานความเพียรไว้มั่นคง โลดขึ้นสู่อากาศ ไปยังหิมวันตประเทศที่มีคณะฤษี. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               เทวดาถือดอกไม้ทิพย์ มนุษย์ถือดอกไม้มนุษย์ 
         เทวดาและมนุษย์ทั้งสองโปรยดอกไม้ทั้งหลาย แก่เรา 
         ผู้กำลังลุกขึ้นจากอาสนะ. 
               ก็เทวดาและมนุษย์ทั้งสองนั้น พากันแซ่ซ้อง 
         สวัสดีว่า ความปรารถนาของท่านยิ่งใหญ่ ท่านจงได้ 
         ความปรารถนานั้น สมปรารถนาเถิด. 
               ขอเสนียดจัญไรจงปราศไป ความโศก โรคจง 
         พินาศไป อันตรายทั้งหลายจงอย่ามีแก่ท่าน ขอท่าน 
         จงสัมผัสพระโพธิญาณอันสูงสุดโดยเร็วเถิด. 
               ต้นไม้ดอก ย่อมออกดอกบานเมื่อถึงฤดูกาล ฉัน 
         ใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงบานด้วยพุทธญาณ 
         ฉันนั้นเหมือนกันเถิด. 
               พระสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงบำเพ็ญบารมี 
         ๑o ฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ท่านก็จงบำเพ็ญบารมี 
         ๑o ฉันนั้นเถิด. 
               พระสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้ที่โพธิมัณฑ 
         สถานฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงตรัสรู้ที่ 
         โพธิมัณฑสถานของพระชินเจ้าฉันนั้นเถิด. 
               พระสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงประกาศพระ 
         ธรรมจักรฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงประกาศ 
         พระธรรมจักร ฉันนั้นเถิด. 
               ดวงจันทร์ในราตรีเพ็ญเต็มดวง รุ่งโรจน์ ฉันใด 
         ท่านมีมโนรถเต็มแล้ว จงรุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุ 
         ฉันนั้นเถิด. 
               ดวงอาทิตย์พ้นจากราหูแล้วย่อมรุ่งโรจน์ฉันใด 
         ท่านพ้นจากโลกแล้วก็จงรุ่งโรจน์ด้วยสิริ ฉันนั้นเหมือน 
         กันเถิด. 
               แม่น้ำทุกสาย ย่อมไหลลงสู่มหาสมุทร ฉันใด 
         โลกพร้อมทั้งเทวโลก ขอจงชุมนุมยังสำนักของท่าน 
         ฉันนั้นเถิด. 
               ครั้งนั้น เรานั้นอันเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น 
         สดุดีสรรเสริญแล้ว ก็สมาทานบารมีธรรม ๑o ประการ 
         เมื่อจะยังธรรมเหล่านั้นให้บริบูรณ์จึงเข้าไปในป่าใหญ่.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิพฺพํ ความว่า เทวดาทั้งหลายถือดอกไม้ทิพย์มีดอกมณฑารพ ดอกปาริฉัตตกะ ดอกไม้กัลปพฤกษ์ ดอกบัวเป็นต้น มนุษย์ทั้งหลายก็ถือดอกไม้มนุษย์. 
         บทว่า สโมกิรนฺติ ความว่า โปรยปรายลงบนตัวเรา. 
         บทว่า วุฏฺฐหนฺตสฺส ได้แก่ กำลังลุกขึ้น. 
         บทว่า เวทยนฺติ ได้แก่ ให้ทรงรู้แล้ว ให้ทรงเข้าใจแล้ว. 
         บทว่า โสตฺถี แปลว่า ความสวัสดี. 
         บัดนี้ เพื่อแสดงอาการที่ให้ทรงรู้ จึงกล่าวว่า ความปรารถนาของท่านยิ่งใหญ่เป็นต้น. 
         อธิบายว่า ข้าแต่ท่านสุเมธบัณฑิต ท่านปรารถนาตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ ท่านจงได้ตำแหน่งนั้นสมปรารถนาเถิด. 
         บทว่า สพฺพีติโย ความว่า ชื่ออีติ เพราะเป็นที่มาของอันตราย, อันตรายทั้งปวง ชื่อว่าสัพพีติยะ ได้แก่อุปัทวะ. 
         บทว่า วิวชฺชนฺตุ ได้แก่ อย่ามีเลย. 
         บทว่า โสโก โรโค วินสฺสตุ ความว่า โศกกล่าวคือความเศร้า และโรคกล่าวคือความเสียดแทง จงพินาศไป. 
         บทว่า เต ได้แก่ ตว แก่ท่าน. 
         บทว่า มา ภวนฺตฺวนฺตรายา ได้แก่ อันตรายทั้งหลายจงอย่ามี. 
         บทว่า ผุส ได้แก่ จงถึง จงบรรลุ. 
         บทว่า โพธึ ได้แก่ พระอรหัตมรรคญาณ ถึงพระสัพพัญญุตญาณก็ควร. 
         บทว่า อุตฺตมํ ได้แก่ ประเสริฐสุด. 
         พระอรหัตมรรคญาณ ท่านกล่าวสูงสุด เพราะให้พระพุทธคุณทั้งปวง. 
         บทว่า สมเย ความว่า เมื่อถึงสมัยออกดอกบานของต้นไม้นั้นๆ. 
         บทว่า ปุปฺผิโน ได้แก่ ต้นไม้ดอก. 
         บทว่า พุทฺธญาเณหิ ได้แก่ ด้วยพุทธญาณ ๑๘. 
         บทว่า ปุปฺผสุ ได้แก่ จงออกดอก. 
         บทว่า ปูรยุํ ได้แก่ บำเพ็ญแล้ว. 
         บทว่า พุชฺฌเร ได้แก่ ตรัสรู้แล้ว. 
         บทว่า ชินโพธิยํ ได้แก่ ในความตรัสรู้ของพระชินเจ้าคือของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. 
         อธิบายว่า ที่โคนต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ. 
         บทว่า ปุณฺณมาเย ได้แก่ ในราตรีเพ็ญ. บทว่า ปุณฺณมโน ได้แก่ มีมโนรถเต็มแล้ว. 
         บทว่า ราหุมุตฺโต ได้แก่ พ้นจากราหู คือโสพภานุ. 
         บทว่า ตาเปน ได้แก่ ด้วยแสงร้อนแรง แสงสว่าง. 
         บทว่า โลกา มุจฺจิตฺวา ความว่า เป็นผู้อันโลกธรรมฉาบทาไม่ได้แล้ว.
         บทว่า วิโรจ ได้แก่ จงรุ่งเรือง. บทว่า สิริยา ได้แก่ ด้วยพุทธสิริ. 
         บทว่า โอสรนฺติ ได้แก่ ย่อมเข้าไปสู่มหาสมุทร. 
         บทว่า โอสรนฺตุ ได้แก่ จงเข้าไป. บทว่า ตวนฺติเก ความว่า สู่สำนักของท่าน. 
         บทว่า เตหิ ได้แก่ อันเทวดาทั้งหลาย. 
         บทว่า ถุตปฺปสตฺโถ ได้แก่ ชมแล้วและสรรเสริญแล้ว หรืออันพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้นที่เทวดามนุษย์ชมแล้ว ทรงสรรเสริญแล้ว เหตุนั้นจึงชื่อว่าผู้อันพระพุทธเจ้าที่เทวดามนุษย์ชมแล้วทรงสรรเสริญแล้ว. 
         บทว่า ทส ธมฺเม ได้แก่ บารมีธรรม ๑๐. 
         บทว่า ปวนํ แปลว่า ป่าใหญ่. อธิบายว่า เข้าไปป่าใหญ่ใกล้ธัมมิกบรรพต. 
         คาถาที่เหลือง่ายทั้งนั้นแล.
         จบพรรณนาเรื่องความปรารถนาของท่านสุเมธ         
  แห่งอรรถกถาพุทธวงศ์ ชื่อ มธุรัตถวิลาสินี

หน้าต่างที่ ๑๑ / ๑๒ อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ รัตนะจงกรมกัณฑ์

 อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ รัตนะจงกรมกัณฑ์ เนื้อความในพระไตรปิฎก เนื้อความในอรรถกา มีทั้งหมด ๑๒ หน้าต่าง. อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
         แต่นั้น สุเมธบัณฑิตนอนบนหลังตมแล้วก็คิดอย่างนี้ว่า ถ้าเราพึงปรารถนาไซร้ เราก็พึงเป็นสังฆนวกะ เผากิเลสทั้งหมดแล้วเข้าไปยังรัมมนคร แต่เราไม่มีกิจที่จะเผากิเลสแล้วบรรลุพระนิพพาน ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้ากระไร เราพึงเป็นเหมือนพระทีปังกรทศพล บรรลุปรมาภิสัมโพธิญาณ ขึ้นสู่ธรรมนาวา ยังมหาชนให้ข้ามสังสารสาครแล้วจึงปรินิพพานในภายหลัง นี้เป็นการสมควรแก่เรา. 
