Translate

09 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๗ เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ [ว่าด้วย การฉุดคร่าภิกษุ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๓๘๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระสัตตรสวัคคีย์ปฏิสังขรณ์วิหารใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่สุดเขตวัด ด้วยหมายใจว่าพวกเราจักอยู่จำพรรษา ณ ที่นี้. พระฉัพพัคคีย์ได้เห็นพระสัตตรสวัคคีย์ผู้กำลังปฏิสังขรณ์วิหาร ครั้นแล้วจึงพูดกันอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พระสัตตรสวัคคีย์เหล่านี้ กำลังปฏิสังขรณ์วิหาร, อย่ากระนั้นเลย พวกเราจักไล่พวกเธอไปเสีย.
               ภิกษุบางเหล่าพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย โปรดรออยู่ก่อน จนกว่าเธอจะปฏิสังขรณ์เสร็จ เมื่อเธอปฏิสังขรณ์เสร็จแล้วพวกเราจึงค่อยไล่ไป ครั้นพระสัตตรสวัคคีย์ปฏิสังขรณ์เสร็จแล้ว.
               พระฉัพพัคคีย์ได้กล่าวคำนี้กะพระสัตตรสวัคคีย์ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านจงย้ายไป วิหารถึงแก่พวกเรา.
               พระสัตตรสวัคคีย์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านควรจะบอกล่วงหน้ามิใช่หรือ? พวกผมจะได้ปฏิสังขรณ์วิหารหลังอื่น.
               ฉ. อาวุโสทั้งหลาย วิหารเป็นของสงฆ์มิใช่หรือ?
               ส. ขอรับ วิหารเป็นของสงฆ์.
               ฉ. พวกท่านจงย้ายไป วิหารถึงแก่พวกเรา.
               ส. วิหารหลังใหญ่ แม้พวกท่านก็อยู่ได้ แม้พวกผมก็จักอยู่.
               พระฉัพพัคคีย์กล่าวว่า พวกท่านจงย้ายออกไป วิหารถึงแก่พวกเรา ดังนี้แล้ว ทำเป็นโกรธ ขัดใจ จับคอฉุดคร่าออกไป.
               พระสัตตรสวัคคีย์ถูกฉุดคร่าออกไปก็ร้องไห้.
               ภิกษุทั้งหลายพากันถามอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านร้องไห้ทำไม?.
               พระสัตตรสวัคคีย์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พระฉัพพัคคีย์พวกนี้โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าพวกข้าพเจ้าออกไปจากวิหารของสงฆ์.
               บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าภิกษุทั้งหลายออกจากวิหารของสงฆ์เล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ทรงสอบถาม

 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอโกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าภิกษุทั้งหลายออกจากวิหารของสงฆ์ จริงหรือ?
                พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้โกรธขัดใจ ฉุดคร่าภิกษุทั้งหลายออกจากวิหารของสงฆ์เล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

               ๖๖. ๗. อนึ่ง ภิกษุใด โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าก็ดีให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งภิกษุจากวิหารของสงฆ์ เป็นปาจิตตีย์.  เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๓๘๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด ...             
          บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             บทว่า ซึ่งภิกษุ ได้แก่ภิกษุอื่น.
             บทว่า โกรธ ขัดใจ คือ ไม่พอใจ แค้นใจ เจ็บใจ.
             [๓๘๙] วิหารที่ชื่อว่า ของสงฆ์ ได้แก่วิหารที่เขาถวายแล้ว สละแล้วแก่สงฆ์.
             บทว่า ฉุดคร่า คือ จับในห้องฉุดคร่าออกไปหน้ามุข, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จับที่หน้ามุขฉุดคร่าออกไปข้างนอก, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ให้ก้าวพ้นประตูแม้หลายแห่ง ด้วยประโยคเดียว, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บทว่า ให้ฉุดคร่า ความว่า ใช้ผู้อื่น, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ใช้ครั้งเดียวให้ก้าวพ้นประตู แม้หลายแห่ง, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ - ติกะปาจิตตีย์

             [๓๙๐] วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             วิหารของสงฆ์ ภิกษุสงสัย โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกกฏ

             ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุนั้น, ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ออกไปจากอุปจารวิหารก็ดี จากโรงฉันก็ดี จากปะรำก็ดี จากใต้ต้นไม้ก็ดี จากที่แจ้งก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งอนุปสัมบัน จากวิหารก็ดี จากอุปจารวิหารก็ดี จากโรงฉันก็ดี จากปะรำก็ดี จากใต้ต้นไม้ก็ดี จากที่แจ้งก็ดี, ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของอนุปสัมบัน, ต้องอาบัติทุกกฏ.
             วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             วิหารของบุคคล ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล ..., ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะเป็นของส่วนตัวของผู้อื่น.
             วิหารเป็นส่วนตัวของตน ..., ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

[๓๙๑] ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งภิกษุอลัชชี ๑ ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดีซึ่งบริขารของภิกษุอลัชชี ๑ ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุขนก็ดีให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุวิกลจริตนั้น ๑ ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งภิกษุผู้ก่อการบาดหมางก็ดี ก่อการทะเลาะก็ดี การก่อการวิวาทก็ดี ก่อความอื้อฉาวก็ดี ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ก็ดี ๑ ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุผู้ก่อการบาดหมางเป็นต้นนั้น ๑ ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งอันเตวาสิก หรือสัทธิวิหารริก ผู้ประพฤติไม่เรียบร้อย ๑, ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของอันเตวาสิกหรือสัทธิวิหาริกนั้น ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๗ เสนาสนวรรค นิกัฑฒน
               พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :- 
 [ว่าด้วยสถานที่และกิริยาที่ฉุดคร่า]
               ข้อว่า อเกน ปโยเคน พหุเกปิ ทฺวาเร อติกฺกาเมติ มีความว่า ในเสนาสนะทั้งหลาย เช่นปราสาท ๔ ชั้น ๕ ชั้นก็ดี ศาลา ๔ เหลี่ยมจตุรัสมีซุ้มประตู ๖-๗-๘ ซุ้มก็ดี ภิกษุจับที่แขนทั้งสอง หรือที่คอให้ก้าวออกไปด้วยประโยคเดียว ไม่พักในระหว่าง, เป็นปาจิตตีย์เพียงตัวเดียวเท่านั้น.
               เมื่อหยุดเป็นพักๆ ให้ก้าวออกไปด้วยประโยคต่างๆ เป็นปาจิตตีย์หลายตัวตามจำนวนประตู. แม้เมื่อไม่เอามือจับต้องฉุดออกไปด้วยวาจา กล่าวว่า จงออกไป ก็นัยนี้นั่นแล. 
               วินิจฉัยในคำว่า อญฺญํ อาณาเปติ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
               เพียงแต่สั่งว่า จงฉุดภิกษุนี้ออกไป เป็นทุกกฏ. ถ้าภิกษุผู้ได้รับสั่งคราวเดียวนั้นให้ก้าวพ้นประตูแม้หลายแห่ง ก็ต้องปาจิตตีย์ตัวเดียว. แต่ถ้าว่า เธอได้รับสั่งกำหนดอย่างนี้ว่า จงฉุดผ่านประตูเท่านี้ออกไปก็ดี ว่า จงฉุดไปจนถึงประตูใหญ่ ดังนี้ก็ดี เป็นปาจิตตีย์ตามจำนวนประตู. 
               สองบทว่า ตสฺส ปริกฺขารํ มีความว่า ภิกษุใดขนออกเองก็ดี ใช้ให้ขนออกก็ดี ซึ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเป็นของส่วนตัวแห่งภิกษุนั้น เช่น บาตร จีวร ธมกรกกรองน้ำ เตียงตั่ง ฟูกและหมอนเป็นต้นโดยที่สุดแม้สะเก็ดน้ำย้อม เป็นทุกกฏแก่ภิกษุนั้นหลายตัว ตามจำนวนแห่งวัตถุ.
               ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า ก็ในสิ่งของเหล่านั้น อันเจ้าของผูกมัดไว้แน่น เป็นอาบัติตัวเดียวเท่านั้น. 
               วินิจฉัยแม้ในคำว่า อญฺญสฺส ปุคฺคลิเก นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
               ของส่วนตัวแห่งบุคคลผู้คุ้นเคย เช่นเดียวกับของส่วนตัวของตนนั่นแล. ก็ในที่ทุกๆ แห่ง ผู้ศึกษาพึงทราบนัยเหมือนในคำนี้. แต่ในที่ใดจักมีความแปลกกัน พวกเราจักกล่าวไว้ในที่นั้น. 
                 วินิจฉัยในคำว่า อลชฺชึ นิกฺกฑฺฒติ วา นิกฺกฑฺฒาเปติ วา เป็นต้น พึงทราบดังนี้ :- 
                 ภิกษุย่อมได้เพื่อจะขับไล่ภิกษุผู้ทำความบาดหมางและผู้ทำความทะเลาะกันเท่านั้น ออกจากสังฆารามทั้งสิ้น. เพราะว่า เธอได้พรรคพวกแล้ว พึงทำลายสงฆ์ก็ได้. ส่วนพวกภิกษุอลัชชีเป็นต้น ภิกษุพึงฉุดออกจากที่อยู่ของตนเท่านั้น จะขับเธอเหล่านั้นออกจากสังฆารามทั่วไป ไม่ควร. 
                 บทว่า อุมฺมตฺตกสฺส ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เป็นบ้าเอง. 
                     บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้น ทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ฉะนี้แล. 
 นิกัฑฒนสิกขาบทที่ ๗ จบ.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย นอนแทรกแซง] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๓๘๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์กีดกันที่นอนดีๆ ไว้ ให้พระเถระทั้งหลายย้ายไปเสีย แล้วคิดกันว่า ด้วยอุบายอะไรหนอ? พวกเราจะพึงอยู่จำพรรษา  ณ ที่นี้แหละ แล้วสำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลายด้วยหมายใจว่า ผู้ใดมีความคับใจ ผู้นั้นจักหลีกไปเอง. บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้สำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลาย? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอสำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลาย จริงหรือ?
               พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียน

               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้สำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลายเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

               ๖๕. ๖. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ สำเร็จการนอนแทรกแซงภิกษุผู้เข้าไปก่อนในวิหารของสงฆ์ ด้วยหมายว่า ผู้ใดมีความคับใจ, ผู้นั้นจักหลีกไปเอง ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นให้เป็นปัจจัย หาใช่อย่างอื่นไม่ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.

สิกขาบทวิภังค์

             [๓๘๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...             
          บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             วิหารที่ชื่อว่า ของสงฆ์ ได้แก่ วิหารที่เขาถวายแล้ว สละแล้วแก่สงฆ์.
             ที่ชื่อว่า รู้ คือ รู้ว่าเป็นพระผู้เฒ่า รู้ว่าเป็นพระอาพาธ รู้ว่าเป็นพระที่สงฆ์มอบวิหารให้.
             บทว่า แทรกแซง คือ เข้าไปเบียดเสียด.
             บทว่า สำเร็จการนอน ความว่า ภิกษุปูไว้เองก็ดี ให้คนอื่นปูไว้ก็ดี ซึ่งที่นอนในสถานที่ใกล้เตียงก็ดี ตั่งก็ดี ทางเข้าออกก็ดี, ต้องอาบัติทุกกฏ นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             คำว่า ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นให้เป็นปัจจัย หาใช่อย่างอื่นไม่ ความว่า ไม่มีอะไรอื่นเป็นปัจจัยเพื่อสำเร็จการนอนแทรกแซง.

บทภาชนีย์ -ติกะปาจิตตีย์

[๓๘๕] วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ สำเร็จการนอนแทรกแซง, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               วิหารของสงฆ์ ภิกษุสงสัย สำเร็จการนอนแทรกแซง, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล สำเร็จการนอนแทรกแซง, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกกฏ

               เว้นอุปจาร เตียง ตั่ง หรือทางเข้าออกไว้ ภิกษุปูเองก็ดี ให้คนอื่นปูก็ดี ซึ่งที่นอน ต้องอาบัติทุกกฏ. นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี, ต้องอาบัติทุกกฏ.
               ภิกษุปูเองก็ดี ให้คนอื่นปูก็ดี ซึ่งที่นอน ในอุปจารวิหารก็ดี ในโรงฉันก็ดี ในมณฑปก็ดี, ใต้ต้นไม้ก็ดี ในที่แจ้งก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
               วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
               วิหารของบุคคล ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
               วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. เพราะเป็นของส่วนตัวของผู้อื่น.
               วิหารเป็นส่วนตัวของตน ..., ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

[๓๘๖] ภิกษุอาพาธเข้าอยู่ ๑, ภิกษุถูกความหนาวหรือความร้อนเบียดเบียนแล้วเข้าไปอยู่ ๑, ภิกษุมีอันตราย ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๖  เสนาสนวรรค อนูปขัชช
               พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :- 
 [แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องเข้าไปนอนแทรกแซง] 
               บทว่า ปลิพุทฺธนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ไปถึงก่อนขนบาตรและจีวรไปยืนกั้นอยู่. 
               ข้อว่า เถเร ภิกฺขู วุฏฺฐาเปนฺติ มีความว่า ถือเอาตามลำดับพรรษากล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ! (ที่นี้) ถึงแก่พวกเรา ดังนี้ แล้วให้ย้ายออกไปเสีย. 
                คำว่า อนุปขชฺช เสยฺยํ กปฺเปนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์เข้าไปแทรกแซงกล่าวว่า ท่านขอรับ! เฉพาะที่เตียงเท่านั้น ถึงแก่พวกท่าน ไม่ใช่วิหารทั้งหมด, บัดนี้ ที่นี้ ถึงแก่พวกกระผม ดังนี้ จัดวางเตียงและตั่งแล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง กระทำการสาธยายบ้าง. 
                 บทว่า ชานํ ได้แก่ รู้อยู่ว่า ภิกษุนี้ไม่ควรถูกย้าย. 
                 ด้วยเหตุนั้นนั่นเอง ในวิภังค์แห่งบทว่า ชานํ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำเป็นต้นว่า วุฑฺโฒติ ชานาติ แปลว่า รู้อยู่ว่าเป็นพระผู้เฒ่า. 
               จริงอยู่ ภิกษุผู้เฒ่าเป็นผู้ไม่ควรให้ย้าย เพราะตนเป็นผู้เฒ่า, ภิกษุผู้อาพาธเป็นผู้ไม่ควรให้ย้าย เพราะเธอเป็นผู้อาพาธ. ก็สงฆ์กำหนดความเป็นผู้มีอุปการะและความเป็นผู้มีคุณพิเศษแห่งภิกษุภัณฑาคาริกก็ดี แห่งภิกษุผู้เป็นพระธรรมกถึก และพระวินัยธรเป็นต้นก็ดี แห่งภิกษุผู้เป็นอาจารย์สอนคณะก็ดี จึงสมมติวิหารให้ เพื่อต้องการให้อยู่ประจำ. เพราะเหตุนั้น สงฆ์ให้วิหารแก่ภิกษุใด, ภิกษุแม้นั้นชื่อว่า เป็นผู้ไม่ควรให้ย้าย. 
                ก็ในคำว่า วุฑฺโฒติ ชานาติ เป็นต้นนี้ สงฆ์เท่านั้นจะให้เสนาสนะที่สมควรแม้แก่ภิกษุผู้อาพาธก็จริง, ถึงกระนั้น ภิกษุอาพาธก็แยกตรัสไว้แผนกหนึ่ง เพื่อแสดงว่า แม้เป็นผู้มีเสนาสนะอันสงฆ์ยังไม่อปโลกน์ให้ ก็ไม่ควรบีบคั้น ควรอนุเคราะห์ ดังนี้. 
               ในคำว่า อุปจาเร นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
            หนึ่งศอกคืบโดยรอบ ในวิหารใหญ่ ชื่ออุปจารแห่งเตียงและตั่งก่อน. ในวิหารเล็กหนึ่งศอกคืบจากที่พอจะตั้งเตียงตั่งได้ (ชื่อว่า อุปจารแห่งเตียงตั่ง). ทางกว้างศอกคืบชั่วระยะถึงเตียงและตั่ง จากที่วางก้อนหินสำหรับล้างเท้าซึ่งวางไว้ที่ประตูและที่ถ่ายปัสสาวะ สำหรับภิกษุผู้ล้างเท้าแล้วเข้าไป และภิกษุผู้ออกไปเพื่อต้องการถ่ายปัสสาวะ ชื่ออุปจาร. 
               ภิกษุใดใคร่จะสำเร็จการนอนแทรกแซง ปูลาดเองก็ดี ให้ปูลาดก็ดีซึ่งที่นอนในอุปจารแห่งภิกษุผู้ยืนอยู่ที่อุปจารแห่งเตียงหรือตั่งนั้นก็ดี ผู้เข้าหรือออกอยู่ก็ดี ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ. 
              ในคำว่า อภินิสีทติ วา อภินิปชฺชติ วา นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
               เป็นปาจิตตีย์ เพราะเหตุสักว่านั่งทับบ้าง เพราะเหตุสักว่านอนทับบ้าง, แต่ถ้าภิกษุทำการนั่งและทำการนอนทั้ง ๒ อย่าง เป็นปาจิตตีย์ ๒ ตัว. เมื่อผุดลุกผุดนั่งหรือผุดลุกผุดนอน เป็นปาจิตตีย์ทุกๆ ประโยค. 
                บัณฑิตพึงทราบประเภทแห่งทุกกฎ แม้ในทุกกฏวาร มีอาทิว่า วิหารสฺส อุปจาเร ดังนี้ ในคำว่า อุปจารํ ฐเปตฺวา เสยฺยํ สนฺถรติ วา สนฺถราเปติ วา นี้ และอื่นจากคำนี้ เหมือนประเภทแห่งปาจิตตีย์ที่ตรัสไว้ในการทำกิจทั้ง ๒ คือ เพียงแต่นั่งทับและนอนทับ 
               ในคำว่า อภินิสีทติ วา อภินิปชฺชติ วา นี้ และในประเภทแห่งประโยคฉะนั้น. เพราะไม่ต้องการด้วยวิสภาคบุคคลเช่นนี้อยู่ในวิหารเดียวกัน หรือในบริเวณเดียวกัน ฉะนั้น ท่านจึงห้ามการอยู่แห่งวิสภาคบุคคลนั้น ในที่ทุกแห่งทีเดียว. 
                แม้ในคำว่า อญฺญสฺส ปุคฺคลิเก นี้ ก็พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
                เสนาสนะส่วนตัวของบุคคลผู้คุ้นเคยกัน เช่นเดียวกับของส่วนตัวของตนเหมือนกัน ไม่เป็นอาบัติในเสนาสนะส่วนตัวบุคคลของผู้คุ้นเคยกันนั้น. 
                บทว่า อาปทาสุ มีความว่า ถ้ามีอันตรายแห่งชีวิตและพรหมจรรย์แก่ภิกษุผู้อยู่ภายนอก ในเพราะอันตรายเห็นปานนั้น ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุผู้เข้าไป (ภายใน). 
                    บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล. 
 อนูปขัชชสิกขาบทที่ ๖ จบ.

08 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ [ว่าด้วย ใช้เสนาสนะแล้วไม่เก็บ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

 [๓๗๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาค ครั้งนั้น พระสัตตรสวัคคีย์มีพวก ๑๗ รูปเป็นสหายกัน เมื่ออยู่ก็อยู่พร้อมกัน เมื่อหลีกไปก็หลีกไปพร้อมกัน. พวกเธอปูที่นอนในวิหารเป็นของสงฆ์แห่งหนึ่งแล้ว เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บซึ่งที่นอนนั้น ไม่ได้บอกมอบหมาย หลีกไป เสนาสนะถูกปลวกกัด.  บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉน พระสัตตรสวัคคีย์ ปูที่นอนในวิหารเป็นของสงฆ์แล้ว เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บ ซึ่งที่นอนนั้น ไม่ได้บอกมอบหมาย หลีกไปแล้ว? เสนาสนะจึงได้ถูกปลวกกัด.แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุสัตตรสวัคคีย์ ปูที่นอนในวิหารอันเป็นของสงฆ์แล้ว เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บ ซึ่งที่นอนนั้น .ไม่บอกมอบหมาย หลีกไปแล้ว. เสนาสนะถูกปลวกกัด จริงหรือ?
               ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่จริง พระพุทธเจ้าข้า

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษเหล่านั้น ปูที่นอนไว้ในวิหารเป็นของสงฆ์แล้ว เมื่อหลีกไป ไฉน จึงไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บ ไม่บอกมอบหมาย ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใส หลีกไปเสีย. เสนาสนะจึงได้ถูกปลวกกัด. การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อ
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

               ๖๔. ๕. อนึ่ง ภิกษุใด ปูแล้วก็ดี ให้ปูแล้วก็ดี ซึ่งที่นอนในวิหารเป็นของสงฆ์, เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้เก็บก็ดี ซึ่งที่นอนอันปูไว้นั้น หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย, เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ จบ.

สิกขาบทวิภังค์

               [๓๘๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
               บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
               ที่ชื่อว่า เป็นของสงฆ์ ได้แก่ วิหารที่เขาถวายแล้ว สละแล้วแก่สงฆ์.
               ที่ชื่อว่า ที่นอน ได้แก่ ฟูก เครื่องลาดรักษาผิวพื้น เครื่องลาดเตียง เครื่องลาดพื้นเสื่ออ่อน ท่อนหนัง ผ้าปูนั่ง ผ้าปูนอน เครื่องลาดทำด้วยหญ้า เครื่องลาดทำด้วยใบไม้.             
               บทว่า ปู คือ ปูเอง.
               บทว่า ให้ปู คือ ให้คนอื่นปู.
               คำว่า เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเอง ซึ่งที่นอนอันปูไว้นั้น คือไม่เก็บด้วยตนเอง.
               คำว่า ไม่ให้เก็บ คือ ไม่ให้คนอื่นเก็บ.
               คำว่า หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย ความว่า ภิกษุไม่บอกมอบหมายภิกษุ สามเณรหรือคนทำการวัด เดินเลยเครื่องล้อมแห่งอารามที่เขาล้อม ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เดินเลยอุปจารแห่งอารามที่เขาไม่ได้ล้อม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

               [๓๘๑] วิหารเป็นของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าเป็นของสงฆ์ ปูเองก็ดี ให้คนอื่นปูก็ดี ซึ่งที่นอน. เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งที่นอนอันปูไว้นั้น หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               วิหารเป็นของสงฆ์ ภิกษุสงสัย ปูเองก็ดี ให้คนอื่นปูก็ดี ซึ่งที่นอน, เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งที่นอนอันปูไว้นั้น หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               วิหารเป็นของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าเป็นของบุคคล ปูเองก็ดี ให้คนอื่นปูก็ดี ซึ่งที่นอน, เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งที่นอนอันปูไว้นั้น หรือไม่บอกมอบหมาย
ไปเสีย, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกกฎ

               ภิกษุปูเองก็ดี ให้คนอื่นปูก็ดี ซึ่งที่นอน ในอุปจารวิหารก็ดี ในโรงฉันก็ดี ในมณฑปก็ดี ใต้ต้นไม้ก็ดี, เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งที่นอนอันปูไว้นั้นหรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
               ภิกษุตั้งไว้เองก็ดี ให้คนอื่นตั้งไว้ก็ดี ซึ่งเตียงก็ดี ตั่งก็ดี ในวิหารก็ดี ในอุปจารวิหารก็ดี ในโรงฉันก็ดี ในมณฑปก็ดี ใต้ต้นไม้ก็ดี เมื่อหลีกไปไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งเตียงตั่งอันตั้งไว้นั้น หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย, ต้องอาบัติทุกกฏ.
               วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
               วิหารของบุคคล ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
               วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล ... ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะเป็นของส่วนตัวของผู้อื่น.
               วิหารเป็นของส่วนตัวของตน ..., ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

               [๓๘๒] ภิกษุเก็บเองแล้วไป ๑ ภิกษุให้คนอื่นเก็บแล้วไป ๑ ภิกษุบอกมอบหมายแล้วไป ๑ เสนาสนะมีเหตุบางอย่างขัดขวาง ๑ ภิกษุยังห่วงไปยืนอยู่ ณ ที่นั้นบอกมอบหมายมา ๑ ภิกษุมีเหตุบางอย่างขัดขวาง ๑ ภิกษุมีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๕ เสนาสนวรรค ทุติยเสนาสน
               พึงทราบวินิจฉัยในทุติยเสนาสนสิกขาบท ดังต่อไปนี้ :-  [ว่าด้วยที่นอนมีฟูกเป็นต้น]
               ฟูกเตียงก็ดี ฟูกตั่งก็ดี ชื่อว่า ฟูก. เครื่องลาดมีเครื่องลาดรักษาผิวพื้นเป็นต้นมีประการดังกล่าวแล้วในสิกขาบทก่อนนั่นแล.
               ผ้าปูนั่งมีชาย พึงทราบว่า นิสีทนะ. ท่านกล่าวคำเพียงเท่านี้ว่า ผ้าปาวาร ผ้าโกเชาว์ (พรม) ชื่อว่า ผ้าปูนอน. เครื่องลาดหญ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ชื่อว่า เครื่องลาดทำด้วยหญ้า. 
               ในเครื่องลาดทำด้วยใบไม้ก็นัยนี้. 
               ในคำว่า ปริกฺเขปํ อติกฺกาเมนฺตสฺส นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
                เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ก้าวเท้าแรกไป, เป็นปาจิตตีย์ ในย่างเท้าที่ ๒. ๒ เลฑฑุบาตจากเสนาสนะ ชื่อว่า อุปจารแห่งอารามที่ไม่ได้ล้อม. 
[ว่าด้วยการบอกลาและเก็บเครื่องเสนาสนะ]
            ในคำว่า อนาปุจฺฉํ วา คจฺเฉยฺย นี้ พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้ :-
                เมื่อมีภิกษุ พึงบอกลาภิกษุ. เมื่อภิกษุนั้นไม่มี พึงบอกลาสามเณร. เมื่อสามเณรนั้นไม่มี พึงบอกลาคนทำการวัด, แม้เมื่อคนทำการวัดนั้นก็ไม่มี พึงบอกลาเจ้าของวิหาร ผู้สร้างวัดหรือผู้ใดผู้หนึ่ง ในวงศ์ตระกูลของเขา. แม้เมื่อเจ้าของวิหาร หรือผู้เกิดในวงศ์ตระกูลของเขานั้น ก็ไม่มี. 
                ภิกษุพึงวางเตียงลงบนหิน ๔ ก้อน แล้วยกเตียงตั่งที่เหลือขึ้นวางบนเตียงนั้นรวมที่นอนทั้ง ๑๐ อย่าง มีฟูกเป็นต้นกองไว้ข้างบน แล้วเก็บงำภัณฑะไม้ ภัณฑะดิน ปิดประตูและหน้าต่างบำเพ็ญคมิยวัตรแล้วจึงไป.
                ก็ถ้าเสนาสนะฝนรั่วได้, และหญ้า หรืออิฐที่เขานำมาเพื่อมุงหลังคาก็มีอยู่, ถ้าอาจ ก็พึงมุง. ถ้าไม่อาจ พึงเก็บเตียงและตั่งไว้ในโอกาสที่ฝนจะไม่รั่วรด แล้วจึงไป. ถ้าเสนาสนะฝนรั่วทั้งหมด, เมื่อสามารถพึงเก็บไว้ในเรือนของพวกอุบาสก ภายในบ้าน. ถ้าแม้พวกอุบาสกเหล่านั้น 
               ไม่ยอมรับ กล่าวว่า ท่านขอรับ! ธรรมดาของสงฆ์เป็นของหนัก, พวกกระผมกลัวภัยมีไฟไหม้เป็นต้น ดังนี้ ภิกษุจะวางเตียงลงข้างบนหิน แม้ในโอกาสกลางแจ้ง แล้วเก็บเตียงตั่งเป็นต้นที่เหลือ โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั่นแล เอาจำพวกหญ้าและใบไม้ปกปิดแล้วจึงไป ก็ควร. 
               จริงอยู่ ของที่ยังเหลืออยู่ในที่นั้น แม้จะเป็นเพียงชิ้นส่วน (ตัวเตียงตั่ง) ก็จักเป็นอุปการะแก่พวกภิกษุเหล่าอื่นผู้มาในที่นั้น ฉะนี้แล.
                พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า วิหารสฺส อุปจาเร เป็นต้น ดังนี้ :- 
                บริเวณ ชื่อว่า อุปจารแห่งวิหาร. โรงฉันที่เขาสร้างไว้ในบริเวณชื่อว่า อุปัฏฐานศาลา. ปะรำที่เขาสร้างไว้ในบริเวณ ชื่อว่า มณฑป. โคนไม้ในบริเวณ ชื่อว่า รุกขมูล. นี้เป็นนัยที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถากุรุนทีก่อน. ท่านกล่าวนัยไว้แล้ว แม้ก็จริง ถึงกระนั้น ห้องภายในก็ดี เสนาสนะที่คุ้มกันได้ บังทั้งหมดอย่างอื่นก็ดี พึงทราบว่า วิหาร. 
                สองบทว่า วิหารสฺส อุปจาเร ได้แก่ ในโอกาสภายนอกใกล้วิหารนั้น. 
                บทว่า อุปฏฺฐานสาลายํ วา ได้แก่ ในโรงฉันก็ดี. 
                บทว่า มณฺฑเป วา ได้แก่ ในมณฑปเป็นที่ประชุมแห่งคนมากซึ่งไม่ได้บังหรือแม้บังก็ดี. ในโคนไม้ไม่มีคำที่จะพึงกล่าว. 
                สองบทว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ก็เพราะเมื่อภิกษุปูลาดที่นอน ๑๐ อย่าง มีประการดังที่กล่าวแล้วในภายในห้อง เป็นต้น และในที่คุ้มกันได้ แล้วไปเสีย, ที่นอนก็ดี เสนาสนะก็ดี ย่อมเสียหายเพราะปลวกเป็นต้น จะกลายเป็นจอมปลวกไปทีเดียว ฉะนั้น ท่านจึงปรับเป็นปาจิตตีย์ 
               แต่สำหรับภิกษุผู้ปูไว้ในที่มีอุปัฏฐานศาลาเป็นต้น ในภายนอกแล้วไป เพียงแต่ที่นอนเท่านั้นเสียหายไป เพราะสถานที่คุ้มกันไม่ได้, เสนาสนะไม่เสียหาย. เพราะฉะนั้น ท่านจึงปรับเป็นทุกกฏในอุปัฏฐานศาลาเป็นต้นนี้. 
 วินิจฉัยในคำว่า มญฺจํ วา ปีฐํ วา เป็นต้นนี้ พึงทราบดังนี้ :- 
                ก็เพราะตัวปลวกทั้งหลายไม่อาจเพื่อจะกัดเตียงและตั่งทันที; ฉะนั้นภิกษุวางเตียงตั่งนั้นไว้แม้ในวิหารแล้วไป ท่านก็ปรับเป็นทุกกฏ. ส่วนในอุปจารแห่งวิหาร พวกภิกษุแม้เมื่อเที่ยวตรวจดูวิหาร เห็นเตียงและตั่งนั้นแล้วจักเก็บ. 
                วินิจฉัยในคำว่า อุทฺธริตฺวา คจฺฉติ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
                ภิกษุ เมื่อจะเก็บเองแล้วไป พึงรื้อเอาเครื่องถักร้อยเตียงและตั่งออกหมดแล้ว ม้วนแขวนไว้ที่ราวจีวรแล้วจึงไป. ถึงภิกษุผู้มาอยู่ภายหลัง ถักเตียงและตั่งใหม่ เมื่อจะไป ก็พึงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน. ภิกษุผู้ปูที่นอนจากภายในฝาไปถึง ภายนอกฝาแล้วอยู่ ในเวลาจะไป 
                พึงเก็บไว้ในที่ที่ตนถือเอามาแล้วๆ นั่นเทียว. แม้ภิกษุผู้ยกลงมาจากชั้นบนแห่งปราสาทแล้วอยู่ภายใต้ปราสาท ก็นัยนี้นั่นแล. แม้ภิกษุจะตั้งเตียงและตั่งไว้ในที่พักกลางวัน และที่พักกลางคืนแล้ว ในเวลาจะไปพึงเก็บไว้ตามเดิม ในที่ซึ่งตนถือเอามานั่นแล.
 [ว่าด้วยสถานที่ต้องบอกลาและไม่ต้องบอกลา] 
                 ในคำว่า อาปุจฺฉํ คจฺฉติ นี้ มีวินิจฉัยสถานที่ควรบอกลา และไม่ควรบอกลา ดังต่อไปนี้ :- 
                 ศาลาใด เป็นศาลายาวก็ดี เป็นศาลาใบไม้ก็ดี อยู่บนพื้นดิน, หรือว่าเรือนที่เขาสร้างบนเสาไม้ทั้งหลายหลังใด เป็นที่ปลวกขึ้นได้ก่อน, ภิกษุเมื่อจะหลีกไปจากศาลายาวเป็นต้นนั้น พึงบอกลาก่อนแล้วจึงหลีกไป. เพราะว่า เมื่อสถานที่นั้นไม่มีใครปฏิบัติเพียง ๒-๓ วัน ตัวปลวกทั้งหลายย่อมตั้งขึ้น. 
                 ส่วนเสนาสนะใด เป็นเสนาสนะที่เขาสร้างไว้บนหินดาด หรือบนเสาหินก็ดี ถํ้าที่ภูเขาหินก็ดี เสนาสนะที่ฉาบโบกปูนขาวก็ดี ในเสนาสนะใดไม่มีความสงสัยในเรื่องปลวก (จะขึ้น), เมื่อภิกษุจะหลีกไปจากที่นั้น จะบอกลาก็ตาม ไม่บอกลาก็ตาม ไปเสีย ก็ควร. แต่การบอกลาย่อมเป็นธรรมเนียม (ของผู้เตรียมจะไป). ถ้าตัวปลวกทั้งหลายจะขึ้นทางข้างหนึ่งในเสนาสนะแม้เช่นนั้นได้ ควรบอกลาก่อนแล้วจึงไป. 
                 ฝ่ายภิกษุอาคันตุกะใดประพฤติตามภิกษุผู้ถือเสนาสนะของสงฆ์อยู่ ไม่ถือเสนาสนะสำหรับตนอยู่. เสนาสนะนั้นเป็นธุระของภิกษุรูปก่อนนั่นแล ตราบเท่าที่ภิกษุนั้นยังไม่ถือ (เสนาสนะสำหรับตน). ก็จำเดิมแต่ภิกษุนั้นถือเอาเสนาสนะแล้วอยู่โดยอิสระของตน เป็นธุระของภิกษุอาคันตุกะนั่นเอง. ถ้าแม้ทั้ง ๒ รูปแจกกันแล้วถือเอา, เป็นธุระแม้ของท่านทั้ง ๒ รูป. 
                 แต่ในมหาปัจจรีท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าภิกษุ ๒-๓ รูป ร่วมกันจัดตั้ง, ในเวลาจะไปควรบอกลาทุกรูป. ถ้าบรรดาภิกษุเหล่านั้น รูปหนึ่งไปก่อน ทำความผูกใจว่า รูปหลัง จักปฏิบัติ แล้วไป ย่อมสมควร. ความพ้น (จากอาบัติ) ย่อมไม่มีแก่รูปหลัง เพราะความผูกใจ. 
                ภิกษุมากรูปส่งภิกษุรูปหนึ่งให้ไปปู. ในเวลาจะไป ภิกษุทั้งหมดจึงบอกลา, หรือพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปบอกลา. ภิกษุนำเอาเตียงและตั่งเป็นต้นมาจากที่อื่น แม้อยู่ในที่อื่น ในเวลาจะไป พึงนำไปไว้ในที่เดิมนั้นนั่นแหละ. ถ้าเมื่อภิกษุนำมาจากที่อื่นแล้วใช้อยู่, 
                ภิกษุอื่นผู้แก่กว่ามา อย่าพึงห้ามท่าน พึงเรียนว่า ท่านขอรับ! เตียงตั่ง กระผมนำมาจากอาวาสอื่น ท่านพึงทำให้เป็นปกติเดิม. เมื่อภิกษุผู้แก่กว่านั้นรับรองว่า เราจักทำอย่างนั้น ดังนี้ ภิกษุนอกนี้จะไป ก็ควร. 
                จริงอยู่ เมื่อภิกษุแม้นำไปในที่อื่นอย่างนี้ ใช้สอยอย่างใช้สอยเป็นของสงฆ์ เตียงและตั่งนั้น จะเสียหายไปก็ตาม เก่าชำรุดไปก็ตาม ถูกพวกโจรลักไปก็ตาม ไม่เป็นสินใช้, แต่เมื่อภิกษุใช้สอยอย่างใช้สอยเป็นของบุคคล ย่อมเป็นสินใช้. 
                 อนึ่ง ภิกษุใช้สอยเตียงตั่งของผู้อื่น อย่างใช้สอยเป็นของสงฆ์ก็ตาม อย่างใช้สอยเป็นของส่วนบุคคลก็ตาม เตียงตั่งเสียหายไป เป็นสินใช้เหมือนกัน. 
                 ข้อว่า เกนจิ ปลิพุทฺธํ โหติ มีความว่า เสนาสนะมีเหตุบางอย่าง บรรดาเหตุมีภิกษุผู้แก่กว่า อิสรชน ยักษ์ สีหะ เนื้อร้ายและงูเห่าเป็นต้น ขัดขวาง. 
                 ในคำว่า สาเปกฺโข คนฺตฺวา ตตฺถ ฐิโต อาปุจฺฉติ เกนจิ ปลิพุทฺโธ โหติ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 ภิกษุยังมีห่วงใยอย่างนี้ว่า เราจักมาปฏิบัติในวันนี้นั่นแหละ ไปยังฝั่งแม่น้ำ หรือละแวกบ้านแล้ว ยืนอยู่ในที่ที่เธอเกิดความคิดที่จะไปนั้นนั่นเอง ส่งใครๆ ไปบอกลา, หรือมีเหตุบางอย่าง บรรดาเหตุมีแม่น้ำเต็มฝั่ง พระราชาและโจรเป็นต้น ขัดขวาง. ภิกษุถูกอันตรายขัดขวาง ไม่อาจจะกลับมาได้, ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ไม่เป็นอาบัติ แม้แก่ภิกษุนั้น. 
                บทที่เหลือพร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วในปฐมสิกขาบทนั่นแล. 
 ทุติยเสนาสนสิกขาบทที่ ๕ จบ.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ มุสาวาทวรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องภิกษุมากรูป [ว่าด้วย หลีกไปไม่เก็บเสนาสนะ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องภิกษุมากรูป
[๓๗๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น เป็นฤดูหนาว ภิกษุทั้งหลายจัดตั้งเสนาสนะในที่กลางแจ้ง ผิงกายอยู่, ครั้นเขาบอกภัตตกาล เมื่อจะหลีกไป ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บซึ่งเสนาสนะนั้น ไม่บอกมอบหมายแล้วหลีกไป เสนาสนะถูกน้ำค้างและฝนตกชะ. บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุทั้งหลายจัดตั้งเสนาสนะในที่แจ้งแล้ว เมื่อจะหลีกไปจึงได้ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บ ซึ่งเสนาสนะนั้น ไม่บอกมอบหมาย แล้วหลีกไป? เสนาสนะถูกน้ำค้างและฝนตกชะ. แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
             พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุทั้งหลายจัดตั้งเสนาสนะในที่แจ้งแล้ว, เมื่อจะหลีกไป ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บ ซึ่งเสนาสนะนั้นไม่บอกมอบหมาย แล้วหลีกไป เสนาสนะถูกน้ำค้างและฝนตกชะ จริงหรือ?
             ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉน โมฆบุรุษเหล่านั้น จัดตั้งเสนาสนะในที่แจ้งแล้ว.
             เมื่อจะหลีกไป จึงได้ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บ ซึ่งเสนาสนะนั้นไม่บอกมอบหมายแล้วหลีกไปเล่า? เสนาสนะถูกน้ำค้างและฝนตกชะ. การกระทำของพวกโมฆบุรุษนั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
             ๖๓. ๔. อนึ่ง ภิกษุใดวางไว้แล้วก็ดี ให้วางไว้แล้วก็ดี ซึ่งเตียงก็ดี ตั่งก็ดี ฟูกก็ดี เก้าอี้ก็ดี อันเป็นของสงฆ์ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไปไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้เก็บก็ดี ซึ่งเสนาสนะที่วางไว้นั้น หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย เป็นปาจิตตีย์.
             ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องภิกษุมากรูป จบ.
พระพุทธานุญาตให้เก็บเสนาสนะ
[๓๗๕] ก็สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายอยู่ในที่แจ้ง รีบเก็บเสนาสนะก่อนกาลอันสมควร. พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้น ผู้รีบเก็บเสนาสนะก่อนกาลอันสมควร, ครั้นแล้วจึงทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เก็บเสนาสนะไว้ในปะรำหรือที่โคนไม้ หรือในที่ซึ่งนกกาหรือนกเหยี่ยวจะไม่ถ่ายมูลรดได้ตลอด ๘ เดือน ซึ่งกำหนดว่ามิใช่ฤดูฝน.
สิกขาบทวิภังค์
             [๓๗๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
             บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             ที่ชื่อว่า อันเป็นของสงฆ์ ได้แก่ ของที่เขาถวายแล้ว สละแล้วแก่สงฆ์.
             ที่ชื่อว่า เตียง ได้แก่ เตียง ๔ ชนิด คือ เตียงมีแม่แคร่สอดเข้าในขา ๑ เตียงมีแคร่เนื่องเป็นอันเดียวกันกับขา ๑ เตียงมีขาดังก้ามปู ๑ เตียงมีขาจรดแม่แคร่ ๑.
             ที่ชื่อว่า ตั่ง ได้แก่ ตั่ง ๔ ชนิด คือ ตั่งมีแม่แคร่สอดเข้าในขา ๑ ตั่งมีแม่แคร่เนื่องเป็นอันเดียวกันกับขา ๑ ตั่งมีขาดังก้ามปู ๑ ตั่งมีขาจรดแม่แคร่ ๑.
             ที่ชื่อว่า ฟูก ได้แก่ ฟูก ๕ ชนิด คือ ฟูกขนสัตว์ ๑ ฟูกเปลือกไม้ ๑ ฟูกเศษผ้า ๑ฟูกหญ้า ๑ ฟูกใบไม้ ๑.
             ที่ชื่อว่า เก้าอี้ ได้แก่ เก้าอี้ที่เขาถักร่วมใน สำเร็จด้วยเปลือกไม้ก็มี สำเร็จด้วยหญ้าคมแฝกก็มี สำเร็จด้วยหญ้ามุงกระต่ายก็มี สำเร็จด้วยหญ้าปล้องก็มี.
             บทว่า วางไว้แล้ว คือ วางไว้เอง.
             บทว่า ให้วางไว้แล้ว คือ ให้คนอื่นวางไว้.
             ใช้อนุปสัมบันให้วาง เป็นธุระของอนุปสัมบันผู้วาง.
             ใช้อุปสัมบันให้วาง เป็นธุระของอุปสัมบันผู้วาง.
             คำว่า เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเอง ซึ่งเสนาสนะที่วางไว้นั้น คือ ไม่เก็บด้วยตนเอง.
             คำว่า ไม่ให้เก็บ คือ ไม่ให้คนอื่นเก็บ.
             คำว่า หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย ความว่า ภิกษุไม่บอกมอบหมายภิกษุ สามเณรหรือคนทำการวัด แล้วเดินล่วงเลฑฑุบาตของมัชฌิมบุรุษไป, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์ ติกะปาจิตตีย์
             [๓๗๗] เสนาสนะของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ วางไว้เองก็ดี ให้คนอื่นวางไว้ก็ดีในที่แจ้ง, เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งเสนาสนะนั้น หรือไม่ได้บอกมอบหมาย ไปเสีย, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เสนาสนะของสงฆ์ ภิกษุสงสัย วางไว้เองก็ดี ให้คนอื่นวางไว้ก็ดี ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งเสนาสนะนั้น หรือไม่ได้บอกมอบหมาย ไปเสีย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เสนาสนะของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล วางไว้เองก็ดี ให้คนอื่นวางไว้ก็ดี ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งเสนาสนะนั้นหรือไม่ได้บอกมอบหมายไปเสีย, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุวางไว้เองก็ดี ให้คนอื่นวางไว้ก็ดี ซึ่งเครื่องลาดรักษาผิวพื้นก็ดี เครื่องลาดเตียงก็ดี เครื่องลาดพื้นก็ดี เสื่ออ่อนก็ดี ท่อนหนังก็ดี เครื่องเช็ดเท้าก็ดี ตั่งกระดานก็ดี ในที่แจ้ง
             เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งเครื่องลาดรักษาผิวพื้นเป็นต้นนั้น หรือไม่ได้บอกมอบหมาย ไปเสีย, ต้องอาบัติทุกกฏ.
ติกะทุกกฏ
             เสนาสนะของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             เสนาสนะของบุคคล ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             เสนาสนะของบุคคล  ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล ... ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะเป็นของส่วนตัวของผู้อื่น.
             เสนาสนะเป็นส่วนตัวของตน ..., ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
             [๓๗๘] ภิกษุเก็บเองแล้วไป ๑ ภิกษุให้คนอื่นเก็บแล้วไป ๑ ภิกษุบอกมอบหมายแล้วไป ๑ ภิกษุเอาออกผึ่งแดดไว้ ไปด้วยตั้งใจจักกลับมาเก็บ ๑ เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ๑  ภิกษุมีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.

         อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๔
         เสนาสนวรรค ปฐมเสนาสนสิกขาบทที่ ๔         
         พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-
         [แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องภิกษุหลายรูป]
         สองบทว่า เหมนฺติเก กาเล ได้แก่ ในฤดูเหมันต์ คือในคราวหิมะตก. 
         สองบทว่า กายํ โอตาเปนฺตา ได้แก่ นั่งบนเตียงและตั่งเป็นต้นแล้ว ผิงกายด้วยแดดอ่อนอยู่. 
         สองบทว่า กาเล อาโรเจติ ได้แก่ เมื่อเขาบอกเวลาแห่งอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง มียาคูและภัตเป็นต้น. 
         สองบทว่า โอวุฏฺฐํ โหติ ได้แก่ ถูกฝนหิมะตกชะเปียก. 
         บทว่า อวสฺสิกสงฺเกเต มีความว่า ตลอด ๘ เดือน คือ ๔ เดือนในฤดูเหมันต์ ๔ เดือนในฤดูคิมหันต์ ที่มิได้บัญญัติอย่างนี้ว่า เดือนทั้งหลายแห่งฤดูฝน. 
         บทว่า มณฺฑเป ได้แก่ ในปะรำทำด้วยกิ่งไม้ หรือในปะรำทำด้วยไม้เลียบ. 
         บทว่า รุกฺขมูเล วา ได้แก่ ภายใต้แห่งต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง.
         [ว่าด้วยสถานที่ควรเก็บเตียงตั่ง]
         หลายบทว่า ยตฺถ กากา วา กุลลา วา น อูทหนฺติ มีความว่า นกกาและนกตะกรุมเหล่านี้ หรือนกเหล่าอื่นทำรังอยู่ ด้วยการอยู่ประจำในต้นไม้ใด จะไม่ถ่ายมูลรดเสนาสนะนั้น, เราอนุญาตให้เก็บไว้ที่โคนไม้เช่นนั้น เพราะเหตุอย่างนี้นั้น นกทั้งหลายเสาะแสวงหาเหยื่อ พักผ่อนที่ต้นไม้ใดแล้ว บินไป จะเก็บไว้ที่โคนแห่งต้นนั้นก็ควร. แต่ว่า นกทั้งหลายทำรังอยู่ด้วยการอยู่เป็นประจำที่ต้นไม้ใด อย่าพึงเก็บไว้ที่โคนต้นไม้นั้น. 
         เพราะพระบาลีว่า อฏฺฐ มาเส ดังนี้ ในชนบทเหล่าใด ฝนไม่ตกในฤดูฝน, แม้ในชนบทเหล่านั้นจะเก็บไว้ตลอด ๔ เดือน ก็ไม่ควรเหมือนกัน. 
         เพราะพระบาลีว่า อวสฺสิกสงฺเกเต ดังนี้ ในชนบทเหล่าใด ฝนตกในฤดูเหมันต์ ในชนบทเหล่านั้นจะเก็บไว้ในที่แจ้ง แม้ในฤดูเหมันต์ ก็ไม่ควร. ส่วนในฤดูคิมหันต์ ท้องฟ้าบริสุทธิ์ปราศจากเมฆในที่ทั่วไป, ในเวลาเช่นนี้จะเก็บเตียงและตั่งไว้ในที่แจ้ง ด้วยกรณีจำเป็นบางอย่าง ย่อมควร. 
         แม้ภิกษุผู้ถืออัพโภกาสิกธุดงค์ ก็ควรรู้วัตร. จริงอยู่ ถ้าเธอมีเตียงส่วนบุคคล ก็พึงนอนบนเตียงส่วนบุคคลนั่นแล เมื่อจะถือเอาเตียงของสงฆ์ พึงถือเอาเตียงที่ถักด้วยหวายหรือด้วยปอ. เมื่อเตียงถักด้วยหวายหรือด้วยปอนั้น ไม่มี พึงถือเอาเตียงเก่า. เมื่อเตียงเก่านั้นไม่มี พึงถือเอาเตียงที่ถักใหม่ๆ หรือที่บุด้วยหนัง, ก็แล ครั้นถือเอาแล้ว คิดว่า เราจะถือรุกขมูลอย่างเคร่ง ถืออัพโภกาสอย่างเคร่ง ดังนี้ แล้วไม่ทำแม้ซึ่งกุฎีจีวร (เพดานทำด้วยจีวร) จัดตั้งเตียงตั่งนั้นในที่แจ้ง หรือที่โคนไม้ แล้วนอนในคราวที่มิใช่สมัย ย่อมไม่ควร. ก็ถ้าว่า ภิกษุไม่อาจเพื่อจะรักษากุฎีที่ทำด้วยจีวรแม้ตั้ง ๔ ชั้น ไม่ให้เปียกได้, มีฝนตกพรำตลอด ๗ วัน, (จะจัดตั้งเตียงน้อยนอน) ก็ควร เพราะเตียงนอนเป็นไปตามร่างกายของภิกษุ. 
         พวกมนุษย์มีจิตเลื่อมใสในสีลสัมปทาของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในกระท่อมใบไม้ในป่า จึงถวายเตียงและตั่งใหม่กล่าวว่า ขอท่านทั้งหลายจงใช้สอย โดยใช้สอยเป็นของสงฆ์. ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่แล้วจะไป พึงส่งข่าว (ไปบอก) แก่ภิกษุผู้ชอบพอกันในวิหารที่ใกล้เคียงแล้วจึงไป. เมื่อไม่มีพวกภิกษุผู้ชอบกัน พึงเก็บไว้ในที่ที่ฝนจะไม่รั่วรดแล้วจึงไป. เมื่อไม่มีที่ที่ฝนไม่รั่วรด พึงแขวนไว้ที่ต้นไม้ แล้วจึงไป.
         [ว่าด้วยสถานที่ควรเก็บไม้กวาดและวิธีกวาด]
         ภิกษุถือเอาไม้กวาดที่ลานพระเจดีย์ไปกวาดลานหอฉันก็ดี ลานโรงอุโบสถก็ดี ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง มีบริเวณที่พักกลางวันและโรงไฟเป็นต้น ล้าง เคาะ (ไม้กวาดนั้น) แล้ว พึงเก็บไม้กวาดไว้ในโรงนั่นแหละอีก. แม้ภิกษุผู้ถือเอาไม้กวาด ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งมีโรงอุโบสถเป็นต้น ไปกวาดบริเวณที่เหลือ ก็นัยนี้นั่นแล. ส่วนภิกษุใดกวาดทางเที่ยวภิกขาจารประสงค์จะไป (บิณฑบาต) เลย, ภิกษุนั้นกวาดแล้วพึงเก็บไว้ที่ศาลาซึ่งถ้ามีอยู่ใน ระหว่างทางนั้น. ถ้าศาลาไม่มี, กำหนดว่าเมฆฝนยังไม่ตั้งเค้าขึ้น รู้ว่า ฝนจักยังไม่ตก จนกว่าเราจะออกมาจากบ้าน เก็บไว้ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วกลับมาพึง (นำมา) เก็บไว้ในที่เดิมอีก. 
         ในมหาปัจจรีท่านกล่าวว่า ถ้าภิกษุรู้อยู่ว่า ฝนจักตก วางไว้ในกลางแจ้ง เป็นทุกกฏ ดังนี้. แต่ถ้าว่า ไม้กวาดเป็นของอันเขาเก็บไว้เพื่อประโยชน์สำหรับกวาดในที่นั้นๆ นั่นเอง, ภิกษุจะกวาดที่นั้นๆ แล้ว เก็บไว้ในที่นั้นๆ แล สมควรอยู่. ภิกษุผู้จะกวาดโรงฉัน ควรรู้จักวัตร. 
         วัตรในการกวาดโรงฉันนั้น ดังนี้ :- 
         พึงกวาดทรายตั้งแต่ท่ามกลางตะล่อมมาไว้ตรงหน้าที่เท้ายืน. พึงเอามือทั้งสองกอบหยากเยื่อออกไปทิ้งข้างนอก.
         [ว่าด้วยลักษณะเตียงตั่งเป็นต้น]
         เตียงที่เขาทำเจาะที่เท้าเตียง สอดแม่แคร่ทั้งหลายเข้าไปในเท้าเตียงนั้น ชื่อว่า มสารกะ (เตียงมีแม่แคร่สอดเข้าในขา). 
         เตียงที่เขาทำให้แม่แคร่คาบเท้าเตียง โดยลักษณะคล้ายบัลลังก์ ชื่อว่า พุนธิกาพัทธ์ (เตียงมีแม่แคร่เนื่องเป็นอันเดียวกันกับขา). 
         เตียงที่เขาทำด้วยเท้าเช่นกับเท้าแห่งสัตว์ มีม้าและแพะเป็นต้น ชื่อว่า กุลีรปาท (เตียงมีขาดังก้ามปู) ก็หรือว่า เตียงที่มีเท้างออย่างใดอย่างหนึ่ง นี้ท่านเรียกว่า เตียงมีขาดังก้ามปู. ก็เตียงชื่อว่า อาหัจจปาทกะ นี้ ท่านกล่าวไว้ในบาลีข้างหน้านั่นแลอย่างนี้ว่า เตียงที่เจาะตัวเตียงทำ ชื่อว่า อาหัจจปาทกะ (เตียงมีขาจรดแม่แคร่). เพราะเหตุนั้น เตียงที่ทำเจาะแม่แคร่ทั้งหลาย แล้วสอดปลายขาเข้าไปในแม่แคร่นั้น สลักลิ่มในเบื้องบน บัณฑิตพึงทราบว่า เตียงมีขาจรดแม่แคร่. แม้ในตั่ง ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
         หลายบทว่า อนฺโต สํเวเฐตฺวา พทฺธํ โหติ มีความว่า เก้าอี้ที่เขาถักให้กว้างทั้งข้างล่างและข้างบน ตรงกลางสอบ (แคบ) มีสัณฐานคล้ายบัณเฑาะว์. ได้ยินว่า ชนทั้งหลายกระทำเก้าอี้นั้น ให้หุ้มด้วยหนังสีหะและเสือโคร่งที่ตรงกลางก็มี. ในเสนาสนะนี้ ชื่อว่าหนังที่เป็นอกัปปิยะไม่มี. จริงอยู่ แม้เสนาสนะที่เป็นวิการแห่งทอง ก็ควร. เพราะเหตุนั้น เสนาสนะนั้นจึงเป็นของมีค่ามาก. 
         ข้อว่า อนุปฺปสมฺปนฺนํ สนฺถราเปติ ตสฺส ปริโพโธ มีความว่า เป็นธุระของอนุปสัมบันผู้ซึ่งถูกใช้ให้วาง. 
         ข้อว่า เลฑฺฑุปาตํ อติกฺกมนฺตสฺส อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส มีความว่า ภิกษุผู้เดินเลยเลฑฑุบาต ของบุรุษผู้มีกำลังกลางคนไปต้องปาจิตตีย์.
         [ว่าด้วยผู้รับผิดชอบเสนาสนบริขารมีเตียงเป็นต้น]
         ก็ในคำว่า เลฑฺฑุปาตํ อติกฺกมนฺตสฺส เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- 
         พระเถระกระทำภัตกิจในโรงฉัน แล้วสั่งภิกษุหนุ่มว่า เธอจงไปแต่งตั้ง เตียง ตั่ง ในที่พักกลางวัน. ภิกษุหนุ่มนั้นกระทำตามสั่งแล้วนั่ง. พระเถระเที่ยวไปตามความพอใจแล้วจึงไปในที่พักกลางวันนั้น วางถุงย่ามและอุตราสงค์ไว้. จำเดิมแต่นั้นไปเป็นธุระของพระเถระ. พระเถระนั่งแล้ว เมื่อจะไป ไม่เก็บเอง ไม่สั่งให้เก็บ เป็นปาจิตตีย์ ในเมื่อเดินเลยเลฑฑุบาตไป. 
         ก็ถ้าพระเถระไม่วางถุงย่ามและอุตราสงค์ไว้บนเตียงและตั่งนั้น จงกรม พลางสั่งภิกษุหนุ่มว่า เธอไปได้, เธอพึงบอกว่า นี้เตียงตั่ง ขอรับ! ถ้าพระเถระรู้จักธรรมเนียม, พึงกล่าวว่า เธอไปเถิด, เราจักกระทำให้เป็นปรกติเดิม. ถ้าภิกษุผู้เถระ เป็นคนเขลาไม่ได้ศึกษาธรรมเนียม กลับขู่ตะคอกภิกษุหนุ่มว่า ไปเถิด อย่ามายืนในที่นี้, เราจะไม่ให้ (ใคร) นั่ง ไม่ให้ (ใคร) นอน, ภิกษุหนุ่มเรียนว่า ท่านนอนตามสบายเถิด ขอรับ! ได้ข้ออ้างไหว้แล้ว พึงไปเถิด. เมื่อภิกษุหนุ่มนั้นไปแล้ว เป็นธุระของพระเถระเท่านั้น. และบัณฑิตพึงทราบว่า เป็นอาบัติแก่พระเถระนั้น โดยนัยก่อนนั่นเทียว. 
         ก็ถ้าว่า ในขณะที่สั่งนั่นเอง ภิกษุหนุ่มเรียนว่า ท่านขอรับ! ผมมีกิจจำต้องทำบางอย่าง มีการซักล้างสิ่งของเป็นต้น และพระเถระกล่าวกะเธอว่า เธอแต่งตั้งแล้วจงไปเถิด ดังนี้ แล้วออกจากโรงฉันไปเสียในที่อื่น, พระวินัยธรพึงปรับ (พระเถระ) ด้วยย่างเท้า. ถ้าพระเถระไปนั่งในที่นั้นนั่นเอง, และเป็นอาบัติแก่พระเถระนั้น ในเมื่อเดินเลยเลฑฑุบาตไป โดยนัยก่อนนั่นแหละ. 
         ก็ถ้าว่า พระเถระสั่งสามเณร, เมื่อสามเณรแม้จัดตั้งเตียงและตั่งในโรงฉันนั้นแล้วนั่ง พระเถระไปเสียที่อื่นจากโรงฉัน พระวินัยธรพึงปรับด้วยย่างเท้าเดิน. พระเถระไปนั่งแล้ว ในเวลาไปต่อไป พึงปรับด้วยอาบัติในเมื่อเดินเลยเลฑฑุบาตไป. 
         ก็ถ้าว่า พระเถระเมื่อจะสั่ง สั่งว่า เธอจัดตั้งเตียงและตั่งแล้ว จงนั่งรอที่เตียงและตั่งนั้นนั่นแหละ ดังนี้, ย่อมได้เพื่อจะไปในที่ที่ตนปรารถนา. ส่วนผู้รับสั่งเมื่อไม่ทำให้เป็นปกติเสียเอง เดินไปเป็นปาจิตตีย์ ในเมื่อเดินเลยเลฑฑุบาตไป. 
         ในระหว่างการประชุม ภิกษุทั้งหลายแต่งตั้งเตียงและตั่งแล้วนั่งในเวลา จะไปพึงบอกแก่อารามิกบุรุษ (คนทำการวัด) ว่า ท่านทั้งหลายจงเก็บเตียงและตั่งนี้ ดังนี้ เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่สั่ง ไปเสีย ในเมื่อเดินเลยเลฑฑุบาตไป. 
         ธรรมดาการฟังธรรมครั้งใหญ่ ย่อมจะมี. ภิกษุทั้งหลายนำเอาเตียงและตั่งมาจากโรงอุโบสถบ้าง จากโรงฉันบ้าง จัดตั้งไว้ในสถานที่ฟังธรรมนั้น. เป็นภารธุระของพวกภิกษุเจ้าถิ่นเท่านั้น. ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะถือเอาไปด้วยอ้างว่า นี้สำหรับอุปัชฌาย์ของเรา นี้สำหรับอาจารย์ของเรา ดังนี้, จำเดิมแต่นั้นไป เป็นภารธุระของพวกภิกษุอาคันตุกะนั้นเท่านั้น. ในเวลาไป เมื่อไม่กระทำไว้ตามเดิม เดินเลยเลฑฑุบาตไป เป็นอาบัติ. 
         แต่ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวไว้ว่า ชั่วเวลาที่ภิกษุพวกอื่นยังไม่มานั่ง เป็นภาระของพวกภิกษุผู้จัดตั้ง, เมื่อพวกภิกษุเหล่าอื่นมานั่งเป็นภาระของพวกภิกษุผู้นั่ง, ถ้าพวกภิกษุผู้นั่งเหล่านั้นไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช้ให้เก็บก็ดี ไปเสีย เป็นทุกกฏ. เพราะเหตุไร? เพราะจัดตั้งโดยไม่ได้สั่ง.
         เมื่อแต่งตั้งธรรมาสน์แล้ว ภิกษุผู้สวดหรือผู้แสดงธรรมยังไม่มาเพียงใด, เป็นภารธุระของพวกภิกษุผู้แต่งตั้งเพียงนั้น. เมื่อภิกษุผู้สวดหรือผู้แสดงธรรมมานั่งแล้ว เป็นภารธุระของภิกษุนั้น. มีการฟังธรรมตลอดวันและคืนทั้งสิ้น. ภิกษุผู้สวดหรือผู้แสดงธรรมอื่นลุกไป, ภิกษุอื่นมานั่ง, ภิกษุใดๆ มานั่ง เป็นภาระของภิกษุนั้นๆ. แต่เมื่อลุกขึ้น พึงกล่าวว่า อาสนะนี้ เป็นภาระของท่าน แล้วจึงไป. ถ้าแม้นว่า เมื่อภิกษุผู้สวดผู้แสดงธรรมนอกนี้ยังไม่มานั่นแหละ ภิกษุผู้นั่งอยู่ก่อนลุกไป, และภิกษุผู้นั่งก่อนนอกนี้ มานั่งอยู่ภายในอุปจาร สถานที่นั้นนั่นเอง, พระวินัยธรไม่พึงปรับเธอผู้ลุกไปด้วยอาบัติ. ก็ถ้าว่า เมื่อภิกษุผู้สวดและผู้แสดงธรรมนอกนี้ ยังไม่มานั่นแหละ ภิกษุผู้นั่งอยู่ก่อนลุกจากอาสนะ เดินเลยเลฑฑุบาตไป, พระวินัยธรพึงปรับเธอด้วยอาบัติ. 
         แต่ในมหาปัจจรีท่านกล่าวนัยนี้ไว้ว่า ทุกๆ แห่งในเมื่อเดินเลยเลฑฑุบาตไป เป็นทุกกฏในย่างเท้าที่ ๑, เป็นปาจิตตีย์ในย่างเท้าที่ ๒.
         [ว่าด้วยเครื่องปูลาดและหน้าที่ในการรักษา]
         พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า จิมิลิกํ วา เป็นต้น ดังนี้ :- 
         เครื่องลาดที่เขาทำไว้ เพื่อรักษาผิวของพื้นที่ทำบริกรรมด้วยปูนขาวเป็นต้น ชื่อว่า จิมิลิกา. ชนทั้งหลายปูเครื่องลาดนั้นไว้ข้างล่าง แล้วปูเสื่อลำแพนทับไว้ข้างบน. 
         เครื่องลาดที่ควรปูลาดไว้บนเตียงและตั่ง ชื่อว่าเครื่องลาดเตียง. ชนิดแห่งเครื่องปูลาด มีเสื่อลำแพนเป็นต้นที่ควรลาดไว้บนพื้น ชื่อว่า เครื่องลาดพื้น. เสื่ออ่อนที่เขาทำด้วยใบตาลก็ดี ด้วยเปลือกปอก็ดี ชื่อว่า เสื่ออ่อน. แม้บรรดาหนังสัตว์มีสีหะ เสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาวและหมีเป็นต้น หนังชนิดใดชนิดหนึ่ง ชื่อว่า แผ่นหนัง. 
         จริงอยู่ ชื่อว่าหนังที่ท่านห้าม ในการบริโภคเสนาสนะไม่ปรากฏในอรรถกถาทั้งหลาย. เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ห้ามเฉพาะในการบริหารหนังสีหะเป็นต้น. 
         เครื่องเช็ดที่เขาทำด้วยเชือกเล็กๆ ก็ดี ด้วยผ้าเก่าก็ดี เพื่อเช็ดเท้า ชื่อว่า เครื่องเช็ดเท้า. 
         ตั่งที่เขาทำด้วยแผ่นกระดาน ชื่อว่า ตั่งแผ่นกระดาน. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ แผ่นกระดานและตั่งที่ทำด้วยไม้. แม้เครื่องไม้เป็นต้นทั้งหมด ท่านสงเคราะห์ด้วยตั่งแผ่นกระดานนั้น. แต่ในมหาปัจจรีท่านกล่าวไว้โดยพิสดารทีเดียวว่า ภิกษุวางเชิงรองบาตร ฝาบาตร กระเบื้องเช็ดเท้า พัดใบตาล พัดใบไม้ เครื่องไม้อย่างใดอย่างหนึ่งชั้นที่สุด กระบวยตักน้ำ สังข์ตักน้ำดื่ม ไว้ในที่แจ้งแล้วไปเสีย เป็นทุกกฏ. 
         แต่ในมหาอรรถกถานัยนี้ท่านแสดงไว้ในสิกขาบทที่ ๒.
         ภิกษุต้มน้ำย้อมในที่แจ้ง แล้วพึงเก็บเครื่องใช้ทั้งปวง คือภาชนะน้ำย้อม กระบวยตักน้ำย้อม รางน้ำย้อมเป็นต้น ไว้ในโรงไฟ. ถ้าโรงไฟไม่มี พึงเก็บไว้ในเงื้อมที่น้ำฝนจะไม่รั่วรด. แม้เมื่อเงื้อมนั้นไม่มี ถึงจะวางไว้ในที่ซึ่งมีพวกภิกษุคอยดูแลอยู่แล้วจึงไป ก็ควร. 
         สองบทว่า อญฺญสฺส ปุคฺคลิเก มีความว่า ในมหาปัจจรีเป็นต้นกล่าวว่า การถือเอาโดยวิสาสะในบุคคลใด ไม่ขึ้น, เป็นทุกกฎในเพราะสิ่งของของบุคคลนั้น, แต่วิสาสะในบุคคลใดขึ้น, สิ่งของของบุคคลนั้น ย่อมเป็นดุจของส่วนตัวบุคคลของตน. 
         สองบทว่า อาปุจฺฉํ คจฺฉติ มีความว่า บุคคลใดจะเป็นภิกษุก็ดี สามเณรก็ดี อารามิกบุรุษก็ดี เป็นลัชชี ย่อมสำคัญดุจเป็นภารธุระของตน. ภิกษุใดบอกลาบุคคลเช่นนั้นแล้วไป, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้น. 
         สองบทว่า โอตาเปนฺโต คจฺฉติ มีความว่า ภิกษุเอาออกผึ่งไว้ที่แดด ไปด้วยคิดว่า เราจักมาเก็บ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไปอย่างนี้. 
         คำว่า เกนจ ปลิพุทฺธํ โหติ มีความว่า เสนาสนะถูกรบกวนด้วยอันตรายบางอย่าง. ก็ถ้าภิกษุผู้แก่กว่าให้ย้ายออกแล้ว ถือเอา (เสนาสนะ) ก็ดี, ถ้าว่า ยักษ์หรือเปรตมานั่งอยู่ก็ดี หรือว่าอิสรชนบางคนมายึดเอาก็ดี, เสนาสนะจัดว่าถูกหวงแหน (กางกั้น). 
         ก็หรือว่าเมื่อสัตว์ร้ายมีสีหะและเสือโคร่งเป็นต้น มาสู่ประเทศนั้นแล้วพักอยู่ เสนาสนะจัดว่าถูกรบกวนเหมือนกัน. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้แม้ไม่เก็บ ไปเสีย เพราะเสนาสนะถูกอันตรายบางอย่างรบกวนอย่างนี้. 
         บทว่า อาปทาสุ คือ ในเพราะอันตรายแห่งชีวิตและอันตรายแห่งพรหมจรรย์. 
         บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล. 
         สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
ปฐมเสนาสนสิกขาบทที่ ๔ จบ

07 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ มุสาวาทวรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องพระทัพพมัลลบุตร [ว่าด้วย โพนทะนา] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องพระทัพพมัลลบุตร 
[๓๖๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้นท่านพระทัพพมัลลบุตรจัดแจงเสนาสนะและแจกภัตรแก่สงฆ์. สมัยนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะเป็นผู้บวชใหม่ และมีบุญน้อย. เสนาสนะของสงฆ์ที่เลวและอาหารที่ทรามย่อมตกมาถึงเธอทั้งสอง. เธอทั้งสองจึงให้ภิกษุทั้งหลายเพ่งโทษท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า จัดเสนาสนะตามความพอใจ และแจกภัตรตามความพอใจ.
               บรรดาภิกษุผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระเมตติยะและพระภุมมชกะจึงได้ให้ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาท่านพระทัพพมัลลบุตรเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
               ทรงสอบถาม ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามพระเมตติยะและพระภุมมชกะว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอให้ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาภิกษุทัพพมัลลบุตร จริงหรือ? 
               พระเมตติยะและพระภุมมชกะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงให้ภิกษุทั้งหลายเพ่งโทษภิกษุทัพพมัลลบุตร? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
               พระบัญญัติ ๖๒. ๓. ก. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนา. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระทัพพมัลลบุตร จบ.
เรื่องพระทัพพมัลลบุตร (ต่อ)
[๓๖๙] ก็สมัยนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะคิดว่า ภิกษุทั้งหลาย จักเชื่อฟังด้วยพระบัญญัติเพียงเท่านี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้ามการให้โพนทะนาแล้ว จึงบ่นว่าท่านพระทัพพมัลลบุตรอยู่ใกล้ๆ ภิกษุทั้งหลายว่า พระทัพพมัลลบุตรจัดเสนาสนะตามความพอใจ และแจกภัตรตามความพอใจ บรรดาภิกษุผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระเมตติยะและพระภุมมชกะจึงได้บ่นว่าท่านพระทัพพมัลลบุตรอยู่เล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
               ทรงสอบถาม ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามพระเมตติยะและพระภุมมชกะว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอบ่นว่าภิกษุทัพพมัลบุตร จริงหรือ?
               พระเมตติยะและพระภุมมชกะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงยังได้บ่นว่าภิกษุทัพพมัลลบุตรอยู่เล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
               พระอนุบัญญัติ ๖๒. ๓. ข. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนา ในเพราะความเป็นผู้บ่นว่า.  เรื่องพระทัพพมัลลบุตร (ต่อ) จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๓๗๐] ที่ชื่อว่า ความเป็นผู้ให้โพนทะนา คือ อุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติแล้วให้เป็นผู้จัดเสนาสนะ เป็นผู้แจกอาหาร แจกยาคู แจกผลไม้ แจกของเคี้ยว หรือแจกของเล็กน้อยก็ตาม. ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ให้อัปยศ ให้เก้อเขิน จึงให้โพนทะนาก็ดี บ่นว่าก็ดีซึ่งอุปสัมบัน, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์ ติกะปาจิตตีย์
[๓๗๑] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม, ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนา ในเพราะความเป็นผู้บ่นว่า.
               กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย, ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนาในเพราะความเป็นผู้บ่นว่า.
               กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม, ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนา ในเพราะความเป็นผู้บ่นว่า.
               ทุกกฏ [๓๗๒] ภิกษุให้โพนทะนา หรือบ่นว่าอนุปสัมบัน, ต้องอาบัติทุกกฏ.
               อุปสัมบันผู้อันสงฆ์มิได้สมมติให้เป็นผู้จัดเสนาสนะ เป็นผู้แจกอาหาร แจกยาคู แจกผลไม้ แจกของเคี้ยว หรือแจกของเล็กน้อยก็ตาม ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ทำให้อัปยศ ทำให้เก้อเขิน จึงให้โพนทะนาก็ดี, บ่นว่าก็ดี ซึ่งอุปสัมบัน. หรืออนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
               อนุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติก็ดี มิได้สมมติก็ดี ให้เป็นผู้จัดเสนาสนะ เป็นผู้แจกอาหารแจกยาคู แจกผลไม้ แจกของเคี้ยว หรือแจกของเล็กน้อยก็ตาม ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ทำให้อัปยศ ทำให้เก้อเขิน จึงให้โพนทะนาก็ดี, บ่นว่าก็ดี ซึ่งอุปสัมบันหรืออนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
ติกะทุกกฏ
               กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย, ต้องอาบัติทุกกฏ ... กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ
               อนาปัตติวาร [๓๗๓] ภิกษุผู้ให้โพนทะนา หรือบ่นว่าภิกษุผู้มีปกติทำเพราะฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
                 อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๓ เสนาสนวรรค อุชฌาปน
                 พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :- 
 [แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องพระทัพพมัลลบุตร] 
                 หลายบทว่า ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ ภิกฺขู อุชฺฌาเปนฺติ มีความว่า พวกภิกษุเมตติยะและภุมมชกะ เมื่อกล่าวคำเป็นต้นว่า ฉนฺทาย ทพฺโพ มลฺลปุตฺโต (พระทัพพมัลลบุตรจัดเสนาสนะโดยฉันทาคติ) ดังนี้ ชื่อว่ายังภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นให้ดูหมิ่น คือให้มองดูท่านทัพพะนั้นด้วยความดูหมิ่น. 
                อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ย่อมให้คิดไปทางลามก ก็ในคำว่า อุชฺฌายนฺติ นี้ พึงทราบลักษณะ (แห่งศัพท์) ตามแนวแห่งคัมภีร์ศัพทศาสตร์. ปาฐะว่า โอชฺฌาเปนฺติ ดังนี้ ก็มี. ความก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
                บทว่า ฉนฺทาย ได้แก่ โดยความชอบพอกัน คือโดยตกเข้าเป็นฝักฝ่ายกัน. อธิบายว่า ย่อมจัดแจงเสนาสนะที่ประณีต เพื่อพวกภิกษุผู้เป็นเพื่อนเห็นเพื่อนคบกันของตน ด้วยความชอบพอกันนั้น.
                บทว่า ขิยฺยนฺติ คือ พวกภิกษุเมตติยะและภุมมชกะ เมื่อกล่าวคำว่า ฉนฺทาย ทพฺโพ มลฺลปุตฺโต เป็นต้น ชื่อว่า ย่อมประกาศ. 
                ในคำว่า อุชฺฌาปนเก ขิยฺยนเก ปาจิตฺติยํ นี้มีวินิจฉัยว่า พวกภิกษุเมตติยะและภุมมชกะย่อมให้โพนทะนาด้วยคำใด คำนั้นชื่อว่าอุชฌาปนกะ. และบ่นว่าด้วยคำใด คำนั้นชื่อว่าขิยยนกะ. ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนา ในเพราะความเป็นผู้บ่นว่านั้น. 
                ด้วยบท ปาจิตฺติยํ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับปาจิตตีย์ ๒ ตัว ใน ๒ วัตถุ. 
                บทเหล่านี้ว่า อุชฺฌาปนกํ นาม อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน สมฺมตํ เสนาสนปญฺญาปกํ วา ฯปฯ อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชกํ วา ดังนี้ เชื่อมความกับบทว่า มงฺกุกตฺตุกาโม (มีความประสงค์จะทำให้อัปยศ) นี้. 
                ด้วยอำนาจแห่งบทเหล่านี้ว่า อวณฺณํ กตฺตุกาโม อยสํ กตฺตุกาโม บัณฑิตพึงกระทำการเปลี่ยนวิภัตติในบทว่า อุปสมฺปนฺนํ เป็นต้น อย่างนี้ว่า อุปสมฺปนฺนสฺส ดังนี้. 
                ก็เพราะในคำว่า อุชฺฌาเปติ วา ขิยฺยติ วา อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงยกบทมาติกาขึ้นอย่างนี้ว่า ขียนกํ นาม ดังนี้แล้ว จะพึงตรัสวิภังค์ที่ตรัสแล้วนั้นแหละ แห่งบทว่า อุชฺฌาปนกํ นาม นี้ (แต่) ความแปลกันอย่างอื่น (ในสิกขาบทนี้) ไม่มี เหมือนในอัญญวาทสิกขาบท 
                เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงยกขึ้น ทั้งไม่ทรงแจกบทมาติกานั้น แยกไว้ต่างหาก ทรงทำคำนิคมเท่านั้นไว้รวมกัน. 
                ในคำเป็นต้นว่า ธมฺมกมฺเม ธมฺมกมฺมสญฺญี นี้ บัณฑิตพึงทราบใจความโดยนัยนี้ว่า สมมติกรรมใด สงฆ์ทำแล้วเพื่ออุปสัมบันนั้น, ถ้ากรรมนั้นเป็นกรรมชอบธรรม และภิกษุนั้นมีความสำคัญในกรรมนั้นว่ากรรมชอบธรรม ย่อมทำการโพนทะนาและบ่นว่า. ลำดับนั้น ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้โพนทะนาและบ่นว่านั้น. 
                ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนํ อุชฺฌาเปติ วา ขิยฺยติ วา มีเนื้อความว่า ภิกษุย่อมยังอนุปสัมบันอื่นให้โพนทะนา อุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติแล้ว หรือให้ดูหมิ่นก็ดี บ่นว่าเธอในสำนักแห่งอนุปสัมบันนั้นก็ดี. 
               คำว่า อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน อสมฺมตํ มีความว่า ผู้อันสงฆ์มิได้สมมติด้วยกรรมวาจา คือผู้อันสงฆ์ยกภาระให้ว่า นี้เป็นภาระของท่านอย่างเดียว หรือว่าผู้นำภาระนั้นไปด้วยตนเอง เพื่อต้องการความอยู่สบายของภิกษุทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า (ย่อมให้โพนทะนาอุปสัมบัน) ผู้กระทำกรรมเช่นนั้น ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ ๒-๓ รูป. 
              ก็การให้สมมติ ๑๓ อย่าง แก่อนุปสัมบันย่อมไม่ควร แม้โดยแท้, ถึงอย่างนั้น อนุปสัมบันผู้ได้รับสมมติในคราวเป็นอุปสัมบัน ภายหลังตั้งอยู่ในความเป็นอนุปสัมบัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาอนุปสัมบันนั้นว่า หรือผู้อันสงฆ์สมมติ 
             ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน สมฺมตํ วา อสมฺมตํ วา นี้. แต่สงฆ์หรือภิกษุที่สงฆ์สมมติ มอบภาระแก่สามเณรรูปใดผู้ฉลาดอย่างเดียวว่า เธอจะกระทำกรรมนี้ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงสามเณรเช่นนั้นว่า หรือผู้อันสงฆ์ไม่ได้สมมติ. 
                     บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้น ทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา แล. 
 อุชฌาปนสิกขาบทที่ ๓ จบ.