Translate

03 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ขุททกวัตถุขันธกะ เรื่องหม้อปัสสาวะ เป็นต้น พุทธานุญาตหลุมถ่ายอุจจาระ

   ทำบุญ 
เรื่องหม้อปัสสาวะ
 [๑๘๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถ่ายปัสสาวะลงในที่นั้นๆ ในอาราม อารามสกปรก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถ่ายปัสสาวะในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อารามมีกลิ่นเหม็น ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตหม้อปัสสาวะ ภิกษุทั้งหลายนั่ง
ถ่ายปัสสาวะลำบาก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเขียงรองเท้าถ่ายปัสสาวะ เขียงรองเท้าถ่ายปัสสาวะเปิดเผย ภิกษุทั้งหลายละอายที่จะถ่ายปัสสาวะ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมเครื่องล้อม ๓ ชนิด คือ เครื่องล้อมอิฐ เครื่องล้อมหิน ฝาไม้ หม้อปัสสาวะไม่มีฝาปิด มีกลิ่นเหม็น ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด ฯ
พุทธานุญาตหลุมถ่ายอุจจาระ
   [๑๙๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถ่ายอุจจาระลงในที่นั้นๆ ในอาราม อารามสกปรก ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค  ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถ่ายอุจจาระในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อารามมีกลิ่นเหม็น ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตหลุมถ่ายอุจจาระขอบปากหลุมพัง ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อกรุ ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ก่อด้วยศิลา ก่อด้วยไม้ หลุมอุจจาระมีพื้นต่ำน้ำท่วมได้ ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมพื้นให้สูง ดินที่ถมพื้นพัง ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อกรุ ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐก่อด้วยศิลา ก่อด้วยไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ บันไดหิน บันไดไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตกลงมา ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด ภิกษุทั้งหลายนั่งถ่ายอุจจาระที่ริมหลุมพลัดตกลงไป ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลาดพื้นแล้วเจาะช่องถ่ายอุจจาระตรงกลาง ภิกษุทั้งหลายนั่งถ่ายอุจจาระลำบาก ... 
               ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเขียงรองเท้าถ่ายอุจจาระ ภิกษุทั้งหลายถ่ายปัสสาวะออกไปข้างนอก ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรางรองปัสสาวะ ไม้ชำระไม่มี ...
               ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้ชำระ ตะกร้ารองรับไม้ชำระไม่มี ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตตะกร้ารองรับไม้ชำระ หลุมอุจจาระไม่ได้ปิดมีกลิ่นเหม็น ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด ฯ
พุทธานุญาตวัจจกุฎี
   [๑๙๑] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถ่ายอุจจาระในที่แจ้งลำบากด้วยร้อนบ้าง หนาวบ้าง จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตวัจจกุฎี วัจจกุฎีไม่มีบานประตู ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรับเดือยบานประตู ห่วงข้างบน สายยูไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าที่มุงวัจจกุฎีตกลงเกลื่อน ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบดินทั้งข้างบนข้างล่าง ทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียงจีวร ฯ
   [๑๙๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งชราทุพพลภาพ ถ่ายอุจจาระแล้วลุกขึ้นล้มลง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเชือกห้อยสำหรับเหนี่ยว ฯ
   [๑๙๓] สมัยนั้น วัจจกุฎีไม่ได้ล้อม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมเครื่องล้อม ๓ อย่าง คือ อิฐ ศิลา ไม้ ฯ
   [๑๙๔] ซุ้มประตูไม่มี ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้มประตู ซุ้มประตูมีพื้นต่ำ ...
                ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตถมพื้นให้สูงดินที่ถมพัง ...
                ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อกรุ ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ก่อด้วยศิลา ก่อด้วยไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ บันไดหิน บันไดไม้ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตกลงมา ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด บานซุ้มประตูไม่มี ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้มประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรองเดือยประตู ห่วงข้างบน สายยูไม้หัวลิง กลอนลิ่มช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าที่มุงบนซุ้มประตูหล่นเกลื่อน ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลง ฉาบด้วยดินทั้งข้างบนข้างล่างทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ บริเวณลื่น ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้โรยกรวดแร่ กรวดแร่ไม่เต็ม ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้วางศิลาเลียบ น้ำขัง ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อระบายน้ำ หม้ออุจจาระไม่มี ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตหม้ออุจจาระ กระบอกตักน้ำชำระอุจจาระไม่มี ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกระบอกตักน้ำชำระอุจจาระ ภิกษุทั้งหลายนั่งถ่ายลำบาก ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเขียงไม้สำหรับนั่งถ่าย เขียงไม้สำหรับนั่งถ่ายอยู่เปิดเผย ภิกษุทั้งหลายละอายที่จะถ่าย ... 
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมเครื่องล้อม ๓ ชนิด คือ อิฐ ศิลา ไม้ หม้ออุจจาระไม่ได้ปิด ผงหญ้าและขี้ฝุ่นตกลง ...
               ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด
ประพฤติอนาจารต่าง ๆ
 [๑๙๕] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำมาลัยเรียงก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้ช่อเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พุ่มเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้เทริดเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พวงเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
 ทำดอกไม้ตาข่ายประดับอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ภิกษุพวกนั้นนำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยต่อก้าน นำไปเองบ้างใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยเรียงก้าน นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้ช่อ นำไปเองบ้าง ใช้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พุ่ม นำไปเองบ้างใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้เทริด นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พวง นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้ตาข่ายประดับอก
 เพื่อกุลสตรี เพื่อกุลธิดา เพื่อกุมารีแห่งสกุล เพื่อสะใภ้แห่งสกุล เพื่อกุลทาสี ภิกษุพวกนั้นฉันอาหารในภาชนะเดียวกันบ้าง ดื่มน้ำในขันเดียวกันบ้าง นั่งบนอาสนะเดียวกันบ้าง นอนบนเตียงเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่องลาดเดียวกันบ้าง นอนคลุมผ้าห่มผืนเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่องลาดและคลุมผ้าห่มร่วมกันบ้าง กับกุลสตรี กุลธิดา กุมารีแห่งสกุล สะใภ้แห่งสกุล กุลทาสี ฉันอาหารในเวลาวิกาลบ้าง ดื่มน้ำเมาบ้าง ทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้บ้าง ฟ้อนรำบ้าง ขับร้องบ้าง ประโคมบ้าง 
 เต้นรำบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ขับร้องกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ประโคมกับหญิงฟ้อนรำบ้าง เต้นรำกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ... ฟ้อนรำกับหญิงเต้นรำบ้าง ขับร้องกับหญิงเต้นรำบ้าง ประโคมกับหญิงเต้นรำบ้าง เต้นรำกับหญิงเต้นรำบ้าง เล่นหมากรุกแถวละแปดตาบ้าง เล่นหมากรุกแถวละสิบตาบ้าง เล่นหมากเก็บบ้าง เล่นชิงนางบ้าง เล่นหมากไหวบ้าง เล่นโยนห่วงบ้าง เล่นไม้หึ่งบ้าง เล่นฟาดให้เป็นรูปต่างๆ บ้าง เล่นสะกาบ้าง เล่นเป่าใบไม้บ้าง
 เล่นไถน้อยๆบ้าง เล่นหกคะเมนบ้าง เล่นไม้กังหันบ้าง เล่นตวงทรายด้วยใบไม้บ้าง เล่นรถน้อยๆ บ้าง เล่นธนูน้อยบ้าง เล่นเขียนทายบ้าง เล่นทายใจบ้าง เล่นเลียนคนพิการบ้าง หัดขี่ช้างบ้าง หัดขี่ม้าบ้าง หัดขี่รถบ้าง หัดยิงธนูบ้าง หัดเพลงอาวุธบ้าง วิ่งผลัดช้างบ้าง วิ่งผลัดม้าบ้าง วิ่งผลัดรถบ้าง วิ่งขับกันบ้าง วิ่งเปี้ยวกันบ้าง ผิวปากบ้าง ปรบมือบ้าง ปล้ำกันบ้าง ชกมวยกันบ้าง ปูลาดผ้าสังฆาฏิ ณ กลางสถานที่เต้นรำ แล้วพูดกับหญิงฟ้อนรำอย่างนี้ว่า น้องหญิง เธอจงฟ้อนรำ ณ ที่นี้ ดังนี้บ้าง ให้การคำนับบ้าง ประพฤติอนาจาร มีอย่างต่างๆ บ้าง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงประพฤติอนาจารมีอย่างต่างๆ รูปใดประพฤติ พึงปรับอาบัติตามธรรม ฯ
พุทธานุญาตเครื่องโลหะเป็นต้น
             [๑๙๖] สมัยต่อมา เมื่อท่านพระอุรุเวลกัสสปบวชแล้ว เครื่องโลหะเครื่องไม้ เครื่องดิน บังเกิดแก่สงฆ์เป็นอันมาก ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิดว่าเครื่องโลหะชนิดไหน พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาต ชนิดไหนไม่ทรงอนุญาตเครื่องไม้ชนิดไหน ทรงอนุญาต ชนิดไหนไม่ทรงอนุญาต เครื่องดินชนิดไหนทรงอนุญาต ชนิดไหน ไม่ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทางทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องโลหะทุกชนิด เว้นเครื่องประหาร อนุญาตเครื่องไม้ทุกชนิด เว้นเก้าอี้นอนมีแคร่ บัลลังก์ บาตรไม้และเขียงไม้ อนุญาตเครื่องดินทุกชนิด เว้นเครื่องเช็ดเท้าและกุฎีที่ทำด้วยดินเผา ฯ
ขุททกวัตถุขันธกะ ที่ ๕ จบ
               อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ขุททกวัตถุขันธกะ พุทธานุญาตเครื่องโลหะเป็นต้น ขุททกวัตถุขันธกวรรณนา [ว่าด้วยการอาบน้ำ]
               วินิจฉัยในขุททกวัตถุขันธกะ พึงทราบดังนี้ :-  
บทว่า มลฺลมุฏฺฐิกา ได้แก่ นักมวยผู้ชกกันด้วยหมัด. 
 บทว่า คามปูฏวา ได้แก่ ชนชาวเมืองผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งการประดับย้อมผิว, ปาฐะว่า คามโปตกา ก็มี เนื้อความเหมือนกัน. 
 บทว่า ถมฺเภ ได้แก่ เสาที่เขาปักไว้ที่ท่าเป็นที่อาบน้ำ. 
 บทว่า กุฑฺเฑ ได้แก่ บรรดาฝาอิฐฝาศิลาและฝาไม้ ฝาชนิดใดชนิดหนึ่ง. 
 ชนทั้งหลายถากต้นไม้ให้เป็นเหมือนแผ่นกระดานแล้ว ตัดให้เป็นรอยโดยอาการอย่างกระดานหมากรุก แล้วปักไว้ที่ท่าเป็นที่อาบ, ท่าเช่นนี้ชื่ออัฏฐานะ ในคำว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ย่อมอาบที่ท่าอันเป็นอัฏฐานะ ชนทั้งหลายเรี่ยรายจุณแล้วสีกายที่ท่านั้น. 
 บทว่า คนฺธพฺพหตฺถเกน มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ย่อมอาบด้วยมือที่ทำด้วยไม้ ที่เขาตั้งไว้ที่ท่าเป็นที่อาบ. ได้ยินว่า ชนทั้งหลายเอามือไม้นั้นถือจุณถูตัว. 
 บทว่า กุรุวินฺทกสุตฺติยา ท่านเรียกกำกลมๆ ที่ชนทั้งหลายขยำเคล้าจุณแห่งศิลามีสีดังพลอยแดง ด้วยครั่งทำไว้. ชนทั้งหลายจับกำกลมๆ นั้นที่ปลาย ๒ ข้างแล้วถูตัว. 
 ข้อว่า วิคฺคยฺห ปริกมฺมํ การาเปนฺติ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์เอาตัวกับตัวสีเข้ากะกันและกัน. 
 บังเวียนกระดานที่ทำโดยทรวดทรงอย่างก้นถ้วยจักเป็นฟันมังกร เรียกชื่อว่า มัลลกะ, บังเวียนกระดานที่จักเป็นฟันนี้ ไม่ควรแม้แก่ภิกษุผู้อาพาธ. 
 บังเวียนกระดานที่ไม่ได้จักเป็นฟัน ชื่ออกตมัลลกะ, บังเวียนกระดานที่ไม่ได้จักเป็นฟันนี้ ไม่ควรแก่ภิกษุผู้ไม่อาพาธ. ส่วนแผ่นอิฐหรือแผ่นกระเบื้อง ควรอยู่. 
 บทว่า อุกฺกาสิกํ ได้แก่ เกลียวผ้า. เพราะเหตุนั้น ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งผู้อาบน้ำ จะถูหลังด้วยเกลียวผ้าสำหรับอาบ ก็ควร. 
 การบริกรรมด้วยมือ เรียกว่า ปุถุปาณิกํ. เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งปวงจะทำบริกรรมหลังด้วยมือ ควรอยู่.
[ว่าด้วยการแต่งตัวเป็นต้น] คำว่า วลฺลิกา นี้ เป็นชื่อแห่งเครื่องประดับหูเป็นต้นว่า แก้วมุกดาและตุ้มหูที่ห้อยออกจากหู. ก็แล จะไม่ควรแต่ตุ้มหูอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้, เครื่องประดับหูอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่สุดแม้เป็นใบตาล ก็ไม่ควร. 
 สายสร้อยชนิดใดชนิดหนึ่ง ชื่อว่า สังวาล. 
 เครื่องประดับสำหรับแต่งที่คอ ชนิดใดชนิดหนึ่ง ชื่อว่า สร้อยคอ.  เครื่องประดับเอวชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยที่สุดแม้เพียงเป็นสายด้าย ชื่อว่า สายรัดเอว. 
    วลัย ชื่อว่า เข็มขัด. 
   บานพับ (สำหรับรัดแขน) เป็นต้น ปรากฏชัดแล้ว เครื่องประดับไม่เลือกว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง ไม่ควร. 
 วินิจฉัยในคำว่า ทุมาสิกํ วา ทุวงฺคุลํ วา นี้ พึงทราบดังนี้ :-  หากว่า ภายใน ๒ เดือน ผมยาวถึง ๒ นิ้วไซร้, ต้องปลงเสียภายใน ๒ เดือนเท่านั้น, จะปล่อยให้ยาวเกิน ๒ นิ้วไป ไม่ควร. 
 แม้ถ้าไม่ยาว, จะปล่อยให้เกินกว่า ๒ เดือนไปแม้วันเดียว ก็ไม่ได้เหมือนกัน นี้เป็นกำหนดอย่างสูง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยบททั้ง ๒ ด้วยประการฉะนี้. แต่หย่อนกว่ากำหนดนั้น ขึ้นชื่อว่าความสมควร ไม่มีหามิได้. 
   สองบทว่า โกจฺเฉน โอสณฺเหนฺติ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ใช้แปรงเสยผมทำให้เรียบ.
   บทว่า ผณเกน มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ใช้หวีอย่างใดอย่างหนึ่งมีหวีงาเป็นต้น เสยผมให้เรียบ. 
   บทว่า หตฺถผณเกน มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ เมื่อจะใช้มือนั่นเองต่างหวี จึงเสยผมด้วยนิ้วมือทั้งหลาย. 
   บทว่า สิตฺถเตลเกน มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์เสยผมด้วยของเหนียวอย่างใดอย่างหนึ่ง มีขี้ผึ้งและยางเป็นต้น. 
   บทว่า อุทกเตลเกน มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์เสยผมด้วยน้ำมันเจือน้ำ, เพื่อประโยชน์แก่การประดับ ปรับทุกกฏทุกแห่ง, แต่พึงชุบมือให้เปียกแล้วเช็ดศีรษะ เพื่อยังผมที่มีปลายงอนให้ราบไปตามลำดับ, จะเอามืออันเปียกเช็ดแม้ซึ่งศีรษะที่ร้อนจัด ด้วยความร้อนและเปื้อนธุลี ก็ควร. 
 วินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว อาทาเส วา อุทกปตฺเต วา พึงทราบดังนี้ :- เงาหน้าย่อมปรากฏในวัตถุเหล่าใด วัตถุเหล่านั้นทั้งหมด แม้มีแผ่นสำริดเป็นต้น ย่อมถึงความนับว่ากระจกเหมือนกัน, แม้วัตถุมีน้ำส้มพะอูมเป็นต้น
 ย่อมถึงความนับว่า ภาชนะน้ำเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้แลดู (เงาหน้า) ในที่ใดที่หนึ่ง. 
   บทว่า อาพาธปจฺจยา มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุดูเงาหน้าเพื่อรู้ว่า แผลของเรามีผิวเต็มหรือยังก่อน.  (ในปุรามอรรถกถา) กล่าวว่า สมควรมองดูเงาหน้า เพื่อตรวจดูอายุสังขารอย่างนี้ว่า เราแก่หรือยังหนอ? ดังนี้ก็ได้. 
   สองบทว่า มุขํ อาลิมฺเปนฺติ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ย่อมผัดด้วยเครื่องผัดหน้า สำหรับทำให้หน้ามีผิวผุดผ่อง. 
   บทว่า อุมฺมทฺเทนฺติ มีความว่า ย่อมไล้หน้า ด้วยเครื่องไล้ต่างๆ.  บทว่า จุณฺเณนฺติ มีความว่า ย่อมทา ด้วยจุณสำหรับทาหน้า. 
   หลายบทว่า มโนสิลกาย มุขํ ลญฺเฉนฺติ มีความว่า ย่อมทำการเจิมเป็นจุดๆ เป็นต้น ด้วยมโนศิลา. การเจิมเหล่านั้น ย่อมไม่ควร แม้ด้วยวัตถุมีหรดาลเป็นต้นแท้. การย้อมตัวเป็นต้น ชัดเจนแล้ว ปรับทุกกฎในที่ทั้งปวง.
[ว่าด้วยการฟ้อนและขับเป็นต้น]วินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว นจฺจํ วา เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :-
   เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ไปเพื่อดูการฟ้อนอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่สุดแม้การฟ้อนแห่งนกยูง. เมื่อภิกษุฟ้อนแม้เองก็ตาม ให้ผู้อื่นฟ้อนก็ตาม เป็นทุกกฏเหมือนกัน.
   แม้การขับอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการขับของคนฟ้อนก็ตาม เป็นการขับที่ดี (คือ เนื่องเฉพาะด้วยอนิจจธรรมเป็นต้น) ก็ตาม โดยที่สุด แม้การขับด้วยฟันก็ไม่ควร. 
   ภิกษุคิดว่า เราจักขับ แล้วร้องเสียงเปล่าในส่วนเบื้องต้นเพลงขับ แม้การร้องเสียงเปล่านั้น ก็ไม่ควร. เมื่อภิกษุขับเองก็ตาม ให้ผู้อื่นขับก็ตาม เป็นทุกกฏเหมือนกัน.
   แม้การประโคม อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่ควร. แต่เมื่อรำคาญหรือตั้งอยู่ในที่น่ารังเกียจ จึงดีดนิ้วมือก็ตาม ตบมือก็ตาม, ในข้อนั้นไม่เป็นอาบัติ, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้อยู่ภายในวัด เห็นการเล่นทุกอย่างมีการฟ้อนเป็นต้น. 
   เมื่อภิกษุออกจากวัดไปสู่วัด (อื่น) ด้วยตั้งใจว่า เราจักดู ดังนี้ เป็นอาบัติแท้. นั่งอยู่ที่อาสนศาลาแล้วเห็น, ไม่เป็นอาบัติ. ลุกเดินไปด้วยคิดว่า เราจักดู เป็นอาบัติ, แม้ยืนอยู่ที่ถนนเหลียวคอไปดู เป็นอาบัติเหมือนกัน
  [ว่าด้วยสรภัญญะ] 
 บทว่า สรกุตฺตึ ได้แก่ ทำเสียง.
   สองบทว่า ภงฺโค โหติ มีความว่า ไม่อาจเพื่อจะยังสมาธิที่ตนยังไม่ได้ ให้เกิดขึ้น, ไม่อาจเพื่อจะเข้าสมาธิที่ตนได้แล้ว. 
   ข้อว่า ปจฺฉิมา ชนตา เป็นอาทิ มีความว่า ประชุมชนในภายหลัง ย่อมถึงความเอาอย่างว่า อาจารย์ก็ดี อุปัชฌาย์ก็ดี ของเราทั้งหลายขับแล้วอย่างนี้ คือขับอย่างนั้นเหมือนกัน. 
 วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว อายตเกน นี้ พึงทราบดังนี้ :-  เสียงขับที่ทำลายวัตร (คือวิธีเปลี่ยนเสียง) นั้นๆ ทำอักขระให้เสีย ชื่อเสียงขับอันยาว. ส่วนในธรรม วัตรสำหรับสุตตันตะก็มี วัตรสำหรับชาดกก็มี วัตรสำหรับคาถาก็มี, การที่ยังวัตรนั้นให้เสีย ทำเสียงให้ยาวเกินไป ไม่ควร.
   พึงแสดงบทและพยัญชนะให้เรียบร้อยด้วยวัตร (คือการเปลี่ยนเสียง) อันกลมกล่อม. 
   บทว่า สรภญฺญํ คือ การสวดด้วยเสียง. ได้ยินว่า ในสรภัญญะมีวัตร ๓๒ มีตรังควัตร (ทำนองดังคลื่น) โทหกวัตร (ทำนองดังรีดนมโค) คลิวัตร (ทำนองดังของเลื่อน) เป็นต้น. ในวัตรเหล่านั้นภิกษุย่อมได้เพื่อใช้วัตรที่ตนต้องการ. 
   การที่ไม่ยังบทและพยัญชนะให้เสียคือ ไม่ทำให้ผิดเพี้ยนเปลี่ยนโดยนัยที่เหมาะ ซึ่งสมควรแก่สมณะนั่นแล เป็นลักษณะแห่งวัตรทั้งปวง.
   สองบทว่า พาหิรโลมึ อุณฺณึ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ ห่มผ้าปาวารขนสัตว์เอาขนไว้ข้างนอก. เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ทรงอย่างนั้น. จะห่มเอาขนไว้ข้างใน ควรอยู่. 
   สมณกัปปกถา ได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาแห่งภูตคามสิกขาบท.  หลายบทว่า น ภิกฺขเว อตฺตโน องฺคชาตํ มีความว่า เป็นถุลลัจจัย แก่ภิกษุผู้ตัดองคชาตเท่านั้น.
   แม้เมื่อภิกษุตัดอวัยวะอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง มีหูจมูกและนิ้วเป็นต้นก็ตาม ยังทุกข์เช่นนั้นให้เกิดขึ้นก็ตาม เป็นทุกกฏ. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้กอกโลหิตหรือตัดอวัยวะเพราะถูกงูหรือร่านกัดเป็นต้นก็ตาม เพราะปัจจัยคืออาพาธอย่างอื่นก็ตาม.
[ว่าด้วยบาตร]
สามบทว่า จนฺทนคณฺฐี อุปฺปนฺนา โหติ มีความว่า ปุ่มไม้จันทน์เป็นของเกิดขึ้นแล้ว. 
   ได้ยินว่า ราชคหเศรษฐีนั้นให้ขึงข่ายทั้งเหนือน้ำ และใต้น้ำแล้วเล่นในแม่น้ำคงคา. ปุ่มไม้จันทน์อันกระแสแห่งแม่น้ำนั้นพัดลอยมาติดที่ข่าย บุรุษทั้งหลายของเศรษฐีนั้น ได้นำปุ่มไม้จันทน์นั้นมาให้. ปุ่มไม้จันทน์นั้นเป็นของเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้.
   อิทธิปาฏิหาริย์ คือการแผลง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว ในบทว่า อิทฺธิปาฏิหาริยํ นี้. ส่วนฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยอำนาจอธิษฐานพึงทราบว่า ไม่ได้ทรงห้าม.
 วินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว โสวณฺณมโย ปตฺโต เป็นต้น พึงทราบดังนี้ :-  ก็ถ้าว่า คฤหัสถ์ทั้งหลายทำกับข้าวใส่ในภาชนะมีจานทองคำเป็นต้น น้อมเข้าไปถวายในโรงครัว, ไม่ควรแม้เพื่อจะถูกต้อง.
   อนึ่ง ภาชนะทั้งหลายมีจานเป็นต้น ที่ทำด้วยแก้วผลึก ทำด้วยกระจกและทำด้วยสำริดเป็นต้น ย่อมไม่ควร แต่เพียงใช้เป็นของส่วนตัวเท่านั้น ใช้เป็นของสงฆ์ หรือเป็นคิหิวิกัติ (คือเป็นของคฤหัสถ์) ควรอยู่. 
   บาตร แม้เป็นวิการแห่งทองแดง ก็ไม่ควร ส่วนภาชนะควร. คำทั้งปวงที่ว่าดังนี้ๆ ท่านกล่าวไว้ในกุรุนที. ส่วนบาตรที่แล้วด้วยแก้วมีแก้วอินทนิลเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในบทว่า มณิมโย นี้. 
   บาตรแม้ล้วนแล้วด้วยทองห้าว ท่านรวมเข้าในบทว่า กํสมโย นี้.  คำว่า เพื่อกลึง นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อประโยชน์แก่การทำให้บาง. บังเวียนปกตินั้น ได้แก่ บังเวียนที่จักเป็นฟันมังกร. 
   บทว่า อาวตฺติตฺวา ได้แก่ กระทบกันและกัน. วินิจฉัยในคำว่า ปตฺตาธารกํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- ในกุรุนทีกล่าวว่า บนเชิงบาตรที่เนื่องกับพื้น ซึ่งทำด้วยงาเถาวัลลิ์และหวายเป็นต้น ควรวางซ้อนๆ กันได้ ๓ บาตร บนเชิงไม้ ควรวางซ้อนกันได้ ๒ บาตร. 
   ส่วนในมหาอรรถกถากล่าวว่า บนเชิงบาตรที่เนื่องกับพื้น ไม่เป็นโอกาสแห่งบาตร ๓ ใบ จะวางแต่ ๒ ใบ ก็ควร. แม้ในเชิงบาตรไม้และเชิงบาตรท่อนไม้ ซึ่งตกแต่งเกลี้ยงเกลาดี ก็มีนัยเหมือนกัน. 
   ก็แล เชิงบาตรไม้ที่คล้ายปลายเครื่องกลึง และเชิงบาตรท่อนไม้ที่ผูกด้วยไม้ ๓ ท่อน ไม่เป็นโอกาสแห่งบาตรแม้ใบเดียว. แม้วางบนเชิงนั้นแล้ว ก็ต้องนั่งเอามือยึดไว้อย่างนั้น. ส่วนบนพื้นพึงคว่ำวางไว้แต่ใบเดียวเท่านั้น. 
   บทว่า มิฒนฺเต ได้แก่ ริมเฉลียงและกระดานเลียบเป็นต้น. ก็ถ้าว่า บาตรกลิ้งไปแล้ว จะค้างอยู่บนริมกระดานเลียบนั่นเอง จะวางบนกระดานเลียบอันกว้างเห็นปานนั้น ก็ควร. 
   บทว่า ปริภณฺฑนฺเต ได้แก่ ริมกระดานเลียบอันแคบซึ่งเขาทำไว้ที่ข้างภายนอก. 
   วินิจฉัยแม้ในกระดานเลียบอันแคบนี้ ก็พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในกระดานเลียบนั่นแล. 
   บทว่า โจฬกํ ได้แก่ ผ้าที่เขาปูลาดแล้ววางบาตร. ก็เมื่อผ้านั้นไม่มี ควรวางบนเสื่อลำแพนหรือบนเสื่ออ่อน หรือบนพื้นที่เขาทาขัดด้วยดินเหนียว หรือบนพื้นเห็นปานนั้น ซึ่งจะไม่ประทุษร้ายบาตร หรือบนทรายก็ได้. 
   แต่เมื่อภิกษุวางในที่มีดินร่วนและฝุ่นเป็นต้น หรือบนพื้นที่คมแข็ง ต้องทุกกฏ.  โรงสำหรับเก็บบาตรนั้น จะก่อด้วยอิฐหรือทำด้วยไม้ ก็ควร.   หม้อสำหรับเก็บสิ่งของ ทรวดทรงคล้ายอ่างน้ำ มีปากกว้าง เรียกว่าหม้อสำหรับเก็บบาตร.
   สองบทว่า โย ลคฺเคยฺย มีความว่า เป็นอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้แขวนบาตรในที่ใดที่หนึ่ง. จะผูกแขวนไว้แม้ที่ราวจีวร ก็ไม่ควร.  เตียงและตั่ง จะเป็นของที่เขาทำไว้ เพื่อวางสิ่งของเท่านั้น หรือเพื่อนั่งนอน ก็ตามที, เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้วางบาตรบนเตียงหรือตั่งอันใดอันหนึ่ง 
   แต่จะมัดรวมกับของอื่นวางไว้ ควรอยู่. หรือจะผูกที่แม่แคร่ห้อยไว้ ก็ควร. จะผูกแล้ววางข้างบนเตียงและตั่ง ไม่ควรเหมือนกัน. ก็ถ้าว่า เตียงหรือตั่งเป็นของที่เขายกขึ้นพาดเป็นนั่งร้านบนราวจีวรเป็นต้น, จะวางบนเตียงหรือตั่งนั้น ก็ควร. จะเอาสายโยกคล้องบนจะงอยบ่า แล้ววางบนตัก ก็ควร. ถึงบาตรที่คล้องบนจะงอยบ่าแม้เต็มด้วยข้าวสุก ก็ไม่ควรวางบนร่ม. แต่จะวางบาตรชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือบนร่มที่ผูกมัดเป็นร้านม้าควรอยู่. 
               วินิจฉัยในคำว่า ปตฺตหตฺเถน พึงทราบดังนี้ :- บาตรของภิกษุใดอยู่ในมือ ภิกษุนั้นแล ชื่อว่าผู้มีบาตรในมืออย่างเดียว หามิได้. อนึ่ง ภิกษุผู้มีบาตรอยู่ในมือ ย่อมไม่ได้เพื่อผลักบานประตูอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้.
               แต่อันที่จริง เมื่อบาตรอยู่ในมือหรือบนหลังเท้า หรือที่อวัยวะแห่งสรีระอันใดอันหนึ่ง ภิกษุย่อมไม่ได้เพื่อจะผลัก บานประตูหรือเพื่อจะถอดลิ่มสลัก หรือเพื่อจะเอาลูกกุญแจไขแม่กุญแจ ด้วยมือหรือด้วยหลังเท้า หรือด้วยศีรษะหรือด้วยอวัยวะแห่งสรีระอันใดอันหนึ่ง. 
               แต่คล้องบาตรบน จะงอยบ่าแล้ว ย่อมได้เพื่อเปิดบานประตูตามความสบายแท้. กะโหลกน้ำเต้า เรียกว่า ตุมฺพกฏาห จะรักษากะโหลกน้ำเต้านั้นไว้ ไม่ควร. 
               ก็แลได้มาแล้วก็ จะใช้เป็นของยืม ควรอยู่. แม้ในกระเบื้องหม้อ ก็มีนัยเหมือนกัน. กระเบื้องหม้อเรียกว่า ฆฏิกฏาห. คำว่า อพฺภุมฺเม นี้ เป็นคำแสดงความตกใจ.
 วินิจฉัยในบทว่า สพฺพปํสุกูลิเกน นี้ พึงทราบดังนี้ :-
               จีวร เตียงและตั่ง เป็นของบังสุกุล ย่อมควร. ส่วนของที่จะพึงกลืนกิน อันเขาให้แล้วนั่นแล พึงถือเอา. บทว่า จลกานิ ได้แก่ อามิสที่จะทิ้งคายออกไม่กลืน.
               บทว่า อฏฺฐิกานิ ได้แก่ ก้างปลาหรือกระดูกเนื้อ.
               บทว่า อุจฺฉิฏฺโฐทกํ ได้แก่ น้ำบ้วนปาก. 
               เมื่อภิกษุผู้ใช้บาตรขนทิ้งซึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในอามิสที่เป็นเดนเป็นต้นนั้น เป็นทุกกฏ ภิกษุย่อมไม่ได้ แม้เพื่อจะทำบาตรให้เป็นกระโถนล้างมือ จะใส่แม้ซึ่งน้ำล้างมือล้างเท้าลงในบาตรแล้วนำไปเท ก็ไม่ควร.
               จะจับบาตรที่สะอาด ไม่เปื้อน ด้วยมือที่เปื้อน ก็ไม่ควร. แต่จะเอามือซ้ายเทน้ำลงในบาตรที่สะอาดนี้แล้ว อมเอาน้ำอม ๑ แล้วจึงจับด้วยมือที่เปื้อน ควรอยู่. 
               จริงอยู่ แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บาตรนั้น ย่อมเป็นบาตรเปื้อนด้วย. อนึ่ง จะล้างมือที่เปื้อนด้วยน้ำข้างนอกแล้ว จึงจับ (บาตร) ควรอยู่.
               เมื่อฉันเนื้อปลาและผลาผลเป็นต้นอยู่ ในของเหล่านั้น สิ่งใดเป็นก้างหรือกระดูกหรือเป็นเดน เป็นผู้ใคร่จะทิ้งเสีย, จะเอาสิ่งนั้นวางลงในบาตรย่อมไม่ได้. 
               ส่วนสิ่งใด ยังอยากจะฉันต่อไปอีก จะเอาสิ่งนั้นวางลงในบาตรก็ได้. จะวางเนื้อที่มีกระดูกและปลาที่มีก้างเป็นต้น ในบาตรนั้นและเอามือปล้อนออกฉัน ก็ควร.
               แต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เอาออกจากปากแล้ว ยังอยากจะฉันอีก จะเอาสิ่งนั้นวางในบาตรไม่ได้. ชิ้นขิงและชิ้นมะพร้าวเป็นต้น กัดกินแล้วจะวางอีกก็ได้.
[ว่าด้วยมีดและเข็ม] 
               บทว่า นมตกํ ได้แก่ ท่อนผ้าสำหรับห่อมีด.
               บทว่า ทณฺฑสตฺถกํ ได้แก่ มีดที่เข้าด้ามอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นมีดพับหรือมีดอื่นก็ได้. 
               สองบทว่า กณฺณกิตาโย โหนฺติ คือ เป็นของอันสนิมจับ. สองบทว่า กิณฺเณน ปูเรตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้บรรจุให้เต็มด้วยผงเป็นแป้งเหล้า.
               บทว่า สตฺตุยา มีความว่า เราอนุญาตให้บรรจุให้เต็มด้วยผงแป้งเจือด้วยขมิ้น. แม้จุลแห่งศิลา เรียกว่า ผงหิน. ความว่า เราอนุญาตให้บรรจุให้เต็มด้วยผงศิลานั้น. 
               สองบทว่า มธุสิตฺถเกน สาเรตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้บรรจุพอก (เข็ม) ด้วยขี้ผึ้ง. สองบทว่า สริตกมฺปิ ปริภิชฺชติ มีความว่า ขี้ผึ้งที่พอกไว้นั้นแตกกระจาย.
               บทว่า สริตสิปาฏิกํ ได้แก่ ผ้าห่อขี้ผึ้ง คือปักมีด. 
               ในกุรุนทีกล่าวว่า และฝักมีดก็อนุโลมตามผ้าห้อเข็มนั้น.
[ว่าด้วยไม้สะดึง] 
               ไม้สะดึงนั้น ได้แก่ แม่สะดึงบ้าง เสื่อหวายหรือเสื่อลำแพนอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะพึงปูบนแม่สะดึงนั้นบ้าง. เชือกผูกไม้สะดึงนั้น ได้แก่ เชือกสำหรับผูกจีวรที่ไม้สะดึงเมื่อเย็บจีวร ๒ ชั้น. สองบทว่า กฐินํ นปฺปโหติ มีความว่า ไม้สะดึงที่ทำตามขนาดของภิกษุที่สูง จีวรของภิกษุที่เตี้ย เมื่อขึงลาดบนไม้สะดึงนั้นย่อมไม่พอ คือหลวมอยู่ภายในเท่านั้น. 
  อธิบายว่า ไม่ถึงไม้ขอบสะดึง. บทว่า ทณฺฑกฐินํ มีความว่า เราอนุญาตให้ผูกสะดึงอื่นตามขนาดของภิกษุผู้เตี้ยนอกนี้ ในท่ามกลางแห่งแม่สะดึงยาวนั้น. บทว่า วิทลกํ ได้แก่ การพับชายโดยรอบแห่งเสื่อหวายทำให้เป็น๒ ชั้น พอได้ขนาดกับกระทงสะดึง. บทว่า สลากํ ได้แก่ ซี่ไม้สำหรับสอดเข้าในระหว่างแห่งจีวร ๒ ชั้น. บทว่า วินทฺธนรชฺชุํ ได้แก่ เชือกที่มัดแม่สะดึงเล็กกับแม่สะดึงใหญ่ ที่ไม่สะดึงนั้น. บทว่า วินทฺธนสุตฺตกํ ได้แก่ ด้ายที่ตรึงจีวรติดกับแม่สะดึงเล็ก. 
  สามบทว่า วินทฺธิตฺวา จีวรํ สิพฺเพตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้ตรึงจีวรที่แม่สะดึงนั้น ด้วยด้ายนั้นแล้วเย็บ. สองบทว่า วิสมา โหนฺติ มีความว่า ด้วยเกษียนบางแห่งเล็กบางแห่งใหญ่. บทว่า กฬิมฺพกํ ได้แก่ วัตถุมีใบตาลเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งสำหรับการวัดขนาด. บทว่า โมฆสุตฺตกํ ได้แก่ การทำแนวเครื่องหมาย ด้วยเส้นบรรทัดขมิ้น ดังการทำแนวเครื่องหมายที่ไม้ ด้วยเส้นบรรทัดดำของพวกช่างไม้ฉะนั้น. สองบทว่า องฺคุลิยา ปฏิคฺคณฺหนฺติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลาย (เย็บจีวร) รับปากเข็มด้วยนิ้วมือ. บทว่า ปฏิคฺคหํ ได้แก่ สนับแห่งนิ้วมือ.
 ภาชนะมีถาดและผอบเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อภาชนะสำหรับใส่และกระบอก. บทว่า อุจฺจวตฺถุกํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุถมดินทำพื้นที่ให้สูง. หลายบทว่า โอคุมฺเพตฺวา อุลฺลิตฺตาวลิตฺตํ กาตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุรื้อหลังคาเสียแล้วทำระแนงให้ทึบ โบกทั้งข้างในและข้างนอกด้วยดินเหนียว. บทว่า โคฆํสิกาย มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุใส่ไม้ไผ่หรือไม้จริง ไว้ข้างในแล้วม้วนแม่สะดึงกับไม้นั้น. บทว่า พนฺธนรชฺชุํ ได้แก่ เชือกสำหรับมัดแม่สะดึงที่ม้วนแล้วอย่างนั้น. 
[ว่าด้วยมีดและเข็ม] ผ้ากรองที่ผูกติดกับไม้ ๓ อัน ชื่อกระชอนสำหรับกรอง. ข้อว่า โย น ทเทยฺย มีความว่า ภิกษุใดไม่ให้ผ้ากรองแก่ภิกษุผู้ไม่มีผ้ากรองนั่นแล, เป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้นแท้. ฝ่ายภิกษุใด เมื่อผ้ากรองในมือของตนแม้มีอยู่ แต่ยังยืม ไม่อยากให้ก็อย่าพึงให้ภิกษุนั้น. บทว่า ทณฺฑกปริสฺสาวนํ มีความว่า พึงผูกผ้ากับไม้ที่ทำดังแม่บันไดขั้นกลาง ซึ่งผูกติดบนเขา ๔ ขา แล้วเทน้ำลงตรงกลางไม้ดังเครื่องกรองด่างของพวกช่างย้อม. น้ำนั้นเต็มทั้ง ๒ ห้องแล้วย่อมไหลออก. ภิกษุทั้งหลาย [๓๔๓] ลาดผ้ากรองใดลงในน้ำแล้วเอาหม้อตักน้ำ ผ้ากรองนั้นชื่อ โอตฺถริกํ. จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลายผูกผ้าติดกับไม้ ๔ อัน ปักหลัก ๔ หลักลงในน้ำแล้ว ผูกผ้ากรองนั้นติดกับหลักนั้น ให้ริมผ้าโดยรอบทั้งหมดพ้นจากน้ำ ตรงกลางหย่อนลง แล้วเอาหม้อตักน้ำ. เรือนที่ทำด้วยจีวร เรียกว่า มุ้งกันยุง 
[ว่าด้วยจงกรมและเรือนไฟ] บทว่า อภิสนฺนกายา คือ ผู้มีกายหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษมีเสมหะเป็นต้น. เสาสำหรับใส่ลิ้ม ขนาดเท่ากับบานประตูพอดี เรียกชื่อว่าอัคคฬวัฏฏิ เสาสำหรับใส่ลิ้มนั้น เป็นเสาที่เขาเจาะรูไว้ ๓-๔ รู แล้วใส่ลิ่ม. ห่วงสำหรับใส่ดาล ที่เขาเจาะบานประตูแล้วตรึงติดที่บานประตูนั้น เรียกชื่อว่า สลักเพชร. ลิ้นที่เขาทำช่องที่ตรงกลางสลักเพชรแล้วสอดไว ชื่อสูจิกา. กลอนที่เขาติดไว้ข้างบนสลักเพชร ชื่อฆฏิกา. สองบทว่า มณฺฑลิกํ กาตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้ก่อพื้นให้ต่ำ. ปล่องควันนั้น ได้แก่ ช่องสำหรับควันไฟออก. บทว่า วาเสตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้อบด้วยของหอมทั้งหลาย. อุทกนิธาน นั้นได้แก่ ที่สำหรับขังน้ำ ภิกษุใช้หม้อตักน้ำขังไว้ในนั้นแล้ว เอาขันตักน้ำใช้. ซุ้มน้ำ ได้แก่ ซุ้มประตู วินิจฉัยในคำว่า ติสฺโส ปฏิจฺฉาทิโย นี้ พึงทราบดังนี้ :- เครื่องปกปิด คือ เรือนไฟ ๑ เครื่องปกปิด คือ น้ำ ๑ ควรแก่ภิกษุผู้ทำบริกรรมเท่านั้น. ไม่ควรในสามีจิกรรมทั้งหลายมีอภิวาทเป็นต้นที่ยังเหลือ. เครื่องปกปิด คือผ้า ควรในกรรมทั้งปวง. ข้อว่า น้ำไม่มีนั้น ได้แก่ ไม่มีสำหรับอาบ. บทว่า ตุลํ ได้แก่ คันสำหรับโพงเอาน้ำขึ้น ดังคันชั่งของพวกเขา ตลาด.
 [๓๔๔] ยนต์ที่เทียมโค หรือใช้มือจับชักด้วยเชือกอันยาว เรียกว่าระหัด. ยนต์ที่มีหม้อผูกติดกับซี่ เรียกว่า กังหัน. ภาชนะที่ทำด้วยหนัง ซึ่งจะพึงผูกติดกับคันโพงหรือระหัด ชื่อว่าท่อนหนัง. สองบทว่า ปากฏา โหติ มีความว่า บ่อน้ำครำ เป็นที่ไม่ได้ล้อม. บทว่า อุทกปุญฺฉนี มีความว่า เครื่องเช็ดน้ำ ทำด้วยงาก็ดี ทำด้วยเขาก็ดี ทำด้วยไม้ก็ดี ย่อมควร. เมื่อเครื่องเช็ดน้ำนั้นไม่มี จ ะใช้ผ้าซับน้ำ ก็ควร. บทว่า อุทกมาติกํ ได้แก่ ลำรางสำหรับน้ำไหล. เรือนไฟที่ติดปั้นลมโดยรอบ เรียกชื่อว่า เรือนไฟไม่มีรอยมุง. คำว่า เรือนไฟไม่มีรอยมุงนั้น เป็นชื่อแห่งเรือนไฟที่มีหลังคาทำเป็นยอด ติดปั้นลมที่มณฑลช่อฟ้าบนกลอนทั้งหลาย. สองบทว่า จาตุมฺมาสํ นิสีทเนน มีความว่า ภิกษุไม่พึงอยู่ปราศจากผ้านิสีทนะตลอด ๔ เดือน. บทว่า ปุปฺผาภิกิณฺเณสุ มีความว่า ภิกษุไม่พึงนอนบนที่นอนที่เขาประดับด้วยดอกไม้. บทว่า นมตกํ มีความว่า เครื่องปูนั่งคล้ายสันถัตที่ทำ คือทอด้วยขนเจียม พึงใช้สอย โดยบริหารไว้อย่างท่อนหนัง. 
[ว่าด้วยการฉัน] ชื่อว่า อาสิตฺตกูปธานํ นั้น เป็นคำเรียก ลุ้ง ที่ทำด้วยทองแดงหรือด้วยเงิน. อนึ่ง ลุ้งนั้น แม้ทำด้วยไม้ ก็ไม่ควร เพราะเป็นของที่ทรงห้ามแล้ว. เครื่องรองทำด้วยไม้ทั้งท่อน เรียกว่า โตก. แม้เครื่องรองที่ทำด้วยใบ กระเช้าและตะกร้า ก็นับเข้าในโตกนี้เหมือนกัน.
 [๓๔๕] จริงอยู่ วัตถุมีไม้เส้าเป็นต้นนั้น จำเดิมแต่ที่ถึงความรวมลงว่าเป็นเครื่องรอง มีช่องเจาะไว้ข้างในก็ตาม เจาะไว้โดยรอบก็ตาม ควรเหมือนกัน. วินิจฉัยในคำว่า เอกภาชเน นี้ พึงทราบดังนี้ :- หากว่า ภิกษุรูปหนึ่งถือเอาผลไม้ หรือขนมจากภาชนะไป, ครั้นเมื่อภิกษุนั้นหลีกไปแล้ว การที่ภิกษุนอกนี้จะฉันผลไม้หรือขนมที่ยังเหลือ ย่อมควร. แม้ภิกษุนอกจากนี้ จะถือเอาอีกในขณะนั้นก็ควร. 
[ว่าด้วยการคว่ำบาตร] วินิจฉัยในคำว่า อฏฺฐหงฺเคหิ นี้พึงทราบดังนี้ :- การที่สงฆ์คว่ำบาตรในภายในสีมา หรือไปสู่ภายนอกสีมาคว่ำบาตรในที่ทั้งหลายมีแม่น้ำเป็น แก่อุบาสกผู้ประกอบแม้ด้วยองค์อันหนึ่งๆ ย่อมควรทั้งนั้น. ก็แล เมื่อบาตรอันสงฆ์คว่ำแล้วอย่างนั้น ไทยธรรมไรๆ ในเรือนของอุบาสกนั้น อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงทราบ. พึงส่งข่าวไปในวัดแม้เหล่าอื่นว่า ท่านทั้งหลายอย่ารับภิกษา ในเรือนของอุบาสกโน้น. ก็ในการที่จะหงายบาตร ต้องให้อุบาสกนั้น ขอเพียงครั้งที่ ๓ ให้อุบาสกนั้นละหัตถบาสแล้ว หงายบาตรด้วยญัตติทุติยกรรม. 
[เรื่องโพธิราชกุมาร] สองบทว่า ปุรกฺขิตฺวา ได้แก่ จัดไว้โดยความเป็นยอด. บทว่า สํหรนฺตุ มีความว่า ผ้าทั้งหลายอันท่านจงม้วนเสีย. บทว่า เจฬปฏิกํ ได้แก่ เครื่องปูลาด คือผ้า. ได้ยินว่า โพธิราชกุมารนั้นปูลาดแล้วด้วยความมุ่งหมายนี้ว่า ถ้าว่า เราจักได้บุตร, พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงเหยียบผืนผ้าของเรา. จริงอยู่ โพธิราชกุมารนั้นไม่สมควรได้บุตร ; เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ทรงเหยียบ. หากว่า พระองค์พึงทรงเหยียบไซร้, ภายหลังเมื่อกุมารไม่ได้บุตร จะพึงถือทิฏฐิว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ มิใช่พระสัพพัญญู. นี้เป็นเหตุในการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงเหยียบก่อน.
 ฝ่ายภิกษุทั้งหลายเล่า เธอเหล่าใดไม่รู้อยู่ พึงเหยียบ, เธอเหล่านั้นพึงเป็นผู้ถูกพวกคฤหัสถ์ดูหมิ่น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติสิกขาบท เพื่อปลดภิกษุทั้งหลายจากความดูหมิ่น. นี้เป็นเหตุในการทรงบัญญัติสิกขาบท. ข้อว่า มงฺคลตฺถาย ยาจิยมาเนน มีความว่า สตรีจะเป็นผู้ปราศครรภ์ หรือเป็นผู้มีครรภ์แก่ก็ตามที, อันภิกษุซึ่งเขาอ้อนวอนเพื่อต้องการมงคลในฐานะเป็นปานนั้น สมควรเหยียบ. 
[ว่าด้วยเครื่องเช็ดรองเท้า] เครื่องปูลาด เป็นของที่เขาลาดไว้ใกล้ที่ล้างเท้า เพื่อประโยชน์ที่จะเหยียบด้วยเท้าซึ่งล้างแล้ว ชื่อว่าเครื่องลาดสำหรับเท้าที่ล้างแล้ว, ภิกษุควรเหยียบเครื่องลาดนั้น. วัตถุที่มีท่าทางคล้ายฝักบัว ซึ่งเขาทำให้หนามตั้งขึ้น เพื่อเช็ดเท้า ชื่อว่าเครื่องเช็ดเท้า, เครื่องเช็ดเท้านั้น จะเป็นของกลม หรือต่างโดยสัณฐานมี ๔ เหลี่ยมเป็นต้นก็ตามที เป็นของที่ทรงห้ามทั้งนั้น เพราะเป็นของอุดหนุนแก่ความเป็นผู้มักมาก ไม่ควรรับ ไม่ควรใช้สอย. ศิลา เรียกว่า กรวด แม้หินฟองน้ำ ก็ควร. 
[ว่าด้วยพัด] พัดเรียกว่า วิธูปนํ แปลว่า วัตถุสำหรับโบก. ความว่า พัดปัดยุงนั้น แม้มีด้ามทำด้วยงาหรือเขาก็ควร. แม้พัดปัดยุงที่ทำด้วยย่านแห่งไม้เกดและใบมะพูดเป็นต้น สงเคราะห์เข้ากับพัดที่ทำด้วยเปลือกไม้. ส่วนพักมีด้ามอย่างใบตาล จะเป็นของที่สานด้วยใบตาลหรือสานด้วยเส้นตอกไม้ไผ่และเส้นตอกงา หรือทำด้วยขนหางนกยูง หรือทำด้วยจัมมวิกัติทั้งหลายก็ตามที ควรทุกอย่าง.
[ว่าด้วยร่ม] วินิจฉัยในคำว่า คิลานสฺส ฉตฺตํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- ภิกษุใดมีความร้อนในกาย หรือมีความกลุ่มใจ หรือมีตาฟางก็ดี หรืออาพาธบางชนิดอย่างอื่น ที่เว้นร่มเสีย ย่อมเกิดขึ้น, ภิกษุนั้นควรกางร่มในบ้านหรือในป่า. อนึ่ง เมื่อฝนตก จะกางร่มเพื่อรักษาจีวร และในที่ควร กลัวสัตว์ร้ายและโจร จะกางร่มเพื่อป้องกันตนบ้าง ก็ควร. ส่วนร่มที่ทำด้วยใบไม้ใบเดียว ควรในที่ทั้งปวงทีเดียว. 
[ว่าด้วยทัณฑสมบัติเป็นต้น] บทว่า อสิสฺส ตัดบทว่า อสิ อสฺส แปลว่า ดาบของโจรนั้น บทว่า วิโชตลติ ได้แก่ ส่องแสงอยู่. วินิจฉัยในคำว่า ทณฺฑสมฺมตึ นี้ พึงทราบดังนี้ :- ไม้คาน ควรแก่ประมาณ คือยาว ๔ ศอกเท่านั้น อันสงฆ์พึงสมมติให้. ไม้คานที่หย่อนหรือเกินกว่า ๔ ศอกนั้น แม้เว้นจากการสมมติ ก็ควรแก่ภิกษุทั้งปวง. ส่วนสาแหรก ไม่ควรแก่ภิกษุผู้ไม่อาพาธ. สงฆ์จึงสมมติให้เฉพาะแก่ภิกษุผู้อาพาธเท่านั้น. 
[ว่าด้วยภิกษุผู้มักอ้วก] วินิจฉัยในคำว่า โรมฏฺฐกสฺส นี้ พึงทราบดังนี้ :- เว้นภิกษุผู้มักอ้วกเสีย เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหลายที่เหลือ ผู้ยังอาหารที่อ้วกออกมาให้ค้างอยู่ในปากแล้วกลืนกิน. แต่ถ้าว่า อาหารที่อ้วกออกมานั้นไม่ทันค้าง ไหลลงลำคอไป ควรอยู่. คำว่า ยํ ทียมานํ นี้ ข้าพเจ้าได้พรรณนาไว้แล้วในโภชนวรรค. 
[ว่าด้วยมีดตัดเล็บ] สองบทว่า กุปฺปํ กริสฺสามิ มีความว่า เราจักทำซึ่งเสียง. ไม่มีอาบัติเพราะตัดเล็บด้วยเล็บเป็นต้น. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตมีดตัดเลํบ ก็เพื่อรักษาตัว. บทว่า วีสติมฏฺฐํ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ให้แต่งเล็บทั้ง ๒๐ ให้เกลี้ยงด้วยการขูด. บทว่า มลมตฺตํ มีความว่า เราอนุญาตให้แคะแต่มูลเล็บออกจากเล็บ.
[ว่าด้วยผมและหนวด] 
               บทว่า ขุรสิปาฏิกํ ได้แก่ ฝักมีดโกน. 
               สองบทว่า มสฺสุ วปฺปาเปนฺติ มีว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ให้ตัดหนวดด้วยกรรไกร.
               สองบทว่า มสฺสุ วฑฺฒาเปนฺติ ได้แก่ ให้แต่งหนวดให้ยาว เคราที่คางที่เอาไว้ยาวดังเคราแพะ เรียกว่าหนวดดังพู่ขนโค. 
               บทว่า จตุรสฺสกํ ได้แก่ ให้แต่งหนวดเป็น ๔ มุม. 
               บทว่า ปริมุขํ ได้แก่ ให้ทำการขมวดกลุ่มแห่งขนที่อก.
               บทว่า อฑฺฒรุกํ ได้แก่ เอาไว้กลุ่มขนที่ท้อง.
               สองบทว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า เป็นอาบัติทุกกฏในที่ทั้งปวงมีตัดหนวดเป็นต้น.
               หลายบทว่า อาพาธปฺปจฺจยา สมฺพาเธ โลมํ มีความว่า เราอนุญาตให้นำขนในที่แคบออก เพราะปัจจัย คืออาพาธมีฝีแผลใหญ่และแผลเล็กเป็นต้น. 
  หลายบทว่า อาพาธปฺปจฺจยา กตฺตริกาย มีความว่า เราอนุญาตให้ตัดผมด้วยกรรไกร เพราะปัจจัย คืออาพาธด้วยอำนาจแห่งโรคที่ศีรษะ คือฝีแผลใหญ่และแผลเล็ก. ไม่มีอาบัติ เพราะถอนขนจมูกด้วยวัตถุมีกรวดเป็นต้น ส่วนแหนบ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตเพื่อรักษาตัว. 
  วินิจฉัยในข้อ น ภิกฺขเว ปลิตํ คาหาเปตพฺพํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- ขนใดขึ้นที่คิ้ว หรือที่หน้าผาก หรือที่ดงหนวด เป็นของน่าเกลียด ขนเช่นนั้นก็ตาม จะหงอกก็ตาม ไม่หงอกก็ตาม สมควรถอนเสีย. บทว่า กํสปตฺถริกา ได้แก่ พ่อค้าเครื่องสำริด. บทว่า พนฺธนมตฺตํ ได้แก่ ปลอกแห่งมีดและไม้เท้าเป็นต้น. 
[ว่าด้วยประคตเอว]
 วินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว อกายพนฺธเนน นี้ พึงทราบดังนี้ : ประคดเอวอันภิกษุผู้มิได้คาดออกไปอยู่ ตนระลึกได้ในที่ใดพึงคาดในที่นั้น, คิดว่า จักคาดที่อาสนศาลา ดังนี้ จะไปก็ควร. นึกได้แล้วไม่ควรเที่ยวบิณฑบาต ตลอดเวลาที่ยังมิได้คาด. ประคดเอวมีสายมาก ชื่อ กลาพุกํ. ประคดเอวคล้ายหัวงูน้ำ ชื่อ เทฑฺฑุภกํ. ประคดเอวที่ถักทำให้สัณฐานกมลดังตะโพน ชื่อ มุรชฺชํ. ประคดเอวที่มีทรวดทรงดังสังวาล ชื่อ มทฺทวีณํ. จริงอยู่ ประคดเอวเช่นนี้ แม้ชนิดเดียวก็ไม่ควร ไม่จำต้องกล่าวถึงมากชนิด. วินิจฉัยในคำว่า ปฏฺฏิกํ สูกรนฺตกํ นี้ พึงทราบดังนี้ :-
 ประคดแผ่นที่ทอตามปกติ หรือถักเป็นก้างปลา ย่อมควร. ประคดที่เหลือ ต่างโดยประคดตาช้างเป็นต้น ไม่ควร. ขึ้นชื่อว่าประคดไส้สุกร เป็นของมีทรวดทรงคล้ายไม้สุกรและฝักกุญแจ. ส่วนประคดเชือกเส้นเดียวและประคดกลม อนุโลมตามประคดไส้สุกร. คำที่ว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการถักด้ายให้กลม การถักดังสายสังวาล" นี้ ทรงอนุญาต เฉพาะพี่ชายทั้ง ๒. ก็ในชายกลมและชายดังสายสังวาลนี้ ชายดังสายสังวาล เกิน ๔ ชาย ไม่ควร. การทบเข้ามาแล้วเย็บขอบปาก ชื่อ โสภกํ. การเย็บโดยสัณฐานดังวงแหวน ชื่อ คุณกํ. จริงอยู่ ชายประคดที่เย็บอย่างนั้น ย่อมเป็นของแน่น. ร่วมในห่วง เรียกว่า ปวนนฺโต. 
[ว่าด้วยการนุ่งห่ม] 
 ผ้านุ่งที่ทำชายพกมีสัณฐานดังงวงช้าง ให้ห้อยลงไปตั้งแต่สะดือเหมือนการนุ่งของสตรีชาวโจลประเทศ ชื่อว่านุ่งเป็นงวงช้าง. ผ้านุ่งที่ห้อยปลายไว้ข้าง ๑ ห้อยชายพกไว้ข้าง ๑ ชื่อว่านุ่งเป็นหางปลา. นุ่งปล่อยชายเป็น ๔ มุมอย่างนี้ คือ ข้างบน ๒ มุม ข้างล่าง ๒ มุม ชื่อว่านุ่งเป็น ๔ มุม. นุ่งห้อยลงไป โดยท่าทางดังก้านตาล ชื่อว่านุ่งดังก้านตาล. ผ้าผืนยาวให้ม้วนเป็นชั้นๆ นุ่งโจงกระเบนก็ดี นุ่งยกกลีบเป็นลอนๆ ที่ข้างซ้ายและข้างขวาก็ดี ชื่อว่ายกบาลีตั้งร้อย. แต่ถ้าว่าปรากฏเป็นกลีบเดียวหรือ ๒ กลีบ ตั้งแต่เข่าขึ้นไป ย่อมควร.
 สองบทว่า สํเวลิยํ นิวาเสนฺติ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์นุ่งหยักรั้ง ดังนักมวยและกรรมกรเป็นต้น. การนุ่งหยักรั้งนั้น ย่อมไม่ควรแก่ภิกษุทั้งผู้อาพาธ ทั้งผู้เดินทาง. ภิกษุทั้งหลายผู้กำลังเดินทาน ยกมุมข้าง ๑ หรือ ๒ ข้างขึ้นเหน็บบนสบง หรือนุ่งผ้ากาสาวะผืน ๑ อย่างนั้น ไว้ข้างในแล้ว นุ่งอีกผืน ๑ ทับข้างนอกแม้อันใด การนุ่งห่มเห็นปานนั้นทั้งหมด ไม่ควร. ฝ่ายภิกษุผู้อาพาธจะนุ่งโจรกระเบนผ้ากาสาวะไว้ข้างใน แล้วนุ่งอีกผืน ๑ ทับข้างนอก ก็ได้. ภิกษุผู้ไม่อาพาธ เมื่อจะนุ่ง ๒ ผืน พึงซ้อนกันเข้าเป็น ๒ ชั้นนุ่ง.
 ด้วยประการอย่างนี้ พึงเว้นการนุ่งทั้งปวงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามในขุททกวัตถุขันธกะนี้ และที่พระอรรถกถาจารย์ห้ามในเสขิยวัณณนา๑- ปกปิดให้ได้มณฑล ๓ ปราศจากวิการ นุ่งให้เรียบร้อย. เธอเมื่อทำให้วิการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่พ้นทุกกฎ. การที่ไม่ห่ม ดังการห่มของคฤหัสถ์ที่ทรงห้ามไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงห่มอย่างคฤหัสถ์ ดังนี้ ห่มจัดมุมทั้ง ๒ ให้เสมอกัน ชื่อว่าห่มเรียบร้อย. การห่มเรียบร้อยนั้น อันภิกษุพึงห่ม.
 ในการห่มดังคฤหัสถ์และการห่มเรียบร้อยนั้น การห่มอย่างใดอย่างหนึ่งที่ห่มแล้วโดยประการอื่น จากลักษณะที่เรียบร้อยมีอาทิอย่างนี้ คือ ห่มผ้าขาว ห่มอย่างปริพาชก ห่มอย่างคนที่ใช้ผ้าผืนเดียว ห่มอย่างนักเลง ห่มอย่างชาววัง ห่มคลุมทั้งตัวดังคฤหบดีผู้ใหญ่ ห่มดังชาวนาเข้ากระท่อม ห่มอย่างพราหมณ์ ห่มอย่างภิกษุผู้จัดแถว การห่มนี้ทั้งหมด ชื่อว่าห่มอย่างคฤหัสถ์. เพราะเหตุนั้น นิครนถ์ทั้งหลาย ผู้ใช้ผ้าขาว คลุมกายครึ่งเดียว ย่อมห่มฉันใด, อนึ่ง ปริพาชกบางพวกเปิดอกพาดผ้าห่มไว้บนจะงอยบ่าทั้ง ๒ ฉันใด,
 อนึ่ง คนทั้งหลายที่ใช้ผ้าผืนเดียว เอาชายผ้านุ่งข้าง ๑ คลุมหลัง พาดมุมทั้ง ๒ บนจะงอยบ่าทั้ง ๒ ฉันใด, อนึ่ง พวกนักเลงสุราเป็นต้น เอาผ้าพันคอ ห้อยชายทั้ง ๒ ลงไปที่ท้องบ้าง ตวัดไว้บนหลังบ้าง ฉันใด อนึ่ง สตรีชาววังเป็นต้น ห่มคลุมศีรษะเปิดแต่หน่วยตาไว้ ฉันใด, อนึ่ง คฤหบดีผู้เป็นใหญ่ทั้งหลาย นุ่งผ้ายาวคลุมตัวทั้งหมด ด้วยชายข้าง ๑ แห่งชายผ้านั้นเองฉันใด,
 อนึ่ง พวกชาวนา เมื่อจะเข้าสู่กระท่อมนา ห่มผ้าตวัดเข้าไปในซอกรักแร้แล้วคลุมตัวด้วยชายข้าง ๑ แห่งผ้านั้นเอง ฉันใด, อนึ่ง พวกพราหมณ์สอดผ้าเขาไปทางซอกรักแร้ทั้ง ๒ แล้วตวัดไว้บนจะงอยบ่าทั้ง ๒ ฉันใด,
 อนึ่ง ภิกษุผู้จัดแถว เปิดแขนซ้ายที่ห่มด้วยผ้าห่มเฉวียงบ่า ยกวีจรขึ้นพาดบนจะงอยบ่า ฉันใด ; ภิกษุไม่พึงห่มฉันนั้นเลยทีเดียว พึงเว้นโทษแห่งการห่มเหล่านั้นทั้งหมด และโทษแห่งการห่มเห็นปานนั้นเหล่าอื่นเสีย ห่มให้เรียบร้อย ปราศจากวิการ. เมื่อภิกษุผู้ไม่ห่มอย่างนั้น กระทำวิการอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยไม้ เอื้อเฟื้อ ในวัดก็ตาม ในละแวกบ้านก็ตาม ย่อมเป็นทุกกฏ. ๑- สมนฺต. ทุติย. ๔๙๒.
[ว่าด้วยหาบเป็นต้น] 
 บทว่า มุณฺฑวฏฺฏี มีอธิบายว่า เหมือนคนหาบของสำหรับใช้ ของพระราชาผู้เสด็จไปไหนๆ. บทว่า อนฺตรากาชํ ได้แก่ ภาระที่จะพึงคล้องไว้กลางคาน แล้วหามไป ๒ คน. บทว่า คจกฺขุสฺสํ คือ เป็นของไม้เกื้อกูลแก่จักษุ ได้แก่ ยังความเสียให้เกิดแก่ภิกษุ. บทว่า น ฉาเทติ ได้แก่ ไม่ชอบใจ. บทว่า อฏฺฐงฺคุลปรมํ ได้แก่ ไม้สีฟันยาว ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง ด้วยนิ้วขนาดของมนุษย์ทั้งหลาย. บทว่า อติมนฺทาหกํ ได้แก่ ไม้สีฟันที่สั้นนัก.
[ว่าด้วยการจุดไฟ]
               สองบทว่า ทายํ อาเฬเปนฺติ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์จุดไฟที่ดงหญ้าเป็นต้น.
               บทว่า ปฏคฺคึ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุจุดไฟรับ. 
               บทว่า ปริตฺตํ มีความว่า เราอนุญาตการป้องกันด้วยการทำให้ปราศจากหญ้า หรือด้วยการขุดคู. แต่ในการป้องกันนี้ เมื่อมีอนุปสัมบัน ภิกษุจะจุดไฟเอง ย่อมไม่ได้. 
               เมื่อไม่มีอนุปสัมบัน ภิกษุจะจุดไฟเองก็ดี จะถากถางพื้นดินนำหญ้าออกเสียก็ดี จะขุดคูก็ดี จะหักกิ่งไม้สดดับไฟก็ดี ย่อมได้. ไฟถึงเสนาสนะแล้วก็ตาม ยังไม่ถึงก็ตาม ภิกษุย่อมได้เพื่อยังไฟให้ดับ ด้วยอุบายอย่างนั้นเป็นแท้. 
               แต่เมื่อจะให้ไฟดับด้วยน้ำ ย่อมได้เพื่อให้ดับด้วยน้ำที่ควรเท่านั้น นอกนั้นไม่ได้.
  [ว่าด้วยขึ้นต้นไม้] ข้อว่า สติ กรณีเย มีความว่า เมื่อมีกิจที่จะต้องถือเอาฟืนแห้งเป็นต้น. 
               บทว่า โปริสิยํ ความว่า อนุญาตให้ภิกษุขึ้นต้นไม้ประมาณแค่ตัวบุรุษ.
               ข้อว่า อาปทาสุ มีความว่า ภิกษุเห็นอันตรายมีสัตว์ร้ายเป็นต้น หรือเป็นผู้หลงทาง หรือเป็นผู้ใคร่จะมองดูทิศ หรือเห็นไฟป่าลามมา หรือเห็นห้วงน้ำหลากมา ในอันตรายเห็นปานนี้ จะขึ้นต้นไม้แม้สูงเกินประมาณ ก็ควร.
 [ว่าด้วยคัมภีร์ทางโลก] 
               บทว่า กลฺยาณวากฺกรณา ได้แก่ เป็นผู้มีเสียงไพเราะ. 
               สองบทว่า ฉนฺทโส อาโรเปม มีความว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะยกพระพุทธวจนะขึ้นสู่ทางแห่งการกล่าวด้วยภาษาสังสกฤตเหมือนเวท.๑- โวหารที่เป็นของชาวมคธ มีประการอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ชื่อภาษาเดิม ในคำว่า สกาย นิรุตฺติยา นี้.
              คัมภีร์เดียรถีย์ ซึ่งประกอบด้วยเหตุอันไร้ประโยชน์ มีอาทิอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงเป็นแดน เพราะเหตุนี้ และนี้ สิ่งทั้งปวงไม่เป็นเดน เพราะเหตุนี้และนี้ กาเผือก เพราะเหตุนี้และนี้ นกยางดำ เพราะเหตุนี้และนี้ ดังนี้ ชื่อคัมภีร์อันเนื่องด้วยโลก. 
               สองบทว่า อนฺตรา อโหสิ มีความว่า ธรรมกถาได้เป็นเรื่องขาดตอน คือได้ถูกเสียงนั้นกลบเสีย.
               บทว่า อาพาธปฺปจฺจยา มีความว่า กระเทียมเป็นยาเพื่ออาพาธใด เพราะปัจจัยคืออาพาธนั้น. 
    วินิจฉัยในข้อว่า ปสฺสาวปาทุกํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- ภิกษุจะทำเขียงรองเหยียบ ด้วยอิฐก็ดี ด้วยศิลาก็ดี ด้วยไม้ก็ดี ควรอยู่. แม้ในวัจจปาทุกา ก็มีนัยเหมือนกัน. บทว่า ปริเวณํ ได้แก่ ร่วมในแห่งเครื่องล้อมแห่งเวจกุฏี. ข้อว่า ยถาธมฺโม กาเรตพฺโพ มีความว่า ในวัตถุแห่งทุกกฎ พึงปรับทุกกฏ ในวัตถุแห่งปาจิตตีย์ พึงปรับปาจิตตีย์.๑- คือแต่งเป็นกาพย์กลอนเป็นโศกลเหมือนคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์. 
  [ว่าด้วยของโลหะเป็นต้น]
ของโลหะที่เขาทำไว้ เพื่อประหาร เรียกว่า เครื่องประหาร. ความว่า คำว่า เครื่องประหารนั้น เป็นชื่อของสิ่งของที่นับว่าอาวุธชนิดใดชนิดหนึ่ง, เราอนุญาตของโลหะทั้งปวงอื่น นอกจากเครื่องประหารนั้น. ในคำว่า กตกญฺจ กุมฺภการิกญฺจ นี้ มีวินิจฉัยว่า เครื่องเช็ดเท้านั้น ได้กล่าวไว้แล้วแล. กุฏีทำด้วยดินล้วน ดังกุฏีของพระธนิยะ เรียกว่า กุมภการิกา. คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.ขุททกวัตถุขันธกวรรณนา จบ. หัวข้อประจำขันธกะ[๑๙๗] ๑. เรื่องขัดสีกายที่ต้นไม้ ๒. ขัดสีกายที่เสา ๓. ขัดสีกายที่ฝา ๔. อาบน้ำในที่ไม่ควร
 ๕. อาบน้ำขัดสีกายด้วยมือทำด้วยไม้ ๖. ขัดสีกายด้วยจุณหินสีดังพลอยแดง ๗. ผลัดกันถูตัว ๘. อาบน้ำถูด้วยไม้บังเวียน ๙. ภิกษุเป็นหิด ๑๐. ภิกษุชรา ๑๑. ถูหลังด้วยฝ่ามือ ๑๒. เครื่องตุ้มหู ๑๓. สังวาล ๑๔. สร้อยคอ ๑๕. เครื่องประดับเอว ๑๖. ทรงวลัย ๑๗. ทรงสร้อยตาบ ๑๘. ทรงเครื่องประดับข้อมือ ๑๙. ทรงแหวนประดับนิ้วมือ 
 ๒๐. ไว้ผมยาว ๒๑. เสยผมด้วยแปรง ๒๒. เสยผมด้วยมือ ๒๓. เสยผมด้วยน้ำมันผสมขี้ผึ้ง ๒๔. เสยผมด้วยน้ำมันผสมน้ำ ๒๕. ส่องเงาหน้าในแว่นในขันน้ำ ๒๖. แผลเป็นที่หน้า ๒๗. ผัดหน้า ๒๘. ทาหน้า ถูหน้าผัดหน้า เจิมหน้า ย้อมตัว ย้อมหน้า ย้อมทั้งหน้าทั้งตัว ๒๙. โรคนัยน์ตา ๓๐. มหรสพ ๓๑. สวดเสียงยาว ๓๒. สวดสรภัญญะ ๓๓. ห่มผ้าขนสัตว์ มีขนข้างนอก ๓๔. มะม่วงทั้งผล ๓๕. ชิ้นมะม่วง ๓๖. มะม่วงล้วน ๓๗. เรื่องงู ๓๘. ตัดองค์กำเนิด ๓๙. บาตรไม้จันทน์ ๔๐. เรื่องบาตรต่างๆ ๔๑. บังเวียนรองบาตร ๔๒. บังเวียนทองรองบาตร หนาไป ทรงอนุญาตให้กลึง ๔๓. บังเวียนรองบาตรวิจิตร ๔๔. บาตรเหม็นอับ ๔๕. บาตรมีกลิ่นเหม็น ๔๖. วางบาตรไว้ในที่ร้อน ๔๗. บาตรกลิ้งตกแตก ๔๘. เก็บบาตรไว้ที่กระดานเลียบ ๔๙. เก็บบาตรไว้ริมกระดานเลียบนอกฝา
 ๕๐. หญ้ารองบาตร ๕๑. ท่อนผ้ารองบาตร ๕๒. แท่นเก็บบาตร หม้อเก็บบาตร ๕๓. ถุงบาตรและสายโยกเป็นด้ายถัก ๕๔. แขวนบาตรไว้ที่ไม้เดือย ๕๕. เก็บบาตรไว้บนเตียง ๕๖. เก็บบาตรไว้บนตั่ง ๕๗. วางบาตรไว้บนตัก ๕๘. เก็บบาตรไว้บนกลด ๕๙. ถือบาตรอยู่ผลักประตูเข้าไป
 ๖๐. ใช้กะโหลกน้ำเต้าแทนบาตร ๖๑. ใช้กระเบื้องหม้อแทนบาตร ๖๒. ใช้กะโหลกผีแทนบาตร ๖๓. ใช้บาตรต่างกระโถน ๖๔. ใช้มีดตัดจีวร ๖๕. เรื่องใช้มีดมีด้าม ๖๖. ใช้ด้ามมีดทำด้วยทอง ๖๗. ใช้ขนไก่และไม้กลัดเย็บจีวร กล่องเข็ม แป้งข้าวหมาก ฝุ่นหิน ขี้ผึ้ง ผ้ามัดขี้ผึ้ง ๖๘. จีวรเสียมุม ผูกสะดึง ขึงสะดึงในที่ไม่เสมอขึงสะดึงที่พื้นดิน ขอบสะดึงชำรุด และไม่พอ ทำเครื่องหมายและตีบรรทัด ๖๙. ไม่ล้างเท้าเหยียบสะดึง
 ๗๐. เท้าเปียกเหยียบสะดึง ๗๑. สวมรองเท้าเหยียบสะดึง ๗๒. ใช้นิ้วมือรับเข็ม ๗๓. ปลอกนิ้วมือ ๗๔. กล่องสำหรับเก็บเครื่องเย็บผ้า และสายโยก เป็นด้ายถัก ๗๕. เย็บจีวรในที่แจ้งโรงไม้สะดึงต่ำ ถมพื้นให้สูง ขึ้นลงลำบาก ๗๖. ผงหญ้าที่มุงตกเกลื่อนพระวินายกทรงอนุญาตให้รื้อลงฉาบด้วยดินทั้งข้างนอกข้างใน ทำให้มีสีขาว สีดำสีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวรสายระเดียงจีวร ๗๗. ทิ้งไม้สะดึงแล้วหลีกไป ไม้สะดึงหักเสียหาย คลี่ออก ๗๘. เก็บสะดึงไว้ที่ฝากุฏิ ๗๙. ใช้บาตรบรรจุเข็ม มีด เครื่องยาเดินทางถุงเก็บเครื่องยา สายโยกเป็นด้ายถัก
 ๘๐. ใช้ผ้ากายพันธ์ผูกรองเท้า ถุงเก็บ รองเท้า สายโยกเป็นด้ายถัก ๘๑. น้ำในระหว่างทางเป็นอกัปปิยะ ผ้ากรองน้ำกระบอกกรองน้ำ ๘๒. ภิกษุสองรูปเดินทางไปเมืองเวสาลี ๘๓. พระมหามุนีทรงอนุญาตผ้ากรองน้ำมีขอบและผ้าลาดลงบนน้ำ ๘๔. ยุงรบกวน ๘๕. อาหารประณีต เกิดโรคมาก หมอชีวกทูลขออนุญาตสร้างที่จงกรมและเรือนไฟ ๘๖. ที่จงกรมขรุขระ ๘๗. พื้นที่จงกรมต่ำ ทรงอนุญาตให้ก่อกรุดินที่ถม ๓ ชนิด ขึ้นลงลำบาก ทรงอนุญาตบันไดและราวสำหรับยึด ๘๘. ทรงอนุญาตรั้วรอบที่จงกรม ๘๙. จงกรมในที่แจ้งผงหญ้าหล่นเกลื่อน ทรงอนุญาตให้รื้อลงฉาบด้วยดินทำให้มี สีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกรดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียงจีวร
 ๙๐. ทรงอนุญาตให้ถมเรือนไฟให้สูงกั้นกรุ บันได ราวบันได บานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรองเดือยประตูห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องชักเชือก เชือกชักก่อฝาเรือนไฟให้ต่ำ และปล่องควัน ๙๑. เรือนไฟตั้งอยู่กลาง ทรงอนุญาตดินทาหน้า รางละลายดิน ดินมีกลิ่นเหม็น ๙๒. ไฟลนกาย ทรงอนุญาตที่ขังน้ำ ขันตักน้ำเรือนไฟไหม้เกรียม พื้นที่เป็นตม ทรงอนุญาตให้ล้าง ทำท่อระบายน้ำ ๙๓. ตั่งรองนั่งในเรือนไฟ ๙๔. ทำซุ้ม ๙๕. ทรงอนุญาตโรยกรวดแร่ วางศิลาเลียบ ท่อระบายน้ำ ๙๖. เปลือยกายไหว้กัน ๙๗. วางจีวรไว้บนพื้นดินฝนตกเปียก ๙๘. ทรงอนุญาต เครื่องกำบัง ๓ ชนิด ๙๙. บ่อน้ำ
 ๑๐๐. ใช้ผ้ากายพันธ์และเถาวัลย์ผูกภาชนะตักน้ำ ทรงอนุญาตคันโพง ระหัดชัก ระหัดถีบภาชนะตักน้ำแตก ทรงอนุญาตถังน้ำทำด้วยโลหะไม้และท่อนหนัง ๑๐๑. ทรงอนุญาตศาลาใกล้บ่อน้ำ ๑๐๒. ทรงอนุญาตฝาปิดบ่อกัน ผงหญ้า ๑๐๓. ทรงอนุญาตรางไม้ ๑๐๔. ทรงอนุญาตท่อระบายน้ำ และกำแพงกั้น น้ำขังลื่นทรงอนุญาตท่อระบายน้ำ ๑๐๕. เนื้อตัวตกหนาว ทรงอนุญาตผ้าชุบน้ำ ๑๐๖. ทรงอนุญาตสระน้ำ น้ำในสระเก่า ทรงอนุญาตให้ทำท่อระบายน้ำ ๑๐๗. ทรงอนุญาตเรือนไฟมีปั้นลม ๑๐๘. ไม่อยู่ปราศจากผ้านิสีทนะ ๔ เดือน ๑๐๙. นอนบนที่นอนอันเดียรดาษด้วยดอกได้ ๑๑๐. ไม่รับประเคนดอกไม้ของหอม
๑๑๑. ไม่ต้องอธิษฐานสันถัตขนเจียมหล่อ ๑๑๒. ฉันจังหันบนเตียบ ๑๑๓. ทรงอนุญาตโตก ๑๑๔. ฉันจังหันและนอนร่วมกัน ๑๑๕. เจ้าวัฑฒะลิจฉวี ๑๑๖. โพธิราชกุมาร พระพุทธเจ้าไม่ทรงเหยียบผ้า ๑๑๗. หม้อน้ำ ปุ่มไม้สำหรับเช็ดเท้า และไม้กวาด ๑๑๘. ทรงอนุญาตที่เช็ดเท้าทำด้วยหิน กรวดกระเบื้อง หินฟองน้ำ ๑๑๙. ทรงอนุญาตพัดโบก พัดใบตาล ๑๒๐. ไม้ปัดยุง แส้จามรี ๑๒๑. ทรงอนุญาตร่ม ๑๒๒. ไม่มีร่มไม่สบาย ๑๒๓. ทรงอนุญาตร่มในวัด รวม ๓ เรื่อง ๑๒๔. วางบาตรไว้ในสาแหรก ๑๒๕. สมมติสาแหรก สมมติไม้เท้าและสาแหรก ๑๒๖. โรคเรอ ๑๒๗. เมล็ดข้าวเกลื่อน ๑๒๘. ไว้เล็บยาว ๑๒๙. ตัดเล็บ นิ้วมือเจ็บ ตัดเล็บจนถึงเลือด ยาวทรงอนุญาตมีดโกน หินลับมีดโกน ปลอกมีดโกน ผ้าพันมีดโกน เครื่องมือโกนผมทุกอย่าง  ๑๓๐. ขัดเล็บทั้ง ๒๐ นิ้ว
 ๑๓๑. ไว้ผมให้ก่อกรุ บันได ราวสำหรับยึด นั่งริมๆ ถ่ายอุจจาระ นั่งถ่ายอุจจาระลำบาก ทรงอนุญาตเขียงรองเท้าถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะออกไปข้างนอก ทรงอนุญาตรางรองปัสสาวะ ไม้ชำระ ตะกร้ารองรับไม้ชำระ หลุมวัจจกุฎี ไม่ได้ปิด ทรงอนุญาตฝาปิด ๑๓๒. ตัดหนวด ไว้หนวด ไว้เครา ไว้หนวดสี่เหลี่ยมขมวดกลุ่มขนหน้าอก ไว้กลุ่มขนท้อง ไว้หนวดเป็นเขี้ยวโง้ง โกนขนในที่แคบ ๑๓๓. อาพาธโกนขนในที่แคบได้ ๑๓๔. ตัดผมด้วยกรรไกร ๑๓๕. ศีรษะเป็นแผล ๑๓๖. ไว้ขนจมูกยาว ๑๓๗. ถอนขนจมูกด้วยก้อนกรวด ๑๓๘. เรื่องถอนผมหงอก ๑๓๙. เรื่องมูลหูจุกช่องหู ๑๔๐. ใช้ไม้แคะหู
๑๔๑. เรื่องสั่งสมเครื่องโลหะกับไม้ป้ายยาตา ๑๔๒. นั่งรัดเข่า ๑๔๓. ผ้ารัดเข่า ด้าย พัน ๑๔๔. ผ้ารัดประคต ๑๔๕. ภิกษุใช้รัดประคตเป็นเชือกหลายเส้นประคตถักเป็นศีรษะงูน้ำ ประคตกลมคล้ายเกลียวเชือก ประคตคล้ายสังวาลทรงอนุญาตรัดประคตแผ่นผ้า และรัดประคตกลม ชายผ้ารัดประคตเก่า ทรงอนุญาตให้เย็บทบ ถักเป็นห่วง ที่สุดห่วงรัดประคตเก่า ทรงอนุญาตลูกถวิน ๑๔๖. ทรงอนุญาตลูกดุม และรังดุม ๑๔๗. ทำลูกดุมต่างๆ ๑๔๘. ติดแผ่นผ้ารองลูกดุม และรังดุม ๑๔๙. นุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ คือ นุ่งห้อยชายเหมือนงวงช้าง นุ่งปล่อยชายคล้ายหางปลา นุ่งปล่อยชายเป็นสี่แฉก นุ่งห้อยชายคล้ายก้านตาล นุ่งยกกลีบตั้งร้อย 
๑๕๐. ห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ ๑๕๑. นุ่งผ้าเหน็บชายกระเบน 
๑๕๒. หาบของสองข้าง ๑๕๓. ไม้ชำระฟัน 
๑๕๔. ใช้ไม้ชำระฟันตีสามเณร ๑๕๕. ไม้ชำระฟันติดคอ 
๑๕๖. จุดไฟเผากองหญ้า ๑๕๗. จุดไฟรับ ๑๕๘. ขึ้นต้นไม้ 
๑๕๙. หนีช้าง ๑๖๐. ภาษาสันสกฤต ๑๖๑. เรียนโลกายตศาสตร์ 
๑๖๒. สอนโลกายตศาสตร์ ๑๖๓. เรียนดิรัจฉานวิชา 
๑๖๔. สอนดิรัจฉานวิชา ๑๖๕. ทรงจาม ๑๖๖. เรื่องมงคล 
๑๖๗. ฉันกระเทียม ๑๖๘. อาพาธเป็นลม ฉันกระเทียมได้
๑๖๙. อารามสกปรกมีกลิ่นเหม็น นั่งปัสสาวะลำบาก ทรงอนุญาตเขียงรองเท้าถ่ายปัสสาวะ ภิกษุทั้งหลายละอาย หม้อปัสสาวะไม่มีฝาปิด มีกลิ่นเหม็น ถ่ายอุจจาระลงในที่นั้นๆ มีกลิ่นเหม็น หลุมถ่ายอุจจาระพัง ทรงอนุญาตให้ถมขอบปากให้สูง และทรงอนุญาตให้ตัด พอดีเนื้อ
๑๗๐. วัจจกุฎี บานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรับเดือยบานประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าตกลงเกลื่อน ทรงอนุญาตให้รื้อลงฉาบด้วยดินทั้งข้างบนข้างล่างทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกรดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียง
 ๑๗๑. ภิกษุชราทุพพลภาพ
 ๑๗๒. ทรงอนุญาตให้ล้อมเครื่องล้อม 
๑๗๓. ทรงอนุญาตซุ้มประตูวัจจกุฎี โรยกรวดแร่ วางศิลาเลียบ น้ำขัง ทรงอนุญาตท่อระบายน้ำ หม้อน้ำชำระ ขันตักน้ำ ชำระ นั่งชำระลำบาก ละอาย ทรงอนุญาตฝาปิด
 ๑๗๔. พระฉัพพัคคีย์ประพฤติอนาจาร
๑๗๕. ทรงอนุญาตเครื่องโลหะ เว้นเครื่องประหาร พระมหามุนีทรงอนุญาตเครื่องไม้ทั้งปวง เว้นเก้าอี้นอนมีแคร่ บัลลังก์ บาตรไม้และเขียงไม้ พระตถาคตผู้ทรงอนุเคราะห์ ทรง อนุญาตเครื่องดินแม้ทั้งมวล เว้นเครื่องเช็ดเท้า และกุฎีที่ทำด้วยดินเผา นิทเทศแห่งวัตถุใด ถ้าเหมือนกับข้างต้น นักวินัยพึงทราบวัตถุนั้นว่าท่านย่อไว้ในอุทาน โดยนัย เรื่องในขุททกวัตถุขันธกะ ที่แสดงมานี้มี ๑๑๐ เรื่อง
 ๑- พระวินัยธรผู้ ศึกษาดีแล้ว มีจิตเกื้อกูล มีศีลเป็นที่รักด้วยดี มีปัญญาส่องสว่างดังดวงประทีป เป็นพหูสูต ควรบูชา จะเป็นผู้ดำรงพระสัทธรรม และอนุเคราะห์แก่เหล่าสพรหมจารีผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ 
  หัวข้อประจำขันธกะ จบ

02 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ขุททกวัตถุขันธกะ เรื่องไม้เท้า, สาแหรก เป็นต้น, กรรมวาจาให้ทัณฑสมมติ คำขอสิกกาสมมติ, เรื่องภิกษุเรอ เรื่องเล็บยาว

   ทำบุญ 
 [๑๓๕] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งวางบาตรไว้ในสาแหรก แล้วห้อยไว้ที่ไม้เท้า เดินผ่านไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่งในเวลาพลบค่ำ ชาวบ้านบอกกันว่าพวกเรา นั่นโจรกำลังเดินไป ดาบของมันส่องแสงวาว แล้วตามไล่ไปจับตัวได้รู้แล้วปล่อยไป ครั้นภิกษุนั้นไปถึงวัดแล้ว แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ ถามว่า ก็คุณถือไม้เท้ากับสาแหรกหรือ ภิกษุนั้นรับว่า ถูกแล้ว ขอรับ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงได้ถือไม้เท้ากับสาแหรกเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงถือไม้เท้ากับสาแหรก รูปใดถือ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
 [๑๓๖] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ปราศจากไม้เท้า ไม่สามารถจะเดินไปไหนได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติไม้เท้าแก่ภิกษุอาพาธ ฯ
 [๑๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงให้สมมติไม้เท้าอย่างนี้:- ภิกษุอาพาธนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขออย่างนี้ ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถไปไหนได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นขอทัณฑสมมติ กะสงฆ์ พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม ฯ
   [๑๓๘] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาให้ทัณฑสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อ
   นี้รูปนี้อาพาธไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไปไหน
   ได้ เธอขอทัณฑสมมติกะสงฆ์ ถ้าความพร้อม
   พรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้ทัณฑสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ นี้เป็นญัตติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อ
   นี้รูปนี้อาพาธไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไปไหน
   ได้ เธอขอทัณฑสมมติกะสงฆ์ สงฆ์ให้ทัณฑ
   สมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้ทัณฑสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด ทัณฑสมมติ อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้ ฯ
   [๑๓๙] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ไม่ใช้สาแหรก ไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติสาแหรกแก่ภิกษุอาพาธ ฯ
 [๑๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงให้สมมติอย่างนี้ ภิกษุอาพาธนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขออย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำขอสิกกาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่มีสาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นขอสิกกาสมมติกะสงฆ์ พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม ฯ
 [๑๔๑] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาให้สิกกาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อ
   นี้รูปนี้อาพาธไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำ
   บาตรไปได้ เธอขอสิกกาสมมติกะสงฆ์ถ้าความ
   พร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้สิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ นี้เป็นญัตติ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธ ไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ เธอขอสิกกาสมมติกะสงฆ์ สงฆ์ให้สิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้สิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบ แก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด สิกกาสมมติ อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้ ฯ
   [๑๔๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไปไหนได้ และไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถนำบาตรไปได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติไม้เท้าและสาแหรกแก่ภิกษุอาพาธ ก็แล สงฆ์พึงให้สมมติอย่างนี้ ภิกษุอาพาธนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์
ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขออย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำขอทัณฑสิกกาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่
   สามารถจะไปไหนได้ และไม่ใช้สาแหรกไม่
   สามารถจะนำบาตรไปได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นขอทัณฑสิกกาสมมติกะสงฆ์ พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม ฯ
   [๑๔๓] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาให้ทัณฑสิกกาสมมติ
               ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อ
               นี้รูปนี้อาพาธไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะเดินไป
               ไหนได้ และไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำ
               บาตรไปได้ เธอขอทัณฑสิกกาสมมติกะสงฆ์
   ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้ทัณฑสิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้นี้เป็นญัตติ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถเดินไปไหนได้ และไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ เธอขอทัณฑสิกกาสมมติกะสงฆ์ สงฆ์ให้ทัณฑสิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้
               ทัณฑสิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด
               ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน
               ผู้นั้นพึงพูด ทัณฑสิกกาสมมติ อันสงฆ์ให้แล้วแก่
   ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้ ฯ
เรื่องภิกษุเรอ
   [๑๔๔] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นโรคเรอ เธอเรออ้วกแล้วกลับกลืนเข้าไป ภิกษุทั้งหลาย เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ภิกษุนี้ฉันอาหารในเวลาวิกาล  แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้จุติมาจากกำเนิดโคไม่นาน เราอนุญาตอาหารที่อ้วกแก่ภิกษุผู้มักอ้วก แต่ออกมานอกปากแล้วไม่พึงกลืนเข้าไป รูปใดกลืนเข้าไป พึงปรับตามธรรม ฯ
   [๑๔๕] สมัยนั้น สังฆภัตรเกิดแก่สงฆ์หมู่หนึ่ง เมล็ดข้าวเป็นอันมากกลาดเกลื่อนในโรงอาหาร ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เมื่อเขาถวายข้าวสุก ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ไม่รับโดยเคารพ ข้าวแต่ละเมล็ดจะสำเร็จได้ด้วยการกระทำหลายครั้ง ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดทายกถวายตกหล่น เราอนุญาตให้เก็บสิ่งนั้นฉันเองได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะของนั้นทายกบริจาคแล้ว ฯ
เรื่องเล็บยาว
   [๑๔๖] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งไว้เล็บยาวเที่ยวบิณฑบาต สตรีผู้หนึ่งเห็นเข้า จึงได้กล่าวชวนภิกษุรูปนั้นว่า ท่านเจ้าข้า นิมนต์มาเสพเมถุน ภิกษุนั้นตอบว่า อย่าเลย น้องหญิง เรื่องเช่นนี้ไม่สมควร
   ส. ถ้าท่านไม่เสพ ดิฉันจักหยิกข่วนเนื้อตัวด้วยเล็บของดิฉัน แล้วร้องโวยวายขึ้นในบัดนี้ว่า ภิกษุนี้ข่มขืนดิฉัน
   ภิ. จงรู้เองเถิด น้องหญิง
   สตรีผู้นั้นหยิกข่วนเนื้อตัวของตนด้วยเล็บ แล้วได้ร้องโวยวายขึ้นว่า ภิกษุนี้ข่มขืนเรา ชาวบ้านได้วิ่งเข้าไปจับกุมภิกษุนั้น พวกเขาได้เห็นผิวหนังและเลือดที่เล็บมือของสตรีผู้นั้น
 ครั้นแล้วลงความเห็นว่า การกระทำนี้ของสตรีผู้นี้ต่างหากภิกษุไม่ใช่เป็นผู้กระทำ แล้วปล่อยภิกษุนั้นไป ครั้นภิกษุนั้นไปถึงวัดแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายถามว่า ก็คุณไว้เล็บยาวหรือ ภิกษุรูปนั้นรับว่า เป็นอย่างนั้น ขอรับ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงได้ไว้เล็บยาว  แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไว้เล็บยาว รูปใดไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๑๔๗] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายตัดเล็บมือด้วยเล็บมือบ้าง ตัดเล็บมือด้วยปากบ้าง ครูดเล็บมือที่ฝาผนังบ้าง นิ้วมือเจ็บ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตมีดตัดเล็บภิกษุทั้งหลายตัดเล็บจนเลือดออก นิ้วมือเจ็บ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตัดเล็บเสมอเนื้อ ฯ
เรื่องขัดเล็บ
   [๑๔๘] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์วานกันให้ขัดเล็บทั้ง ๒๐ นิ้ว ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงวานกันให้ขัดเล็บทั้ง ๒๐ นิ้ว รูปใดให้ขัด ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แคะขี้เล็บได้ ฯ
เรื่องมีดโกน
   [๑๔๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายมีผมยาว ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามารถจะปลงผมให้แก่กันได้หรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า สามารถ พระพุทธเจ้าข้า ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น ... รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตมีดโกน หินลับมีดโกน ฝักมีดโกน ผ้าพันมีดโกน เครื่องมีดโกนทุกอย่าง ฯ
เรื่องแต่งหนวด
   [๑๕๐] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์วานกันตัดหนวด ปล่อยหนวดไว้ให้ยาว ไว้เครา แต่งหนวดเป็นสี่เหลี่ยม ขมวดกลุ่มขนหน้าอก ไว้กลุ่มขนท้อง ไว้หนวดเป็นเขี้ยวโง้ง โกนขนในที่แคบ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงตัดหนวด ไม่พึงปล่อยหนวดไว้ให้ยาว ไม่พึงไว้เครา ไม่พึงแต่งหนวดเป็นสี่เหลี่ยม ไม่พึงขมวดกลุ่มขนหน้าอกไม่พึงไว้กลุ่มขนท้อง ไม่พึงไว้หนวดเป็นเขี้ยวโง้ง ไม่พึงโกนขนในที่แคบ รูปใดโกน ต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องโกนขนในที่แคบ
   [๑๕๑] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นแผลในที่แคบ ทายาไม่ติด ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โกนขนในที่แคบได้ เพราะเหตุอาพาธ ฯ
   [๑๕๒] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้กันและกันให้ตัดผมด้วยกรรไกร ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุไม่พึงให้ตัดผมด้วยกรรไกร รูปใดให้ตัด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๑๕๓] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นแผลที่ศีรษะ ไม่อาจปลงผมด้วยมีด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตัดผมด้วยกรรไกรได้ เพราะเหตุอาพาธ ฯ
เรื่องไว้ขนจมูกยาว
   [๑๕๔] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายปล่อยขนจมูกไว้ยาว ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกปีศาจ ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไว้ขนจมูกยาว รูปใดไว้ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๑๕๕] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายให้ถอนขนจมูกด้วยกรวดบ้าง ด้วยขี้ผึ้งบ้าง จมูกเจ็บ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตแหนบ ฯ
   [๑๕๖] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้กันถอนผมหงอก ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้ถอนผมหงอก รูปใดให้ถอน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๑๕๗] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งมีขี้หูจุกช่องหู ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้แคะหู ฯ
   [๑๕๘] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ไม้แคะหูต่างๆ คือ ทำด้วยทอง ทำด้วยเงิน ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ไม้แคะหูต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตไม้แคะหูที่ทำด้วยกระดูก งา เขา ไม้อ้อ ไม้ไผ่ ไม้จริง ยางไม้ เมล็ดผลไม้โลหะ กระดองสังข์ ฯ
ทรงห้ามสั่งสมเครื่องโลหะเครื่องสัมฤทธิ์
   [๑๕๙] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สั่งสมเครื่องโลหะ เครื่องทองสัมฤทธิ์ไว้เป็นอันมาก ชาวบ้านไปเที่ยวชมตามวิหารพบเข้า แล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้สั่งสมเครื่องโลหะเครื่องทองสัมฤทธิ์ ไว้มากมายคล้ายพ่อค้าขายเครื่องทองสัมฤทธิ์ ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสั่งสมเครื่องโลหะ เครื่องทองสัมฤทธิ์ รูปใดสั่งสม ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
  [๑๖๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายรังเกียจกล่องยาตา ไม้ป้ายยาตา ไม้แคะหูซึ่งเพียงห่อรวมกันไว้ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกล่องยาตา ไม้ป้ายยาตา ไม้แคะหู เพียงห่อรวมกันไว้ ฯ
 [๑๖๑] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิ แผ่นผ้าสังฆาฏิหลุด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิ รูปใดนั่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
 [๑๖๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เธอเว้นผ้ารัดเข่าเสียไม่สบาย ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้ารัดเข่า ภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า เราจะพึงรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผ้ารัดเข่า จึงได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตไม้สะดึงที่แผ่ด้วย ด้ายพัน ไม้สลักทอ และเครื่องหูกทุกอย่าง ฯ
เรื่องประคดเอว
   [๑๖๓] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งไม่ได้คาดรัดประคด เข้าบ้านไปบิณฑบาต ผ้าสบงของเธอหลุดที่ถนน ชาวบ้านเห็นแล้วพากันโห่ ภิกษุนั้นกระดากอาย ครั้นไปถึงวัดแล้ว เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่มีรัดประคดไม่พึงเข้าบ้าน รูปใดเข้าบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตผ้ารัดประคด ฯ
 [๑๖๔] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าประคดต่างๆ คือ ประคดถักเชือกหลายเส้น ประคดถักเป็นศีรษะงูน้ำ ประคดกลมคล้ายเกลียวเชือก ประคดคล้ายสังวาล ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... เส้นประคดถักเป็นศีรษะงูน้ำ ประคดกลมคล้ายเกลียวเชือก ประคดคล้ายสังวาล รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตประคด ๒ ชนิด คือ ประคดแผ่นผ้า ๑ ประคดกลมดังไส้สุกร ๑ ... ชายผ้าประคดเก่า ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถักกลมคล้ายเกลียวเชือก ให้ถักคล้ายสังวาลได้ ปลายประคดเก่า ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเย็บทบเข้ามา ถักเป็นห่วง ที่สุดห่วงประคดเก่า ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลูกถวิล ฯ
เรื่องลูกถวิล
   [๑๖๕] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ลูกถวิลต่างๆ คือ ทำด้วยทอง ทำด้วยเงิน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ลูกถวิลต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลูกถวิล ทำด้วยกระดูก งา เขา ไม้อ้อ ไม้ไผ่ ... กระดองสังข์ เส้นด้าย ฯ
เรื่องลูกดุม
   [๑๖๖] สมัยนั้น ท่านพระอานนท์ห่มผ้าสังฆาฏิเนื้อบางเข้าบ้านบิณฑบาต สังฆาฏิของท่านถูกลมหัวด้วนพัดเลิกขึ้น ครั้นท่านกลับถึงอารามแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลูกดุมและรังดุม ฯ
   [๑๖๗] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ลูกดุมต่างๆ คือ ทำด้วยทอง ทำด้วยเงิน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ลูกดุมต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลูกดุม ทำด้วยกระดูก งา เขา ไม้อ้อ ไม้ไผ่ ไม้จริง ยางไม้ เมล็ดผลไม้ โลหะ กระดองสังข์ เส้นด้าย ฯ
 [๑๖๘] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายเย็บตรึงลูกดุมบ้าง รังดุมบ้าง ลงที่จีวร จีวรชำรุด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค. ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตแผ่นผ้ารองลูกดุม แผ่นผ้ารองรังดุม ภิกษุทั้งหลายเย็บตรึงแผ่นผ้ารองลูกดุมแผ่นผ้ารองรังดุมลงที่ชายจีวร มุมผ้าเปิด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ติดแผ่นผ้ารองลูกดุม แผ่นผ้ารองรังดุมที่ชายผ้าลึกเข้าไป ๗-๘ องคุลี ฯ
เรื่องพระฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์
   [๑๖๙] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ คือ นุ่งห้อยชายเหมือนงวงช้าง นุ่งปล่อยชายคล้ายหางปลา นุ่งปล่อยชายสี่แฉก นุ่งห้อยชายคล้ายก้านตาล นุ่งยกกลีบตั้งร้อย ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ คือ นุ่งห้อยชายเหมือนงวงช้าง นุ่งปล่อยชายคล้ายหางปลา นุ่งปล่อยชายเป็นสี่แฉก นุ่งห้อยชายคล้ายก้านตาล นุ่งยกกลีบตั้งร้อย รูปใดนุ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๑๗๐] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ รูปใดห่มต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๑๗๑] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าเหน็บชายกระเบน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนคนหาบของหลวง ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนุ่งผ้าเหน็บชายกระเบน รูปใดนุ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๑๗๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์หาบของสองข้าง ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนคนหาบของหลวง ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงหาบของสองข้าง รูปใดหาบ ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คอน หาม เทิน แบก กระเดียด หิ้ว ฯ
               เรื่องไม้ชำระฟัน[๑๗๓] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายไม่เคี้ยวไม้ชำระฟัน ปากมีกลิ่นเหม็น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การไม่เคี้ยวไม้ชำระฟันมีโทษ ๕ ประการนี้ คือ นัยน์ตาไม่แจ่มใส ๑ ปากมีกลิ่นเหม็น ๑ ลิ้นรับรสอาหารไม่บริสุทธิ์ ๑ ดีและเสมหะหุ้มห่อ อาหาร ๑ ไม่ชอบฉันอาหาร ๑ ไม่เคี้ยวไม้ชำระฟันมีโทษ ๕ ประการนี้แล 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย การเคี้ยวไม้ชำระฟันมีอานิสงส์ ๕ ประการนี้ คือ นัยน์ตาแจ่มใส ๑ ปากไม่มีกลิ่นเหม็น ๑ ลิ้นรับรสอาหารบริสุทธิ์ ๑ ดีและเสมหะไม่หุ้มห่ออาหาร ๑ ชอบฉันอาหาร ๑ การเคี้ยวไม้ชำระฟัน มีอานิสงส์ ๕ ประการนี้แล เราอนุญาตไม้ชำระฟัน ฯ
                [๑๗๔] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เคี้ยวไม้ชำระฟันยาว และตีสามเณรด้วยไม้ชำระฟันเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเคี้ยวไม้ชำระฟันยาว รูปใดเคี้ยว ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตไม้ชำระฟันยาว ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง และไม่พึงตีสามเณรด้วย ไม้นั้น รูปใดตี ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
               [๑๗๕] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งเคี้ยว ไม้ชำระฟันสั้นเกินไป ไม้ชำระฟันหลุดเข้าไปติดในคอ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเคี้ยวไม้ชำระฟันสั้นเกินไป รูปใดเคี้ยว ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ เราอนุญาตไม้ชำระฟันขนาด ๔ องคุลีเป็นอย่างต่ำ ฯ
               เรื่องพระฉัพพัคคีย์จุดไฟเผากองหญ้า[๑๗๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์จุดไฟเผากองหญ้า ชาวบ้านเพ่ง โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนคนเผาป่า ... ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่อง นั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึง เผากองหญ้า รูปใดเผา ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
               [๑๗๗] สมัยนั้น วิหารที่อยู่มีหญ้าขึ้นรก เมื่อไฟป่าไหม้มาถึง วิหารถูกไฟไหม้ ภิกษุทั้งหลายรังเกียจที่จะจุดไฟรับเพื่อทำการป้องกัน ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไว้เมื่อไฟป่าไหม้มาถึง ให้จุดไฟรับเพื่อป้องกัน ฯ
               เรื่องขึ้นต้นไม้ [๑๗๘] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ขึ้นต้นไม้ ไต่จากต้นหนึ่ง ไปสู่ต้นหนึ่ง ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนลิง ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ไม่พึงขึ้นต้นไม้ รูปใดขึ้น ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
               [๑๗๙] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งไปเมืองสาวัตถีในโกศลชนบท ช้างไล่ ในระหว่างทาง จึงภิกษุนั้นวิ่งเข้าไปยังโคนต้นไม้ รังเกียจไม่ขึ้นต้นไม้ ช้างนั้นได้ ไปทางอื่น ครั้นภิกษุนั้นไปถึงเมืองสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีกิจจำเป็น เราอนุญาตให้ขึ้นต้นไม้สูงชั่วบุรุษ ในคราวมีอันตราย ขึ้นได้ตามประสงค์ ฯ
                [๑๘๐] สมัยนั้น ภิกษุสองรูปเป็นพี่น้องกัน ชื่อเมฏฐะและโกกุฏฐะ เป็นชาติพราหมณ์ พูดจาอ่อนหวาน เสียงไพเราะ เธอสองรูปนั้นเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า พระ พุทธเจ้าข้า บัดนี้ ภิกษุทั้งหลายต่างชื่อ ต่างโคตร ต่างชาติ ต่างสกุลกันเข้ามา บวช พวกเธอจะทำพระพุทธวจนะให้ผิดเพี้ยนจากภาษาเดิม ผิฉะนั้น ข้าพระ พุทธเจ้าทั้งหลายจะขอยกพระพุทธวจนะขึ้นโดยภาษาสันสกฤต
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆะบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวก เธอจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะขอยกพระพุทธวจนะ ขึ้นโดยภาษาสันสกฤตดังนี้เล่า ดูกรโมฆะบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
               ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงยกพุทธวจนะขึ้นโดยภาษา สันสกฤต รูปใดยกขึ้น ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตให้เล่าเรียนพุทธวจนะตามภาษาเดิม ฯ
               เรื่องเรียนคัมภีร์โลกายตะ[๑๘๑] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เรียนคัมภีร์โลกายตะ ชาวบ้านเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ... จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
                พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เห็นคัมภีร์โลกายตะว่ามีสาระจะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้หรือ
                ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
                ภ. อันผู้ที่เห็นธรรมวินัยนี้ว่ามีสาระ จะพึงเล่าเรียนคัมภีร์โลกายตะหรือ
                ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
                ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเรียนคัมภีร์โลกายตะ รูปใดเรียน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
                [๑๘๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สอนคัมภีร์โลกายตะ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแก่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสอนคัมภีร์โลกายตะ รูปใดสอน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
               เรื่องเรียนดิรัจฉานวิชา[๑๘๓] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์เรียนดิรัจฉานวิชา ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเรียนดิรัจฉานวิชา รูปใดเรียน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
               [๑๘๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สอนดิรัจฉานวิชา ชาวบ้านเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสอนดิรัจฉานวิชา รูปใดสอน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
                [๑๘๕] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า อันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว กำลังทรงแสดงธรรม ได้ทรงจามขึ้น ภิกษุทั้งหลายได้ถวายพระพรอย่างอึงมี่ว่า
               ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงพระชนมายุ ขอพระสุคตจงทรงพระชนมายุเถิด พระพุทธเจ้าข้า ธรรมกถาได้พักในระหว่างเพราะเสียงนั้น จึงพระผู้มีพระภาครับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่ถูกเขาให้พรว่า ขอจงเจริญชนมายุในเวลาจาม จะพึงเป็น หรือพึงตายเพราะเหตุที่ให้พรนั้นหรือ
                ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
                ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงกล่าวคำให้พรว่า ขอจงมีชนมายุ ในเวลาที่เขาจาม รูปใดให้พร ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
                [๑๘๖] สมัยนั้น ชาวบ้านให้พรในเวลาที่ภิกษุทั้งหลายจามว่า ขอท่านจงมีชนมายุ ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ มิได้ให้พรตอบ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร
               เมื่อเขาให้พรว่า จงเจริญ ชนมายุ จึงไม่ให้พรตอบเล่า ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านมีความต้องการด้วยสิ่งเป็นมงคล เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ที่เขาให้พรว่า จงเจริญชนมายุ ดังนี้
               ให้พรตอบแก่ชาวบ้านว่า ขอท่านจงเจริญชนมายุยืนนาน ฯ
               เรื่องฉันกระเทียม[๑๘๗] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งฉันกระเทียม แลเธอคิดว่า ภิกษุทั้งหลายอย่าได้รบกวน จึงนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้นนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วจึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทำไมหนอ ภิกษุนั้นจึงนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ภิกษุนั้นฉันกระเทียม พระพุทธเจ้าข้า แลเธอ คิดว่า ภิกษุทั้งหลายอย่ารบกวน จึงนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง
                ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุฉันของใดแล้ว จะพึงเป็นผู้เหินห่างจากธรรมกถาเห็นปานนี้ ภิกษุควรฉันของนั้นหรือ
                ภิ. ไม่ควรฉัน พระพุทธเจ้าข้า
                ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันกระเทียม รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
                [๑๘๘] สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรอาพาธเป็นลมเสียดท้อง ครั้งนั้นท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรแล้วถามว่า เมื่อก่อนท่านเป็นลมเสียดท้อง หายด้วยยาอะไร ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ผมหายด้วยกระเทียม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ฉันกระเทียมได้ เพราะเหตุอาพาธ ฯ

01 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ขุททกวัตถุขันธกะ เรื่องศาลาเรือนไฟและบ่อน้ำ เรื่องสรงน้ำ ทรงห้ามนอนบนที่นอนดอกไม้

   ทำบุญ 
 
 [๙๐] สมัยนั้น  ภิกษุเปลือยกายไหว้ภิกษุเปลือยกาย  ภิกษุเปลือยกายไหว้ภิกษุไม่เปลือยกาย  ภิกษุเปลือยกายให้ภิกษุเปลือยกายไหว้ตน ภิกษุเปลือยกายให้ภิกษุไม่เปลือยกายไหว้ตน ภิกษุเปลือยกายทำบริกรรมให้แก่ภิกษุเปลือยกายภิกษุเปลือยกายใช้ให้ทำบริกรรมแก่ภิกษุเปลือยกาย
   ภิกษุเปลือยกายให้ของแก่ภิกษุเปลือยกาย  ภิกษุเปลือยกายรับประเคน  เปลือยกายเคี้ยว  เปลือยกายฉันเปลือยกายลิ้มรส  เปลือยกายดื่ม  ภิกษุทั้งหลาย  กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเปลือยกายไม่พึงไหว้ภิกษุเปลือยกาย
   ภิกษุเปลือยกายไม่พึงไหว้ภิกษุเปลือยกายไม่พึงให้ภิกษุเปลือยกายไหว้ตน  ภิกษุเปลือยกายไม่พึงให้ภิกษุไม่เปลือยกายไหว้ตน   ไม่พึงเปลือยกายทำบริกรรมแก่ภิกษุเปลือยกาย ไม่พึงใช้ภิกษุเปลือยกายทำบริกรรมไม่พึงเปลือยกายให้ของแก่ภิกษุเปลือยกาย ไม่พึงเปลือยกายรับประเคน ไม่พึงเปลือย
กายเคี้ยวของ ไม่พึงเปลือยกายฉันอาหาร ไม่พึงเปลือยกายลิ้มรส ไม่พึงเปลือยกายดื่ม รูปใดดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
เรื่องศาลาเรือนไฟและบ่อน้ำ
   [๙๑] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายวางจีวรไว้บนพื้นดินในเรือนไฟจีวรเปื้อนฝุ่น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวจีวร สายระเดียงจีวรในเรือนไฟ ครั้นฝนตกจีวรถูกฝนเปียก ตรัสว่า ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตศาลาใกล้เรือนไฟ ศาลาใกล้เรือนไฟมีพื้นต่ำ น้ำท่วม ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมให้สูง ดินที่ถมพังลง ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดิน ... ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ... ขึ้นลงพลัดตก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด ฯ
   [๙๒] สมัยต่อมา ผงหญ้าบนศาลาเรือนไฟตกเกลื่อน ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบดินทั้งข้างบนข้างล่าง ... ราวจีวรสายระเดียงจีวร ฯ
   [๙๓] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายรังเกียจที่จะถูหลังทั้งในเรือนไฟ ทั้งในน้ำจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องกำบัง ๓ ชนิด คือ เรือนไฟ ๑ น้ำ ๑ ผ้า ๑ ฯ
   [๙๔]  สมัยต่อมา น้ำในเรือนไฟไม่มี  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบ่อน้ำ ขอบบ่อน้ำทรุดพัง ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดิน ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ บ่อน้ำต่ำไป น้ำท่วมได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมให้สูง ดินที่ถมพังทะลาย ... ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ... ขึ้นลงพลัดตก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด ฯ
   [๙๕] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายใช้เถาวัลย์บ้าง ประคดเอวบ้าง ผูกภาชนะตักน้ำ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเชือกสำหรับบ่อน้ำมือเจ็บ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตคันโพงคล้ายคันชั่ง ระหัดชักระหัดถีบ ภาชนะแตกเสียมาก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตถังน้ำ ๓ อย่าง คือ ถังน้ำโลหะ ๑ ถังน้ำไม้ ๑ ถังน้ำหนัง ๑ ฯ
   [๙๖] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายตักน้ำในที่แจ้ง ลำบาก ด้วยหนาวบ้าง ร้อนบ้าง จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตศาลาสำหรับบ่อน้ำ ผงหญ้าที่ศาลาบ่อน้ำหล่นเกลื่อน ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบด้วยดินทั้งข้างบนข้างล่าง ทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบราวจีวร สายระเดียงจีวร ฯ
   [๙๗] สมัยนั้น บ่อน้ำยังไม่มีฝาปิด ผงหญ้าบ้าง ฝุ่นบ้าง ตกลง ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด ฯ
   [๙๘] สมัยต่อมา ภาชนะสำหรับขังน้ำยังไม่มี ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรางน้ำ อ่างน้ำ ฯ
   [๙๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายสรงน้ำในที่นั้นๆ ในอาราม  อารามเป็นตม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลำรางระบายน้ำ ลำราง โล่งโถง ภิกษุทั้งหลายอายที่จะสรงน้ำ ... ตรัสว่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้กั้นกำแพง ๓ ชนิด คือกำแพงอิฐ ๑ กำแพงหิน ๑ กำแพงไม้ ๑ ลำรางระบายน้ำเป็นตม ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตเครื่องลาด ๓ ชนิด คืออิฐ ๑ หิน ๑ ไม้ ๑ น้ำขัง ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อระบายน้ำ ฯ
   [๑๐๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายมีเนื้อตัวตกหนาว จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ฯ
เรื่องสรงน้ำ
   [๑๐๑] สมัยนั้น อุบาสกผู้หนึ่งใคร่จะสร้างสระน้ำถวายสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสระน้ำ ขอบสระน้ำชำรุด ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อขอบสระ ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นลงลำบาก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑ บันไดไม้ ๑ ขึ้นลงพลัดตก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด น้ำในสระเป็นน้ำเก่า ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรางน้ำ ท่อระบายน้ำ ฯ
   [๑๐๒] สมัยต่อมา อุบาสกผู้หนึ่งประสงค์จะสร้างเรือนไฟ มีปั้นลมถวายภิกษุสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเรือนไฟมีปั้นลม ฯ
   [๑๐๓] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์อยู่ปราศจากผ้านิสีทนะถึง ๔ เดือนภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงอยู่ปราศจากผ้านิสีทนะถึง ๔ เดือน รูปใดอยู่ปราศ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
ทรงห้ามนอนบนที่นอนดอกไม้
   [๑๐๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์นอนบนที่นอนอันเกลื่อนด้วยดอกไม้ ชาวบ้านเดินเที่ยวชมวิหารพบเห็นเข้า จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนอนที่นอนอันเกลื่อนด้วยดอกไม้ รูปใดนอน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
พุทธานุญาตรับของหอม
   [๑๐๕] สมัยนั้น ชาวบ้านถือของหอมบ้าง ดอกไม้บ้างไปวัด ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่รับประเคน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับของหอมแล้วเจิมไว้ที่บานประตูหน้าต่าง ให้รับดอกไม้แล้ววางไว้ในส่วนข้างหนึ่งในวิหาร ฯ
   [๑๐๖] สมัยนั้น สันถัดขนเจียมหล่อบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสันถัดขนเจียมหล่อ ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิดกันว่า สันถัดขนเจียมหล่อจะต้องอธิษฐานหรือวิกัปป์ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สันถัดขนเจียมที่หล่อไม่ต้องอธิษฐาน ไม่ต้องวิกัปป์ ฯ
   [๑๐๗] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันจังหันบนเตียบ ชาวบ้านเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันอาหารบนเตียบ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๑๐๘] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เวลาฉันจังหัน เธอไม่สามารถจะทรงบาตรไว้ด้วยมือได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโตก ฯ
ทรงห้ามฉันในภาชนะเดียวกันเป็นต้น
   [๑๐๙] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันจังหันในภาชนะเดียวกันบ้าง ดื่มน้ำในขันเดียวกันบ้าง นอนบนเตียงเดียวกันบ้าง นอนบนเครื่องลาดเดียวกันบ้าง นอนในผ้าห่มผืนเดียวกันบ้าง นอนบนเครื่องลาดและผ้าห่มร่วมผืนเดียวกันบ้าง ชาวบ้านต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันร่วมภาชนะเดียวกัน ไม่พึงดื่มร่วมขันใบเดียวกันไม่พึงนอนร่วมเตียงเดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมเครื่องลาดเดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมผ้าห่มผืนเดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมเครื่องลาดและผ้าห่มผืนเดียวกัน รูปใดนอนต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
เรื่องเจ้าวัฑฒะลิจฉวี
   [๑๑๐] สมัยนั้น เจ้าวัฑฒะลิจฉวีเป็นสหายของพระเมตติยะ และพระภุมมชกะ จึงเจ้าวัฑฒะลิจฉวี เข้าไปหาพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้วกล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ เมื่อเธอกล่าวอย่างนั้น ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย แม้ครั้งที่สอง เจ้าวัฑฒะลิจฉวีได้กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ แม้ครั้งที่สอง ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย แม้ครั้งที่สาม เจ้าวัฑฒะลิจฉวีได้กล่าวว่าผมไหว้ขอรับ แม้ครั้งที่สาม ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย
   ว. ผมผิดอะไรต่อพระคุณเจ้าอย่างไร ทำไม พระคุณเจ้าจึงไม่ทักทายปราศรัยกับผม
   ภิกษุทั้งสองตอบว่า ก็จริงอย่างนั้นแหละ ท่านวัฑฒะ พวกอาตมาถูกพวกพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ ท่านยังเพิกเฉยได้
   ว. ผมจะช่วยเหลืออย่างไร ขอรับ
   ภิ. ท่านวัฑฒะ ถ้าท่านเต็มใจช่วย วันนี้พระผู้มีพระภาค ต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสึก
   ว. ผมจะทำอย่างไร ผมสามารถจะช่วยได้ด้วยวิธีไหน
   ภิ. มาเถิด ท่านวัฑฒะ ท่านจงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้ว กราบทูลอย่างนี้ว่า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมีลมแรงขึ้น ประชาบดีของหม่อมฉัน ถูกพระทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผาพระพุทธเจ้าข้า
   เจ้าวัฑฒะลิจฉวีรับคำของพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้ กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้ กลับมีลมแรงขึ้น ประชาบดีของหม่อมฉันถูกพระทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผาพระพุทธเจ้าข้า ฯ
   [๑๑๑] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า ดูกรทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมตามที่เจ้าวัฑฒะลิจฉวีนี้กล่าวหา ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า
        แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาค ...
        แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า ดูกรทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมตามที่เจ้าวัฑฒะลิจฉวีนี้กล่าวหาท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า
   ภ. ดูกรทัพพะ บัณฑิตย่อมไม่กล่าวแก้คำกล่าวหาอย่างนี้ ถ้าเธอทำจงบอกว่าทำ ถ้าไม่ได้ทำ จงบอกว่าไม่ได้ทำ
   ท. ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว แม้โดยความฝัน ก็ยังไม่รู้จักเสพเมถุนธรรม จะกล่าวไยถึงเมื่อตื่นอยู่เล่า พระพุทธเจ้าข้า
   [๑๑๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงคว่ำบาตรเจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ อย่าให้คบกับสงฆ์ ฯ
องค์แห่งการคว่ำบาตร
   [๑๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงคว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ:-
   ๑. ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย
   ๒. ขวนขวายเพื่อมิใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย
   ๓. ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย
   ๔. ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย
   ๕. ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน
   ๖. กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า
   ๗. กล่าวติเตียนพระธรรม
   ๘. กล่าวติเตียนพระสงฆ์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ ฯ
   [๑๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงคว่ำบาตรอย่างนี้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาคว่ำบาตร
 ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เจ้าวัฑฒะลิจฉวี
 โจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล ถ้า
 ความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงคว่ำบาตร
 แก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ อย่าให้คบกับสงฆ์ นี้เป็นญัตติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เจ้าวัฑฒะลิจฉวี
 โจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล สงฆ์
 คว่ำบาตรแก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ ไม่ให้คบกับสงฆ์
 การคว่ำบาตรแก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ ไม่ให้คบกับสงฆ์
 ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้น พึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด บาตรอันสงฆ์คว่ำแล้วแก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ ไม่ให้คบกับสงฆ์ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้ ฯ
   [๑๑๕] ครั้นเวลาเช้า ท่านพระอานนท์ครองอันตรวาสกแล้วถือบาตรจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของเจ้าวัฑฒะลิจฉวี ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะเจ้าวัฑฒะลิจฉวีว่าท่านวัฑฒะ สงฆ์คว่ำบาตรแก่ท่านแล้ว ท่านคบกับสงฆ์ไม่ได้ พอเจ้าวัฑฒะลิจฉวีทราบข่าวว่า สงฆ์คว่ำบาตรแก่เราแล้ว เราคบกับสงฆ์ไม่ได้แล้ว ก็สลบล้มลง ณ ที่นั้นเอง
   ขณะนั้น มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิต ของเจ้าวัฑฒะลิจฉวี ได้กล่าวคำนี้กะเจ้าวัฑฒะลิจฉวีว่า ไม่ควร ท่านวัฑฒะ อย่าเศร้าโศก อย่าคร่ำครวญไปนักเลย พวกเราจักให้พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์เลื่อมใส จึงเจ้าวัฑฒะลิจฉวีพร้อมด้วยบุตรภรรยา พร้อมด้วยมิตรอำมาตย์ พร้อมด้วยญาติสาโลหิต มีผ้าเปียก มีผมเปียกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า โทษได้มาถึงหม่อมฉันแล้ว ตามความโง่ ตามความเขลา ตามอกุศล ขอพระองค์ทรงพระกรุณารับโทษของหม่อมฉันที่ได้โจทพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตร ด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล
โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เชิญเถิด เจ้าวัฑฒะ โทษได้มาถึงท่านแล้วตามความโง่ ตามความเขลา ตามอกุศล ท่านได้เห็นโทษที่ได้โจททัพพมัลลบุตรด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล โดยความเป็นโทษแล้วทำคืนตามธรรม เราขอรับโทษนั้นของท่าน การที่ท่านเห็น
โทษ โดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย ฯ
   [๑๑๖] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงหงายบาตร แก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ ทำให้คบกับสงฆ์ได้
องค์แห่งการหงายบาตร
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงหงายบาตรแก่อุบาสก ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ:-
                ๑. ไม่ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย
                ๒. ไม่ขวนขวายเพื่อไม่เป็นประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย
                ๓. ไม่ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย
                ๔. ไม่ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย
                ๕. ไม่ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกร้าวกัน
                ๖. ไม่กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า
                ๗. ไม่กล่าวติเตียนพระธรรม
                ๘. ไม่กล่าวติเตียนพระสงฆ์
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้หงายบาตร แก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ ฯ
   [๑๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงหงายบาตรอย่างนี้ เจ้าวัฑฒะลิจฉวีนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าเฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย นั่งกระหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สงฆ์คว่ำบาตรแก่ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคบกับสงฆ์ไม่ได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่งประพฤติแก้ตัวได้ ขอการหงายบาตรกะสงฆ์
    พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม ฯ
   [๑๑๘] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาหงายบาตร
 ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์คว่ำบาตร
 แก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวีแล้ว คือ ไม่ให้คบกับสงฆ์ เธอ
 ประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่งประพฤติแก้ตัวได้ ขอการ
 หงายบาตรกะสงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
 สงฆ์พึงหงายบาตรแก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ ทำให้คบกับสงฆ์ได้ นี้เป็นญัตติ
 ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์คว่ำบาตร
 แก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวีแล้ว คือ ไม่ให้คบกับสงฆ์ เธอ
 ประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่งประพฤติแก้ตัวได้ ขอการ
 หงายบาตรกะสงฆ์ สงฆ์หงายบาตรแก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี
 คือ ทำให้คบกับสงฆ์ได้ การหงายบาตรแก่เจ้าวัฑฒะ
 ลิจฉวี คือ ทำให้คบกับสงฆ์ได้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด บาตรอันสงฆ์หงายแล้วแก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ ทำให้คบกับสงฆ์ได้ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้ ฯ
   [๑๑๙] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในเขตพระนครเวสาลีตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกทางภัคคะชนบท เสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงภัคคะชนบทแล้ว ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ที่เภสกฬามฤคทายวัน เขตเมืองสุงสุมารคิระในแคว้นภัคคะชนบทนั้น ฯ
เรื่องโพธิราชกุมาร
   [๑๒๐] สมัยนั้น ปราสาทโกกนุทของโพธิราชกุมาร สร้างเสร็จใหม่ๆ ยังไม่มีสมณพราหมณ์ หรือผู้ใดผู้หนึ่งอยู่อาศัย จึงโพธิราชกุมาร รับสั่งกะมาณพสัญชิกาบุตรว่า พ่อสหายสัญชิกาบุตร เธอจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมพระบาทด้วยเศียรเกล้า แล้วถามถึงพระประชวรเบาบาง พระโรคน้อย ความทรงกระปรี้กระเปร่า พระกำลัง ทรงพระสำราญ ตามคำของเราว่า พระพุทธเจ้าข้าโพธิราชกุมารขอถวายบังคมพระบาทของพระองค์ด้วยเศียรเกล้า ทูลถามถึงพระประชวรเบาบาง พระโรคน้อย ความทรงกระปรี้กระเปร่า พระกำลัง ทรงพระสำราญและจงทูลอาราธนาอย่างนี้ว่า ขอพระองค์พร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารของโพธิราชกุมาร เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระพุทธเจ้าข้า มาณพสัญชิกาบุตรรับคำสั่งโพธิราชกุมาร แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอเป็นที่ชื่นชม เป็นที่ให้ระลึกถึงกันแล้วนั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า โพธิราชกุมารขอถวายบังคมพระบาท ของพระองค์ผู้เจริญ ด้วยเศียรเกล้า ทูลถามพระประชวรเบาบาง พระโรคน้อย ทรงกระปรี้กระเปร่า พระกำลัง ทรงพระสำราญ และกราบทูลอย่างนี้ว่า
                ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารของโพธิราชกุมาร เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพ
                ครั้นมาณพสัญชิกาบุตรทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาแล้วลุกจากที่นั่ง เข้าไปเฝ้าโพธิราชกุมาร แล้วทูลว่า เกล้ากระหม่อมได้กราบทูลท่านพระโคดมนั้นตามรับสั่งของพระองค์แล้วว่า โพธิราชกุมาร ขอถวายบังคมพระบาทของท่านพระโคดมผู้เจริญ ด้วยเศียรเกล้า ทูลถามถึงพระประชวรเบาบาง พระโรคน้อย ทรงกระปรี้กระเปร่า พระกำลัง ทรงพระสำราญ และกราบทูลอย่างนี้ว่า
                ขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารของโพธิราชกุมาร เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ ก็แลพระสมณโคดมทรงรับอาราธนาแล้ว ฯ
                [๑๒๑] ครั้นล่วงราตรีนั้น โพธิราชกุมารรับสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉัน อันประณีต แลรับสั่งให้ปูลาดโกกนุทปราสาทด้วยผ้าขาว ตราบเท่าถึงบันไดขั้นที่สุดแล้วรับสั่งกะมาณพสัญชิกาบุตรว่า พ่อสหายสัญชิกาบุตร เธอจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลภัต กาล แด่พระผู้มีพระภาคว่า
                ได้เวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้าภัตตาหารเสร็จแล้ว มาณพสัญชิกาบุตรรับคำสั่งโพธิราชกุมาร แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลภัตกาลแด่พระ ผู้มีพระภาคว่า ได้เวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้าภัตตาหารเสร็จแล้ว ฯ
                [๑๒๒] ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้วทรงถือบาตรจีวร เสด็จเข้าสู่นิเวศน์ ของโพธิราชกุมารก็แลเวลานั้น โพธิราชกุมารกำลังประทับรอพระผู้มี พระภาคอยู่ ที่ซุ้มพระทวารชั้นนอก ได้ทอดพระเนตรเห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จมาแต่ไกล
                ครั้นแล้วเสด็จไปรับแต่ที่ไกลนั้น ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคให้เสด็จไปข้างหน้า ทรง ดำเนินไปทางโกกนุทปราสาท พระผู้มีพระภาคได้ประทับยืนอยู่ใกล้บันไดขั้นแรก จึงโพธิราชกุมาร กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
                พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรง เหยียบผ้า ขอพระสุคตจงทรงเหยียบผ้า เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนานเมื่อโพธิราชกุมารกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงดุษณีภาพ
                แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม โพธิราชกุมารกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าพระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงเหยียบผ้า ขอพระสุคตจงทรงเหยียบผ้าเพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน
                ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชำเลืองดูท่านพระอานนท์ จึงท่านพระอานนท์ได้ถวายพรแก่โพธิราชกุมารว่า จงม้วนผ้าเถิด พระราชกุมาร พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงเหยียบผ้า พระ ตถาคตทรงอนุเคราะห์หมู่ชนชั้นหลัง จึงโพธิราชกุมารรับสั่งให้ม้วนผ้า แล้วให้ปูอาสนะ ณ เบื้องบนโกกนุทปราสาท ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จขึ้นโกกนุทปราสาท แล้วประทับนั่ง เหนืออาสนะที่ปูถวายพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงโพธิราชกุมารทรงอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ จน พระผู้มีพระภาคเสวยแล้ว ทรงลดพระหัตถ์จากบาตร ห้ามภัตรแล้ว ได้ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้โพธิราชกุมารเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา เสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จกลับ ฯ
                ทรงห้ามเหยียบแผ่นผ้า[๑๒๓] หลังจากนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเหยียบผืนผ้าที่ปูไว้ รูปใดเหยียบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
                [๑๒๔] สมัยต่อมา สตรีผู้หนึ่งปราศจากครรภ์ นิมนต์ภิกษุทั้งหลายไปปูผ้าแล้ว ได้กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าจงเหยียบผ้า ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่เหยียบ นางได้กล่าวอีกว่า
                ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าจงเหยียบผ้าเพื่อประสงค์ให้เป็นมงคล ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่เหยียบ จึงสตรีผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เมื่อเขาขอเพื่อประสงค์ให้เป็นมงคล ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลายจึงไม่เหยียบผืนผ้าที่ปูให้ ภิกษุทั้งหลายได้ยินสตรีผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์ต้องการมงคล เราอนุญาตให้ผู้ที่ถูกคฤหัสถ์ขอร้องให้เหยียบเพื่อความเป็นมงคลเหยียบผืนผ้าได้ ฯ
                [๑๒๕] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจที่จะเหยียบผ้าสำหรับเช็ดเท้าที่ล้างแล้ว จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เหยียบผ้าสำหรับเช็ดเท้าที่ล้างแล้ว ฯ  
  ทุติยภาณวาร จบ
                เรื่องนางวิสาขา มิคารมารดา[๑๒๖] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภัคคะชนบท ตามพระพุทธา ภิรมย์ แล้วเสด็จจาริกทางพระนครสาวัตถี เสด็จจาริกโดยลำดับถึงพระนครสาวัตถี แล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก คหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น
                ครั้งนั้น นางวิสาขามิคารมารดา ถือหม้อน้ำ ปุ่มไม้สำหรับเช็ดเท้า และไม้กวาด เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ขอพระองค์จงทรงรับหม้อน้ำ ปุ่มไม้สำหรับเช็ดเท้า และไม้กวาดของหม่อมฉัน เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ หม่อมฉัน สิ้นกาลนาน พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงรับหม้อน้ำ และไม้กวาด มิได้ทรงรับปุ่มไม้สำหรับเช็ดเท้า
                ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้นางวิสาขามิคาร มารดาเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา นางได้ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคม ทำประทักษิณแล้วกลับไป ฯ
                [๑๒๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตหม้อน้ำ และไม้กวาด ภิกษุไม่พึงใช้ปุ่มไม้สำหรับเช็ดเท้า รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตที่เช็ดเท้า ๓ ชนิด คือ หินกรวด ๑ กระเบื้อง ๑ หินฟองน้ำในทะเล ๑ ฯ
                [๑๒๘] ต่อจากนั้นมา นางวิสาขามิคารมารดา ถือพัดโบกและพัดใบตาล เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูล ว่า ขอพระองค์จงทรงรับพัดโบก และพัดใบตาลของหม่อมฉัน เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่หม่อมฉันตลอดกาลนาน พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงรับพัด โบกและพัดใบตาลแล้ว ได้ทรงชี้แจงให้นางวิสาขามิคารมารดาเห็นแจ้ง ... ด้วยธรรมีกถา นางวิสาขา ... ทำประทักษิณแล้วกลับไป ฯ
                เรื่องพัด [๑๒๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตพัดโบก และพัดใบตาล ฯ
                [๑๓๐] สมัยนั้นไม้ปัดยุงเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้ปัดยุง แส้จามรีบังเกิด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า
                ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้แส้จามรี รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตพัด ๓ ชนิด คือ พัดทำด้วยปอ ๑ พัด ทำด้วยแฝก ๑ พัดทำด้วยขนปีกขนหางนกยูง ๑ ฯ
                เรื่องร่ม[๑๓๑] สมัยนั้น ร่มบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตร่ม ฯ
                [๑๓๒] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินกั้นร่มเที่ยวไป ครั้งนั้น อุบาสกผู้หนึ่งได้ไปเที่ยวสวนกับสาวกของอาชีวกหลายคน พวกสาวกของอาชีวกเหล่านั้นได้เห็นพระฉัพพัคคีย์เดินกั้นร่มมาแต่ไกล
                ครั้นแล้วได้กล่าวกะอุบาสกผู้นั้นว่าพระคุณเจ้าเหล่านี้ เป็นผู้เจริญของพวกท่าน เดินกั้นร่มมาคล้ายมหาอำมาตย์โหราจารย์ อุบาสกผู้นั้นกล่าวว่า นั่นมิใช่ภิกษุ เป็นปริพาชก ขอรับ พวกเขา แคลงใจว่า ภิกษุหรือมิใช่ภิกษุ
                ครั้นอุบาสกเข้าไปใกล้ ก็จำได้ จึงเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระคุณเจ้าทั้งหลายจึงเดินกั้นร่ม ภิกษุทั้งหลายได้ยินอุบาสกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ... จริงหรือ
                ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่ง กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงกั้นร่ม รูปใดกั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
                [๑๓๓] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เธอเว้นร่มแล้วไม่สบาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตร่มแก่ภิกษุอาพาธ ฯ
                [๑๓๔] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตร่มแก่ภิกษุอาพาธเท่านั้น ไม่ได้ทรงอนุญาตแก่ภิกษุไม่อาพาธ จึงรังเกียจที่จะกั้น ร่มในวัดและอุปจารของวัด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
                พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแม้ไม่อาพาธกั้นร่มในวัด หรือในอุปจารของวัดได้ ฯ