         แต่นั้นจึงประชุมธรรม ๘ ประการ ลงนอนทำอภินีหารเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               เรานอนเหนือแผ่นดินแล้ว ใจก็ปริวิตกอย่างนี้ว่า 
         วันนี้เราปรารถนา ก็จะพึงเผากิเลสทั้งหลายของเราได้. 
               แต่ประโยชน์อะไรของเราด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก 
         ด้วยการทำให้แจ้งธรรมในพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เราจัก 
         บรรลุพระสัพพัญญุตญาณเป็นพระพุทธเจ้า ในโลกพร้อม 
         ทั้งเทวโลก.
               ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยบุรุษผู้เห็นกำลังจะ 
         ข้ามสังสารสาครแต่เพียงคนเดียว เราจักบรรลุสัพพัญญุต 
         ญาณแล้ว ยังโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามสังสารสาคร. 
               ด้วยอธิการบารมีนี้ ที่เราบำเพ็ญในพระพุทธเจ้า 
         ผู้เป็นบุรุษสูงสุด เราบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้วจะยังหมู่ 
         ชนเป็นอันมากให้ข้ามสังสารสาคร. 
               เราตัดกระแสแห่งสังสาร กำจัดภพ ๓ ได้แล้วขึ้น 
         สู่ธรรมนาวา จักยังโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก ให้ข้ามสังสาร 
         สาคร.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฐวิยํ นิปนฺนสฺส แปลว่า นอนเหนือแผ่นดิน หรือว่าปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
         บทว่า เจตโส ความว่า ใจก็ได้มีปริวิตก. ปาฐะว่า เอวํ เม อาสิ เจตนา ดังนี้ก็มี. 
         บทว่า อิจฺฉมาโน ได้แก่ หวังอยู่. 
         บทว่า กิเลเส ความว่า ธรรมชาติเหล่าใด ย่อมเศร้าหมอง ย่อมทำให้เดือดร้อน เหตุนั้น ธรรมชาติเหล่านั้นชื่อว่ากิเลส คือกิเลส ๑๐ กองมีราคะเป็นต้น. 
         บทว่า ฌาปเย ได้แก่ พึงให้ไหม้. อธิบายว่า เราพึงยังกิเลสทั้งหลายของเราให้ไหม้. 
         คำว่า กึ เป็นคำปฏิเสธ. 
         บทว่า อญฺญาตกเวเสน ได้แก่ ด้วยเพศที่ไม่ปรากฏ ที่ไม่มีใครรู้จัก ที่ปกปิด. 
         อธิบายว่า ก็เราพึงทำอาสวะให้สิ้นเหมือนภิกษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ หรือพึงบำเพ็ญพุทธการกธรรม ทำมหาปฐพีให้ไหวในสมัยถือปฏิสนธิ ประสูติ ตรัสรู้ และประกาศพระธรรมจักรเป็นผู้ตรัสรู้เองเป็นพระพุทธเจ้า ยังสัตว์ให้ตรัสรู้พึงเป็นผู้ข้ามเอง ยังสัตว์ให้ข้ามสังสารสาคร พึงเป็นผู้หลุดพ้นเอง ยังสัตว์ให้หลุดพ้น. 
         บทว่า สเทวเก ได้แก่ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก. 
         บทว่า ถามทสฺสินา ได้แก่ เห็นเรี่ยวแรงกำลังของตน. 
         บทว่า สนฺตาเรสสํ ได้แก่ จักให้ข้าม. 
         บทว่า สเทวกํ ได้แก่ ยังหมู่สัตว์พร้อมทั้งเทวดา หรือยังโลกพร้อมทั้งเทวโลก. 
         บทว่า อธิกาเรน ได้แก่ ด้วยการกระทำที่วิเศษยิ่ง. อธิบายว่า ด้วยการเสียสละชีวิตตนเพื่อพระพุทธเจ้า แล้วนอนเหนือหลังตม ชื่อว่าอธิการ. 
         บทว่า สํสารโสตํ ความว่า การท่องเที่ยวไปทางโน้นทางนี้ในกำเนิด คติ วิญญาณฐิติและสัตตาวาส ๙ ด้วยอำนาจกรรมและกิเลส ชื่อว่าสังสาร. 
         เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า
                ขนฺธานํ ปฏิปาฏิ                                     ธาตุอายตนาน
                จ อพฺโพจฉินฺนํ วตฺตมานา                      สํสาโรติ ปวุจฺจติ.
                 เรียงลำดับแห่งขันธ์ ธาตุและอายตนะ
                 เป็นไปไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่าสังสาร. 
         สังสารนั้นด้วย กระแสด้วย เหตุนั้นจึงชื่อว่าสังสารโสตะ ซึ่งสังสารและกระแสนั้น. 
         อีกนัยหนึ่ง กระแสแห่งสังสาระ ชื่อว่าสังสารโสตะ ความว่า ตัดกระแสคือตัณหาอันเป็นเหตุแห่งสังสาร.
         บทว่า ตโย ภเว ได้แก่ กามภพ รูปภพและอรูปภพ.
         กรรมและกิเลสอันให้เกิดภพ ๓ ท่านประสงค์ว่า ภพ ๓. 
         บทว่า ธมฺมนาวํ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘. 
         จริงอยู่ อริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น ท่านเรียกว่าธรรมนาวา เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องข้ามโอฆะ ๔. 
         บทว่า สมารุยฺห แปลว่า ขึ้น. บทว่า สนฺตาเรสสํ แปลว่า จักให้ข้าม. 
         แต่อภินีหารย่อมสำเร็จแก่ท่านผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความประชุมพร้อมแห่งธรรม ๘ ประการ คือ ๑. ความเป็นมนุษย์ ๒. ความสมบูรณ์ด้วยเพศ ๓. เหตุ ๔. การพบพระศาสดา ๕. การบรรพชา ๖. ความสมบูรณ์ด้วยคุณ ๗. ความมีอธิการ ๘. ความมีฉันทะ.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มนุสฺสตฺตํ ความว่า ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้ตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นมนุษย์เท่านั้น แล้วปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมไม่สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในชาตินาคเป็นต้น. 
         ถ้าถามว่า เพราะเหตุไร ก็ตอบได้ว่า เพราะชาตินาคเป็นต้นเป็นอเหตุกสัตว์. 
         บทว่า ลิงฺคสมฺปตฺติ ความว่า ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้แม้อยู่ในอัตภาพเป็นมนุษย์ ก็ต้องตั้งอยู่ในเพศชายเท่านั้น ย่อมไม่สำเร็จแก่หญิงหรือบัณเฑาะก์คนไม่มีเพศและคนสองเพศ. 
         ถ้าถามว่า เพราะเหตุไร ก็ตอบได้ว่า เพราะลักษณะไม่บริบูรณ์. 
         จริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสตรี ไม่เป็นฐานะ ไม่เป็นโอกาส. 
         พึงทราบความพิศดารเอาเองเถิด. 
         เพราะฉะนั้น ความปรารถนาย่อมไม่สำเร็จ แม้แก่ผู้มีชาติเป็นมนุษย์แต่ตั้งอยู่ในเพศสตรี. 
         บทว่า เหตุ ความว่า ความปรารถนาย่อมสำเร็จแม้แก่บุรุษ ที่ถึงพร้อมด้วยเหตุ เพื่อบรรลุพระอรหัตในอัตภาพนั้นได้เท่านั้น ไม่สำเร็จแก่บุรุษนอกจากนี้. 
         บทว่า สตฺถารทสฺสนํ ความว่า ถ้าบุรุษปรารถนาในสำนักของพระพุทธเจ้าซึ่งยังทรงพระชนมชีพอยู่เท่านั้น ความปรารถนาจึงจะสำเร็จความปรารถนาในพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเสด็จปรินิพพานแล้ว หรือที่สำนักพระเจดีย์หรือที่โคนโพธิพฤกษ์ หรือที่พระพุทธปฏิมา หรือในสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าและพุทธสาวก ย่อมไม่สำเร็จ. 
         เพราะเหตุไร เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าและพุทธสาวก ไม่สามารถที่จะรู้ถึงภัพพสัตว์และอภัพพสัตว์แล้วกำหนดด้วยญาณเป็นเครื่องกำหนดกรรมและวิบากแล้วพยากรณ์ได้. เพราะฉะนั้น ความปรารถนาจึงสำเร็จได้ในสำนักของพระพุทธเจ้าเท่านั้น. 
