Translate

24 กรกฎาคม 2567

เวรัญชกัณฑ์ พระวินัยปิฎก-พระไตรปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค

เรื่องเวรัญชพราหมณ์

 [๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์ สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์ ได้สดับข่าวถนัดแน่ว่า ท่านผู้เจริญ พระสมณะโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูล ประทับอยู่ ณ บริเวณต้นไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็แลพระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้ว อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้ ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ แม้เพราะเหตุนี้ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะ แม้เพราะเหตุนี้ เสด็จไปดีแม้เพราะเหตุนี้ ทรงทราบ โลกแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า แม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็น ศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลายแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพระ ผู้มีพระภาคแม้เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพ และมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็น ปานนั้น เป็นความดี. 

เวรัญชพราหมณ์กล่าวตู่พระพุทธเจ้า

 [๒] หลังจากนั้น เวรัญชพราหมณ์ได้ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วได้ทูลปราศรัยกับ พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิงเป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เวรัญชพราหมณ์นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาค ว่า ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าได้ทราบมาว่า พระสมณะโคดม ไม่ไหว้ ไม่ลุกรับพวกพราหมณ์ผู้แก่ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ ผู้ล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะ ข้อที่ข้าพเจ้าทราบมานี้ นั้นเป็นเช่นนั้นจริง อันการที่ท่านพระโคดมไม่ไหว้ ไม่ลุกรับพวกพราหมณ์ผู้แก่ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ ผู้ ล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะนี้นั้น ไม่สมควรเลย.
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทพ และมนุษย์ เราไม่เล็งเห็นบุคคลที่เราควรไหว้ ควร ลุกรับ หรือควรเชื้อเชิญด้วยอาสนะ เพราะว่า ตถาคตพึงไหว้ พึงลุกรับ หรือพึงเชื้อเชิญ บุคคลใดด้วยอาสนะ แม้ศีรษะของบุคคลนั้นก็จะพึงขาดตกไป.
ว. ท่านพระโคดมมีปกติไม่ไยดี.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมมีปกติไม่ไยดี ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะความไยดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
 เหล่านั้น ตถาคต ละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีก ต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมมีปกติไม่ไยดี ดังนี้ชื่อว่า กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมไม่มีสมบัติ. 
ภ. มีอยู่จริงๆพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่มีสมบัติ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะสมบัติ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหล่านั้น ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็น ธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่มีสมบัติ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว. 
ว. ท่านพระโคดมกล่าวการไม่ทำ.
ภ. มีอยู่จริงๆพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมกล่าวการไม่ทำ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าวการไม่ทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าวการ ไม่ทำสิ่งที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมกล่าวการ ไม่ทำ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมกล่าวความขาดสูญ. 
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมกล่าวความขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าวความขาดสูญแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ เรากล่าวความ ขาดสูญแห่งสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดม กล่าวความขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมช่างรังเกียจ.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างรังเกียจ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรารังเกียจกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรารังเกียจความถึงพร้อมแห่ง สภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างรังเกียจ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมช่างกำจัด.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างกำจัด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเราแสดงธรรมเพื่อกำจัด ราคะ โทสะ โมหะ แสดงธรรมเพื่อกำจัดสภาพ ที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่างนี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างกำจัด ดังนี้ ชื่อว่า กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมช่างเผาผลาญ.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างเผาผลาญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าวธรรมที่เป็นบาปอกุศล คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่า เป็นธรรมที่ควรเผาผลาญ ธรรมที่เป็นบาปอกุศลซึ่งควรเผาผลาญ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดราก ขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนช่างเผาผลาญ พราหมณ์ ธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศล ซึ่งควรเผาผลาญ ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างเผาผลาญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมไม่ผุดเกิด.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะการนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดราก ขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนไม่ผุดเกิด พราหมณ์ การนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ ตถาคต ละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีก ต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่า กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว. 

ทรงอุปมาด้วยลูกไก่

 [๓] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ฟองไข่ เหล่านั้น อันแม่ไก่พึงกกดีแล้ว อบดีแล้ว ฟักดีแล้ว บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใดทำลาย กระเปาะฟอง ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปาก ออกมาได้โดยสวัสดีก่อนกว่าเขา ลูกไก่ ตัวนั้นควรเรียกว่ากระไร จะเรียกว่าพี่หรือน้อง.
 ว. ท่านพระโคดมควรเรียกว่าพี่ เพราะมันแก่กว่าเขา.

ทรงแสดงฌาน ๔ และวิชชา ๓

 ภ. เราก็เหมือนอย่างนั้นแล พราหมณ์ เมื่อประชาชนผู้ตกอยู่ในอวิชชา เกิดในฟอง อันกระเปาะฟองหุ้มห่อไว้ ผู้เดียวเท่านั้นในโลก ได้ทำลายกระเปาะฟอง คือ อวิชชา แล้วได้ ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม เรานั้นเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุดของโลก เพราะความเพียรของเราที่ปรารภแล้วแล ไม่ย่อหย่อน สติดำรงมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายสงบ ไม่ กระสับกระส่าย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง. 
 ปฐมฌาน เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่. ทุติยฌาน เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.
 ตติยฌาน เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่. 
 จตุตถฌาน เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัส ก่อนๆ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
 บุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์ เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียง เท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น อันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้
 พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เรา ได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืด เรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร เผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการ ทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น. 
 จุตูปปาตญาณ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติ ของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่ เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิด เป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็น สัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตก กายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อม รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้
 พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้ว ในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไป แล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะ ฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
 อาสวักขยญาณ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัด ตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความ ดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้ อาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ ได้รู้ ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้ หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
 พราหมณ์ วิชชาที่สามนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิด แก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล ได้เป็น เหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.

 เวรัญชพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก

 [๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาค ว่า ท่านพระโคดมเป็นผู้เจริญที่สุด ท่านพระโคดมเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดย อเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ข้าพเจ้านี้ขอถึงท่านพระโคดม พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จงทรงรับอาราธนาอยู่ จำพรรษา ที่เมืองเวรัญชาของข้าพเจ้าเถิด. พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาด้วยพระอาการดุษณี
 ครั้นเวรัญชพราหมณ์ทราบการรับ อาราธนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ หลีกไป. 

เมืองเวรัญชาเกิดทุพภิกขภัย

 [๕] ก็โดยสมัยนั้นแล เมืองเวรัญชา มีภิกษาหารน้อย ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มีกระดูกคนตายขาวเกลื่อน ต้องมีสลากซื้ออาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการ ถือบาตรแสวงหา ก็ทำไม่ได้ง่าย ครั้งนั้นพวกพ่อค้าม้าชาวอุตราปถะ มีม้าประมาณ ๕๐๐ ตัว ได้ เข้าพักแรมตลอดฤดูฝนในเมืองเวรัญชา พวกเขาได้ตกแต่งข้าวแดงสำหรับภิกษุรูปละแล่งไว้ที่ คอกม้า เวลาเช้าภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตในเมืองเวรัญชา เมื่อไม่ได้บิณฑบาต จึงเที่ยวไปบิณฑบาตที่คอกม้า รับข้าวแดงรูปละแล่ง นำไปสู่อารามแล้วลงครก โขลกฉัน ส่วนท่านพระอานนท์บดข้าวแดงแล่งหนึ่งที่ศิลา แล้วน้อมเข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค
เสวยพระกระยาหารที่บดถวายนั้นอยู่ ได้ทรงสดับเสียงครกแล้ว

