ปริพฺพาชกกถาวณฺณนา
เมื่อปฐมมหาสังคายนานี้กำลังดำเนินไปอยู่ เวลาสังคายนาพระวินัยจบลง ท่านพระมหากัสสป เมื่อถามพรหมชาลสูตร ซึ่งเป็นสูตรแรกแห่งนิกายแรกในสุตตันตปิฎก ได้กล่าวคำอย่างนี้ว่า ท่านอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพรหมชาลสูตรที่ไหน ดังนี้เป็นต้นจบลง
ท่านพระอานนท์ เมื่อจะประกาศสถานที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพรหมชาลสูตร และบุคคลที่พระองค์ตรัสปรารภให้เป็นเหตุนั้นให้ครบกระแสความ จึงกล่าวคำว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้เป็นต้น.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้พรหมชาลสูตรก็มีคำเป็นนิทานว่า เอวมฺเม สุตํ ที่ท่านพระอานนท์กล่าวในคราวปฐมมหาสังคายนาเป็นเบื้องต้น ดังนี้.
ในคำเป็นนิทานแห่งพระสูตรนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
แก้อรรถบท เอวํ
บทว่า เอวํ เป็นบทนิบาต.
บทว่า เม เป็นต้น เป็นบทนาม ในคำว่า ปฏิปนฺโน โหติ นี้
บทว่า ปฏิ เป็นบทอุปสรรค.
บทว่า โหติ เป็นบทอาขยาต. พึงทราบการจำแนกบทโดยนัยเท่านี้ก่อน.
แต่โดยอรรถ เอวํ ศัพท์ แจกเนื้อความได้หลายอย่างเป็นต้นว่า ความเปรียบเทียบ ความแนะนำ ความยกย่อง ความติเตียน ความรับคำ อาการะ ความแนะนำ ความห้ามความอื่น.
จริงอย่างนั้น เอวํ ศัพท์นี้ ที่มาในความเปรียบเทียบ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวํ ชาเตน มฺจเจน กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุํ สัตว์เกิดมาแล้วควรบำเพ็ญกุศลให้มากฉันนั้น.๑-
ที่มาในความแนะนำ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ เอวํ ปฏิกฺกมิตพฺพํ เธอพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้.๒-
ที่มาในความยกย่อง เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวเมตํ ภควา เอวเมตํ สุคต ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ พระสุคต.๓-
ที่มาในความติเตียน เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวเมวํ ปนายํ วสลี ยสฺมึ วา ตสฺมึ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส วณฺณํ ภาสติ ก็หญิงถ่อยนี้ กล่าวสรรเสริญสมณะโล้นนั้น อย่างนี้อย่างนี้ ทุกหนทุกแห่ง.๔-
๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๑๔ ๒- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๑๒๒
๓- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๒๙๓ องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๐๕
๔- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๖๒๗
ที่มาในความรับคำ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวํ ภนฺเตติ โข เต ภิกขู ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
ที่มาในอาการะ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวํ พฺยาโข อหํ ภนฺเต ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วอย่างนี้จริง.
๕- วิ. มหาวิ. เล่ม ๑/ข้อ ๗๙ ม.มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑
๖- วิ. มหาวิ. เล่ม ๑/ข้อ ๑๐ ม.มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๔๐
ที่มาในความชี้แจง เช่นในประโยคมีอาทิว่า๗-
เอหิ ตวํ มาณวก เยน สมโณ อานนฺโท เตนุปสงฺกม อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ
อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ สุโภ มาณโว
โตเทยฺยปุตฺโต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตีติ เอวญฺจ วเทหิ สาธุ
กิร ภวํ อานนฺโท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ เตนุปสงกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทาย
มานี่แน่ะ พ่อหนุ่มน้อย เธอจงเข้าไปหาพระอานนท์ แล้วเรียนถามพระอานนท์ถึงความมีอาพาธน้อย ความมีโรคน้อย ความคล่องแคล่ว ความมีกำลัง ความอยู่สำราญ และจงพูดอย่างนี้ว่า สุภมาณพโตเทยยบุตร เรียนถามพระอานนท์ผู้เจริญ ถึงความมีอาพาธน้อย ความมีโรคน้อย ความคล่องแคล่ว ความมีกำลัง ความอยู่สำราญ และจงกล่าวอย่างนี้ว่า ขอประทานโอกาส ได้ยินว่า ขอพระอานนท์ผู้เจริญ โปรดอนุเคราะห์เข้าไปยังนิเวศน์ของสุภมาณพโตเทยยบุตรเถิด.
๗- ๔. ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๑๕
ที่มาในอวธารณะ ห้ามความอื่น เช่นในประโยคมีอาทิว่า๘-
ตํ กึ มญฺญถ กาลามา อิเม ธมฺมา ฯ เป ฯ เอวํ โน เอตฺถ โหติ
ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล. พวกชนชาวกาลามะต่างกราบทูลว่า เป็นอกุศล พระเจ้าข้า. มีโทษ หรือไม่มีโทษ? มีโทษพระเจ้าข้า. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ? ท่านผู้รู้ติเตียนพระเจ้าข้า. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ หรือหาไม่ หรือท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไรในข้อนี้? ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ ในข้อนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า.
๘- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๐๕
เอวํ ศัพท์นี้นั้นในพระบาลีนี้พึงเห็นใช้ในอรรถ คือ อาการะ ความชี้แจง ความห้ามความอื่น.
บรรดาอรรถ ๓ อย่างนั้น ด้วย เอวํ ศัพท์ซึ่งมีอาการะเป็นอรรถ ท่านพระอานนท์แสดงเนื้อความนี้ว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นละเอียดโดยนัยต่างๆ ตั้งขึ้นด้วยอัธยาศัยมิใช่น้อย สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ มีปาฏิหาริย์ต่างๆ ลึกซึ้งโดยธรรม อรรถ เทศนาและปฏิเวธ มาสู่คลองโสตสมควรแก่ภาษาของตนๆ ของสัตว์โลกทั้งปวง ใครเล่าที่สามารถเข้าใจได้โดยประการทั้งปวง แต่ข้าพเจ้าแม้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดให้เกิดความประสงค์ที่จะสดับ ก็ได้สดับมาอย่างนี้ คือ แม้ข้าพเจ้าก็ได้สดับมาโดยอาการอย่างหนึ่ง.
ด้วย เอวํ ศัพท์ ซึ่งมีนิทัสสนะเป็นอรรถ
ท่านพระอานนท์ เมื่อจะเปลื้องตนว่า ข้าพเจ้ามิใช่พระสยัมภู พระสูตรนี้ข้าพเจ้ามิได้กระทำให้แจ้ง จึงแสดงพระสูตรทั้งสิ้นที่ควรกล่าวในบัดนี้ว่า เอวมฺเม สุตํ คือ ข้าพเจ้าเองได้ยินมาอย่างนี้.
ด้วย เอวํ ศัพท์ ซึ่งมีอวธารณะเป็นอรรถ
ท่านพระอานนท์ เมื่อจะแสดงพลังด้านความทรงจำของตนอันควรแก่ภาวะ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญไว้อย่างนี้ว่า๙-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์นี้เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวกของเรา ซึ่งเป็นพหูสูต มีคติ มีสติ มีธิติ (ความทรงจำ) เป็นอุปฐาก ดังนี้
และที่ท่านธรรมเสนาบดีพระสารีบุตรเถระสรรเสริญไว้อย่างนี้ว่า๑๐- ท่านพระอานนท์เป็นผู้ฉลาดในอรรถ ฉลาดในธรรม ฉลาดในพยัญชนะ ฉลาดในนิรุตติ ฉลาดในคำเบื้องต้นและคำเบื้องปลายดังนี้ ย่อมให้เกิดความประสงค์ที่จะสดับแก่สัตว์โลกทั้งหลาย โดยกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ และที่สดับนั้นก็ไม่ขาดไม่เกินทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ คืออย่างนี้เท่านั้น ไม่พึงเห็นเป็นอย่างอื่น.
๙- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๙ ๑๐- องฺ. ปญฺจก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๑๖๙
แก้อรรถบท เม
เม ศัพท์ เห็นใช้ในเนื้อความ ๓ อย่าง.
จริงอย่างนั้น เม ศัพท์นี้มีเนื้อความเท่ากับ มยา เช่นในประโยคมีอาทิว่า คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺยํ โภชนะที่ได้มาด้วยการขับกล่อม เราไม่ควรบริโภค.๑-
มีเนื้อความเท่า มยฺหํ เช่นในประโยคมีอาทิว่า สาธุ เม ภนฺเต ภควา สงฺขิตฺเตน ธมฺมํ เทเสตุ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์เถิด.๒-
มีเนื้อความเท่ากับ มม เช่นในประโยคมีอาทิว่า ธมฺมทายาทา เม ภิกฺขเว ภวถ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาทของเรา.
แต่ในพระสูตรนี้ เม ศัพท์ ควรใช้ในอรรถ ๒ อย่าง คือ มยา สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมา และ มม สุตํ การสดับของข้าพเจ้า.๓-
๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๖๕๖ ๒- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๕๙๙
๓- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๑
แก้อรรถบทว่า สุตํ
สุต ศัพท์นี้ มีอุปสรรคและไม่มีอุปสรรค จำแนกเนื้อความได้หลายอย่าง เช่นเนื้อความว่าไป ว่าปรากฏ ว่ากำหนัด ว่าสั่งสม ว่าขวนขวาย ว่าสัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต และว่ารู้ตามโสตทวาร เป็นต้น.
จริงอย่างนั้น สุต ศัพท์นี้ มีเนื้อความว่าไป เช่นในประโยคมีอาทิว่า เสนาย ปสุโต เสนาเคลื่อนไป. มีเนื้อความว่า เดินทัพ.
มีเนื้อความว่าปรากฏ เช่นในประโยคมีอาทิว่า สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต ผู้มีธรรมอันปรากฏแล้ว ผู้เห็นอยู่.๑- มีเนื้อความว่า ผู้มีธรรมปรากฏแล้ว.
๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๖๕๖ ขุ. อุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๕๑
มีเนื้อความว่ากำหนัด เช่นในประโยคมีอาทิว่า อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺส ภิกษุณีมีความกำหนัดยินดีการที่ชายผู้มีความกำหนัดมาลูบคลำจับต้องกาย.๒- มีเนื้อความว่า ภิกษุณีมีจิตชุ่มด้วยราคะ ยินดีการที่ชายผู้มีจิตชุ่มด้วยราคะมาจับต้องกาย.
มีเนื้อความว่าสั่งสม เช่นในประโยคมีอาทิว่า ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกํ บุญเป็นอันมาก ท่านทั้งหลายได้สั่งสมแล้ว.๓- มีเนื้อความว่า เข้าไปสั่งสมแล้ว.
มีเนื้อความว่าขวนขวาย เช่นในประโยคมีอาทิว่า เย ฌานปสุตา ธีรา ปราชญ์ทั้งหลายเหล่าใดผู้ขวยขวายในฌาน.๔- มีเนื้อความว่า ประกอบเนืองๆ ในฌาน.
๒- วิ. ภิกฺขุนี. เล่ม ๓/ข้อ ๑ ๓- ขุ. ขุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๘
๔- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๔
มีเนื้อความว่า สัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต เช่นในประโยคมีอาทิว่า ทิฏฺฐํ สุตํ มุตํ รูปารมณ์ที่จักษุเห็น สัททารมณ์ที่โสตฟัง และอารมณ์ทั้งหลายที่ทราบ.๕- มีเนื้อความว่า สัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต.
มีเนื้อความว่า รู้ตามโสตทวาร เช่นในประโยคมีอาทิว่า สุตธโร สุตสนฺนิจฺจโย ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ.๖- มีเนื้อความว่า ทรงธรรมที่รู้ตามโสตทวาร.
๕- วิ. ภิกฺขุนี. เล่ม ๓/ข้อ ๑ ๖- วิ. จุล. เล่ม ๖/ข้อ ๖๗๕
แต่ในพระสูตรนี้ สุต ศัพท์นี้มีเนื้อความว่า จำหรือความจำตามโสตทวาร.
ก็ เม ศัพท์ เมื่อมีเนื้อความเท่ากับ มยา ย่อมประกอบความได้ว่า ข้าพเจ้าได้สดับมา คือจำตามโสตทวารอย่างนี้ เมื่อมีเนื้อความเท่ากับ มม ย่อมประกอบความได้ว่า การสดับของข้าพเจ้า คือความจำตามโสตทวารของข้าพเจ้า อย่างนี้.
แก้อรรถ เอวมฺเม สุตํ
บรรดาบททั้ง ๓ ดังกล่าวมานี้ บทว่า เอวํ แสดงกิจแห่งวิญญาณมีโสตวิญญาณเป็นต้น.
บทว่า เม แสดงบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ
ที่กล่าวแล้ว.
บทว่า สุตํ แสดงการรับไว้อย่างไม่ขาดไม่เกิน และไม่วิปริต เพราะปฏิเสธภาวะที่ไม่ได้ยิน.
อนึ่ง บทว่า เอวํ ประกาศภาวะที่เป็นไปในอารมณ์ที่ประกอบต่างๆ ตามวิถีวิญญาณที่เป็นไปตามโสตทวารนั้น. บทว่า เม เป็นคำประกาศตน.
บทว่า สุตํ เป็นคำประกาศธรรม.
ก็ในพระบาลีนี้ มีความย่อดังนี้ว่า ข้าพเจ้ามิได้กระทำสิ่งอื่น แต่ได้กระทำสิ่งนี้ คือได้สดับธรรมนี้ ตามวิถีวิญญาณอันเป็นไปในอารมณ์โดยประการต่างๆ.
อนึ่ง บทว่า เอวํ เป็นคำประกาศข้อควรชี้แจง.
บทว่า เม เป็นคำประกาศถึงตัวบุคคล.
บทว่า สุตํ เป็นคำประกาศถึงกิจของบุคคล.
อธิบายว่า ข้าพเจ้าจักชี้แจงพระสูตรใด พระสูตรนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
อนึ่ง บทว่า เอวํ ชี้แจงอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ซึ่งเป็นตัวรับอรรถและพยัญชนะต่างๆ ด้วยเป็นไปโดยอาการต่างกัน.
จริงอยู่ ศัพท์ว่า เอวํ นี้ เป็นอาการบัญญัติ. ศัพท์ เม เป็นคำชี้ถึงผู้ทำ. ศัพท์ สุตํ เป็นคำชี้ถึงอารมณ์
ด้วยคำเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันจิตสันดานที่เป็นไปโดยอาการต่างกัน กระทำการตกลงรับอารมณ์ ของผู้ทำที่มีความพร้อมเพรียงด้วยจิตสันดานนั้น.
อีกประการหนึ่ง ศัพท์ว่า เอวํ เป็นคำชี้กิจของบุคคล. ศัพท์ว่า สุตํ เป็นคำชี้ถึงกิจของวิญญาณ. ศัพท์ เม เป็นคำชี้ถึงบุคคลผู้ประกอบกิจทั้งสอง.
ก็ในพระบาลีนี้ มีความย่อดังนี้ว่า ข้าพเจ้า คือบุคคลผู้ประกอบด้วยโสตวิญญาณ ได้สดับมาด้วยโวหารว่า สวนกิจที่ได้มาด้วยอำนาจวิญญาณ.
บรรดาศัพท์ทั้ง ๓ นั้น ศัพท์ว่า เอวํ และศัพท์ว่า เม เป็นอวิชชมานบัญญัติ ด้วยอำนาจสัจฉิกัตถปรมัตถ์ เพราะในพระบาลีนี้ ข้อที่ควรจะได้ชี้แจงว่า เอวํ ก็ดี ว่า เม ก็ดี นั้น ว่าโดยปรมัตถ์จะมีอยู่อย่างไร.
บทว่า สุตํ เป็นวิชชมานบัญญัติ เพราะอารมณ์ที่ได้ทางโสต ในบทนี้นั้น ว่าโดยปรมัตถ์มีอยู่.
อนึ่ง บทว่า เอวํ และ เม เป็นอุปาทาบัญญัติ เพราะมุ่งกล่าวอารมณ์นั้นๆ.
บทว่า สุตํ เป็นอุปนิธาบัญญัติ เพราะกล่าวอ้างถึงอารมณ์มีอารมณ์ที่เห็นแล้วเป็นต้น.
ก็ในพระบาลีนี้ ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่หลง. เพราะคนหลงย่อมไม่สามารถแทงตลอดโดยประการต่างๆ ได้.
ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่ลืมถ้อยคำที่ได้สดับมา เพราะผู้ที่ลืมถ้อยคำที่ได้สดับมานั้น ย่อมไม่รู้ชัดว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาโดยกาลพิเศษ.
ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านพระอานนท์นี้ย่อมมีความสำเร็จทางปัญญา ด้วยความไม่หลง และย่อมมีความสำเร็จทางสติ ด้วยความไม่ลืม.
ในความสำเร็จ ๒ ประการนั้น สติอันมีปัญญานำ สามารถห้าม (ความอื่น) โดยพยัญชนะ ปัญญาอันมีสตินำ สามารถแทงตลอดโดยอรรถ. โดยที่มีความสามารถทั้ง ๒ ประการนั้น ย่อมสำเร็จภาวะที่ท่านพระอานนท์จะได้นามว่าขุนคลังแห่งพระธรรม เพราะสามารถจะอนุรักษ์คลังพระธรรม ซึ่งสมบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะ.
อีกนัยหนึ่ง
ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์แสดงโยนิโสมนสิการ เพราะผู้ที่ไม่มีโยนิโสมนสิการ ไม่แทงตลอดโดยประการต่างๆ.
ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่ฟุ้งซ่าน เพราะผู้ที่มีจิตฟุ้งซ่านฟังไม่ได้.
จริงอย่างนั้น บุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน แม้เขาจะพูดด้วยความสมบูรณ์ทุกอย่าง ก็ยังพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ยิน ขอจงพูดซ้ำ.
ก็ในคุณ ๒ ข้อนี้ ท่านพระอานนท์ทำอัตตสัมมาปณิธิ และปุพเพกตปุญญตาให้สำเร็จได้ ด้วยโยนิโสมนสิการ เพราะผู้มิได้ตั้งตนไว้ชอบ หรือมิได้กระทำความดีไว้ก่อน จะไม่มีโยนิโสมนสิการ ท่านพระอานนท์ทำการฟังพระสัทธรรมและการพึ่งสัตบุรุษให้สำเร็จได้ ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน เพราะผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่สามารถจะฟังได้ และผู้ไม่พึ่งสัตบุรุษ ก็ไม่มีการสดับฟัง.
อีกนัยหนึ่ง เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า บทว่า เอวํ แสดงไขอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ซึ่งเป็นตัวรับอรรถะและพยัญชนะต่างๆ ด้วยเป็นไปโดยอาการต่างกัน และอาการอันเจริญอย่างนี้นั้น ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มิได้ตั้งตนไว้ชอบ หรือมิได้กระทำความดีไว้ก่อน ฉะนั้น ด้วยคำว่า เอวํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงสมบัติคือจักร ๒ ข้อเบื้องปลายของตนด้วยอาการอันเจริญนี้.
ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงสมบัติ คือจักรธรรม ๒ ข้อเบื้องต้นของตนด้วยการประกอบการฟัง เพราะผู้ที่อยู่ในถิ่นฐานอันมิใช่เป็นปฏิรูปเทศก็ดี ผู้ที่เว้นการพึ่งสัตบุรุษก็ดี ย่อมไม่มีการฟังด้วยประการฉะนี้.
ความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยย่อมเป็นอันสำเร็จแก่ท่าน เพราะความสำเร็จแห่งจักรธรรม ๒ ข้อเบื้องปลาย ความบริสุทธิ์แห่งความเพียรย่อมเป็นอันสำเร็จ เพราะความสำเร็จแห่งจักร ๒ ข้อเบื้องต้น และด้วยความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยนั้นย่อมเป็นอันสำเร็จความฉลาดในปฏิเวธ ด้วยความบริสุทธิ์แห่งความเพียรย่อมเป็นอันสำเร็จความฉลาดในปริยัติด้วยประการฉะนี้ ถ้อยคำของท่านพระอานนท์ผู้มีความเพียรและอัธยาศัยบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยปริยัติและปฏิเวธ ย่อมควรที่จะเป็นคำเริ่มแรกแห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนความขึ้นไปแห่งอรุณเป็นเบื้องต้นของดวงอาทิตย์ที่กำลังอุทัยอยู่ และเหมือนโยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลกรรมฉะนั้น เหตุดังนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อจะตั้งคำเป็นนิทานในฐานะอันควร จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
อีกนัยหนึ่ง ด้วยคำแสดงการแทงตลอดมีประการต่างๆ ว่า เอวํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงถึงสภาพแห่งสมบัติ คืออัตถปฏิสัมภิทาและปฏิภาณปฏิสัมภิทาของตน. ด้วยคำแสดงถึงการแทงตลอดประเภทแห่งธรรมที่ควรสดับว่า สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงถึงสภาพแห่งสมบัติคือธัมมปฏิสัมภิทาและนิรุตติปฏิสัมภิทา.
อนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อกล่าวคำอันแสดงโยนิโสมนสิการว่า เอวํ นี้ย่อมแสดงว่า ธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยทิฏฐิ เมื่อกล่าวคำอันแสดงการประกอบด้วยการสดับว่า สุตํ นี้ย่อมแสดงว่า ธรรมเป็นอันมาก ข้าพเจ้าได้สดับแล้ว ทรงจำไว้แล้ว คล่องปาก. เมื่อแสดงความบริบูรณ์แห่งอรรถและพยัญชนะ แม้ด้วยคำทั้งสองนั้น ย่อมให้เกิดความเอื้อเฟื้อในการฟัง เพราะว่าผู้ไม่สดับธรรมที่บริบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะโดยเอื้อเฟื้อ ย่อมเหินห่างจากประโยชน์เกื้อกูลอันใหญ่ เพราะเหตุดังนี้นั้น กุลบุตรควรจะให้เกิดความเอื้อเฟื้อฟังธรรมนี้โดยเคารพแล.
อนึ่ง ด้วยคำทั้งหมดว่า เอวมฺเม สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์มิได้ตั้งธรรมที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว เพื่อตนย่อมล่วงพ้นภูมิอสัตบุรุษ เมื่อปฏิญาณความเป็นสาวกย่อมก้าวลงสู่ภูมิสัตบุรุษ.
อนึ่ง ย่อมยังจิตให้ออกพ้นจากอสัทธรรม ย่อมยังจิตให้ดำรงอยู่ในพระสัทธรรม เมื่อแสดงว่า ก็พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเท่านั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาโดยสิ้นเชิงทีเดียว ชื่อว่าย่อมเปลื้องตน ย่อมแสดงอ้างพระบรมศาสดา ทำพระดำรัสของพระชินเจ้าให้แนบแน่นประดิษฐานแบบแผนพระธรรมไว้.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อไม่ปฏิญาณว่าธรรมอันตนให้เกิดขึ้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ เปิดเผยการสดับในเบื้องต้น ย่อมยังความไม่ศรัทธาให้พินาศ ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศรัทธาในธรรมนี้ให้เกิดขึ้นแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงว่า พระดำรัสนี้ข้าพเจ้าได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชญาณทั้งสี่ ผู้ทรงกำลังสิบ ผู้ดำรงอยู่ในฐานะอันองอาจ ผู้บันลือสีหนาท ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ผู้เป็นใหญ่ในธรรม ผู้เป็นธรรมราชา ผู้เป็นธรรมาธิบดี ผู้มีธรรมเป็นประทีป ผู้มีธรรมเป็นสรณะ ผู้ยังจักรอันประเสริฐ คือพระสัทธรรมให้หมุนไป ผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในพระดำรัสนี้ ใครๆ ไม่ควรทำความสงสัยหรือเคลือบแคลงในอรรถหรือธรรม ในบทหรือพยัญชนะ เพราะฉะนั้น พระอานนท์ย่อมยังความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาให้พินาศ ยังสัทธาสัมปทาให้เกิดขึ้นในธรรมนี้ แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวคาถาประพันธ์ไว้ดังนี้ว่า.
พระอานนทเถระผู้เป็นสาวกของพระโคดม กล่าวอย่างนี้ว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ ย่อมยังความไม่ศรัทธาให้พินาศ
ย่อมยังศรัทธาในพระศาสนาให้เจริญ ดังนี้.
แก้อรรถบท เอกํ สมยํ
บทว่า เอกํ แสดงการกำหนดนับ. บทว่า สมยํ แสดงสมัยที่กำหนด. สองบทว่า เอกํ สมยํ แสดงสมัยที่ไม่แน่นอน.
สมย ศัพท์ ในบทว่า สมยํ นั้น ปรากฏในความว่าพร้อมเพรียง ขณะ กาล ประชุม เหตุ ลัทธิ ได้เฉพาะ ละ และแทงตลอด.
จริงอย่างนั้น สมย ศัพท์นั้นมีเนื้อความว่า พร้อมเพรียง เช่นในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า อปฺเปวนาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลํ จ สมยํ จ อุปาทาย ชื่อแม้ไฉน เราทั้งหลายกำหนดกาลและความพร้อมเพรียงแล้ว พึงเข้าไปหาแม้ในวันพรุ่งนี้.๑-
มีเนื้อความว่า ขณะ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอโก จ โข ภิกฺขเว ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โอกาสและขณะเพื่อการอยู่พรหมจรรย์อย่างเดียวเท่านั้นแล.๒-
มีเนื้อความว่า กาล เช่นในประโยคมีอาทิว่า อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย กาลร้อน กาลกระวนกระวาย.๓-
มีเนื้อความว่า ประชุม เช่นในประโยคมีอาทิว่า มหาสมโย ปวนสฺมึ การประชุมใหญ่ ในป่าใหญ่.๔-
๑- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๑๖ ๒- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๑๙
๓- วิ. มหาวิ. เล่ม ๒/ข้อ ๖๑๑ ๔- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๓๖
มีเนื้อความว่า เหตุ เช่นในประโยคมีอาทิว่า๕-
สมโยปิ โข เต ภทฺทาลิ อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ ภทฺทาลิ นาม
ภิกฺขุ สตฺถุ สาสเน สิกฺขาย น ปริปูริการีติ อยํปิ โข เต ภทฺทาลิ สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ.
ดูก่อนภัททาลิ แม้เหตุนี้แล เป็นเหตุอันเธอไม่แทงตลอดแล้วว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใกล้นครสาวัตถี แม้พระองค์จักทราบเราว่า ภิกษุชื่อภัททาลิเป็นผู้ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในสิกขาในศาสนาของพระศาสดา ดังนี้
ดูก่อนภัททาลิ เหตุแม้นี้แล ได้เป็นเหตุอันเธอไม่แทงตลอดแล้ว.
๕- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๑๖๓
มีเนื้อความว่ากำหนัด เช่นในประโยคมีอาทิว่า อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺส ภิกษุณีมีความกำหนัดยินดีการที่ชายผู้มีความกำหนัดมาลูบคลำจับต้องกาย.๒- มีเนื้อความว่า ภิกษุณีมีจิตชุ่มด้วยราคะ ยินดีการที่ชายผู้มีจิตชุ่มด้วยราคะมาจับต้องกาย.
มีเนื้อความว่าสั่งสม เช่นในประโยคมีอาทิว่า ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกํ บุญเป็นอันมาก ท่านทั้งหลายได้สั่งสมแล้ว.๓- มีเนื้อความว่า เข้าไปสั่งสมแล้ว.
มีเนื้อความว่าขวนขวาย เช่นในประโยคมีอาทิว่า เย ฌานปสุตา ธีรา ปราชญ์ทั้งหลายเหล่าใดผู้ขวยขวายในฌาน.๔- มีเนื้อความว่า ประกอบเนืองๆ ในฌาน.
๒- วิ. ภิกฺขุนี. เล่ม ๓/ข้อ ๑ ๓- ขุ. ขุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๘
๔- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๔
มีเนื้อความว่า สัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต เช่นในประโยคมีอาทิว่า ทิฏฺฐํ สุตํ มุตํ รูปารมณ์ที่จักษุเห็น สัททารมณ์ที่โสตฟัง และอารมณ์ทั้งหลาย
ที่ทราบ.๕- มีเนื้อความว่า สัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต.
มีเนื้อความว่า รู้ตามโสตทวาร เช่นในประโยคมีอาทิว่า สุตธโร สุตสนฺนิจฺจโย ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ.๖- มีเนื้อความว่า ทรงธรรมที่รู้ตามโสตทวาร.
๕- วิ. ภิกฺขุนี. เล่ม ๓/ข้อ ๑ ๖- วิ. จุล. เล่ม ๖/ข้อ ๖๗๕
แต่ในพระสูตรนี้ สุต ศัพท์นี้มีเนื้อความว่า จำหรือความจำตามโสตทวาร.
ก็ เม ศัพท์ เมื่อมีเนื้อความเท่ากับ มยา ย่อมประกอบความได้ว่า ข้าพเจ้าได้สดับมา คือจำตามโสตทวารอย่างนี้ เมื่อมีเนื้อความเท่ากับ มม ย่อมประกอบความได้ว่า การสดับของข้าพเจ้า คือความจำตามโสตทวารของข้าพเจ้า อย่างนี้.
แก้อรรถ เอวมฺเม สุตํ
บรรดาบททั้ง ๓ ดังกล่าวมานี้ บทว่า เอวํ แสดงกิจแห่งวิญญาณมีโสตวิญญาณเป็นต้น.
บทว่า เม แสดงบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ ที่กล่าวแล้ว.
บทว่า สุตํ แสดงการรับไว้อย่างไม่ขาดไม่เกิน และไม่วิปริต เพราะปฏิเสธภาวะที่ไม่ได้ยิน.
อนึ่ง บทว่า เอวํ ประกาศภาวะที่เป็นไปในอารมณ์ที่ประกอบต่างๆ ตามวิถีวิญญาณที่เป็นไปตามโสตทวารนั้น.
บทว่า เม เป็นคำประกาศตน.
บทว่า สุตํ เป็นคำประกาศธรรม.
ก็ในพระบาลีนี้ มีความย่อดังนี้ว่า ข้าพเจ้ามิได้กระทำสิ่งอื่น แต่ได้กระทำสิ่งนี้ คือได้สดับธรรมนี้ ตามวิถีวิญญาณอันเป็นไปในอารมณ์โดยประการต่างๆ.
อนึ่ง บทว่า เอวํ เป็นคำประกาศข้อควรชี้แจง.
บทว่า เม เป็นคำประกาศถึงตัวบุคคล.
บทว่า สุตํ เป็นคำประกาศถึงกิจของบุคคล.
อธิบายว่า ข้าพเจ้าจักชี้แจงพระสูตรใด พระสูตรนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
อนึ่ง บทว่า เอวํ ชี้แจงอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ซึ่งเป็นตัวรับอรรถและพยัญชนะต่างๆ ด้วยเป็นไปโดยอาการต่างกัน.
จริงอยู่ ศัพท์ว่า เอวํ นี้ เป็นอาการบัญญัติ. ศัพท์ เม เป็นคำชี้ถึงผู้ทำ. ศัพท์ สุตํ เป็นคำชี้ถึงอารมณ์
ด้วยคำเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันจิตสันดานที่เป็นไปโดยอาการต่างกัน กระทำการตกลงรับอารมณ์ ของผู้ทำที่มีความพร้อมเพรียงด้วยจิตสันดานนั้น.
อีกประการหนึ่ง ศัพท์ว่า เอวํ เป็นคำชี้กิจของบุคคล. ศัพท์ว่า สุตํ เป็นคำชี้ถึงกิจของวิญญาณ. ศัพท์ เม เป็นคำชี้ถึงบุคคลผู้ประกอบกิจทั้งสอง.
ก็ในพระบาลีนี้ มีความย่อดังนี้ว่า ข้าพเจ้า คือบุคคลผู้ประกอบด้วยโสตวิญญาณ ได้สดับมาด้วยโวหารว่า สวนกิจที่ได้มาด้วยอำนาจวิญญาณ.
บรรดาศัพท์ทั้ง ๓ นั้น ศัพท์ว่า เอวํ และศัพท์ว่า เม เป็นอวิชชมานบัญญัติ ด้วยอำนาจสัจฉิกัตถปรมัตถ์ เพราะในพระบาลีนี้ ข้อที่ควรจะได้ชี้แจงว่า เอวํ ก็ดี ว่า เม ก็ดี นั้น ว่าโดยปรมัตถ์จะมีอยู่อย่างไร. บทว่า สุตํ เป็นวิชชมานบัญญัติ เพราะอารมณ์ที่ได้ทางโสต ในบทนี้นั้น ว่าโดยปรมัตถ์มีอยู่.
อนึ่ง บทว่า เอวํ และ เม เป็นอุปาทาบัญญัติ เพราะมุ่งกล่าวอารมณ์นั้นๆ.
บทว่า สุตํ เป็นอุปนิธาบัญญัติ เพราะกล่าวอ้างถึงอารมณ์มีอารมณ์ที่เห็นแล้วเป็นต้น.
ก็ในพระบาลีนี้ ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่หลง. เพราะคนหลงย่อมไม่สามารถแทงตลอดโดยประการต่างๆ ได้.
ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่ลืมถ้อยคำที่ได้สดับมา เพราะผู้ที่ลืมถ้อยคำที่ได้สดับมานั้น ย่อมไม่รู้ชัดว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาโดยกาลพิเศษ.
ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านพระอานนท์นี้ย่อมมีความสำเร็จทางปัญญา ด้วยความไม่หลง และย่อมมีความสำเร็จทางสติ ด้วยความไม่ลืม.
ในความสำเร็จ ๒ ประการนั้น สติอันมีปัญญานำ สามารถห้าม (ความอื่น) โดยพยัญชนะ ปัญญาอันมีสตินำ สามารถแทงตลอดโดยอรรถ. โดยที่มีความสามารถทั้ง ๒ ประการนั้น ย่อมสำเร็จภาวะที่ท่านพระอานนท์จะได้นามว่าขุนคลังแห่งพระธรรม เพราะสามารถจะอนุรักษ์คลังพระธรรม ซึ่งสมบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะ.
อีกนัยหนึ่ง
ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์แสดงโยนิโสมนสิการ เพราะผู้ที่ไม่มีโยนิโสมนสิการ ไม่แทงตลอดโดยประการต่างๆ.
ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่ฟุ้งซ่าน เพราะผู้ที่มีจิตฟุ้งซ่านฟังไม่ได้.
จริงอย่างนั้น บุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน แม้เขาจะพูดด้วยความสมบูรณ์ทุกอย่าง ก็ยังพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ยิน ขอจงพูดซ้ำ.
ก็ในคุณ ๒ ข้อนี้ ท่านพระอานนท์ทำอัตตสัมมาปณิธิ และปุพเพกตปุญญตาให้สำเร็จได้ ด้วยโยนิโสมนสิการ เพราะผู้มิได้ตั้งตนไว้ชอบ หรือมิได้กระทำความดีไว้ก่อน จะไม่มีโยนิโสมนสิการ ท่านพระอานนท์ทำการฟังพระสัทธรรมและการพึ่งสัตบุรุษให้สำเร็จได้ ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน เพราะผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่สามารถจะฟังได้ และผู้ไม่พึ่งสัตบุรุษ ก็ไม่มีการสดับฟัง.
อีกนัยหนึ่ง เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า บทว่า เอวํ แสดงไขอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ซึ่งเป็นตัวรับอรรถะและพยัญชนะต่างๆ ด้วยเป็นไปโดยอาการต่างกัน และอาการอันเจริญอย่างนี้นั้น ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มิได้ตั้งตนไว้ชอบ หรือมิได้กระทำความดีไว้ก่อน ฉะนั้น ด้วยคำว่า เอวํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงสมบัติคือจักร ๒ ข้อเบื้องปลายของตนด้วยอาการอันเจริญนี้.
ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงสมบัติ คือจักรธรรม ๒ ข้อเบื้องต้นของตนด้วยการประกอบการฟัง เพราะผู้ที่อยู่ในถิ่นฐานอันมิใช่เป็นปฏิรูปเทศก็ดี ผู้ที่เว้นการพึ่งสัตบุรุษก็ดี ย่อมไม่มีการฟังด้วยประการฉะนี้.
ความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยย่อมเป็นอันสำเร็จแก่ท่าน เพราะความสำเร็จแห่งจักรธรรม ๒ ข้อเบื้องปลาย ความบริสุทธิ์แห่งความเพียรย่อมเป็นอันสำเร็จ เพราะความสำเร็จแห่งจักร ๒ ข้อเบื้องต้น และด้วยความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยนั้นย่อมเป็นอันสำเร็จความฉลาดในปฏิเวธ ด้วยความบริสุทธิ์แห่งความเพียรย่อมเป็นอันสำเร็จความฉลาดในปริยัติด้วยประการฉะนี้ ถ้อยคำของท่านพระอานนท์ผู้มีความเพียรและอัธยาศัยบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยปริยัติและปฏิเวธ ย่อมควรที่จะเป็นคำเริ่มแรกแห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนความขึ้นไปแห่งอรุณเป็นเบื้องต้นของดวงอาทิตย์ที่กำลังอุทัยอยู่ และเหมือนโยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลกรรมฉะนั้น เหตุดังนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อจะตั้งคำเป็นนิทานในฐานะอันควร จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
อีกนัยหนึ่ง ด้วยคำแสดงการแทงตลอดมีประการต่างๆ ว่า เอวํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงถึงสภาพแห่งสมบัติ คืออัตถปฏิสัมภิทาและปฏิภาณปฏิสัมภิทาของตน. ด้วยคำแสดงถึงการแทงตลอดประเภทแห่งธรรมที่ควรสดับว่า สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงถึงสภาพแห่งสมบัติคือธัมมปฏิสัมภิทาและนิรุตติปฏิสัมภิทา.
อนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อกล่าวคำอันแสดงโยนิโสมนสิการว่า เอวํ นี้ย่อมแสดงว่า ธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยทิฏฐิ เมื่อกล่าวคำอันแสดงการประกอบด้วยการสดับว่า สุตํ นี้ย่อมแสดงว่า ธรรมเป็นอันมาก ข้าพเจ้าได้สดับแล้ว ทรงจำไว้แล้ว คล่องปาก. เมื่อแสดงความบริบูรณ์แห่งอรรถและพยัญชนะ แม้ด้วยคำทั้งสองนั้น ย่อมให้เกิดความเอื้อเฟื้อในการฟัง เพราะว่าผู้ไม่สดับธรรมที่บริบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะโดยเอื้อเฟื้อ ย่อมเหินห่างจากประโยชน์
เกื้อกูลอันใหญ่ เพราะเหตุดังนี้นั้น กุลบุตรควรจะให้เกิดความเอื้อเฟื้อฟังธรรมนี้โดยเคารพแล.
อนึ่ง ด้วยคำทั้งหมดว่า เอวมฺเม สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์มิได้ตั้งธรรมที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว เพื่อตนย่อมล่วงพ้นภูมิอสัตบุรุษ เมื่อปฏิญาณความเป็นสาวกย่อมก้าวลงสู่ภูมิสัตบุรุษ.
อนึ่ง ย่อมยังจิตให้ออกพ้นจากอสัทธรรม ย่อมยังจิตให้ดำรงอยู่ในพระสัทธรรม เมื่อแสดงว่า ก็พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเท่านั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาโดยสิ้นเชิงทีเดียว ชื่อว่าย่อมเปลื้องตน ย่อมแสดงอ้างพระบรมศาสดา ทำพระดำรัสของพระชินเจ้าให้แนบแน่นประดิษฐานแบบแผนพระธรรมไว้.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อไม่ปฏิญาณว่าธรรมอันตนให้เกิดขึ้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ เปิดเผยการสดับในเบื้องต้น ย่อมยังความไม่ศรัทธาให้พินาศ
ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศรัทธาในธรรมนี้ให้เกิดขึ้นแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงว่า พระดำรัสนี้ข้าพเจ้าได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชญาณทั้งสี่ ผู้ทรงกำลังสิบ ผู้ดำรงอยู่ในฐานะอันองอาจ ผู้บันลือสีหนาท ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ผู้เป็นใหญ่ในธรรม ผู้เป็นธรรมราชา ผู้เป็นธรรมาธิบดี ผู้มีธรรมเป็นประทีป ผู้มีธรรมเป็นสรณะ ผู้ยังจักรอันประเสริฐ คือพระสัทธรรมให้หมุนไป ผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในพระดำรัสนี้ ใครๆ ไม่ควรทำความสงสัยหรือเคลือบแคลงในอรรถหรือธรรม ในบทหรือพยัญชนะ เพราะฉะนั้น พระอานนท์ย่อมยังความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาให้พินาศ ยังสัทธาสัมปทาให้เกิดขึ้นในธรรมนี้ แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวคาถาประพันธ์ไว้ดังนี้ว่า.
พระอานนทเถระผู้เป็นสาวกของพระโคดม กล่าวอย่างนี้ว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ ย่อมยังความไม่ศรัทธาให้พินาศ
ย่อมยังศรัทธาในพระศาสนาให้เจริญ ดังนี้.
แก้อรรถบท เอกํ สมยํ
บทว่า เอกํ แสดงการกำหนดนับ. บทว่า สมยํ แสดงสมัยที่กำหนด. สองบทว่า เอกํ สมยํ แสดงสมัยที่ไม่แน่นอน.
สมย ศัพท์ ในบทว่า สมยํ นั้น ปรากฏในความว่าพร้อมเพรียง ขณะ กาล ประชุม เหตุ ลัทธิ ได้เฉพาะ ละ และแทงตลอด.
จริงอย่างนั้น สมย ศัพท์นั้นมีเนื้อความว่า พร้อมเพรียง เช่นในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า อปฺเปวนาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลํ จ สมยํ จ อุปาทาย ชื่อแม้ไฉน เราทั้งหลายกำหนดกาลและความพร้อมเพรียงแล้ว พึงเข้าไปหาแม้ในวันพรุ่งนี้.๑-
มีเนื้อความว่า ขณะ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอโก จ โข ภิกฺขเว ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โอกาสและขณะเพื่อการอยู่พรหมจรรย์อย่างเดียวเท่านั้นแล.๒-
มีเนื้อความว่า กาล เช่นในประโยคมีอาทิว่า อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย กาลร้อน กาลกระวนกระวาย.๓-
มีเนื้อความว่า ประชุม เช่นในประโยคมีอาทิว่า มหาสมโย ปวนสฺมึ การประชุมใหญ่ ในป่าใหญ่.๔-
๑- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๑๖ ๒- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๑๙
๓- วิ. มหาวิ. เล่ม ๒/ข้อ ๖๑๑ ๔- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๓๖
มีเนื้อความว่า เหตุ เช่นในประโยคมีอาทิว่า๕-
สมโยปิ โข เต ภทฺทาลิ อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุ สาสเน สิกฺขาย น ปริปูริการีติ อยํปิ โข เต ภทฺทาลิ สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ.
ดูก่อนภัททาลิ แม้เหตุนี้แล เป็นเหตุอันเธอไม่แทงตลอดแล้วว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใกล้นครสาวัตถี แม้พระองค์จักทราบเราว่า ภิกษุชื่อภัททาลิเป็นผู้ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในสิกขาในศาสนาของพระศาสดา ดังนี้
ดูก่อนภัททาลิ เหตุแม้นี้แล ได้เป็นเหตุอันเธอไม่แทงตลอดแล้ว.
๕- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๑๖๓
แก้อรรถบท ภควา
บทว่า ภควา แปลว่า ครู.
จริงอยู่ บัณทิตทั้งหลายเรียกครูว่า ภควาในโลก. และพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ก็ทรงเป็นครูของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะทรงเป็นผู้ประเสริฐที่สุดโดยคุณทั้งปวง ฉะนั้น พึงทราบว่า ทรงเป็นภควา.
แม้พระโบราณาจารย์ทั้งหลายก็กล่าวไว้ว่า
คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐสุด คำว่า ภควา เป็นคำสูงสุด
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงควรแก่ความเคารพโดย
ฐานเป็นครู ฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า ภควา.
อีกอย่างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีโชค ทรงหักกิเลส ทรงประกอบ
ด้วยภคธรรม ทรงจำแนกแจกธรรม ทรงคบธรรม และ
ทรงคายกิเลสเป็นเครื่องไปในภพทั้งหลายได้แล้ว เหตุนั้น
จึงทรงพระนามว่า ภควา.
บทว่า ภควา นี้มีเนื้อความที่ควรทราบโดยพิสดารด้วยสามารถแห่งคาถานี้ และเนื้อความนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในนิเทศแห่งพุทธานุสสติในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
แก้อรรถบท เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา
ก็ด้วยลำดับแห่งคำเพียงเท่านี้ ในบรรดาคำเหล่านี้ ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ เมื่อแสดงธรรมตามที่ได้สดับมา ชื่อว่าย่อมกระทำพระธรรมกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ประจักษ์. ด้วยคำนั้น ท่านย่อมยังประชาชนผู้กระวนกระวายเพราะไม่ได้เห็นพระศาสดาให้เบาใจว่า ปาพจน์คือ พระธรรมวินัยนี้มีพระศาสดาล่วงไปแล้ว หามิได้ พระธรรมกายนี้เป็นพระศาสดาของท่านทั้งหลาย ดังนี้.
ด้วยคำว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ ท่านพระอานนท์ เมื่อแสดงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีอยู่ในสมัยนั้น ชื่อว่าย่อมประกาศการเสด็จปรินิพพานแห่งพระรูปกาย. ด้วยคำนั้น ท่านพระอานนท์ย่อมยังประชาชนผู้มัวเมาในชีวิตให้สลด และยังอุตสาหะในพระสัทธรรมให้เกิดแก่ประชาชนนั้นว่า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระวรกายเสมอด้วยกายเพชร ทรงไว้ซึ่งกำลังสิบ ทรงแสดงอริยธรรมชื่ออย่างนี้ ยังเสด็จปรินิพพาน คนอื่นใครเล่าจะพึงยังความหวังในชีวิตให้เกิดได้.
อนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อกล่าวว่า อย่างนี้ ชื่อว่าย่อมแสดงซึ่งเทศนาสมบัติ. เมื่อกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้สดับมา ชื่อว่าย่อมแสดงสาวกสมบัติ. เมื่อกล่าวว่า สมัยหนึ่ง ชื่อว่าย่อมแสดงกาลสมบัติ. เมื่อกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าย่อมแสดงเทสกสมบัติ.
แก้อรรถคำ อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาลนฺทํ
อนฺตรา ศัพท์ในคำว่า อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาลนฺทํ เป็นไปในเนื้อความว่า เหตุ ขณะ จิต ท่ามกลาง และระหว่าง เป็นต้น
อนฺตราศัพท์เป็นไปในเนื้อความว่า เหตุ เช่นในประโยคมีอาทิว่า ตทนฺนตรํ โก ชาเนยฺย อญฺญตฺร ตถาคตา ใครจะพึงรู้เหตุนั้น นอกจากพระตถาคต๑- และว่า ชนา สงฺคมฺม มนฺเตนติ มญฺจ ตญฺจ กิมนฺตรํ ชนทั้งหลายมาประชุมปรึกษาเหตุอะไรกะข้าพเจ้าและกะท่าน.๒-
๑- องฺ. ฉกฺก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๓๑๕ ๒- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๗๘๑
ในเนื้อความว่า ขณะ เช่นในประโยคมีอาทิว่า อทฺทส มํ ภนฺเต อนฺตรา อิตฺถี วิชฺชนฺตริกาย ภาชนํ โธวนฺตี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญิงคนหนึ่งล้างภาชนะ ฟ้าแลบ ได้เห็นข้าพระองค์.๓-
ในเนื้อความว่า จิต เช่นในประโยคมีอาทิว่า ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา ความกำเริบไม่มีในจิตของบุคคลใด.๔-
ในเนื้อความว่า ท่ามกลาง เช่นในประโยคมีอาทิว่า อนฺตรา โวสานมาปาทิ ถึงที่สุดในท่ามกลาง.
ในเนื้อความว่า ระหว่าง เช่นในประโยคมีอาทิว่า อปิจายํ ตโปทา ทฺวินฺนํ มหานิรยานํ อนฺตริกายาคจฺฉนฺติ อีกอย่างหนึ่ง บ่อน้ำร้อน ชื่อตโปทานี้ มาในระหว่างมหานรกทั้งสอง.
๓- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๑๗๖ ๔- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๓๔๗
อนฺตรศัพท์นี้นั้น ในที่นี้เป็นไปในเนื้อความว่า ระหว่าง เพราะฉะนั้น ในที่นี้พึงเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ในระหว่างแห่งกรุงราชคฤห์และนาลันทา. แต่เพราะท่านประกอบด้วยอนฺตรศัพท์ ท่านจึงทำเป็นทุติยาวิภัตติ. ก็ในฐานะเช่นนี้ นักอักษรศาสตร์ทั้งหลายใช้อนฺตราศัพท์เดียวเท่านั้น อย่างนี้ว่า อนฺตรา คามญฺจ นทิญฺจ ยาติ ไประหว่างบ้านและแม่น้ำ. อนฺตราศัพท์นั้นควรใช้ในบทที่สองด้วย เมื่อไม่ใช้ย่อมไม่เป็นทุติยาวิภัตติ. แต่ในที่นี้ ท่านใช้ไว้แล้วจึงกล่าวไว้อย่างนี้แล.
แก้อรรถบท อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน โหติ เป็นต้น
บทว่า อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน โหติ ความว่า ทรงดำเนินสู่ทางไกล. อธิบายว่า ทางยาว. จริงอยู่ แม้กึ่งโยชน์ก็ชื่อว่าทางไกล โดยพระบาลีในวิภังค์แห่งสมัยเดินทางไกลมีอาทิว่า พึงบริโภคด้วยคิดว่าเราจักเดินทางกึ่งโยชน์.
ก็จากกรุงราชคฤห์ถึงเมืองนาลันทา ประมาณโยชน์หนึ่ง.
บทว่า ใหญ่ ในคำว่า กับด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่. ความว่า ใหญ่ทั้งโดยคุณทั้งโดยจำนวน. จริงอยู่ ภิกษุสงฆ์นั้นชื่อว่าใหญ่โดยคุณ เพราะประกอบด้วยคุณธรรมมีความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยเป็นต้น ชื่อว่าใหญ่โดยจำนวน เพราะมีจำนวนถึงห้าร้อย. หมู่แห่งภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าภิกษุสงฆ์ ด้วยภิกษุสงฆ์นั้น. อธิบายว่า ด้วยหมู่สมณะ กล่าวคือเป็นพวกที่มีความเสมอกันด้วยทิฏฐิและศีล.
บทว่า กับ คือ โดยความเป็นอันเดียวกัน.
บทว่า ภิกษุประมาณห้าร้อย มีวิเคราะห์ว่า
ประมาณของภิกษุเหล่านั้น ห้า เพราะเหตุนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงชื่อว่ามีประมาณห้า. ประมาณท่านเรียกว่า มัตตะ. เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวว่าผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ก็มีความว่ารู้จักประมาณ คือรู้จักขนาดในการบริโภคฉันใด แม้ในบทว่า มีประมาณห้า นี้ก็พึงเห็นความอย่างนี้ว่า ประมาณห้า คือขนาดห้าของภิกษุจำนวนร้อยเหล่านั้น. ร้อยของภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าร้อยหนึ่ง. ด้วยภิกษุประมาณห้าร้อยเหล่านั้น.
บทว่า สุปปิยะ ในคำว่า แม้สุปปิยปริพาชกแล เป็นชื่อของปริพาชกนั้น. ปิอักษร มีเนื้อความประมวลบุคคล เพราะเป็นเพื่อนเดินทาง. โขอักษรเป็นคำต่อบท ท่านกล่าวด้วยอำนาจเป็นความสละสลวยแห่งพยัญชนะ.
คำว่า ปริพาชก ได้แก่ ปริพาชกนุ่งผ้า เป็นศิษย์ของสญชัย. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินทางไกลนั้นในกาลใด แม้สุปปิยปริพาชกก็ได้เดินทางในกาลนั้น.
ก็ โหติ ศัพท์ในพระบาลีนี้ มีเนื้อความเป็นอดีตกาล.
ในคำว่า กับด้วยพรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้
ชื่อว่า อันเตวาสี เพราะอรรถว่าอยู่ภายใน. อธิบายว่า เที่ยวไปในที่ใกล้ ท่องเที่ยวไปในสำนัก ได้แก่เป็นศิษย์.
คำว่า พรหมทัต เป็นชื่อของศิษย์นั้น.
คำว่า มาณพ ท่านเรียกสัตว์บ้าง โจรบ้าง ชายหนุ่มบ้าง.
จริงอยู่ สัตว์ เรียกว่า มาณพ เช่นในประโยคมีอาทิว่า มาณพเหล่าใดถูกเทวทูตเตือนแล้ว ยังประมาทอยู่ มาณพเหล่านั้นเป็นนระผู้เข้าถึงหมู่ที่เลว ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน.๑-
๑- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๕๒๕
โจร เรียกว่า มาณพ เช่นในประโยคมีอาทิว่า สมาคมกับพวกมาณพผู้กระทำกรรมบ้าง ไม่ได้กระทำกรรมบ้าง.
ชายหนุ่ม เรียกว่า มาณพ เช่นในประโยคมีอาทิว่า อัมพัฏฐมาณพ มัณฑัพยมาณพ.
แม้ในพระบาลีนี้ ก็มีเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. อธิบายว่า กับด้วยพรหมทัตศิษย์หนุ่ม.
บทว่า ตตฺร แปลว่า ในทางไกลนั้น หรือในคน ๒ คนนั้น. บทว่า สุทํ เป็นเพียงนิบาต.
ปริยาย ศัพท์ ในบทว่า โดยอเนกปริยาย เป็นไปในอรรถว่าวาระ เทศนาและเหตุเท่านั้น.
ปริยาย ศัพท์เป็นไปในอรรถว่าวาระ เช่นในประโยคมีอาทิว่า กสฺส นุ โข อานนฺท อชฺช ปริยาโย ภิกฺขุนิโย โอวทิตุํ ดูก่อนอานนท์ วันนี้เป็นวาระของใครที่จะให้โอวาทภิกษุณีทั้งหลาย.๒-
เป็นไปในอรรถว่าเทศนา เช่นในประโยคมีอาทิว่า มธุปิณฺฑิกปริยาโยติ นํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำธรรมนั้นว่าเป็นมธุปิณฑิกเทศนา.๓-
เป็นไปในอรรถว่าเหตุ เช่นในประโยคมีอาทิว่า อิมินาปิ โข เต ราชญฺญ ปริยาเยน เอวํ โหตุ ดูก่อนท่านเจ้าเมือง โดยเหตุแม้นี้ของท่าน จึงต้องเป็นอย่างนั้น.๔-
๒- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๗๖๗ ๓- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๕๒๕
๔- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๓๐๒
แม้ในพระบาลีนี้ ปริยาย ศัพท์นี้นั้นย่อมเป็นไปในอรรถว่าเหตุ ฉะนั้น เนื้อความในพระบาลีนี้ดังนี้ว่า โดยเหตุมากอย่าง. อธิบายว่า โดยเหตุเป็นอันมาก.
บทว่า สุปปิยปริพาชกกล่าวโทษพระพุทธเจ้า ความว่า กล่าวติ คือกล่าวโทษ กล่าวตำหนิพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าผู้เว้นจากโทษอันไม่ควรสรรเสริญ ผู้แม้ประกอบด้วยคุณที่ควรสรรเสริญหาประมาณมิได้อย่างนั้นๆ โดยกล่าวเหตุอันไม่สมควรนั้นๆ นั่นแหละว่า เป็นเหตุอย่างนี้ ว่า พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีรส เพราะเหตุที่พระสมณโคดมไม่มีการกระทำสามีจิกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้นอันควรกระทำในผู้ใหญ่โดยชาติในโลกที่เรียกว่าสามัคคีรส. พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีโภคะ พระสมณโคดมเป็นคนกล่าวการไม่กระทำ พระสมณโคดมเป็นคนกล่าวความขาดสูญ พระสมณโคดมเป็นคนเกลียดชัง พระสมณโคดมเป็นคนเจ้าระเบียบ พระสมณโคดมเป็นคนตบะจัด พระสมณโคดมเป็นคนไม่ผุดเกิด พระสมณโคดมไม่มีธรรมอันยิ่งของมนุษย์ซึ่งเป็นญาณและทัศนะอันวิเศษที่ควรแก่พระอริยเจ้า พระสมณโคดมแสดงธรรมที่ตรึกเอง ที่ตรองเอง ที่รู้เอง พระสมณโคดมไม่ใช่สัพพัญญู ไม่ใช่โลกวิทู ไม่ใช่คนยอดเยี่ยม ไม่ใช่อัครบุคคล ดังนี้
และกล่าวเหตุอันไม่ควรนั้นๆ นั่นแหละว่า เป็นเหตุ กล่าวโทษแม้พระธรรม เหมือนอย่างกล่าวโทษพระพุทธเจ้าโดยประการนั้นๆ ว่า ธรรมของพระสมณโคดมกล่าวไว้ชั่ว รู้ได้ยาก ไม่เป็นธรรมที่นำออกจากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ.
และกล่าวเหตุอันไม่สมควร ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นเองว่า เป็นเหตุ กล่าวโทษแม้พระสงฆ์ เหมือนอย่างพระธรรมโดยประการนั้นๆ ว่า พระสงฆ์สาวกของพระสมณโคดมปฏิบัติผิด ปฏิบัติคดโกง ปฏิบัติปฏิปทาที่ขัด ปฏิปทาที่แย้ง ปฏิปทาอันไม่เป็นธรรมสมควรแก่ธรรมดังนี้ โดยอเนกปริยาย.
ฝ่ายพรหมทัตมาณพศิษย์ของสุปปิยปริพาชกนั้นผุดคิดขึ้นโดยอุบายอันแยบคายอย่างนี้ว่า อาจารย์ของพวกเราแตะต้องสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง เหยียบสิ่งที่ไม่ควรเหยียบ อาจารย์ของพวกเรานี้นั้นกล่าวติพระรัตนตรัยซึ่งควรสรรเสริญเท่านั้น จักถึงความพินาศย่อยยับเหมือนคนกลืนไฟ เหมือนคนเอามือลูบคมดาบ เหมือนคนเอากำปั้นทำลายภูเขาสิเนรุ เหมือนคนเล่นอยู่แถวซี่ฟันเลื่อย และเหมือนคนเอามือจับช้างซับมันที่ดุร้าย.
ก็เมื่ออาจารย์เหยียบคูถ หรือไฟ หรือหนาม หรืองูเห่าก็ดี ขึ้นทับหลาวก็ดี เคี้ยวกินยาพิษอันร้ายแรงก็ดี กลืนน้ำกรดก็ดี ตกเหวลึกก็ดี ไม่ใช่ศิษย์จะต้องทำตามนั้นไปเสียทุกอย่าง ด้วยว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ย่อมไปสู่คติตามควรแก่กรรมของตนแน่นอน มิใช่บิดาจะไปด้วยกรรมของบุตร มิใช่บุตรจะไปด้วยกรรมของบิดา มิใช่มารดาจะไปด้วยกรรมของบุตร มิใช่บุตรจะไปด้วยกรรมของมารดา มิใช่พี่ชายจะไปด้วยกรรมของน้องสาว มิใช่น้องสาวจะไปด้วยกรรมของพี่ชาย มิใช่อาจารย์จะไปด้วยกรรมของศิษย์ มิใช่ศิษย์จะไปด้วยกรรมของอาจารย์.
ก็อาจารย์ของเรากล่าวติพระรัตนตรัย และการด่าพระอริยเจ้าก็มีโทษมากจริงๆ ดังนี้ เมื่อจะย่ำยีวาทะของอาจารย์ อ้างเหตุผลเหมาะควร เริ่มกล่าวสรรเสริญพระรัตนตรัยโดยอเนกปริยาย ทั้งนี้เพราะพรหมทัตมาณพเป็นกุลบุตรมีเชื้อชาติบัณฑิต ด้วยเหตุนั้น ท่านพระอานนท์จึงกล่าวว่า ส่วนพรหมทัตมาณพศิษย์ของสุปปิยปริพาชกกล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย.
อธิบาย วณฺณ ศัพท์
ในศัพท์เหล่านั้น ศัพท์ว่า วณฺณ ในบทว่า วณฺโณ ย่อมปรากฏในความว่า สัณฐาน ชาติ รูปายตนะ การณะ ปมาณะ คุณะและปสังสา.
ในบรรดาเนื้อความเหล่านั้น สัณฐาน เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า มหนฺตํ สปฺปราชวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา เนรมิตทรวดทรงเป็นพญางูตัวใหญ่.๑-
ชาติ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า พฺราหฺมณาว เสฏฺโฐ วณฺโณ หีโน อญฺโญ วณฺโณ พวกพราหมณ์เท่านั้น มีชาติประเสริฐ ชาติอื่นเลว.๒-
รูปปายตนะ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา ประกอบด้วยความงามแห่งรูปายตนะอย่างยิ่ง.๓-
๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๔๓๒ ๒- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๔๖๔
๓- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๑๒๘
เหตุ เรียกว่า วณฺณ เช่นในคาถามีอาทิว่า๔-
น หรามิ น ภญฺชามิ อารา สึฆามิ วาริชํ
อถ เกน นุ วณฺเณน คนฺธตฺเถโนติ วุจฺจติ
ข้าพเจ้ามิได้ขโมย ข้าพเจ้ามิได้หัก ข้าพเจ้าดมห่างๆ
ซึ่งดอกบัว เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุไรเล่า ท่านจึงกล่าวว่า
ขโมยกลิ่น.
๔- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๗๙๗
ประมาณ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า ตโย ปตฺตสฺส วณฺณา บาตร ๓ ขนาด.๕-
คุณ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า กทา สํญุฬฺหา ปน เต คหปติ อิเม สมณสฺส โคตมสฺส วณฺณา ดูก่อนคหบดี ท่านประมวลคุณของพระสมณโคดมเหล่านี้ไว้แต่เมื่อไร.๖-
สรรเสริญ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า วณฺณารหสฺส วณฺณํ ภาสติ กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ.๗-
๕- วิ. มหาวิ. เล่ม ๒/ข้อ ๑๑๙ ๖- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๘๓
๗- องฺ. ทุก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๓๗๙
ในพระบาลีนี้ วณฺณ หมายถึง ทั้งคุณ ทั้งสรรเสริญ.
ได้ยินว่า พรหมทัตมาณพนี้ได้อ้างเหตุที่เป็นจริงนั้นๆ กล่าวสรรเสริญประกอบด้วยคุณแห่งพระรัตนตรัย โดยอเนกปริยาย.
ในข้อนั้น พึงทราบคุณของพระพุทธเจ้า โดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในบุคคลผู้เลิศ.๘-
และมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเอก ไม่มีผู้เสมอ สมกับเป็นผู้ที่ไม่มีผู้เสมอ เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นในโลก๙- ดังนี้.
พึงทราบคุณของพระธรรม โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วว่า พระธรรมถอนอาลัย ตัดวัฏฏะ และว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในอริยมรรคมีองค์ ๘ ชนเหล่านั้น ชื่อว่าเลื่อมใสในธรรมอันเลิศ.๘-
อนึ่ง พึงทราบคุณของพระสงฆ์ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว และว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระสงฆ์ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ๘- ดังนี้.
๘- องฺ. จตุกฺก เล่ม ๒๑/ข้อ ๓๔ ๙- องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๓
ก็พระธรรมกถึกผู้สามารถพึงประมวลนวังคสัตถุศาสน์ในนิกายทั้ง ๕ เข้าสู่พระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ ประกาศคุณของพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น.