Translate

08 กรกฎาคม 2568

[เล่ม 4] ตอนที่ 64 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๙๓)
ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดชื่อหุ้นยี่ ครั้นรุ่งแจ้งออกมาที่หน้ากุฎิใหญ่ ไม่เห็นพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม จึงพูดว่าไม่เห็นพูดว่ากระไร ทำไมจึงพากันหายไปเงียบ ๆ ดังนี้ เราพากันปล่อยพระโพธิสัตว์ไปเสียแล้ว เมื่อเวลากำลังพูดกันอยู่นั้น แลเห็นพวกชาวบ้านเสียส่วยน้ำมัน มาสองสามคนจะนิมนต์พระถังซัมจั๋งไปฉัน พระสงฆ์ในวัดพูดว่าท่านเหาะไปเสียแต่เมื่อคืนนี้มิได้บอกเล่าให้รู้เลย คนทั้งหลายต่างก็ตั้งนมัสการไปบนอากาศ พูดกันต่อ ๆ ไปก็รู้แส้ไปทั้งเมือง พวกขุนนางจึงให้ชาวบ้านที่เสียส่วยน้ำมันทุก ๆ หลังคาเรือน จัดหาดอกไม้และผลไม้ต่าง ๆ ไปตั้งสักการะบูชาที่ศาลปลูกใหม่นั้น เป็นที่เคารพตอบแทนคุณท่านทั้งสี่ต่อมา
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามคน ฝ่าแดดแผดลมเดินมาได้ประมาณสักครึ่งเดือน ตามระยะทางก็มีความสุขไม่มีปีศาจยักษ์ร้ายรบกวน วันหนึ่งเดินไปแลเห็นภูเขาสูงขวางหน้า พระถังซัมจั๋งมีความครั้นคร้ามในจิต จึงเรียกสานุศิษย์สั่งว่าข้างหน้ามีภูเขาสูงคลุ้มมืดมัวจงระวังระไวให้ดีจะมีเหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า เดินเข้าในเขตนี้ใกล้พระพุทธเจ้าแล้ว ​เป็นอันขาดที่จะมีปีศาจร้ายนั้นเห็นจะเป็นไปไม่ได้ พระอาจารย์จงวางใจอย่าวิตกเลย พระถังซัมจั๋งพูดว่าหากจะใกล้เมืองพระพุทธเจ้าก็จริงอยู่ แต่เมื่อวันก่อนพระสงฆ์ในวัดบอกว่า ตั้งแต่วัดนั้นไปประมาณสองพันโยชน์ จึงถึงเมืองโซจ็อกไม่รู้ว่าใกล้ไกลสักเท่าใดจึงจะถึงเขาเล่งซัว เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์สารพัดการทุกอย่างก็อยากได้ความปรกติ แต่มาละเว้นพระคาถาของพระอาจารย์โอเซ้าที่ให้ไว้นั้นแล้วหรือ
   พระถังซัมจั๋งตอบว่าอันพระคาถาปัญญะซิมเกงนั้นอาตมาก็ภาวนาอยู่เนืองนิตย์ ทำไมจึงถามว่าลืมเสียแล้วหรือ เห้งเจียว่าพระอาจารย์ภาวนาอยู่เสมอก็จริง แต่หาได้เข้าใจความอธิบายในธรรมนั้นไม่ พระถังซัมจั๋งว่าเจ้าลิงเจ้าดูถูกว่าอาตมาไม่รู้อธิบายหรือ เจ้าอธิบายได้หรือ เห้งเจียว่าข้าพเจ้าอธิบายได้ พูดแล้วเห้งเจียก็ไม่ออกเสียงพูดอีก หัวเราะงอไปพักใหญ่ โป๊ยก่ายแลเห็นเห้งเจียมีกิริยาอย่างนั้นก็พูดว่า ดูหน้าตาพิลึกทำหน้าย่นเหมือนยังข้าพเจ้าอย่างเดียวกันกับปีศาจยักษ์แท้ ๆ ไม่ใช่พวกสัมมาทิฐิเลย ไม่ได้ยินว่าอธิบายธรรมที่ไหน ทำกิริยาเล่นสนุกดังนั้นจะมิผิดไปหรือ ทำไมจึงว่าเข้าใจอธิบายธรรมไม่ได้ยินเสียงแสดงเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าพี่เห้งเจียแกหลอกพระอาจารย์ที่เดินทางเท่านั้น แลเธอเข้าใจแต่เล่นเพลงตะบองเท่านั้น ที่ไหนจะเข้าใจอธิบายธรรมเล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่าหงอเหนง หงอเจ๋งอย่าพูดเลอะเทอะไป หงอคงเธอเข้าใจแสดงพระคาถาปัญญะซิมเกงจริงของเธอ ที่ไม่โต้ตอบแสดงวาจานั้นแล​คือแสดงธรรมแท้
   อาจารย์กับศิษย์มัวโต้ตอบกันอยู่ เดินพลางพูดพลางก็มาถึงหน้าเขาโขดเข้าสองสามเนิน แลไปที่ข้างทางเดินก็เห็นมีพระอารามใหญ่ ที่ประตูวัดมีอักษรใหญ่สี่อักษรเรียกว่าวัดเป๊ากิมเสียนยี่ แปลว่าวัดปูทองสมาธิ พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าแลเห็นชื่อวัดดังนั้นก็นิ่งนึกอยู่ในใจแล้วพูดว่า วัดเป๊ากิมเสียนยี่อารามนี้ คงจะอยู่ในเขตเมืองโซจ็อกราชคฤชเป็นแน่ โป๊ยก่ายได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่าวันนี้อรรศจรรย์จริง ๆ ตั้งแต่มาหลายปียังไม่เคยว่ารู้จักแห่งใด มาวันนี้ทำไมพระอาจารย์จึงรู้ว่าพระอารามนี้อยู่ในเขตเมืองราชคฤชเล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่าหาใช่เช่นนั้นไม่ เพราะอาตมภาพเคยดูในต้นพระคัมภีร์ธรรมใด ๆ ก็เห็นมีว่าพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ในเมืองราชคฤชพระอารามของเศรษฐีกิ๊มโกเชียงสร้างถวาย
   คำกล่าวว่ากิ๊มโกเชียงเศรษฐีคนนี้ไปขอซื้อที่สวนของดิโทไท้จื๊อราชโอรส สร้างพระอารามถวายพระพุทธเจ้าเป็นที่แสดงธรรม ดิโทไท้จื๊อราชโอรสตรัสว่าที่ของข้าพเจ้าไม่ขายให้แก่ผู้ใด หากจะขายต้องมีทองคำมาลาดปูเต็มเขตสวนของเรานี้เราจึงจะขายได้ เศรษฐีกิ๊มโกได้ฟังดิโทไท้จื๊อตรัสดังนั้น จึงกลับไปบ้านเอาช้างบรรทุกอิฐทองคำมาปูเต็มสวน ก็ซื้อได้ที่สวนของดิโทไท้จื๊อ จึงได้สร้างพระอารามใหญ่ถวายสมเด็จพระผู้มีพระภาคสำหรับเป็นที่พระองค์ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้นอาตมภาพจึงนึกว่าพระอารามนี้ เห็นจะเป็นวัดของกิ๊มโกเศรษฐีสร้างอยู่ใน​เขตเมืองอ๋องเชียเซี้ยคือเมืองราชคฤชมหานคร เป็นคำโบราณท่านกล่าวมาอย่างนี้ กิ๊มโกเศรษฐีนั้นคือพระอนาถบิณฑิก
   โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า หากว่าจริงดังคำโบราณกล่าวมาดังนั้น ข้าพเจ้าจะลงมือขุดเอาอิฐทองคำนั้นมาใช้พูดแล้วก็หัวเราะ พระถังซัมจั๋งลงจากม้าเดินเข้าไปถึงประตูชั้นสาม แลไปก็เห็นผู้คนชุลมุนมากมาย บ้างนั่งบ้างยืนบ้างนอนบ้างมีหาบและย่ามห่อบ้างมีเกวียนบ้างกำลังสนทนากันอยู่ก็มีดุจที่ท้องตลาด คนเหล่านั้นแลเห็นอาจารย์กับศิษย์ทั้งสามเดินเข้ามา มีรูปร่างหน้าตากิริยาแปลกกันคนเหล่านั้นตกใจหวาดหวั่นพากันหลบเลี่ยงแอบตัวเปิดทางให้เธอเดินเข้าไป พระถังซัมจั๋งเห็นคนทั้งหลายทำอาการกิริยาอย่างนั้น มีความวิตกเกรงจะเกิดความ จึงคอยร้องเตือนสติว่าระวังระงับให้ดี สานุศิษย์ทั้งสามก็สังวร ระวังกายใจค่อย ๆ เดินเข้าในประตูอีกชั้นหนึ่ง แลเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่ง เดินออกมามีกิริยาเรียบร้อย พระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวเคารพปราศรัยทักถาม พระสงฆ์องค์นั้นก็เคารพตอบแล้วถามว่าท่านอาจารย์มาจากไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพมาจากเมืองใต้ถังถือรับสั่งของพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ ให้ข้ามไปไซทีนมัสการพระพุทธเจ้าขออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เดินมาถึงตำบลนี้เป็นเวลาจวนค่ำจะขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งก็จะกราบลาไป
   พระสงฆ์องค์นั้นพูดว่าดีแล้วท่านมาจากเมืองใต้ถัง ย่อมเป็นพระสงฆ์อันเชี่ยวชาญจึงได้มาได้จนถึงสถานที่นี้ ขอนิมนต์ท่านอาจารย์เข้ามาเถิด ​อาตมาจะรับรองเอง แล้วจะหาสิ่งของถวายให้คุณฉันบ้างตามมี พระถังซัมจั๋งจึงเรียกสานุศิษย์ทั้งสามให้ตามเข้าไปยังกุฎิใหญ่ ครั้นถึงต่างกระทำกราบเคารพกันแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ พระสงฆ์ในอารามนั้นไม่ว่าเล็กและใหญ่ ได้ยินว่าพระถังซัมจั๋งอยู่ประเทศทิศบูรพา ต่างก็พากันมาดูและกระทำเคารพยกน้ำร้อนน้ำเย็นมาถวาย พระถังซัมจั๋งฉันแล้วก็ขอบคุณพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น พระสงฆ์ทั้งหลายจึงใต่ถามถึงเหตุการณ์ที่มาจากเมืองใต้ถัง พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมาขอถามซึ่งเหตุวัด เป่ากิมเสียนยี่เดิมมาเป็นประการใด
   พระสงฆ์ในวัดนั้นจึงบอกว่า เดิมวัดนี้ของกิ๊มโกเชียงเอียเศรษฐีสร้างถวายเป็นที่อยู่ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคองค์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พระองค์ทรงแสดงธรรม เพราะเอาทองคำลาดปูเต็มสวน จึงได้ตั้งนามวัดว่า เป่ากิมเสียนยี่ ตรงนี้ไปคือเมืองอ๋องเฉียเซี้ย กิ๊มโกเศรษฐีตั้งบ้านอยู่ในเมืองนั้น ที่ในวัดนี้ซึ่งพวกอาตมภาพอยู่นี้ เดิมเป็นที่สวนของกิ้มโกเศรษฐีซื้อถวาย ข้างหลังวัดเขตที่ทำเลสวนยังมีปรากฎอยู่ หากว่าฝนตกห่าใหญ่ เพชรนิลจินดาและทองคำก็ยังมีอยู่บ้าง เป็นของประหลาดเคยเก็บได้เนือง ๆ พระถังซัมจั๋งได้ฟังแล้วพูดว่า คำที่กล่าวมาแต่เดิมเป็นความจริงทั้งนั้น แล้วถามว่าอาตมภาพพึ่งเข้ามา เห็นที่หน้าวัดนั้นทำไมผู้คนมาจากไหน จึงได้มาประชุมกันทำอะไรมากมายนัก พระสงฆ์บอกว่าที่ตำบลนี้มีภูเขานามเรียกว่าแป๊ะคาซัว ตั้งแต่เดิมมาก็อยู่เป็นสุขโดยความ​ปรกติไม่มีภัยร้ายสิ่งใด ครั้นมาเมื่อปีก่อนเกิดมีตะขาบปีศาจหลายตัว มักกัดทำร้ายคนให้ถึงแก่ชีวิตอันตรายเจ็บป่วย เหลือที่จะพรรณาได้
   ที่ชายเขานั้นมีประตูช่องเรียกว่าประตูเกยเม่งกวน ครั้นเวลาไก่ที่นั้นขันขึ้นแล้วคนจึงจะเดินข้ามได้ เพราะฉะนั้นคนเดินทางเข้าไปเมืองค้าขายต้องมาอาศัยพักที่วัดนี้ รอเวลาจวนแจ้งให้ไก่ขันขึ้นก่อนจึงพากันไปได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังแล้วจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพวกอาตมาคอยเวลาไก่ขันแล้วก็จะลาไป เวลาเมื่อกำลังพูดกันอยู่นั้น ก็แลเห็นพระสงฆ์ในวัดยกน้ำร้อนน้ำตาลมาถวาย อาจารย์กับศิษย์ก็พากันฉัน เวลานั้นเป็นข้างขึ้นเดือนสว่างดุจกลางวัน พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียก็พากันเดินออกมาชมเดือนเล่นเย็น ๆ แลเห็นคนใช้ในวัดเดินมาบอกว่า ท่านเจ้าคณะใหญ่ออกมาแล้วจะใคร่มาพบกับท่านอาจารย์ พระถังซัมจั๋งก็หันหน้าแลไปเห็นพระสงฆ์ผู้เฒ่าองค์หนึ่งถือไม้เท้าเดินตรงมาแล้ว ลดกายลงทำเคารพตรงเข้ามาถามพระถังซัมจั๋งว่า ท่านหรือที่ว่ามาจากเมืองใต้ถัง พระถังซัมจั๋งก็ลดกายลงเคารพตอบปราสัยว่า อาตมภาพนี้แหละเป็นผู้ที่มาจากเมืองใต้ถัง ก็ท่านอาจารย์เล่ามีความสุขสบายอยู่หรือ และมีพรรษาอายุได้เท่าใดแล้ว
   พระสงฆ์เจ้าคณะบอกว่าอาตมภาพอายุมากกว่าท่านคะเนราวรอบหนึ่ง เห้งเจียหัวเราะว่าถ้ากระนั้นก็เป็นร้อยหนึ่งกับห้าปี แล้วเห้งเจียถามว่าเจ้าคุณดูข้าพเจ้าคะเนว่าอายุสักเท่าใด เจ้าคณะตอบว่ารูปกายของท่านเป็นกายสิทธิ์สดใส จักษุสองข้าง​มีแสงสว่างใส อาตมภาพไม่สามารถจะคาดถูกว่าอายุได้สักเท่าใด พูดโต้ตอบกันไปมาพักหนึ่ง พระถังซัมจั๋งถามว่าที่ว่าทำเลเขตสวนของท่านกิ๊มโกเศรษฐีนั้นอยู่ที่ไหน เจ้าคณะบอกว่าอยู่ข้างหลังนี้ไป จึงสั่งให้พระลูกวัดเปิดประตูหลังวัดแล้ว ก็พากันเดินออกไปเที่ยวดูเห็นมีลานดินว่างเปล่าอยู่แห่งหนึ่ง และมีหินอิฐแตก ๆ ยังกองเป็นตีนกำแพงอยู่ พระถังซัมจั๋งแลเห็นดังนั้น ก็ประนมมือคร่ำครวญว่า คิดถึงท่านมรรคนายกสุทัตโตใจบุญเอาเงินทองสิ่งของออกบริจาคให้ทานแก่ผู้กระยาจก ชื่อเสียงปรากฎตั้งหมื่นปีก็ยังอยู่ ไม่ทราบว่าท่านเศรษฐีจะไปเสวยสุขอยู่แห้งใด
   พูดแล้วก็พากันค่อย ๆ เดินเที่ยวชมเล่น แลได้เห็นที่แห่งหนึ่งมีแท่น ก็พากันขึ้นนั่งพัก ได้ยินเสียงคนคร่ำครวญร้องไห้ พระถังซัมจั๋งนั่งนึกตรึกตรองว่าจะเป็นเสียงอะไร ก็ได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญถึงบิดามารดา พระถังซัมจั๋งหันไปถามพระสงฆ์ทั้งหลายว่า คือใครที่ไหนเสียงร้องไห้เป็นที่โทมนัสอยู่ฉะนั้น เจ้าคณะผู้เฒ่าได้ฟังพระถังซัมจั๋งถามดังนั้นก็อุบายให้พระสงฆ์ทั้งหลาย ไปต้มน้ำร้อนเสียประเดี๋ยวเราจะกลับไปฉัน ครั้นพระสงฆ์เหล่านั้นกลับไปหมดแล้ว จึงย่อตัวลงคำนับพระถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย พระถังซัมจั๋งก็ลุกมาประคองท่านผู้เฒ่าให้ลุกขึ้น ถามว่าท่านผู้เฒ่าทำไมจึงกระทำความเคารพดังนี้เล่า 
   เจ้าคณะผู้เฒ่าพูดว่ากระผมอายุก็กว่าร้อยแล้ว ก็เข้าใจในการโลกบ้างเล็กน้อย ทุกเวลาเข้าที่ก็คงรู้แจ้งบ้างเล็กน้อย ถึงท่านอาจารย์​กับสานุศิษย์ทั้งสาม เมื่อพิเคราะห์ดูสักสองสามครั้งก็ทราบได้ว่าผิดแก่ชนทั้งปวง ที่กระผมกล่าวมานี้คือความโทมนัสร้องไห้นั้น นอกจากท่านทั้งสี่ก็จะพิจารณาไม่ออก เห้งเจียว่าท่านผู้เฒ่าโปรดแสดงให้ข้าพเจ้าเข้าใจด้วย คือการนั้นเป็นประการใด เจ้าคณะผู้เฒ่าบอกว่า เมื่อปีที่แล้วมาตรงกับวันนี้ เวลานั้นอาตมภาพกำลังเข้าที่ระงับอยู่ ได้ยินเสียงม้วนลมพัดมาอู้ใหญ่แล้วก็หยุด แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ อาตมภาพก็ลงจากเตียงเดินมาที่ตรงนี้ แลไปก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างงดงาม นั่งร้องไห้อยู่บนแท่นนี้
   อาตมภาพจึงถามว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เหตุใดจึงมานั่งที่นี่ทำไม หญิงนั้นบอกว่าเขาเป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าแผ่นดินโซจ็อก ออกมาชมสวนดอกไม้เวลาเดือนหงายแจ่ม ก็บังเกิดลมพัดใหญ่พัดหอบเอามาตกลงตรงนี้ อาตมภาพจึงเอาตัวไปใส่ห้องขังไว้ ปิดประตูแน่นมิให้ใครรู้เห็น เจาะช่องเฉพาะส่งข้าวน้ำพอประทังชีวิตไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น อาตมภาพแกล้งบอกเล่าแก่พระสงฆ์ทั้งหลายว่า อาตมภาพจับปิศาจขังไว้ในนั้น ต้องให้ข้าวน้ำกินวันละสองเวลาพอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้น แต่หญิงฉลาดเฉลียวรู้อัธยาสัย อาตมภาพวิตกเกรงจะมีพระสงฆ์ในวัดทราบเหตุ จะเกิดความกำหนัดหักโหมเอาโดยกำลัง นางจึงแกล้งทำรุงรังหมักหมมมัวหมอง
   กลางวันก็แกล้งพูดเพ้อเจ้อคร่ำครวญคลั่งใคล้ไม่เป็นปรกติ เวลากลางคืนก็ร้องไห้คิดถึงพระราชบิดา และพระชนนีมาได้หนึ่งปีแล้วอาตมภาพ​เข้าไปในเมืองสืบถามหลายครั้งแล้ว พระราชบุตรีก็ยังมีปรกติอยู่ไม่ได้สูญหายไปข้างไหนเป็นการประหลาดอยู่ อาตมภาพจึงขังนางคนนี้ไว้มิให้ออก ก็บัดนี้ท่านจะเข้าไปในเมืองก็ดีแล้ว โปรดได้เอาเป็นธุระให้รู้แน่จะเป็นประการใด เพื่อให้ได้ความจริงด้วยเถิด จะได้ช่วยคนชอบธรรมออกให้พ้นทุกข์ ทั้งประชาชนคนทั้งหลายจะได้ทราบในเดชานุภาพฤทธิ์เดชแห่งท่านด้วย พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ดำริรำพึงอยู่ในใจ เมื่อกำลังพูดกันอยู่นั้นก็พอพระสงฆ์นำเอาน้ำชามาให้ฉัน เจ้าคณะก็ลากลับไปยังที่ พระถังซัมจั๋งเห้งเจียก็ต่างคนเข้าพักนอน