 พระพุทธประเพณี

 พระตถาคตทั้งหลายทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่ ย่อมไม่ตรัสถามก็มี ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม พระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสถามสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ สิ่งที่ไม่ประกอบด้วย ประโยชน์ พระองค์ทรงกำจัดด้วยข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงสอบถาม ภิกษุทั้งหลายด้วยอาการสองอย่าง คือ จักทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ พระสาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ นั่นเสียงครกหรือหนอ จึงท่านพระอานนท์กราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคตรัสสรรเสริญว่า ดีละ ดีละ อานนท์ พวกเธอเป็นสัตบุรุษ ชนะวิเศษแล้ว พวกเพื่อนพรหมจารีชั้นหลังจักดูหมิ่นข้าว สาลีและข้าวสุกอันระคนด้วยเนื้อ. พระมหาโมคคัลลานะเปล่งสีหนาท 
 [๖] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้เมืองเวรัญชา มีภิกษาหารน้อย ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มีกระดูกคนตายขาวเกลื่อน ต้องมีสลากซื้อ อาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา ก็ทำไม่ได้ง่าย พระพุทธเจ้าข้า พื้นเบื้องล่างแห่งแผ่นดินผืนใหญ่นี้ สมบูรณ์ มีรสอันโอชา เหมือนน้ำผึ้งหวี่ที่ไม่มีตัวอ่อนฉะนั้น ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระพุทธเจ้าจะพึงพลิกแผ่นดิน ภิกษุทั้งหลายจักได้ฉันง้วนดิน พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรโมคคัลลานะ ก็สัตว์ผู้อาศัยแผ่นดินเล่า เธอจะทำ อย่างไรแก่สัตว์เหล่านั้น?
 ม. ข้าพระพุทธเจ้าจักนิรมิตฝ่ามือข้างหนึ่งให้เป็นดุจแผ่นดินใหญ่ ยังสัตว์ผู้อาศัยแผ่นดิน เหล่านั้นให้ไปอยู่ในฝ่ามือนั้น จักพลิกแผ่นดินด้วยมืออีกข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า.
 ภ. อย่าเลย โมคคัลลานะ การพลิกแผ่นดินเธออย่าพอใจเลย สัตว์ทั้งหลายจะพึง ได้รับผลตรงกันข้าม.
 ม. ขอประทานพระวโรกาส ขอภิกษุสงฆ์ทั้งหมดพึงไปบิณฑบาตในอุตรกุรุทวีป พระพุทธเจ้าข้า.
 ภ. ก็ภิกษุผู้ไม่มีฤทธิ์เล่า เธอจักทำอย่างไรแก่ภิกษุเหล่านั้น?
ม. ข้าพระพุทธเจ้าจักทำให้ภิกษุทั้งหมดไปได้ พระพุทธเจ้าข้า.
 ภ. อย่าเลย โมคคัลลานะ การที่ภิกษุสงฆ์ทั้งหมดไปบิณฑบาตถึงอุตรกุรุทวีป เธออย่า พอใจเลย.

เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน

 [๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิด ขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของ พระองค์ไหนดำรงอยู่นาน ดังนี้
 ครั้นเวลาสายัณห์ท่านออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไปใน ที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มี พระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนดำรงอยู่นาน.
 พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน ของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระ นามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะดำรงอยู่นาน.
 ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?
 ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย
 อนึ่ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้ง สามพระองค์นั้นมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก เพราะ อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง ยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน
 ดูกรสารีบุตรดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้น กระดาน ยังไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ลมย่อมกระจายขจัดกำจัดซึ่งดอกไม้เหล่านั้นได้ข้อนั้นเพราะเหตุอะไรเพราะเขาไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้นเพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้นสาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับ พลัน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรง กำหนดจิตของสาวกด้วยพระหฤทัย แล้วทรงสั่งสอนสาวก.
 ดูกรสารีบุตร เรื่องเคยมีมาแล้ว พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม เวสสภู ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสั่งสอน พร่ำสอน ภิกษุสงฆ์ประมาณ พันรูป ในไพรสนฑ์อันน่าพึงกลัวแห่งหนึ่งว่า พวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น จง ทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้ จงเข้าถึงส่วนนี้อยู่เถิด ดังนี้
 ลำดับนั้นแล จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามเวสสภูทรง สั่งสอนอยู่อย่างนั้น ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนั้น ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ในเพราะความที่ไพรสณฑ์อันน่าพึงกลัวนั้นซิ เป็นถิ่นที่น่าสยดสยอง จึงมีคำนี้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่ง ยังไม่ปราศจากราคะเข้าไปสู่ไพรสณฑ์นั้น โดยมากโลมชาติย่อมชูชัน. 
ดูกรสารีบุตร 
อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาค พระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภูไม่ดำรงอยู่นาน.
 ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระ
นามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?
 ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนาม กัสสปะ มิได้ทรงท้อพระหฤทัย เพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย
 อนึ่ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มี พระภาคทั้งสามพระองค์นั้นมีมาก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก เพราะ อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า เหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง ดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน 
 ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บน พื้นกระดาน ร้อยดีแล้วด้วยด้าย ลมย่อมกระจายไม่ได้ ขจัดไม่ได้ กำจัดไม่ได้ซึ่งดอกไม้เหล่านั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขาร้อยดีแล้วด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาค พุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ ตลอดระยะกาลยืนนาน ฉันนั้น เหมือนกัน.
 ดูกรสารีบุตร อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาค พระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน.

 ปรารภเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบท

 [๘] ลำดับนั้นแล ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะ ทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูลว่า ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระสุคต ถึงเวลาแล้ว ที่จะทรงบัญญัติสิกขาบท ที่จะทรงแสดงปาติโมกข์แก่สาวก อันจะเป็นเหตุให้ พระศาสนานี้ยั่งยืนดำรงอยู่ได้นาน.
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จงรอก่อน สารีบุตร จงยับยั้งก่อนสารีบุตร ตถาคตผู้เดียวจักรู้ กาลในกรณีย์นั้น พระศาสดายังไม่บัญญัติสิกขาบท ยังไม่แสดงปาติโมกข์แก่สาวก ตลอดเวลา ที่ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ต่อเมื่อใดอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดง ปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่ ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ตลอดเวลาที่สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่โดยภิกษุผู้บวชนาน 
 ต่อเมื่อใดสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่โดยภิกษุผู้บวชนานแล้ว และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่าย่อม ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ใน ศาสนานี้ ตลอดเวลาที่สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่โดยแพร่หลาย ต่อเมื่อใดสงฆ์ถึงความเป็น หมู่ใหญ่โดยแพร่หลายแล้ว และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ย่อมปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวกเพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรม เหล่านั้นแหละ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ตลอดเวลาที่สงฆ์ ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศโดยลาภ
 ต่อเมื่อใดสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศโดยลาภแล้ว และ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ย่อมปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ
 ดูกรสารีบุตร ก็ภิกษุสงฆ์ไม่มีเสนียด ไม่มีโทษ ปราศจากมัวหมองบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งอยู่ในสารคุณ เพราะบรรดา ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ ภิกษุที่ทรงคุณธรรมอย่างต่ำ ก็เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็น ผู้เที่ยง เป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.

 เสด็จนิเวศน์เวรัญชพราหมณ์

 [๙] ครั้นปวารณาพรรษาแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ พระตถาคตทั้งหลายยังมิได้บอกลาผู้ที่นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาแล้ว จะไม่หลีกไปสู่ที่ จาริกในชนบท ข้อนี้เป็นประเพณีของพระตถาคตทั้งหลาย มาไปกันเถิดอานนท์ เราจะบอกลา เวรัญชพราหมณ์.
 ท่านพระอานนท์ทูลสนองพระพุทธดำรัสว่า เป็นดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า. ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร มีท่านพระอานนท์เป็น ปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่นิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์ ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือ พระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย ทันใดนั้น เวรัญชพราหมณ์ดำเนินเข้าไปสู่ที่ประทับ ครั้นแล้วถวาย บังคม นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
 พระองค์รับสั่งว่า ดูกรพราหมณ์ เราเป็นผู้อันท่านนิมนต์ อยู่จำ
พรรษาแล้ว เราขอบอกลาท่าน เราปรารถนาจะหลีกไปสู่ที่จาริกในชนบท.
 เวรัญชพราหมณ์กราบทูลว่า เป็นความจริง ท่านพระโคดม ข้าพเจ้านิมนต์พระองค์อยู่ จำพรรษา ก็แต่ว่าไทยธรรมอันใดที่จะพึงถวาย ไทยธรรมอันนั้นข้าพเจ้ายังมิได้ถวาย และไทยธรรมนั้นมิใช่ว่าจะไม่มี ทั้งประสงค์จะไม่ถวายก็หาไม่ ภายในไตรมาสนี้ พระองค์จะพึงได้ไทยธรรมนั้นจากไหน เพราะฆราวาสมีกิจมาก มีกรณียะมาก ขอท่านพระโคดมพร้อมด้วยพระสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศลและปีติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้แก่ ข้าพเจ้าด้วยเถิด.
 พระผู้มีพระภาคทรงรับอัชเฌสนาโดยดุษณีภาพ และแล้วทรงชี้แจงให้เวรัญชพราหมณ์ เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.
 หลังจากนั้น เวรัญชพราหมณ์สั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีตในนิเวศน์ของตน โดยผ่านราตรีนั้นแล้ว ให้เจ้าพนักงานไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว ท่าน พระ
โคดม ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
 ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้วถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธ ดำเนินไปสู่นิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์ ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงเวรัญชพราหมณ์อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ด้วยมือของตนจนให้ห้ามภัตรแล้ว ได้ถวายไตรจีวรแด่พระผู้มีพระภาค ผู้เสวยเสร็จทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้วให้ทรง
ครอง และถวายผ้าคู่ให้ภิกษุครอง รูปละ สำรับ จึงพระองค์ทรงชี้แจงให้เวรัญชพราหมณ์เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ
 ครั้นพระองค์ประทับอยู่ที่เมืองเวรัญชาตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จพระพุทธดำเนินไปยังเมืองท่าปยาคะ ไม่ทรงแวะเมืองโสเรยยะ เมืองสังกัสสะ เมือง กัณณกุชชะ ทรงข้ามแม่น้ำคงคาที่เมืองท่าปยาคะ เสด็จพระพุทธดำเนินถึงพระนครพาราณสี ครั้น พระองค์ประทับอยู่ที่พระนครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไป สู่พระนครเวสาลี เมื่อเสด็จจาริกไปโดยลำดับ ถึงพระนครเวสาลีนั้นแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับ อยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลีนั้น.
 เวรัญชภาณวาร จบ.

18 กรกฎาคม 2567

หน้าต่างที่ ๒/๗ อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค สามัญญผลสูตร เล่ม ๑ พระสุตตันตปิฎก

โกมารภจฺจชีวกกถาวณฺณนา 
                               บทว่า อถ โข ราชา ความว่า ได้ยินว่า พระราชาทรงสดับคำของอำมาตย์เหล่านั้นแล้ว มีพระราชดำริว่า เราไม่ต้องการฟังคำพูดของผู้ใดๆ ผู้นั้นๆ ย่อมพูดพล่ามไปหมด ส่วนคำพูดของผู้ใดที่เราต้องการฟัง เขาผู้นั้นกลับนิ่งอยู่ เหมือนครุฑถูกฤทธิ์นาคเข้าไปแล้วยืนนิ่ง เสียหายแล้วสิเรา. 
                ครั้นแล้วทรงพระดำริว่า หมอชีวกเป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สงบระงับ แม้ตัวเองก็สงบระงับฉะนั้น จึงนั่งนิ่ง เหมือนภิกษุที่สมบูรณ์ด้วยวัตร.   หมอชีวกนี้ เมื่อเราไม่พูดก็จักไม่พูด ก็เมื่อจะจับช้าง ควรจะจับเท้าช้างนั่นแหละ จึงทรงปรึกษากับหมอชีวกนั้นด้วยพระองค์เอง. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข ราชา ดังนี้. 
                ในพระบาลีนั้น  บทว่า กึ ตุณฺหี  ความว่า นิ่งเพราะเหตุไร พระราชาตรัสถามว่า เมื่ออำมาตย์เหล่านี้กล่าวคุณแห่งสมณะผู้เป็นกุลุปกะของตนๆ อยู่ ปากไม่พอกล่าว สมณะที่เป็นกุลุปกะของท่านเหมือนอย่างของอำมาตย์เหล่านี้ ไม่มีหรือ ท่านเป็นคนจนหรือ พระบิดาของเราประทานความเป็นใหญ่แก่ท่านแล้วมิใช่หรือ หรือว่าท่านไม่มีศรัทธา. 
                ลำดับนั้น หมอชีวกจึงคิดในใจว่า พระราชาพระองค์นี้ให้เรากล่าวคุณแห่งสมณะผู้เป็นกุลุปกะ บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะนิ่ง เหมือนอย่างว่า อำมาตย์เหล่านี้ถวายบังคับพระราชาแล้วนั่งลงกล่าวคุณของสมณะผู้กุลุปกะของตนๆ ฉันใด เราจะกล่าวคุณ
ของพระศาสดาของเราเหมือนอย่างอำมาตย์เหล่านี้ หาควรไม่ ดำริพลางลุกขึ้นจากอาสนะหันหน้าไปทางที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคับด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลีซึ่งรุ่งเรืองไปด้วยทศนัขสโมธานเหนือพระเศียร แล้วทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์อย่าทรงเข้าพระทัยว่า ชีวกนี้จะพาไปพบสมณะพอดีพอร้าย เพราะพระศาสดาของข้าพระองค์นี้ ในการถือปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา ในการประสูติจากครรภ์พระมารดา ในการเสด็จออกผนวช ในการตรัสรู้และในการประกาศธรรมจักร หวั่นไหวไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ก็อย่างนี้ คราวเสด็จลงจากเทวโลกก็อย่างนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจักกล่าวคุณแห่งพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระองค์จงตั้งพระทัยให้แน่วแน่สดับเถิด พระพุทธเจ้าข้า. 
                ครั้นกราบทูลดังนี้แล้วจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้. 
                ในพระบาลีนั้น คำว่า ตํ โข ปน เป็นทุติยาวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งอิตถัมภูตาขยาน คือให้  แปลว่า ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น 
                บทว่า กลฺยาโณ ความว่า ประกอบด้วยความงาม คือคุณธรรม.  มีอธิบายว่า ประเสริฐที่สุด. 
                บทว่า กิตฺติสทฺโท ความว่า ชื่อเสียงหรือเสียงสดุดีพระเกียรติที่กึกก้อง. 
                บทว่า อพฺภุคฺคโต ความว่า ลือกระฉ่อนไปทั่วโลกรวมทั้งเทวโลกว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น 
 แม้เพราะเหตุนี้ จึงเป็นพระอรหันต์ 
     แม้เพราะเหตุนี้ จึงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ 
      แม้เพราะเหตุนี้ จึงเป็นผู้แจกพระธรรม ดังนี้. 
                ในบทพระพุทธคุณนั้น มีการเชื่อมบทดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น 
 แม้เพราะเหตุนี้ จึงเป็นพระอรหันต์ 
     แม้เพราะเหตุนี้ จึงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ฯลฯ 
       แม้เพราะเหตุนี้ จึงเป็นผู้แจกพระธรรม. 
 อธิบายว่า เพราะเหตุนี้ด้วย นี้ด้วย. 
                บทเหล่านี้ทั้งหมดในพระบาลีนั้น ได้อธิบายอย่างพิสดารในพุทธานุสสตินิทเทศ ในวิสุทธิมรรค เริ่มต้นตั้งแต่อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พึงทราบว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยเหตุเหล่านี้ก่อน  คือ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย  ๑ เพราะหักกำจักรแห่งสังสารวัฏ  ๑ เพราะควรแก่ปัจจัยเป็นต้น ๑ เพราะไม่มีความลับในการทำบาป  ๑. ความพิสดารแห่งบทพุทธคุณเหล่านั้น พึงถือเอาจากวิสุทธิมรรคนั้น. 
                ก็หมอชีวกพรรณนาพุทธคุณทีละบทจบความลง ทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระศาสดาของข้าพระองค์เป็นพระ
อรหันต์อย่างนี้ เป็นสัมมาสัมพุทธะอย่างนี้ ฯลฯ เป็นผู้แจกธรรมรัตน์อย่างนี้ แล้วทูลสรุปว่า ขอพระองค์ผู้สมมติเทพโปรดเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ถึงอย่างไร เมื่อพระองค์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ พระทัยก็พึงผ่องใส. 
                ก็ในพระบาลีตอนนี้ เมื่อหมอชีวกทูลว่า ขอพระองค์ผู้สมมติเทพโปรดเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ดังนี้
เท่ากับทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช เมื่อข้าพระองค์ถูกพระราชาเช่นพระองค์ตั้งร้อยตั้งพันตั้งแสนตรัสถาม ย่อมมีเรี่ยวแรงและพลังที่จะกล่าวคุณกถาของพระศาสดาให้จับใจของคนทั้งหมดได้ พระองค์ก็ทรงคุ้นเคย โปรดเข้าไปเฝ้าทูลถามปัญหาเถิด พระพุทธเจ้าข้า. 
                เมื่อพระราชาทรงสดับคุณกถาของพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่เรื่อยๆ นั้น ทั่วพระวรกายมีปีติ ๕ ประการถูกต้อง
ตลอดเวลา พระองค์มีพระประสงค์จะเสด็จไปในขณะนั้นทีเดียว มีพระดำริว่า เมื่อเราจะไปเฝ้าพระทศพลในเวลานี้ ไม่มีใครอื่นที่จักสามารถจัดยานพาหนะได้เร็ว นอกจากหมอชีวก จึงรับสั่งว่า ชีวกผู้สหาย ถ้าอย่างนั้น ท่านจงสั่งให้เตรียมหัตถียานไว้. 
                บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า เตนหิ เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าส่งไป. อธิบายว่า ไปเถิด ชีวกผู้สหาย. 