         บทว่า ปพฺพชฺชา ความว่า ความปรารถนา ย่อมสำเร็จแม้แก่ผู้ปรารถนาในสำนักของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า หรือต้องบวชในดาบสทั้งหลายจำพวกที่เป็นกัมมกิริยวาที หรือในภิกษุทั้งหลายเท่านั้น. 
         เพราะเหตุไร 
         เพราะว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่เป็นบรรพชิตเท่านั้นจึงบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ที่เป็นคฤหัสถ์บรรลุไม่ได้. เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็นบรรพชิตเท่านั้น แม้ในกาลตั้งปณิธานความปรารถนามาแต่ต้น. 
         บทว่า คุณสมฺปตฺติ ความว่า ปรารถนาย่อมสำเร็จ แม้แก่บรรพชิตผู้ได้สมาบัติ ๘ มีอภิญญา ๕ เท่านั้น แต่ไม่สำเร็จแก่ผู้เว้นจากคุณสมบัตินี้. เพราะเหตุไร เพราะคนไร้คุณสมบัติไม่มีโพธิญาณนั้น. 
         บทว่า อธิกาโร ความว่า ผู้ใดแม้ถึงพร้อมด้วยคุณ ก็ยังเสียสละชีวิตตนเพื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้นั้น ซึ่งพรั่งพร้อมแล้วด้วยอธิการนี้เท่านั้น ไม่สำเร็จแก่คนนอกจากนี้. 
         บทว่า ฉนฺทตา ความว่า ผู้ใดแม้ถึงพร้อมแล้วด้วยอภินีหาร ก็มีฉันทะ พยายาม อุตสาหะ แสวงหาอย่างใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่พุทธการกธรรมทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้นั้นเท่านั้น ไม่สำเร็จแก่คนนอกจากนี้. 
         ข้ออุปมาแห่งความเป็นผู้มีฉันทะเป็นใหญ่ ในข้อนั้นมีดังนี้. 
         ก็ถ้าบุคคลพึงคิดอย่างนี้ว่า ผู้ใดสามารถข้ามห้องจักรวาลทั้งสิ้น ซึ่งมีน้ำเป็นอันเดียวกันด้วยกำลังแขนของตนไปถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้. ส่วนผู้ใดไม่สำคัญกิจนี้เป็นของทำได้ยากสำหรับตน ประกอบด้วยฉันทะอุตสาหะอย่างใหญ่อย่างนี้ว่า เราจักข้ามห้องจักรวาลนี้ไปถึงฝั่ง ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้นั้น ไม่สำเร็จแก่คนนอกจากนี้. 
         ก็สุเมธบัณฑิตรวบรวมธรรม ๘ ประการนี้ไว้แล้ว ทำอภินีหารเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า จึงนอนลง. 
         ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร ประทับยืนประชิดใกล้ศีรษะของสุเมธบัณฑิต เห็นสุเมธดาบสนอนอยู่เหนือหลังตม ทรงส่งอนาคตังสญาณว่า ดาบสผู้นี้ทำอภินีหารเพื่อเป็นพระพุทธเจ้านอนลงแล้ว ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จหรือไม่หนอ ทรงพิจารณาทบทวนดู ก็ทรงทราบว่า ล่วงไปสี่อสงไขยกำไรแสนกัป นับแต่กัปนี้ไป เขาจักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ประทับยืนพยากรณ์ท่ามกลางบริษัทว่า 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นดาบสผู้มีตบะสูงซึ่งนอนเหนือหลังตมผู้นี้ไหมหนอ. 
         ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า. 
         จึงตรัสว่า ดาบสผู้นี้ทำอภินีหารเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า จึงนอนลงแล้ว ความปรารถนาของดาบสผู้นี้จักสำเร็จ ในที่สุดสี่อสงไขยกำไรแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป ดาบสผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะในโลก ในอัตภาพนั้นของดาบสนั้น นครชื่อว่ากบิลพัศดุ์จักเป็นที่ประทับอยู่ จักมีพระชนนีพระนามว่ามหามายาเทวี พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระอัครสาวกทั้งสองชื่อว่าอุปติสสะและโกลิตะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าอานันทะ พระอัครสาวิกาทั้งสองชื่อว่าเขมาและอุบลวรรณา. 
         ดาบสผู้มีญาณกล้าจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่ รับข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายที่โคนต้นนิโครธ เสวยที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วขึ้นสู่โพธิมัณฑสถาน จักตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิใบ. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ผู้รู้โลก ทรงรับ 
         ทักษิณา ประทับยืนใกล้ๆ ศีรษะ ได้มีพุทธดำรัสกะเรา 
         ดังนี้ว่า 
               ท่านทั้งหลายจงดูชฎิลดาบสผู้นี้ ซึ่งมีตบะสูงจัก 
         เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ในกัปซึ่งนับไม่ได้ ตั้งแต่กัป 
         นี้ไป.
               พระตถาคตเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ ที่น่ารื่น 
         รมย์ ทรงตั้งความเพียร ทรงทำทุกกรกิริยา. 
               พระตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ 
         ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เสด็จสู่ริมฝั่งแม่น้ำ 
         เนรัญชรา. 
               พระชินเจ้าพระองค์นั้นเสวยข้าวมธุปายาสที่ริม 
         ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จเข้าสู่โคนโพธิพฤกษ์ ตาม 
         ทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้แล้ว. 
               ต่อนั้น พระผู้ยอดเยี่ยม มีพระมหายศ ทรงทำ 
         ประทักษิณโพธิมัณฑสถาน จักตรัสรู้ ณ โคนโพธิใบ. 
               พระชนนีพุทธมารดาของดาบสผู้นี้ จักมีพระ 
         นามว่ามายา พระพุทธบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ 
         ดาบสผู้นี้ จักมีพระนามว่าโคตมะ. 
               พระโกลิตะและพระอุปติสสะ ผู้ไม่มีอาสวะ 
         ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่นแล้ว จักเป็นพระอัคร 
         สาวก พุทธอุปฐากชื่อว่าอานนท์ จักบำรุงพระชินเจ้า 
         ผู้นี้. 
               พระเขมาและพระอุบลวรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ 
         มีจิตสงบ ตั้งมั่นแล้ว จักเป็นอัครสาวิกา ต้นไม้เป็น 
         ที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า 
         อัสสัตถะ ต้นโพธิใบ. 
               จิตตะและหัตถาฬวกะ จักเป็นยอดอุปัฏฐาก 
         อุตตราและนันทมารดา จักเป็นยอดอุปัฏฐายิกา.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลกวิทู ได้แก่ ชื่อว่าโลกวิทู เพราะทรงรู้จักโลกโดยประการทั้งปวง. 
         ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ ทรงรู้ทั่ว ทรงแทงตลอดโลกแม้โดยประการทั้งปวง คือโดยสภาวะความจริง โดยสมุทัยความเกิด โดยนิโรธความดับ โดยนิโรธุบายอุบายให้ถึงนิโรธ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าโลกวิทู. 
         เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า 
            เพราะฉะนั้นแล ท่านสุเมธผู้รู้จักโลก ถึงที่สุดโลก 
            อยู่จบพรหมจรรย์ รู้ที่สุดโลก สงบแล้ว ย่อมไม่หวัง 
            โลกนี้และโลกอื่น. 
         อนึ่ง โลกมี ๓ คือ สังขารโลก สัตวโลกและโอกาสโลก. 
         บรรดาโลกทั้ง ๓ นั้น ธรรมทั้งหลายมีปฐวีเป็นต้นที่อาศัยกันเกิดขึ้น ชื่อว่าสังขารโลก. สัตว์ทั้งหลาย มีสัญญา ไม่มีสัญญา แลมีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ชื่อว่าสัตวโลก. สถานที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าโอกาสโลก. 
         ก็โลกทั้ง ๓ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แล้วตามสภาพความเป็นจริง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านจึงเรียกว่า โลกวิทู. 
         บทว่า อาหุตีนํ ปฏิคฺคโห ได้แก่ ชื่อว่าผู้รับทักษิณาทาน เพราะเป็นผู้ควรรับทานทั้งหลาย เพราะเป็นทักขิไณยบุคคล. 
         บทว่า อุสฺสีสเก มํ ฐตฺวาน ได้แก่ ประทับยืนใกล้ศีรษะเรา. ความว่า ได้ตรัสคำนี้คือคำที่ควรกล่าว ณ บัดนี้. 
         บทว่า ชฏิลํ ความว่า ชฎาของนักบวชนั้นมีอยู่ เหตุนั้น นักบวชนั้นชื่อว่าชฎิล ผู้มีชฎา, ชฎิลนั้น. 
         บทว่า อุคฺคตาปนํ ได้แก่ ผู้มีตบะสูง. 
         บทว่า อหุ ได้แก่ ในวัน. อธิบายว่า ครั้งนั้น. หรือว่าปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
         บทว่า กปิลวฺหยา ได้แก่ เรียกว่า ชื่อว่ากบิลพัศดุ์. 
         บทว่า รมฺมา ได้แก่ น่ารื่นรมย์. 
         บทว่า ปธานํ ได้แก่ ความเพียร. 
         บทว่า เอหิติ แปลว่า จักถึง จักไป. 
         คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายง่ายทั้งนั้นแล. 
         ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตเกิดความโสมนัสว่า ได้ยินว่า ความปรารถนาของเราจักสำเร็จผล. มหาชนฟังพระดำรัสของพระทีปังกรทศพลแล้ว ก็พากันร่าเริงยินดีว่า ท่านสุเมธดาบสได้เป็นหน่อพืชพระพุทธเจ้า. 
         สุเมธบัณฑิตนั้นก็คิดอย่างนี้ ชนทั้งหลายก็ได้ทำความปรารถนาว่าบุรุษกำลังจะข้ามแม่น้ำ เมื่อไม่อาจข้ามโดยท่าตรงหน้าได้ก็ย่อมข้ามโดยท่าหลัง ฉันใด พวกเราเมื่อไม่ได้มรรคผลในศาสนาของพระทีปังกรทศพล ในอนาคตกาล ก็พึงสามารถทำให้แจ้งมรรคผล ต่อหน้าท่าน ในสมัยที่ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. 
         แม้พระทีปังกรทศพลก็ทรงสรรเสริญพระมหาสัตว์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบูชาด้วยดอกไม้ ๘ กำ ทรงทำประทักษิณและเสด็จหลีกไป แม้พระขีณาสพสี่แสนรูปนั้นก็พากันบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยดอกไม้และของหอม ทำประทักษิณแล้วหลีกไป. 
         ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรผู้ทรงทำประทีปคือความรู้โลกทั้งปวง อันพระขีณาสพสี่แสนรูปแวดล้อมแล้ว อันชาวรัมมนครบูชาอยู่ อันเทวดาทั้งหลายถวายบังคมอยู่ เสด็จพุทธดำเนิน ประหนึ่งยอดภูเขาทองอันประเสริฐที่อาบแสงสนธยา เมื่อปาฏิหาริย์ทั้งหลายเป็นอันมากดำเนินไปอยู่ ก็เสด็จไปตามหนทางที่ชาวรัมมนครประดับประดาตกแต่งนั้น เสด็จเข้าไปยังรัมมนครอันน่าอภิรมย์ อบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้หอมนานาชนิด กลิ่นจุณที่น่าชื่นชม ธงประฏากที่ยกขึ้นไสว มีหมู่ภมรที่ติดใจในกลิ่น บินว่อนเป็นกลุ่มๆ มืดครึ้มด้วยควันธูป สง่างามดังเทพนคร พระทินกรทศพลก็ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่สมควรอย่างใหญ่ที่เขาบรรจงจัดไว้ เหมือนดวงจันทร์งดงามยามฤดูสารทเหนือยอดยุคนธร เหมือนดังดวงทินกรกำจัดกลุ่มความมืด ทำความแย้มแก่ดงปทุม. แม้ภิกษุสงฆ์ก็นั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตนๆ ตามลำดับ. 
         ส่วนอุบาสกชาวรัมมนครผู้พรั่งพร้อมแล้วด้วยคุณมีศรัทธาเป็นต้น ก็ช่วยกันถวายทานที่ประดับพร้อมด้วยของเคี้ยวเป็นต้นชนิดต่างๆ สมบูรณ์ด้วยสีกลิ่นและรส ไม่มีทานอื่นเสมอเหมือน เป็นต้นเหตุแห่งสุข แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. 
         ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์สดับคำพยากรณ์ของพระทศพลก็สำคัญความเป็นพระพุทธเจ้าประหนึ่งอยู่ในกำมือ ก็บันเทิงใจ เมื่อชาวรัมมนครกลับกันหมดแล้ว ก็ลุกขึ้นจากที่นอนคิดว่าจักเลือกเฟ้นบารมีทั้งหลาย จึงนั่งขัดสมาธิเหนือยอดกองดอกไม้. 
         เมื่อพระมหาสัตว์นั่งอยู่อย่างนั้น เทวดาสิ้นทั้งหมื่นจักรวาลก็ให้สาธุการ กล่าวว่า ท่านสุเมธดาบสเจ้าข้า ในเวลาที่ท่านนั่งขัดสมาธิ หมายจักเลือกเฟ้นบารมีของพระโพธิสัตว์องค์ก่อนๆ ธรรมดาบุพนิมิตเหล่าใดปรากฏ บุพนิมิตเหล่านั้นก็ปรากฏแล้วในวันนี้ทั้งหมด ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเรารู้ข้อนี้ว่า บุพนิมิตเหล่านี้ปรากฏแก่ผู้ใด ผู้นั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจงประคองความเพียรของตนไว้ให้มั่น แล้วได้ชมพระโพธิสัตว์ด้วยสดุดีนานาประการ. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย สดับคำของพระทีปังกร 
         ทศพล ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้เสมอเหมือนนี้แล้ว ก็พา 
         กันดีใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพืชพระพุทธเจ้า 
               เสียงโห่ร้องอึงมี่ เสียงปรบมือ เสียงหัวเราะ หมื่นโลก 
         ธาตุเทวดาก็ทำอัญชลีนมัสการกล่าวว่า ผิว่าพวกเราจะพลาด 
         คำสอนของพระโลกนาถพระองค์นี้ ในอนาคตกาล พวกเรา 
         ก็จักอยู่ต่อพระพักตร์ของพระโลกนาถพระองค์นี้. 
               มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำพลาดท่าน้ำเฉพาะ 
         หน้าแล้ว ก็ถือเอาท่าน้ำท่าหลังข้ามแม่น้ำฉันใด. 
               พวกเราทั้งหมด ผิว่าพ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้เสีย 
         ในอนาคตกาล ก็จักอยู่ต่อพระพักตร์ของพระชินเจ้าพระ 
         องค์นี้ฉันนั้นเหมือนกัน. 
               พระทีปังกรทศพล ผู้รู้จักโลก ทรงเป็นปฏิคาหก 
         ผู้รับของบูชา ทรงประกาศกรรมของเราแล้ว ก็ทรงยกพระ 
         บาทเบื้องขวา. 
               พุทธชิโนรสทั้งหมด ที่อยู่ ณ ที่นั้น ก็พากันทำ 
         ประทักษิณเรา เทวดา มนุษย์และอสูรทั้งหลายก็กราบ 
         ไหว้แล้วหลีกไป. 
               เมื่อพระโลกนาถพร้อมทั้งพระสงฆ์ เสด็จลับตา 
         เราไปแล้ว ครั้งนั้น เราก็ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ. 
               เราประสบสุขโดยสุข เบิกบานโดยปราโมช อัน 
         ปีติสัมผัสซาบซ่านแล้ว นั่งขัดสมาธิในเวลานั้น. 
               ครั้นนั่งขัดสมาธิแล้ว เวลานั้น เราคิดอย่างนี้ว่า 
         เราเป็นผู้ชำนาญในฌาน ถึงฝั่งในอภิญญา ๕.
               ในหมื่นโลกธาตุ ไม่มีฤาษีที่จะเสมอเรา ไม่มีผู้ 
         เสมอในอิทธิธรรมทั้งหลาย เราได้ความสุขเช่นนี้. 
               ขณะที่เรานั่งขัดสมาธิ ทวยเทพในหมื่นโลกธาตุ 
         ก็เปล่งเสียงโห่ร้องว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ขณะพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่งขัดสมาธิ บุพนิมิต 
         เหล่าใดปรากฏก่อน บุพนิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันในวันนี้. 
               ความหนาวก็หายไป และความร้อนก็สงบไป 
         บุพนิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ 
         พุทธเจ้าแน่นอน. 
               หมื่นโลกธาตุก็ปราศเสียง ปราศจากความวุ่น 
         วาย บุพนิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันในวันนี้ ท่านจักเป็น 
         พระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ลมขนาดใหญ่ก็ไม่พัด แม่น้ำทั้งหลายก็ไม่ไหล 
         บุพนิมิตเหล่านั้น ก็เห็นกันในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ 
         พุทธเจ้าแน่นอน 
               ดอกไม้บนบก ดอกไม้ในน้ำ ก็บานหมดใน 
         ขณะนั้น ดอกไม้แม้เหล่านั้นทั้งหมด ก็บานแล้วใน 
         วันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ผิว่า ไม้เถาก็ดี ไม้ต้นก็ดี ก็มีผลในขณะนั้น 
         ต้นไม้แม้เหล่านั้นทั้งหมด ก็ออกผลในวันนี้ ท่านจัก 
         เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               รัตนะทั้งหลาย ที่อยู่ในอากาศและที่อยู่ภาคพื้น 
         ดิน ก็ส่องแสงโชติช่วงในขณะนั้น รัตนะแม้เหล่านั้น
         ก็โชติช่วงในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ดนตรีทั้งหลาย ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ทั้งที่เป็น 
         ของทิพย์ ก็บรรเลงในขณะนั้น ดนตรีทั้งสองแม้นั้น 
         ก็ส่งเสียงลั่นในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ฝนดอกไม้อันไพจิตร ก็หล่นลงมาจากท้องฟ้า 
         ในขณะนั้น ฝนดอกไม้แม้เหล่านั้น ก็หลั่งลงมาในวัน 
         นี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               มหาสมุทรก็คะนอง หมื่นโลกธาตุก็ไหว แม้ทั้ง 
         สองนั้น ก็ส่งเสียงลั่นในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า 
         แน่นอน. 
               ไฟหลายหมื่นในนรก ก็ดับในขณะนั้น ไฟแม้ 
         เหล่านั้นก็ดับแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า 
         แน่นอน. 
               ดวงอาทิตย์ทั้งใสไร้มลทิน ดวงดาวทั้งหลายก็ 
         เห็นได้หมด ดวงดาวแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันแล้วในวัน 
         นี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               เมื่อฝนไม่ตก น้ำก็พุขึ้นมาจากแผ่นดิน ในขณะ 
         นั้น น้ำแม้นั้น ก็พุขึ้นแล้วจากแผ่นดินในวันนี้ ท่าน 
         จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               หมู่ดาวและดาวนักษัตรทั้งหลาย ก็แจ่มกระจ่าง 
         ตลอดมณฑลท้องฟ้า ดวงจันทร์ก็ประกอบด้วยดาวฤกษ์ 
         วิสาขะ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในโพรง ที่อยู่ในร่องน้ำก็ออก 
         จากที่อยู่ของตน สัตว์แม้เหล่านั้นก็ออกจากที่อยู่แล้ว 
         ในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ความไม่ยินดีทั้งหลายไม่มีแก่สัตว์ทั้งหลาย สัตว์ 
         ทั้งหลายย่อมเป็นผู้สันโดษ ในขณะนั้นสัตว์แม้เหล่านั้น 
         ก็เป็นผู้สันโดษแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า 
         แน่นอน. 
               ในขณะนั้น โรคทั้งหลายก็สงบไป ความหิวก็ 
         หายไป บุพนิมิตแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันแล้วในวันนี้ 
         ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ในขณะนั้น ราคะก็เบาบาง โทสะ โมหะก็เสื่อม 
         หาย กิเลสแม้เหล่านั้นก็เลือนหายไปหมดในวันนี้ ท่าน 
         จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ในขณะนั้นภัยก็ไม่มี ความไม่มีภัยนั้นก็เห็นแม้ 
         ในวันนี้ พวกเรารู้กัน ด้วยเหตุนั้น ท่านจักเป็น 
         พระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               กิเลสดุจธุลีไม่ฟุ้งขึ้นเบื้องบน ความไม่ฟุ้งแห่ง 
         กิเลสดุจธุลีนั้นก็เห็นกันแม้ในวันนี้ พวกเรารู้กัน ด้วย
         เหตุนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               กลิ่นที่ไม่น่าปรารถนาก็จางหายไป กลิ่นทิพย์ก็ 
         โชยมา กลิ่นหอมแม้นั้น ก็โชยมาในวันนี้ ท่านจักเป็น 
         พระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               เทวดาทั้งหมดเว้นอรูปพรหมก็ปรากฏ เทวดา 
         แม้เหล่านั้นก็เห็นกันหมดในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ 
         พุทธเจ้าแน่นอน. 
               ขึ้นชื่อว่านรกมีประมาณเท่าใด ก็เห็นกันได้ 
         หมดในขณะนั้น นรกแม้เหล่านั้นก็เห็นกันแล้วใน 
         วันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               กำแพงบานประตู และภูเขาหิน ไม่เป็นที่กีด 
         ขวางในขณะนั้น กำแพงบานประตูและภูเขาหินแม้ 
         เหล่านั้น ก็กลายเป็นอากาศไปในวันนี้ ท่านจักเป็น 
         พระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               การจุติและปฏิสนธิ ย่อมไม่มีในขณะนั้น 
         บุพนิมิตแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันได้ในวันนี้ ท่านจัก 
         เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ขอท่านโปรดจงประคับประคอง ความเพียรไว้ 
         ให้มั่น อย่าถอยกลับ โปรดก้าวไปข้างหน้าต่อไปเถิด 
         แม้พวกเราก็รู้เหตุข้อนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ 
         นอน.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ สุตฺวาน วจนํ ความว่า ฟังคำพยากรณ์พระโพธิสัตว์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรนี้. 
         บทว่า อสมสฺส ได้แก่ ชื่อว่าไม่มีผู้เสมอ เพราะไม่มีผู้เสมอเหมือน. 
         เหมือนอย่างที่ตรัสว่า
                                 น เม อาจริโย อตฺถิ                            สทิโส เม น วิชฺชติ
                                 สเทวกสฺมึ โลกสฺมึ                             นตฺถิ เม ปฏิปุคฺคโล.
                      เราไม่มีอาจารย์ ผู้เสมือนเราไม่มี 
                      ผู้เทียบเราไม่มีในโลก พร้อมทั้งเทวโลก.
         บทว่า มเหสิโน ความว่า ชื่อว่ามเหสี เพราะเสาะแสวงหาคุณคือศีล สมาธิปัญญาใหญ่, ผู้แสวงหาคุณใหญ่พระองค์นั้น. 
         บทว่า นรมรู ได้แก่ มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ก็ศัพท์นี้ชี้แจงความอย่างสูง สัตว์แม้ทั้งหมด แม้แต่นาคสุบรรณและยักษ์เป็นต้นในหมื่นโลกธาตุก็พากันดีใจ. 
         บทว่า พุทฺธพีชํ กิร อยํ ความว่า พากันดีใจว่า ได้ยินว่า หน่อเนื้อพุทธางกูรนี้เกิดขึ้นแล้ว. 
         บทว่า อุกฺกฏฺฐิสทฺทา ความว่า เสียงโห่ร้องเป็นไปอยู่. 
         บทว่า อปฺโผเฏนฺติ ได้แก่ ยกแขนขึ้นปรบมือ. 
         บทว่า ทสสหสฺสี แปลว่า หมื่นโลกธาตุ. 
         บทว่า สเทวกา ความว่า หมื่นโลกธาตุกับเทวดาทั้งหลายที่ชื่อว่าสเทวกะ ย่อมนมัสการ. 
         บทว่า ยทิมสฺส ตัดบทว่า ยทิ อิมสฺส หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
         บทว่า วิรชฺฌิสฺสาม ได้แก่ ผิว่า เราไม่บรรลุ. 
         บทว่า อนาคตมฺหิ อทฺธาเน แปลว่า ในอนาคตกาล. 
         บทว่า เหสฺสาม แปลว่า จักเป็น. บทว่า สมฺมุขา แปลว่า ต่อหน้า. 
         บทว่า อิมํ คือ อิมสฺส ทุติยาวิภัตติลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ แปลว่าของท่านผู้นี้. 
         บทว่า นทึ ตรนฺตา ได้แก่ ผู้ข้ามแม่น้ำ. ปาฐะว่า นทิตรนฺตา ดังนี้ก็มี. 
         บทว่า ปฏิติตฺถํ ได้แก่ ท่าเรือเฉพาะหน้า. 
         บทว่า วิรชฺฌิย แปลว่า พลาดแล้ว. 
         บทว่า ยทิ มุญฺจาม ความว่า ผิว่า พวกเราจักพ้นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้โดยไม่ได้ทำกิจไป. 
         บทว่า มม กมฺมํ ปกิตฺเตตฺวา ได้แก่ ทรงพยากรณ์ประโยชน์ที่เราเจริญแล้ว. 
         บทว่า ทกฺขิณํ ปาทมุทฺธริ แปลว่า ยกพระบาทเบื้องขวา. ปาฐะว่า กตปทกฺขิโณ ดังนี้ก็มี. 
         บทว่า ชินปุตฺตา ได้แก่ สาวกของพระศาสดาทีปังกร. 
         บทว่า เทวา มนุสฺสา อสุรา จ อภิวาเทตฺวาน ปกฺกมุํ ความว่า ท่านเหล่านี้แม้ทั้งหมดมีเทวดาเป็นต้น ทำประทักษิณเรา ๓ ครั้ง บูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น ตั้งอัญชลีไว้เป็นอย่างดี ไหว้แล้วก็กลับ แลดูบ่อยๆ แล้วชมด้วยสดุดีนานาประการที่มีอรรถพยัญชนะอันไพเราะแล้วหลีกไป. 
         ปาฐะว่า นรา นาคา จ คนฺธพฺพา อภิวาเทตฺวาน ปกฺกมุํ ดังนี้ก็มี. 
         บทว่า ทสฺสนํ เม อติกฺกนฺเต ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าล่วงทัศนวิสัยของเราไปแล้ว. ปาฐะว่า ชหิเต ทสฺสนูปจาเร ดังนี้ก็มี. 
         บทว่า สสงฺเฆ ได้แก่ พร้อมกับพระสงฆ์ ชื่อว่าสสังฆะ พร้อมกับพระสงฆ์นั้น. 
         บทว่า สยนา วุฏฺฐหิตฺวา ได้แก่ ลุกขึ้นจากตมอันเป็นที่ๆ ตนนอนลงแล้ว. 
         บทว่า ปลฺลงฺกํ อาภุชึ ความว่า ทำบัลลังก์คือขัดสมาธินั่งเหนือกองดอกไม้. 
         ปาฐะว่า หฏฺโฐ หฏฺเฐน จิตฺเตน อาสนา วุฏฺฐหึ ตทา ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้นมีอรรถง่าย. 
         บทว่า ปีติยา จ อภิสฺสนฺโน ได้แก่ อันปีติสัมผัสซาบซ่านแล้ว. 
         บทว่า วสีภูโต ได้แก่ ถึงความเป็นผู้ชำนาญ. บทว่า ฌาเน ได้แก่ รูปาวจรฌานและอรูปาวจรฌาน. 
         บทว่า สหสฺสิยมฺหิ แปลว่า หมื่น. บทว่า โลกมฺหิ ได้แก่ ในโลกธาตุ. 
         บทว่า เม สมา ได้แก่ เสมือนเรา.
         พระองค์ตรัสโดยไม่แปลกว่า ผู้ที่เสมอไม่มี บัดนี้เมื่อจะทรงกำหนดความนั้นนั่นแลจึงตรัสว่า ไม่มีผู้เสมอในอิทธิธรรมทั้งหลาย. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทธิธมฺเมสุ ความว่า ในอิทธิธรรม ๕. 
         บทว่า ลภึ แปลว่า ได้แล้ว. บทว่า อีทิสํ สุขํ ได้แก่ โสมนัสเช่นนี้. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า ครั้งนั้น สุเมธดาบสฟังพยากรณ์ของพระทศพลแล้ว สำคัญความเป็นพระพุทธเจ้าประหนึ่งอยู่ในกำมือแล้วก็มีหัวใจเบิกบาน มหาพรหมในชั้นสุทธาวาสทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ เคยเห็นอดีตพระพุทธเจ้ามา เพื่อประกาศความเที่ยงแท้ไม่แปรผันแห่งพระดำรัสของพระตถาคต เพราะเห็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในการพยากรณ์นิยตพระโพธิสัตว์. 
         เมื่อทรงแสดงคำที่เทวดาทั้งหลายแสดงความยินดีกะเรา ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ จึงตรัสว่า ปลฺลงฺกาภุชเน มยฺหํ เป็นต้น. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปลฺลงฺกาภุชเน มยฺหํ ได้แก่ ในการนั่งขัดสมาธิของเรา. หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
         บทว่า ทสสหสฺสาธิวาสิโน ได้แก่ มหาพรหมทั้งหลายที่อยู่ในหมื่นโลกธาตุ. 
         บทว่า ยา ปุพฺเพ ได้แก่ ยานิ ปุพฺเพ คำนี้พึงทราบว่าท่านกล่าวลบวิภัตติ. 
         บทว่า ปลฺลงฺกวรมาภุเช ได้แก่ ในการนั่งขัดสมาธิอย่างดี. 
         บทว่า นิมิตฺตานิ ปทิสฺสนฺติ ความว่า นิมิตทั้งหลายปรากฏแล้ว เมื่อควรจะกล่าวคำเป็นอดีตกาล ก็กล่าวคำเป็นปัจจุบันกาล ถึงคำที่กล่าวเป็นปัจจุบันกาลแต่ก็ควรถือความเป็นอดีตกาล. 
         บทว่า ตานิ อชฺช ปทิสฺสเร ความว่า นิมิตเหล่าใด เกิดขึ้นแล้วในการที่นิยตพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่งขัดสมาธิแม้ในกาลก่อน นิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันอยู่ในวันนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนทีเดียว. แต่มิใช่นิมิตเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว. 
         คำว่า นิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันอยู่ในวันนี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวก็เพราะเสมือนนิมิตที่เกิดขึ้นแล้วนั้น. 
         บทว่า สีตํ แปลว่า ความเย็น. บทว่า พฺยปคตํ แปลว่า ไปแล้ว ไปปราศแล้ว. 
         บทว่า ตานิ ความว่า ความเย็นก็คลายไป ความร้อนก็ผ่อนไป. 
         บทว่า นิสฺสทฺทา ได้แก่ ไม่มีเสียง ไม่อึกทึก. 
         บทว่า นิรากุลา แปลว่า ไม่วุ่นวาย. หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
         บทว่า น สนฺทนฺติ ได้แก่ ไม่นำไป ไม่ไหลไป. 
         บทว่า สวนฺติโย แปลว่า แม่น้ำทั้งหลาย. บทว่า ตานิ ได้แก่ ไม่พัด ไม่ไหล. 
         บทว่า ถลชา ได้แก่ ดอกไม้ที่เกิดที่ต้นไม้ตามพื้นดินและบนภูเขา. 
         บทว่า ทกชา ได้แก่ ดอกไม้ที่เกิดในน้ำ. 
         บทว่า ปุปฺผนฺติ ได้แก่ บานแล้วแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในกาลก่อน. 
         คำเป็นปัจจุบันลงในอรรถอดีตกาล พึงทราบ โดยนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลังนั่นแล. 
         บทว่า เตปชฺช ปุปฺผิตานิ ความว่า ดอกไม้แม้เหล่านั้นบานแล้วในวันนี้. 
         บทว่า ผลภารา ได้แก่ ทรงผล. 
         บทว่า เตปชฺช ตัดบทว่า เตปิ อชฺช ท่านกล่าวว่า เตปิ โดยลิงควิปลาส เพราะท่านกล่าวว่า ลตา วา รุกฺขา วา. 
         บทว่า ผลิตา แปลว่า เกิดผลแล้ว. 
         บทว่า อากาสฏฺฐา จ ภุมฺมฏฺฐา ได้แก่ ไปในอากาศและที่ไปบนแผ่นดิน. 
         บทว่า รตนานิ ได้แก่ รัตนะทั้งหลายมีแก้วมุกดาเป็นต้น. 
         บทว่า โชตนฺติ แปลว่า ส่องแสงสว่าง. 
         บทว่า มานุสฺสกา ได้แก่ เป็นของมนุษย์ทั้งหลาย ชื่อว่ามานุสสกะของมนุษย์.
         บทว่า ทิพฺพา ได้แก่ เป็นของเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่าทิพพะของเทวดา. 
         บทว่า ตุริยา ได้แก่ ดนตรี ๕ คือ อาตตะ วิตตะ อาตตะวิตตะ สุสิระและฆนะ. 
         บรรดาดนตรีเหล่านั้น ในดนตรีมีกลองเป็นต้นที่หุ้มหนัง ดนตรีที่หุ้มหนังหน้าเดียวชื่อว่าอาตตะ. ดนตรีที่หุ้มหนังสองหน้าชื่อว่าวิตตะ. ดนตรีมีพิณใหญ่เป็นต้นที่หุ้มหนังหมด ชื่อว่าอาตตะวิตตะ. ดนตรีมีปี่เป็นต้น ชื่อว่าสุสิระ. ดนตรีมีสัมมตาลเป็นต้น ชื่อว่าฆนะ. 
         บทว่า วชฺชนฺติ ได้แก่ บรรเลงแล้วโดยนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง คำที่เป็นปัจจุบันกาล พึงทราบว่าใช้ในอรรถอดีตกาล แม้ในคำเช่นนี้ต่อๆ ไปก็นัยนี้. 
         บทว่า อภิรวนฺติ ความว่า ร้องดังบันลือลั่นเหมือนดนตรีที่ผู้ฉลาดบรรเลงแล้ว ประโคมแล้ว ขับร้องแล้ว. 
         บทว่า วิจิตฺตปุปฺผา ได้แก่ ดอกไม้ทั้งหลายมีกลิ่นและสีต่างๆ อันงดงาม. 
         บทว่า อภิวสฺสนฺติ แปลว่า ตกลงแล้ว. อธิบายว่า หล่นแล้ว. 
         บทว่า เตปิ ความว่า ดอกไม้อันงดงามแม้เหล่านั้นตกลงอยู่ก็เห็นกันในวันนี้. 
         อธิบายว่า อันหมู่เทวดาและพรหมโปรยลงมาอยู่. 
         บทว่า อภิรวนฺติ ได้แก่ บันลือลั่น. 
         บทว่า นิรเย ได้แก่ ในนรกทั้งหลาย. 
         บทว่า ทสสหสฺเส ได้แก่ หลายหมื่น. 
         บทว่า นิพฺพนฺติ ได้แก่ สงบ อธิบายว่าถึงความสงบ. 
         บทว่า ตารกา ได้แก่ ดาวฤกษ์ทั้งหลาย. 
         บทว่า เตปิ อชฺช ปทิสฺสนฺติ ความว่า ดวงดาวแม้เหล่านั้นก็เห็นกันกลางวันวันนี้ เพราะดวงอาทิตย์สุกใสไร้มลทิน. 
         บทว่า อโนวฏฺเฐน ได้แก่ คำว่า อโนวฏฺเฐ นี้เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถสัตตมีวิภัตติ. 
         อีกนัยหนึ่ง บทว่า อโนวฏฺเฐ ได้แก่ ไม่มีอะไรแม้ปิดกั้น. 
         คำว่า เป็นเพียงนิบาตเหมือนในประโยคเป็นต้นว่า สุตฺวา น ทูตวจนํ ฟังคำของทูตดังนี้. 
         บทว่า ตมฺปชฺชุพฺภิชฺชเต ความว่า น้ำแม้นั้นก็พุขึ้นในวันนี้. อธิบายว่า แทรกพุ่งขึ้น. 
         บทว่า มหิยา ได้แก่ แผ่นดิน เป็นปัญจมีวิภัตติ. 
         บทว่า ตาราคณา ได้แก่ หมู่ดาวทั้งหมดมีดาวเคราะห์และดาวนักษัตรเป็นต้น. 
         บทว่า นกฺขตฺตา ได้แก่ ดาวฤกษ์ทั้งหลาย. 
         บทว่า คคนมณฺฑเล ความว่า ส่องสว่างทั่วมณฑลท้องฟ้า. 
         บทว่า พิลาสยา ได้แก่ สัตว์ที่อยู่ในปล่องมีงู พังพอน จระเข้และเหี้ยเป็นต้น. 
         บทว่า ทรีสยา ได้แก่ สัตว์ที่อยู่ในแอ่งน้ำ หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
         บทว่า นิกฺขมนฺติ ได้แก่ ออกไปแล้ว. 
         บทว่า สกาสยา แปลว่า จากที่อยู่ของตนๆ. ปาฐะว่า ตทาสยา ดังนี้ก็มี. 
         ปาฐะนั้นมีความว่า ในครั้งนั้นคือในกาลนั้น จากที่อยู่คือปล่อง. 
         บทว่า ฉุทฺธา ได้แก่ อันเขาซัดไปแล้ว ขึ้นไปแล้วคือออกไป. 
         บทว่า อรตี ได้แก่ ความกระสัน. 
         บทว่า สนฺตุฏฺฐา ได้แก่ สันโดษด้วยสันโดษอย่างยิ่ง. 
         บทว่า วินสฺสติ ได้แก่ ไปปราศ. 
         บทว่า ราโค ได้แก่ กามราคะ.
         บทว่า ตทา ตนุ โหติ ได้แก่ มีประมาณน้อย ทรงแสดงปริยุฏฐานกิเลสด้วยบทนี้. 
         บทว่า วิคตา ได้แก่ สูญหาย. 
         บทว่า ตทา ได้แก่ ครั้งก่อน. อธิบายว่า ครั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่งขัดสมาธิ. 
         บทว่า น ภวติ แปลว่า ไม่มี. 
         บทว่า อชฺชเปตํ ความว่า แม้ครั้งท่านนั่งขัดสมาธิในวันนี้ ภัยนั้นก็ไม่มี. 
         บทว่า เตน ลิงฺเคน ชานาม ความว่า พวกเราทุกคนย่อมรู้ด้วยเหตุที่ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า 
         บทว่า อนุทฺธํสติ ได้แก่ ไม่ฟุ้งขึ้น. 
         บทว่า อนิฏฺฐคนฺโธ ได้แก่ กลิ่นเหม็น. 
         บทว่า ปกฺกมติ แปลว่า หลีกไปแล้ว ปราศไปแล้ว. 
         บทว่า ปวายติ แปลว่า พัดไปแล้ว. 
         บทว่า โสปชฺช ได้แก่ กลิ่นทิพย์แม้นั้น ในวันนี้. 
         บทว่า ปทิสฺสนฺติ ได้แก่ เห็นกันแล้ว. 
         บทว่า เตปชฺช ได้แก่ เทวดาทั้งหมดแม้นั้นในวันนี้. 
         ศัพท์ว่า ยาวตา เป็นนิบาตลงในอรรถว่ากำหนด ความว่า มีประมาณเท่าใด. 
         บทว่า กุฑฺฑา แปลว่า กำแพง. 
         บทว่า น โหนฺตาวรณา ได้แก่ ทำการขวางกั้นไม่ได้. 
         บทว่า ตทา ได้แก่ ครั้งก่อน. 
         บทว่า อากาสภูตา ได้แก่ กำแพงบานประตูและภูเขาเหล่านั้น ไม่อาจทำการขวางกั้นทำไว้ข้างนอกได้. อธิบายว่า อากาศกลางหาว. 
         บทว่า จุติ ได้แก่ มรณะ. บทว่า อุปฺปตฺติ ได้แก่ ถือปฏิสนธิ. 
         บทว่า ขเณ ได้แก่ ในขณะพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่งขัดสมาธิในกาลก่อน. 
         บทว่า น วิชฺชติ แปลว่า ไม่มีแล้ว. 
         บทว่า ตานิปชฺช ความว่า การจุติปฏิสนธิ ในวันนี้แม้เหล่านั้น. 
         บทว่า มา นิวตฺติ ได้แก่ จงอย่าถอยหลัง. บทว่า อภิกฺกม ได้แก่ จงก้าวไปข้างหน้า. 
         คำที่เหลือในเรื่องนี้ง่ายทั้งนั้นแล. 
         ต่อจากนั้น สุเมธบัณฑิตสดับคำของพระทีปังกรทศพล และของเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็เกิดอุตสาหะ อย่างยิ่งยวด คิดว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระวาจาไม่โมฆะเปล่าประโยชน์ พระวาจาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เปลี่ยนเป็นอื่น. 
         เหมือนอย่างว่า ก้อนดินที่เหวี่ยงไปในอากาศก็ตกแน่นอน สัตว์ที่เกิดมาแล้วก็ตาย เมื่ออรุณขึ้นดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสู่ท้องฟ้า ราชสีห์ออกจากที่อยู่ก็บันลือสีหนาท สตรีมีครรภ์หนักก็ปลงภาระแน่นอน เป็นอย่างนี้โดยแท้ฉันใด 
         ธรรมดาพระดำรัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็แน่นอน ไม่โมฆะเปล่าประโยชน์ฉันนั้นเหมือนกัน เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               เราสดับพระดำรัสของพระพุทธเจ้า และคำของ 
         เทวดาในหมื่นโลกธาตุ ทั้งสองแล้ว ก็ยินดีร่าเริงเบิก 
         บานใจ ในครั้งนั้น จึงคิดอย่างนี้ว่า 
               พระชินพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระดำรัสไม่เป็นสอง 
         มีพระดำรัสไม่เป็นโมฆะ คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้ง 
         หลายไม่มี เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ก้อนดินถูกเหวี่ยงไปในอากาศ ย่อมตกที่พื้นดิน 
         แน่นอน ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ 
         ก็เที่ยงแท้แน่นอน ฉันนั้น คำเท็จของพระพุทธเจ้า 
         ทั้งหลายไม่มี เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ความตายของสัตว์ทั้งหมด เที่ยงแท้ แน่นอน 
         ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็เที่ยง
         แท้แน่นอน ฉันนั้น คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 
         ไม่มี เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               เมื่อสิ้นราตรี ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแน่นอน ฉันใด 
         พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็เที่ยงแท้แน่ 
         นอน ฉันนั้น คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี 
         เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. 
               ราชสีห์ออกจากที่นอน ก็บันลือสีหนาทแน่นอน 
         ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐก็ฉันนั้น 
         คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี เราจะเป็นพระ 
         พุทธเจ้าแน่นอน. 
               สัตว์มีครรภ์หนัก ก็ปลงภาระแน่นอน ฉันใด 
         พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็เที่ยงแท้แน่ 
         นอน ฉันนั้น คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี 
         เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธสฺส วจนํ สุตฺวา ทสสหสฺสีน จูภยํ ความว่า สดับพระดำรัสของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และของเทวดาในหมื่นจักรวาล. 
         บทว่า อุภยํ ได้แก่ อุภเยสํ คำนี้เป็นปฐมาวิภัตติลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ หรือคำทั้งสอง. 
         บทว่า เอวํ จินฺเตสหํ ได้แก่ เราคิดอย่างนี้. 
         บทว่า อเทฺวชฺฌวจนา ได้แก่ มีพระดำรัสไม่เป็นสองอย่าง. อธิบายว่า มีพระดำรัสเป็นอย่างเดียว. 
         ปาฐะว่า อจฺฉิทฺทวจนา ดังนี้ก็มี ปาฐะนั้นมีความว่าไม่มีโทษ. 
         บทว่า อโมฆวจนา ได้แก่ มีพระดำรัสไม่เท็จ. 
         บทว่า วิตถํ ความว่า คำเท็จไม่มี. 
         บทว่า ธุวํ พุทฺโธ ภวามหํ พึงทราบว่าท่านทำเป็นคำปัจจุบันกาล โดยเป็นเรื่องแน่นอนและเป็นเรื่องมีโดยแท้ว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว. 
         บทว่า สูริยุคฺคมนํ ได้แก่ การอุทัยของดวงอาทิตย์หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
         บทว่า ธุวสสฺสตํ ได้แก่ มีความเป็นโดยส่วนเดียว และเที่ยงแท้. 
         บทว่า นิกฺขนฺตสยนสฺส ได้แก่ ผู้ออกไปจากที่นอน. 
         บทว่า อาปนฺนสตฺตานํ ได้แก่ สัตว์ผู้มีครรภ์หนัก. อธิบายว่า ผู้มีครรภ์. 
         บทว่า ภารโมโรปนํ ได้แก่ ภารโอโรปนํ. อธิบายว่า การปลงลงซึ่งครรภ์. 
         ม อักษรทำการสนธิบท. 
         คำที่เหลือแม้ในข้อนี้ ก็ง่ายทั้งนั้นแล.
         สุเมธบัณฑิตทำการตกลงใจอย่างนี้ว่า เรานั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่แท้ เพื่อใคร่ครวญถึงพุทธการกธรรมทั้งหลาย จึงเลือกเฟ้นธรรมธาตุทั้งสิ้นโดยลำดับว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายอยู่ที่ไหนหนอ เบื้องบน เบื้องล่าง ในทิศใหญ่ทิศน้อยทั้งหลาย ก็เห็นทานบารมีอันดับแรก ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเก่าๆ ในกาลก่อนซ่องเสพเป็นประจำกันมา จึงสอนพระองค์เองอย่างนี้ว่า 
         ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับตั้งแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญทานบารมีก่อน เหมือนอย่างว่า หม้อน้ำที่เขาคว่ำปากลง ย่อมหลั่งน้ำออกไม่เหลือเลย ไม่นำน้ำกลับเข้าไปฉันใด ท่านก็ไม่พึงเสียดายทรัพย์หรือยศ บุตรภรรยาหรืออวัยวะใหญ่น้อย เมื่อให้ทุกอย่างที่ยาจกต้องการๆ กันไม่เหลือไว้เลยในที่ทั้งปวง ก็จักนั่งเป็นพระพุทธเจ้าที่โคนโพธิพฤกษ์ ดังนี้. 
         แล้วอธิษฐานทานบารมีไว้มั่นเป็นอันดับแรก 
         ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า 
               เอาเถิด เราจักเลือกเฟ้นพุทธการกธรรม ทางโน้น ทางนี้ 
         ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง ทั้งสิบทิศ ตราบเท่าที่ธรรมธาตุยังเป็นไป. 
               ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นทานบารมีเป็นอันดับแรก 
         เป็นทางใหญ่ ที่พระผู้แสวงคุณใหญ่หลายพระองค์ก่อนๆ ประพฤติ 
         ตามกันมาแล้ว. 
               ท่านจงสมาทาน ทานบารมีนี้ไว้มั่นเป็นอันดับแรกก่อน 
         จงบำเพ็ญทานบารมี ผิว่าท่านต้องการจะบรรลุพระโพธิญาณ. 
               หม้อที่เต็มด้วยน้ำอย่างใดอย่างหนึ่งวางคว่ำปากลงก็สำรอก 
         น้ำออกไม่เหลือเลย ไม่รักษาน้ำไว้ในหม้อนั้นแม้ฉันใด. 
               ท่านเห็นยาจก ทั้งชั้นต่ำชั้นกลางและชั้นสูง แล้วจงให้ 
         ทานไม่เหลือเลย เหมือนหม้อน้ำที่คว่ำปากฉันนั้นเหมือนกัน.
         แก้อรรถ         
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเชื้อเชิญ. 
         บทว่า พุทฺธกเร ธมฺเม ได้แก่ ธรรมที่ทำความเป็นพระพุทธเจ้า ธรรม ๑๐ ประการมีทานปารมิตาเป็นต้น ชื่อว่าธรรมทำความเป็นพระพุทธเจ้า. 
         บทว่า วิจินามิ ได้แก่ จักเลือกเฟ้น. อธิบายว่า จักทดสอบ จักสอบสวน. 
         บทว่า อิโต จิโต ได้แก่ ข้างโน้น ข้างนี้. หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
         ความว่า จะเลือกเฟ้นในที่นั้นๆ. 
         บทว่า อุทฺธํ ได้แก่ ในเทวโลก. บทว่า อโธ ได้แก่ ในมนุษยโลก. 
         บทว่า ทสทิสา ได้แก่ ในสิบทิศ. 
         อธิบายว่า พุทธการกธรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหนหนอ เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ในทิศใหญ่ทิศน้อย. 
         คำว่า ยาวตา ในคำว่า ยาวตา ธมฺมธาตุยา นี้เป็นคำกล่าวกำหนด. 
         บทว่า ธมฺมธาตุยา ได้แก่ แห่งสภาวธรรม. 
         พึงเห็นว่าเติมคำที่เหลือว่า ปวตฺตนี แปลว่า ความเป็นไปแห่งสภาวธรรม. 
         ท่านอธิบายไว้อย่างไร 
         ท่านอธิบายไว้ว่า จักเลือกเฟ้นเพียงเท่าที่สภาวธรรม คือ ธรรมส่วนกามาวจร รูปาวจรเป็นไป. 
         บทว่า วิจินนฺโต ได้แก่ ทดสอบ สอบสวน. 
         บทว่า ปุพฺพเกหิ ได้แก่ อันพระโพธิสัตว์ทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ. 
         บทว่า อนุจิณฺณํ ได้แก่ สะสม ซ่องเสพ. 
         บทว่า สมาทิย ได้แก่ จงทำการสมาทาน. อธิบายว่า จงสมาทานอย่างนี้ว่า ตั้งแต่วันนี้ เราควรบำเพ็ญทานบารมีนี้ก่อน. 
         บทว่า ทานปารมิตํ คจฺฉ ได้แก่ ถึงทานบารมี. อธิบายว่า ทำให้เต็ม. 
         บทว่า ยทิ โพธึ ปตฺตุมิจฺฉสิ ความว่า ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าไปโคนโพธิ์แล้วบรรลุ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ. 
         บทว่า ยสฺส กสฺสจิ ความว่า เต็มด้วยน้ำหรือน้ำนมอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อประกอบ สัมปุณฺณ ศัพท์ ปราชญ์ทางศัพทศาสตร์ ประสงค์ฉัฏฐีวิภัตติ หรือฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถตติยาวิภัตติ. 
         ความว่า ด้วยน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง. 
         บทว่า อโธกโต ได้แก่ อันเขาคว่ำปากลง. 
         บทว่า น ตตฺถ ปริรกฺขติ ได้แก่ รักษาไว้ไม่ได้ในการไหลของน้ำนั้น. อธิบายว่า หลั่งน้ำออกไม่เหลือเลย. 
         บทว่า หีนมุกฺกฏฺฐมชฺฌิเม ได้แก่ ชั้นต่ำชั้นกลางและชั้นประณีต. 
         ม อักษรทำบทสนธิ. 
         บทว่า กุมฺโภ วิย อโธกโต ได้แก่ เหมือนหม้อที่วางคว่ำปาก. 
         สุเมธบัณฑิตสอนตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธ ท่านพบคนยาจกที่เข้าไปหา จงบำเพ็ญทานบารมีด้วยการบริจาคทรัพย์ทั้งหมดของตนไม่ให้เหลือ อุปบารมีด้วยการบริจาคอวัยวะ และปรมัตถปารมีด้วยการบริจาคชีวิต.