   ในคืนนั้นนอนก็ไม่สู้นานนักได้ยินเสียงไก่ขัน พวกพ่อค้าที่พักอยู่หน้าวัดก็พากันตื่น บ้างหุงข้าวต้มแกงเสียงอึกทึก พระถังซัมจั๋งตกใจตื่นร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งลุกขึ้นจัดข้าวของแล้วผูกม้าไว้คอยท่า พระสงฆ์ในวัดก็จัดต้มน้ำร้อนน้ำชามานิมนต์ไปฉัน พระถังซัมจั๋งฉันแล้วก็จะลาออกเดิน
   ฝ่ายพระสงฆ์ผู้เฒ่าเจ้าคณะก็กำชับสั่งเห้งเจีย เรื่องนั้นขอท่านได้ใส่ใจไว้ด้วยเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าจะรับธุระเองพูดจาสั่งเสียกันเสร็จแล้ว ก็ได้ยินเสียงพวกพ่อค้าเกรียวกราวเอะอะพากันออกเดิน พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ก็พร้อมด้วย ด้วยพวกพ่อค้าออกเดิน เวลานั้นจวนจะรุ่งแจ้งก็เข้าทางใหญ่เดินไป พอเวลาน้องเพลก็เข้าถึงเมือง พิเคราะห์ดูป้อมกำแพงถนนหนทางเรียบร้อยดุจดังเทพดามานิฤมิต จึงเดินเข้าในประตูเมืองทางทิศตะวันออก พ่อค้าทั้งหลายต่างก็แยกกันไปหาที่ค้าขายตามเคย
   ​ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์พากันเดินตรงเข้าเมือง เดินมาก็เห็นที่หอรับแขกเมือง จึงพากันเข้าไปที่หอรับแขกเมือง เจ้าพนักงานที่หอเห็นพระถังซัมจั๋งเดินเข้ามา ก็เข้าไปบอกแก่ขุนนางเจ้าพนักงานผู้รับแขกเมืองว่า บัดนี้มีแขกเมืองมาสี่คนรูปร่างแปลกประหลาดมีม้ามาด้วยม้าหนึ่ง ขุนนางเจ้าพนักงานได้ฟังก็นึกว่ามีม้ามาคงจะเป็นการรับสั่ง ก็รีบออกมารับเชิญเข้าไปข้างใน พระถังซัมจั๋งย่อตัวปราศรัยว่า อาตมภาพเป็นคนชาวเมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้ไปเมืองไซที ยังพระอารามใหญ่วัดลุ่ยอิมยี่ เพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้อาตมภาพมาถึงเมืองนี้ มีหนังสือเดินทางติดมาด้วย อยากจะใคร่เข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางต่อไป และขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง เมื่อเสร็จธุระแล้วจะขอลาไป
   ขุนนางเจ้าพนักงานรับแขกเมืองได้ฟังดังนั้นก็คำนับตอบว่า นิมนต์ผู้เป็นเจ้าอาศัยพักเถิด พระถังซัมจั๋งมีความยินดีจึงให้สานุศิษย์พากันเข้ามาคำนับ พวกขุนนางเห็นคนทั้งสามรูปร่างน่าเกลียดก็ให้นึกครั่นคร้ามในใจ ไม่รู้ว่าคนหรือปีศาจยักษ์ พระถังซัมจั๋งเข้านั่งบนเก้าอี้แล้ว ขุนนางก็ให้คนนำน้ำชามาถวาย พระถังซัมจั๋งรับประเคนแล้ว จึงพูดแก่ขุนนางรับแขกว่า ท่านอย่าได้มีความครั่นคร้ามเลย คนทั้งสามนั้นรูปร่างไม่ดีก็จริง แต่จิตใจนั้นบริสุทธิ์ใสสะอาดดี คำโบราญย่อมว่ารูปชั่วใจดีท่านอย่ามีความวิตก พวกขุนนางได้ฟังพระถังซัมจั๋งชี้แจงดังนั้นก็ค่อยคลายวิตก จึงถามว่าพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังนั้นอยู่ที่ไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าเมืองนั้นอยู่ในชมพูทวีปข้างทิศตะวันออก ถามว่าท่านอาจารย์มาจากเมืองเมื่อเวลา​ใด พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพเมื่อออกจากเมืองพระเจ้าเจงกวนไท้จงฮ่องเต้เสวยราชได้สิบสามปี คิดดูตั้งแต่มาจากเมืองจนบัดนี้ได้สิบสี่ปีแล้ว ทางที่เดินมานั้นข้ามเขาข้ามห้วยทรมานทรกรรมลำบากไม่คณนานับได้จึงได้มาถึงนี่
   พวกขุนนางได้ฟังก็นึกครั่นคร้าม ยกมือขึ้นเคารพสรรเสริญว่า ท่านอาจารย์เป็นสงฆ์อย่างวิเศษประเสริฐแท้ พระถังซัมจั๋งถามว่า เมืองนี้ตั้งขึ้นแต่เมื่อครั้งใด พอขุนนางตอบว่าเมืองนี้คือโซจ็อกเป็นเมืองใหญ่ ตั้งแต่แผ่นดินต้นวงศ์มาต่อ ๆ กันลงมาถึงบัดนี้ ได้ห้าร้อยกว่าปีแล้ว พระองค์ในปัจจุบันบัดนี้ โปรดเล่นต้นผลไม้หญ้าบอนต่าง ๆ ขนานนามเรียกว่าจี้จงฮ่องเต้ เสวยราชสมบัติมาได้ยี่สิบแปดปีแล้ว
รูปภาพ ; เจ้าเมืองเทียนเต็กก๊กพระองค์นี้ มีพระราชบุตรีพระองค์หนึ่งพระเจ้าแผ่นดินพาไปชมสวน นางปีศาจกระต่ายบันดาลเป็นลมหอบเอาไปทิ้งที่ในวัดเป๊ากิมเสียนยี่ จนเมื่อพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามมาถึงเมืองเทียนเต๊กก๊ก เห้งเจียได้รู้เหตุจึงได้ปราบปรามนางปีศาจกระต่ายแล้วจึงนำพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต็กก๊กไปรับพระราชบุตรีกลับคืนมา
 พระถังซัมจั๋งถามว่า วันนี้อาตมภาพอยากจะเข้าไปเฝ้า ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ไม่ทราบว่าจะได้เฝ้าหรือไม่ พวกขุนนางรับแขกพูดว่าดีแล้ว เจ้าของข้าพเจ้ามิพระราชบุตรีพระองค์หนึ่งมีพระชนมมายุได้ยี่สิบปีกำลังรุ่น วันนี้ออกมาที่ต้นถนนใหญ่อยู่บนหอสูงจะเสี่ยงทายขว้างลูกตะกร้อแพรหาคู่ เวลานี้กำลังเอิกเกริกวุ่นวาย ข้าพเจ้าคะเนดูเห็นจะยังไม่เสด็จเข้าข้างใน แม้ท่านอาจารย์จะใคร่เปลี่ยนหนังสือเดินทาง ถ้าเข้าไปเฝ้าเวลานี้เห็นจะดี พระถังซัมจั๋งก็คิคจะใคร่เข้าไปเฝ้าในเวลานั้น ก็พอเห็นเจ้าพนักงานยกข้าวมาเลี้ยง พระถังซัมจั๋งก็เข้าฉันแล้ว เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็กินอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ก็พอเวลาเที่ยงเห้งเจียจึงพูดว่า ข้าพเจ้าจะต้องเข้าไปกับพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งจัดแจงจีวรแล้ว เห้งเจียก็สะพายถุงย่ามพร้อมกับอาจารย์เดินออกจากหอรับแขกเมืองไปยังต้นถนนใหญ่ แลเห็นผู้คนเดินออก​แออัดเบียดกันมากมาย
   เศรษฐีพ่อค้าพลเรือนไพร่บ้านพลเมืองหนุ่มแก่เดินพูดกันว่าจะดูเสี่ยงทายทิ้งตะกร้อหาคู่ พระถังซัมจั๋งอยู่ข้างทางพูดกับเห้งเจียว่า คนชาวเมืองนี้แต่งตัวนุ่งห่มเสื้อผ้าทั้งเจรจาและของใช้ก็ไม่แปลกแก่เมืองใต้ถัง อาตมาคิดถึงเมื่อโยมผู้หญิงของอาตมภาพ ก็ขว้างตะกร้อเสี่ยงทายอย่างนี้เหมือนกัน เมืองนี้ก็ทำเหมือนกันกับเมืองใต้ถัง เห้งเจียพูดว่าเราพากันไปดูเขาจะทำกันอย่างไร พระถังซัมจั๋งว่าเราเป็นผู้แปลกเพศมาเข้าไปดูคนทั้งหลายจะติเตียนได้ เห้งเจียว่าอาจารย์ลืมเสียแล้วหรือ ท่านเจ้าคณะวัดโป๊กิมยี่สั่งไว้นั้น ข้อหนึ่งเราจะไปดูเครื่องประดับที่ตัวนั้น ข้อสองเราจะพิเคราะห์ดูพระราชบุตรีกงจู๊นั้นว่าจะเท็จหรือจริง พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงก็ยอมไป
 จะกล่าวเหตุถึงพระเจ้าแผ่นดินโซจ็อก เพราะพระทัยบันเทิงปราโมทย์ไปด้วยความเล่นดอกไม้ต่าง ๆ ครั้นเมื่อก่อนพาพระราชบุตรีกับสนมนางในไปชมดอกไม้ที่สวนเป็นเวลาเดือนหงายสว่าง จึงได้ถูกปีศาจร้ายลักเอาพระราชบุตรีไปทิ้งเสียแล้ว มันกลับมาแปลงตัวเป็นพระราชบุตรีเข้ามาอยู่ในพระราชวัง ปีศาจมันสามารถล่วงรู้ได้ว่าปีนี้เดือนนี้วันนี้พระถังซัมจั๋งจะมาถึงเมืองนี้ จึงได้เสแสร้งแกล้งเอาการเสี่ยงทายตะกร้อจะหาคู่ เพราะมันจะคิดจับเอาตัวพระถังซัมจั๋ง เพื่อประสงค์ส่วนสัมภาวะของพระถังซัมจั๋งทำยากำลังให้สำเร็จภาค จึงบังเอิญเวลานั้นบ่ายหนึ่งโมง พระถังซัมจั๋งเห้งเจียพากันแทรกปนผู้คนเข้าไปใกล้หอพิจารณาดู
   ฝ่ายนางปีศาจที่แปลงเป็นพระราชธิดาอยู่บนกำแพงสูง กำลังตั้งพิธีจุดธูปเทียนบวงสรวงเทพยดา สนมนางสาวใช้แวดล้อมเฝ้ารักษา​อยู่สองข้างหกเจ็ดสิบคน มีนางสาวใช้ที่สนิทก็ถือตะกร้ออยู่ใกล้ ๆ ประตูหน้าต่างล้วนบังด้วยกระจก นางปีศาจครั้นบวงสรวงแล้ว ก็เหลือบแลดูทั้งสี่ด้านประตูหอ ก็พอแลเห็นพระถังซัมจั๋งมาถึงเข้า นางปีศาจก็หยิบลูกตะกร้อมาจากนางสาวใช้ หมายตรงพระถังซัมจั๋งแล้วก็ขว้างไป บังเอิญถูกศรีษะพระถังซัมจั๋ง ๆ ก็สะดุ้งตกใจเอามือขึ้นรับลูกตะกร้อ ๆ ก็ไถลกลิ้งเข้าในมือเสื้อของพระถังซัมจั๋ง ฝ่ายพวกขันธีกับสาวใช้อยู่บนหอสูงแลเห็นดังนั้น ก็พากันร้องขึ้นพร้อมกันด้วยเสียงอันดังว่า ถูกพระสงฆ์เข้าแล้ว ๆ ร้องดังนั้นแล้ว ก็พากันเดินมาหาพระถังซัมจั๋งคุกเข่าลงพร้อมกันคำนับแล้วจึงพูดว่า ขอเชิญท่านเขยเข้าไปในพระราชวังหลวงจะได้ทำการอภิเษกชื่นชมยินดี
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อได้เห็นสาวใช้มาทำคำนับและเชิญดังนั้น ก็ย่อตัวลงคำนับตอบแล้วพยุงขันธีเหล่านั้นให้ลุกขึ้น ให้คิดแค้นเห้งเจียเป็นที่สุด จึงหันหน้ามาด่าเห้งเจียว่าอ้ายชาติลิง เจ้าหลอกให้เรามาทำเล่นดังนี้ดอกหรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ทำไมจึงมาปรับโทษข้าพเจ้าเล่า ตะกร้อก็ถูกศรีษะของอาจารย์แล้วเข้าในมือเสื้อของท่าน จะเอาผิดชอบแก่ข้าพเจ้าอย่างไร พระถังซัมจั๋งจึงว่า ก็เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นดังนี้ แล้วเจ้าจะคิดอ่านประการใด เห้งเจียจึงตอบว่า ขอท่านอาจารย์จงวางใจเสียเถิดอย่าได้มีความวิตกเลย พระอาจารย์จงตามพวกขันธีเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะกลับไปบอกข่าวแก่โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งให้ทราบความก่อน ถ้าหากอาจารย์เข้าไปเฝ้านางกงจู๊ไม่เอาอาจารย์เป็นสามีก็ดีแล้ว เราจะได้ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางไป แม้ว่านาง​กงจู๊จะใคร่ได้อาจารย์เป็นสามี อาจารย์ก็จงทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินว่า ได้โปรดให้สานุศิษย์เข้ามาหาจะได้สั่งเสียสักสองสามคำก่อน
   เมื่อข้าพเจ้าพี่น้องเข้าไปถึงแล้วจะได้พิเคราะห์ดูเท็จและจริงสถานใด แล้วจะได้คิดอุบายอาศัยเหตุการณ์วิวาห์ ล่อลวงให้ตายใจจึงจะแยบคาย พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย เห้งเจียจึงคำนับลาพระอาจารย์กลับไปยังที่หอรับแขก ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับพวกขันธี ก็พากันห้อมล้อมพาเอาตัวไปยังหน้าหอ นางกงจู๊ก็ลงมาจากหอตรงเข้ายึดมือพระถังซัมจั๋งพาขึ้นนั่งบนรถ พวกขันธีและสาวใช้ก็เรียงรายเป็นกระบวนแห่กลับเข้าพระราชวังใน ฝ่ายขุนนางกรมวังก็เข้าไปทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินว่า บัดนี้นางกงจู๊พระราชบุตรีออกไปทำการเสี่ยงทายหาคู่ครอง เฉพาะถูกพระสงฆ์องค์หนึ่ง บัดนี้ยังคอยรับสั่งอยู่ที่พระทวาร
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินครั้นได้ทรงทราบดังนั้นพระทัยให้ขุ่นหมอง แต่ยังไม่ทรงทราบว่าพระราชบุตรีจะคิดประการใด จึงรับสั่งให้นำเข้ามาเฝ้า   ฝ่ายนางกงจู๊กับพระถังซัมจั๋ง ก็พากันเข้ามายังหน้าพระที่นั่งกระทำคำนับ พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขึ้นมาข้างบนให้ใกล้พระองค์ ๆ จึงมีรับสั่งถามว่า ท่านพระสงฆ์องค์นี้ท่านมาจากประเทศใด จึงได้ประสบพบกับนางกงจู๊ดังนี้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสถามดังนั้น จึงย่อตัวถวายพระพรว่า อาตมภาพอยู่ประเทศทิศบูรพา ณ เมืองใต้ถัง พระเจ้าแผ่นดินใต้ถังมีรับสั่งให้อาตมภาพไปยังไซที เพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เพราะทางผ่านมายังเมืองของมหาบพิตรอาตภาพ​จะขอเข้ามาเปลี่ยนหนังสือเดินทาง บังเอิญนางกงจู๊เสี่ยงทายขว้างตะกร้อมาถูกอาตมภาพ ๆ ก็เป็นผู้ต่างประเทศ รักษาพรตพรหมจรรย์เป็นประสงค์ หาควรคู่เคียงแก่พระราชบุตรีของพระองค์ไม่ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดซึ่งโทษผิดของอาตมภาพ ขอเปลี่ยนหนังสือทรงพระอนุญาตปล่อยให้อาตมภาพไปยังไซที เพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม กลับไปยังบ้านเมืองของอาตมภาพ ๆ จะทำการเคารพคุณของมหาบพิตรหาที่เปรียบมิได้
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านเป็นพระสงฆ์มาจากประเทศไกลตั้งพันโยชน์ได้มาถึงนี่ก็เป็นนิสัยอันใหญ่ยิ่ง บุตรีของข้าพเจ้าอายุได้ยี่สิบปียังหามีสามีไม่ เพราะฉะนั้นจึงได้หาฤกษ์งามยามดีออกไปยังหอ กระทำการบวงสรวงเทพยดาฟ้าและดินเสี่ยงทายหาคู่ครองขว้างตะกร้อไปถูกตัวท่าน แต่ยังไม่ทราบว่านางจะคิดประการใดแน่
รูปภาพ ; เง๊กโถ่วนี้กำเนิดเดิมเป็นสัตว์กระต่ายเมื่อเวลาพระถังซัมจั๋งกับพวกสานุศิษย์ทั้ง ๓ มาถึงเมืองเทียนเต๊กก๊ก จะไคร่ทำร้ายพระถังซัมจั๋งรบแก่เห้งเจีย สู้ฝีมือเห้งเจียไม่ได้จึงหนีไป เห้งเจียก็ติดตามไปจับตัวมาจนได้
   ฝ่ายนางกงจู๊ยืนอยู่ในที่นั้น ได้ฟังพระราชบิดาตรัสดังนั้นจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรด แรกลูกก็ได้เสี่ยงทายตะกร้อแพรเป็นสัญญา บัดนี้มาถูกพระสงฆ์ก็ต้องเป็นไปตามการตามสัญญาที่เสี่ยงทาย ตามดีและชั่วลูกไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็มีพระทัยยินดีโสมนัส สา จึงรับสั่งให้ขุนนางฝ่ายโหรหาวันดีเพื่อจะได้กระทำการอภิเษก แล้วรับสั่งฝ่ายในให้จัดเครื่องขันหมากและออกหมายประกาศให้ทราบทั่วกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มิได้คำนับคุณ ทูลขอแต่ให้ปล่อยไปเท่านั้น พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งว่าพระสงฆ์ผู้นี้ชั่งไม่รู้จักอะไรเลย เราจะให้ราชสมบัติแก่ท่านและให้ท่าน​เป็นลูกเขย เหตุใดจึงได้ขัดขืนดังนี้ แม้ขัดขืนต่อไปจะให้พวกเพชรฆาตเอาตัวไปประหารชีวิตเสีย
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกประหม่ามีใจสะดุ้งหวาดหวั่นครั่นคร้ามจึงทูลว่า แล้วแต่พระองค์จะเห็นควรเถิด อาตมภาพไม่อาจขัดขืนแล้ว แต่ขอพระองค์ได้โปรดให้สานุศิษย์ทั้งสามเข้ามานี่ อาตมภาพจะได้สั่งเสียสักสองสามคำ แล้วขอเปลี่ยนหนังสือให้เธอทั้งสามรีบไปเสียจะได้ไม่เป็นกังวลแลกระทำให้เสียเวลาได้ พระเจ้าแผ่นดินจึงถามว่า สานุศิษย์ของท่านทั้งสามคนนั้นบัดนี้อยู่ที่ไหน พระถังซัมจั๋งทูลว่าอยู่ที่หอรับแขกเมือง พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางออกไปนำเข้ามารับหนังสือเดินทางไปก่อน ให้ท่านเขยอยู่นี่จะได้จัดการอภิเษก พระถังซัมจั๋งต้องยืนเฝ้าอยู่ที่นั่น
• • • • • • • • • • • • • • • • • •
จบเล่ม ๓ ไซอิ๋ว
เล่ม ๔ ยังพิมพ์ต่อไป - หน้าต้น ไซอิ๋ว เล่ม ๔

คำนำ (เล่ม ๔)
      ในไซอิ๋วเล่ม ๔ นี้ ผู้แต่งก็ไม่ทราบว่าจะยังมีเนื้อความอยู่
มากน้อยเท่าใด จึงกระทำให้เป็นเล่มเล็กไปดังนี้ เพราะเข้าใจว่ายังจะมีเนื้อความอยู่มาก จึงได้กะประมาณว่า เล่มหนึ่งเป็น ๖๐ ยก ก็พอรูปสมุดเหมาะดี ครั้นผู้แปลส่งร่างแปลมาให้น้อยนักก็หมดเรื่อง จะผ่อนให้เล่มโตเสมอกันทั้ง ๔ เล่มก็ไม่ได้เสียแล้ว จึงจะเป็นต้องทำเล่ม ๔ เล็กเท่านี้
      แต่จะอย่างไรก็ดี ควรท่านที่ซื้อเล่ม ๑-๒-๓ ไปอ่านแล้ว
ควรต้องซื้อเล่ม ๔ ไปอ่านต่อไปอีก เพื่อได้ทราบความตลอดจนจบสิ้นเรื่อง โดยเหตุว่าเมื่อขาไปไซทีดูลำบากยากเย็นเหลือเกิน ครั้นเวลาขากลับดูเป็นการรวดเร็วโดยกำลังอานิสงส์ของพระธรรม ซึ่งเป็นของจริงชอบแท้ แต่กระนั้นก็ยังแสดงให้เห็นว่าผลกรรม อันชั่วร้ายย่อมติดตามบันดาลให้ผลปรากฎเช่นเมื่อขากลับเหาะมาบนอากาศ ก็ยังให้ตกลงมารับความยากต้องข้ามน้ำโดยการอาไศรยเต่าใหญ่ ครั้นเต่าถามถึงธุระของเต่าที่สั่งพระถังซัมจั๋งไปว่าให้ถามพระพุทธเจ้าดูสักเมื่อไรเต่าจึงจะพ้นทุกข์สิ้นเวรกรรมได้ พระถังซัมจั๋งเอาไปลืมเสียมิได้ทูลถามพระพุทธเจ้า เมื่อเต่าถามก็ไม่มีอะไรจะตอบนิ่งอั้นอยู่ เต่าโกรธจึงได้จมน้ำลงไปเสีย จนพระคัมภีร์เปียกแทบจะเสียการที่ทำมาเป็นอันมากแล้ว และมามีเหตุขึ้นดังนั้น ก็เพื่อจะแสดงโทษให้เห็นว่ายังไม่สิ้นโทษของพระถังซัมจั๋งก่อนต้องเป็นเก้าๆ แปดสิบเอ็ดครั้ง จึงจะหมดโทษที่ทำผิดไว้
      ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านผู้แต่งเดิมก็มีความเชื่อผลเชื่อกรรม
มั่นคง เหมือนกัน แต่ขออย่าให้ท่านในทุกวันนี้ เห็นวิปลาสผิดแผกไปแก่คนโบราณเลย เนื้อเรื่องก็เพียงฟังเล่นเท่านั้น แต่ใจความแลข้อสำคัญควรจะไส่ใจให้มาก เพราะความจริงใครทำบาป ทำกรรมทำชั่วลงไว้แล้ว จำจะต้องรับผลของบุญและบาปเช่นแก่พระถังซัมจั๋งตั้งแต่ลงสู่ครรภ์มาก็ได้รับความยากตลอดมา เพราะเป็นอคารวะตาประมาทธรรมนิดหนึ่งเท่านั้น ยังเป็นได้มากมายถึงเพียงนี้ จึงไม่ควรเราท่านทั้งหลายอย่ามีความประมาทเลย
• • • • • • • • •
ฝ่ายเห้งเจียเมื่อมาจากพระอาจารย์ เดินพลางหัวเราะพลางมีกิริยาชื่นบานเข้ามายังหอรับแขก ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นเห้งเจียกลับมาก็พากันออกมาต้อนรับ จึงถามว่าพี่เห้งเจียกลับมาทำไมไม่เห็นอาจารย์มาด้วยเล่า พี่ชอบใจอะไรหรือจึงได้หัวเราะร่าเริงมาดังนี้ เห้งเจียตอบว่าอาจารย์ท่านมีความสำราญของท่านแล้ว โป๊ยก่ายถามว่าท่านสำราญอย่างไร เห้งเจียว่าพี่กับอาจารย์เดินเข้าไปในพระราชวัง พอถึงที่หอสูงบังเอิญนางกงจู๊ออกมาอยู่บนหอนั้น ทิ้งตะกร้อแพรเสี่ยงทายหาคู่บังเอิญถูกอาจารย์เข้า พระอาจารย์ก็ถูกพวกขันธีกับสาวใช้แห่เอาไปไว้ในพระราชวัง จะอภิเษกให้เป็นราชบุตเขย อย่างนั้นจะไม่สำราญอย่างไรเล่า โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็กระทืบเท้าทุบอกพูดว่า น่าเสียดายจริง ๆ หากว่าเราไปด้วย นางกงจู๊ขว้างตะกร้อมาทางนั้นถูกเรา นางก็จะเอาเราไว้เป็นสามีจะมิงามหน้าหรือ แลจะมีความสุขสำราญไม่น้อย อย่างนี้จะหาที่ไหนได้
   ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นก็ตรงเข้าหยิกเอาแก้มโป๊ยก่ายแล้วพูดว่า ชั่งไม่อายแก้ใจเลยพูดออกมาได้ฉะนี้ มีหน้าอวดอ้างพูดจาว่าอยากจะได้ผู้หญิงที่รูปงาม หาความพูดโยกโย้ให้เนิ่นช้าไม่เข้าการ โป๊ยก่ายจึงด่าซัวเจ๋งว่าอ้ายหน้าสีหมอกไม่รู้จักของดี เห้งเจียจึงด่าโป๊ยก่าย​ว่าอ้ายหมูมึงอย่าพูดมาก จงรีบเก็บข้าวของรวบรวมไว้ถ้าอาจารย์จะเรียกให้เข้าไปในวัง จะได้ป้องกันรักษาอาจารย์ โป๊ยก่ายว่าพี่พูดดังนั้นจะมิผิดไปหรือ พระอาจารย์นั้นเธอได้เป็นพระราชบุตเขยของพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เป็นที่สุขสำราญมิใช่หรือ มิใช่ทางป่าทางเขามีภูตผีปีศาจยักษ์ร้ายอะไรที่ไหน จึงจะต้องพิทักษ์รักษาเธอทำไม
   กำลังโป๊ยก่ายพูดอยู่นั้น ขุนนางรับแขกหน้าหอเข้ามาบอกว่า มีรับสั่งให้ขุนนางมาเชิญท่านทั้งสามเข้าไปในพระราชวัง โป๊ยก่ายจึงถามว่าท่านทราบหรือไม่ว่ามีรับสั่งให้พวกข้าพเจ้าเข้าไปทำไม ขุนนางรับแขกแจ้งความว่า บัดนี้นางกงจู๊ออกไปเสี่ยงทายหาคู่ บังเอิญทิ้งตะกร้อไปถูกท่านอาจารย์ เพราะนางจะใคร่ได้พระอาจารย์เป็นสามี เพราะฉะนั้นเจ้าแผ่นดินจึงมีรับสั่งให้หาตัวท่านทั้งสามเข้าไปเฝ้า เห้งเจียบอกว่าให้เธอเข้ามาเถิด ขุนนางผู้ถือรับสั่งจึงเข้ามาข้างใน แลเห็นเห้งเจียก็ลดตัวลงคำนับไม่กล้าแลดูหน้าเห้งเจีย ก้มหน้าบ่นพึมพำว่านี่มีปีศาจยักษ์มารอะไรก็ไม่รู้ เห้งเจียร้องถามว่าท่านผู้นั้นมีกิจธุระประการใดทำไมจึงไม่พูดเล่า มานั่งบ่นพึมพำว่ากระไร ขุนนางผู้นั้นอกใจให้ตึกตักเต้นระรัว สองมือถือลายพระหัตถ์ปากพูดวุ่นวายเลอะเทอะว่า นางกงจู๊ขอเชิญท่านไปประชุม โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าไม่มีหลักคา และไม่มีอำนาจอาญาจะเฆี่ยนตีท่าน ๆ ไม่ต้องกลัวจงค่อย ๆ พูดเถิด 
   เห้งเจียพูดว่าเขาจะกลัวเฆี่ยนตีอะไร เขากลัวหน้าตาเจ้าดุร้ายต่างหาก เจ้าอย่าชักช้าจงรีบรวบรวมข้าวของจูงม้าเข้าไปหาอาจารย์ จะได้คิดอ่านกันต่อไป เห้งเจีย​โป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสามคนพร้อมกัน มากับขุนนางที่มาตามเข้าไปยังพระราชวังใน
(บทที่ ๙๔)
ครั้นถึงพระทวารเจ้าพนักงานก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ก็โปรดให้พาคนทั้งสามเข้าไปเฝ้า เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสามเข้าไปยืนเรียงกันอยู่ทั้งสามหาได้คำนับไม่ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามว่า สานุศิษย์ของท่านเขยทั้งสามนี้ ชื่อเรียงเสียงใดอยู่แห่งหนตำบลไหน เหตุใดจึงได้เข้ามาถือบวชจะไปข้างไหน เห้งเจียได้ฟังถามดังนั้น จะใคร่ขึ้นไปให้ใกล้ แต่ขุนนางรักษาองค์ทั้งนั้นร้องห้ามว่าไม่ควรจะขึ้นไป จะเพ็ดทูลประการใดก็จงอยู่แต่ข้างล่างเถิด เห้งเจียหัวเราะจึงพูดว่าถือบวชควรได้ก้าวหนึ่งก็ไปก้าวหนึ่ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พากันเดินตามเห้งเจียเข้าไปยืนเรียงกันอยู่ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นวิตกเกรงจะวุ่นวายกันขึ้น จึงเดินมาร้องห้ามสานุศิษย์ทั้งสามว่า จะพูดจาประการใดก็จงอยู่ข้างล่างเถิด เห้งเจียเห็นอาจารย์ยืนเฝ้าอยู่ดังนั้นมีอาการอันลำบาก อดไม่ได้ก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า พระเจ้าแผ่นดินมีความหมิ่นประมาทคน เมื่อหวังใจอยากจะได้อาจารย์ของข้าพเจ้าไว้เป็นเขยแล้ว ทำไมจึงให้เธอยืนเฝ้าอยู่อย่างนี้ ธรรมดาโลกถ้าจะเป็นบุตรเขยจะนั่งเฝ้าไม่ได้หรือ
   พระเจ้าแผ่นดินได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นตกประหม่า ให้มีพระทัยครั่นคร้ามจะใคร่เสด็จกลับเข้าข้างใน แต่วิตกเกรงจะเสียทางราชการจึงอุตส่าห์แข็งพระทัยประทับอยู่ แล้วมีรับสั่งให้ขันธียกเก้าอี้มาตั้งนิมนต์ให้พระถังซัมจั๋งนั่ง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเดิมอยู่ทิศบูรพาเมืองเง่าล่ายก๊กตำบลเขาฮวยก๊วยซัว บิดาคือฟ้า​มารดาคือดิน ศิลาแยกออกเกิดตัวข้าพเจ้า ครั้นเติบใหญ่ได้ไปหาผู้วิเศษเรียนคุณวิทยาการได้สำเร็จแล้ว กลับมาอยู่ที่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ลงในทะเลใหญ่ปราบพระยานาค ขึ้นบนเขากำจัดสัตว์ร้ายและปีศาจ รับตำแหน่งเป็นขุนนางที่ตั้งซีเทียนใต้เซี้ย ทุก ๆ วันประชุมเล่นแก่เทพบุตรอยู่สำราญสนุกทุกทิวาราตรีกาล กระทำการผิดเมื่อเวลาเลี้ยงโต๊ะชมพู่ทิพย์ พระพุทธเจ้าจับขังไว้ที่ใต้เขาเง่าเห้งซัว ทรมานอดอยากอยู่ห้าร้อยปี ท่านอาจารย์จะไปไซทีอาราธนาพระธรรม
   พระโพธิสัตว์กวนอิมสั่งให้ถอดข้าพเจ้าออกพ้นภัย จึงได้เข้าบวชถือเพศทางสมณะเป็นสัมมาทิฏฐิ ฉายาเดิมข้าพเจ้าชื่อ (หงอคง) และเห้งเจียดังนี้ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียกล่าวประวัติปรากฎดังนั้น ก็เสด็จลงจากบัลลังก์มาลูบไล้พระถังซัมจั๋งแล้วตรัสว่า เป็นนิสัยอันใหญ่ยิ่งที่ข้าพเจ้าได้มาพบท่านเขย มีศิษย์สาวกเทวดาอย่างนี้หาที่ไหน พระถังซัมจั๋งก็ขอบคุณแล้วเชิญให้เสด็จขึ้นมาประทับบนพระที่นั่งยังเดิม พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามต่อไปว่า ท่านผู้ไหนเป็นสานุศิษย์ที่สอง โป๊ยก่ายยื่นหน้าร่าเริงพูดว่า ข้าพเจ้าชาติปางก่อนเป็นมนุษย์ มีจิตแก่กล้าไปด้วยราคะจริตมิได้รู้สึกโทษ เวลานั้นบังเอิญพบผู้วิเศษอายุได้ห้าสิบปีเศษ ได้ชี้แจงแสดงธรรมให้ฟังจึงได้เปลื้องปลดซึ่งความหลง ก็ตามอาจารย์ไปปฏิบัติได้สิบหกปี สำเร็จภาคตามประสงค์ เหาะเหินเดินอากาศได้ พึ่งพระเดชพระคุณพระสยมภูวญาณเง็กเซียงฮ่องเต้ ทรงตั้งให้เป็นที่แม่ทับเรือที่ผ่องง่วนโซ่ย เป็นผู้บังคับการในลำแม่น้ำทีฮ้อก็เป็นความสุข
   ​เหตุมีความผิดด้วยเมื่อเวลาเลี้ยงโต๊ะชมภพู่ทิพย์ เสพสุราทิพย์ให้มึนเมาจนลืมสติไปหยอกนางเทพธิดา จิงต้องปรับโทษถอดจากที่ขุนนางแม่ทัพให้จุติลงมาในมนุษย์โลก บังเอิญเข้าปฏิสนธิในท้องแม่สุกร อาศัยอยู่ที่เขาฮกกิมซัว ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกระทำการหยาบช้าต่าง ๆ เวลาหนึ่งได้พบพระโพธิสัตว์กวนอิม โปรดเทศนาชี้แจงจึงได้กลับใจถือเพศบวชปฏิบัติทางสมณะธรรม พบพระอาจารย์จะไปไซทีอาราธนาธรรมที่ประเทศไซที จึงได้ตามมาเป็นสานุศิษย์ฉายาเดิมคือหงอเหน๋งและโป๊ยก่ายดังนี้
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟัง มีพระไทยหวั่นหวาดไม่อาจจะแลดูหน้าโป๊ยก่าย ๆ ก็ยกศรีษะร่าเริงขึ้นแกว่งกวัดหูก็ชันขึ้นพัดโบกไปมา และหัวเราะก๊ากใหญ่ พระถังซัมจั๋งวิตกเกรงว่า พระเจ้าแผ่นดินจะตกพระไทย จึงตวาดห้ามโป๊ยก่ายว่า จงสำรวมอิริยาบถอย่ากระทำให้วุ่นวายไปหาสมควรไม่ โป๊ยก่ายก็พนมมือสำรวมจิตยืนเฝ้าอยู่เป็นปรกติ พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่า สานุศิษย์ที่สามนั้นเป็นอย่างไรจึงได้เข้าถือเพศบวช ซัวเจ๋งพนมมือทูลว่าข้าพเจ้าเป็นปุถุชน กลัวความเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารจึงได้เที่ยวสืบเสาะตามละเมาะเกาะและเขาหาอาจารย์ เพื่อเรียนธรรมอันระงับดับความฟุ้งซ่าน ตั้งจิตรักษาอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่งพบอาจารย์ผู้วิเศษ สอนวิชาญาณอันแกล้วกล้า ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัตินานวัน ก็ได้สำเร็จภาคเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กระทำความเคารพเง็กเซียงฮ่องเต้ พระองค์ได้ทรงโปรดชุบเลี้ยงตั้งให้เป็นขุนนางราชองครักษ์
   เหตุเมื่อวันหนึ่งเทพยดากำลัง​ประชุม ข้าพเจ้ายกคณโฑแก้ววิเศษถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ บังเอิญพลาดมือตกแตก พระองค์จึงปรับโทษถอดจากที่ขุนนางสาปให้ลงมาในมนุษย์โลก ทรมานทุกข์อยู่ในลำแม่น้ำ (ลิ้วซัวฮ้อ) กระทำกรรมสร้างเวรอยู่เนืองนิตย์ มาวันหนึ่งพระโพธิสัตว์กวนอิม ชี้แจงชักนำจึงได้รับศีลปฏิบัติ ภายหลังมาพบพระอาจารย์มาจากเมืองใต้ถัง จึงได้ตามมาเป็นสานุศิษย์ฉายาเดิม (หงอเจ๋ง) ชื่อซัวเจ๋ง
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น มีพระทัยครั่นคร้ามและทั้งโสมนัสยินดีที่บุตรได้สามีเป็นผู้มีอภินิหาร เวลานั้นพอพนักงานเข้ามาทูลว่าวันขึ้นสิบสองค่ำเป็นวันมหามงคลควรจะทำการได้ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามว่า วันนี้เป็นวันอะไร ขุนนางโหรจึงทูลว่า วันนี้เป็นวันขึ้นแปดค่ำ เป็นวันดีควรประชุมซึ่งนักปราชญ์ พระเจ้าแผ่นดินมีความยินดี จึงรับสั่งให้ขุนนางกรมวังชำระปัดกวาดในพระราชอุทยานและห้องพอไว้สำหรับจะได้จัดการวิวาหะมงคล แล้วรับสั่งให้เชิญอาจารย์กับสานุศิษย์เข้าไปพักพระราชอุทยานก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้จัดการอภิเษกสยุมพร ขุนนางก็ไปจัดสวนดอกไม้ตามรับสั่งทุกประการ ส่วนพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อรับสั่งเสร็จแล้วก็เสด็จเข้าข้างใน
   ฝ่ายข้าราชการก็พากันไปจัดการต่าง ๆ ตามรับสั่งเสร็จแล้ว จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามเข้าไปพักในพระราชอุทยาน เวลาจวนค่ำเจ้าพนักงานก็จัดน้ำร้อนน้ำชามาถวายพระถังซัมจั๋ง และจัดเครื่องโต๊ะมาเลี้ยงศิษย์ทั้งสาม โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็มีความยินดี แล้ว​พูดว่าวันนี้จะต้องกินให้อิ่นเต็มที่ เครื่องโอชารสทั้งคาวและหวานที่จัดมาเลี้ยงนั้น โป๊ยก่ายก็กินจนท้องกาง ครั้นกินเสร็จแล้วเจ้าพนักงานก็ปูลาดอาสนะที่นอนหมอนมุ้งและจุดโคมตะเกียง
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเวลากลางคืนผู้คนสงบแล้ว จึงบ่นว่าเห้งเจียอ้ายชาติลิงไม่มีดี ทุก ๆ ทีทำให้เราได้ความยากลำบากดังนี้ จะตรงเข้าไปขอเปลี่ยนหนังสือก็แล้วกัน จะมิได้มีเหตุยากลำบากอย่างนี้เลย เจ้าทำไมจึงมุ่งหมายให้เราไปที่หอนั้น บัดนี้เกิดเหตุการณ์ขึ้นดังนี้แล้วเจ้าจะคิดต่อไปอย่างไรเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วจึงพูดว่า ท่านอาจารย์เคยพูดว่ามารดาชองท่าน เดิมมาก็ได้ทำอย่างนี้เหมือนกัน เป็นแบบแผนมาแต่โบราณ ข้าพเจ้าคิดถึงคำของท่านเจ้าวัดเป๊ากิมเสียนยี่ เพราะฉะนั้นจึงเข้าไปให้ใกล้หอ เพื่อจะได้พิจารณาดูให้รู้ว่าจะเท็จหรือจริง ข้าพเจ้าได้พิเคราะห์ดูเจ้าเมืองเห็นสีพระพักตร์มัวหมอง แต่ยังมิได้เห็นนางกงจู๊นั้นว่าจะเป็นประการใด พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียจะใคร่เห็นนางกงจู๊นั้นด้วยจะมีกิจธุระประการใดหรือ เห้งเจียตอบว่าแม้ว่าข้าพเจ้าได้เห็นนางกงจู๊แล้ว จะพิเคราะห์ดูด้วยทิพย์จักษุอันพิเศษก็อาจรู้ได้ว่าร้ายหรือดี เราจึงจะได้คิดกลอุบายต่อไปได้
   พระถังซัมจั๋งถามว่า ก็เวลานี้เขาจะใคร่เอาอาตมภาพไว้เป็นเขย จะคิดอย่างไรเล่าจึงจะพ้นไปได้ เห้งเจียตอบว่าคอยรอให้ถึงวันขึ้นสิบสองค่ำ เข้าประชุมการเอิกเกริกวิวาหะการ นางกงจู๊คงออกมาไหว้บิดามารดาเป็นแน่ ข้าพเจ้าจะแอบดูอยู่ข้างอาจารย์ หากว่านางกงจู๊เป็นหญิงแท้ อาจารย์​ก็รับเป็นสามีนางแลอยู่เป็นเจ้านายเขาเถิด พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็มีความโกรธจึงด่าว่าอ้ายชาติลิง เจ้าชั่งหาความชั่วร้ายมาให้เราดังนี้ เหมือนคำโป๊ยก่ายพูดว่าสิบชั้นฟ้าเราขึ้นมาได้เก้าชั้นแล้ว เจ้าเอาความสามหาวมาพูดแชเชือนดังนี้ควรแลหรือ หากว่าพูดอย่างนี้ต่อไป เราจะภาวนาให้ถึงใจของเจ้า เห้งเจียได้ฟังนั้นก็ตกใจคุกเข่าลงต่อหน้าพระถังซัมจั๋งพูดว่า พระอาจารย์อย่าได้ภาวนาเลยไว้รอคอยเวลาแต่งงาน ข้าพเจ้าจะสำแดงเดชาอานุภาพพาพระอาจารย์ออกให้พ้นภัยจงได้ อาจารย์กับศิษย์สนทนากันอยู่จนเวลาสามยาม โป๊ยก่ายว่าเราพักนอนเสียก่อน เวลารุ่งเช้าจึงค่อยคิดอ่านต่อไป พูดดังนั้นแล้วก็ต่างคนก็ต่างไปหลับนอน
   ครั้นเวลารุ่งสว่างพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกที่ขุนนาง แลเห็นประตูพระราชวังเปิดทุกประตู พวกขุนนางก็พากันเข้าเฝ้า พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามก็มาเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะตระเตรียมให้พรักพร้อม คอยเวลาวันขึ้นสิบสองค่ำจะได้ทำการวิวาหะมงคล วันนี้เป็นแต่ได้จัดเครื่องโต๊ะที่จะเลี้ยงฮูเบ๊เป็นการรื่นเริง แลให้เจ้าพนักงานรับแขกเชิญศิษย์ทั้งสามไปพักที่หอรับแขกนอก ให้จัดเครื่องโต๊ะเลี้ยงเธอทั้งสามแล้วให้มีมโหรีขับกล่อมทั้งสองแห่ง โป๊ยก่ายได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้นจึงยืนขึ้นพูดว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบพวกข้าพเจ้าตั้งแต่มาเป็นศิษย์ แต่เวลาหนึ่งก็มิได้ห่างไกลกัน วันนี้จะรับพระราชทานเครื่องเลี้ยงในสวนต้องให้พวกข้าพเจ้าไปด้วย อีกสองวันท่านอาจารย์​ก็จะเป็นพระราชบุตรเขยของพระองค์ ถ้าไม่โปรดดังนั้นธุระการของพระองค์ก็จะไม่สำเร็จเป็นแน่
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเมื่อได้ทรงฟังโป๊ยก่ายทูลดังนั้น ทรงพระราชดำริในพระทัยว่า โป๊ยก่ายรูปร่างดุร้ายหากไม่ผ่อนผันตามใจบ้างก็จะก่อการวุ่นวายขึ้นอาจกระทำให้เสียการไปได้ ทรงพระดำริดังนั้นแล้ว จึงผ่อนตามรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะที่ในสวนเป็นสองโต๊ะ ๆ หนึ่ง เป็นที่พระองค์กับพระถังซัมจั๋ง โต๊ะที่สองให้สานุศิษย์ทั้งสาม โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีคำนับขอบคุณพระเจ้าแผ่นดิน อาจารย์กับศิษย์ก็พากันกลับไปยังที่พัก พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขันธีฝ่ายในตระเตรียมเครื่องโต๊ะและห้องหอ กับสาวใช้นางในให้แต่งตัวรอวันสิบสองค่ำ จะได้แต่งการอภิเษก ครั้นรับสั่งเสร็จแล้วจึงแต่งพระองค์พร้อมด้วยพระถังซัมจั๋ง กับขุนนางตามเสร็จไปยังพระราชอุทยานก่อน ครั้นถึงจึงชวนพระถังซัมจั๋งเที่ยวชมดอกไม้ในสวนหลวงเป็นที่สำราญพระราชหฤทัย ครั้นขุนนางเจ้าพนักงานจัดเครื่องโต๊ะเสร็จแล้ว ก็มาเชิญพระองค์เข้าประทับโต๊ะ พระเจ้าแผ่นดินจึงจับมือพระถังซัมจั๋งพาขึ้นบนหอเย็นประทับโต๊ะ เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พากันขึ้นหอที่สอง พร้อมกันเข้านั่งโต๊ะต่างก็รับประทานตามสบาย
   ฝ่ายพนักงานดนตรีก็บรรเลงเพลงพิณพาทย์ขับร้องประสานเสียงไพเราะ​ยิ่งนัก เวลานั้นพระถังซัมจั๋งเห็นพระเจ้าแผ่นดิน มีความจงรักภักดีดังนั้น ก็ไม่รู้ที่ว่าจะแก้ไขประการใด ต้องจำใจทำหน้าชื่นอกตรมไปตามการ เวลานั่งอยู่นั้นพระถังซัมจั๋งเหลือบไปเห็นฉากอันหนึ่งแขวนอยู่ริมฝาผนังมีโคลงสี่ฤดู ก็คิดแต่ในใจว่าคำโคลงนี้ ชะรอยจะเป็นฝีปากขุนนางฝ่ายอาลักษณ์แต่ง พระเจ้าแผ่นดินเห็นพระถังซัมจั๋งเพ่งพินิจดูโคลง จึงตรัสถามว่าท่านเห็นจะเป็นจินตกวีพอใจแต่งกาพย์กลอนโคลงภาคฉันท์อยู่บ้างหรือ หากว่าไม่ซ่อนความรู้ ขอเชิญแต่งโคลงหรือกลอนให้ชมสักบทหนึ่ง ฝีปากจะเป็นประการใดบ้าง อันที่จริงพระถังซัมจั๋งพิศดูโคลงก็เพลินไป ครั้นเห็นพระเจ้าแผ่นดินมีพระทัยจงรักและรับสั่งให้แต่งโคลง ก็เผลอตัวจึงอ่านโคลงแก้กลอนเก่า
   บทที่หนึ่งว่า (ยิดฟ้วนจุ๊ยเซียวต๋ายตี้กุน) แปลว่าอากาศน้ำแห้งธระณีเรียบ ว่าเป็นกิริยาอากาศเดือนสามเดือนสี่ พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น ก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก ตรัสสรรเสริญว่านักปราชญ์แท้สมควรเป็นพระราชบุตรเขย จึงรับสั่งให้พวกดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญ
   ฝ่ายเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง กินเลี้ยงอยู่ที่หอที่สอง เห็นพระถังซัมจั๋งกับพระเจ้าแผ่นดินอยู่หอที่หนึ่ง โป๊ยก่ายเป็นคนสันดานหยาบคาย ครั้นอิ่มเอิบแล้วก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า แสนสนุกแสนสบายจริง ๆ วันนี้เรากินอิ่มหนำสำราญแล้ว พากันไปนอนเถิดพี่น้องเอ๋ย ซัวเจ๋งพูดว่าพี่โป๊ยก่ายพูดดังนั้นเห็นจะผิดความปฏิบัติ กินอิ่มแล้วทำไม​จึงจะพากันไปนอนเล่า โป๊ยก่ายว่าน้องที่ไหนจะรู้เหตุการณ์ คำโบราณท่านย่อมว่า กินแล้วไม่ยืดตัวในท้องจะอืดลม หายใจไม่สะดวกมักจะเกิดโรค
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งครั้นสิ้นเวลาประชุม ก็ลาพระเจ้าแผ่นดินมาจากหอเย็น เดินมาหอที่สองด่าโป๊ยก่ายว่าอ้ายชาติหมูกินรำทำอะไรอย่างนี้ ดุจว่าชาวป่าชาวดงทำไมจึงต้องร้องอึกทึกไปด้วย ถ้าพระเจ้าแผ่นดินตกพระทัยแล้วจะไม่ลงโทษเอาเราด้วยหรือ โป๊ยก่ายว่าท่านอาจารย์ไม่ต้องวิตกไม่มีความผิด เพราะพวกเราเกี่ยวเป็นญาติแก่พระเจ้าแผ่นดิน ที่ไหนจะอาจทำโทษเราได้ คำโบราณเขาย่อมว่าตีไม่ได้เพราะติดญาติ ด่าไม่ได้เพราะบ้านใกล้เรือนเคียง ข้าพเจ้าทำเล่นนิดหน่อยจะกลัวทำไม พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้นก็เกิดโทสะร้องตวาดไป แล้วบอกเห้งเจียให้ลากอ้ายหัวหมูมานี่คว่ำลงเฆี่ยนเสียสิบที เห้งเจียตรงเข้าจับโป๊ยก่ายคว่ำลง พระถังซัมจั๋งยกไม้เท้าเฆี่ยนโป๊ยก่าย ๆ ก้องอึกทึกแล้วร้องว่าท่านฮูเบ๊ขอโทษเถิด ทีหลังข้าพเจ้าไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว
   พวกพนักงานจัดเครื่องอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงร้อง ก็มาขอโทษแก่พระถังซัมจั๋ง ๆ ก็ยกโทษให้โป๊ยก่าย ๆ ผุดลุกขึ้นบ่นว่าพุทโธ่เอ๋ยท่านฮูเบ๊ดีแท้ ๆ ยังไม่ทันจะแต่งงานก็มาทำอำนาจลงอาญาเฆี่ยนตีเสียแล้ว เห้งเจียมาจับปากโป๊ยก่ายบีบแล้วห้ามว่าเจ้าอย่าพูดให้มันเลอะเทอะไป จะนอนก็ไปนอนเถิด อาจารย์กับศิษย์ก็พักอยู่ในหอนั้น เช้าก็รับประทานโต๊ะค่ำก็นอน ได้สามสี่วันครั้นถึงวันขึ้นสิบสองค่ำเป็นวันฤกษ์ดี พวกขุนนางก็เข้ามากราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้จัดตำหนักที่ฮูเบ๊เสร็จแล้ว แลทั้งเครื่องโต๊ะก็จัดเสร็จแล้วทุกประการถึงห้าร้อยโต๊ะ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังพวกขุนนางทูลดังนั้นก็ดีพระทัย คิดจะใคร่เชิญพระถังซัมจั๋งเข้านั่งโต๊ะ บังเอิญมีขันธีมาทูลว่าพระมเหสีมีกิจธุระ ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปข้างใน พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จเข้าไป แลเห็นสนมนางกำนัลเดินนำพระราชธิดาออกมา พิศดูดังนางเทพอัปสรกัญญาลงมาดิน มีพระทัยใสโสมนัส สา พระองค์จึงทรงประทับยังพระที่นั่งตำหนักเจียวเอี้ยงเก๋ง
   ฝ่ายพระมเหสีกับสนมนางใน ก็มาเฝ้าถวายบังคมแล้วก็นั่งตามลำดับ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามนางกงจู๊ว่าลูกรักของบิดา เมื่อวันขึ้นแปดค่ำลูกออกไปเสี่ยงทายทิ้งตะกร้อหาคู่ ก็ถูกท่านถังซัมจั๋ง บิดาเห็นว่าก็สมความปราถนาของลูกแล้ว การทั้งปวงบิดาก็ได้จัดพร้อมเสร็จแล้ว วันนี้ก็ถึงกำหนดจะทำการอภิเษก ลูกควรจะเข้าที่ประชุมเลี้ยงโต๊ะตามกำหนดฤกษ์ นางกงจู๊ได้ฟังพระราชบิดาตรัสดังนั้น จึงทูลว่าขอพระราชบิดาได้โปรดยกโทษของลูกนี้ ด้วยลูกจะขอกราบทูลถามสักคำหนึ่ง เพราะลูกได้ฟังขุนนางขันธีพูดกันว่า สานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋งมีใจดุร้ายลูกไม่อยากพบปะเธอทั้งสามคน ขอพระบิดาได้โปรดมอบหนังสือเดินทางให้เธอไปเสียให้พ้นเถิด พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าอันความข้อนี้ ถ้าลูกไม่กล่าวขึ้นบิดาก็จะลืม เธอทั้งสามนั้นดุร้ายจริงของลูก ทุก ๆ วันก็ให้คนเลี้ยงดูประคับประคอง​อยู่ในสวนดอกไม้ วันนี้ควรจะออกที่ขุนนางประทับตราให้หนังสือเดินทาง ให้เธอออกไปเสียให้พ้นเมือง จึงค่อยประชุมเลี้ยงโต๊ะต่อภายหลังจึงจะดี นางกงจู๊ได้ฟังพระราชบิดาว่าดังนั้น ก็มีความยินดี จึงคำนับขอบพระคุณพระราชบิดา พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จออกขุนนาง มีรับสั่งให้เชิญพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามเข้ามาเฝ้า
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ในสวนก็นั่งนับวันนับเวลาอยู่ ครั้นถึงวันขึ้นสิบสองค่ำยังไม่ทันจะสว่าง จึงนั่งปรึกษากันแก่ศิษย์ทั้งสามว่า พรุ่งนี้ถึงกำหนดวันขึ้นสิบสองค่ำแล้ว เราจะคิดอ่านประการใดดี เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าคะเนว่าเจ้าแผ่นดินนั้นมัวหมองก็จริง แต่ยังไม่ซึมทราบยังพอจะแก้ไขได้ แต่ยังหาได้เห็นหน้านางกงจู๊ไม่ ถ้าได้เห็นแล้วข้าพเจ้าคิดดูก็คงจะรู้ได้ว่าเท็จหรือจริง แล้วจึงจะได้ลงมือ ขอพระอาจารย์จงวางใจเสียเถิด อย่าได้มีความวิตกเลย เธอคงจะให้หาตัวพวกข้าพเจ้า เพื่อจะได้ให้หนังสือเดินทางให้ออกไปเสียให้พ้น พระอาจารย์อย่าได้ขัดขืนจงผ่อนผันไปตามการ ข้าพเจ้าจะแปลงกายคอยกระซิบบอกเหตุการณ์ และคอยระวังรักษาพระอาจารย์อยู่มิให้เป็นอันตรายได้ กำลังสนทนากันอยู่ดังนั้น ก็พอขุนนางที่ถือรับสั่งมาเชิญ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าไปเถิด ๆ จึงรวบรวมเก็บข้าวของหาบคอนตามขุนนางทั้งสองนั้นเข้าไปเฝ้ายังหน้าพระลาน พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสเรียกเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสามคนเข้ามาใกล้แล้ว จึงเรียกหนังสือมาจะประทับตรา​ให้ ทั้งเสบียงอาหารที่จะเดินทางก็จัดให้ไปพร้อม จึงตรัสว่าถ้าไปถึงเขาเล่งซัวอาราธนาพระคัมภีร์กลับมาได้แล้ว จะพระราชทานบำเหน็จรางวัลให้จงหนัก อย่าได้มีความห่วงใยเลย
   เห้งเจียได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น ก็กระทำคำนับขอบคุณ จึงให้ซัวเจ๋งส่งหนังสือมาแล้วก็นำขึ้นถวายต่อพระหัตถ์ พระเจ้าแผ่นดินรับหนังสือมาแล้ว คลี่ออกทอดพระเนตรแล้ว ก็ประทับตราลงในฉบับนั้นแล้ว จึงเอาทองคำสิบแท่งเงินยี่สิบแท่ง ประทานให้เป็นกิริยาว่าพอพระทัย โป๊ยก่ายเข้าไปรับเงินกับทองแล้ว ก็พร้อมกันทั้งสามคำนับขอบคุณแล้วถอยกลับออกไป พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงเดินเข้ามายึดมือเห้งเจียไว้ แล้วถามว่าจะไปจริงหรือ เห้งเจียเอานิ้วสะกิดมือพระอาจารย์สามทีแล้วขยิบตาให้ไป แล้วจึงพูดว่าอาจารย์จงอยู่ให้สบายเถิด พวกข้าพเจ้าจะไปอาราธนาพระคัมภีร์ได้แล้วจะกลับมาเยือน พระถังซัมจั๋งจึงปล่อยมือเห้งเจีย พี่น้องทั้งสามก็พากันออกจากพระราชวัง เห้งเจียก็เดินไปยังที่หอรับแขกเมือง พวกขุนนางรับแขกก็พากันออกมาต้อนรับเข้าไปเลี้ยงน้ำร้อนน้ำชา เห้งเจียจึงสั่งโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งว่า น้องทั้งสองจงอยู่ในห้องอย่าออกไปให้ผู้ใดเห็น ถ้าจะมีผู้ใต่ถามก็จงผันแปรพูดจากลบเกลื่อนไป อย่าให้รู้เท่าความจริงของเราได้ แต่เราจะไปคอยช่วยอาจารย์
   เห้งเจียว่าดังนั้นแล้วจึงถอนขนเพชรออกหนึ่งเส้น เป่าคาถาแปลงเป็นรูปเห้งเจียนั่งอยู่กับโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งที่ในหอรับแขก รูปจริงเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ ​แปลงเป็นแมลงผึ้งตัวหนึ่งแล้ว ก็บินเข้าไปในพระราชวัง แลไปก็เห็นพระอาจารย์นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยพระเจ้าแผ่นดิน หน้าตาไม่มีความสบาย เห้งเจียก็โผ ลงจับที่ริมหูพระถังซัมจั๋งกระซิบพูดเบา ๆ ว่า พระอาจารย์ข้าพเจ้ามาแล้วอย่าวิตกไปเลย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ค่อยมีความสว่างใจออกไป สักประเดี๋ยวพวกขันธีก็มาทูลว่า ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าที่เถิด การทั้งปวงก็พร้อมเพรียงแล้ว พระมเหสีกับพระราชบุตรีก็คอยอยู่พร้อมแล้ว ขอพระองค์จงเชิญฮูเบ๊เข้าในพิธีการเถิด พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น ก็มีพระทัยยินดี จึงเสด็จจากพระที่นั่งนำพระถังซัมจั๋งเข้าไปในพระราชมณเฑียรใน
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 12-24 พากย์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น: