Translate

05 กรกฎาคม 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 62 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๘๘)
 ​ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ลาเจ้าเมืองและราษฎรแล้ว ก็พากันออกจากเมืองเดินตามแนวทางหมายทิศไซที เวลานั้นพระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้ามีความยินดีปราโมชรื่นเริงในใจ จึงเรียกเห้งเจียพูดว่าทำการครั้งนี้มีความดีมาก อันกุศลผลบุญหาที่เปรียบมิได้ เห้งเจียพูดถ่อมตัวว่า ซึ่งการเป็นทั้งนี้ก็เพราะชนทั้งหลายเขาหาซึ่งความชอบธรรม เพราะฉะนั้นเขาจึงได้รับผลอันดี จะได้เป็นเพราะความดีของข้าพเจ้าแต่ส่วนเดียวก็หามิได้ อาจารย์กับศิษย์สนทนากันพลางเดินพลางก็รีบเดินมา
   ในเวลานั้นเป็นฤดูเดือนเก้าเดือนสิบ พากันเดินชมต้นผลไม้ตามระยะทางทั้งสองข้าง ครั้นเดินทะลุออกจากป่าดงแลไปข้างหน้า เห็นมีป้อมกำแพงเมืองแต่ไกล พระถังซัมจั๋งจึงเอาแซ่ม้าชี้บอกแก่เห้งเจียว่า จงดูข้างหน้านั้นมีป้อมและกำแพงจะเป็นแห่งตำบลใด พูดยังไม่ทันขาดคำก็แลเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งอยู่ในรกกระโดดออกมา พระถังซัมจั๋งตกใจพลัดตกจากหลังม้าแล้วลุกขึ้นเดินมาปราสัยแก่ตาเฒ่า ๆ ก็ยกมือขึ้นคำนับตอบ แล้วถามว่าท่านอาจารย์อยู่เมืองไหนไปไหนมา
   พระถังซัมจั๋งย่อตัวแล้วพูดว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ให้ไปยังประเทศไซที เพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ยังวัดลุ่ยอิมยี่ บัดนี้มาถึงตำบลนี้ไม่ทราบว่าที่นี่เป็นเมืองอะไร ถ้าท่านตาทราบเรื่องขอได้กรุณาบอกให้ข้าพเจ้าทราบด้วยเถิด ตาเฒ่าได้ฟังพระถังซัมจั๋งถามดังนั้น จึงพูดว่าพระอาจารย์นี้มีอภินิ​หารเชี่ยวชาญมากนัก จึงได้มาถึงตำบลนื้ อันตำบลนี้เป็นเขตแดนเมืองโซจ็อกนามเมืองเรียกเง็กฮัวจิ้ว เจ้าเมืองเง็กฮัวจิ้วนั้นคือพระญาติพระวงศ์ของเจ้าเมืองโซจ็อก เจ้าเมืองเง็กฮัวจิ้วนี้เป็นคนดีตั้งอยู่ในทางยุติธรรมมีใจโอบอ้อมอารีรักใคร่ราษฎร หากท่านอาจารย์เข้าไปหาเธอคงเลื่อมใสศรัทธา
รูปภาพ ; เจ้าเมืองเง็กฮัวจิวผู้นี้ เป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในทางยุติธรรม และนับถือพระพุทธศาสนาปฏิบัติตามทางสัมมาปฏิปทา เมื่อพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามคนมาถึงเมืองเข้าเฝ้า เพื่อจะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางก็ทรงอนุญาตเปลี่ยนหนังสือและประทับตราให้แล้ว สั่งให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องแจเลี้ยงจนอิ่มเอิบเป็นที่สำราญแล้ว แต่พระราชบุตรของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสามพระองค์ จะใคร่ได้เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเป็นอาจารย์ฝึกหัดเพลงอาวุธ ครั้นปีศาจลักเอาเครื่องมือของเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งไป จึงได้ติดตามไปจับตัวปีศาจได้อาวุธคืนแล้ว จึงได้ลาออกจากเมืองไป
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็กระทำคำนับขอบคุณ ตาเฒ่าก็หันกลับลัดเข้าดงไป พระถังซัมจั๋งก็หันหน้ากลับมาบอกแก่สานุศิษย์ทั้งสามคนทุกประการ แล้วก็พากันเดินตัดตรงเข้าเมือง ครั้นเดินเข้าถนนใหญ่แล้ว จึงพิเคราะห์ดูทั้งสองข้างทาง ตั้งร้านค้าขายผู้คนแออัด โรงร้านตึกเรือนเรียบร้อยเป็นสง่างาม ลักษณะชนชาวเมืองมีอาการกิริยาคล้ายแก่คนชาวเมืองใต้ถัง พระถังซัมจั๋งจึงสั่งสานุศิษย์ทั้งสาม ให้สำรวมจิตระวังสังวรอย่าให้พลั้งเผลอ โป๊ยก่ายก็เดินก้มหน้าซ่อนปากไว้กับอก ซัวเจ๋งเอาผ้าคลุมหน้า เห้งเจียเดินประคับประคองข้างพระอาจารย์ พวกชาวเมืองก็ชิงกันดูแล้วพูดว่า ที่เมืองเรามีผู้วิเศษปราบได้แต่เสือกับมังกร ยังไม่เคยเห็นพระสงฆ์ปราบหมูปราบลิงดังนี้
   โป๊ยก่ายได้ฟังชาวเมืองพูดก็อดไม่ได้ จึงยื่นปากออกพูดว่าพวกเจ้าไม่เคยเห็นพระสงฆ์ปราบพระยาสุกรหรือ หมู่ชนเหล่านั้นก็พากันตกใจล้มคว่ำล้มหงายเป็นระนาวไป ลุกขึ้นได้ก็พากันวิ่งหนีซุกซ่อนตัวไปทั้งสิ้น โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็เดินก้มหน้าตามอาจารย์ไป ครั้นเดินมาถึงประตูเมืองก็ตรงเข้าไปในเมือง เห็นผู้คนมากมายดุจเมือง​หลวง พระถังซัมจั๋งมีความยินดีจึงพูดว่า ได้ฟังเขาเล่ากันว่าชาวเมืองโซจ็อกแต่ยังไม่เคยมาถึง เมื่อพิเคราะห์ดูโดยละเอียดก็ไม่ผิดชาวเมืองใต้ถัง และได้ยินเขาพูดกันว่าข้าวสารถังละหนึ่งเฟื้อง น้ำมันงาถังละสองไพข้าวปลาบริบูรณ์ ชัยภูมิเมืองก็สนุกสนานปราศจากโจรผู้ร้าย ครั้นเดินมาประมาณสักสองชั่วโมงก็มาถึงที่ประตูพระทวารวัง ข้างหน้านั้นมีหอสำหรับที่รับแขก และที่เลี้ยงแขก และมีขุนนางคอยรักษาทั้งซ้ายขวา พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่สานุศิษย์ทั้งสามว่าที่นี้เป็นที่รับแขกเมืองเราพากันเข้าไปพักก่อน เพื่ออาตมภาพจะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางแล้วจึงค่อยไป บางทีเจ้าเมืองจะมีศรัทธาเลี้ยงเครื่องแจจะให้คนมาตามเข้าไป ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นจึงหาบของเข้าไปพักที่หอรับแขก
   ฝ่ายพวกขุนนางรับแขก แลเห็นรูปร่างเธอทั้งสามคนดุร้ายน่าเกลียดน่าชังไม่น่าจะทักถามดังนั้น ปล่อยให้นั่งลุกตามสบายมิได้ว่ากล่าวประการใด ฝ่ายพระถังซัมจั๋งจัดแจงแต่งกายครองจีวรสำรวมกิริยาเรียบร้อยแล้ว ถือหนังสือเดินทางเข้าในประตูพระราชวัง ครั้นเข้ามาถึงชั้นในขุนนางก็มาคำนับรับรอง ถามว่าท่านอาจารย์มาจากเมืองไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินให้ไปไซที วัดลุ่ยอิมยี่ เพื่อขออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงนี่ จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เพราะฉะนั้นอาตมภาพปรารถนาจะเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ขอท่านได้อนุกูลกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน​ให้ทรงทราบ
   ขุนนางผู้นั้นครั้นได้ทราบความดังนั้นแล้ว จึงนำความเสนอท่านผู้ใหญ่ให้ทราบ ก็นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ จึงรับสั่งให้ขุนนางออกมานิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้าไปเฝ้า
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเดินตามขุนนางเข้ามา ครั้นถึงที่เฝ้าก็นำหนังสือออกถวายพระเจ้าแผ่นดิน ก็สำรวมกิริยานำหนังสือขึ้นถวายต่อพระหัตถ์พระเจ้าแผ่นดิน ๆ รับมาคลี่ออกดูเห็นมีตราประทับทุก ๆ เมืองก็มีความยินดี จึงเซ็นลายพระหัตถ์ลงแล้ว ก็ประทับตราแผ่นดินลงแล้วก็คืนให้พระถังซัมจั๋ง แล้วรับสั่งถามว่าท่านก๊กซืออาจารย์เมื่อออกจากเมืองใต้ถัง ข้ามทุกเมืองมาถึงนี่ ประมาณระยะทางจะไกลสักเท่าใดท่านอาจทราบหรือไม่ พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า อาตมภาพเดินมาก็มิได้จำว่าใกล้ไกลเท่าใด แต่เมื่อปีก่อนนี้มีพระโพธิสัตว์กวนอิมแบ่งภาคลงมาชี้แจงต่อหน้าพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ บอกว่าหนทางจะไปไซทีนั้นไกลสิบหมื่นแปดพันโยชน์ อาตมภาพเดินมาได้สิบสี่รอบฤดูร้อนหนาวแล้ว
   พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังทรงพระสรวลว่าสิบสี่รอบฤดูร้อนหนาวมิได้สิบสี่ปีมาแล้วหรือ ตามระยะทางเห็นจะมีความลำบากมากดอกกระมัง พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า อันความลำบากยากแค้นพบปะปีศาจอสูรกาย ยักษ์มารนั้น ไม่สามารถจะพรรณาได้ รับความเดือดร้อนไม่รู้ว่าเท่าไรแล้วจึงได้มาถึงนี่ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น ก็ให้เกิดศรัทธาปราโมทย์รื่นเริงบันเทิงพระทัย รับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องโต๊ะแจมาถวาย พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า อาตมภาพมีสานุศิษย์​ยังคอยอยู่ข้างนอก ไม่อาจนำเข้ามาเฝ้าวิตกเกรงจะมีความผิด พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางออกไปนิมนต์เข้ามาจะได้ฉันเครื่องแจด้วยกัน พวกขุนนางก็ออกไปที่ประตูมิได้เห็นมีผู้ใด พวกเฝ้าประตูบอกว่า เห็นอยู่สามคนรูปร่างหยาบช้าพักอยู่ที่หอรับแขกเมือง เห็นจะเป็นคนทั้งสามนั้นดอกกะมัง
   พวกขุนนางได้ฟังดังนั้นก็เดินไปที่หอพัก ถามขุนนางที่เฝ้าหอว่า คนไหนเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง บัดนี้มีรับสั่งให้นำเข้าไปฉันแจ โป๊ยก่ายนั่งอยู่ที่นั่นได้ยินว่าจะให้เข้าไปกินเลี้ยง ก็ทะลึ่งออกมาพูดเสียงดังว่าข้าพเจ้าเอง พวกขุนนางแลเห็นรูปร่างก็ตกใจ แข็งใจพูดว่าขอเชิญท่านทั้งหลายเข้าไปประเดี๋ยวนี้เถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็พากันตามขุนนางเข้าไปในพระราชวัง พวกขุนนางครั้นพาคนทั้งสามเข้ามาแล้ว ก็นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง มีรูปร่างดุร้ายดังนั้นก็ตกพระทัย พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเกรงกลัวเลยจงวางพระทัยเถิด คนทั้งสามนี้รูปร่างดุร้ายก็จริงแต่ใจดี โป๊ยก่ายทะลึ่งทูลขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าข้าพเจ้าขอคำนับ พระเจ้าแผ่นดินก็ตกพระทัยยิ่งนัก พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า สานุศิษย์ทั้งสามนี้อาตมภาพได้มาแต่ในป่า มิได้รู้จักขนบธรรมเนียมบ้านเมือง ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานอภัย
   พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางพนักงาน จัดเครื่องโต๊ะพาไปยังตำหนัก​ม่อซอเต๊ง จะได้รับประทานอาหารแจ พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามก็คำนับลาพระเจ้าแผ่นดิน ออกเดินตามขุนนางพนักงานเครื่องไปยังตำหนักม่อซอเต๊ง ขุนนางก็จัดโต๊ะเชิญพระถังซัมจั๋งเข้านั่งโต๊ะหนึ่ง สานุศิษย์ทั้งสามเข้านั่งรวมกันโต๊ะหนึ่งตามสบาย
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จเข้าข้างใน ให้มีพระพักตร์ผิดปรกติไป พระราชบุตรทั้งสามพระองค์คอยเฝ้าอยู่ในพระตำหนักนั้น ก็แลเห็นพระราชบิดาเสด็จเข้ามามีสีพระพักตร์ผิดเผือดไปดังนั้น จึงพากันทูลถามว่า พระองค์มีเหตุการณ์ไฉนจึงมีสีพระพักตร์ผิดปรกติดังนี้ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสแก่พระราชบุตรทั้งสามว่า เมื่อกี้นี้มีพระสงฆ์รูปหนึ่งมาจากเมืองใต้ถังเข้ามาขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เธอมีลักษณะรูปร่างงามมิใช่คนเมืองใต้ เรามีศรัทธาจะเลี้ยงแจเธอสักเวลาหนึ่ง เธอบอกว่ายังมีสานุศิษย์อีกสามคนคอยอยู่ที่หอรับแขกเมือง เราจึงสั่งให้เข้ามาทั้งสามคน บัดนี้ก็เข้ามาแล้ว แต่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมข้าราชการที่จะเคารพต่อเจ้านาย เราพิเคราะห์ดูคนทั้งสามนั้น มีลักษณะรูปร่างน่าเกลียดน่าชังดุจดังว่าผีและยักษ์ร้าย ในใจให้สะดุ้งหวาดไม่เป็นปรกติ เพราะฉะนั้นจึงมีสีหน้าผิดปรกติไป
   เมื่อพระราชโอรสทั้งสามได้ฟังพระราชบิดาตรัสดังนั้น ก็กราบทูลว่าชะรอยจะเป็นผีปิศาจแปลงกายมาดอกกระมัง พวกข้าพเจ้าจะขอออกไปดูให้เห็นแน่แก่ตาว่าจะเป็นประการใด เมื่อทูลพระราชบิดาดังนั้นแล้ว พระองค์ที่หนึ่งก็ทรงถือตะบองใหญ่ พระองค์ที่สองก็ทรงถือคราดเก้าซี่ พระองค์ที่สามก็ทรงถือแผ่นป้ายดำอันหนึ่ง ​สามองค์พี่น้องถืออาวุธครบมือกันแล้ว ก็พากันออกจากพระราชวัง ถึงประตูก็ร้องตวาดว่า พวกไหนที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกอยู่ที่ไหน ในขณะนั้นมีขุนนางพนักงานเครื่องผู้หนึ่งอยู่ที่นั่น ได้ยินพระราชโอรสถามดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับทูลว่า พวกพระสงฆ์ที่พึ่งเข้ามาฉันโต๊ะเครื่องแจอยู่ที่ตำหนักม่อซอเต๊ง พระราชโอรสทั้งสามได้ทรงฟังดังนั้นมิได้รอรั้งรีบเดินเข้าไปในตำหนักม่อซอเต๊ง ร้องถามด้วยเสียงอันดังว่า พวกเหล่านี้เป็นมนุษย์หรือปีศาจหรือยักษ์ร้าย จงรีบบอกออกมาโดยเร็วอย่าให้ถึงลงมือ
   พระถังซัมจั๋งกำลังฉันจังหันอยู่ เห็นดังนั้นก็ตกใจวางชามข้าวเสียทันที ขอตัวว่าอาตมภาพเป็นชาวเมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระธรรม มิใช่ผีปีศาจยักษ์ร้ายอะไรดอก พระราชโอรสทั้งสามพูดว่า ตัวท่านก็เป็นมนุษย์อย่างเดียวกับเรา แต่คนทั้งสามนั้นรูปร่างดุร้าย ชะรอยจะเป็นปีศาจอสุรยักษ์เป็นแน่ โป๊ยก่ายกำลังกินไม่ธุระที่จะฟังเสียงร้ายดี ซัวเจ๋งกับเห้งเจียเห็นดังนั้น จึงถ่อมตัวพูดว่า พวกข้าพเจ้าหน้าตาไม่สวยงามก็จริง แต่ใจเป็นพระร่างกายหยาบคายแต่สันดานดี ท่านทั้งสามคือผู้ใดออกท่าทางฮึกหาญกล่าวความหมิ่นประมาทดังนี้ ขุนนางพนักงานเครื่องที่อยู่ในที่นั้น จึงบอกว่าท่านทั้งสามนี้คือพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินปัจจุบันนี้ โป๊ยก่ายวางชามเข้าลุกขึ้นถามว่า ท่านราชบุตทั้งสามจะถืออาวุธมาทำไม หรือจะใคร่ลองฝีมือกับพวกข้าพเจ้าดอกกระมัง
   พระราชบุตรองค์ที่สองได้ฟังโป๊ยก่ายถามดังนั้น สองมือจับคราด​เหล็กแกว่งกวัด โป๊ยก่ายแลเห็นก็หัวเราะแล้วพูดว่า คราดของเธอนั้นเป็นลูกหลานคราดของข้าพเจ้า ว่าแล้วโป๊ยก่ายก็แหวกเสื้อชักเอาคราดเหล็กออกมาจากเอว แกว่งกวัดมีรัศมีสีทองพุ่งพรายออกมานั้นได้พันและหมื่นสาย พระราชบุตรที่สองเห็นดังนั้นก็ตกใจมือและเท้าก็อ่อนเปลี้ยไปทั้งกาย เห้งเจียเห็นพระราชบุตรที่หนึ่งถือกระบองโลดเต้นกวัดแกว่ง ก็ชักตะบองออกจากหูแกว่งไปมาตะบองก็ใหญ่กว่าสามกำ ยาวสี่ศอกเศษปักลงกับพื้นลึกสามศอกเศษ แล้วก็หัวเราะพูดว่าข้าพเจ้าให้ตะบองนี้แก่ท่าน พระราชบุตรที่หนึ่งก็ทิ้งตะบองของตนเสีย วิ่งเข้าไปจับตะบองของเห้งเจียโยกถอนโดยกำลังแรง ถอนเท่าใดก็ไม่ขึ้น พระราชบุตรองค์ที่สามเห็นดังนั้นก็จับป้ายเหล็กออกท่า ซัวเจ๋งยกตะบองวิเศษออกสกัด แล้วแกว่งไปมามีรัศมีแสงพุ่งออกมาระยับระย้า
   พวกขุนนางพนักงานในห้องเครื่องเห็นดังนั้น พากันตกใจครั่นคร้ามไม่เป็นสมประดี พระราชโอรสทั้งสามคุกเข่าลงเคารพพูดว่าท่านครูข้าพเจ้าไม่ทราบเลย ขอท่านได้สำแดงความประสิทธิ์ของท่านให้ข้าพเจ้าเห็นอีกสักครั้งหนึ่ง จะได้เป็นที่นับถือของพวกข้าพเจ้า เห้งเจียกระโดดมาจับตะบองที่ปักอยู่นั้น ยกขึ้นเบา ๆ ก็หลุดถอนขึ้นมาโดยง่ายไม่เป็นความยาก แล้วพูดว่าในสถานที่นี้คับแคบ ไม่สมควรที่จะแผลงอิทธิฤทธิ์ได้ ข้าพเจ้าจะเหาะขึ้นบนเวหาแผลงฤทธิ์ให้ท่านทั้งหลายดู พูดแล้วก็ทำสิงหนาทร้องตวาดด้วยเสียงอันดังคำหนึ่งแล้ว ก็ขึ้นเหยียบเมฆลอยขึ้นไปบนอากาศ จับตะบองออกท่าเรียกว่าเพลงโปรย​ดอกไม้ และเรียกว่ามังกรพลิกตัว เห้งเจียจับตะบองแกว่งหมุนคว้าง ๆ
   โป๊ยก่ายอยู่ข้างล่างอดไม่ได้ ร้องขึ้นไปว่าข้าพเจ้าจะแผลงฤทธิ์ให้ดูบ้าง ว่าแล้วถือคราดเผ่นขึ้นเหยียบสายลมเหาะลอยขึ้นบนอากาศ มือจับคราดตีข้างบนสามทีล่างสี่ที ซ้ายห้าที ขวาหกที หน้าเจ็ดที หลังเก้าที หมุนหันรอบตัวโดยความแคล่วคล่องว่องไว ได้ยินเสียงดุจลมพัดดังอู้ ๆ ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็มาคำนับอาจารย์พูดว่า ขอพระอาจารย์จงนั่งคอย ข้าพเจ้าจะไปซ้อมฝีมือให้พระอาจารย์ดูบ้าง พูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ จับตะบองควงหมุนดังจังหัน มีรัศมีสีแสงสว่างพรายเป็นประกายดูงดงามยิ่งนัก
   เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งต่างแผลงฤทธิ์อยู่บนอากาศโดยเชี่ยวชาญ พระราชโอรสทั้งสามแลเห็นดังนั้น ก็ให้สยดสยองหวาดหวั่นครั่นคร้ามยิ่งนัก พากันคุกเข่าลงกับพื้นในตำหนักม่อซอเต๊ง พวกขุนนางพากันกราบไหว้ทุก ๆ คนทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน แลชาวเมืองพลไพร่ใหญ่น้อยเห็นดังนั้น ก็มีความเลื่อมสัยศรัทธาจุดธูปเทียนบูชา เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแผลงอิทธิฤทธิ์แล้ว ก็หยุดพักพากันลงมายังพื้นไปหาพระอาจารย์
   ฝ่ายพระราชโอรสทั้งสามก็รีบพากันเข้าไปยังพระราชวังใน กราบทูลพระราชบิดาว่า มีความปราโมทย์ชื่นชมโสมนัสหาที่เปรียบมิได้ พระบิดาได้เห็นหรือไม่เมื่อตะกี้นี้ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสแก่พระราชโอรสทั้งสามว่า บิดาพึ่งเห็นบนอากาศเมื่อกี้มีรัศมีสีรุ้งพรายสว่างไสว ก็ได้พากันจุดธูปเทียนสักการะบูชา ไม่รู้ว่าเทพยดาพระองค์ใดมาแผลง​ศักดานุภาพดังนี้ พระราชโอรสทั้งสามจึงกราบทูลว่า ที่แผลงฤทธานุภาพนั้นมิใช่ใครผู้ใดเลย คือสานุศิษย์ทั้งสามของพระสงฆ์ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมนั้นเอง คนหนึ่งถือตะบองเหล็ก คนหนึ่งถือคราดเหล็ก คนหนึ่งถือพลองเหล็ก ล้วนแต่อาวุธวิเศษทั้งสามคน อาวุธของข้าพเจ้าทั้งสามนั้นไม่สามารถจะเปรียบได้ พวกข้าพเจ้าขอให้เธอแผลงอิทธิฤทธิ์ให้ดู เธอว่าคับแคบนักไม่พอที่จะแผลงฤทธิ์ได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเชิญให้เธอเหาะขึ้นบนอากาศ ที่บังเกิดแสงสว่างรุ่งเรืองนั้น คือรัศมีของอาวุธต่าง ๆ บัดนี้เธอยังอยู่ที่ตำหนักม่อซอเต็ง ลูกมีความยินดีที่สุด อยากจะใคร่เป็นสานุศิษย์แห่งเธอเรียนวิชาไว้สำหรับรักษาบ้านเมือง แต่ไม่ทราบว่าพระบิดาจะเห็นประการใด
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้ฟังพระราชโอรสทั้งสาม ทูลดังนั้นก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก จึงพาพระราชโอรสทั้งสามเสด็จไปยังตำหนักม่อซอเต๊ง ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามกำลังจัดแจงจะเข้าไปลาพระเจ้าแผ่นดิน ก็พอเห็นพระเจ้าแผ่นดิน เง๊กฮัวจิวเสด็จมากับพระราชบุตร พระราชโอรสทั้งสามพระองค์พร้อมกันกราบลงกับพื้น พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจก็ลงคุกเข่าคำนับตอบ เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็ลุกจากที่เดินแอบไปข้างหนึ่งยิ้ม ๆ อยู่
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสนมัสการแล้ว ก็นิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ขึ้นนั่งยังเดิมแล้ว พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า ข้าพเจ้ามีกิจธุระจะขอยอมเคารพต่อท่าน ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามจะปลงใจ​ด้วยหรือไม่ พระถังซัมจั๋งถวายพระพรถามว่า พระองค์มีความเห็นอย่างไรก็ตามแต่พระทัยเถิดถ้าควรแล้วอาตมภาพไม่ขัดศรัทธา จึงพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า เมื่อแรกข้าพเจ้ายังมิได้พบแก่ท่านทั้งสาม ก็นึกแต่ว่าพระสงฆ์มาแต่เมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระธรรมเท่านั้น ครั้นได้เห็นท่านสำแดงฤทธาอานุภาพในกลางอากาศจึงทราบได้ว่าท่านผู้สำเร็จลงมา บุตรข้าพเจ้าทั้งสามนี้พอใจแต่ในการฝึกหัดเพลงอาวุธ เพราะฉะนั้นขอท่านได้กรุณาแนะนำสั่งสอนวิทยาให้แก่บุตรของข้าพเจ้าทั้งสาม ข้าพเจ้าจะขอบใจท่านแบ่งสมบัติให้แก่ท่านครึ่งหนึ่ง
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านยังไม่ทราบหรือว่าพวกข้าพเจ้าอยู่ในทางธรรม รักษาศีลภาวนาไม่พอใจในลาภยศ หากพระราชบุตรของพระองค์ปรารถนาจะเรียนรู้วิชา อย่ายกสิ่งของขึ้นเป็นกำนัน เอาแต่น้ำใจเท่านั้นก็พออยู่แล้ว พระราชบุตรทั้งสามได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น ก็มีความยินดีเป็นที่สุด จึงสั่งพนักงานเครื่องแจให้จัดเครื่องโต๊ะเลี้ยงยังพระราชวังใน แล้วสั่งพนักงานพิณพาทย์ขับร้อง ครั้นจัดเสร็จแล้ว ศิษย์กับอาจารย์ก็พร้อมกันเข้านั่งฉันเครื่องแจในเวลานั้น ครั้นเสร็จแล้วก็พากันพักนอนยังตำหนักม่อซอเต๊งคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นพระเจ้าแผ่นดินเง๊กฮัวจิวกับพระราชโอรสทั้งสามเสด็จมานมัสการพระถังซัมจั๋งแล้ว พระราชบุตรทั้งสามก็มาคำนับเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งแล้วพูดว่า ขอท่านครูอย่าได้มีความเสียดายเลย ขอให้ข้าพเจ้าดูเครื่องมือของท่านทั้งสามอีกครั้งหนึ่งเถิด
   โป๊ยก่ายซัวเจ๋งมีความยินดีหัวเราะแล้ว จึงชักอาวุธออกวางไว้กับพื้น ​พระราชบุตรที่สองที่สามเฃ้ามาลองยกดูก็ไม่หวาดไหว เปรียบดุจตั๊กกะแตนเข้าโยกเสาตะลุงช้างฉะนั้น พระราชบุตรทั้งสองออกกำลังจนสีพระพักตร์แดงก็ไม่ไหวไม่เขยื้อน พระราชบุตรที่หนึ่งตรัสว่าพระน้องทั้งสองอย่าออกกำลังให้เสียแรงเปล่าเลย ด้วยเครื่องอาวุธทั้งสองอย่างนั้น มิใช่ของธรรมดา เป็นของกายสิทธิ์ไม่ทราบว่าจะหนักสักเท่าใด โป๊ยก่ายบอกว่า คราดนั้นไม่หนักสักเท่าใดดอก ทั้งตัวทั้งด้ามหนักประมาณห้าพันสี่สิบแปดชั่งเท่านั้น พระราชบุตรที่สามถามซัวเจ๋งว่าพลองของท่านอาจารย์หนักประมาณสักเท่าใด ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วตอบว่าพลองนั้นหนักห้าพันสี่สิบแปดชั่งเหมือนกัน พระราชบุตรที่หนึ่งขอดูตะบองของเห้งเจีย เห้งเจียเอียงหูลงควักออกมาเป็นเข็มเล่มหนึ่ง แกว่งกระทบสายลมตะบองก็โตขึ้นประมาณสี่กำ แล้วปักตั้งอยู่ตรงหน้า พวกขุนนางแลเห็นดังนั้นก็พากันครั่นคร้ามเกรงกลัว
   พระราชบุตรทั้งสามจึงถามว่า อาวุธของอาจารย์ทั้งสองซ่อนไว้ที่บั้นเอว แต่อาวุธของท่านอาจารย์เห้งเจียซ่อนไว้ในหูเล็กเท่าเข็ม ครั้นถูกลมแล้วจึงโตขึ้นนั้นด้วยเหตุผลประการใด เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เห้งเจียหัวเราะแล้วจึงพูดว่า ตะบองเหล็กนี้ท่านยังไม่ทราบ มิใช่ของธรรมดา เป็นกายสิทธิ์ ตั้งแต่ท่านเจ้าต้ายผู้วิเศษสะกดไว้กลางทะเล หากข้าพเจ้ามีนิสัยจึงไปเอามาได้ จะเปลี่ยนแปลงอย่างใดก็ได้ทุกประการ น้ำหนักหมื่นสี่พันห้าร้อยชั่ง แลไม่เหมือนเหล็กธรรมดา พระราชบุตรได้ฟังดังนั้น ก็มีความเลื่อมใสศรัทธา ตั้งใจจะให้เห้งเจียสั่งสอนฝึกหัด
   ​เห้งเจียจึงถามว่า ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามจะเรียนอาวุธอันใด พระราชบุตรทั้งสามจึงบอกว่า อยากจะเรียกอาวุธของอาจารย์ทั้งสามนั้น เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ถ้าดังนั้นก็ง่ายไม่ยาก แต่วิตกเห็นว่ากำลังของท่านทั้งสามจะไม่พอแก่อาวุธของข้าพเจ้า เมื่อยกไม่ไหวแล้วจะฝึกหัดอย่างไรได้ ดุจจะเขียนไม่เป็นจะกลายเป็นเขียนสุนัขไป หากท่านทั้งสามตั้งใจอยากจะได้จริง ก็จงตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนบูชาให้เทพยดาฟ้าแลดินแล้ว ข้าพเจ้าจะสอนกำลังภาคใหญ่ให้เกิดขึ้นแล้ว จึงค่อยเรียนฝึกหัดเพลงอาวุธ พระราชบุตรทั้งสามได้ฟังดังนั้น ต่างก็ดีใจยกโต๊ะมาตั้งเอง แล้วจุดธูปเทียนสักการะบูชาไหว้เทพยดาฟ้าและดินแล้ว จึงมาขอให้อาจารย์สอนทางวิเศษให้
   เห้งเจียหันหน้ามาหาพระถังซัมจั๋งแล้ว ทำความเคารพว่าท่านอาจารย์ ผู้มีคุณอันประเสริฐของข้าพเจ้า ขออนุญาตโปรดให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย บัดนี้พระราชบุตรทั้งสามนี้มาขอเคารพเป็นสานุศิษย์ จะขอเรียนศิลปะศาสตร์วุฒิทางอาวุธ เธอยอมเป็นสานุศิษย์ของข้าพเจ้า ก็นับว่าเป็นนัดดาของพระอาจารย์ ขอพระอาจารย์ได้ทราบ ข้าพเจ้าจะให้ความรู้แก่เธอทั้งสาม โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเห็นเห้งเจียกระทำเคารพแก่พระอาจารย์ดังนั้น ก็กระทำความเคารพแก่พระอาจารย์บ้าง แล้วจึงพูดว่า ขอพระอาจารย์นั่งให้สบาย ผ่อนให้ข้าพเจ้าทั้งสองหาสานุศิษย์คนละคน ไว้เป็นที่ระลึกซึ่งทางไซทีนี้
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังสานุศิษย์ทั้งสามมาขออนุญาตดังนั้น ก็มีความยินดี​ที่สุดจึงให้อนุญาต เห้งเจียจึงสอนพระราชบุตรทั้งสามที่ในห้องตำหนักม่อซอเต๊งในที่สงัด เห้งเจียเขียนยันต์แล้ว ให้พระราชบุตรทั้งสามคุกเข่าสำรวมจิตรหลับพระเนตรนิ่งแน่ทั้งสามองค์ เห้งเจียจึงร่ายพระคาถาเป่าลงที่ท้องพระราชบุตรทั้งสามพระองค์ ถอดกำลังของตัวให้แก่พระราชบุตรทั้งสามองค์ ดุจดังว่าเปลี่ยนแปลงกายขึ้นใหม่ พระราชบุตรทั้งสามก็รู้สึกพระองค์ว่ามีกำลังเกิดขึ้น ผุดลุกขึ้นลูบเนื้อลูบตัวดูแข็งแรงมีกำลังขึ้นมากยิ่งกว่าแต่ก่อนร้อยเท่าพันทวี พระราชบุตรองค์ใหญ่ก็มาลองจับตะบองของเห้งเจีย พระราชบุตรองค์ที่สองก็มาจับคราดของโป๊ยก่าย พระราชบุตรองค์ที่สามก็มาจับพลองของซัวเจ๋ง ต่างก็มีกำลังยกขึ้นกวัดแกว่งได้ทั้งสามองค์
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเห็นพระราชโอรสทั้งสามมีกำลังขึ้นดังนั้น ก็มีความยินดีเป็นที่ยิ่ง สั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะมาเลี้ยงขอบคุณ ในเวลาเลี้ยงนั้นเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ต่างให้วิชาความรู้แก่สานุศิษย์ของตน แต่กำลังนั้นทนไม่นานก็หอบเหนื่อย เพราะเครื่องอาวุธของอาจารย์เป็นของกายสิทธิ์ ครั้นเลิกแล้วก็ลาไปพักยังที่ รุ่งขึ้นพระราชบุตรทั้งสามก็มาเคารพขอบคุณอาจารย์ แล้วจึงพูดว่าเครื่องอาวุธของอาจารย์ยกได้ก็จริงแต่ยังลำบาก ข้าพเจ้าทั้งสามอยากจะให้ช่างทำตามอย่างนี้ แต่ผ่อนลดน้ำหนักให้เบาลง ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะเห็นเป็นประการใด โป๊ยก่ายว่าถ้าคิดดังนั้นเห็นจะถูกต้อง เพราะเหตุว่าอาวุธของข้าพเจ้าหนักมากเกินกว่ากำลังของท่าน อีกประการหนึ่งก็เป็นของคู่มือข้าพเจ้าสำหรับ​ที่จะได้ปราบภูตผีปีศาจและยักษ์ร้าย ดีแล้วควรจะให้ช่างทำขึ้นไว้สำหรับตัวท่าน
   พระราชบุตรทั้งสามได้ฟังดังนั้น ก็เรียกช่างเหล็กมาให้เลือกเหล็กอย่างดีตั้งเตาสูบหล่อเสียวันหนึ่ง รุ่งขึ้นจึงมาขอยืมอาวุธไปทำตัวอย่าง พิงไว้ในโรงช่างเหล็กทั้งวันทั้งคืน อันเครื่องอาวุธทั้งสามนี้เป็นของกายสิทธิ์ติดอยู่กับตัว เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมิได้ห่างจากกาย ครั้นว่านำไปพิงไว้ในโรงช่างเหล็ก ก็บังเกิดเป็นรัศมีสีแสงรุ่งโรจน์โชตินาฟุ้งสว่างขึ้นบนอากาศ เวลานั้นมีปีศาจตนหนึ่ง อยู่ห่างเมืองประมาณเจ็ดสิบโยชน์ เขานั้นเรียกว่าเป๊าเถ้าซัว ถ้ำนั้นเรียกถ้ำเฮ้าเถ้าต๋อง เวลาคืนวันนั้นปีศาจนั่งอยู่ที่หน้าถ้ำ แลขึ้นไปบนอากาศ ก็เห็นมีแสงสว่างฟุ้งขึ้นบนอากาศจึงเหาะตรงมาที่แสงสว่างนั้น ครั้นถึงก็เห็นแสงสว่างนั้นฟุ้งขึ้นมาจากพระราชวังใน ปีศาจก็ลงยังพื้นพิจารณาดู เห็นเครื่องอาวุธทั้งสามอย่างปีศาจก็มีความยินดีมีความพิศวงคิดว่าอาวุธนี้จะเป็นของผู้ใดหนอเอามาพิงไว้ที่นี้ เป็นนิสัยของเราควรจะเอาไปไว้สำหรับตัว คิดดังนั้นแล้วก็ลักเอาอาวุธทั้งสามอย่างนั้นกลับไปยังถ้ำ
(บทที่ ๘๙)
   ฝ่ายพวกช่างเหล็กในโรงหล่อ มีความเหน็ดเหนื่อยก็พากันหลับนอนไม่รู้สึกสมประดี ครั้นเวลารุ่งแจ้งก็มาพร้อมกันที่โรงสูบ ไม่เห็นอาวุธทั้งสามนั้น ทุกคนตกใจพากันเที่ยวค้นหาก็ไม่พบไม่เห็น พระราชบุตรทั้งสามก็เสด็จมาดู พวกช่างเหล็กก็กราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ อาวุธทั้งสามอย่างนั้นหายไปเสียแล้ว พวกข้าพเจ้า​ทั้งหลายเที่ยวค้นหาก็มิได้พบเห็น พระราชบุตรทั้งสามพระองค์ได้ทรงทราบดังนั้นก็ตกพระทัย จึงพูดว่าเห็นอาจารย์จะมาเก็บเอาไปเสียดอกกะมัง จึงพากันรีบไปที่ตำหนักม่อซอเต๊ง เวลานั้นอาจารย์นอนหลับอยู่ยังไม่ตื่น ซัวเจ๋งได้ยินเสียงเรียกก็ผุดลุกขึ้นเปิดประตู พระราชบุตรทั้งสามก็เข้าไปค้นดูมิได้เห็นอาวุธก็ตกใจ จึงถามอาจารย์ว่า อาวุธนั้นท่านเก็บมาแล้วหรือ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นบอกว่ามิได้เอามา พระราชบุตรทั้งสามบอกว่า เมื่อคืนนี้หายไปหาไม่พบ
   โป๊ยก่ายกำลังนอนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ผุดลุกขึ้นถามว่าคราดของข้าพเจ้าอยู่หรือไม่ พระราชบุตรทั้งสามบอกว่าไม่เห็น ข้าพเจ้าคิดว่าท่านอาจารย์ไปเก็บเอามาจึงได้มาถาม เพราะเห็นว่าอาวุธวิเศษของอาจารย์เปลี่ยนแปลงได้อาจารย์จะเอามาเก็บซ่อนไว้ในตัวดอกกะมัง เห้งเจียบอกว่าไม่ได้เอามา พูดแล้วก็พากันมาที่โรงสูบค้นหาอีกครั้งหนึ่งก็มิได้เห็น โป๊ยก่ายว่าเห็นพวกช่างเหล็กจะลักเอาไป จงรีบเอามาคืนโดยเร็ว หาไม่จะตีให้ตายทุกคน พวกช่างเหล็กได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้นก็ตกใจคุกเข่าลงร้องไห้พูดว่าขอท่านได้โปรด พวกข้าพเจ้ามากระทำการเหน็ดเหนื่อยก็หลับไหลไม่ได้สติ ครั้นตื่นมาดูก็ไม่เห็น พวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนที่ไหนจะมีแรงยกของกายสิทธิ์อย่างนี้ได้ ขอท่านได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าพเจ้านี้เถิด
   เห้งเจียนึกอยู่แต่ในใจว่า การทั้งนี้พวกเราไม่ดีเอง หากให้เขาเอาไปดูตัวอย่างแล้ว ก็เอากลับมาเก็บไว้กับตัวก็จะไม่หาย นี่ทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนดังนั้นจึงได้มีเหตุขึ้นดังนี้ อันของ​วิเศษนี้ทิ้งไว้หลายเวลานักก็มีรัศมีฟุ้งขึ้น ชะรอยอ้ายคนพาลมาลักเอาไปในเวลากลางคืนเป็นแน่ โป๊ยก่ายไม่เชื่อ พูดว่าในอาณาเขตบ้านเมืองกำลังรุ่งเรืองบริบูรณ์ และอีกประการหนึ่งไม่ใช่กลางป่ากลางดงอะไรจึงจะได้มีคนพาลมาลักเอาไป คงจะเป็นพวกช่างเหล็กเป็นแน่ เห็นอาวุธมีรัศมีงดงามออกไปนอกกำแพงเมือง ให้สมัครพรรคพวกเข้ามาลักเอาไป เอามาตีเสียให้ตายจึงจะสมควร พวกช่างเหล็กก็คุกเข่าลงปฏิญาณสาบานตัวว่ามิได้เอาไปทุก ๆ คน
   ในขณะเมื่อพูดกันอยู่ก็พอพระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาทรงถามซึ่งเหตุการนั้น ทรงทราบทุกประการแล้ว ก็ทรงนิ่งนึกตรึกตรองอยู่ในพระทัยจึงตรัสแก่อาจารย์ทั้งสามว่า ซึ่งอาวุธพิเศษของท่านทั้งสามนั้นมิใช่ของธรรมดา สักพันคนก็จะไม่มีสักคนหนึ่งเอาไปได้ อีกประการหนึ่งข้าพเจ้ารักษาครอบครองเมืองนี้ ได้ตั้งบทกฎหมายปรับโทษห้าประการ และตัวข้าพเจ้าก็ตั้งอยู่ในยุติธรรม ลือชาปรากฎแพร่หลาย พวกเหล่านี้คงไม่กล้าลักของอันนี้ไป ข้อท่านอาจารย์ได้ดำริการให้รอบคอบ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ต้องตรึกตรองไม่ต้องกล่าวถึงพวกช่างอีกต่อไปทำไม ข้าพเจ้าจะขอถามพระองค์ว่าในอาณาเขตเมืองนี้ทั้งสี่ทิศจะมีป่าดงที่ไหนบ้าง ซึ่งมีผีปีศาจยักษ์ร้ายสำนักอยู่
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียถามดังนั้น จึงทรงตอบว่าท่านอาจารย์ถามข้อนี้เห็นควรแก่การ ด้วยในอาณาเขตเมืองของข้าพเจ้านี้ ทางทิศอุดรมีเขาหนึ่งเรียกว่าเป๊าเถ้าซัว ในเขานั้นมีถ้ำหนึ่ง เรียกว่าถ้ำเฮ้าเถ้าต๋อง ชาวชนไปมาเล่าลือกันว่าในถ้ำนั้น​มีฤาษีเซียนผู้วิเศษอยู่คนหนึ่ง และพูดกันว่ามีสัตว์เนื้อเสือร้ายปีศาจผีมีชุกชุม ข้าพเจ้าก็ยังสืบถามอยู่ว่าจะเป็นสัตว์อันใดแน่ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าไม่ต้องพูดให้มากความ แน่แล้วพวกคนร้ายในที่นั้นมาลักเอาไปไม่ผิดเลย เห้งเจียจึงเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาสั่งว่า จงอยู่รักษาปฏิบัติพระอาจารย์ พี่จะไปสืบถามให้ได้ความแล้วจะกลับมา พอสั่งเสร็จแล้วได้ยินเสียงว่าไปคำหนึ่งเท่านั้นก็แลไม่เห็นรูปกาย บัดเดี๋ยวก็เหาะมาถึงเขาเป๊าเถ้าซัวก็ลดลงยังยอดเขา พิเคราะห์ดูรอบเขาก็เห็นมีไอปีศาจฟุ้งขึ้นจริงดังนั้น
   เวลาที่กำลังเห้งเจียพิจารณาดูอยู่นั้น เห็นปีศาจน้อยสองคนเดินพูดกันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เห้งเจียนึกว่าชะรอยอ้ายสองคนนี้จะเป็นปีศาจลาดตระเวนเป็นแน่ อย่าเลยเราจะตามไปดูมันจะพูดอะไรกัน คิดดังนั้นแล้วก็ไหวกายแปลงเป็นผีเสื้อน้อยตัวหนึ่ง บินตามไปบนศรีษะทั้งสอง ก็ได้ยินคนหนึ่งพูดว่า ต้ายอ๋องนายเราสองเดือนติด ๆ กันมีลาภสองอย่าง เมื่อเดือนก่อนได้นางรูปงามมาไว้สุขสำราญในถ้ำ มาเดือนนี้ได้อาวุธวิเศษสามอย่างหาค่ามิได้ พรุ่งนี้จะเปิดการทำขวัญคราดวิเศษ พวกเราก็จะพลอยอิ่มหนำสำราญด้วย คนหนึ่งพูดว่า พวกเราก็มีอันพอใจ เราเอาเงินยี่สิบตำลึงนี้ไปซื้อเนื้อหมูเนื้อแกะ ถ้าไปถึงที่พักเรากินสุราสักห้าแก้ว แลยักเงินสักสองสามตำลึงไว้ซื้อเสื้อกันหนาวจะมิดีหรือ
   ปีศาจทั้งสองเดินพลางพูดกันพลางหัวเราะกัน แล้วก็รีบเดินเข้าทางใหญ่ไป เห้งเจียได้ยินว่าจะทำขวัญคราดเหล็กก็มีความดีใจ​จะใคร่ตีปีศาจให้ตายแต่เครื่องมือไม่มี จึงชิงบินไปขึ้นหน้าแล้วแปลงกายกลับเป็นรูปเดิมยืนคอยอยู่ข้างหน้า ครั้นปีศาจทั้งสองเดินมาถึง เห้งเจียก็เป่าพระคาถาเป็นมหาจังงัง ปีศาจทั้งสองก็ยืนกับที่ไม่อาจเดินไปได้ เห้งเจียก็เข้าแหวกเอาเสื้อปีศาจค้นดู ก็มีจริงเงินยี่สิบตำลึงอยู่ในสายรัดพุง และมีป้ายแขวนที่บั้นเอวคนละแผ่น มีอักษรเขียนในป้ายว่าโตจั๊นโก๊กวั่ย คนหนึ่งว่า โก๊กวั่ยโตจั๊น เห้งเจียแก้เอาป้ายทั้งสองกับเงินยี่สิบตำลึงแล้ว ก็เหาะกลับไปยังเมืองจิวก๊ก ครั้นถึงก็ลดลงยังพื้นเข้าหาพระอาจารย์และเจ้าเมือง เล่าความตามเหตุผลให้ฟังทุกประการแล้ว
   โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เห็นจะคราดวิเศษของข้าพเจ้ามีรัศมีสีแสงสว่าง มันจึงได้ดีใจซื้อหมูจะทำขวัญดังนั้นเอง ถ้าดังนั้นจะทำประการใด จึงจะได้คราดของข้าพเจ้ากลับคืนเล่า เห้งเจียว่าพี่น้องเราจะต้องไปให้พร้อมกันทั้งสามคน เงินที่เราได้มาทั้งยี่สิบตำลึงนี้ เอาไปซื้อหมูและแพะบำเหน็จรางวัลพวกช่างเหล็ก ให้ราชบุตรทั้งสามจัดซื้อสุกรและแพะสักสองสามตัว ส่วนโป๊ยก่ายแปลงเป็นโตจั๊นโก๊กวั่ย พี่จะแปลงเป็นโก๊กวั่ยโตจั๊น ซัวเจ๋งแต่งเป็นคนขายสุกรและแพะ พากันไปที่ถ้ำได้โดยง่าย เมื่อเข้าใกล้ได้แล้ว เราจึงช่วยกันชิงเอาอาวุธคนละอัน ช่วยกันกำจัดมันเสียให้ราบคาบแล้ว จึงค่อยพากันกลับไป
   ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะชมว่าคิดดังนี้ดีจริงเรารีบไปเถิด พระเจ้าแผ่นดินจึงให้จัดสุกรและแพะมาพร้อม พี่น้องก็ลาพระถังซัมจั๋งออกจากเมือง
   โป๊ยก่ายถามว่ารูป​ร่างโตจั๊นโก๊กวั่ยเปนอย่างไรข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็น ทำไมจะแปลงให้เหมือนได้
   เห้งเจียว่าพี่จะแปลงให้ดูก่อน ว่าแล้วก็แปลงให้โป๊ยก่ายดู โป๊ยก่ายเห็นแล้วก็แปลงให้เหมือนปีศาจโตจั๊นโก๊กวั่ย เห้งเจียก็แปลงเป็นปีศาจโก๊กวั่ยโตจั๊น แล้วเอาป้ายแขวนบั้นเอวคนละอัน ซัวเจ๋งก็แต่งตัวเป็นคนขายแพะและสุกร ครั้นเปลี่ยนแปลงเสร็จแล้ว ก็รีบพากันเหาะไปยังเขาเป๊าเถ้าซัว ครั้นถึงก็ลดลงยังยอดเขาพากันตัดทางไปยังถ้ำ บังเอิญมาพบปีศาจน้อยหน้าเขียวคนหนึ่ง ขนและผมแดงที่รักแร้หนีบหีบหนังสือเดินมาปะทะหน้าเห้งเจีย ก็ร้องเรียกว่าโก๊กวั่ยโตจั๊นมาแล้วหรือ ซื้อหมูแพะมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าเอามานี่แล้ว เห้งเจียจึงย้อนถามว่า ก็ตัวจะไปข้างไหนเล่า ปีศาจนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าจะเอาหนังสือ ไปเชิญเล่าต้ายอ๋องผู้ใหญ่มากินโต๊ะพรุ่งนี้เข้าที่ประชุม เห้งเจียถามว่าจะเชิญผู้ใดบ้าง ๆ ปีศาจตอบว่ารวมทั้งเล็กใหญ่อยู่ในยี่สิบคนกว่า
   เห้งเจียจึงขอดูหนังสือเชิญ มีใจความว่าพรุ่งนี้ทำการทำขวัญคราดวิเศษ และจะจัดเครื่องโอชารสเป็นที่ประชุมรื่นเริง ขอคำนับมายังท่านผู้ใหญ่ที่นับถือยิ่ง เชิญมาตามเวลาอย่าให้คลาดเคลื่อน ขอคุณปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ยผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าซึงอึ้งไซคำนับเชิญ เห้งเจียดูรู้ความแล้วก็ส่งคืนให้แก่ปีศาจไป ปีศาจก็เดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซัวเจ๋งเห็นปีศาจไปแล้ว จึงถามเห้งเจียว่า ในหนังสือนั้นมันพูดว่าอะไรกัน เห้งเจียบอกว่าหนังสือเชิญมาทำขวัญคราดเท่านั้น ผู้เชิญลงชื่อซึงอึ้งไซ ถึงปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วน​เซี้ยผู้ใหญ่ ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น จึงหัวเราะว่าเห็นซึงอึ้งไซจะเป็นราชสีห์ขนสีทองมาเป็นปีศาจ แต่ชื่อเก๊าเล่งง่วนเซี้ยนั้นจะเป็นสัตว์อะไร
   โป๊ยก่ายจึงพูดว่า คือสินค้าของข้าพเจ้าเอง เห้งเจียถามว่า ทำไมรู้เล่าว่าเป็นสินค้าของตัว โป๊ยก่ายพูดว่า คำโบราณท่านย่อมกล่าวว่า แม่สุกรมักจะเลียบเคียงแก่ราชสีห์ เพราะฉะนั้นจึงรู้ได้ว่าเป็นสินค้าของข้าพเจ้า สามคนพูดโต้ตอบหัวเราะกันไปมา แล้วก็พากันรีบเอาหมู แพะ เดินมายังประตูถ้ำเฮ้าเก้าต๋อง ครั้นถึงก็แลเห็นปีศาจใหญ่น้อยนั่งอยู่เป็นหมู่ใหญ่ ก็พากันมาจับหมูจับแพะพูดกันเสียงอึกทึกได้ยินถึงในถ้ำปีศาจใต้อ๋อง จึงออกมาถามว่าเจ้าทั้งสองมาแล้วได้ซื้อหมู แพะ เท่าใด เห้งเจียบอกว่า ซื้อสุกรได้เก้าสุกร ซื้อแพะได้เจ็ดแพะ รวมสิบหกด้วยกัน หมูสิบหกตำลึงแพะเก้าตำลึง เอาเงินไปยี่สิบตำลึงยังขาดอยู่ห้าตำลึง เจ้าของตามมาเอาเงินที่ยังค้างอยู่นั้น
   ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็เรียกคนใช้ให้เอาเงินห้าตำลึงมาให้แก่เจ้าของสุกรไป เห้งเจียบอกว่าคนผู้นี้ตามมาโดยความประสงค์สองประการ จะขอเงินค่าแพะและสุราประการหนึ่ง จะใคร่ดูเครื่องอาวุธที่จะทำขวัญคราวนี้ประการหนึ่ง ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นจึงด่าว่า เจ้าโตจั๊นนี้เป็นคนหยาบแท้ ๆ ไปซื้อก็ตามเรื่องซื้อ ๆ แล้วก็กลับมา ทำไมจึงต้องไปประกาศบอกประชาชนให้รู้ด้วยทำไม โป๊ยก่ายจึงพูดว่าขอใต้อ๋องได้ทราบ ด้วยของวิเศษอย่างนี้ ในใต้​หล้านี้จะไปหาที่ไหน ควรจะให้ประชาชนเขาชมดู จะไปกลัวอะไรที่ไหน ปีศาจใต้อ๋องก็ตวาดว่าเจ้าโก๊กวั่ยเจ้าชาติชั่วไม่รู้จักอะไร อันของวิเศษอย่างนี้ได้มาจากเมืองเง๊กฮัวจิว หากคนนี้ดูแล้วจะกลับไปเที่ยวบอกเล่าต่อ ๆ ไป บางทีจะรู้ถึงเจ้าเมือง ก็จะมาทวงถามขอร้อง ถ้าดังนั้นจะทำอย่างไร
   เห้งเจียพูดว่าขอใต้อ๋องได้ทราบ แขกคนนี้อยู่ทิศตะวันออกห่างเมืองออกไปไกล ไหนจะไปเล่าถึงเมืองได้ และเธอมานี้ก็ยังมิได้กินข้า วข้าพเจ้าทั้งสองท้องก็หิวเข้ายังไม่ได้กินด้วยกัน จะมีข้าว เหล้าก็ขอให้เธอกินสักอิ่มหนึ่งแล้วจะได้กลับไป พูดยังไม่ทันเสร็จปีศาจน้อยก็เอาเงินมาให้ห้าตำลึง ส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็ส่งให้ซัวเจ๋ง แล้วพูดว่าเงินที่ค้างห้าตำลึงเป็นครบยี่สิบห้าตำลึงค่าแพะและสุกรของท่าน ท่านไปกินข้าวกับข้าพเจ้า กินแล้วจะได้กลับไป พูดแล้วทั้งสามคนก็พากันเดินเข้าไปในถ้ำ ถึงประตูที่สองแลเห็นคราดวิเศษอยู่บนหน้าหออันหนึ่ง ข้างตะวันตกพลองพิงอยู่อันหนึ่ง ข้างตะวันออกตะบองพิงอยู่อันหนึ่ง ปีศาจใต้อ๋องเดินตามหลังเข้ามาสั่งว่าจะดูก็ดู กลางนั้นคราดวิเศษหากกลับไปอย่าได้พูดให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด
   ซัวเจ๋งก็รับคำว่าข้าพเจ้าไม่อาจพูด โป๊ยก่ายนั้นมีสันดานลุกลน พอแลเห็นคราดของตัวก็มิได้คิดเกรงใจอะไรใคร ตรงเข้าฉวยออกมาแล้วก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม ยกคราดขึ้นสับลงไปหมายศรีษะปีศาจ เห้งเจียซัวเจ๋งต่างก็วิ่งเข้าไป จับอาวุธของตัวได้แล้ว ก็กลายกลับเป็นรูปเดิมเข้าช่วยกันระดมตีปีศาจมิได้รอรั้ง ปีศาจเห็นดังนั้นก็ตกใจวิ่งเข้าไป​ฉวยเอาจอบเหล็กออกมาต้านทานรอรบกับสามนาย ปีศาจร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า มึงเป็นคนอะไรที่ไหนจึงสามารถมาทำล่อลวงเอาของวิเศษของเราดังนี้ เห้งเจียพูดว่า เราดูรู้ว่าเจ้าเป็นอ้ายสัตว์หน้าขน เจ้าจำเราไม่ได้หรือ เราคือสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง เพราะข้ามมาถึงเมืองเง๊กฮัวจิว พระราชบุตรทั้งสามเคารพนับถือเราเป็นครู เธออยากฝึกหัดเพลงอาวุธ จึงเอาอาวุธของเราทั้งสามคนมาทำตัวอย่างวางไว้ในโรงหล่อพระราชวังใน มึงเป็นขโมยลักเอามาไว้ในถ้ำนี้ เราจึงตามมาเพื่อจะให้รางวัลแก่เจ้าคนละทีสองทีแล้วก็จะกลับไป
รูปภาพ ; 在《西游记》第八十九回“黄狮精虚设钉钯宴”这一章节,黄狮精盗走了取经师兄弟三人的宝贝武器。按理说应该把最具价值的如意金箍棒作为重点推荐对象,但实际活动现场却取名“钉耙宴”,证明黄狮精还是很识货的。
   ว่าแล้วก็รบกับปีศาจโดยสามารถทั้งสามคน ปีศาจต้านทานกำลังไม่ไหว ก็บันดาลเป็นลมหายตัวไปข้างทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โป๊ยก่ายก็ไล่ไป เห้งเจียร้องห้ามไว้ว่าปล่อยให้มันไปเถิด โบราณท่านย่อมว่าสุนัขจนตรอกอย่ารุกไล่ โป๊ยก่ายก็หันกลับ เห้งเจียพูดว่าเราพากันเข้าไปในถ้ำทำลายถ้ำเสียก่อนอย่าให้มันอาศัยอยู่ได้ต่อไป โป๊ยก่ายก็เชื่อพากันกลับมายังถ้ำ จับปีศาจเล็กใหญ่ฆ่าเสียทั้งสิ้น เห้งเจียก็กวาดสิ่งของเล็กน้อยกับทั้งสัตว์ปีศาจที่ตีตาย และทั้งหมู แพะ ที่เอามานั้นเอาออกมาหมดแล้ว ซัวเจ๋งก็เก็บเอาไม้ฟืนแห้งมากองไว้แล้วเอาไฟจุดเผาในถ้ำนั้นไหม้เป็นจุนไป แล้วพากันเก็บเอาสิ่งของเหล่านั้นเหาะกลับไปยังเมืองเง๊กฮัวจิว เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสทั้งสามและพระถังซัมจั๋งนั่งชะแง้คอยท่าอยู่ที่ตำหนักม่อซอเต๊ง แลไปก็เห็นพี่น้องทั้งสามเก้กังหอบหิ้วสิ่งของมาทิ้งที่กลางชะลาหน้าตำหนัก สิ่งของต่าง ๆ กับแพะและสุกรและสัตว์ต่าง ๆ วางไว้ แล้วไปหาพระอาจารย์
   ​พระเจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้น ก็กระทำความเคารพอย่างยิ่ง แลมีใจจงรักภักดี พระราชโอรสทั้งสามก็คุกเข่าลงคำนับอย่างนับถือหาที่เปรียบมิได้ จึงถามว่าสิ่งของเหล่านี้ท่านเอามาจากที่ไหน
   เห้งเจียหัวเราะแล้วตอบว่า ที่ตำบลเขานี้มีปีศาจสัตว์ยักษ์ต่าง ๆ อ้ายนายปีศาจมันเป็นราชสีห์ พวกข้าพเจ้าพร้อมกันเข้าไปเอาอาวุธคืนมาได้แล้ว ก็ช่วยกันระดมรบไล่มันออกจากถ้ำหนีไป ข้าพเจ้าก็มิได้ไล่ตาม จึงกลับเข้าไปในถ้ำกำจัดพวกมันเสียสิ้นแล้ว เก็บรวบรวมสิ่งของเล็กน้อยมาเสียสิ้น พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟัง ดีพระทัยก็ดีพระทัย หวาดหวั่นก็หวาดหวั่น ด้วยเกรงมันจะกลับมาทำอันตรายเมื่อภายหลัง เห้งเจียจึงทูลว่าพระราชโอรสของพระองค์ทั้งสามก็มีฤทธาอานุภาพ ทั้งพวกข้าพเจ้าก็จะคอยช่วยกำจัดมิให้มาทำอันตรายได้ เพราะข้าพเจ้าได้ทราบอยู่แล้วว่ามันคงจะไปพาปู่เจ้าอะไรของมันมาแก้มือเป็นแน่ ด้วยเมื่อเวลารบกันมันสู้ไม่ได้ก็หนีไปทางทิศใต้ คงจะไปหาเก๊าเล่งง่วนเซีย ข้าพเจ้าจะคอยกำจัดมันเสียให้จงได้ พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย 
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียทูลดังนั้น ก็มีความยินดีสิ้นความวิตก จึงสั่งพนักงานให้จัดโต๊ะเครื่องแจ ถวายพระถังซัมจั๋งและศิษย์ทั้งสามแล้วก็พากันไปพักหลับนอน
   ฝ่ายปีศาจอึ้งม้อกิมไซสู้เห้งเจียมิได้ ก็หนีไปตรงทิศตะวันออกเฉียงใต้ ครั้นถึงเขาเต็กเจี๊ยดซัว ในเขานั้นมีถ้ำเรียกว่า เก๊าเด็กปั้วฮ่วนต๋อง ในถ้ำนั้นมีปู่เจ้านามเรียกว่า เก๊าเล่งง่วนเซี้ย ​คือเป็นเจ้าปู่ของอึ้งม้อกิมไซ เมื่อมันหนีมาตามลมมิได้หยุดถึงครึ่งคืนก็มาถึงประตูถ้ำเข้าไปเคาะประตูร้องเรียกให้เปิดประตู แล้วก็เข้าไปแลเห็นปู่เจ้านั่งอยู่ก็คุกเข่าลงกับพื้นคำนับแล้ว อึ้งม้อกิมไซก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ปู่เจ้าแลเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจจึงถามว่า เมื่อวานนี้หลานให้คนถือหนังสือมาเชิญก็จัดแจงจะไป ก็เหตุใดจึงได้มาเองและมีความโทมนัสเศร้าหมองดังนี้เล่า อึ้งม้อกิมไซจึงเล่าซึ่งเหตุผลต้นปลายให้ปู่เจ้าฟังทุกประการ แลไม่ทราบว่าคนทั้งสามนั้นชื่ออะไรมีฝีมือเข้มแข็งทุกคน หลานต่อสู้ไม่ได้จึงได้หนีมา ขอพึ่งปู่เจ้าช่วยจับคนทั้งสามแก้แค้นให้ด้วย จึงจะเห็นว่ามีความเมตตาแก่หลาน
   ปู่เจ้าได้ฟังก็นิ่งนึกอยู่นานแล้วก็หัวเราะพูดว่า อันความจริงนั้นเดิมเขาเป็นหลานของปู่ เจ้าไม่รู้จักไปโดนเข้าแล้วจึงได้เกิดความ อึ้งม้อกิมไซถามว่าปู่รู้จักหรือว่าคนทั้งสามนั้นเป็นผู้ใด ปีศาจเฒ่าจึงบอกว่า ปากยาวหูใหญ่นั้นชื่อโป๊ยก่าย หน้าสีหมอกดำนั้นชื่อซัวเจ๋งสองคนนี้ยังไม่สู้กะไรนัก ยังอีกคนหนึ่งที่หน้ามีขนเหมือนรามสูรย์นั้น เรียกว่าซึงเห้งเจีย ลิงนี้มีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวง เมื่อห้าร้อยปีก่อนเคยทำจลาจลบนสวรรค์ พลเทพบุตรสิบหมื่นก็ไม่อาจจะจับเธอได้ เธอเป็นต้นสารบัญหาเหตุไม่มีผู้ใดเสมอ เจ้าทำไมจึงไปโดนเข้าดังนี้เล่า เอาเถอะปู่จะไปกับเจ้า จับทั้งสามคนกับเจ้าเมืองเง๊กฮัวจิวพ่อลูกมาแก้แค้นให้เจ้า อึ้งม้อกิมไซได้ฟังดังนั้นก็กราบคำนับขอบคุณปู่เจ้า ​ฝ่ายปีศาจเฒ่าจึงเตรียมพลทหารเอกทหารเลว คือราชสีห์เขียว ราชสีห์ขาว สุนักข์เผือกและช้างดำ อีเก้ง ต่างก็ถืออาวุธทุก ๆ ตน ปีศาจอึ้งม้อกิมไซก็คุมพลเหล่านั้นเหาะขึ้นบนอากาศไปยังเขาเป๊าเถ้าซัว
   ครั้นถึงก็ได้กลิ่นไฟกระทบจมูก และได้ยินเสียงคนร้องไห้โฮ ๆ แลไปดูก็เห็น โตจั๊นโก๊กวั่ยสองคนกำลังร้องไห้พรรณาถึงนายของตัว ปีศาจอึ้งม้อกิมไซตรงเข้าไปใกล้ร้องตวาดถามว่า เจ้าเป็นโตจั๊นโก๊กวั่ยจริงหรือปลอม ปีศาจทั้งสองกลั้นน้ำตาคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า พวกข้าพเจ้าจะมีปลอมที่ไหนเล่า เมื่อวันวานนี้รับเงินไปซื้อแพะและสุกร ข้ามเขาเดินไปตามทางทิศตะวันตก กำลังเดินมาก็แลเห็นคนหน้าตาคล้ายแก่รามสุรย์ยืนอยู่ข้างทางคนหนึ่ง มันเอาปากเป่าข้าพเจ้าทั้งสองคนมือแลเท้าก็แข็งปากก็พูดไม่ออก มันเข้ามาเลิกเสื้อผ้าค้นเอาเงินไปเสียสิ้น ข้าพเจ้าทั้งสองมืดมัวอยู่จนเวลาเย็นจึงได้รู้สึกตัว กลับมาถึงที่ก็เห็นไฟไหม้ยังไม่หยุด บ้านเรือนเคหาไฟก็ไหม้เสียทั้งสิ้นแล้ว และยังไม่รู้ว่าใต้อ๋องจะเป็นประการใด ทั้งเพื่อนฝูงบริวารใหญ่น้อยก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้นจึงได้มีความเศร้าโศกโทมนัสเสียใจร้องไห้ และไม่ทราบว่ามีเหตุอย่างไรไฟจึงได้ไหม้ดังนี้
   อึ้งม้อกิมไซได้ฟังดังนั้น ก็กลั้นน้ำตามิได้กระทืบเท้าร้องไห้คร่ำครวญพรรณาว่า อ้ายพวกนี้ใจอธรรมเหลือเกิน เหตุใดมันจึงได้คิดร้ายดังนี้ เอาไฟเผาถ้ำของเราเสียทั้งลูกเมียบริวารใหญ่น้อยต้องอัคคีภัยไม่เหลือ มันทำแก่เราถึงสาหัสคิดจะใคร่เอาศรีษะ​กระแทกเข้ากับศิลาเสียให้แตกตาย ปีศาจปู่เจ้าเห็นดังนั้นจึงให้ปีศาจราชสีห์เขียวยึดไว้ ค่อยปลอบโยนว่าการเป็นไปเช่นนั้นแล้ว จะทำลายตัวเสียดังนี้ จะมีผลอะไรจงอุตส่าห์รักษากำลังไว้ให้ดีก่อน จะได้เข้าไปยังเมืองเง๊กฮัวจิวจับพวกพระสงฆ์ และเจ้าเมืองฮัวจิวพ่อลูกมาแก้แค้นจะมิดีหรือ พูดดังนั้นแล้วก็ประกาศพร้อมกันต่างแผ่อำนาจออกจากเขาเป๊าเถ้าซัวเหาะตรงมายังเมืองเง๊กฮัวจิว เวลานั้นก็เกิดลมพายุใหญ่เมฆหมอกออกมืดฟ้ามัวฝนลมก็พัดส่งมาใกล้เมือง
   ฝ่ายชาวเมืองฮัวจิวไม่ว่าหญิงและชายแลเห็นดังนั้น ก็พากันตื่นแตกโกลาหลไปทั้งเมือง ฝ่ายคนเฝ้าประตูเมืองก็รีบปิดประตูแล้วก็รีบเข้าไปกราบทูล เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสและพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่ตำหนักม่อซอเต๊ง ได้ยินคนมาบอกก็ออกมาถามเหตุการณ์ พวกขุนนางทูลว่ามีหมู่ปีศาจทำให้เกิดลมและฝนพายุใหญ่ หอบทรายหอบอิฐพัดโกรกเข้ามาใกล้กำแพงเมืองแล้ว พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็ตกพระทัยถามว่าจะทำอย่างไรดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพระองค์อย่าทรงพระวิตกจงวางพระทัยเถิด การที่เป็นดังนี้นั้น คืออ้ายอึ้งม้อกิมไซปีศาจที่ถ้ำเป๊าเถ้าต๋อง เมื่อวานนี้รบแพ้หนีไปข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปชวนปู่ของมันชื่อเก๊าเล่งง่วนเซี้ย มาแก้แค้นพวกข้าพเจ้า ไว้ธุระข้าพเจ้าพี่น้องจะออกไปรบแก่มันข้างนอก พระองค์จงจัดเตรียมปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน
   พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้นก็เกณฑ์พลทหารขึ้น​ประจำหน้าที่ทุก ๆ แห่ง แล้วพระเจ้าแผ่นดินกับพระถังซัมจั๋งและพระราชโอรสทั้งสาม ขึ้นอยู่บนหอสูงคอยโบกธงอาญาสิทธิ์ ให้พลทหารยิงปืนโห่ร้องเอาชัย
(บทที่ ๙๐)
 เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งจึงสั่งอาจารย์กับเจ้าเมืองเสร็จแล้ว ก็พากันเหาะลอยขึ้นกลางอากาศออกไปนอกเมือง แล้วก็ลงมาประจันหน้าแก่พวกปีศาจ แลเห็นปีศาจล้วนแต่เป็นสัตว์มีขนสีต่าง ๆ อ้ายอึ้งม้อกิมไซนำหน้าราชสีห์เขียวราชสีห์ดำอยู่ข้างซ้าย ราชสีห์ขาวราชสีห์หมอกอยู่ข้างขวาอยู่ท่ามกลางราชสีห์เก้าเศียร คือเก๊าเล่งง่วนเซี้ยเป็นแม่ทัพ อ้ายปีศาจหน้าเขียวมือถือสัปทนคอยกั้นให้เก๊าเล่งง่วนเซี้ย โตจั๊นโก๊กวั่ย โก๊กวั่ยโตจั๊นก็ถือธงแดงยืนอยู่สองข้างตั้งเป็นกระบวนเรียบร้อย โป๊ยก่ายเข้าไปใกล้ร้องด่าว่าอ้ายขโมยคนร้าย มึงหนีไปหาอ้ายพรรคพวกสัตว์หน้าขนเหล่านี้มาทำไม ปีศาจอึ้งม้อกิมไซได้ฟังก็ด่าตอบว่า อ้ายสัตว์ร้าย เมื่อวานนี้มึงสามคนรบกูคนเดียวสู้ไม่ได้ต้องยอมแพ้ให้พวกมึงเป็นคนเก่ง มึงพวกอ้ายใจโหดร้ายทำไมจึงเผาถ้ำและญาติพี่น้องพวกบริวารของกูตายด้วยทั้งสิ้นดังนี้ มึงมาลองดูรสจอบสักทีจะเป็นประการใด มึงกับกูจะผูกเวรกันลึกดังมหาสมุทรใหญ่
 โป๊ยก่ายได้ฟังปีศาจด่าว่า ก็ตรงเข้ารบยกคราดเหล็กขึ้นสับ ต่างต่อสู้กันยังหาทันแพ้ชนะกันไม่ ปีศาจยู่ไชราชสีห์แกว่งเคียวตรงเข้ามา ปีศาจเจียดไชราชสีห์ถือเหล็กสามเหลี่ยมตรงเข้าช่วย ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็แกว่งพลองเหล็กเข้าช่วยโป๊ยก่าย พวกปีศาจจุนเงราชสีห์ แปะเจ๊กราชสีห์ ท่วนเฉียราชสีห์ เก๊าลีราชสีห์ทั้งสี่ก็พากัน​ระดมรบ เห้งเจียชักตะบองออกจากหูตรงเข้าสกัดต้านไว้ จุนเงถือพลองเหล็กแปะเจ๊กถือลูกตุ้มทองแดง ท่วนเฉียถือทวนทองแดง เก๊าลีถือขวานราชสีห์ทั้งเจ็ด เข้าระดมรบกับเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งสามคน รบกันประมาณสักครึ่งวันเวลาก็จวนค่ำ โป๊ยก่ายอ่อนกำลังลง จึงขยับคราดหลอกสับไปทีหนึ่งแล้วก็ชักคราดวิ่งหนี เจียดไซราชสีห์ ยู่ไซราชสีห์ทั้งสองไล่ตามมา ตีถูกโป๊ยก่ายที่หลังก็ล้มคว่ำลงกับพื้น
   ปีศาจทั้งสองก็เข้าจับขนท้ายทอยโป๊ยก่ายจูงกลับไปหาปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ย บอกว่าข้าพเจ้าทั้งสองจับได้คนหนึ่งเอามานี่แล้ว พูดยังไม่ทันขาดคำเห้งเจีย ซัวเจ๋งก็ถอยหนี พวกปีศาจก็กรูกันไล่ตามมากระชั้นชิด เห้งเจียเห็นจวนตัวก็เอามือถอนขนออกกำมือหนึ่งใส่ปากเคี้ยวพ่นไป ก็กลายเป็นรูปเห้งเจียตั้งพันตั้งหมื่น กรูเข้าล้อมพวกปีศาจไว้ เห้งเจียซัวเจ๋งก็หันกลับมาตีขนาบจนเวลาค่ำ ก็จับได้ปีศาจจุนเงไซกับแปะเจ๊กทั้งสอง ที่หนีไปได้นั้นคือเก๊าลีไซท่วนเฉียไซกิมม้อไซทั้งสาม พวกปีศาจน้อยวิ่งกลับมาบอกข่าวให้ปู่เจ้ารู้แล้วว่าถูกจับไปสองราชสีห์ จึงสั่งให้เอาโป๊ยก่ายมัดไว้ก่อนอย่าเพิ่งฆ่า รอให้มันเอาหลานเราทั้งสองมาเปลี่ยนกันแล้วเราจึงปล่อยให้มันกลับไป ถ้าพวกมันไม่รู้เอาหลานเราทั้งสองไปฆ่าเราจึงค่อยฆ่ามันเสียบ้าง เวลานั้นพวกปีศาจใหญ่น้อยก็พากันไปพักหลับนอน
   ​ฝ่ายเห้งเจียจับได้ปีศาจทั้งสองก็ลากกลับมายังประตูเมือง พระเจ้าแผ่นดินเห็นก็สั่งให้เปิดประตูรับ พวกทหารสามสิบคนเอาเชือกออกไปมัดปีศาจทั้งสองหามเข้าไปในเมือง เห้งเจียเรียกขนเข้ากายแล้วก็พากันขึ้นบนหอคำนับอาจารย์ พระถังซัมจั๋งถามว่ารบพุ่งกันครั้งนี้ดูรุนแรงมาก ไม่ทราบว่าโป๊ยก่ายจะเป็นประการใด เห้งเจียว่าไม่ต้องวิตกข้าพเจ้าจับพวกมันมาได้สองคน เป็นอันขาดพวกมันไม่กล้าฆ่าโป๊ยก่าย จงเอาปีศาจทั้งสองนั้นขังไว้ให้แน่นหนา พอรุ่งขึ้นเอาออกไปแลกโป๊ยก่ายกลับมา
   พระราชบุตรทั้งสามมาเคารพเห้งเจียแล้ว จึงถามว่าท่านอาจารย์ เมื่อเวลากำลังรบกันเห็นแต่ท่านผู้เดียว ครั้นเวลาแกล้งทำแพ้หนีมานั้นทำไมจึงเห็นรูปอาจารย์มากมายหลายร้อยหลายพันเล่า กับเมื่อเวลาจับปีศาจได้แล้วก็เห็นแต่อาจารย์คนเดียว อย่างนี้จะเป็นวิชามนต์เวทประการใดหรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วตอบว่า ในกายตัวข้าพเจ้านี้มีขนแปดหมื่นสี่พันเส้น ๆ หนึ่งแปลงได้สิบได้ร้อยจนพันหมื่นแสนดังนี้ คือรูปกายภายนอก พระราชโอรสทั้งสามได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับ สั่งให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องแจมาเลี้ยงเสร็จแล้ว จึงสั่งผู้รักษาการณ์ทุก ๆ หน้าที่ให้จุดไต้ตามไฟตีเกราะเคาะไม้นั่งยามระวังรักษาเสร็จแล้ว ต่างก็พากันไปหลับนอนตามที่
   ครั้นรุ่งแจ้งฝ่ายปีศาจใหญ่เก๊าเล่งง่วนเซี้ย จึงเรียกปีศาจอึ้งม้อกิมไซมาคิดอุบายว่า วันนี้พวกเจ้าทั้งหลายจงอุตส่าห์ตั้งใจรบจับตัวเห้งเจียซัวเจ๋งให้จงได้ เราจะแผลงฤทธิ์บินขึ้นไปบนหอ​จับเอาตัวพระถังซัมจั๋งกับทั้งเจ้าเมืองพ่อลูกเอาไปยังถ้ำเก๊าเต๊กปั้วฮ่วมต๋อง พวกเจ้ารบชนะแล้วจึงค่อยกลับไปต่อภายหลัง อึ้งม้อกิมไซรับคำสั่งแล้ว ก็นำยู่ไซเจียดไซ ท่วนเฉียไซ เก๊าลีไซ ปีศาจทั้งสี่ไป ต่างถืออาวุธสำหรับมือทุก ๆ คน ตรงมายังหน้ากำแพงเมืองแล้ว ก็แผลงฤทธิ์เป็นลมหมอกร้องท้าชวนรบ เห้งเจียซัวเจ๋งก็เหาะออกจากกำแพงเมืองร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายสัตว์มารร้ายชาติชั่วมึงรีบส่งโป๊ยก่ายน้องกูมาโดยเร็ว จึงจะยกชีวิตให้ ถ้ามิฉะนั้นพวกเจ้ากระดูกจะแหลกป่นไปเป็นแป้ง
   พวกปีศาจก็มิได้ยำเกรงพากันกรูเข้ารบกับเห้งเจีย ซัวเจ๋งทั้งสอง ต่างก็ออกกำลังเข้มแข็งเข้าประจัญบานรบกันเป็นอลหม่าน ในเวลากำลังรบกันชุลมุนอยู่นั้น ปีศาจเก๊าเล่งง่วนเซี้ยก็บันดาลเป็นเมฆดำมืด โผตรงขึ้นไปบนหอสั่นศรีษะทีหนึ่ง พวกรักษาองค์ใหญ่น้อยก็พากันตกใจหล่นร่วงลงจากหอทั้งสิ้น ปีศาจเก๊าเล่งง่วนเซี้ยก็เข้าในหอ อ้าปากคาบเจ้าเมืองและราชบุตรทั้งสามกับพระถังซัมจั๋งได้แล้ว ก็เหาะกลับมาคาบเอาโป๊ยก่ายไปด้วยอีกคนหนึ่ง แล้วร้องประกาศสั่งพวกปีศาจทั้งห้าว่าปู่เจ้ามีชัยชนะแล้วจะกลับไปก่อน พวกปีศาจทั้งห้ากำลังรบได้ยินดังนั้น ก็รู้ว่าปู่เจ้ามีชัยชนะแล้วต่างก็ออกกำลังต่อสู้โดยสามารถ เห้งเจียได้ยินเสียงคนโห่ร้องที่กำแพงเมืองก็นึกรู้ว่าเสียกลปีศาจแล้ว จึงร้องสั่งซัวเจ๋งว่าน้องจงคอยระวังให้ดี สั่งแล้วเห้งเจียก็ถอนขนที่บ่าซ้ายลงกำมือหนึ่งใส่ปากเคี้ยวพ่นไป ก็กลายเป็นรูปเห้งเจียตั้งหมื่นตั้งแสนกรูกัน​เข้าล้อมจับปีศาจทั้งห้า จับได้ยู่ไซเจียดไซ ท่วนเฉียไซ เก๊าลีไซ ทั้งสี่ปิศาจ ยังอึ้งม้อกิมไซเห้งเจียจับทุบตาย บ้างก็ลากก็จูงกึกก้องโกลาหล
   พาปีศาจทั้งสี่มายังกำแพงเมืองที่หนีไปได้สามคนนั้น คือปีศาจหน้าเขียวกับโตจั๊นโก๊กวั่ย โก๊กวั่ยโตจั๊น พวกขุนนางเฝ้าประตูเมืองแลเห็นเห้งเจียกลับมาก็เปิดประตูเมืองให้คนเอาเชือกออกไปมัดราชสีห์ทั้งสี่หามเข้ามาในเมือง ยังหาทันจะทำประการใดไม่ ก็เห็นพระมเหสีและนางในร้องไห้มาคุกเข่าคำนับเห้งเจียบอกว่า พระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสและพระอาจารย์ของท่านไม่มีชีวิตแล้ว ทิ้งให้บ้านเมืองร้างเปล่าอยู่ดังนี้ท่านจะว่าประการใด เห้งเจียจึงพูดว่าขอท่านอย่ามีความเศร้าโศกเลย เพราะข้าพเจ้าจับปีศาจมาได้เจ็ดคนแล้ว เก๊าเล่งเซี้ยทำอุบายจับพระเจ้าแผ่นดินกับราชโอรสและพระถังซัมจั๋งได้คงจะไม่อาจทำร้ายเป็นแน่ รอพอเวลารุ่งแจ้งข้าพเจ้ากับซัวเจ๋งจะพากันไปที่เขานั้น คิดจับปีศาจให้ได้
   พระมเหสีกับนางพระสนมได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็คำนับลาพากันกลับเข้าพระราชวัง เห้งเจียจึงสั่งขุนนางให้เอาศพปีศาจอึ้งม้อกิมไซที่ตีตายนั้น ลอกหนังตากไว้ให้แห้ง ยังปีศาจราชสีห์ที่เป็นอยู่นั้นให้ใส่กรงเหล็กขังไว้ แลให้เจ้าพนักงานจัดเข้าแจมากิน ครั้นกินอิ่มแล้วก็พากันไปหลับนอนตามที่ พอรุ่งแจ้งเห้งเจียก็เรียกซัวเจ๋งพากันเหาะไป บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาเต๊กเจี๊ยดซัว จึงลงยังยอดเขาพิจารณาดูรอบเขา แลเห็นปีศาจหน้าเขียวถือตะบองสั้นเดินฃ้ามเนินเขามา เห้งเจียร้องตวาดด้วย​เสียงอันดังว่า เองจะหนีไปข้างไหนเรามาแล้ว ปีศาจได้ยินเห้งเจียว่าดังนั้นก็ตกใจหันกลับคิดจะวิ่งหนี เห้งเจียซัวเจ๋งก็พากันไล่ติดตามมาแลเห็นประตูถ้ำปิดอยู่แน่นหนา ข้างบนประตูมีแผ่นศิลาจารึกอักษรใหญ่สี่ตัว คือเขาบ้วนเล้งเต๊กเจึ๊ยดซัว ถ้ำเก๊าเต๊กปั้วฮ่วมต๋อง ปีศาจหน้าเขียวหนีเข้าไปในถ้ำได้แล้วก็ปิดประตูถ้ำเสีย เข้าไปบอกแก่เก๊าเล่งเซี้ยว่า บัดนี้ข้างนอกถ้ำมีสานุศิษย์พระถังซัมจั๋งสองคนมาอยู่ข้างนอก
   ปีศาจเก๊าเล่งง่วนเซี้ยถามว่าปรศาจใต้อ๋องนายของเจ้า กับยู่ไซเจี๊ยดไซ ท่วนเฉียเก๊าลี ทั้งสี่นั้นมาหรือเปล่า ปีศาจหน้าเขียวบอกว่าข้าพเจ้าไม่เห็นใครมาสักคนหนึ่ง เก๊าเล่งง่วนเซี้ยได้ฟังก็นิ่งนึกตรึกตรองอยู่สักประเดี๋ยวมีความเศร้าโศกเสียใจน้ำตาไหลลงเผาะผอย รู้ว่าอึ้งม้อกิมไซหลานของตัวตายเสียแล้ว แต่หลานอีกหกคนนั้นถูกจับไปกักขังไว้แล้วทำอย่างไรจะแก้แค้นได้ จึงสั่งพวกบริวารว่าเจ้าทั้งหลายจงระวังอยู่ในนี้ให้ดี เราจะออกไปรบจับอ้ายสองคนได้แล้วจึงค่อยชำระต่อภายหลัง เมื่อปีศาจเก๊าเล่งเซี้ยออกมาก็มิได้แต่งตัวหรือสวมเกราะอะไร ครั้นถึงเห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง เก๊าเล่งเซี้ยก็อ้าปากตรงเข้าจะคาบเห้งเจียกับซัวเจ๋ง เห้งเจียยกตะบองเข้าสกัด ซัวเจ๋งกระโจมตีด้วยพลอง เก๊าเล่งเซี้ยสั่นศรีษะก็ออกมาอีกทั้งซ้ายขวาแปดศรีษะไล่รวบงับเห้งเจียกับซัวเจ๋งเข้าอยู่ในปาก แล้วก็กลับเข้าในถ้ำ ร้องเรียกบริวารให้เอาเชือกมามัด
   ปีศาจโก๊กวั่ยโต๊จั๊นกับปีศาจโต๊จั๊นโก๊กวั่ยและปีศาจหน้าเขียว ก็เอาเชือกมาสองเส้น​มัดเห้งเจีย ซัวเจ๋ง ไว้ ปีศาจเก๊าเล่งเซี้ยร้องด่าว่า อ้ายชาติลิงไม่มีดี เจ้าจับลูกหลานของเราไปเจ็ดคน บัดนี้เราจับพวกเจ้ามาได้เจ็ดคน พอจะทดแทนชีวิตลูกหลานเราแล้ว เจ้าปีศาจน้อยๆ จงไปหากิ่งสนมาเฆี่ยนอ้ายลิงสักพักหนึ่ง จะได้แก้แค้นอึ้งม้อกิมไซหลานของเรา ปีศาจทั้งสามต่างถือกิ่งสนมาคนละกำ เข้ามาระดมเฆี่ยนเห้งเจีย ๆ เดิมได้ประกอบธาตุตัวแข็งยิ่งกว่าเหล็กไม่มีผู้ใดที่จะทำลายได้ จะเฆี่ยนตีสักเท่าใดก็ไม่เจ็บปวด พวกปีศาจเฆี่ยนพักใหญ่จนไม้ละเอียดไปหมด เวลานั้นก็จวนจะพลบค่ำ ปิศาจเก๊าเล่งเซี้ยร้องห้ามว่าให้หยุดไว้ก่อน สูเจ้าจงไปเอาตะเกียงไฟมาตาม กินข้าวแล้วรอให้เราไปพักนอนยังห้องกิ๊มหุ้น แล้วเจ้าทั้งสามจงอยู่เฝ้าคอยระวังให้ดี รุ่งเช้าจึงค่อยเฆี่ยนมันอีกต่อไป
   ปีศาจทั้งสามได้ฟังเก๊าเล่งเซี้ยสั่งดังนั้นก็จัดแจงจุดใต้ตามไฟ แล้วก็พากันเอากิ่งสนมาตีหัวเห้งเจียเสียงโกก ๆ ดุจดังว่าเคาะเกราะ ครั้นเวลาดึกแล้วก็พากันไปหลับนอนทั้งสามปีศาจ
   ฝ่ายเห้งเจียเห็นเงียบสงัด ก็ร่ายพระคาถากระทำให้ตัวเล็กลงหลุดจากเชือกได้แล้ว ก็ชักตะบองออกจากหูแกว่งตรงมาที่ปีศาจทั้งสามนอนอยู่นั้น จึงออกปากว่ามึงอ้ายเดรัจฉานพวกพาลเหล่าร้าย กูปล่อยให้พวกมึงทำแก่กูมากแล้ว บัดนี้พ่อจะลองตีดูบ้างเองจะว่ากะไร ว่าแล้วก็ยกตะบองขึ้นตีลงไปทีหนึ่ง ปีศาจทั้งสามแหลกละเอียดกองอยู่กับพื้น เห้งเจียเห็นไฟกำลังสว่างก็ลงมาแก้ซัวเจ๋ง​ออกจากมัด โป๊ยก่ายอดไม่ได้ก็ร้องเรียกเสียงดังว่า พี่เห้งเจียน้องต้องมัดอยู่ที่นี่จนเท้าบวมหนักเหลือทนแล้ว ทำไมพี่ไม่มาแก้ข้าพเจ้าก่อนเล่า
   ฝ่ายปีศาจเก๊าเล่งเซี้ยกำลังนอนหลับ ได้ยินเสียงก็ตกใจตื่นผุดลุกขึ้นตะลีตะลาน ถามว่านี่ใครแก้มัดปล่อยอ้ายพวกนี้ เห้งเจียได้ยินเสียงปีศาจ ก็ดับไฟให้ซัวเจ๋งเอาพลองตีรื้อประตูหักพังไปทั้งสิ้น เห้งเจียก็หนีออกไปก่อน ฝ่ายปีศาจเก๊าเล่งเซี้ยเดินออกมาเห็นมืดไม่มีไฟ จึงร้องเรียกพวกปีศาจให้จุดไฟก็ไม่ได้ยินผู้ใดขาน จึงเที่ยวคลำหาเอาไฟมาจุดเที่ยวส่องดู ก็เห็นที่พื้นมีโลหิตไหลออกนองไป แลปีศาจทั้งสามนอนตายอยู่เนื้อหนังป่นละเอียดไปทั้งสิ้น จึงส่องไปดูคนที่จับมาได้นั้นก็อยู่พร้อมหน้ากัน ไม่เห็นแต่เห้งเจียกับซัวเจ๋ง จึงเอาไฟเที่ยวส่องค้นดู เห็นซัวเจ๋งยืนแอบอยู่ข้างริมระเบียง ปีศาจก็เข้าจับตัวไปมัดไว้อย่างเดิม แล้วส่องดูประตูเห็นหักพังไปทั้งสิ้น ก็เข้าใจว่าเห้งเจียหักพังประตูหนีไปแล้ว ก็มิได้คิดจะตามไป จึงเอาไม้และศิลาขึ้นซ้อนกันให้ดีแล้วก็กลับเข้าไปข้างในคอยระวัง
   ฝ่ายเห้งเจียหนีออกจากถ้ำได้แล้ว ก็เหาะกลับไปยังเมืองเง็กฮัวจิว ครั้นถึงหน้าเมืองแลเห็นบนกำแพงเมือง มีพระภูมิเจ้าที่พระเสื้อเมืองทรงเมืองยืนรายเรียงคำนับรับ เห้งเจียถามว่าท่านทั้งหลายทำไมจึงมาเวลานี้เล่า พระเสื้อเมืองตอบว่าข้าพเจ้าเห็นพระเจ้า​แผ่นดินมีความเคารพรับนับถือท่านโดยยุติธรรมแล้วก็ไม่กล้ามา บัดนี้ทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินต้องภัยร้าย ใต้เซียกำจัดปีศาจข้าพเจ้าจึงได้มาคอย เวลานั้นเห้งเจียกำลังหุนหัน แลไปเห็นเทพยดาเทพารักษ์ลักเตงลักกะนำตัวพระภูมิเจ้าที่มาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า แล้วพูดว่า ข้าพเจ้าจับพระภูมิเจ้าที่ๆ เขาเก๊กเจี๊ยดซัวมานี้ เพื่อจะให้ใต้เซี้ยใต่ถามดู คงจะรู้มูลเหตุของปีศาจนั้น ถ้ารู้เหตุผลแล้วใต้เซี้ยก็อาจช่วยพระเจ้าแผ่นดินกับอาจารย์ออกได้
   เห้งเจียได้ยินดังนั้นจึงถามถึงเหตุการณ์พระภูมิเจ้าที่ พระภูมิเจ้าที่คำนับบอกว่าปีศาจนั้นลงมาเมื่อปีก่อนที่ตำบลเขาเต๊กเจี๊ยดซัวถำปั้วฮ่วมต๋องนี้เดิมเป็นรังของราชสีห์ทั้งหก เมื่อเก๊าเล่งง่วนเซี้ยมาอยู่ราชสีห์ทั้งหกก็ยกเธอเป็นปู่เจ้า เก๊าเล่งง่วนเซี้ยนี้คือราชสีห์เก้าเศียรหากว่าจะกำจัดเธอต้องขึ้นไปบนสวรรค์เชิญเจ้าของเธอมา เจ้านั้นอยู่ที่ตำหนักตังเก็กเงียมเกง แม้เจ้าของเธอมาจึงจะกำจัดได้ นอกนั้นแล้วอย่าพึงคิดเลยว่าจะรอดพ้นไปได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็นิ่งนึกอยู่สักอึดใจหนึ่งจึงพูดว่า ที่ตำหนักตังเก็กเงียมเกงคือท่านพรหมท้ายอิ๊กกิ๊วเค้าทีจุน เธอเคยขี่ราชสีห์เก้าเศียร ถ้ากระนั้นเราต้องไปเชิญมา เห้งเจียจึงให้พระภูมิเจ้าที่กับเทพารักษ์กลับไปยังที่
 
   เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์ข้างทิศบูรพาในเวลาจวนแจ้ง ก็มาพบท่านท้าวกวั๊งบกจัตุราช ๆ แลเห็นเห้งเจียก็ยกมือขึ้นคำนับถามว่า ท่านใต้เซี้ยจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียคำนับตอบว่าข้าพเจ้าจะไปที่ตำหนักตังเก็กเงียมเกง ท้าวจัตุราชพูดว่าทางไซทีไม่ไปจะกลับมาทิศนี้ทำไม ​เห้งเจียบอกว่าเพราะเดินไปถึงเมืองเง็กฮัวจิว เจ้าเมืองมีน้ำใจจงรักภักดีขอให้พระราชบุตรทั้งสามเรียนศิลปะศาสตร์ ไม่รู้เลยว่าจะมาปะทะราชสีห์ปีศาจร้าย บัดนี้สืบรู้ได้แน่ว่า ท่านพรหมท้ายอิ๊กกิ๊วเค้าทีจุนเป็นเจ้าของ ข้าพเจ้าจึงต้องมาเชิญท่านให้ช่วยปราบราชสีห์ เพื่อจะได้ช่วยให้อาจารย์ข้าพเจ้าให้พ้นแห่งภัย ท้าวจัตุราชพูดว่าเพราะใต้เซี้ยเป็นอาจารย์เขา จึงได้มีราชสีห์ออกมาจากกลางฝ่ามือ เห้งเจียหัวเราะพูดว่าจริงดังนั้นแล้ว ก็ลาท้าวจัตุราชไปยังประตูสวรรค์ข้างทิศบูรพา เดินมาบัดเดี๋ยวก็ถึงตำหนักเงียมเกง แลเข้าไปในประตูเห็นเทพบุตรน้อยองค์หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก เห้งเจียก็เดินตรงเข้าไปยืนอยู่หน้าประตู
   เทพบุตรน้อยแลเห็นเห้งเจียมาก็เข้าไปบอกว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าทราบข้างหน้าประตูมีคนที่ทำจลาจลบนสวรรค์ชื่อซีเทียนใต้เซี้ยมาแล้ว ท่านทีจุนได้ทราบดังนั้นก็ให้หมู่เทพบุตรออกไปรับเข้ามา เห้งเจียเห็นเทพบุตรออกมารับก็เดินตามเทพบุตรเข้าไป ครั้นถึงแลขึ้นไปเห็นทีจุนนั่งอยู่บนแท่นแก้ว มีรัศมีสีแสงสว่างพรรณารายระยับ เห้งเจียก็ย่อตัวลงคำนับ ทีจุนก็ลงจากแท่นคำนับตอบถามว่า ใต้เซี้ยหลายปีแล้วมิได้พบกัน เราได้ยินว่าท่านถือเพศตามพระพุทธศาสนาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าอันธุระนั้นยังไม่ถึงแต่ก็ควรจะถึงอยู่แล้ว บัดนี้มาถึงตำบลเขาเต๊กเจี๊ยดซัวถ้ำเก๊าเก๊กปั้วฮ่วมต๋อง ต้องด้วยราชสีห์ตนหนึ่งเก้าเศียรทำร้ายพวกข้าพเจ้า ๆ จึงถามพระภูมิเจ้าที่เจ้าเขา ๆ จึงบอก​ว่าท่านทีจุนเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาเชิญท่าน เพื่อได้ไปปราบปีศาจร้ายเหล่านั้น
   ฝ่ายท่านพรหมทีจุนได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น จึงให้เทพบุตรไปที่ห้องคนเลี้ยงราชสีห์เรียกมาถามดู เทพบุตรไปที่ห้องคนเลี้ยงราชสีห์ เห็นนอนหลับกรนอยู่ไม่รู้สึก เทพบุตรเข้าผลักปลุกจึงได้รู้สึกลุกขึ้นก็พาตัวมาหาทีจุน ครั้นมาถึงคนเฝ้าราชสีห์ก็คุกเข่าลงร้องไห้ ทีจุนถามว่าราชสีห์อยู่หรือไม่ คนเฝ้าราชสีห์พูดว่าขอผู้เป็นเจ้าได้โปรดยกโทษข้าพเจ้าด้วย ทีจุนพูดว่ามีท่านเห้งเจียใต้เซี้ยอยู่นี่จักไม่ทำโทษเจ้า ๆ จงบอกความไปตามจริง เหตุไรจึงไม่ดูแลปล่อยให้ราชสีห์เก้าเศียรหนีไป คนเฝ้าราชสีห์บอกว่าขอผู้เป็นเจ้าได้ทราบ เมื่อวันก่อนนั้นข้าพเจ้าลักกินสุราในคณโฑ ที่ตำหนักกันโลเต้ย กินแล้วก็เมาหลับไปไม่รู้สึกสมประดีราชสีห์จึงหนีไปได้ ทีจุนพูดว่าสุราของท่านท้ายเสียงเล่ากุนให้มาคือสุราทิพย์ เจ้ากินเข้าไปเมาถึงสามวันจึงสร่าง ราชสีห์หนีไปได้กี่วันแล้ว เห้งเจียบอกว่าตามคำพระภูมิเจ้าที่บอกนั้นได้สามปีแล้ว ทีจุนพูดว่าจริงแล้วบนสวรรค์วันหนึ่งในมนุษย์โลกก็เป็นหนึ่งปี
   ทีจุนจึงเรียกคนเฝ้าราชสีห์ให้ลุกขึ้นพูดว่าเรายกโทษให้เจ้า ๆ จงตามเรากับเห้งเจียลงไปเมืองใต้ จับเอาราชสีห์มาเสียยังเดิม ทีจุนกับเห้งเจียและคนเฝ้าราชสีห์พร้อมกันเคลื่อนจากวิมานสวรรค์ลงมายังเขา เต๊กเจี๊ยดซัว แลไปก็เห็นเจ้าเจี๊ยดพี้กับหมู่เจ้าลักเตงลักกะและพระภูมิเจ้าที่มาคำนับต้อนรับ เห้งเจียถามว่า​พวกท่านทั้งหลายอยู่รักษาป้องก้นอาจารย์ข้าพเจ้าเป็นอันตรายหรือเปล่า หมู่เจ้าบอกว่าปีศาจมีความเร่าร้อนนอนเสียแล้ว อาจารย์ของท่านอยู่ดีมิได้เป็นอันตรายอะไร ทีจุนพูดว่าเก๊าเล่งง่วนเซี้ยถือศีล ปฏิบัติมานานแล้ว เธอแผดคำหนึ่งเสียงดังตลอดสามภพมิใช่เล่น แต่ไม่ฆ่าสัตว์ เห้งเจียจงไปที่หน้าประตู ท้ารบล่อให้ออกมาจากถ้ำเราจะได้จับจึงจะดี เห้งเจียมือถือตะบองตรงไปยังหน้าประตูถ้ำ จึงร้องด่าท้าทายว่าอ้ายสัตว์เสียเดรัจฉานมารร้าย มึงจงรีบเอาคนออกมาใช้ให้เราโดยเร็ว เห้งเจียร้องท้าด่าว่าเป็นหลายคำก็ไม่เห็นใครโต้ตอบ เห้งเจียก็เกิดโทโสมือแกว่งตะบองตีขนาบเข้าไปปากก็ด่าไม่หยุด
   เวลานั้นปีศาจกำลังหลับอยู่ ตกใจตื่นมีความโกรธเป็นอันมาก ผุดลุกขึ้นตวาดด้วยเสียงอันดัง สั่นศรีษะทั้งเก้าเศียรอ้าปากออกมาจะคาบเห้งเจีย ๆ กระโดดหนีออกมานอกถ้ำ ปีศาจก็ไล่ตามมาด่าว่าอ้ายลิงมึงจะหนีไปไหน เห้งเจียยืนบนโขดสูงหัวเราะว่าอ้ายมารร้ายมึงยังอาจสามารถอย่างนั้นทีเดียวหรือ ความตายจะมาถึงตัว นี่มิใช่เจ้าของมึงอยู่นี่หรือ ปีศาจก็ไล่รุกมาจะทำร้ายเห้งเจีย ทีจุนจึงร้องตวาดว่าง่วนเซี้ยเรามาแล้ว ฝ่ายปีศาจเงยหน้าขึ้นแลเห็นทีจุน ก็ไม่อาจสยายเท้าหมอบฟุบอยู่กันดิน คนเฝ้าก็มาจับขนที่ศรีษะกำหมัดทุบแล้วด่าว่าอ้ายเดรัจฉาน เพราะมึงหนีมาทำให้เรามีความผิด ปีศาจก็ซบศรีษะฟุบนิ่งอยู่กับพื้นไม่อ้าปาก คนเฝ้าทุบจนเจ็บมือแล้วก็เอาแพรปักผืนหนึ่งปูลงบนหลังแล้ว ก็ขึ้นนั่งตวาดว่าไปคำหนึ่งราชสีห์​ก็เผ่นขึ้นแทรกเมฆเหาะไปยังตำหนักเงียมเกง
   เห้งเจียก็คำนับขอบคุณไปยังอากาศแล้วก็เข้าไปในถ้ำ แก้มัดอาจารย์และพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสทั้งสาม และโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทุก ๆ คนแล้ว ช่วยกันค้นเก็บเอาสิ่งของได้แล้วก็พากันกลับออกนอกถ้ำ โป๊ยก่ายเที่ยวหาฟืนแห้งยัดเข้าไปในถ้ำแล้วเอาไฟจุดเผาถ้ำเสีย ไฟก็ไหม้จนถ้ำเก๊าเก๊กปั้วฮ่วมต๋อง ป่นละเอียดเป็นเถ้าไปทั้งสิ้น เห้งเจียก็ให้เจ้าทั้งหลายกลับไปยังที่ของตน และให้พระภูมิเจ้าที่อยู่รักษาตำบลเขานี้ต่อไป ซัวเจ๋ง โป๊ยก่ายแผลงฤทธิ์อุ้มเจ้าแผ่นดิน กับพระราชบุตรเหาะกลับไปเมือง เห้งเจียอุ้มพระอาจารย์เหาะตามกันไป มาบัดเดี๋ยวก็ถึงเมืองเป็นเวลาจวนค่ำ มเหสีและนางในข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยก็มาคอยรับพร้อมกันคำนับแล้ว ก็สั่งพนักงานให้จัดเครื่องเลี้ยงต่างก็ไปพักหลับนอนตามที่ พอรุ่งแจ้งเจ้าเมืองเง็กฮัวจิวสั่งเจ้าพนักงานให้จัดโต๊ะเครื่องแจมาเลี้ยง
   ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ ก็พากันมาคำนับขอบคุณทุกๆ คน เห้งเจียสั่งพระราชบุตรให้เอาราชสีห์มาชำแหละเสียทั้งหกตัว แล่เนื้อแจกให้ชาวบ้านกินคนละก้อนๆ ชาวบ้านชาวเมืองมีความยินดีเป็นที่ยิ่ง เวลานั้นพวกช่างเหล็กก็มาบอกว่า เครื่องอาวุธที่ทำก็สำเร็จแล้ว เห้งเจียถามช่างว่าจะมีน้ำหนักสักเท่าใด นายชั่งบอกว่าตะบองวิเศษนั้นหนักพันชั่ง คราดกับพลองนั้นหนักอันละแปดร้อยชั่ง เห้งเจียว่าพอสมควรแล้ว เชิญพระราชโอรสทั้งสามมารับ​เครื่องมือสำหรับพระองค์ พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า เพราะอาวุธนี้ข้าพเจ้ากับบุตรจวนจะสิ้นชีวิตเสียแล้ว พระราชโอรสทั้งสามตรัสว่า ได้ท่านเห้งเจียช่วยชีวิตก็ได้รอดแล้ว และทั้งได้ปราบมารร้ายได้ด้วย บ้านเมืองจะอยู่เย็นเป็นสุขไปสิ้นกาลนาน จึงพระราชทานรางวัลแก่ช่างหล่อเสร็จแล้ว ก็มาคำนับขอบคุณอาจารย์ พระถังซัมจั๋งจึงให้เห้งเจียประสิทธิ์วิทยาให้แก่พระราชโอรสทั้งสาม เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งต่างคนก็บอกเพลงอาวุธและประสิทธิ์เวทแก่ศิษย์ของตน ๆ สองสามวันก็แคล่วคล่องว่องไวแล้วเปลี่ยนแปลงกายได้เจ็ดสิบสองอย่าง
   พระราชบุตรทั้งสามก็มีฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญ เพราะเห้งเจียทำให้เกิดกำลังขึ้นได้จึงได้ถืออาวุธที่หนักถึงพันชั่งและแปดร้อยชั่งได้ ครั้นมอบประสิทธิ์วิทยากันแล้ว ก็สั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะเลี้ยง แลเอาทองคำมาถาดใหญ่เป็นเครื่องบูชาคำนับครู เห้งเจียแลเห็นก็หัวเราะแล้วบอกว่า จงรีบเอาคืนไป พวกข้าพเจ้าถือบวชเงินทองไม่ต้องประสงค์ โป๊ยก่ายว่าเงินทองไม่ต้องการ ๆ แต่เสื้อผ้า เพราะสู้รบแก่ราชสีห์มันฉีกขาดไปหมดแล้ว ถ้าเอ็นดูก็ขอทานเปลี่ยนให้เท่านั้นก็ดีถมไปแล้ว พระราชโอรสก็รีบให้ช่างเย็บตัดเสร็จแล้ว ก็นำมาให้เปลี่ยนผลัดทั้งสามคน จึงจัดแจงข้าวของใส่หาบจะลาไป อาจารย์กับศิษย์ทั้งสามลาพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็ออกเดิน พวกชาวเมืองพากันชื่นชมยินดีและมีความเสียดาย ร้องสรรเสริญว่าพระอรหันต์มาโปรดแท้ ๆ พระเจ้าแผ่นดินและพระราชโอรส กับขุนนางข้าราชการต่างประโคมเครื่อง​ดนตรี และแห่แหนห้อมล้อมไปส่งจนสิ้นระยะทางห้าสิบเส้น จึงได้กลับเข้าเมือง ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามลาพระเจ้าแผ่นดินกับคนทั้งหลายแล้ว ก็ตั้งหน้าหมายมุ่งไปยังประเทศทิศตะวันตก
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 10-24 พากย์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น: