Translate

09 กรกฎาคม 2568

[เล่ม 4] ตอนที่ 65 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๙๕)
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเดินตามเสด็จเข้าไปยังพระตำหนักใน ได้ยินเสียงพิณพาทย์มโหรีขับขานประสานเสียงออกแส้ไป แลมีกลิ่นสุคนธรสหอมระรื่นฟุ้งตระหลบไปทั้งตำหนัก พระถังซัมจั๋งก้มหน้าสำรวมเดินมิได้อาจแลเหลียว เห้งเจียเห็นดังนั้นก็คลายบันเทิงใจ เกาะไหล่อาจารย์อยู่ และพิจารณาดูโดยกำลังทิพย์จักษุญาณทุก ๆ แห่ง เห้งเจียเห็นอาจารย์จิตใจไม่หวั่นหวาด ก็นึกสรรเสริญว่าเป็นสมณะจริง จิตตั้งอยู่ในความสงบระงับไม่มีความกำหนัดยินดีในกามคุณ บัดเดี๋ยวแลไปก็เห็นพระมเหสี และนางสนม เอก โท กับสาวใช้นางในพากันแห่ห้อมล้อมนางกงจู๊ออกมารับเสด็จ นางทั้งหลายถวายบังคมพร้อมกันว่าพระเจ้าหมื่นปี ๆ พระถังซัมจั๋งจิตใจให้รัวสั่นสะทกสะท้านพะว้าพะวังหาที่ตั้งมิได้
   เห้งเจียเหลือบไปเห็นนางกงจู๊ บนศรีษะ​มีไอปีศาจยักษ์พุ่งขึ้น แต่หาสู้ร้ายแรงนักไม่ จึงกระซิบบอกพระอาจารย์ว่า นางกงจู๊นั้นปลอมมิใช่จริง พระถังซัมจั๋งว่าถ้าจริงดังว่า ทำอย่างไรจึงจะได้เห็นจริงเล่า เห้งเจียว่าถ้าอยากจะให้รู้ชัดต้องกลับเป็นรูปเดิมจึงจะจับมันได้ พระถังซัมจั๋งห้ามว่าไมได้ พระเจ้าแผ่นดินจะตกพระไทยวุ่นวายกันไปทั้งวัง รอให้เสด็จกลับไปยังที่แล้ว จึงค่อยแผลงฤทธิ์เดชอานุภาพต่อภายหลัง ฝ่ายเห้งเจียเป็นคนใจร้อนรออยู่ไม่ได้ ก็ไหวกายกลายกลับเป็นรูปเดิม ร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง กระโดดมาจับยึดเสื้อนางกงจู๊ ด่าว่าอีรากษสยักษ์ร้าย มึงทำเล่ห์กลแอบแฝงสำราญอยู่ในนี้ยังไม่พอ ทำกลอุบายหลอกลวงอาจารย์เรา คิดทำลายพรหมจรรย์ สันดานมึงชั่งเต็มไปแต่ด้วยกามรากไม่รู้สึกโทษที่จะต้องไปทนทุกข์ในนรกเลย
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้เห็น แลได้ยินดังนั้นก็ตกพระทัย นางฮ่องเฮาแลนางสนมกำนัน ก็พากันตกใจล้มคว่ำล้มหงายไม่เป็นสมปฤดี บ้างก็วิ่งหนีซ่อนเร้นเอาตัวรอด พระถังซัมจั๋งก็ระรัวสั่นไปทั้งกาย เข้าประคองพระเจ้าแผ่นดินทูลว่าพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย นี่คือศิษย์ของอาตมภาพแผลงฤทธิ์เพื่อจะใคร่รู้เท็จจริง
   ฝ่ายนางกงจู๊ปีศาจปลอม เห็นไม่สมคิดแน่แล้ว ก็ถอดเครื่องแต่งตัวทั้งเสื้อผ้าฉีกทิ้งเสีย สลัดหลุดจากมือเห้งเจียวิ่งหนีไปในสวนดอกไม้เข้าศาลพระภูมิ ได้ตะบองสั้นอันหนึ่งหวนกลับมาเข้ารบ​กับเห้งเจีย ๆ ก็ชักตะบองเหล็กออกรบกับปีศาจ ต่างออกกำลังรบกันกึกก้องโกลาหลที่ในสวนดอกไม้ แล้วแผลงฤทธิ์เหาะขึ้นบนอากาศรบกันสนั่นหวั่นไหว พวกชาวเมืองต่างก็ตกใจไหวหวั่นครั่นคร้าม พระถังซัมจั๋งร้องว่าขอพระองค์อย่าได้ตกพระทัยไปเลย แล้วบอกพวกสาวสันกำนันในว่าอย่ากลัว นางกงจู๊ของท่านนั้นเป็นปีศาจปลอมเข้ามาอยู่ ส่วนบุตรของท่านนั้นคอยไห้ศิษย์ของอาตมภาพจับปีศาจได้แล้ว จึงไปรับกงจู๊ที่แท้จริงนั้นมาให้จึงจะรู้เหตุผลเอาเป็นจริงแน่ได้
 ฝ่ายนางในได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดบอกดังนั้น ก็ค่อยได้สติคลายจากความหวาดเสียว นางกำนันจึงไปเก็บเอาเสื้อผ้าที่นางกงจู๊ถอดทิ้งไว้ให้นางฮ่องเฮ้าดู แล้วพูดว่านางถอดทิ้งไว้นี้ บัดนี้ขึ้นไปรบอยู่กับสานุศิษย์ของพระที่บนอากาศ คงจะเป็นปีศาจแน่ เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับฮองเฮ้าแลนางในทั้งหลาย ก็ค่อยได้สติหายกลัวพากันแลดูบนอากาศ ฝ่ายปีศาจกับเห้งเจียรบกันยังไม่แพ้และชนะ เห้งเจียจึงร้องขึ้นคำหนึ่งแกว่งตะบองร้องให้แปลง ตะบองก็มีมานับหมื่นอันควงแกว่งดุจงูและมังกรโลดโผนเข้ารุกไล่ตีนางปีศาจโดยสามารถ นางปีศาจเหลือกำลังที่จะรบรอต่อยุทธ์ แล้วก็ไหวกายบันดาลเป็นสายลมเขียวหนีไปทางทิศปราจิณ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เรียกตะบองคืนกลับเข้าตัวแล้วจึงเหาะขึ้นบนอากาศรีบไล่ตามนางปีศาจไป
   เห้งเจียเหาะตามนาง​ปีศาจกระชั้นมา จวนใกล้ประตูสวรรค์ไซทีหมึง แลไปก็เห็นธงทิวปลิวสลับสลอนยืนขวางหน้าอยู่ เห้งเจียจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ท่านทั้งหลายที่เฝ้าประตูสวรรค์นั้น จงช่วยสกัดจับอีมารร้ายอย่าให้หนีไปได้ ฝ่ายหมู่เทพยดาคือท้าวจตุราชฮูก๊กทีอ๋อง กับนายทหารทั้งสี่นาย ได้ยินเห้งเจียร้องมาดังนั้น ต่างก็เตรียมอาวุธรายกันออกคอยสกัดกั้นไว้
   ฝ่ายนางปีศาจเห็นจวนตัวจะหนีไปก็มิได้ จึงหวนกลับมารบแก่เห้งเจียโดยสามารถมิได้คิดแก่ชีวิต นางปีศาจถือตะบองสั้นเข้าตะลุมบอน เห้งเจียถือตะบองวิเศษเข้ารอรบแก่นางปีศาจโดยแข็งแรง เห้งเจียรบพลางพิจารณาดูตะบองของนางปีศาจ เห็นข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่งใหญ่ ดุจดังว่าไม้สากตำเข้า เห้งเจียจึงตวาดถามด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยนางปีศาจเองถืออาวุธอันใดมาต่อสู้แก่เรา นางปีศาจเมื่อได้ยินเห้งเจียถามมาดังนั้น จึงตอบว่าถ้าท่านอยากจะรู้จงเงี่ยหูลงฟังเราจะบอกให้ อาวุธอันนี้เทพยดาประกอบธาตุอันวิเศษให้ ประกอบด้วยมูลสันดานของเราอยู่บนสวรรค์ มีสีสว่างไสวประกอบไปด้วยฤดูสี่คือ (ชุนเห้ชิวตัง) บัดนี้อยู่กับเราบนวิมานพระจันทร์ คือเป็นหินบดวิเศษอันหนึ่ง หากว่าตีมนุษย์ทีหนึ่งก็จะถึงแก่ความตาย
   เห้งเจียได้ฟังนางปีศาจเล่าให้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่แล้วจึงพูดว่า อ่อดังนั้นดอกหรืออีเดรัจฉาน หาก​มึงอยู่ในดวงพระจันทร์จริงดังนั้น ทำไมเองจึงไม่รู้จักฝีมือเรา จึงบังอาจสามารถมาต่อสู้แก่เราเล่า เจ้าจงรีบยอมเสียโดยดีเราจะไว้ชีวิตเจ้าให้ยาวยืนต่อไปอีกสิ้นกาลนาน นางปีศาจได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงพูดว่าเราจำได้ว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อน ท่านขึ้นไปทำวุ่นวายจลาจลบนสวรรค์ มีนามเรียกว่าเป๊กเบ๊อุนคนเฝ้าม้ามิใช่หรือ อันความจริงก็ไม่ควรจะผ่อนผันยอมแพ้ท่าน เพราะด้วยทำลายการสามีภรรรยาเขาความพยาบาทดุจฆ่าบิดา มารดา เพราะฉะนั้นจึงต้องคิดต่อสู้กว่าชีวิตจะหาไม่ เห้งเจียได้ฟังปีศาจว่าดังนั้น ก็ยิ่งบันดาลโทโสคั่งแค้นแกว่งตะบองจ้วงโจมโถมเข้าตีรัน
   นางปีศาจก็ยกไม้หินบดขึ้นต่อสู้รอรบแก่เห้งเจียโดยสามารถ รบรอต่อสู้กันอยู่ที่หน้าประตูสวรรค์น่ำทีหมึงประมาณยี่สิบเพลง นางปีศาจเห็นว่าจะเอาชัยชนะเห้งเจียมิได้ ก็ยกหินบดฟาดไปทีหนึ่งบันดาลเป็นแสงสว่างร้อยพันหมื่นสายแล้วก็รีบหนีไปทางทิศอาคเนย์ เห้งเจียก็ไล่ติดตามมา บัดเดี๋ยวมาถึงภูเขาหนึ่ง ปีศาจก็บันดาลแสงสว่างสูญหายลงไปในยอดภูเขานั้น เห้งเจียเที่ยวค้นหาก็ไม่พบเห็น มีความสงสัยและวิตกเกรงว่าปีศาจจะหวนกลับแอบไปในเมือง จะทำร้ายแก่พระอาจารย์ เห้งเจียดำริดังนั้นแล้ว ก็พิจารณาดูจำภูเขานั้นได้แน่แล้ว ก็รีบเหาะกลับไปยังเมือง เวลานั้นประมาณเวลาบ่ายสี่โมงเศษ
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับพระมเหสีและพระสนมนางกำนัลใน กำลังสะดุ้งตกใจครั่นคร้ามกลัวอยู่ด้วยกันทุกคน แลเห็นเห้งเจียยืนอยู่บน​เมฆลอยลงมาเรียกพระอาจารย์ว่าข้าพเจ้ามาแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าเห้งเจียจงหยุดก่อน อย่าเพิ่งเข้ามาทำให้วุ่นวาย พระเจ้าแผ่นดินจะตกพระทัย แล้วพระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียต่อไปว่า ท่านไปตามกงจู๊ปลอมนั้นได้ความประการใด เห้งเจียยืนพนมมืออยู่ข้างนอกตำหนักตอบว่า อีนางกงจู๊ปลอมนั้น คือปีศาจแปลงตัวข้าพเจ้ารบแก่มัน ๆ สู้มิได้พ่ายแพ้หนีไป ข้าพเจ้าได้ตามไปถึงภูเขาแห่งหนึ่ง ปีศาจนั้นก็สูญหายไป ข้าพเจ้าได้เที่ยวค้นหาก็มิได้พบเห็น ข้าพเจ้าวิตกเกรงว่ามันจะกลับวกมาทำร้ายแก่อาจารย์จึงได้รีบเหาะกลับมา
   พระเจ้าแผ่นดินเมื่อพระองค์ได้ทรงฟังเห้งเจียพูดแก่พระถังซัมจั๋งดังนั้น พระองค์จึงยึดพระถังซัมจั๋งไว้แล้วถามว่า ก็นางนั้นเป็นปีศาจแล้ว ส่วนบุตรีแห่งข้าพเจ้าไปอยู่แห่งใดเล่า เห้งเจียจึงทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า รอให้ข้าพเจ้าจับปีศาจได้ก่อนแล้ว กงจู๊ของพระองค์ก็คงจะได้กลับคืนมา ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย
   ฝ่ายพระมเหสีกับสนมนารีทั้งปวง เมื่อได้ฟังเห้งเจียทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินดังนั้น ก็ค่อยคลายความหวาดเสียว ทุก ๆ คนพากันมาคำนับเห้งเจียแล้วจึงพูดว่า ขอท่านผู้วิเศษให้นางกงจู๊กลับมาได้ดังว่าแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายจะขอบพระเดชพระคุณท่านเป็นที่ยิ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ที่ในราชวังในนี้ ข้าพเจ้าไม่ควรจะคิดการ ขอพระองค์ได้โปรดพาพระอาจารย์ออกไปข้างนอกที่ข้าราชการเฝ้า ให้​นางในกลับเข้าไปเสียข้างใน และเรียกน้องของข้าพเจ้าทั้งสองคนมารักษาอาจารย์ ข้าพเจ้าจะได้กลับไปจับนางปีศาจนั้นมาให้จงได้ ทั้งจะได้ปรากฎในความชอบของข้าพเจ้า
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียว่าดังนั้น ก็มีความยินดีพร้อมด้วยพระถังซัมจั๋ง เสด็จออกมายังท้องพระโรงที่ออกขุนนาง ฝ่ายพระมเหสีและนางสนมก็กลับเข้าพระราชวังใน พระองค์จึงรับสั่งแก่เจ้าพนักงานจัดเครื่องมาเลี้ยงเห้งเจีย และรับสั่งให้หาตัวโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเข้ามาเฝ้า เห้งเจียสั่งเสียน้องทั้งสองคนให้ดูแลเอาใจใส่รักษาพระอาจารย์ทุกประการแล้ว เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศหมายทิศอาคเนย์ บัดเดี๋ยวก็มาถึงยอดเขา เที่ยวสอดส่องค้นหาปีศาจ
   ฝ่ายนางปีศาจเมื่อหนีเห้งเจียมาลงที่เขาแล้ว ก็มุดเข้าไปในถ้ำเอาศิลามาปิดปากถ้ำซ่อนตัวอยู่ในนั้นมิได้ออกมา เห้งเจียเที่ยวค้นหาพักหนึ่ง ไม่เห็นปีศาจก็มีความร้อนใจ จึงร่ายมนต์เรียกเจ้าเขาเจ้าที่มาในทันใดนั้น เห้งเจียจึงถามว่าภูเขานี้เรียกว่าภูเขาอะไร ในตำบลนี้มีปีศาจมากน้อยเท่าใด จงบอกมาโดยเร็วแต่ตามจริง เจ้าทั้งสองคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า ขอท่านได้ทราบ อันภูเขานี้มีนามเรียกว่า (ม้อเถ้าซัว) ที่เขานี้มีรังกระะต่ายอยู่สามแห่ง ดั้งเดิมมาก็ไม่มีปีศาจยักษ์มาร เป็นที่ชัยภูมิงามดี ไม่มีปีศาจยักษ์ร้ายหามิได้ แม้ท่านจะไปหาปีศาจยักษ์ร้ายก็จงไปหาทางทิศไซทีเถิดจึงจะมี เห้งเจียพูดว่าเราพึ่งขับไล่ปีศาจมาเดี๋ยวนี้ ทำไม​จึงว่าไม่เห็นปีศาจเล่า
   เจ้าเขาเจ้าที่ทั้งสองได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นำเห้งเจียไปที่รังกระต่ายสามแห่งนั้น ค้นหาปีศาจที่เชิงเขาก่อน เห็นมีกระต่ายสองสามตัวเที่ยวกินหญ้าอยู่ เห็นคนมากระต่ายก็ตกใจวิ่งหนีไป แล้วพาไปหาที่บนยอดเขา แลไปก็เห็นปากถ้ำ มีศิลาใหญ่ปกปิดอยู่แน่นหนา เจ้าเขาเจ้าที่ทั้งสองจึงชี้ว่า เห็นปีศาจจะอยู่ในถ้ำนี้เป็นแน่แล้ว จงงัดเอาก้อนศิลานั้นออกเข้าไปค้นดูเถิด เห้งเจียจึงเอาตะบองงัดก้อนศิลาที่ปิดปากถ้ำอยู่นั้น ออกแล้วก็จะเข้าไปค้นดู ฝ่ายนางปีศาจซึ่งเข้าไปซ่อนอยู่ในถ้ำ ครั้นได้ยินเสียงประตูทลายลงดังนั้น ก็ร้องตวาดออกมาด้วยเสียงอันดัง มือก็ถือลูกหินบดกระโดดออกมาตีเอาเห้งเจีย ๆ ก็แกว่งตะบองรับรบกัน เจ้าเขาเจ้าที่เห็นดังนั้นก็ตกใจ พากันหนีไปเที่ยวซุกซ่อนตัว  นางปีศาจก็ด่าว่าเจ้าเขาเจ้าที่ว่า นำเห้งเจียมาค้นหาจึงได้มาพบปะฉะนี้ ปากก็บ่นว่ามือก็รบแก่เห้งเจีย แล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ
รูปภาพ ; แม่นางท้ายอิมแช คือ เป็นพระจันทร์ ซึ่งเป็นเจ้าของนางปีศาจกะต่าย ๆ หนีลงมาแปลงตัวปลอมเป็นนางก๋งจื้อราชบุตรีของเจ้าเมืองเทียนเต๊กก๊ก ครั้นเมื่อเห้งเจียไล่นางกะต่ายไปจวนจะถึงแก่ชีวิต ก็เสด็จลงมาพร้อมด้วยนางฟ้า ขอโทษนางกระต่ายได้แล้ว ก็พานางกระต่ายกลับไปยังวิมาน
   เวลานั้นก็จวนจะพลบค่ำ ได้ยินเสียงบนอากาศร้องลงมาว่า ท่านใต้เซี้ยอย่าเพิ่งลงมือก่อน เห้งเจียหันไปดูก็เห็นท้ายอิมแช คือ พระจันทร์ มีนางฟ้าแห่ห้อมล้อมเป็นบริวาร เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ย่อตัวคำนับ ถามว่าท่านท้ายอิมจะไปข้างไหนด้วยหรือ ท้ายอิมแชตอบว่าปีศาจที่สู้รบอยู่แก่ท่านนั้น คือนางกระต่ายที่อยู่ในตำหนักพระจันทร์ ในห้องยาทิพย์มันลักหินบดหนีมา ข้าพเจ้าเห็นว่ามันจะถึงที่ตายเสียวันนี้​แล้ว จึงได้ตามมาเพื่อจะช่วยชีวิตมันให้รอดอยู่ก่อน ขอท่านใต้เซี้ยได้อนุญาตยกโทษมันให้แก่ข้าพเจ้าเถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่าท่านท้ายอิมได้ออกปากขอแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ แต่มันทำผิดได้ลักนางกงจู๊พระราชบุตรีของพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊กไปซ่อนไว้ แล้วแปลงรูปปลอมเป็นนางกงจู๊คิดจะทำลายพรหมจรรย์พระอาจารย์ของข้าพเจ้า อันโทษนั้นก็ยากที่จะผ่อนผันให้มันได้
   ท้ายอิมแชได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่าท่านใต้เซี้ยยังไม่ทราบถึงเหตุเดิม อันกงจู๊นั้นมิใช่คนในมนุษย์โลก เดิมทีเป็นนางฟ้าอยู่ในองค์พระจันทร์ จุติลงมาเกิดเป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊ก นางกระต่ายนั้นมีความพยาบาท ด้วยเมื่อยี่สิบปีก่อนนางกงจู๊ตบเอานางกระต่าย ๆ จึงได้หนีตามลงมาแก้แค้น ลักนางกงจู๊ไปทิ้งไว้นอกเมือง ข้อที่นางกระต่ายจะคิดทำลายพรหมจรรย์ของพระถังซัมจั๋งนั้น ท่านใต้เซี้ยก็ได้ช่วยแก้ไขตัดรอนได้แล้ว ก็ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ความเสียหาย เพราะฉะนั้นขอท่านใต้เซี้ยได้เห็นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด โปรดยกโทษให้แก่มันข้าพเจ้าจะได้พากลับไปสวรรค์ตามเดิม
   เห้งเจียได้ฟังท้ายอิมแชว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า หากมีมรรคผลอบรมดังนั้นข้าพเจ้าก็ไม่อาจขัดได้ แต่วิตกว่าท่านพานางกระต่ายไปแล้ว เกรงเจ้าเมืองเทียนเต๊กก๊กจะไม่เชื่อข้าพเจ้า ขอท่านท้ายอิมแชได้พานางฟ้าพร้อมด้วยนางกระต่ายไปยังเมืองเต๊กก๊ก ให้เจ้าแผ่นดินและขุนนางราษฎรเห็นเป็นพยาน จะให้แจ่มแจ้งซึ่งฝีมือและกำลัง​อำนาจแห่งข้าพเจ้า และจะได้ปรากฎว่าเดิมนางกงจู๊อยู่บนสวรรค์ได้จุติลงมาเอากำเนิดในมนุษย์โลกจะได้ทราบ ซึ่งเหตุผลเวรกรรมของนางกงจู๊ว่าเป็นประการใด ท้ายอิมแชได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงเอามือชี้นางปีศาจร้องตวาดว่า ยังไม่คิดกลับตัวอีกหรือ
   ปีศาจก็กลับกลายไปเป็นกระต่ายตามเดิม เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดีเหาะนำหน้าตรงมายังเมือง ท้ายอิมแชกุนก็นำฝูงนางฟ้าและนางกระต่ายเหาะตามเห้งเจียมายังเมืองเทียนเต๊กก๊ก เวลานั้นก็พลบค่ำแสงจันทร์กระจ่างในท้องฟ้าเจ้าเมืองเทียนเต๊กก๊กกับพระถังซัมจั๋ง แลเห็นข้างทิศอาคเนย์มีแสงสว่างดุจกลางวัน และได้ยินเสียงเห้งเจียเรียกและบอกว่า ให้เชิญพระมเหสีกับสนมนางในออกมาดู ที่ในกลดนั้นคือท่านท้ายอิมแชกุน (พระจันทร์) สองข้างที่ห้อมล้อมมานั้น คือ นางเทพทิดา นางกระต่ายนั้นคือปีศาจที่แปลงเป็นนางกงจู๊ บัดนี้กลับเป็นรูปเดิม พระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊ก เมื่อได้ฟังดังนั้นจึงรับสั่งให้พระมเหสีและสนมนางในออกมากระทำนมัสการ ทั้งขุนนางข้าราชการก็พากันคุกเข่าลงคำนับทุกๆ คน ราษฎรพลเมืองก็พากันตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนบูชาทุกบ้านเรือน
   ฝ่ายโป๊ยก่ายนิสัยตนหนักอยู่ในการกำหนัดยินดี ในรูปเสียงกลิ่นรส สัมผัส เมื่อได้เห็นนางฟ้ามาดังนั้น ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศตรงเข้าจับต้องนางฟ้า แลพูดจาเล้าโลมด้วยจิตกำหนัด เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงจับมือโป๊ยก่ายไว้แล้วก็ด่าว่าอ้ายหมูกินรำ เหตุไฉน​จึงมาทำการหยาบช้าลามกดังนี้ เห็นสมควรแก่เราที่เป็นบรรพชิตผู้ถือบวชแล้วหรือไฉน โป๊ยก่ายได้สติรู้สึกจึงตอบแก้ตัวว่าเปล่า หยอกเอินเล่นนิดหน่อยเท่านั้นพอแก้รำคาญ ด้วยนานแล้วมิได้พบปะกัน เห้งเจียจับโป๊ยก่ายลากแล้วผลักให้ลงมายังพระธรณี
   ฝ่ายท่านท้ายอิมแชกุน ครั้นเสร็จธุระแล้ว ก็เคลื่อนที่พานางฟ้ากับนางกระต่ายกลับไปยังสถานวิมานสวรรค์ เห้งเจียก็ลงมายังพื้น พระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊กก็มาคำนับขอบคุณเห้งเจีย ตรัสว่าข้าพเจ้าให้พึ่งท่านผู้วิเศษ อันมีฤทธาอานุภาพจึงได้ปราบปีศาจได้ อันบุตรีสาวของข้าพเจ้านั้นบัดนี้อยู่แห่งหนตำบลใดเล่า เห้งเจียตอบว่าอันนางกงจู๊ราชบุตแห่งท่านนั้น หาใช่คนในมนุษย์โลกนี้ไม่ คือนางฟ้าอยู่ในตำหนักพระจันทร์ เดิมเมื่อยี่สิบปีก่อนนางได้ตบนางกะต่ายทีหนึ่ง นางจึงได้จุติลงมาเอากำเนิดในมนุษย์โลกนี้ นางกระต่ายมีความพยาบาทจึงหนีลงมาจากสวรรค์ จึงได้แปลงตัวมาจับนางกงจู๊ทิ้งไปนอกเมือง นางกระต่ายได้แปลงตัวเข้ามาอยู่หลอกลวงพระองค์ ตามเหตุผลที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ ตามท่านท้ายอิมแชกุนบอกเล่ามาวันนี้จับนางปีศาจได้แล้ว พรุ่งนี้จึงจะไปรับพระราชบุตรีของพระองค์มา
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็ทรงพระกรรแสงโดยทรงพระอาลัยถึงพระราชธิดา บิดาไม่รู้ที่ว่าลูกจะไปอยู่แห่งหนตำบลใด เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะแล้วจึงทูลว่า พระองค์อย่า​ได้ทรงพระวิตกไปเลย อันราชธิดาของพระองค์นั้น บัดนี้อยู่ที่วัดเป๊ากิมยี่ เวลานี้ก็ค่ำมืดแล้ว ต่อเวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะไปนำนางกงจู๊มาถวายพระองค์ ๆ อย่าได้ทรงพระวิตกเลย ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการทั้งหลายพร้อมกันคุกเข่าลงกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย ด้วยท่านผู้วิเศษทั้งหลายนี้รู้เหตุผลต้นปลายทั้งอดีต อนาคตและปัจจุบันกาล ทั้งเหาะเหินเดินอากาศได้ คงจะสามารถนำพระราชบุตรีของพระองค์มาถวายได้เป็นแท้ พระเจ้าแผ่นดินเมื่อได้ทรงฟังพวกขุนนางทูลดังนั้น ก็ค่อยบรรเทาความโศก จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ เข้าพักในตำหนักเล่าชุนเต๊งในคืนวันนั้น
   ครั้นรุ่งเช้าก็เสด็จออกขุนนางรับสั่งให้ขันธีพาพระถังซัมจั๋งมาเฝ้า พร้อมกันกับศิษย์ทั้งสาม จึงตรัสถามว่าท่านจะโปรดประการใดจึงจะได้นางกงจู๊บุตรีของข้าพเจ้าคืนมา พระถังซัมจั๋งจึงยก กรณีเหตุ ซึ่งนางกงจู๊ ตกอยู่ที่วัดเป๊ากิมยี่ให้พระเจ้าแผ่นดินฟังทุกประการ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระกรรแสงทั้งพระมเหสีและสนมนารีก็พากันร้องไห้มิอาจอดกลั้นความโศกได้ พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามพระถังซัมจั๋งว่า วัดเป๊ากิมยี่มีระยะทางใกล้ไกลสักเท่าไร พระถังซัมจั๋งทูลว่าประมาณหกร้อยเส้น พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่รักษาพระนคร ส่วนพระองค์กับพระมเหสีและนางสนมกรมในข้าราชการ และพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามเสด็จออกจากพระราชวัง
   ​ฝ่ายเห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศไปถึงวัดก่อน หมู่พระสงฆ์ในวัดเห็นเห้งเจียมาต่างองค์ก็มาคำนับ ถามว่าเมื่อท่านไปก็เห็นเดินดินไปกับท่านทั้งสาม วันนี้ทำไมจึงลงมาจากอากาศแต่ผู้เดียวเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วถามว่าท่านเจ้าวัดอยู่หรือไม่ นิมนต์ออกมาจัดตั้งที่บูชารับเสด็จพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊ก ด้วยพระมเหสีและขุนนางข้าราชการ แลพระอาจารย์ของข้าพเจ้าก็ตามเสด็จมาด้วยพร้อมกัน พระสงฆ์ทั้งหลายก็หาทราบเหตุการณ์ไม่ จึงเข้าไปนิมนต์เจ้าวัดออกมา เจ้าอธิการเห็นเห้งเจียก็ย่อตัวปราศรัยถามว่า เรื่องนางกงจู๊นั้นเป็นประการใดหรือ เห้งเจียก็เล่าให้เจ้าอธิการฟังตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการ เจ้าวัดยกมือขึ้นขอบใจเห้งเจีย ๆ บอกว่าท่านอย่าช้า ท่านรีบตั้งเครื่องบูชารับพระเจ้าแผ่นดินเถิด
   พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังจึงเข้าใจว่า ที่ลั่นกุญแจไว้ในห้องนั้น คือกงจู๊ พระสงฆ์ทุก ๆ รูปก็พากันตกใจ ต่างก็พากันไปวัดจัดแจงตั้งเครื่องสักการะบูชา แล้วครองจีวรทุก ๆ องค์มาคอยรับพระเจ้าแผ่นดิน ในทันใดนั้นพระเจ้าแผ่นดินก็พอเสด็จมาถึงยังประตูวัด ทอดพระเนตรเห็นพระสงฆ์มาคอยรับอยู่พรักพร้อม แลเห็นเห้งเจียยืนอยู่ท่ามกลาง พระเจ้าแผ่นดินจึงถามเห้งเจียว่า ทำไมท่านจึงมาถึงก่อนเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไหวกายทีหนึ่งก็ไปได้ตั้งพันโยชน์ ครั้นพวกขุนนางและพระถังซัมจั๋งมาถึงพร้อมกัน จึงนำพระเจ้าแผ่นดินเข้าไปที่หลังวัด ที่ห้องขัง​นางกงจู๊อยู่นั้น ฝ่ายนางกงจู๊อยู่ในห้องมืด ก็ยังทำเป็นคลั่งเคลิ้มพูดจาไม่เป็นปรกติ เจ้าอธิการจึงชี้ให้พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรว่า ที่ห้องนี้เป็นห้องที่นางกงจู๊อยู่ในนั้น
   พระถังซัมจั๋งสั่งให้ถอดกุญแจเปิดประตูออกแล้ว พระเจ้าแผ่นดินกับพระมเหสีแลเข้าไปก็เห็นนางกงจู๊ผู้บุตรก็จำได้แน่ใจ ตรงเข้าสวมกอดเอาพระราชธิดาแล้ว ก็ทรงพระกรรแสงแล้วจึงตรัสว่า บิดา มารดามีความทุกข์ร้อน โอ้ลูกเอ๋ยกรรมเวรของเจ้าทำไว้แต่ปางใด จึงได้มาทรมานทุกข์อยู่ดังนี้เล่า ต่างคร่ำครวญโศกาอาดูรรำพันไปต่าง ๆ พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้พนักงานเอาน้ำมาชำระขัดสีล้างพระราชบุตรีแล้ว ให้ผลัดเสื้อผ้านุ่งห่มเสียใหม่เสร็จแล้ว ก็เสด็จขึ้นประทับบนราชรถจะกลับยังพระราชวัง เห้งเจียพนมมือกราบทูลว่า ข้าพเจ้ายังมีกิจธุระอยู่ข้อหนึ่งขอพระองค์ได้ทราบ พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า ท่านมีธุระจะสั่งเสียอะไรหรือ เห้งเจียทูลว่าตำบลนี้มีภูเขาหนึ่งนามว่าแป๊ะเคียดซัว ได้ทราบว่าในเขานี้มีตะขาบปีศาจตนหนึ่ง ถ้าเวลาพลบค่ำแล้วมักกระทำร้ายแก่พวกพ่อค้าไปมาค้าขายอยู่เสมอ ๆ ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าตะขาบนั้นแพ้ไก่ จงให้หาไก่สักพันตัวมาปล่อยในที่นี้ เพื่อจะได้แก้ซึ่งสัตว์ร้าย แล้วเปลี่ยนนามเขาเสียใหม่ พระราชทานอักษรป้ายจารึก และพระราชทานตั้งเจ้าคณะให้มีเกียรติยศตอบแทน
   ด้วยพระสงฆ์ได้รักษาเลี้ยงดูนางกงจู๊นั้น พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงโมทนาและอำนวยตามที่เห้งเจียทูลชี้แจง​นั้นทุกประการ แล้วให้เปลี่ยนนามเขานั้นเรียกว่า (โป๊อาซัว) ให้เปลี่ยนนามวัดกิ๊มโกว่ากิ๊มยี่ และพระราชทานนามเจ้าวัดว่า (เป๊าก๊กเจง) พระราชทานนิตยภัตทุก ๆ เดือน และถวายเครื่องสมณะบริขารต่าง ๆ ทั้งพระสงฆ์ลูกวัดก็พระราชทานนิตยภัตทุก ๆ องค์ ทุก ๆ เดือน เจ้าคณะและลูกวัดทั้งหลายก็ถวายพระพรขอบคุณพระเจ้าแผ่นดิน พร้อมกันส่งเสด็จกลับเข้าพระนคร ครั้นถึงพระราชวังก็พานางกงจู๊เข้าพระราชวังใน ส่วนสนมนางในก็มาเยี่ยมเยือนกงจู๊ และจัดโต๊ะมาเลี้ยงเป็นการสมโภชหรือทำขวัญ
   เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับข้าราชการใหญ่น้อยฝ่ายหน้าฝ่ายใน ต่างเข้านั่งโต๊ะประชุมกันเป็นการรื่นเริง ครั้นสิ้นเวลาเลี้ยงแล้ว จึงสั่งให้ช่างเขียนวาดรูปพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามไว้ สำหรับสักการะบูชาอยู่บนหอ ติ๊นฮวยก๊ก แลให้นางกงจู๊แต่งตัวออกมากราบคำนับขอบคุณ ท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ที่ได้ช่วยให้รอดพ้นจากความตาย ฝ่ายพระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรลาจะใคร่รีบไป พระเจ้าแผ่นดินทรงอาราธนาไว้เลี้ยงโต๊ะอีกห้าหกวัน แล้วจัดทองคำถวายสองร้อยแท่ง แลแก้วแหวนอัญมณีต่าง ๆ ถวายตอบแทนแก่ศิษย์ทั้งสาม อาจารย์กับศิษย์ก็มิได้รับกลับถวายคืนเข้าท้องพระคลังหลวง พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้ขุนนางจัดราชรถส่งพระอาจารย์กับศิษย์ทั้งสาม เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางและราษฎรก็ตามออกมาส่งจนนอกเมือง แลข้างหน้านั้นพระสงฆ์ทั้งหลายก็คอยคำนับส่ง และไม่คิดจะกลับแต่สักองค์​เดียว เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร่ายพระคาถาบันดาลเป็นลมพัดมืดมัวเป็นหมอกควัน บังตาคนทั้งหลายเหล่านั้นจนแลไม่เห็น อาจารย์กับศิษย์จึงได้หนีพ้นไปได้
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 13-24 พากย์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น: