Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทุติยภาณวาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทุติยภาณวาร แสดงบทความทั้งหมด

24 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ เรื่องสหายภัททวัคคีย์

     [๓๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาแล้ว  รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เพราะทำในใจโดยแยบคาย  เพราะตั้งความเพียรชอบโดยแยบคาย  เราจึงได้บรรลุอนุตตรวิมุติ
 จึงได้ทำอนุตตรวิมุติให้แจ้ง  แม้พวกเธอก็ได้บรรลุอนุตตรวิมุติ  ทำอนุตตรวิมุติให้แจ้ง  เพราะทำในใจโดยแยบคาย  เพราะตั้งความเพียรชอบโดยแยบคาย.
    ครั้งนั้น  มารผู้มีใจบาปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ครั้นแล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
ท่านเป็นผู้อันบ่วงมาร  ทั้งที่เป็นของทิพย์
ทั้งที่เป็นของมนุษย์ผูกพันไว้แล้ว
  ท่านเป็นผู้อันเครื่องผูกแห่งมารรัดรึงแล้ว แน่ะสมณะ ท่านจักไม่พ้นเรา.
   พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า  เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงมาร ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกแห่งมาร  
   ดูกรมารท่านถูกเรากำจัดเสียแล้ว.
   ครั้งนั้น  มารผู้มีใจบาปรู้ว่า  พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้แล้วมีทุกข์ เสียใจ หายไปในที่นั้นเอง.

เรื่องสหายภัททวัคคีย์

   [๓๖] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระนครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลอุรุเวลา  และทรงแวะจากทาง  แล้วเสด็จเข้าไปยังไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง  ครั้นถึงไพรสณฑ์นั้นแล้ว  ประทับนั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง.
   ก็โดยสมัยนั้นแล  สหายภัททวัคคีย์จำนวน  ๓๐ คน  พร้อมด้วยปชาบดีบำเรอกันอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งนั้น.  สหายคนหนึ่งไม่มีประชาบดี. สหายทั้งหลายจึงได้นำหญิงแพศยามาเพื่อประโยชน์แก่เขา. 
   ต่อมาหญิงแพศยานั้น เมื่อพวกสหายนั้นเผลอตัวมัวบำเรอกันอยู่  ได้ลักเครื่องประดับหนีไป.  
   จึงพวกสหายนั้น เมื่อจะทำการช่วยเหลือสหาย  เที่ยวตามหาหญิงแพศยานั้น ไปถึงไพรสณฑ์แห่งนั้น  ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง ครั้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า  พระผู้มีพระภาคเห็นหญิงบ้างไหมเจ้าข้า?
   พระผู้มีพระภาคทรงย้อนถามว่า  ดูกรกุมารทั้งหลาย  พวกเธอจะต้องการอะไรด้วยหญิงเล่า?
   ภัท. เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าเป็นสหายภัททวัคคีย์จำนวน ๓๐ คน ในตำบลนี้  พร้อมด้วยปชาบดี บำเรอกันอยู่ในไพรสณฑ์แห่งนี้  สหายคนหนึ่งไม่มีปชาบดี  พวกข้าพเจ้าจึงได้นำหญิงแพศยามาเพื่อประโยชน์แก่เขา 
   ต่อมา หญิงแพศยานั้น  เมื่อพวกข้าพเจ้าเผลอตัวมัวบำเรอกันอยู่ ได้ลักเครื่องประดับหนีไป เพราะเหตุนั้น พวกข้าพระองค์ผู้เป็นสหายกัน เมื่อจะทำการช่วยเหลือสหาย จึงเที่ยวตามหาหญิงนั้นมาถึงไพรสณฑ์แห่งนี้ เจ้าข้า.
   ภ.  ดูกรกุมารทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ข้อที่พวกเธอแสวงหาหญิงหรือแสวงหาตนนั้น อย่างไหนเป็นความดีของพวกเธอเล่า?
   ภัท.  ข้อที่พวกข้าพระองค์แสวงหาตนนั่นแล  เป็นความดีของพวกข้าพเจ้า เจ้าข้า.
   ภ.  ดูกรกุมารทั้งหลาย  ถ้าอย่างนั้นพวกเธอนั่งลงเถิด  เราจักแสดงธรรมแก่พวกเธอ.
   พวกสหายภัททวัคคีย์เหล่านั้น  รับพระพุทธาณัติพจน์ว่า อย่างนั้น เจ้าข้า  ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้ว  นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.  
   พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม  ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย  และอานิสงส์ในความออกจากกาม.  
        เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า  พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน  มีจิตปลอดจากนิวรณ์  มีจิตเบิกบาน  มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง  คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. 
ดวงตาเห็นธรรม
   ปราศจากธุลี  ปราศจากมลทินว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา  ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั่นแล ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น. 
   พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัยถึง
ความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
              พระวาจานั้นแล 
ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
           เรื่องสหายภัททวัคคีย์ จบ
ทุติยภาณวาร จบ.

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

เรื่องสหายภัททวัคคีย์ อรรถกถาสหายกวัตถุ
    หลายบทว่า มยฺหํ โข ภิกฺขเว มีอรรถว่า มยา โข. 
    อีกอย่างหนึ่ง 
มีความว่า ความทำในใจโดยแยบคายของเรา. 
    อธิบายว่า เพราะความทำในใจโดยแยบคายของเราเป็นเหตุ. ครั้นเปลี่ยนวิภัติแล้วก็พึงกล่าวคำว่า มยา เป็นอนภิหิตกัตตา ในบทว่า อนุปฺปตฺตา นี้อีก (เพราะ มยฺหํ เป็นสามีสัมพันธไปแล้ว). 
    บทว่า ภทฺทวคฺคิยา มีความว่า ได้ยินว่า สหายเหล่านั้นเป็นราชกุมารผู้มีความเจริญด้วยรูปร่างและจิต เที่ยวไปด้วยคุมกันเป็นพวกเดียวกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ภัททวัคคีย์ โว อักษรในบทว่า เตนหิ โว ดังนี้ สักว่านิบาต. 
    สองบทว่า ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ มีความว่า โสดาปัตติมรรคได้เกิดขึ้นแก่บางพวก สกทาคามิมรรคได้เกิดขึ้นแก่บางพวก อนาคามิมรรคได้เกิดขึ้นแก่บางพวก. 
    จริงอยู่ มรรคเหล่านี้ทั้ง ๓ ท่านเรียกว่าธรรมจักษุ. 
    ได้ยินว่า สหายเหล่านั้นได้เป็นนักเลง ๓๐ คนในตุณฑิลชาดก.๑- ครั้งนั้น พวกเขาได้ฟังตุณฑิโลวาทแล้วรักษาศีล ๕. บุพพกรรมของสหายเหล่านั้นเท่านี้. 
๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๙๑๗. 
ชาดกอัฏฐกถาภาค ๕ หน้า ๗๘

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ทรงอนุญาตบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์

ทรงอนุญาตบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์

   [๓๔] ก็โดยสมัยนั้น  ภิกษุทั้งหลายพากุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาและผู้มุ่งอุปสมบท  มาจากทิศต่างๆ  จากชนบทต่างๆ  ด้วยตั้งใจว่า  พระผู้มีพระภาคจักให้พวกเขาบรรพชาอุปสมบท. 
   ในเพราะเหตุนั้น ทั้งพวกภิกษุ ทั้งกุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาและกุลบุตรผู้มุ่งอุปสมบท  ย่อมลำบาก.
   ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ มีพระทัยปริวิตกเกิดขึ้นอย่างนี้ว่าบัดนี้  ภิกษุทั้งหลายพากุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาและผู้มุ่งอุปสมบทมาจากทิศต่างๆ จากชนบทต่างๆ
ด้วยตั้งใจว่า  พระผู้มีพระภาคจักให้พวกเขาบรรพชา  อุปสมบท  ในเพราะเหตุนั้น  ทั้งพวกภิกษุ ทั้งกุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาและกุลบุตรผู้มุ่งอุปสมบท ย่อมลำบาก  ผิฉะนั้น  เราพึงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่นแหละจงให้กุลบุตรทั้งหลายบรรพชาอุปสมบท
   ในทิศนั้นๆ  ในชนบทนั้นๆ  เถิด. ครั้นเวลาเย็น เสด็จออกจากที่เร้น  รับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์
   ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น  
   ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น  ทรงทำธรรมีกถาแล้ว  รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ณ ที่นี้  ได้มีใจปริวิตกเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า 
   บัดนี้ ภิกษุทั้งหลายพากุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาและผู้มุ่งอุปสมบท มาจากทิศต่างๆ  จากชนบทต่างๆ  ด้วยตั้งใจว่า  พระผู้มีพระภาคจักให้พวกเขาบรรพชอุปสมบท  
   ในเพราะเหตุนั้น ทั้งพวกภิกษุ  ทั้งกุลบุตรผู้มุ่งบรรพชา และกุลบุตรผู้มุ่งอุปสมบท  ย่อมลำบาก  ผิฉะนั้น  เราพึงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอนั่นแหละจงให้กุลบุตรทั้งหลายบรรพชาอุปสมบทในทิศนั้นๆ  ในชนบทนั้นๆ  เถิด. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   บัดนี้ เราอนุญาต พวกเธอนั่นแหละจงให้กุลบุตรทั้งหลายบรรพชาอุปสมบท ในทิศนั้นๆ  ในชนบทนั้นๆ  เถิด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แลพวกเธอพึงให้กุลบุตรบรรพชาอุปสมบทอย่างนี้:-
   ชั้นแรก พวกเธอพึงให้กุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาและผู้มุ่งอุปสมบท ปลงผมและหนวด แล้วให้ครองผ้ากาสายะ  ให้ทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลายแล้ว  ให้นั่งกระหย่งประคองอัญชลีสั่งว่า  เธอจงว่าอย่างนี้ แล้วให้ว่าสรณคมน์ ดังนี้:-
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
แม้วาระที่ ๒  ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
แม้วาระที่ ๒ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง
แม้วาระที่ ๒ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
แม้วาระที่๓  ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
แม้วาระที่ ๓  ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง
แม้วาระที่๓  ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตบรรพชาอุปสมบท ด้วยไตรสรณคมน์นี้.
กถาว่าด้วยอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ จบ.

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

ทรงอนุญาตบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์
               อรรถกถาบรรพชาวินิจฉัย 
   สองบทว่า นานาทิสา นานาชนปทา มีความว่า จากทิศต่างๆ และจากชนบทต่างๆ. ๑-
๑- คำว่า ชนบท หมายความว่า
ประเทศหรือราชอาณาจักร. 
   คำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ตุมฺเหวทานิ ตาสุ ตาสุ ทิสาสุ เตสุ เตสุ ชนปเทสุ ปพฺพาเชถาติ เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า 
   เมื่อจะให้กุลบุตรผู้เพ่งบรรพชาบวช พึงเว้นบุคคลที่ทรงห้ามไว้ เริ่มต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย คนที่ถูกอาพาธ ๕ อย่างเบียดเบียนแล้ว อันท่านทั้งหลายไม่ควรให้บวช 
ดังนี้ จนถึงอย่างนี้ว่า คนตาบอดหรือใบ้หรือหนวก อันท่านทั้งหลายไม่ควรให้บวชดังนี้ ข้างหน้าพึงให้บุคคลเว้นจากบรรพชาโทษบวช. บุคคลแม้นั้น อันมารดาบิดาอนุญาตแล้วเท่านั้น. 
   ลักษณะแห่งการอนุญาตซึ่งบุคคลผู้สมควรนั้นข้าพเจ้าจักพรรณนาในสูตรนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต อันท่านทั้งหลายไม่ควรให้บวช ภิกษุใดพึงให้บวช ภิกษุนั้นต้องทุกกฎ. 
   ก็แลเมื่อจะให้บวชกุลบุตรผู้เว้นจากบรรพชาโทษ ซึ่งมารดาบิดาอนุญาตแล้วอย่างนั้น ถ้าว่ากุลบุตรนั้น ยังไม่ได้ปลงผม. และภิกษุแม้เหล่าอื่นมีอยู่ในสีมา
เดียวกัน พึงบอกภัณฑุกรรม๒- เพื่อประโยชน์แก่การปลงผม. อาการบอกภัณฑุกรรมนั้น ข้าพเจ้าจักพรรณนาในสูตรนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุบอกเล่ากะสงฆ์ เพื่อทำ ภัณฑุกรรม.
๒- พิธีโกนผม. 
   ถ้ามีโอกาส พึงให้บวชเอง. ถ้าต้องขวนขวายด้วยกิจการมีอุทเทสและปริปุจฉาเป็นต้น ไม่ได้โอกาส พึงสั่งภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งว่า คุณจงให้กุลบุตรนี้บวช. ถ้าภิกษุหนุ่มซึ่งอุปัชฌาย์ไม่ได้สั่งเลย แต่เธอให้บวชแทนอุปัชฌาย์ การทำอย่างนั้นสมควร. ถ้าภิกษุหนุ่มไม่มี
 อุปัชฌาย์พึงบอกสามเณรก็ได้ว่า เธอจงนำผู้นี้ไปยังขัณฑสีมาให้ปลงผม ให้นุ่งห่มผ้ากาสายะเสร็จแล้วจึงมา. 
   ส่วนสรณะอุปัชฌาย์พึงให้เอง. กุลบุตรนั้นเป็นอันภิกษุนั่นเองให้บวชแล้วด้วยประการฉะนี้. 
   จริงอยู่ คนอื่นจากภิกษุไม่ได้เพื่อให้บุรุษบวช. คนอื่นจากภิกษุณีไม่ได้เพื่อให้มาตุคามบวชเหมือนกัน. ส่วนสามเณรหรือสามเณรี ได้เพื่อจะให้ผ้ากาสายะตามคำสั่ง. การปลงผมผู้ใดผู้หนึ่งทำแล้ว ก็เป็นอันทำแล้วด้วยดี. 
   ก็ถ้าว่า กุลบุตรเป็นผู้มีรูปสมควร มีกุศลกรรมเป็นเหตุ มีชื่อเสียง มียศ อุปัชฌาย์แม้ทำโอกาสแล้ว ก็ควรให้บวชเองแท้ ทั้งไม่ควรปล่อยไปว่า จงถือเอาดินเหนียวกำมือหนึ่ง อาบแล้วชุบผมแล้ว จงมา. เพราะว่า
อุตสาหะของผู้ที่ใคร่จะบวช เป็นของรุนแรงก่อน แต่ภายหลังได้เห็นผ้ากาสายะและมีดโกนผมเข้า จะตกใจ จะหนีไปเสียจากที่นั่นก็ได้ เพราะเหตุนั้น อุปัชฌาย์เองนั่นแลควรนำไปยังท่าสำหรับอาบ.
   ถ้ากุลบุตรนั้นไม่เป็นเด็กนัก พึงบอกว่าจงอาบเสีย ส่วนผมของเขา พึงถือเอาดินเหนียวสระให้เองทีเดียว.
   ฝ่ายกุลบุตรที่ยังเป็นเด็กย่อม อุปัชฌาย์พึงลงน้ำ ขัดสีด้วยโคมัยและดินเหนียว อาบให้เอง๓- 
ถ้าว่า เขาเป็นหิดด้านหรือฝีอยู่บ้าง๔- มารดาไม่เกลียดบุตรฉันใด อุปัชฌาย์ไม่พึงเกลียดฉันนั้นนั่นแหละ พึงให้อาบขัดสีตั้งแต่มือและเท้าจนถึงศีรษะเป็นอันดี. 
๓- เป็นลัทธินิยมของคนบางพวก. 
๔- นี่เป็นโรคที่ต้องห้าม นับเป็นอุปสมบทโทษ
   ถามว่า เพราะเหตุไร? 
  ตอบว่า เพราะว่า ด้วยอุปการะเพียงเท่านี้ กุลบุตรทั้งหลายจะเป็นผู้มีความรักแรงกล้ามีความเคารพมากในอาจารย์และอุปัชฌาย์และในพระศาสนา  จะเป็นผู้ไม่
หวนกลับเป็นธรรมดา จะบรรเทาความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นเสีย อยู่ไปจนเป็นพระเถระ จะเป็นผู้กตัญญูกตเวที. 
   แลในเวลาที่ให้อาบน้ำหรือในเวลาปลงผมและหนวด ด้วยอาการอย่างนั้น อุปัชฌาย์ไม่ควรพูดกะเขาว่า เธอเป็นคนมีชื่อเสียง มียศ บัดนี้ พวกฉันได้อาศัยเธอแล้ว จักไม่ลำบากด้วยปัจจัย. ถ้อยคำที่ไม่ใช่คำชักนำอย่างอื่น ก็ไม่ควรพูดเหมือนกัน. 
   ที่ถูกควรพูดแก่เขาว่า ผู้มีอายุ เธอจงใคร่ครวญดูให้ดี จงคุมสติ แล้วพึงสอนตจปัญจกกัมมัฏฐาน๕- ให้ และเมื่อบอก พึงชี้แจงให้ชัดเจนถึงข้อที่ส่วนทั้ง ๕ นั้นเป็นของไม่สะอาด น่าเกลียด ปฏิกูล ด้วยอำนาจสี สัณฐาน กลิ่น ที่อาศัยและโอกาส หรือข้อที่ส่วนทั้ง ๕ นั้นไม่ใช่ผู้เป็นอยู่ ไม่ใช่สัตว์. 
๕- ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง.
   ก็ถ้าในกาลก่อน เขาเป็นผู้เคยพิจารณาสังขาร เจริญภาวนามา เป็นเหมือนฝีที่แก่เต็มที่คอยรอการบ่งด้วยหนาม และเป็นเหมือนดอกปทุมที่แก่ คอยรอพระอาทิตย์ขึ้น 
   ทีนั้นเมื่อการพิจารณากัมมัฏฐาน สักว่าเขาปรารภแล้ว ญาณที่จะบดกิเลสเพียงดังภูเขาให้แหลกไปนั่นแล ย่อมเป็นไปราวกะอาวุธของพระอินทร์แล่งภูเขาให้แหลกละเอียดไปฉะนั้น. เขาย่อมบรรลุพระอรหัตในเวลาปลงผมเสร็จทีเดียว. 
   จริงอยู่ แต่แรกทีเดียว กุลบุตรเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้สำเร็จพระอรหัต ในขณะปลงผมเสร็จ กุลบุตรเหล่านั้นทั้งหมดได้การฟังเห็นปานนี้ อาศัยนัยซึ่งอาจารย์ผู้เป็นกัลยาณมิตรให้ จึงได้สำเร็จ ไม่ได้อาศัยแล้วหาสำเร็จไม่ เพราะเหตุนั้น อุปัชฌาย์จึงควรกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นแก่เขา.
   อนึ่ง เมื่อปลงผมเสร็จแล้ว ควรใช้ขมิ้นผงหรือกระแจะทาศีรษะและร่างกายกำจัดกลิ่นคฤหัสถ์เสียแล้ว พึงให้รับผ้ากาสายะ ๓ ครั้งหรือ ๒ ครั้งหรือครั้งเดียวก็ได้. 
   แม้ถ้าอาจารย์หรืออุปัชฌาย์ จะไม่มอบให้ในมือของเขา จะนุ่งห่มให้เองทีเดียว ข้อนั้นก็สมควร แม้ถ้าว่าจะสั่งคนอื่นเป็นภิกษุหนุ่มก็ตาม สามเณรก็ตาม อุบาสกก็ตาม ว่าผู้มีอายุ ท่านจงถือเอาผ้ากาสายะ
เหล่านี้นุ่งห่มให้ผู้นี้ หรือจะสั่งกุลบุตรนั้นแหละว่า เธอจงถือเอาผ้ากาสายะเหล่านี้ไปนุ่งห่ม ควรทุกอย่าง. 
   จริงอยู่ ผ้ากาสายะนั้นทั้งหมดเป็นอันภิกษุนั้นเทียวให้แล้ว. แต่เขานุ่งหรือห่มผ้านุ่งหรือผ้าห่มอันใดโดยไม่ได้สั่ง พึงเปลื้องผ้านุ่งหรือผ้าห่มนั้นเสียแล้วให้ใหม่. 
เพราะผ้ากาสายะที่ภิกษุให้ด้วยมือของตนหรือด้วยสั่งเท่านั้น จึงควร ที่ภิกษุไม่ได้ให้ ไม่ควร แม้ว่า ผ้ากาสายะนั้นจะเป็นของเขาเอง ก็ต้องเป็นเช่นนั้น. และจะต้องกล่าวอะไรในผ้ากาสายะที่มีอุปัชฌาย์เป็นมูลเล่า.
 นี้เป็นวินิจฉัยในข้อว่า พึงให้ปลงผมและหนวดก่อนแล้ว ให้นุ่งห่มผ้ากาสายะ ให้ทำอุตตราสงค์เฉวียงบ่า นี้. 
   ข้อว่า พึงให้ไหว้เท้าภิกษุทั้งหลายเป็นต้น มีความว่า 
   ภิกษุเหล่าใดประชุมกันในที่นั้น พึงให้ไหว้เท้าภิกษุเหล่านั้นแล้ว ลำดับนั้นพึงให้นั่งกระโหย่งประคองอัญชลีแล้วบอกว่า เอวํ วเทหิ คือพึงสั่งว่า ยมหํ วทามิ ตํ วเทหิ เพื่อรับสรณะ. 
   ลำดับนั้น อุปัชฌาย์หรืออาจารย์พึงให้สรณะแก่เขา โดยนัยเป็นต้นว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ดังนี้. 
พึงให้ตามลำดับที่กล่าวแล้วอย่างไรเทียว ไม่พึงให้สับลำดับ. ถ้าสับลำดับเสีย บทหนึ่งก็ดี อักษรหนึ่งก็ดี หรือให้ พุทฺธํ สรณํ เท่านั้น ถ้วน ๓ ครั้งแล้ว ภายหลังจึงให้สรณะนอกนี้อย่างละ ๓ ครั้ง สรณะไม่จัดว่าได้ให้. 
   ก็แลอุปสัมปทาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามสรณคมนูปสัมปทานี้เสียแล้ว ทรงอนุญาตไว้ บริสุทธิ์ฝ่ายเดียวก็ควร. ส่วนสามเณรบรรพชาบริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงควร บริสุทธิ์ฝ่ายเดียวไม่ควร เพราะเหตุนั้น
 ในอุปสัมปทา ถ้าอาจารย์ทำกรรมเว้นญัตติโทษ และกรรมวาจาโทษแล้ว กรรมเป็นอันทำถูกต้อง. 
   ส่วนในบรรพชา ทั้งอาจารย์ทั้งอันเตวาสิก ต้องว่าสรณะ ๓ เหล่านี้ ไม่ให้เสียความพร้อมมูลแห่งฐานกรณ์ของพยัญชนะทั้งหลาย มี พุ อักษรและ ธ อักษรเป็นต้น. 
   ถ้าอาจารย์อาจว่าได้ แต่อันเตวาสิกไม่อาจ หรืออันเตวาสิกอาจ แต่อาจารย์ไม่อาจ. หรือทั้ง ๒ ฝ่ายไม่อาจ ไม่ควร. แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายอาจ ข้อนั้นจึงควร. 
   ก็แลเมื่อให้สรณะเหล่านี้ พึงให้ว่าบทที่มีนิคหิตเป็นที่สุด ให้ติดเนื่องเป็นอันเดียวกันอย่างนี้ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ หรือพึงให้ว่าบทที่มี ม อักษรเป็นที่สุด ให้ขาดระยะกันอย่างนี้ว่า พุทฺธมฺ สรณมฺ คจฺฉามิ๖-
   ในอันธกัฏฐกถาท่านแก้ว่า อันเตวาสิกพึงประกาศชื่อรับสรณะอย่างนี้ว่า อหํ ภนฺเต พุทฺธรกฺขิโต ยาวชีวํ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ดังนี้. 
   คำนั้นไม่มีแม้ในอรรถกถาเดียว ทั้งในพระบาลีก็ไม่กล่าวไว้ เป็นแต่เพียงความชอบใจของพระอาจารย์เหล่านั้น เพราะฉะนั้น ไม่ควรถือเอา. แท้จริง เมื่อไม่ว่าอย่างนั้น สรณะจะกำเริบก็หามิได้. 
๖- เป็นสำเนียงว่าอย่างสันสกฤต 
               บัดนี้เราไม่ใช้แล้ว. 
   ข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว อิเมหิ ตีหิ สรณคมเนหิ ปพฺพชฺชํ อุปสมฺปทํ มีความว่า เราอนุญาตบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์เหล่านี้ ซึ่งว่าหมดจดทั้ง ๒ ฝ่าย
ครบ ๓ ครั้ง อย่างนี้ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นต้น.
   ในบรรพชาและอุปสมบททั้ง ๒ นั้น อุปสมบท พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามเสียข้างหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นบัดนี้ อุปสมบทนั้น จึงไม่ขึ้นด้วยมาตรว่าสรณะเท่านั้น. 
   ส่วนบรรพชาทรงอนุญาตเฉพาะไว้ข้างหน้าว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสามเณรบรรพชาด้วยไตรสรณคมน์เหล่านี้ เพราะฉะนั้นถึงในบัดนี้ บรรพชานั้นย่อมขึ้นด้วยมาตรว่าสรณะเท่านั้น. 
   จริงอยู่ กุลบุตรเป็นอันตั้งอยู่ในภูมิแห่งสามเณรด้วยอาการเพียงเท่านี้. และถ้าสามเณรนั้นเป็นผู้มีปัญญา มีชาติแห่งคนฉลาด ลำดับนั้น พึงแสดงสิกขาบททั้งหลายแก่เธอในที่นั้นทีเดียว. 
แสดงอย่างไร? 
   แสดงเหมือนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว. 
   จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐ แก่สามเณรทั้งหลาย และอนุญาตเพื่อให้สามเณรศึกษาในสิกขาบท ๑๐ เหล่านั้น คือ :- 
เว้นจากทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ๑.
เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้ ๑.
เว้นจากกรรมมิใช่พรหมจรรย์ ๑.
เว้นจากพูดเท็จ ๑.
   เว้นจากดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑. 
เว้นจากบริโภคอาหารผิดเวลา ๑.
เว้นจากฟ้อนขับประโคมและดูการเล่น ๑.
   เว้นจากการทัดทาระเบียบดอกไม้ของหอมและเครื่องทาอันเป็นฐานแต่งตัว ๑. 
เว้นจากนอนบนที่นอนสูงที่นอนใหญ่ ๑.
เว้นจากรับทองและเงิน ๑.-
   ส่วนในอันธกัฏฐกถา พระอรรถกถาจารย์กล่าวแม้ซึ่งการให้สิกขาบทเหมือนการให้สรณะอย่างนี้ว่า อหํ ภนฺเต อิตฺถนฺนาโม ยาวชีวํ ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ดังนี้. แม้วิธีนั้นก็ไม่มีในบาลี ทั้งไม่มีในอรรถกถาทั้งหลาย เพราะฉะนั้นควรแสดงแต่พอสมควรแก่บาลี. 
   จริงอยู่ บรรพชาสำเร็จด้วยสรณคมน์เท่านั้น. 
   ส่วนสิกขาบททั้งหลายอันสามเณรควรทราบเพื่อทำสิกขาให้บริบูรณ์อย่างเดียว เพราะฉะนั้น เมื่อสามเณรไม่สามารถจะเรียนสิกขาบทเหล่านั้นตามนัยซึ่งมาในพระบาลีได้ จะบอกแต่เพียงใจความด้วยภาษาอย่างใด
อย่างหนึ่ง ก็ควร. และสามเณรยังไม่รู้สิกขาบทที่ตนควรศึกษา ยังไม่ฉลาดในการทรงผ้าสังฆาฏิ๗- บาตรและจีวร การยืนและการนั่งเป็นต้น และในวิธีมีดื่มและฉันเป็นอาทิเพียงใด ยังไม่ควรปล่อยเธอไปสู่หอฉันหรือที่แจกสลาก หรือสถานเช่นนั้นอื่นเพียงนั้น. ควรให้เธอเที่ยวอยู่ในสำนักเท่านั้น.
 ควรสงวนเธอเหมือนเด็กอ่อน. ควรบอกสิ่งที่ควรและไม่ควรทุกอย่างแก่เธอ ควรแนะนำเธอในอภิสมาจาริกวัตรมีนุ่งห่มเป็นต้น. 
   แม้สามเณรนั้นเล่าก็ควรเว้นให้ไกลซึ่งนาสนังคะ ๑๐ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ข้างหน้าอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นาสนะสามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐- ดังนี้ ทำอภิสมาจาริกวัตรให้บริบูรณ์ พึงศึกษาให้ดีในศีล ๑๐ อย่างฉะนี้แล. 
- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๒๐. 
๗- สามเณรก็มีสังฆาฏิเหมือนกัน. 
- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๒๔.
อรรถกถาบรรพชาวินิจฉัย จบ.

23 ตุลาคม 2567

อรรถกถา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อรรถกถายสวัตถุ เรื่องยสกุลบุตร

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

เรื่องยสกุลบุตร อรรถกถายสวัตถุ
               บทว่า ปุพฺพานุปุพฺพกานํ มีความว่า เก่าแก่เป็นลำดับด้วยอำนาจความสืบสายกัน.
               ข้อว่า เตน โข ปน สมเยนเอกสฏฺฐี โลเก อรหนฺโต โหนฺติ มีความว่า ภายในพรรษาเท่านั้น มีมนุษย์เป็นพระอรหันต์ ๖๑ องค์ คือพวกก่อน ๖ องค์และพวกนี้อีก ๕๕ องค์. 
               บรรดามนุษย์เหล่านั้น ยสกุลบุตรเป็นต้นมีบุพประโยคดังต่อไปนี้ :-    ดังได้ยินมา ในอดีตกาล สหาย ๕๕ คนจะทำบุญร่วมพวกกัน จึงเที่ยวช่วยกันจัดการศพคนอนาถา.
               วันหนึ่ง พวกเขาพบหญิงมีครรภ์ทำกาลกิริยา คิดว่าจักเผา จึงนำไปยังป่าช้า. ในพวกเขา เว้นไว้ที่ป่าช้า ๕ คน สั่งว่าจงช่วยกันเผา ส่วนที่เหลือพากันเข้าบ้าน. พ่อยสผู้ทรามวัย แทงและพลิกศพนั้นให้ไหม้อยู่ ก็ได้อสุภสัญญา. 
               เขาได้แสดงแก่อีก ๔ คนด้วยว่า ผู้เจริญจงเห็นของไม่สะอาด น่าเกลียดนี่. อีก ๔ คนนั้นก็ได้อสุภสัญญาในศพนั้นบ้าง. เขาทั้ง ๕ พากันไปบ้านแล้วบอกแก่สหายที่เหลือ. 
               ฝ่ายพ่อยสผู้ทรามวัยไปบ้านแล้วได้บอกแก่มารดาบิดาและภรรยา. ชนเหล่านั้นทั้งหมดได้เจริญอสุภสัญญาบ้าง. 
               บุพประโยคของชนเหล่านี้เท่านี้. เพราะเหตุนั้นความสำคัญในเหล่าชนฟ้อนว่า เป็นดังป่าช้านั่นแล จึงได้เกิดขึ้นแก่พระยศผู้มีอายุ. และด้วยอุปนิสัยสมบัตินั้น ความบรรลุธรรมพิเศษได้เกิดแก่ทุกคนแล.
          ข้อว่า อถโข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ที่กรุงพาราณสีจนถึงเพ็ญเดือนกัตติกาหลัง วันหนึ่งตรัสเรียกภิกษุ ๖๐ รูป ซึ่งเป็นพระขีณาสพเหล่านั้น. 
บ่วง คือความโลภในอารมณ์ทั้งหลายที่เป็นทิพย์ จัดเป็นของทิพย์.  บ่วง คือความโลภในอารมณ์ทั้งหลายซึ่งเป็นของมนุษย์ จัดเป็นของมนุษย์. 
               หลายบทว่า มา เอเกน เทฺว มีความว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ไปรวมกัน ๒ รูปโดยทางเดียวกัน. 
               บทว่า อสฺสวนตา มีความว่า เพราะเหตุที่ไม่ได้ฟัง. 
               บทว่า ปริยายนฺติ มีความว่า เมื่อไม่ได้บรรลุธรรมพิเศษที่ยังไม่ได้บรรลุ ชื่อว่าย่อมเสื่อมจากความบรรลุธรรมพิเศษ. 
      บทว่า อนฺตก ได้แก่ ดูก่อนมารผู้เลวทราม คือเป็นสัตว์ต่ำช้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาบ่วง คือราคะ ตรัสว่า เที่ยวไปในอากาศ. จริงอยู่ พระองค์ทรงทราบบ่วง คือ ราคะนั้น จึงตรัสว่า เที่ยวไปในอากาศ.
อรรถกถายสวัตถุ จบ.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องยสกุลบุตร บิดาของยสกุลบุตรตามหา ยสกุลบุตรสำเร็จพระอรหัตต์

เรื่องยสกุลบุตร

   [๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ในพระนครพาราณสี มีกุลบุตร ชื่อ ยส เป็นบุตรเศรษฐีสุขุมาลชาติ. 
   ยสกุลบุตรนั้นมีปราสาท ๓ หลัง คือ หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาว หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูร้อน หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน. ยสกุลบุตรนั้นรับบำเรอด้วยพวกดนตรี ไม่มีบุรุษเจือปน ในปราสาทฤดูฝนตลอด ๔ เดือน ไม่ลงมาเบื้องล่างปราสาท. 
ค่ำวันหนึ่ง 
   เมื่อยสกุลบุตรอิ่มเอิบพร้อมพรั่งบำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ ได้นอนหลับก่อน ส่วนพวกบริวารชนนอนหลับภายหลัง. 
ประทีปน้ำมันตามสว่างอยู่ตลอดคืน. 
คืนนั้นยสกุลบุตรตื่นขึ้นก่อน 
   ได้เห็นบริวารชนของตนกำลังนอนหลับ บางนางมีพิณตกอยู่ที่รักแร้ บางนางมีตะโพนวางอยู่ข้างคอ บางนางมีเปิงมางตกอยู่ที่อก บางนางสยายผม บางนางมีน้ำลายไหล บางนางบ่นละเมอต่างๆ ปรากฏแก่ยสกุลบุตรดุจป่าช้าผีดิบ. 
   ครั้นแล้วความเห็นเป็นโทษได้ปรากฏแก่ยสกุลบุตร จิตตั้งอยู่ ในความเบื่อหน่าย จึงยสกุลบุตรเปล่งอุทาน
ว่า ท่านผู้เจริญ  ที่นี่วุ่นวายหนอ  ที่นี่ขัดข้องหนอ แล้วสวมรองเท้าทองเดินตรงไปยังประตูนิเวศน์ พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ด้วยหวังใจว่า ใครๆ อย่าได้ทำอันตรายแก่การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตของยสกุลบุตรเลย. 
   ลำดับนั้น ยสกุลบุตรเดินตรงไปทางประตูพระนคร.  
   พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ด้วยหวังใจว่า ใครๆ  อย่าได้ทำอันตรายแก่การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตของยสกุลบุตร. ทีนั้น  ยสกุลบุตรได้เดินตรงไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
   [๒๖] ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคตื่นบรรทมแล้วเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้ง ได้ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้. 
   ขณะนั้น  ยสกุลบุตรเปล่งอุทานในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคว่า  ท่านผู้เจริญ  ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ. 
ทันทีนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะยสกุลบุตรว่า ดูกรยส ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง  มาเถิดยส  นั่งลง  เราจักแสดงธรรมแก่เธอ.  ที่นั้น ยสกุลบุตรร่าเริงบันเทิงใจว่า
   ได้ยินว่า  ที่นี่ไม่วุ่นวาย  ที่นี่ไม่ขัดข้อง  ดังนี้ แล้วถอดรองเท้าทองเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง   เมื่อยสกุลบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว
   พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา  โทษความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม. 
   เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า ยสกุลบุตรมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว 
จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย  นิโรธ  มรรค. ดวงตาเห็นธรรม  ปราศจากธุลี  ปราศจากมลทิน ว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
   มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา  ได้เกิดแก่ยสกุลบุตร ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น.

บิดาของยสกุลบุตรตามหา

   [๒๗] ครั้นรุ่งเช้า มารดาของยสกุลบุตรขึ้นไปยังปราสาท  ไม่เห็นยสกุลบุตร จึงเข้าไปหาเศรษฐีผู้คหบดี แล้วได้ถามว่า ท่านคหบดีเจ้าข้า พ่อยสกุลบุตรของท่านหายไปไหน?
   ฝ่ายเศรษฐีผู้คหบดีส่งทูตขี่ม้าไปตามหาทั้ง ๔ ทิศแล้ว  ส่วนตัวเองไปหาทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
ได้พบรองเท้าทองวางอยู่  
ครั้นแล้วจึงตามไปสู่ที่นั้น. 
พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นเศรษฐีผู้คหบดีมาแต่ไกล.
   ครั้นแล้วทรงพระดำริว่า  ไฉนหนอ  เราพึงบันดาลอิทธาภิสังขารให้เศรษฐีคหบดีนั่งอยู่ ณ ที่นี้  ไม่เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้  แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขารดังพระพุทธดำริ. 
   ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามว่า พระผู้มีพระภาคทรงเห็นยสกุลบุตรบ้างไหม พระพุทธเจ้าข้า?
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรคหบดี ถ้าอย่างนั้น เชิญนั่ง  บางทีท่านนั่งอยู่ ณ ที่นี้ จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้.
   ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีร่าเริงบันเทิงใจว่า  ได้ยินว่า  เรานั่งอยู่ ณ ที่นี้แหละ จักเห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้  จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค  แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. 
   เมื่อเศรษฐีผู้คหบดีนั่งเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม.  
   เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  เศรษฐีผู้คหบดี  มีจิตสงบ มีจิตอ่อน  มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
ดวงตาเห็นธรรม
   ปราศจากธุลี  ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่เศรษฐีผู้คหบดี ณ ที่นั่งนั้นแล  ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน  ควรได้รับน้ำย้อม ฉะนั้น.
   ครั้นเศรษฐีผู้คหบดี  ได้เห็นธรรมแล้ว  ได้บรรลุธรรมแล้ว  ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย 
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า  
   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก  ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า
   พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ  เปิดของที่ปิด  บอกทางแก่คนหลงทาง  หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า  คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้
   ข้าพระพุทธเจ้านี้  ขอถึงพระผู้มีพระภาค  พระธรรม  และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ  ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
   ก็เศรษฐีผู้คหบดีนั้น  ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้างพระรัตนตรัย เป็นคนแรกในโลก.

ยสกุลบุตรสำเร็จพระอรหันต์

   [๒๘] คราวเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตร จิตของยสกุลบุตรผู้พิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว  ได้รู้แจ้งแล้ว ก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ถือมั่น.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เมื่อเราแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตรอยู่  จิตของยสกุลบุตร 
ผู้พิจารณาเห็นภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว  ได้รู้แจ้งแล้ว  พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์
   ครั้งก่อน  ถ้ากระไร เราพึงคลายอิทธาภิสังขารนั้นได้แล้ว.  พระองค์ก็ได้ทรงคลายอิทธาภิสังขารนั้น. 
   เศรษฐีผู้คหบดีได้เห็นยสกุลบุตรนั่งอยู่  ครั้นแล้วได้พูดกะยสกุลบุตรว่า พ่อยส มารดาของเจ้าโศกเศร้าคร่ำครวญถึง  เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด. 
   ครั้งนั้น ยสกุลบุตรได้ชำเลืองดูพระผู้มีพระภาคๆ  ได้ตรัสแก่เศรษฐีผู้คหบดีว่า  
   ดูกรคหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
   ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะเพียงเสขภูมิเหมือนท่าน  เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว  ได้รู้แจ้งแล้ว  จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ถือมั่น  
   ดูกรคหบดี ยสกุลบุตรควรหรือเพื่อจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม  เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน?.
เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า  ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสรับรองว่า   ดูกรคหบดี  ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะเพียงเสขภูมิเหมือนท่าน 
เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น 
   ดูกรคหบดี ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน.
   เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า การที่จิตของยสกุลบุตรพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นนั้น เป็นลาภของยสกุลบุตร
ยสกุลบุตรได้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคมียสกุลบุตรเป็นปัจฉาสมณะ  จงทรงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเสวยในวันนี้เถิด  พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ. 
   ครั้นเศรษฐีผู้คหบดีทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาคแล้ว  ได้ลุกจากที่นั่ง  ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไป.
   กาลเมื่อเศรษฐีผู้คหบดีกลับไปแล้วไม่นาน  ยสกุลบุตรได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่าพระพุทธเจ้าข้า  ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา  พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด  แล้วได้ตรัสต่อไปว่า  ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด.
   พระวาจานั้นแล  ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น
   สมัยนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๗ องค์.
ยสบรรพชา  จบ

มารดาและภรรยาเก่าของพระยสได้ธรรมจักษุ

             [๒๙] ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า  พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว  ถือบาตรจีวรมีท่านพระยสเป็นปัจฉาสมณะ  เสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่นิเวศน์ของเศรษฐีผู้คหบดี  
   ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดถวาย.  
   ลำดับนั้น  มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.  
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุปุพพิกถาแก่นางทั้งสอง คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ  ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย   และอานิสงส์ในความออกจากกาม.   
   เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นางทั้งสองมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
ดวงตาเห็นธรรม
   ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา  ได้เกิดแก่นางทั้งสอง ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น.
   มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว  ข้ามความสงสัยได้แล้ว  ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า 
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา  ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก  ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก  พระพุทธเจ้าข้า  
   พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด  บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ 
   หม่อมฉันทั้งสองนี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำหม่อมฉันทั้งสองว่า เป็นอุบาสิกาผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
   ก็มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส  ได้เป็นอุบาสิกา  กล่าวอ้างพระรัตนตรัยเป็นชุดแรกในโลก.
   ครั้งนั้น มารดาบิดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสได้อังคาสพระผู้มีพระภาคและท่านพระยส  ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตนๆ  จนให้ห้ามภัต ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว  จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.  
   ขณะนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้มารดา บิดา  และภรรยาเก่าของท่านพระยส  เห็นแจ้ง  สมาทาน  อาจหาญ  ร่าเริง  ด้วยธรรมีกถาแล้วเสด็จลุกจากอาสนะกลับไป.

สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของพระยสออกบรรพชา

   [๓๐] สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของท่านพระยส  คือ  วิมล ๑  สุพาหุ ๑  ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ  มา ในพระนครพาราณสี  
   ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตรปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้ว. 
   ครั้นทราบดังนั้นแล้ว ได้ดำริว่า  ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตร  ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้ 
   จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง ๔ นั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  
   ได้กราบทูลว่า  พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์ ๔ คนนี้ ชื่อ วิมล ๑  สุพาหุ ๑  ปุณณชิ ๑  ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆมา ในพระนครพาราณสี  ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้.
   พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา  คือ  ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา  โทษ  ความต่ำทราม  ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย   และอานิสงส์ในความออกจากกาม. 
   เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  พวกเขามีจิตสงบ  มีจิตอ่อน  มีจิตปลอดจากนิวรณ์  มีจิตเบิกบาน  มีจิตผ่องใสแล้ว  จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. 
ดวงตาเห็นธรรม
   ปราศจากธุลี  ปราศจากมลทิน ว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา  ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี  ฉะนั้น.
   พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว  ได้บรรลุธรรมแล้ว  ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว  มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว  ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัยถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา 
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า  ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว  พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
   ต่อมา  พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา.
   เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา  จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
สมัยนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๑ องค์.
สหายคฤหัสถ์ ๔ คน  ของพระยสออกบรรพชา จบ.

สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คนของพระยสออกบรรพชา

   [๓๑] สหายคฤหัสถ์ของท่านพระยส  เป็นชาวชนบทจำนวน ๕๐ คน  เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ  กันมา ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร  ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ  ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว.
   ครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดำริว่า  ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตรปลงผมและหนวด  นุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน  ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์จำนวน ๕๐ คนนั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์เหล่านี้เป็นชาวชนบท  เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ  กันมา  ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้.
   พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม. 
   เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  พวกเขามีจิตสงบ  มีจิตอ่อน  มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน  มีจิตผ่องใสแล้ว 
   จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา  ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.  ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน
ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดาได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล  ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน  ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดีฉะนั้น.
   พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว  มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว  ข้ามความสงสัยได้แล้ว  ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย  
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา  ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า  พระพุทธเจ้าข้าขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค.  
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่าพวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด  ดังนี้ 
   แล้วได้ตรัสต่อไปว่า  ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว 
พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
   ต่อมาพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้น ด้วยธรรมีกถา.
   เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา จิตของภิกษุเหล่านั้นพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
สมัยนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์.
สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน  ของพระยสออกบรรพชา จบ.

เรื่องพ้นจากบ่วง

   [๓๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง  ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์ 
พวกเธอจงเที่ยวจาริก  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก  เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป 
จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลาง งามในที่สุด  
   จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลาย จำพวกที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย  มีอยู่  เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม  จักมี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  เพื่อแสดงธรรม.
เรื่องพ้นจากบ่วง จบ.

เรื่องมาร

   [๓๓] ครั้งนั้น มารผู้มีใจบาปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
   ท่านเป็นผู้อันบ่วงทั้งปวง  ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  ผูกพันไว้แล้ว ท่านเป็นผู้อันเครื่องผูกใหญ่รัดรึงแล้ว  แน่ะสมณะ  ท่านจักไม่พ้นเรา.
   พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า  เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง  ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์  เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกใหญ่  ดูกรมาร  ท่านถูกเรากำจัดเสียแล้ว.
   มารกราบทูลว่า  บ่วงนี้เที่ยวไปได้ในอากาศ  เป็นของมีในจิต  สัญจรอยู่  เราจักผูกรัดท่านด้วยบ่วงนั้น  แน่ะสมณะ  ท่านจักไม่พ้นเรา.
   พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า  เราปราศจากความพอใจในอารมณ์เหล่านี้  คือ  รูป  เสียง กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  อันเป็นที่รื่นรมย์ใจ  ดูกรมาร  ท่านถูกเรากำจัดเสียแล้ว.
   ครั้งนั้น  มารผู้มีใจบาปรู้ว่า  พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา  ดังนี้แล้ว มีทุกข์  เสียใจ  หายไปในที่นั้นเอง.
เรื่องมาร จบ.