Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 🤸 ดูหนัง ภาพยนตร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 🤸 ดูหนัง ภาพยนตร์ แสดงบทความทั้งหมด

30 กันยายน 2568

จิต วิญญาณ Spirituality 📽 The Devil on Trial (2023) พิพากษาปีศาจ

      Tweet 
     การศึกษาพบว่ามีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างหลับตื้นกับหลับลึก เป็นการสั่นไหวอย่างเร็วของลูกตา เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) บางคนจึงแบ่งการหลับออกเป็น 2 ชนิด คือ REM Sleep และ Non-REM Sleep ช่วงเวลาที่คนเราฝันบ่อยที่สุด ก็คือช่วงระหว่างหลับตื้นและหลับลึก หรือ REM Sleep นี่เอง และ 80-90% จะจำความฝันนั้นได้
   บางคนที่คิดว่าตนไม่เคยฝัน ก็เพราะความฝันของบางคนเป็นเรื่องเบาบาง สมองจึงไม่ค่อยยอมบันทึกไว้ให้เปลืองเนื้อที่ ถ้าฝันแล้วตื่นขึ้นทันที ก็ยังพอจะจำได้ แต่ถ้านานไปก็จะลืมหมด จนบางคนคิดว่าไม่ได้ฝัน
 จากการศึกษาพบว่าคนส่วนมากมักจำความฝันไม่ค่อยได้หรือจำได้ก็ไม่นาน ตกๆ หล่นๆ ไม่ปะติดปะต่อ ที่ฝันเป็นเรื่องเป็นราวเห็น จะมีแต่ในนิยายหรือแต่งเติมเอาเองทั้งนั้น นักประสาทสรีรศาสตร์กล่าวว่าการบันทึกความจำอะไรก็ตาม เกิดขึ้นได้จากการจับตัวกันของเซลล์สมอง ความฝันทั่วไป เซลล์สมองจับกันไม่แน่น ไม่นานก็คลายหลุด เราก็ลืมความฝันนั้น แต่ถ้าเป็นความฝันที่ประทับใจหรือตื่นเต้นน่ากลัว เซลล์สมองจะจับกันแน่น ทำให้จดจำอยู่ได้นาน ความฝันที่เกิดขึ้นในช่วงแรกๆ ของการหลับ มักจะถูกลืมบ่อยกว่าความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อใกล้ตื่นหรือฝันจนตื่น และคนที่หลับสนิทจะฝันน้อย หรือจำความฝันได้น้อย หรือไม่รู้สึกว่าฝันเลย แต่ถ้าหลับๆ ตื่นๆ มักจะจำความฝันได้มาก
 ความฝันแม้จะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดกับทุกคน แต่สำหรับผู้ที่กินยานอนหลับจนหลับสนิท จะไม่ฝันเพราะระยะต่างๆ จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนเข้าสู่ระยะหลับลึก แต่พอยาหมดฤทธิ์ใกล้ตื่น อาจจะฝันได้ และส่วนมากเป็นฝันร้ายเสียด้วย  มีการถกเถียงกันมานานว่าจริงๆ แล้วความฝันของคนเรามีสีสันหรือเป็นภาพขาวดำกันแน่ กล่าวกันว่าความฝันโดยทั่วไปมักเป็นคล้ายหนังขาวดำ ภาพในฝันก็มักมัวซัวไม่ชัดเจน ถ้ามีสีก็มักเป็นสีเข้ม เช่น แดงเข้มหรือน้ำเงินเข้ม นอกจากฝันว่าไฟไหม้เท่านั้น จึงจะเห็นแสงสว่างจ้า
       ผลงานวิจัยจาก University of Dundee ประเทศสก็อตแลนด์ พบว่าผู้ใหญ่วัย 55 ปีขึ้นไปที่เติบโตมาในยุคหนังขาวดำ มีแนวโน้มเห็นภาพฝันเป็นสีขาวดำ ขณะที่คนอายุต่ำกว่า 25 ปีที่คุ้นตากับทีวีสีมักฝันเห็นเป็นสีสัน
       ส่วนใหญ่ความฝันจะอยู่ในรูปของการเห็น รองลงมาจะเป็นรูปของการได้ยิน การสัมผัส และความเจ็บปวด ที่พบน้อยมากคือ ฝันในรูปของ การได้ลิ้มชิมรส และการได้กลิ่น
 ความฝันอาจจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นกับตนเองหรือสิ่งแวดล้อม หญิงตั้งครรภ์ในระยะแรกๆ อาจจะฝันบ่อยและฝันแปลกๆ จนบางครั้งการฝันที่เพิ่มขึ้นมากก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยในการวินิจฉัยว่า หญิงนั้นเริ่มตั้งครรภ์ได้ ทั้งๆ ที่ประจำเดือนยังไม่ขาด อาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ โดยเฉพาะที่ทำให้ต้องตื่นกลางดึกบ่อยๆ มักทำให้ฝันบ่อยหรือจำความฝันได้มากขึ้น และมักจะเป็นฝันร้าย ความอัดอั้นทางกายบางอย่างก็ทำให้ฝันได้ เช่น ฝันเปียก หรือฝันว่าได้ร่วมเพศ บางคนฝันว่าไปห้องน้ำเพื่อถ่ายปัสสาวะ เมื่อตื่นขึ้นมาก็มักจะพบว่ากำลังปวดปัสสาวะอยู่ หรืออาจถ่ายรดที่นอนไปแล้วก็ได้
  ความคิดเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการฝันมีหลากหลาย นักจิตวิทยาบางคนเชื่อว่า ความฝันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เราฝันเพื่อปลดปล่อยความกลัดกลุ้ม หรือความเครียด คนเราเมื่อมีปัญหารุมเร้าแก้ไม่ตกจนเกิดอาการนอนหลับไม่สนิท ถ้าได้ฝันเสียบ้างจะรู้สึกผ่อนคลายลงได้ บางคนก็บอกว่า ความฝันเป็นเพียงวิธีที่จิตของเราใช้ปลดปล่อยเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งในแต่ละวัน
      บางคนก็ว่าความฝันเป็นเพียงคำพูดที่ปราศจากความหมายของจิตใจ แต่ก็มีหลายคนที่เชื่อว่า ความฝันคือข่าวสารที่ส่งมาจากจิตใต้สำนึก เพื่อกระตุ้นให้เรา สนใจ พิจารณา เรื่องต่าง ๆ บางครั้งมันจะเปิดเผยความขัดแย้งที่อยู่ลึกลงไปในจิตใจ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
       Sigmund Freud บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ กล่าวไว้ว่า ความฝันที่เราไม่เข้าใจ ก็เปรียบได้กับจดหมายที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน ซึ่งก็หมายถึงข่าวสารที่มาจาก จิตใต้สำนึก ที่เราไม่มีโอกาสได้รับนั่นเอง
      นักจิตวิเคราะห์บางกลุ่มจึงให้ความสำคัญกับการแปลความหมายของความฝันอย่างมาก และเชื่อว่าจิตใต้สำนึกจะส่งสิ่งเตือนใจมาให้เราอย่างต่อเนื่อง ในรูปของความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงจำเป็นต้องให้ความสนใจกับความฝันของตนเองบ้าง เผื่อจะรู้จักและเข้าใจตัวเองดีขึ้น ไปจนถึงแก้ปัญหาต่างๆ ที่ค้างคาอยู่ได้ Source : ผู้จัดการออนไลน์ - เอมอร คชเสนี
 ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ทางจิตรู้แล้วว่า จิตกับกาย มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน อย่างลึกซึ้ง และเป็น จิตที่คุมกาย (mind over matter) นักวิทยาศาสตร์ทางจิต รู้เช่นเดียวกันว่า มนุษย์เราทุกคนมีพลังจิต มีการตระหนักรู้จาก ความตั้งใจ มีอารมณ์ และเมื่อลักษณะจิตดังกล่าว รวมกับความตั้งใจ ที่จะทำสิ่งที่มีความหมายดีงาม หรือทำให้เราอยู่รอด
   ในสังคมที่เปลี่ยนไป เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวของเราเองตามไปด้วยได้  นักวิจัยได้ทดลองให้ชายหญิงกับเด็กวัยรุ่นดูหนังโป๊และหนังเศร้าสุดขีด ปรากฏว่า ทุกคนสามารถควบคุมระดับจิต และพฤติกรรมทางกายได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเด็กวัยรุ่นอาจจะควบคุมยากไปบ้างเล็กน้อย (Beauregard and O"Leary : Introduction in Spiritual Brain, 2007) ซึ่งแสดงว่า มนุษย์สามารถควบคุม พฤติกรรมทางกายด้วยการยืดหยุ่นทางจิต และจิตวิญญาณได้ตลอดเวลา เพราะมนุษย์เท่านั้นที่สามารถมีวิวัฒนาการสู่จิตวิญญาณ (spirituality) ได้ 
 มนุษย์มีการยืดหยุ่นทางจิต (resiliency) ได้สูง เพราะว่าได้ผ่านพ้นความเป็น สัตว์ไปแล้ว การปรับตัวเองทางกายภาพไม่ได้อยู่ที่ ชีววิวัฒนาการทางกายภาพ แต่เป็นเรื่องวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช้า ละเอียด มาทีหลังชีววิวัฒนาการทางกายภาพ และมีแต่ในมนุษย์เท่านั้น ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเหมือนที่ศาสนาบอกว่า มนุษย์ทุกคน  เร็วหรือช้า  จะต้องมีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่ไล่สูงขึ้นไปจนถึงนิพพาน
 นักวิชาการทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายกาย ทั้งนักจิตวิทยา และนักเทววิทยา หรือนักศาสนศาสตร์กับนักวิทยาศาสตร์ หรือนักฟิสิกส์ ต่างรู้ว่าจิตกับกาย (mind and body) แยกจากกันไม่ได้ แต่ความรู้หรือความเข้าใจเช่นนั้น ไม่ค่อยมีใครตอบให้กระจ่างชัดได้ ยิ่งนักประสาทวิทยาศาสตร์ส่วนมากแล้วแทบไม่ต้อง
พูดถึง  พวกเขาแทบจะไม่ยอมรับอะไรที่เป็นเรื่องของจิตแท้ๆ เลย เพราะเชื่อว่าจิตไม่มีจริง หรือถึงมีก็เป็นส่วนของกาย (epiphenomenon) ที่ทำงานอย่างซับซ้อน หรือ พูดง่ายๆ ว่า จิตเป็นผลของการจัดองค์กรตนเองของสมอง โดยเฉพาะในระยะหลัง เมื่อมีการค้นพบสารเคมีหลายชนิด ที่ทำหน้าที่
เหมือนกับว่าเป็นตัวการที่สัมพันธ์กับเรื่องของจิต (neurocorrelates of the consciousness or NCCs) ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ของการเป็นเหตุที่ก่อผลเลย ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป ในขณะที่หนังสือที่ดีมากๆ ในเรื่องนี้ เรื่องสำคัญของการพึ่งพาอาศัยหรือเป็นเหตุปัจจัยกัน ที่เขียนโดยนักจิตวิทยาอัจฉริยะ คาร์ล กุสตาฟ จุง กับนักควอนตัมฟิสิกส์รางวัลโนเบล วูล์ฟกัง พอลี่ (Carl Gustav Jung and Wolfgang Pauli : Interpretation of Nature and Psyche, 1954) กลับไม่มีคนสนใจเท่าที่ควร และเรื่องนี้สมควรจะนำมาพูดกัน หนังสือเล่มนี้เดิมทีเขียนเป็นภาษาเยอรมัน แต่มีคนแปล เป็น
 ภาษาอังกฤษ ในหนังสือ วูลฟ์กัง พอลี่ จะพูดเสมอๆ ว่า เขาเชื่อว่าเรื่องของ จิตกับกายนั้น มีกระบวนการแห่งความรู้ที่ชัดแจ้งว่า ทั้งสองมีจุดกำเนิดหรือที่มาจากแหล่งเดียวกัน ก่อนที่จะแยกเป็น จิตกับกายดังที่ผู้เขียนได้เขียนถึงมาตลอด คาร์ล จุง ก็พูดเช่นนั้น โดยบอกว่ามิติที่มาก่อนการแยกตัวออกเป็นจิตกับกาย 
  จุงเรียกว่า "อูนัส แมนดัส" (unus mandus) - และจากอูนัส แมนดัส รูปแบบ (archetype) ของจิตไร้สำนึกโบราณของสัตว์โลกที่เรารับรู้ก็จะแสดงปรากฏการณ์ของจิตใจและร่างกายออกมา พูดง่ายๆ คือ เป็นรูปแบบของจิตโบราณของจักรวาลที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนตัวเองเป็นจิตสำนึกได้ (ต้องมีสมองของสัตว์โลกเป็นผู้บริหาร) แต่เป็นจิตโบราณที่เป็นรูปแบบร่วมของจิตและกาย ซึ่งจุงเชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้จิตกับกายมีความติดต่อเชื่อมโยงกัน
และจะว่าไปแล้ว วูลฟ์กัง พอลี่ ก็คิดเช่นนั้นว่า คงจะต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความจริงแท้ที่ติดต่อเชื่อมโยงกัน ซึ่งทำให้องค์กรอัตวิสัย (subjective) และวัตถุวิสัย (objective) ของจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน (ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นเสมือนจิตไร้สำนึกที่ไม่ได้บริหารที่สมอง แต่บริหารโดยจักรวาลเช่นเดียวกับ
องค์กรซ่อนตัวเองของเดวิด โบห์ม (implicate order)) ซึ่งพอลี่ก็คิดว่ามันจะต้องมีการแตกแยกกันของอูนัส แมนดัส ที่ถือว่าเป็นจิตไร้สำนึกพื้นฐาน (psychophysical symmetry) ที่ทำให้จิตโบราณ (archetype) หนึ่ง กับกฎทางฟิสิกส์ (physical law) อีกหนึ่งมีขึ้นมา และพอลี่คิดว่า
 น่าจะมีกฎธรรมชาติของจักรวาลอีกกฎหนึ่งคอยควบคุมการโผล่ปรากฏของจุดกำเนิดของจิตและกายอีก
 อย่างไรก็ตาม สมมติฐานของ วูล์ฟกัง พอลี่ นี้เป็นเรื่องที่นักฟิสิกส์คลาสสิคยอมรับกันไม่ได้ พอลี่เลยไม่ขยายความต่อความสำคัญที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น ตอกย้ำสิ่งที่ผู้เขียนได้พูดมาตลอดว่า แทนที่จิตจะเกิดขึ้นจากการทำงานที่ซับซ้อนของกายหรือสมอง ตามที่นักประสาทวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อกัน จริงๆ แล้ว ทั้ง
สององค์กรหรือทั้งจิตและกายน่าจะโผล่ปรากฏออกมาจากความจริงแท้แหล่งเดียวกันของจิตโบราณ หรืออาร์คีไทป์ของจุง ว่าไปแล้ว เบเนดิค เดอ สปิโนซ่า เคยสันนิษฐานว่าจะต้องมีพื้นฐานของความจริงอยู่หนึ่งเดียวที่เขาเรียกว่า "คอสซา ซูอิ" (causa sui) ซึ่งให้ปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของโลกแห่ง จิต 
 และกาย ต่อมา เดวิด โบหม์ นักควอนตัมฟิสิกส์อัจฉริยะ และ อูยีน วิกเนอร์ กับ เบอร์นาร์ด เอสปาร์ยัต นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ต่างกรรมต่างวาระ ต่างก็ให้ทรรศนะเป็นอย่างเดียวกัน เดวิด โบห์ม เป็นนักฟิสิกส์ที่มองทุกอย่างในจักรวาลในทางปรัชญา ดังนั้น เขาจึงมองความจริงทางโลกว่าเป็นภาพลวงตาของสิ่ง
ที่ ในความเป็นจริง ที่อยู่ลึกลงไป จะเป็นอีกอย่าง ภาพลักษณ์ทางโลกล้วนเป็นสิ่งที่คลี่ขยายออกมาเป็นองค์กรที่เปิดเผย (explicate order) เพื่อให้เรารับรู้ (perception) โลกเป็นวัตถุหรือเป็นปรากฏการณ์เพื่อการดำรงอยู่ของเราในโลกที่มีสามมิติ (บวกที่ว่าง-เวลาอีกหนึ่งรวมเป็นสี่มิติ) ที่คลี่ขยายออก
มาจาก องค์กรที่ซ่อนเร้นตัวเอง (implicate order) ซึ่งน่าจะตรงกับอาร์คีไทป์ของ คาร์ล จุง ซึ่งการคลี่ขยายออกไป และการม้วนตัวกลับเข้ามา (unfold and enfold) จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยมีจิตเป็นส่วนร่วมและกำหนดทุกวันนี้ นักฟิสิกส์หลายคนคิดว่าโลกและจักรวาลมีที่มาจากความคิดหรือ
จินตนาการ (ที่มีความเป็นไปได้อย่างมีเหตุมีผล) คล้ายๆ กับโลกแห่งคณิตศาสตร์ ของพลาโต (mathematic world of Plato) ที่ประกอบด้วยความจริงหลายระดับที่ซับซ้อนอย่างที่สุด อย่างเช่นที่ จอร์จ เอลลิส คิดว่ามีอยู่สี่ระดับ คือ หนึ่ง โลกแห่งสสารวัตถุและพลังงาน สอง โลกแห่งจิต
 สาม โลกแห่งชีวิต และสี่ โลกแห่งคณิตศาสตร์ ซึ่งแต่ละระดับมีความซับซ้อน และต่างเป็นเอกราชต่อกัน คือต่างก็ใช้อธิบายการเกิดขึ้นของแต่ละอย่างไม่ได้ทั้งหมด เช่น คณิตศาสตร์อย่างเดียวไม่สามารถอธิบายการเกิดขึ้นของสสารวัตถุได้ ชีวิตไม่อาจอธิบายการเกิดของจิตได้ ฯลฯ
 ดังนั้น ทั้งหมดจะต้องมีตัวเชื่อม (George F.R. Ellis : Progress in scientific and Spiritual Understanding in Spiritual Information, 2005) ซึ่งเอลลิสคิดว่า คือ ข้อมูล แต่ผู้เขียนไม่เห็นว่า ตัวอย่างหรือระดับทั้งสี่นั้นมีความจำเป็นเลย ข้อเสนอของ จอร์จ เอลลิส จึงเหมือนกับว่า
เป็นการถอยหลังเข้าคลอง โดยไปติดที่ความซับซ้อน หากเราคิดโดยมองเรื่องของจิตไปสู่ความสุดละเอียดที่เป็นปฐมภูมิจริงๆ เช่น เป็นจิตหนึ่งหรือเป็นความว่าง (สุญญตา) ที่ให้ "ธรรมธาตุ" อันเป็นที่มาของ สรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ของจักรวาลในพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเรื่องของมิติแห่งอาร์คีไทป์ รวมเรื่องของกาย เรื่อง
ของจิต และเรื่องของ โลกแห่งจินตนาการบริสุทธิ์ (pure idea) แห่งคณิตศาสตร์ ของพุทธศาสนาและของไพธากอรัส ซึ่งเป็นที่มาของโลกแห่งคณิตศาสตร์ของพลาโต (ไพธากอรัสนั้นอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวหรือก่อนพระพุทธเจ้าเล็กน้อย เป็นมังสวิรัติและเชื่อในการเคลื่อนย้ายของวิญญาณหลังตาย เคยท่องเที่ยวไกลถึง
อียิปต์ เอเชียใกล้ถึงบาบิโลนและอัฟกัน จึงเป็นไปได้ว่าเขาได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมพระเวทจากทางตะวันออก) เรื่องของสารเคมีที่สมองอันเป็นตัวการที่สัมพันธ์กับจิต ที่นักประสาทวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าเป็นตัว "จิต" (consciousness) หรือเป็นนายหน้าของจิต ที่วิทยาศาสตร์เฝ้าหามานาน (NCCs) เท่าที่รู้ สารเคมี
ที่สัมพันธ์กับการทำงานของกาย-จิตหลายชนิด จะทำงานพร้อมๆ กันจากเซลล์สมองส่วนหน้าเป็นพัลส์ (pulse) ที่ออกมาเป็นชุดติดต่อกันโดยมีประจุไฟฟ้าของแต่ละชุดราวๆ เศษหนึ่งส่วนสิบของโวลต์เป็นเวลาประมาณ 0.5-1.0 มิลลิวินาที (Christof Koch : The Quest for Consciousness, 2004)
   การค้นพบของ คริสตอฟ คอช ทำให้นักประสาทวิทยาศาสตร์หลายคนดีใจ เพราะทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์ กายภาพทั้งหลาย เข้าไปใกล้เรื่องของจิตที่พวกเขาแบ่งรับแบ่งสู้มาตลอด แต่การค้นพบว่าเซลล์สมองเป็นสิ่งจำเป็นเฉพาะการทำงานของปรากฏการณ์ทางจิตนั้น ไม่ได้แปลว่าสิ่งอื่นของเซลล์ประสาทไม่มีหรือ
ไม่สำคัญ ในการก่อปรากฏการณ์ทางจิต นอกจากนี้ การค้นพบดังกล่าวว่าสารเคมีที่สมองส่วนหน้าคือสิ่งจำเป็นเฉพาะของการผลิตปรากฏการณ์ทางจิต ก็ไม่พบ ในสัตว์อื่นๆ หรือพืชที่เราก็รู้ว่ามีจิตแต่ไม่มีสมองได้อย่างไร? ที่สำคัญคือ ในคนนอนหลับแล้วฝัน หรือในคนที่สลบไป ซึ่งก็ยังคงมี ปรากฏการณ์ทางจิต เช่นเดียวกัน หรือคนที่อยู่ท่ามกลางเสียงอึกระทึกครึกโครม
ตลอดเวลา เช่น ที่สนามบิน แต่เรากลับสามารถได้ยืนเสียงเรียกชื่อของเรา ในความละเอียดอ่อนเช่นนี้ เราไม่สามารถจะหาสารเคมีหรือตัวการสำคัญที่ว่า (NCCs) ได้ แล้วเราจะตอบว่าอย่างไร? ที่สำคัญที่สุด เรารู้ว่าปรากฏการณ์ทางจิตเกิดขึ้นเร็วมากและเกิดทับซ้อนกันอย่างรวดเร็วจนเกินคำว่าทันที
ทันใด เรียกว่าไม่มีทางที่จะกำหนดหรือวัดได้ การวัดได้เป็นหนึ่งในพันของวินาทีเป็นเวลาที่ช้ามากเหลือเกินจากคำว่าทันทีทันใด ประสบการณ์ทับซ้อนกันอย่างทันทีทันใดนั้นรับรู้ได้แต่เฉพาะกับบุคคลที่หนึ่ง (first person experience) เราจะทำให้เป็นเรื่องของบุคคลที่สามไม่ได้ ตอนหลัง คริสตอฟ คอช จึงได้หัน
ไปสนใจเรื่องของจิตในเชิงจิตวิทยาและศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา ตามอย่างนักประสาทวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง และเคยเป็นนักวิทยาศาสตร์สายตรง เช่นเดียวกับนักประสาทวิทยาศาสตร์ส่วนมาก ที่คิดว่าจิตเป็นผลผลิตของสมอง ฟรานซิสโก วาเรล่า ที่เพิ่งตายไป กับ อันโตนิโย ดามาสิโอ และคนอื่นๆ ที่หันไป
สนใจพุทธศาสนาอย่างมากและเคยพบกับองค์ดาไลลามะด้วย แม้ว่าการวิจัยทางประสาทชีววิทยาหรือประสาทวิทยาศาสตร์จะทำให้เราเข้าใจสมอง อวัยวะหนึ่งเดียวที่ให้ประสบการณ์ทางจิตแก่เรา แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถตอบว่าจิตคืออะไร? ทั้งๆ ที่เราได้ใช้เงินและเวลาถึงร้อยกว่าปีในการวิจัยและค้นคว้าเรื่องของจิต
อย่างจริงจังมาตลอด เพราะจิตไม่ใช่สิ่งที่เราจะหาพบได้โดยกล้องจุลทรรศน์ หรือในหลอดทดลอง หรือโดยการสร้างภาพเหมือนจริงโดยเอ็มอาร์ไอ หรือเครื่องสแกนต่างๆ พูดง่ายๆ จิตไม่ใช่เรื่องของกายหรือวิทยาศาสตร์กายภาพ เพราะจิตเป็นประสบการณ์ตรงที่รู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ของบุคคลที่หนึ่งอย่าง ที่พุทธศาสนาบอกไว้จริงๆ
โดย ประสาน ต่างใจ แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คอลัมน์ จิตวิวัฒน์ มติชนรายวัน วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10906

      ประสบการณ์ทางศาสนามาจากพระเจ้าหรือเป็นเพียงการทำงานสุ่มของเซลล์ประสาทในสมองเท่านั้น? มาริโอ โบเรการ์ด นักประสาทวิทยา ได้ใช้ผลการวิจัยของตนเองร่วมกับแม่ชีคาร์เมไลท์ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ทางจิตวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริงสามารถบันทึกไว้ได้ เขาเสนอหลักฐาน
      อันน่าเชื่อว่าประสบการณ์ทางศาสนามีต้นกำเนิดมาจากสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ โดยสร้างเหตุผลที่น่าเชื่อสำหรับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนไม่เต็มใจที่จะพิจารณา นั่นคือ พระเจ้าเป็นผู้สร้างประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของเรา ไม่ใช่สมอง Beauregard และ O'Leary สำรวจความพยายามล่าสุดในการค้นหา
      "ยีนของพระเจ้า" ในตัวเราบางคน และอ้างว่าสมองของเรา "ถูกสร้างมา" สำหรับศาสนาโดยเฉพาะ แม้แต่กรณีแปลกๆ ของนักประสาทวิทยาคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าประดิษฐ์
      "หมวกพระเจ้า" ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถสร้างประสบการณ์ลึกลับให้กับผู้ที่สวมใส่ได้ ผู้เขียนโต้แย้งว่าความพยายามเหล่านี้เป็นความเข้าใจผิดและมีใจที่คับแคบ เนื่องจากความพยายามเหล่านี้ลดประสบการณ์ทางจิตวิญญาณให้เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางวัตถุ
   นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากละเลยหลักฐานที่ชัดเจนที่ท้าทายอคติทางวัตถุนิยมของตน โดยยึดติด กับมุมมองที่จำกัดที่ว่าประสบการณ์ของเราอธิบายได้ด้วยสาเหตุทางวัตถุเท่านั้น โดยมีความเชื่อมั่น อย่างแน่วแน่ว่าโลกทางกายภาพเท่านั้นคือความจริงแต่ลัทธิวัตถุนิยมทางวิทยาศาสตร์นั้นยังขาดความ สามารถ
   ในการอธิบายเรื่องราวที่ไม่อาจปฏิเสธได้เกี่ยวกับเรื่องของจิตใจเหนือสสาร เรื่องของ สัญชาตญาณ ความมุ่งมั่น การกระโดดของศรัทธา เรื่องของ "ผลของยาหลอก" ในทางการแพทย์ เรื่องของประสบการณ์ใกล้ตายบนโต๊ะผ่าตัด เรื่องของลางสังหรณ์ทางจิตถึงคนที่รักที่กำลัง อยู่ในภาวะวิกฤติ รวมไปถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเป็นครั้งคราวและประสบการณ์ลึกลับ
   ในการทำสมาธิหรือการสวดมนต์ วิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิมอธิบายสิ่งเหล่านี้และเหตุการณ์อื่นๆ ว่าเป็น ความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจผิด แต่ด้วยการสำรวจงานวิจัยทางประสาทวิทยาล่าสุดเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์เช่นนี้ สมองฝ่ายจิตวิญญาณจึงค้นหาแหล่งที่มาที่แท้จริงของปรากฏการณ์เหล่านี้ นี่เป็น ทฤษฎีของ Dean Hamer ที่ว่าจิตวิญญาณเป็นของทางพันธุกรรมและได้ระบุยีนที่มีแนวโน้มหนึ่ง คือ SLC18A2 หรือที่เรียกว่าVMAT2 สมมติฐาน คือ อัลลีลหนึ่งตัว (หรือบางตัว) ของยีนช่วยทำให้ ผู้คน "มีจิตวิญญาณ" ในขณะที่อัลลีลอื่น (หรือบางตัว) ไม่ช่วย สมมติฐานนี้ยังเป็นประเด็นโต้แย้ง อย่างมาก เนื่องจากบางคนไม่มีจิตวิญญาณ
   ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอัลลีล "ทางจิตวิญญาณ"สำหรับยีนนั้น มีแนวคิดแยกกันเกี่ยวกับ " โมดูลตรวจจับพระเจ้า" ในสมอง เราทราบว่ามี "โมดูล"ทางพันธุกรรม ในสมองสำหรับงานเฉพาะ โมดูลหนึ่งคือ "โมดูลตรวจจับการโกง"ซึ่งมีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี มีการ เสนอว่ามีโมดูลอื่นที่เชื่อมโยงความสามารถในการตรวจจับการสื่อสารโดยพระเจ้า: พระเจ้าจะมีจิตใจได้อย่างไรหากพระองค์ไม่มีสมองที่เป็นวัตถุ พระเจ้าจะคิดอะไรได้อย่างไร
คำถามที่เกี่ยวข้อง คริสเตียนและศาสนาคริสต์ ตอบโดย  เควิน เรเยส  23 มิ.ย. 2564 อิสยาห์ 55:9 -
   "เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด ทางของเราก็สูงกว่า ทางของเจ้าฉันนั้น และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น" ฉันไม่คิดว่าพระเจ้าต้องการ สมองในการคิด ฉันต้องการสมองเพราะฉันเป็นสิ่งมีชีวิต พระเจ้าไม่ใช่ เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิต ของฉัน ฉันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ของพระเจ้า เช่นเดียวกับคุณ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ ถูกจำกัดด้วยการสร้างสรรค์ของพระองค์
 เนื่องจากพระองค์ดำรงอยู่ภายนอกสิ่งที่พระองค์สร้าง ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ต้องการสมองที่เป็นวัตถุเพื่อที่จะคิด หรืออวัยวะที่เป็นวัตถุใดๆ ก็ตาม ฉันต้องการสสารทาง กายภาพ (เนื้อเทา) เพื่อที่จะเข้าใจสสารรอบตัวเรา เนื่องจากพระเจ้าเป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่งและทรงเห็นทุกสิ่ง ผ่านมุมมองของความเป็นนิรันดร์ พระองค์จึงสามารถสะท้อนสิ่งที่คอมพิวเตอร์ซูเปอร์ทำได้เพียงแต่ ฝันเท่านั้น ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยสมองอันเล็กจิ๋วของฉัน ฉันจะต้องไม่ถูกผูกมัดกับร่างกาย เพื่อจะสะท้อนสิ่งที่เป็นดาราศาสตร์ได้ นั่นทำให้ฉันเกิดคำถามว่า ความคิดที่ไม่มีร่างกายคืออะไร มันเป็นเพียงสิ่งที่ล่องลอยอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือไม่ แม้ว่าฉันจะรู้สึกอยากตอบว่าใช่ แต่ฉันไม่เชื่อเช่นนั้น เพราะความคิดทุกอย่างต้องผูกติดกับความคิดของสิ่งมีชีวิต แม้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะไม่มีร่างกายก็ตาม (เหมือนกับความฝันทุกความฝันที่มีคนฝัน)
 ดังนั้นฉันคิดว่าคำตอบอาจเป็นว่าพระเจ้าสามารถคิดได้ เพราะพระองค์เป็นสิ่งมีชีวิต หากคุณเป็นสิ่งมีชีวิต คุณก็คิดได้ หากคุณไม่ใช่สิ่งมีชีวิต คุณก็ไม่สามารถ คิดได้ หากคุณเป็นสิ่งมีชีวิต คุณก็จะมีจิตใจ มันทำให้คุณสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของจิตสำนึก ถ้า ฉันซึ่งเป็นวัตถุที่อ่อนแอ มีจิตใจที่มาจากสมองที่มีความสามารถในการจดจำ ความจำได้ ถึง 2.5 ล้าน กิกะไบต์ ลองนึกดูว่าสิ่งที่ไม่มีตัวตน เห็นทุกสิ่ง มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง จะจัดการได้ดีกว่านั้นมากเพียงใด พูด ง่ายๆ ก็คือ พระเจ้าสามารถคิดได้เพราะพระองค์มีอยู่ เพราะพระองค์มีอยู่ ฉันจึงมีตัวตน ถ้าไม่มีพระองค์ ฉันก็จะไม่มีทางเป็นได้ ดังนั้น ฉันก็จะคิดไม่ได้ เพราะฉันต้องมีตัวตนจึงจะคิดได้ ความเชื่อมโยงระหว่าง สิ่งมีชีวิตและความคิดจะเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา 
★  6.7  ปีที่ฉาย : 2023 ความยาว : 1 ชั่วโมง  21 นาที  คุณภาพ : HD เสียง :  พากย์ไทย
   เรื่องย่อ - The Devil on Trial (2023) พิพากษาปีศาจ ภาพยนตร์สารคดีสยองขวัญของ Netflix ปี 2023 ที่เจาะลึกคดีของ Arne Cheyenne Johnson ในระหว่างการพิจารณาคดี ทนายความของจอห์นสันพยายามใช้ "การครอบครองของปีศาจ" เป็นข้อแก้ต่าง แต่ผู้พิพากษาที่เป็นประธาน โรเบิร์ต คัลลาฮาน ปฏิเสธข้อโต้แย้งนั้น เรื่องราวเกี่ยวกับการพิจารณาคดีของอาร์เน่ ไชแอนน์ จอห์นสันวัย 19 ปีใช้การจำลองเหตุการณ์และโฮมวิดีโอเพื่อสืบสวนการครอบครองเด็กหนุ่มและการฆาตกรรมอันโหดร้ายที่ตามมาภาพยนต์เรื่องนี้จะมีบทสรุปอย่างไรสามารถติดตามได้แล้ววันนี้
สมองแห่งจิตวิญญาณ: กรณีศึกษาของนักประสาทวิทยาเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของ จิตวิญญาณ

ผู้เขี
  • มาริโอ โบเรการ์ด
  • เดนิส โอ. ลีรี 
  •  > หนังสือทั้งหมด >  ลัทธิลึกลับและศาสนา สมองแห่งจิตวิญญาณ:   กรณีศึกษาของนักประสาทวิทยาเกี่ยวกับ การดำรงอยู่ของจิตวิญญาณ ทำไมทุกคนถึงมียีนของพระเจ้า?

    20 กันยายน 2568

    [ 2 ] "แฮร์รี่ พอตเตอร์" เล่ม 4 แฮรี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี อ่านบทที่ 1 ถึง 37

         
      
             บทที่ 1 บ้านปริศนา --ความลับของคฤหาสน์ที่คนสวนเห็นคืออะไร? ชื่อบท บ้านปริศนา
                   แม้ว่าหนังสือเล่มก่อนๆ จะเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่บ้านเดอร์สลีย์เลขที่ 4 ถนนพรีเว็ต เสมอ แต่เจ.เค. โรว์ลิ่งได้แหวกแนวจากรูปแบบนั้นเป็นครั้งแรก ชื่อเรื่องอ้างอิงถึงชื่อคฤหาสน์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว แต่แฟนๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์น่าจะคุ้นเคยกับชื่อริดเดิ้ล
                   การพัฒนาบท
                   เหตุการณ์ในบทนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างมาก แน่นอนว่าบางส่วนเป็นเพียงการให้คุณเข้าใจภาพรวมของสถานการณ์ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านริดเดิ้ลให้ดี ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรทราบ:
                   1. ประวัติและสถานะปัจจุบันของบ้านริดเดิ้ล
                   2. ชื่อเสียงในท้องถิ่นของแฟรงค์ ไบรซ์
                   3. ทำไมแฟรงค์จึงตัดสินใจไปดูภายในคฤหาสน์?
                   4. บทสนทนาที่ได้ยินจากห้องที่มีเตาผิงกำลังลุกไหม้
                   5. แฟรงค์ได้ยินข่าวการหายตัวไปของพนักงานกระทรวงเวทมนตร์
                   6.หลังจากแฟรงค์เข้ามาในห้องแล้วเกิดอะไรขึ้น?
    ▶▶ คาถา                  ลดคำสาป
     คาถาที่ใช้ร่ายคาถานี้เรียกว่า Reducto ดูคล้ายกับคาถา Reducio ในบทที่ 14 มาก แต่จริงๆ แล้วเป็นคาถาที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง Reducio เป็นคาถาที่ทำให้สิ่งที่พองตัวกลับคืนสู่ขนาดเดิม ในขณะที่ Reducto เป็นคาถาที่ทำให้สิ่งของแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คำว่า Reducto มาจากคำว่า reduce ในภาษาอังกฤษ (ทำให้เล็กลง) ทำให้เกิดภาพสิ่งของที่ถูกทำให้เล็กลงจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
    คาถาสี่จุด
     เป็นเทคนิคในการชี้ไม้ไปทางทิศเหนือและยืนยันทิศทางที่คุณกำลังมุ่งหน้าไป คำว่า Four-Point หมายถึงทิศทางทั้งสี่ที่เข็มทิศชี้ ได้แก่ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้ ทราบหรือไม่ว่าคำว่า "news" มาจากทิศทั้งสี่ของเข็มทิศ? หากเรียงตัวอักษรย่อของเข็มทิศตามลำดับข้างต้น จะกลายเป็น "news" กล่าวอีกนัยหนึ่ง news หมายถึง "ข้อมูลที่รวบรวมจากทั้งสี่ทิศ"
    โล่เสน่ห์
                   ตามที่อธิบายไว้ในเรื่อง Shield Charm คือเวทมนตร์ที่สร้างกำแพงล่องหนรอบตัวคุณเพื่อปกป้องคุณจากคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก
    เจลลี่ขาซวย
                   จินตนาการได้ง่ายๆ ว่าคาถานี้มีประโยชน์อะไร พอนึกถึงเยลลี่เลกส์ นี่แหละใช่เลย! ความจริงที่ว่าทันทีหลังจากคำว่า "Jelly-Legs Jinx" ในบทพูด แฮร์รี่ก็เดินโซเซไปมาในห้องนานสิบนาที พิสูจน์ว่าการเดานี้ถูกต้อง
                   คำว่าเจลลี่เมื่อใช้เรียกขา ส่วนใหญ่จะหมายถึงคนที่รู้สึกประหลาดใจมาก เช่น เธอ ใช้ในประโยคเช่น "ขาของเธอกลายเป็นวุ้นเมื่อสุนัขเห่าใส่เธอ"
     ▶▶ สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ สฟิงซ์มีความซื่อสัตย์ต่อต้นกำเนิดของกรีก และแฮรี่ต้องตอบปริศนาของสฟิงซ์ให้ถูกต้อง แทนที่จะต่อสู้กับพวกมันเพื่อผ่านพ้นไปได้ สฟิงซ์ที่โด่งดังที่สุดในเทพปกรณัมกรีกคือสฟิงซ์แห่งธีบส์ เทพีเฮราส่งสฟิงซ์มายังธีบส์เพื่อลงโทษไลอัส กษัตริย์แห่งธีบส์ที่ลักพาตัวชายหนุ่มไป สฟิงซ์นั่งข้างถนนไปยังธีบส์และตั้งปริศนาให้นักเดินทาง นักเดินทางสามารถหันหลังกลับได้โดยไม่ต้องตอบปริศนา แต่หากตอบผิด สฟิงซ์จะฆ่าพวกเขาทันที มีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่สามารถตอบได้ถูกต้อง นั่นคือ โออีดิปัส บุตรชายของไลอัส ว่ากันว่าสฟิงซ์รู้สึกอับอายขายหน้าและฆ่าตัวตาย ปล่อยให้โออีดิปัสเดินผ่านไปได้ เกี่ยวกับบทที่ 31
                   บทที่ 32 เนื้อ เลือด และกระดูก --การฟื้นฟู
              คำถาม ถ้าชื่อเรื่องฟังดูน่าขนลุกนิดหน่อย คุณก็คงพูดถูก จริงๆ แล้วคำเหล่านี้แปลว่า "เนื้อ" "เลือด" และ "กระดูก" แต่เมื่อนำมารวมกันแล้วดูเหมือนจะมีความหมายพิเศษเฉพาะตัว แล้วความหมายนั้นมันหมายความว่าอย่างไรล่ะ? การพัฒนาบท นี่เป็นบทที่สั้นที่สุดในเล่มนี้ แต่อาจเป็นบทที่สำคัญที่สุด คุณไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองวอกแวกได้แม้แต่วินาทีเดียว จงใส่ใจเป็นพิเศษกับประเด็นต่อไปนี้:
                   1. สถานที่ที่แฮรี่และเซดริกถูกพามา
                   2. มีคนมาหาพวกเขา และถูกสาปแช่ง
                   3.ชื่อที่สลักไว้บนแผ่นหินหลุมศพ
                   4. เนื้อหาของแพ็คเกจที่ถือโดยรูปปั้นเล็ก
                   5. ของเหลวในหม้อใหญ่และอะไรก็ตามที่ใส่ลงไป
                   6.ผลลัพธ์ของยาตัวนี้
                   ตัวละคร <#ตัวละครที่ไม่ได้ปรากฏตัวมานาน>
                   #ทอม (มาร์โวโล่ ริดเดิ้ล) [ทอม มาร์โวโล่ ริดเดิ้ล] อดีตนักเรียนฮอกวอตส์ →
                   รายการคำศัพท์ ในสุสานรกครึ้ม <English>หน้า 552 1.1 กระสับกระส่าย (คลุ้มคลั่ง) ตื่นเต้น รุนแรง <*> หน้า 636 1.1 หุ้มห่อ ปึก (ชิ้น) (ก้อนสำลีที่ม้วนเป็นก้อน ฯลฯ) ความรังเกียจ (ความรังเกียจ) ความอดทน (ความอดทน) คำสั่ง (คำสั่ง) สุสาน โครงร่าง (ภาพเงา) ต้นยู คลุมเครือ (ซ่อน) มัด (แพ็คเกจ) ศิลาจารึกหลุมศพ (เสียงหลุมฝังศพ) นอนราบ (นอนราบโดยเหยียดแขนและขาออก) ความเป็นนิรันดร์ (ตลอดไป) สายไฟ (เชือก) กระสับกระส่าย (อย่างวิตกกังวล) กระสับกระส่าย การสาด (น้ำกระเซ็น) การสาด (ของเหลว) อย่างต่อเนื่อง (โดยตั้งใจ)
    มีอะไรอีก 15 คำที่เกี่ยวข้องกับงู (1)
    มีดสั้น ทุกข์ใจ (ทุกข์ใจ) ศัตรู (ศัตรู) เปิด ขวดแก้วขนาดเล็ก ตอ (ส่วนที่เหลือ) ฐานของแขนหรือส่วนอื่นของแขนที่ถูกตัดออก เคี่ยว (เดือดเบาๆ) ぐつぐ ต้มอันหนึ่ง การลบล้าง (ปกปิด) ลบ, ซ่อน น้ำส้มสายชู เสื้อคลุมฉัน (แต่งตัวฉัน)
                   ต่อไปนี้เป็นคำกริยาบางคำที่ J.K. Rowling ใช้เกี่ยวกับงูในซีรีส์ Harry Potter:
    โจมตีโจมตี กัด กัด ขยับตัว เคลื่อนไหว วงกลม วาดวงกลม ม้วน ขดตัว คลาน คลาน บดขยี้ บดขยี้ จม จม นอน นอน สไลด์ ร่อนไปข้างหน้า เลื้อย จากนั้นมันก็เคลื่อนไหว ตกต่ำ ล้มลงด้วยเสียงดังโครม สแน็ป บทที่ 32 เกี่ยวกับ เหิน ร่อนไปข้างหน้า น้ำลาย ความรู้สึก เสียงดังฟู่ คน ตี ตี ยืดยืด กระทุ้งแทง ฉุด เคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน งีบหลับ งีบหลับ ถ่มน้ำลายใส่ คน กลืน แกว่งไปมา ขนตา เคลื่อนไหวไปมาอย่างรุนแรง แกว่ง แทง เจาะ เคลื่อนไหว เคลื่อนไหว พยักหน้า ส่ายหัวของคุณ ยก ยก สาน ฟาดฟัน ชัก ชัก โรย เพื่อผ่อนคลาย ดำเนินไปราวกับการทอผ้า เขย่า ทำให้มันสั่นสะเทือน ห่อ ม้วน
                   บทที่ 33 ผู้เสพความตาย --สิ่งที่ฉันต้องการคือเลือดของแฮรี่ พอตเตอร์ ชื่อเรื่องบทต้น ผู้เสพความตาย
     เราได้รู้จักกับเหล่าผู้เสพความตายมาพอสมควรแล้ว ดังนั้นชื่อเรื่องนี้คงไม่น่าประหลาดใจ แต่บทบาทของพวกเขาต่างหากที่น่าประหลาดใจ ใส่ใจกับรายละเอียดต่างๆ ในบทนี้ เพราะบทนี้จะเผยให้เห็นบทบาทของพวกเขา การพัฒนาบท เรื่องราวมาถึงจุดไคลแม็กซ์แล้ว ปริศนามากมายจะถูกเปิดเผย โปรดใส่ใจกับประเด็นต่อไปนี้
                   1. คำบรรยายถึงบุคคลที่ถูกฝังอยู่ในหลุมศพ
                   2. ฝูงชนที่มารวมตัวกันที่บริเวณเกิดเหตุ
                   3. รางวัลสำหรับผู้ที่ผสมยา
                   4. คำอธิบายว่าแฮร์รี่เอาชีวิตรอดมาได้อย่างไรในสมัยก่อน
                   5. คำอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเล่มก่อนๆ
                   6. บทบาทของเบอร์ธา จอร์กินส์
                   7. ประกาศสงครามกับแฮรี่
                   ตัวละคร (ตัวละครใหม่)
                   ◆ แมคแนร์ [แมคแนร์] ผู้เสพความตาย
                   ◆ แครบ [แครบ] ผู้เสพความตาย พ่อของวินเซนต์ แครบ
                   ◆กอยล์ [กอยล์] ผู้เสพความตาย บิดาของเกรกอรี กอยล์
                   ◆น็อตต์ [น็อตต์] ผู้เสพความตาย
    แฮร์รี่ พอตเตอร์ฝันร้ายที่ ผู้ดูแล มักเกิ้ลชื่อแฟรงก์ ไบรซ์ ถูกฆาตกรรมที่บ้านริดเดิ้ล หลังจากได้ยินแผนการของลอร์ดโวลเดอมอร์ปีเตอร์ เพ็ตติกรูว์และชายอีกคนหนึ่งที่แฮร์รี่ไม่รู้จัก เช้าวันรุ่งขึ้น แฮร์รี่ไปร่วมชมการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพกับตระกูลวีสลีย์เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์เซดริก ดิกกอรี่และอามอส ผู้เป็นพ่อของเขา คืนนั้นผู้เสพความตายบุกโจมตีแคมป์หลังการแข่งขัน และชายนิรนามจากฝันร้ายของแฮร์รี่ได้ร่ายมนตร์ตราแห่งความมืด ที่ฮอกวอตส์ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ประกาศว่าโรงเรียนจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเวทไตรภาคีร่วมกับสถาบันเดิร์มสแตรงและโรงเรียนโบซ์ บาตง นักเรียนหนึ่งคนจากแต่ละโรงเรียนจะได้รับเลือกโดยถ้วยอัคนีให้เข้าร่วม นักเรียนอายุต่ำกว่าสิบเจ็ดปีไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม ถ้วยอัคนีเลือกเฟลอร์ เดอลากูร์สำหรับโบซ์บาตงวิกเตอร์ ครัมสำหรับเดิร์มสแตรง และเซดริกสำหรับฮอกวอตส์ จากนั้นจึงเลือกแฮร์รี่เป็นแชมเปี้ยนคนที่สี่ ทำให้เกิดความสับสนอย่างมาก นักเรียนหลายคนเชื่อว่าแฮร์รี่โกง และรอนก็ห่างเหินจากเขา รู้สึกเจ็บปวดที่แฮร์รี่ไม่ได้บอกเขาเมื่อเขาถูกกล่าวหาว่าเข้ามา แฮร์รี่ถูกบังคับให้เข้าแข่งขันเนื่องจากสัญญาผูกมัดทางเวทมนตร์เมื่อมีการเลือกชื่อของแชมเปี้ยน
     สำหรับภารกิจแรก เหล่าแชมเปี้ยนต้องเอาไข่ออกมาโดยการผ่านมังกรไปให้ได้ศาสตราจารย์อลาสเตอร์ มู้ดดี้ ครู สอนป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่บอกเป็นนัยว่าแฮร์รี่สามารถใช้ไม้กายสิทธิ์เรียกไม้กวาดของเขาออกมาได้ แชมเปี้ยนทั้งสี่คนเก็บไข่ของพวกเขา รอนคืนดีกับแฮร์รี่หลังจากเห็นว่าภารกิจแรกนั้นอันตรายเพียงใด ในวันคริสต์มาสอีฟ โรงเรียนจัดงานYule Ballแต่แฮร์รี่และรอนไม่สามารถเข้าร่วมได้ตามวันที่พวกเขาต้องการ และไปกับปาราวตีและปัทมา ปาติล ตามลำดับ เฮอร์ไมโอนี่ไปกับวิกเตอร์ ทำให้เกิดความอิจฉาของรอน เซดริกแนะนำให้แฮร์รี่ใช้ห้องน้ำของหัวหน้าห้องบนชั้นห้าของฮอกวอตส์ อาบน้ำ และจุ่มไข่ลงในน้ำเพื่อค้นหาเบาะแสที่สอง
     สำหรับภารกิจที่สอง เหล่าแชมเปี้ยนต้องช่วยเหลือบุคคลสำคัญจากทะเลสาบดำ: แฮร์รี่ต้องช่วยรอน เซดริกต้องช่วยโช ชาง แฟนสาวของเขา (ซึ่งแฮร์รี่ขอให้ไปงานเต้นรำ) วิคเตอร์ต้องช่วยเฮอร์ไมโอนี่ และเฟลอร์ต้องช่วยกาเบรียลน้องสาวของเธอเนวิลล์ ลองบัตทอม ให้ กิลลี่วีดแก่แฮร์รี่เพื่อช่วยให้เขาหายใจใต้น้ำ เซดริกได้อันดับหนึ่ง และแฮร์รี่ได้อันดับสองหลังจากที่เขาช่วยไม่เพียงแต่รอนเท่านั้น แต่ยังช่วยกาเบรียลด้วย หลังจากที่เฟลอร์ถอนตัวจากภารกิจ ต่อมาแฮร์รี่พบศพไร้วิญญาณของบาร์ตี้ เคร้าช์ ซีเนียร์เจ้าหน้าที่กระทรวงเวทมนตร์ในป่าต้องห้ามในห้องทำงานของดัมเบิลดอร์ เขาเข้าไปในเพนซีฟเขาเห็นบาร์ตี้ เคร้าช์ ซีเนียร์ ซักถามอีกอร์ คาร์คารอฟฟ์ อาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันของโรงเรียนเดิร์มสแตรงก์ คาร์คารอฟฟ์ถูกขอให้บอกชื่อผู้ที่รับใช้โวลเดอมอร์ เขาตั้งชื่อเซเวอร์รัส สเนปแต่ดัมเบิลดอร์รับรองสเนป จากนั้นคาร์คารอฟฟ์ตั้งชื่อบาร์ตี้ เคร้าช์ จูเนียร์แฮร์รี่จำคราวช์ จูเนียร์ได้จากฝันร้ายของเขา
     สำหรับภารกิจที่สาม เหล่าแชมเปี้ยนต้องฝ่าเขาวงกตเพื่อไปให้ถึงถ้วยไตรวิซาร์ด แฮร์รี่และเซดริกไปถึงถ้วย แต่กลับพบว่าเป็นพอร์ตคีย์ที่พาพวกเขาไปยังสุสานจากความฝันของแฮร์รี่ เพ็ตติกรูว์ฆ่าเซดริกตามคำสั่งของโวลเดอมอร์ต จากนั้นเขาใช้เลือดของแฮร์รี่ชุบชีวิตโวลเดอมอร์ต ซึ่งเรียกผู้เสพความตายออกมาก่อนที่จะทรมานแฮร์รี่ โวลเดอมอร์ตพยายามใช้คำสาปสังหารกับแฮร์รี่ แต่คำสาปนั้นกลับเบี่ยงทางได้ วิญญาณของเหยื่อก่อนหน้าของโวลเดอมอร์ต ได้แก่ แฟรงค์ เซดริก และลิลี่และเจมส์ พ่อแม่ของแฮร์รี่ ปรากฏตัวขึ้น เบี่ยงเบนความสนใจของโวลเดอมอร์ตนานพอที่แฮร์รี่จะใช้ถ้วยเพื่อกลับไปยังฮอกวอตส์พร้อมกับร่างของเซดริก แฮร์รี่แจ้งดัมเบิลดอร์ถึงการฆาตกรรมเซดริกและการกลับมาของโวลเดอมอร์ มู้ดดี้พาแฮร์รี่ไปยังห้องทำงาน ซึ่งเขารู้ว่ามู้ดดี้ใส่ชื่อของเขาลงในถ้วยแก้วและกำลังชี้นำเขาเพื่อให้แน่ใจว่าโวลเดอมอร์จะกลับมา ขณะที่มู้ดดี้กำลังจะฆ่าแฮร์รี่ ดัมเบิลดอร์ สเนป และมิเนอร์วา มักกอนนากัลก็ปราบมู้ดดี้ลง พวกเขาใช้เวอริทาซีรัมเพื่อควบคุมตัวบาร์ตี้ เคร้าช์ จูเนียร์ ซึ่งปลอมตัวเป็นมู้ดดี้โดยใช้น้ำยาโพลีจูซ มู้ดดี้ตัวจริงถูกขังอยู่ในหีบวิเศษ  ในพิธีรำลึก ดัมเบิลดอร์ประกาศว่าโวลเดอมอร์ตเป็นผู้สังหารเซดริก แม้ว่ากระทรวงจะปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ แฮร์รี่แจ้งดัมเบิลดอร์ถึงการพบกันของเขากับโวลเดอมอร์ต ซึ่งดัมเบิลดอร์เรียกว่าPriori Incantatemทั้งสามโรงเรียนกล่าวอำลา โดยแฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่เห็นพ้องต้องกันว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง
    แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี ภาค 4 Harry Potter and the Goblet of Fire HD พากย์ไทย เต็มเรื่อง
     ความยุ่งยากกำลังรอ แฮร์รี่ พอตเตอร์ อยู่ข้างหน้า…จากการถูกคุกคามด้วยฝันร้าย ที่ทำให้แผลเป็นของเขาเจ็บยิ่งกว่าที่เคย แฮร์รี่ (แดเนียล แรดคลิฟฟ์) รู้สึกยิ่งกว่ายินดีที่จะได้หนีให้พ้น จากความฝันที่คอยกวนใจเขา ด้วยการไปชมการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพกับ รอน (รูเพิร์ท กรินท์) และ เฮอร์ไมโอนี่ (เอ็มม่า วัตสัน) ผู้เป็นเพื่อนรัก
    เส้น                 แชมป์ของสามัญชน
     ในที่นี้ คำว่า "แชมเปี้ยน" ต่างจากคำว่า "ผู้ชนะ" ในการแข่งขัน หรือ "ผู้เล่นตัวแทน" ของการแข่งขันไตรกีฬา แต่หมายถึง "ผู้ปกป้อง" กลุ่มชนกลุ่มน้อย ในกรณีนี้ กลุ่มชนกลุ่มน้อยคือสามัญชน (มักเกิลและผู้ที่มีเชื้อสายมักเกิลผสม) แชมเปี้ยนของสามัญชนคือผู้ที่สนับสนุนสิทธิของตนเองอย่างแข็งขัน ตัวอย่างเช่น นักการเมืองที่ถูกเรียกว่า "แชมเปี้ยนแห่งสิ่งแวดล้อม" คือผู้ที่สนับสนุนการปฏิรูปสิ่งแวดล้อมอย่างแข็งขัน เฮอร์ไมโอนี่ ผู้ซึ่งพยายามปกป้องสิทธิของเอลฟ์ประจำบ้าน อาจถูกเรียกว่า "แชมเปี้ยนแห่งเอลฟ์ประจำบ้าน" ได้เช่นกัน
                   มีอะไรเพิ่มเติม 16 คำที่เกี่ยวข้องกับงู (2) ไม่มีวลีและสำนวนที่ใช้คำว่างูมากนัก แต่มีอยู่ไม่กี่คำดังต่อไปนี้:
    งู
                   เมื่อเราเรียกใครว่างู เราหมายถึงว่าเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ทรยศต่อเพื่อนฝูง เมื่อใช้เป็นคำกริยา จะหมายถึงงู การใช้คำนี้ไม่มีความหมายในเชิงลบ และใช้เมื่อรถวิ่งวนไปมา
    งูอยู่ในหญ้า
                   วลีนี้ใช้ในลักษณะเดียวกับคำนาม snake ที่อธิบายไว้ข้างต้น ตัวอย่างเช่น หากมีคนพูดว่า "เจ้านายของคุณเป็นเหมือนงูในสนามหญ้า ดังนั้นคุณควรระวังตัวให้ดี" นั่นหมายความว่าเจ้านายของคุณอาจดูดีในตอนแรก แต่คุณไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะทรยศคุณเมื่อไหร่ คุณยังสามารถใช้วลี back-stabber (แปลตรงตัวว่า "คนที่แทงคุณข้างหลัง") เพื่อสื่อความหมายเดียวกันได้อีกด้วย
    งูและบันได
                 ซูโกโรคุ หมายถึงเกม "ซูโกโรคุ" ผู้เล่นทอยลูกเต๋าและเดินตัวหมากตามจำนวนขั้นที่ลูกเต๋ากำหนด ผู้ที่ไปถึงตำแหน่ง "อะการ์" ก่อนเป็นผู้ชนะ กระดานซูโกโรคุของอังกฤษมีงูและบันไดมากมาย หากตัวหมากตกลงบนช่องที่มีขาของบันไดห้อยอยู่ ตัวหมากสามารถปีนบันไดขึ้นไปด้านบนและเคลื่อนที่ให้สูงขึ้นบนกระดานได้ ในทางกลับกัน หากตัวหมากตกลงบนช่องที่มีหัวงูห้อยอยู่ ตัวหมากจะต้องเคลื่อนตัวไปตามลำตัวของงูและเคลื่อนที่ไปด้านล่างของกระดาน
                   บทที่ 34 บทสวดคาถาของบาทหลวง ดวล ชื่อบท คาถาของอดีต คาถานี้ถูกกล่าวถึงในบทที่ 9 คุณคงรู้แล้วว่ามันคืออะไร อย่างไรก็ตาม บทที่ 9 ได้กล่าวถึงคำว่า "Prior Incantato" เพื่อร่ายคาถา แต่ไม่ได้ระบุว่าคาถานั้นเรียกว่าอะไร นี่คือคาถา Priori Incantatem (ก่อนร่ายคาถาทันที)
                   การพัฒนาบท
                   เนื้อเรื่องทั้งหมดดำเนินไปตามเหตุการณ์ในบทนี้ เป็นบทที่ดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความตื่นเต้น ควรแบ่งเวลาอ่านบทนี้ให้จบรวดเดียว เพราะคุณอาจจะวางหนังสือเล่มนี้ลงไม่ได้เลย ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรระวัง:
                   1. เหตุผลที่แฮร์รี่ถูกแก้เชือก สิ่งที่แฮร์รี่ได้รับ
                   2. ปฏิกิริยาของแฮร์รี่ต่อเสน่ห์จักรวรรดิ
                   3. จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแฮรี่และศัตรูของเขาใช้เวทมนตร์พร้อมกัน
                   4. ทำนองเพลงที่แฮรี่ได้ยิน
                   5. มันออกมาจากไม้กายสิทธิ์ของศัตรูของแฮรี่
                   6. แฮร์รี่ได้รับคำแนะนำอะไรบ้าง? เขานำไปปฏิบัติอย่างไร?
    รายการคำศัพท์
     จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ <ภาษาอังกฤษ>หน้า 572 1.1 <*>หน้า 659 1.1 สำลัก ปัด (ชิ้น) แถวปิด (ย้ายมารวมกัน)列 เราเติมเต็มช่องว่างและก้าวไปด้วยกัน พิธีกรรมอันดีงาม อย่างโหดร้าย (ไร้ความปราณี) การบริโภคทั้งหมด (รวม) คุณธรรม (ความดี) รีเฟล็กซ์ (การเคลื่อนไหวโดยธรรมชาติ) ปฏิกิริยาตอบสนอง ซ่อนหา หน้า 196 กิ่งก้านสาขา ดอกไม้บาน (blowing) แผ่กว้างเหมือนดอกไม้ เนื้อตัว (ร่างกาย) ความสมบูรณ์ การให้กำลังใจ (แรงบันดาลใจ) ความตาย
                   ▶▶ ข้อมูล ซ่อนหา "ซ่อนหา" เป็นเกมที่เด็กๆ ทั่วโลกมักเล่นกัน
                   คำว่า "ซ่อน" แปลว่า "ซ่อน" และ "หา" แปลว่า "ค้นหา" สามารถเล่นได้หลายคน ตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยผู้เล่นคนหนึ่งจะทำหน้าที่เป็น "ตัวนั้น" (หรือ "ตัวนั้น") และค้นหาเด็กคนอื่นๆ ที่กำลังซ่อนตัวอยู่
              ในญี่ปุ่น "ตัวนั้น" และเด็กที่กำลังซ่อนตัวจะพูดโต้ตอบกัน เช่น "พร้อมหรือยัง" และ "ยังไม่" แต่การโต้ตอบแบบนี้ไม่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักร ในสหราชอาณาจักร ผู้เล่น "ตัวนั้น" จะปิดตาและนับเลขตามจำนวนที่กำหนด ตัวเลขจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่เล่น โดยทั่วไปในร่มจะมี 20 หรือ 30 และกลางแจ้งจะมีมากถึง 100 เมื่อผู้เล่น "ตัวนั้น" นับจนเสร็จ พวกเขาจะตะโกนว่า "พร้อมหรือไม่ ฉันมาแล้ว" และเริ่มค้นหาเด็กคนอื่นๆ ที่กำลังซ่อนตัวอยู่
     บทที่ 35 เวอริตาซีรัม -- ณ จุดสิ้นสุดของความบ้าคลั่ง ของความจริง คำนี้ก็เคยปรากฏมาก่อนแล้ว แต่คุณจำได้ไหม? ใช่แล้ว มันคือยาแห่งความจริงที่ศาสตราจารย์สเนปขู่จะให้แฮร์รี่ดื่มในบทที่ 27 ยานี้จะถูกนำมาใช้อย่างไรในบทนี้?
                   การพัฒนาบท
     แม้ว่าบทนี้จะยังเป็นส่วนหนึ่งของไคลแม็กซ์ แต่กลับมุ่งเน้นไปที่การไขปริศนาที่ซับซ้อนและซับซ้อนมากกว่าที่จะทำให้ผู้อ่านลุ้นระทึก มีคำอธิบายมากมายที่ชวนให้นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา และคำถามเล็กๆ น้อยๆ ที่สะสมอยู่ในใจก็ค่อยๆ คลี่คลายไปทีละข้อ โปรดตั้งใจอ่านและทำความเข้าใจให้ดี โดยเฉพาะตัวละครสองตัวที่มีชื่อเดียวกัน ดังนั้นโปรดระวังอย่าสับสน ประเด็นหลักมีดังนี้
                   1. ผู้คนที่กำลังรอคอยแฮรี่กลับมา
                   2. เกิดอะไรขึ้นในห้องทำงานของศาสตราจารย์มูดี้ สิ่งที่แฮร์รี่บอกกับศาสตราจารย์มูดี้
                   3. รายละเอียดเกี่ยวกับถ้วยอัคนีและบทสนทนาต่อไปนี้
                   4. การปรากฏตัวของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์และคำอธิบายที่เขามอบให้แฮร์รี่
                   5. อะไรอยู่ในท้ายรถ?
                   6.ตัวตนที่แท้จริงของชายที่นอนอยู่บนพื้น
                   7. ยาที่บุคคลนั้นได้รับแล้วตามด้วยการสารภาพของเขา
                   8. ลำดับเหตุการณ์และการมีส่วนร่วมของวิงกี้
                   9. บาร์ตี้ คราวช์ อยู่ที่ไหน?
    เส้น                     ตลก
     คำว่า funny สามารถใช้ได้ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ทำให้เจ้าของภาษาอังกฤษยากที่จะแยกแยะความหมายที่ถูกใช้ แน่นอนว่า ความหมายที่ชัดเจนที่สุดคือเมื่อใช้ในความหมายว่า "ตลก" หรือ "แปลก" แต่ยังสามารถหมายถึง "แปลก" หรือ "มหึมา" ได้อีกด้วย ในกรณีนี้ แฮร์รี่กำลังบอกว่าไม้กายสิทธิ์ของเขาทำบางอย่างที่ "แปลก" ไม่ใช่ "ตลก" ในกรณีนี้ จะไม่มีความสับสน แต่จะเป็นอย่างไรหากมีคนพูดว่าพวกเขากำลังทำ "หน้าตลก" อยู่? ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็น "หน้าตลก" หรือ "หน้ามหึมา" เพื่อยืนยันว่าผู้พูดกำลังหมายถึงความหมายใด เรามักจะถามว่า "ตลกเหรอ ฮ่า ฮ่า" ซึ่ง "ฮ่า ฮ่า" ในที่นี้เป็นการเลียนแบบเสียงหัวเราะ ดังนั้นคำถามคือ "ตลกแบบตลกๆ เหรอ?" บทที่ 35 เกี่ยวกับ
     บทที่ 36 การแยกทาง --ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องแยกทางกันแล้ว
                   คำถาม อีกคำหนึ่งที่ใช้เรียก "การแยกทาง" คือ "ลาก่อน" คุณจะไม่รู้ว่าใครกำลังแยกทางกันจนกว่าจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แต่เมื่อเรื่องราวใกล้จะจบลง คุณอาจเดาได้ไม่ยากนัก
                   การพัฒนาบท
                   บทนี้มีสองบทบาท คือ บทสรุปเรื่องราว และปูทางไปสู่เล่มต่อไป บทนี้มีความสำคัญมาก โปรดอ่านอย่างละเอียด โปรดใส่ใจเป็นพิเศษกับประเด็นต่อไปนี้:
                   1. บุคคลที่กำลังรอแฮรี่อยู่ในห้องของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์
                   2. เรื่องราวที่เล่าโดยแฮร์รี่
                   3. คำอธิบายเรื่องราวของแฮร์รี่โดยศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ โดยเฉพาะคำอธิบายเรื่องฟอกส์
                   4. สิ่งที่ฟอว์กส์ทำเพื่อแฮร์รี่
                   5. ผู้คนกำลังรอแฮรี่อยู่ในห้องพยาบาล
                   6. บทสนทนาที่เกิดขึ้นข้างๆ แฮร์รี่เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในห้องพยาบาล
                   7. คำอธิบายที่ให้แก่รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์และปฏิกิริยาของเขาต่อเรื่องนี้
                   8. คำแนะนำของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ให้แก่รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์
                   9. นี่คือสิ่งที่ศาสตราจารย์สเนปแสดงให้รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ดูระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์
                   10. มอบให้แฮร์รี่โดยรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์
                   11. คำแนะนำของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์
                   12. เฮอร์ไมโอนี่ปรากฏตัวที่หน้าต่างในห้องพยาบาลและได้ยินเสียงบางอย่าง
     บทที่ 37 จุดเริ่มต้น --อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...แค่ยอมรับมันเมื่อมันมาถึง
                   ชื่อตอนสุดท้ายนี่แปลกดี ปกติแล้วเราคงคิดว่าชื่อตอนน่าจะเป็น "The Ending" แต่เจ.เค. โรว์ลิ่งกลับคิดชื่อตอนไว้ต่างออกไป เขาเชื่อว่านี่ไม่ใช่จุดจบของเรื่อง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องต่อไปต่างหาก...
                   การพัฒนาบท
                   ยินดีด้วย! ในที่สุดคุณก็มาถึงจุดนี้ได้แล้ว
                   เอาล่ะ อดทนไว้นะ! อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่จุดจบของเรื่อง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องต่อไป ฉันมั่นใจว่าคุณจะมั่นใจพอที่จะอ่านเล่มต่อไป บทนี้สนุกมาก และฉันมั่นใจว่าคุณจะหัวเราะออกมาดังๆ กับแผนการแก้แค้นของเฮอร์ไมโอนี่ ข้อสังเกตบางประการที่ควรทราบ:
                   1. ความรู้สึกของแฮร์รี่ที่มีต่อเซดริก
                   2. เมื่อฉันไปเยี่ยมกระท่อมของแฮกริด
                   3. สุนทรพจน์ส่งท้ายปีของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์
                   4. การสนทนากับนักเรียนจากโบซ์บาตงและเดิร์มสแตรง
                   5. บทสนทนาระหว่างแฮรี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่บนรถไฟฮอกวอตส์เรื่องเดลี่พรอเฟต
                   6. สิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่บอกพวกเขา สิ่งที่เธอเก็บไว้ในขวด
                   7. การสนทนากับเดรโก มัลฟอย และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
                   8. เฟร็ดกับจอร์จปรากฏตัว พวกเขาพูดถึงเรื่อง "แบล็กเมล์" อย่างไร
                   9. ของขวัญที่แฮรี่มอบให้เฟร็ดและจอร์จ

    ก่อนหน้า                                       อ่านต่อ