                บทว่า หตฺถิยานานิ ความว่า บรรดายานพาหนะมีม้าและรถเป็นต้นที่มีอยู่มากมาย ยานพาหนะคือช้างเป็นสูงสุด ควรจะนำไปสำนักของพระศาสดาผู้สูงสุด ด้วยยานพาหนะที่สูงสุดเหมือนกัน.  พระราชามีพระดำริดังนี้แล้ว และมีพระดำริต่อไปอีกว่า ยานพาหนะคือม้าและรถมีเสียงดัง เสียงของยานพาหนะเหล่านั้นได้ยินไปไกลทีเดียว ส่วนยานพาหนะคือช้าง แม้คนที่เดินตามรอยเท้าก็ไม่ได้ยินเสียง ควรจะไปสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เงียบสงบด้วยยานพาหนะที่เงียบสงบเหมือนกัน ดังนี้แล้วจึงตรัสว่า หตฺถิยานานิ เป็นต้น. 
                บทว่า ปญฺจมตฺตานิ หตฺถินิยาสตานิ ความว่า ช้างพังประมาณ ๕๐๐. 
                บทว่า กปฺปาเปตฺวา ความว่า ให้เตรียมเกยช้าง. 
                บทว่า อาโรหณียํ ความว่า ควรแก่การขึ้น. อธิบายว่า ปกปิด. 
                ถามว่า หมอชีวกนี้ได้กระทำสิ่งที่พระราชาตรัสหรือมิได้ตรัส? 
                ตอบว่า ได้กระทำสิ่งที่พระราชามิได้ตรัส. 
               เพราะเหตุไร? เพราะเป็นบัณฑิต. 
              ได้ยินว่า หมอชีวกนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พระราชามีรับสั่งว่า เราจะไปในเวลานี้.  ธรรมดาพระราชาทั้งหลายมีศัตรูมาก หากจะมีอันตรายบางอย่างในระหว่างทาง แม้เราก็จักถูกคนทั้งหลายตำหนิว่า หมอชีวกคิดว่าพระราชาเชื่อคำเรา จึงพาพระราชาออกไปในเวลาไม่ควร แม้ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าก็จักถูกตำหนิว่า พระสมณโคดมมุ่งแต่จะเทศน์ ไม่กำหนดกาลควรไม่ควรแล้วแสดงธรรม ดังนี้บ้าง เพราะฉะนั้น เราจักกระทำอย่างที่ครหาจะไม่เกิดขึ้นแก่เรา และจะไม่เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งพระราชาก็จะได้รับอารักขาอย่างดี. ต่อแต่นั้น หมอชีวกคิดว่า เพราะอาศัยหญิงทั้งหลาย ภัยย่อมไม่มีแก่ชายทั้งหลาย พระราชามีหญิงแวดล้อมเสด็จไปสะดวกดี จึงให้เตรียมช้างพัง ๕๐๐ เชือกให้หญิง ๕๐๐ คนปลอมเป็นชาย สั่งว่าพวกเธอจงถือดาบและหอกซัดแวดล้อมพระราชา แล้วหมอยังคิดอีกว่า พระราชาองค์นี้ไม่มีอุปนิสัยแห่งมรรคผลในอัตตภาพนี้ และธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเห็นอุปนิสัยก่อนจึงแสดงธรรม เอาละเราจักให้มหาชนประชุมกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสดาจักทรงแสดงธรรมตามอุปนิสัยของใครๆ สักคน พระธรรมเทศนานั้นจักเป็นอุปการะแก่มหาชน. 
                หมอชีวกนั้นส่งข่าวสาสน์ให้ตีกลองป่าวประกาศในที่นั้นๆ ว่า วันนี้พระราชาจะเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอให้คนทุกคนถวายอารักขาพระราชาตามสมควรแก่สมบัติของตนๆ. 
                ลำดับนั้น มหาชนคิดว่า ได้ยินว่า พระราชาจะเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเช่นไรหนอ พวกเราจะมัวเล่นนักษัตรกันทำไม ไปในที่นั้นเถิด.  ทุกคนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ยืนรอการเสด็จมาของพระราชาอยู่ตามทาง.  แม้หมอชีวก็ทูลเชิญเสด็จพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เตรียมยานพาหนะช้างเสร็จแล้ว ขอพระองค์จงรู้เวลาที่ควรเสด็จในบัดนี้เถิด. 
                ในบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญสิ เป็นคำทูลเตือน. 
                อธิบายว่า เรื่องใดที่พระองค์ทรงสั่งไว้ เรื่องนั้นข้าพระองค์ทำเสร็จแล้ว บัดนี้ ขอพระองค์จงรู้เวลาที่จะเสด็จหรือไม่เสด็จเถิด ขอพระองค์จงทรงกระทำตามชอบพระทัยของพระองค์เถิด. 
                บทว่า ปจฺเจกา อิตฺถิโย ตัดบทเป็น ปฏิเอกา อิตฺถิโย อธิบายว่า ช้างพังแต่ละเชือก มีหญิงคนหนึ่งประจำ. 
                บทว่า อุกฺกาสุ ธาริยมานาสุ ความว่า มีคนถือคบเพลิง. 
                บทว่า มหจฺจราชานุภาเวน ความว่า ด้วยอานุภาพของพระราชาที่ใหญ่หลวง.  บาลีว่า มหจฺจา ก็มี ความว่า ใหญ่หลวง นี้เป็นลิงคปริยาย. 
                ราชฤทธิ์ เรียกว่า ราชานุภาพ.  ก็อะไรเป็นราชฤทธิ์? สิริคือความเป็นใหญ่แห่งรัฐใหญ่ ๒ รัฐ ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ ๓๐๐ โยชน์เป็นราชฤทธิ์. 
                จริงอยู่ ในวันก่อนโน้น มิได้มีการเตรียมจัดไว้ก่อน ด้วยหมายว่า พระราชาจักเสด็จไปเฝ้าพระตถาคต หมอชีวกจัดในขณะนั้นเอง เอาหญิง ๕๐๐ คนปลอมเป็นชาย สวมผ้าโพก คล้องพระขรรค์ที่บ่า ถือหอกซัดมีด้ามเป็นแก้วมณีออกไป ซึ่งพระสังคีติกาจารย์หมายถึง  กล่าวว่า ปจฺเจกา อิตฺถิโย อาโรเปตฺวา ดังนี้. 
                หญิงฟ้อนรำล้อมนางกษัตริย์อีกจำนวนหนึ่งประมาณหมื่นหกพันคนแวดล้อมพระราชา. 
                ท้ายขบวนหญิงฟ้อนรำเหล่านั้น มีคนค่อม คนเตี้ยและคนแคระเป็นต้น. 
                ท้ายขบวนคนเหล่านั้น มีคนใกล้ชิดผู้ดูแลภายในพระนคร. 
                ท้ายขบวนคนใกล้ชิดเหล่านั้น มีมหาอำมาตย์ประมาณหกหมื่นคนแต่งตัวเต็มยศงดงาม. 
                ท้ายขบวนมหาอำมาตย์เหล่านั้น มีลูกเจ้าประเทศราชประมาณเก้าหมื่นคน ประดับด้วยเครื่องประดับหลายอย่าง ราวกะเพทยาธรหนุ่มถืออาวุธชนิดต่างๆ. 
                ท้ายขบวนลูกเจ้าประเทศราช มีพราหมณ์ประมาณหมื่นคนนุ่งผ้ามีค่าตั้งร้อย ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่งค่า ๕๐๐ อาบน้ำลูบไล้อย่างดี งามด้วยเครื่องประดับต่างๆ มีดอกไม้ทองเป็นต้น เดินยกมือขวาเปล่งเสียงไชโย. 
                ท้ายขบวนพราหมณ์เหล่านั้น มีดนตรีประกอบด้วยองค์ ๕. 
                ท้ายขบวนดนตรีเหล่านั้น มีนายขมังธนูล้อมเป็นวง. 
                ท้ายพวกขมังธนู มีช้างมีตะพองชิดกัน. 
                ท้ายช้าง มีม้าเรียงรายคอต่อคอชิดกัน. 
                ท้ายม้า มีรถชิดกันและกัน. 
                ท้ายรถ มีทหารแขนต่อแขนกระทบกัน. 
                ท้ายทหารเหล่านั้น มีเสนา ๑๘ เหล่า รุ่งเรืองด้วยเครื่องประดับที่สมควรแก่ตนๆ. 
                หมอชีวกจัดคนถวายพระราชา ชนิดลูกศรที่คนยืนอยู่ท้ายสุดขบวน ยิงไปก็ไม่ถึงพระราชา ตนเองยังตามเสด็จไม่ห่างไกลพระราชา ด้วยหมายใจว่า หากจะมีอันตรายอะไรๆ เราจักถวายชีวิตเพื่อพระราชาก่อนคนอื่นทั้งหมด. 
 อนึ่ง คบเพลิงก็กำหนดไม่ได้ว่าร้อยเท่านี้หรือพันเท่านี้. 
                คำว่า พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จไปสวนอัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจ ด้วยราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ นั้น พระสังคีติกาจารย์กล่าวหมายเอาราชฤทธิ์เห็นปานนี้แล. 
                ในคำว่า อหุเทว ภยํ นี้ ภัยมี ๔ อย่าง คือ ภัยเพราะจิตสะดุ้ง ๑ ภัยเพราะญาณ ๑ ภัยเพราะอารมณ์ ๑ ภัยเพราะโอตตัปปะ ๑. ในภัย ๔ อย่างนั้น ภัยที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า อาศัยชาติ มีความกลัว ความพรั่นพรึง๑- ดังนี้ ชื่อว่าภัยเพราะจิตสะดุ้ง. 
                ภัยที่มาแล้วอย่างนี้ว่า เขาแม้เหล่านั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้ว ย่อมถึงความกลัว ความสลด ความสะดุ้งโดยมาก๒- ดังนี้ ชื่อว่าภัยเพราะญาณ. ภัยที่กล่าวแล้วในคำนี้ว่า มาถึงภัยที่น่ากลัวนั่นนั้นแน่๓- ดังนี้ ชื่อว่าภัยเพราะอารมณ์. 
                ภัยนี้ในคำนี้ว่า คนดีทั้งหลายย่อมสรรเสริญความกลัวต่อบาป ไม่สรรเสริญความกล้าในบาปนั้นเลย เพราะสัตบุรุษทั้งหลายย่อมไม่ทำบาป เพราะกลัว๔- ดังนี้ ชื่อว่าภัยเพราะโอตตัปปะ.
 ๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๙๓๘ ๒- สํ. ข. เล่ม ๑๗/ข้อ ๑๕๖ ๓- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๕ ๔- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๑๐๐ 
                 ในภัย ๔ อย่างนั้น ในที่นี้หมายเอาภัยเพราะจิตสะดุ้ง.  อธิบายว่า ได้มีจิตสะดุ้งแล้ว. 
                บทว่า ฉมฺภิตตฺตํ ความว่า ความพรั่นพรึง.  อธิบายว่า สั่นไปทั่วร่าง. 
                บทว่า โลมหํโส ได้แก่ ขนชูชัน. อธิบายว่า ขนลุกซู่.  ก็ขนชูชันนี้นั้นย่อมมีด้วยปีติในเวลาเกิดอิ่มใจในขณะฟังธรรมเป็นต้นก็มี ด้วยความกลัวในเพราะเห็นการฆ่าฟันกันและเห็นผีเป็นต้นก็มี.  ในที่นี้พึงทราบว่า ขนชูชันเพราะกลัว. 
                ถามว่า ก็พระราชานี้ทรงกลัว เพราะเหตุไร? อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า เพราะความมืด. 
                ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์มีประตูใหญ่ ๓๒ ประตู ประตูเล็ก ๖๔ ประตู. สวนอัมพวันของหมอชีวก อยู่ระหว่างกำแพงเมืองกับภูเขาคิชฌกูฏต่อกัน.  พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จออกทางประตูทิศตะวันตก เสด็จเข้าไปในเงาของภูเขา.  ที่ตรงนั้น พระจันทร์ถูกยอดภูเขาบังไว้ ความมืดจึงมีขึ้นเพราะเงาของภูเขาและเงาของต้นไม้.  แม้ข้อที่กล่าวก็มิใช่เหตุอันสมควร ด้วยว่าในเวลานั้น คบเพลิงตั้งแสนดวงก็กำหนดไม่ได้.  ก็พระเจ้าอชาตศัตรูนี้อาศัยความเงียบสงัด จึงเกิดความกลัวเพราะระแวงหมอชีวก. 
                ได้ยินว่า หมอชีวกได้ทูลพระองค์ที่ปราสาทชั้นบนทีเดียวว่า ข้าแต่พระมหาราช พระผู้มีพระภาคเจ้าประสงค์ความเงียบสงัด ควรเข้าเฝ้าด้วยความเงียบสงัดนั่นเอง เพราะเหตุนั้น พระราชาจึงทรงห้ามเสียงดนตรี.  ดนตรีทั้งหลายพอพระราชาให้หยุดเท่านั้น. ขบวนตามเสด็จจึงไม่เปล่งเสียงดัง มากันด้วยสัญญานิ้วมือ.  แม้ในสวนอัมพวัน ก็ไม่ได้ยินแม้เสียงกระแอมของใครๆ. ธรรมดาพระราชาทั้งหลายย่อมยินดีในเสียงยิ่งนัก. 
                พระเจ้าอชาตศัตรูอาศัยความเงียบสงัดนั้น เกิดหลากพระทัย ชักระแวงแม้ในหมอชีวกว่า หมอชีวกนี้กล่าวว่า ที่สวนอัมพวันของข้าพระองค์มีภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ก็ในที่นี้เราไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกระแอม คำหมอชีวกเห็นจะไม่จริง หมอชีวกนี้ลวงนำเราออกจากเมือง ซุ่มพลกายไว้ข้างหน้า ต้องการจับเราแล้วขึ้นครองราชสมบัติเสียเอง ก็หมอชีวกนี้ทรงกำลัง ๕ ช้างสาร และเดินไม่ห่างเรา คนของเราที่ถืออาวุธอยู่ใกล้ก็ไม่มีสักคน น่าอัศจรรย์ เราเสียหายแล้วหนอ. ก็และครั้นทรงกลัวอย่างนี้แล้วก็ไม่อาจดำรงตนอย่างคนไม่กลัวได้ จึงตรัสบอกความที่พระองค์กลัวแก่หมอชีวกนั้น.  เพราะเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู ฯลฯ ไม่มีเสียงพึมพำ ดังนี้. 
                ในบทเหล่านั้น บทว่า สมฺม ความว่า นี้เป็นคำเรียกคนรุ่นเดียวกัน. อธิบายว่า เพื่อนยาก นี่ไม่หลอกเราหรือ. 
                บทว่า น ปลมฺเภสิ ความว่า ท่านกล่าวสิ่งที่ไม่มีว่ามี ดังนี้ ไม่ลวงเราหรือ. 
                บทว่า นิคฺโฆโส ความว่า ถ้อยคำสนทนากึกก้อง. 
                บทว่า มา ภายิ มหาราช ความว่า หมอชีวกคิดว่า พระราชาพระองค์นี้ไม่รู้จักเรา ถ้าเราไม่ปลอบพระองค์ให้เบาพระทัยว่า ชีวกคนนี้ไม่ฆ่าผู้อื่นดังนี้ ก็ฉิบหาย จึงทูลปลอบให้มั่นพระทัยว่า อย่าทรงกลัวเลย พระเจ้าข้า แล้วจึงทูลว่า น ตํ เทว ดังนี้เป็นต้น. 
                บทว่า อภิกฺกม ความว่า โปรดเสด็จเข้าไปเถิด.  อธิบายว่า จงเข้าไป. ก็เมื่อกล่าวครั้งเดียวจะไม่มั่น ฉะนั้น หมอชีวกจึงรีบกล่าว ๒-๓ ครั้ง. 
                บทว่า เอเต มณฺฑลมาเล ปทีปา ฌายนฺติ ความว่า หมอชีวกทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ธรรมดากำลังของโจรจะไม่จุดประทีปตั้งไว้ แต่นั่นประทีปที่โรงกลมยังสว่างอยู่ ขอพระองค์จงเสด็จไปตามสัญญาแห่งประทีปนั้นเถิด พระเจ้าข้า. 
                 สามญฺญผลปุจฺฉาวณฺณนา 
                               บทว่า นาคสฺส ภูมิ ความว่า ในที่ใดคนขึ้นช้างอาจไปได้ ที่นี้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ช้างไปได้. 
                บทว่า นาคา ปจฺโจโรหิตฺวา ความว่า ลงจากช้างที่ซุ้มประตูภายนอกที่ประทับ. ก็เดชแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าแผ่ไปสู่พระสรีระของพระราชา ตลอดเวลาที่ประทับ ณ พื้นที่ประทับ.  ในทันใดนั้น พระเสโทไหลออกจากทั่วพระสรีระของพระราชา ผ้าทรงได้เป็นเหมือนบีบน้ำไหล.  ความกลัวอย่างมากได้เกิดขึ้นเพราะทรงระลึกถึงความผิดของพระองค์ ท้าวเธอไม่อาจเสด็จไป
สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าตรงๆ ทรงเกาะมือหมอชีวก ราวกะว่าเสด็จชมสวน พลางตรัสชมที่ประทับว่า ชีวกผู้สหาย นี้เธอให้ทำได้ดี นี้เธอสร้างได้ดี เสด็จเข้าประตูโรงกลมโดยลำดับ.  อธิบายว่า ถึงพร้อมแล้ว. 
                ด้วยคำว่า กถํ ปน สมฺม ดังนี้ พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถามเพราะอะไร? อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ไม่ทรงทราบมาก่อน. 
                ได้ยินว่า ในเวลาที่ยังทรงพระเยาว์ พระราชานี้เคยเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับพระบิดา แต่ภายหลัง เพราะคบมิตรชั่ว จึงทำปิตุฆาต ส่งนายขมังธนู ให้ปล่อยช้างธนบาล มีความผิดมาก ไม่กล้าเข้าไปเผชิญพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ว่าไม่ทรงทราบจึงตรัสถามนั้น ไม่ใช่เหตุอันสมควร. ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระวรลักษณ์เต็มที่ ประดับด้วยอนุพยัญชนะ เปล่งพระฉัพพรรณรังสีสว่างไสวทั่วสวน แวดล้อมไปด้วยหมู่ภิกษุ ดุจจันทร์เพ็ญแวดล้อมด้วยหมู่ดาว ประทับนั่งท่ามกลางโรงกลม ใครจะไม่รู้จักพระองค์. แต่พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถามนี้ก็ด้วยท่วงทีแห่งความเป็นใหญ่ของพระองค์.  ข้อที่รู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม ถามดูนี้เป็นปรกติธรรมดาของราชสกุลทั้งหลาย. 
                ฝ่ายหมอชีวกฟังพระดำรัสนั้นแล้วคิดว่า พระราชาพระองค์นี้เป็นดุจประทับยืนอยู่บนแผ่นดิน ถามว่าแผ่นดินอยู่ไหน ดูท้องฟ้า แล้วถามว่าพระจันทร์พระอาทิตย์อยู่ไหน ยืนอยู่ที่
เชิงเขาสิเนรุ ถามว่าเขาสิเนรุอยู่ไหน ประทับยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระทศพลทีเดียว ตรัสถามว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ไหน เอาละ เราจักแสดงพระผู้มีพระภาคเจ้าแด่พระองค์ จึงน้อมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ แล้วทูลคำว่า เอโส มหาราช ดังนี้เป็นต้น. 
                บทว่า ปุรกฺขโต ความว่า ประทับนั่งข้างหน้าของภิกษุสงฆ์ที่นั่งแวดล้อมพระองค์. 
                บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า เข้าไปเฝ้ายังที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่. 
                บทว่า เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิ ความว่า พระราชาพระองค์เดียวเท่านั้นถวายบังคับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับยืนในประเทศแห่งหนึ่งซึ่งสมควรที่พระองค์จะประทับยืนได้ ไม่เบียดพระผู้มีพระภาคเจ้าหรือภิกษุสงฆ์. 
                บทว่า ตุณฺหีภูตํ ตุณฺหีภูตํ ความว่า จะเหลียวแลไปที่ใดๆ ก็เงียบหมดในที่นั้นๆ. 
                จริงอยู่ ในที่นั้นไม่มีภิกษุแม้สักรูปหนึ่งที่แสดงความคะนองมือคะนองเท้า หรือเสียงกระแอม.  ภิกษุแม้รูปหนึ่งก็มิได้แลดูพระราชาหรือบริษัทของพระราชาที่อยู่ตรงพระพักตร์พระผู้
มีพระภาคเจ้า ล้วนมีนางฟ้อนรำเป็นบริวาร ประดับด้วยอลังการครบครัน.  ภิกษุทุกรูปนั่งดูพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น. พระราชาทรงเลื่อมใสในความสงบของภิกษุเหล่านั้น ทรงตรวจดูภิกษุสงฆ์ผู้มีอินทรีย์สงบ เหมือนห้วงน้ำใส เพราะปราศจากเปือกตม บ่อยๆ ทรงเปล่งอุทาน. ในบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อิมินา นี้ แสดงว่า ด้วยความสงบนี้ที่ภิกษุสงฆ์สงบทางกาย ทางวาจาและทางใจ ด้วยความสงบคือศีล. พระราชาตรัสอย่างนี้ในที่นั้น มิได้ทรงหมายถึงความข้อนี้ว่า โอหนอ! ขอให้ลูกของเราบวชแล้วพึงสงบเหมือนภิกษุเหล่านี้.  แต่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นภิกษุสงฆ์แล้วทรงเลื่อมใส จึงทรงระลึกถึงพระโอรส.  ก็การได้สิ่งที่ได้ด้วยยากหรือเห็นสิ่งอัศจรรย์แล้วระลึกถึงคนรักมีญาติและมิตรเป็นต้น เป็นปรกติของโลกทีเดียว.  พระราชานี้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุสงฆ์ แล้วทรงระลึกถึงพระโอรสจึงตรัสอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้. อีกอย่างหนึ่ง พระองค์มีความแหนงพระทัยในพระโอรส เมื่อทรงปรารถนาให้พระโอรสมีความสงบจึงตรัสอย่างนี้. 
                ได้ยินว่า พระองค์ทรงปริวิตกอย่างนี้ว่า ลูกของเราจักถามว่า พระบิดาของเรายังหนุ่ม พระเจ้าปู่ของเราไปไหน เมื่อสดับว่า พระเจ้าปู่นั้น พระบิดาของพระองค์ฆ่าเสียแล้วดังนี้ จักหมายมั่นว่า เราจักฆ่าพระบิดาแล้วครองราชสมบัติ. พระองค์มีความแหนงพระทัยในพระโอรส เมื่อทรงปรารถนาให้พระโอรสมีความสงบ จึงตรัสอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้. 
                ก็พระราชาตรัสอย่างนี้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระโอรสก็จักฆ่าพระองค์อยู่นั่นเอง. 
                ก็ในวงศ์นั้นมีการฆ่าบิดาถึง ๕ ชั่วรัชกาล คือ พระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าพระเจ้าพิมพิสาร. 
                พระเจ้าอุทัยฆ่าพระเจ้าอชาตศัตรู. 
                พระโอรสของพระเจ้าอุทัย พระนามว่ามหามุณฑิกะ ฆ่าพระเจ้าอุทัย. 
  พระโอรสของพระเจ้ามหามุณฑิกะ พระนามว่าอนุรุทธะ ฆ่าพระเจ้ามหามุณฑิกะ. 
                พระโอรสของพระเจ้าอนุรุทธะ พระนามว่านาคทาสะ ฆ่าพระเจ้าอนุรุทธะ. 
                ชาวเมืองโกรธว่า พวกนี้เป็นพระราชาล้างวงศ์ตระกูล ไม่มีประโยชน์ จึงฆ่าพระเจ้านาคทาสะเสีย. 
                เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้ว่า อาคมา โข ตฺวํ ดังนี้. 
                ได้ยินว่า เมื่อพระราชามิได้มีพระดำรัสเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า พระราชานี้เสด็จมา ประทับนิ่งไม่มีเสียง ทรงพระดำริอย่างไรหนอ ครั้นทรงทราบความคิดของพระราชาแล้ว ทรงพระดำริว่าพระราชานี้ไม่อาจเจรจากับเรา ทรงชำเลืองดูภิกษุสงฆ์แล้วทรงระลึกถึงพระโอรส ก็เมื่อเราไม่เอ่ยขึ้นก่อน พระราชานี้จักไม่อาจตรัสอะไรๆ เลย เราจะเจรจากับ
พระองค์. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสในลำดับแห่งพระราชดำรัสว่า อาคมา โข ตฺวํ มหาราช ยถาเปมํ เป็นต้น. 
                เนื้อความของพระพุทธดำรัสนั้นว่า มหาบพิตร น้ำที่ตกในที่สูงย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ขอพระองค์จงชำเลืองดูภิกษุสงฆ์แล้วปฏิบัติตามความรักฉันนั้นเถิด. 
                ครั้งนั้น พระราชามีพระราชดำริว่า โอ! พระพุทธคุณน่าอัศจรรย์ ชื่อว่าคนที่ทำผิดต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนอย่างเราไม่มี ด้วยว่า เราฆ่าอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเชื่อคำของพระเทวทัตส่งนายขมังธนู ปล่อยช้างนาฬาคิรี เพราะอาศัยเรา พระเทวทัตจึงกลิ้งศิลา เรามีความผิดใหญ่หลวงถึงอย่างนี้ พระทศพลยังตรัสเรียกจนพระโอษฐ์จะไม่พอ โอ! พระผู้มีพระภาคเจ้าประดิษฐานอยู่ด้วยดีในลักษณะของผู้คงที่ด้วยอาการ ๕ อย่าง เราจักไม่ละทิ้งพระศาสดาเห็นปานนี้แล้วแสวงหาภายนอก ทรงพระโสมนัส. เมื่อจะทรงสนทนากะพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ปิโย เม ภนฺเต เป็นต้น. 
                บทว่า ภิกฺขุสงฺฆสฺส อญฺชลึ ปณาเมตฺวา ความว่า ได้ยินว่า พระเจ้าอชาตศัตรูนั้นมีพระราชดำริว่า เราถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไปไหว้ภิกษุสงฆ์ข้างโน้นข้างนี้ ย่อมจะต้องหันหลังให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จะไม่เป็นการกระทำความเคารพพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะคนที่ถวายบังคมพระราชาแล้วถวายบังคมอุปราช ย่อมเป็นอันไม่กระทำความเคารพพระราชา ฉะนั้น พระองค์จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วน้อมอัญชลีแด่ภิกษุสงฆ์ตรงที่ประทับยืนนั่นเอง แล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง. 
                บทว่า กญฺจิเทว เทสํ เลสมฺตํ ได้แก่ โอกาสบางโอกาส. 
                ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงหนุนให้พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดอุตสาหะในการถามปัญหา จึงตรัสว่า เชิญถามเถิด มหาบพิตร เมื่อทรงพระประสงค์. 
                พระพุทธดำรัสนั้นมีความว่า เชิญถามเถิด เมื่อทรงพระประสงค์ เราตถาคตไม่มีความหนักใจในการวิสัชนาปัญหา. 
                อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปวารณาอย่างสัพพัญญูปวารณาซึ่งไม่ทั่วไปแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวกและมหาสาวกทั้งหลายว่า เชิญถามเถิด พระองค์ทรงประสงค์ข้อใดๆ เราตถาคตจักวิสัชนาถวายข้อนั้นๆ ทุกข้อแด่พระองค์. 
                จริงอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวกและมหาสาวกเหล่านั้นย่อมไม่กล่าวว่า ยทากงฺขสิ ถ้าทรงพระประสงค์ ย่อมกล่าวว่า ฟังแล้วจักรู้ได้.  แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมตรัสว่า ถามเถิด อาวุโส เมื่อต้องการ หรือว่า เชิญถามเถิด มหาบพิตร เมื่อทรงพระประสงค์. 
                หรือว่า ดูก่อนวาสวะ ท่านต้องการถามปัญหาข้อใดข้อหนึ่งในใจ จงถามกะเรา เราจะกระทำที่สุดแห่งปัญหานั้นๆ แก่ท่าน.๑- 
                        หรือว่า ดูก่อนภิกษุ ถ้าอย่างนั้น เธอจงนั่งบนอาสนะของตน ถามปัญหาตามที่ต้องการเถิด.๒- 
                         หรือว่า ความสงสัยทุกๆ ข้อ ของพราหมณ์พาวรีก็ดี ของพวกท่านทั้งปวงก็ดี อะไรๆ ในใจที่พวกท่านปรารถนา จงถามเถิด เราเปิดโอกาสแล้ว.๓- 
                หรือว่า ดูก่อนสภิยะ ท่านต้องการถามปัญหาข้อใดข้อหนึ่งในใจ จงถามกะเรา เราจะกระทำที่สุดแห่งปัญหานั้นๆ แก่ท่าน.๔-
๑- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๕๔ ๒- ม. อุปริ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๑๒๐ ๓- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๔๒๔ ๔- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๖๕ 
                 พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมปวารณาอย่างสัพพัญญูปวารณาแก่ยักษ์ จอมคน เทวดา สมณะพราหมณ์และปริพาชกทั้งหลายนั้นๆ ก็ข้อนี้ไม่อัศจรรย์ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุพุทธภูมิแล้วจึงปวารณาอย่างนั้น. 
                แม้เมื่อดำรงอยู่ในญาณระดับภูมิพระโพธิสัตว์ ถูกฤาษีทั้งหลายขอร้องให้แก้ปัญหาเพื่อประโยชน์แก่ท้าวสักกะเป็นต้นอย่างนี้ว่า 
                ดูก่อนโกณฑัญญะ ขอท่านจงพยากรณ์ปัญหาทั้งหลายที่พวกฤาษีดีๆ วอนขอ. 
                ดูก่อนโกณฑัญญะ นี้เป็นมนุษยธรรม การที่มาหาความเจริญนี้เป็นหน้าที่ที่ต้องรับเอา.๕-  ในเวลาเป็นสรภังคดาบส อย่างนี้ว่า เราเปิดโอกาสแล้ว ขอท่านผู้เจริญทั้งหลายจงถามปัญหาข้อใดข้อหนึ่งที่ใจปรารถนาเถิด เราจักพยากรณ์ปัญหานั้นๆ ของพวกท่าน เพราะเราเองรู้ทั้งโลกนี้และโลกอื่น.๕- 
 ๕- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๒๔๕๕-๒๔๕๖ 
                 และในสัมภวชาดก มีพราหมณ์ผู้สะอาดเที่ยวไปทั่วชมพูทวีป ๓ ครั้ง ไม่พบผู้ที่จะแก้ปัญหาได้ ครั้นพระโพธิสัตว์ให้โอกาสแล้ว เวลานั้นพระโพธิสัตว์เกิดมาได้ ๗ ปี เล่นฝุ่นอยู่ในถนน นั่งคู้บัลลังก์กลางถนนนั่นเอง ปวารณาอย่างสัพพัญญูปวารณาว่า เชิญเถิด เราจักบอกแก่ท่านอย่างคนฉลาดบอก และพระราชาย่อมทรงทราบข้อนั้นว่า จักทำได้หรือไม่.๖- 
 ๖- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๒๓๖๘ 
                 เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปวารณาสัพพัญญูปวารณาอย่างนี้แล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูทรงพอพระทัย เมื่อจะทูลถามปัญหา ได้กราบทูลว่า ยถา นุ โข อิมานิ ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น. 
                ในบทเหล่านั้น ศิลปะนั่นแหละ ชื่อสิปปายตนะ. 
                บทว่า ปุถุสิปฺปายตนานิ แปลว่า ศิลปศาสตร์เป็นอันมาก. 
                บทว่า เสยฺยถีทํ ความว่า ก็ศิลปศาสตร์เหล่านั้นอะไรบ้าง? 
                ด้วยบทว่า หตฺถาโรหา เป็นต้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงแสดงเหล่าชนที่อาศัยศิลปะนั้นๆ เลี้ยงชีพ.  ด้วยว่าพระองค์มีพระราชประสงค์ดังนี้ว่า ผลแห่งศิลปะที่ประจักษ์เพราะอาศัยศิลปะนั้นๆ ย่อมปรากฏแก่ผู้ที่เข้าไปอาศัยศิลปะเลี้ยงชีพเหล่านี้ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจที่จะประกาศสามัญญผลที่ประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนฉันนั้นได้หรือไม่หนอ ดังนี้.  เพราะฉะนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงเริ่มศิลปศาสตร์ทั้งหลายมาแสดงคนที่เข้าไปอาศัยศิลปะเลี้ยงชีพ. 
                ในบทเหล่านี้ ด้วยบทว่า หตฺถาโรหา ย่อมแสดงถึงอาจารย์ฝึกช้าง หมอรักษาช้างและคนผูกช้างเป็นต้นทั้งหมด. 
                บทว่า อสฺสาโรหา ได้แก่ ครูฝึกม้า หมอรักษาม้าและคนผูกม้าเป็นต้นทั้งหมด. 
                บทว่า รถิกา ได้แก่ ครูฝึกพลรถ ทหารรถและคนรักษารถเป็นต้นทั้งหมด. 
                บทว่า ธนุคฺคหา ได้แก่ ครูฝึกพลธนูและคนแม่นธนู. 
                บทว่า เจลกา ได้แก่ ผู้เชิญธงชัยไปข้างหน้าในสนามรบ. 
                บทว่า จลกา ได้แก่ ผู้จัดกระบวนทัพอย่างนี้ว่า พระราชาอยู่ตรงนี้ มหาอำมาตย์ชื่อโน้นอยู่ตรงนี้. 
                บทว่า ปิณฺฑทายิกา ได้แก่ ทหารใหญ่ที่กล้าตายเก่งกาจ. 
                ได้ยินว่า ทหารพวกนั้นเข้ากองทัพข้าศึก ตัดศีรษะข้าศึกเหมือนก้อนข้าวแล้วนำไป.  อธิบายว่า กระโดดพรวดออกไป.  อีกอย่างหนึ่ง  คำว่า ปิณฺฑทายิกา นี้เป็นชื่อของผู้ที่ถือถาดอาหารเข้าไปให้แก่ทหาร ท่ามกลางสงคราม. 
                บทว่า อุคฺคา จ ราชปุตฺตา ได้แก่ พวกราชบุตรที่เข้าสงคราม  มีชื่อว่าอุคคะ- อุคคตะ
                บทว่า ปกฺขนฺทิโน ได้แก่ ทหารเหล่าใดกล่าวว่า พวกเราจะนำศีรษะหรืออาวุธของใครๆ มา ครั้นได้รับคำสั่งว่าของคนโน้น ก็แล่นเข้าสู่สงคราม นำสิ่งที่สั่งนั้นนั่นแหละมาได้ ทหารเหล่านี้ชื่อว่า ปกฺขนฺทิโน ด้วยอรรถว่า แล่นไป (หน่วยจู่โจม). 
                บทว่า มหานาคา ได้แก่ เป็นผู้กล้ามากเหมือนพระยานาค. 
                คำว่า มหานาคา นี้เป็นชื่อของหมู่ทหารที่แม้เมื่อช้างเป็นต้นวิ่งมาตรงหน้า ก็ไม่ถอยกลับ. 
                บทว่า สูรา ได้แก่ กล้าที่สุด ซึ่งคลุมด้วยตาข่ายก็ตาม สวมเกราะหนังก็ตาม ก็สามารถข้ามทะเลได้. 
                บทว่า จมฺมโยธิโน ได้แก่ พวกที่สวมเสื้อหนัง หรือถือโล่หนัง.  สำหรับต้านลูกธนูรบ. 
                บทว่า ทาสิกปุตฺตา ได้แก่ พวกลูกทาสในเรือนซึ่งรักนายเป็นกำลัง. 
                บทว่า อาฬาริกา ได้แก่ พวกทำขนม. 
                บทว่า กปฺปิกา ได้แก่ พวกช่างกัลบก. 
                บทว่า นฺหาปิกา ได้แก่ พนักงานเครื่องสรง. 
                บทว่า สูทา ได้แก่ พวกทำอาหาร.                 พวกช่างดอกไม้เป็นต้น แจ่มแจ้งอยู่แล้ว. 
                บทว่า คณกา ได้แก่ พวกพูดไม่มีช่องให้ถาม. 
                บทว่า มุทฺธิกา ได้แก่ พวกอาศัยวิชานับหัวแม่มือเลี้ยงชีพ. 
                บทว่า ยานิ วาปนญฺญานิปิ ได้แก่ พวกช่างเหล็ก ช่างฉลุงาและช่างเขียนลวดลายเป็นต้น. 
                บทว่า เอวํ คตานิ ได้แก่ เป็นไปอย่างนี้. 
                บทว่า เต ทิฎฺเฐว ธมฺเม ความว่า พวกพลช้างเป็นต้นเหล่านั้นแสดงศิลปศาสตร์มากอย่างเหล่านั้น ได้สมบัติมากจากราชสกุล เข้าไปอาศัยผลแห่งศิลปะที่เห็นประจักษ์นั่นแหละเลี้ยงชีพอยู่ได้. 
                บทว่า สุเขนฺติ แปลว่า ทำให้เป็นสุข. 
                บทว่า ปิเณนฺติ ได้แก่ ทำให้เอิบอิ่มมีเรี่ยวแรงและกำลัง. 
                บทว่า อุทฺธคฺคิกา เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ที่ชื่อว่า อุทฺธคฺคิกา เพราะอรรถว่า มีผลเลิศเหนือผลที่เกิดสูงขึ้นไป. 
                ชื่อว่า โสวคฺคิกา เพราะอรรถว่า ควรซึ่งอารมณ์ดีเลิศ ที่ชื่อว่า สุขวิปากา เพราะอรรถว่า มีสุขเป็นวิบาก. 
                ที่ชื่อว่า สคฺคสํวตฺตนิกา เพราะอรรถว่า ยังธรรม ๑๐ ประการ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อายุ วรรณะ สุข ยศ และความยิ่งใหญ่อย่างดีเลิศให้เป็นไปคือให้เกิด.  อธิบายว่า ตั้งทักษิณาทานเห็นปานนั้นไว้. 
                ในบทว่า สามญฺญผลํ นี้ โดยปรมัตถ์ สามัญญะหมายถึงมรรค สามัญญผลหมายถึงอริยผล.  เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๗-   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สามัญญะเป็นไฉน มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ที่เป็นอริยะนี้แหละเป็นสามัญญะ มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ที่เป็นอริยะ คืออะไรบ้าง?  คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สามัญญะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สามัญญผลเป็นไฉน? โสดาปัตติผล ฯลฯ อรหัตตผล นี้แหละเป็นสามัญญผล 
 ๗- สํ. มหา. เล่ม ๑๙/ข้อ ๑๐๐ 
                 พระราชาองค์นี้มิได้ถึงสามัญญผลนั้น ก็พระองค์ตรัสถามทรงหมายถึงสามัญญผลที่เปรียบด้วยทาสและชาวนาซึ่งมีมาได้อย่างสูง. 
                ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงวิสัชนาปัญหาทันที ทรงพระดำริว่า อำมาตย์ของพระราชาเหล่านี้ที่เป็นสาวกของอัญญเดียรถีย์มากหลายมาในที่นี้ พวกอำมาตย์เหล่านั้น เมื่อเรากล่าวแสดงฝ่ายดำและฝ่ายขาว จักติเตียนว่า พระราชาของพวกเราเสด็จมาในที่นี้ด้วยอุตสาหะใหญ่ ตั้งแต่พระองค์เสด็จมาแล้ว พระสมณโคดมตรัสความโกลาหลของสมณะให้เป็นเรื่องสมณะทะเลาะกันเสีย จักไม่ฟังธรรมโดยเคารพ.  แต่เมื่อพระราชาตรัส พวกอำมาตย์จักไม่อาจติเตียน จักอนุวัตรตามพระราชาเท่านั้น. ธรรมดาชาวโลกย่อมอนุวัตรตามผู้เป็นใหญ่ ตกลงเราจะทำให้เป็นภาระของพระราชาแต่ผู้เดียว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำให้เป็นภาระของพระราชา จึงตรัสว่า อภิชานาสิ โน ตฺวํ ดังนี้เป็นต้น. 
                ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิชานาสิ โน ตฺวํ เท่ากับ อภิชานาสิ นุ ตฺวํ และ โน ศัพท์นี้พึงประกอบด้วยบท ปุจฺฉิตา ข้างหน้า. 
                อธิบายว่า มหาบพิตร ปัญหานี้พระองค์เคยถามสมณพราหมณ์เหล่าอื่นบ้างหรือหนอ.  พระองค์ยังจำได้ถึงภาวะที่ถามปัญหานั้น พระองค์มิได้ทรงลืมสมณพราหมณ์เหล่านั้นหรือ. 
                บทว่า สเจ เต อครุ ความว่า ถ้าสมณพราหมณ์นั้นๆ พยากรณ์อย่างไร การที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นในที่นี้จะไม่เป็นการหนักพระทัยแก่พระองค์.  อธิบายว่า ถ้าจะไม่มีความไม่ผาสุกอะไรๆ ขอให้พระองค์ตรัสเถิด. 
                บทว่า น โข เม ภนฺเต นี้ พระราชาตรัสหมายถึงอะไร?                 หมายถึงว่า ก็การกล่าวในสำนักของบัณฑิตเทียมทั้งหลาย ย่อมเป็นความลำบาก.  บัณฑิตเทียมเหล่านั้นย่อมให้โทษทุกๆ บททุกๆ อักษรทีเดียว. ส่วนท่านที่เป็นบัณฑิตแท้ ฟังถ้อยคำแล้ว ย่อมสรรเสริญคำที่กล่าวดี ในถ้อยคำที่กล่าวไม่ดี ผิดบาลีผิดบทผิดอรรถและผิดพยัญชนะตรงแห่งใดๆ บัณฑิตแท้ย่อมช่วยทำให้ถูกตรงแห่งนั้นๆ. 
                ก็ขึ้นชื่อว่าบัณฑิตแท้อย่างพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทูลว่า ณ ที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าหรือท่านผู้เปรียบด้วยพระผู้พระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ หม่อมฉันไม่หนักใจ พระเจ้าข้า. 
                 ปูรณกสฺสปวาทวณฺณนา                                ในบทว่า เอกมิทาหํ นี้ ตัดบทเป็น เอกํ อิธ อหํ แปลว่า สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉัน. 
                บทว่า สมฺโมทนียํ ได้แก่ สาราณียํ วีติสาเรตฺวา ความว่า ยังถ้อยคำที่ให้เกิดความบันเทิง ควรให้ระลึกถึงกันจบลงแล้ว. 
                ในคำว่า กโรโต โข มหาราช การยโต เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. 
                บทว่า กโรโต ได้แก่ กระทำด้วยมือของตน. 
                บทว่า การยโต ได้แก่ บังคับให้ทำ. 
                บทว่า ฉินฺทโต ได้แก่ ตัดมือเป็นต้นของคนอื่น. 
                บทว่า ปจโต ได้แก่ ใช้อาชญาเบียดเบียนบ้าง คุกคามบ้าง. 
                บทว่า โสจยโต ความว่า ทำเขาให้เศร้าโศกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้เขาเศร้าโศกบ้าง ด้วยการลักสิ่งของของผู้อื่นเป็นต้น. 
                บทว่า กิลมยโต ความว่า ให้เขาลำบากเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้เขาลำบากบ้าง ด้วยการตัดอาหารและใส่เรือนจำเป็นต้น. 
                บทว่า ผนฺทโต ผนฺทาปยโต ความว่า ในเวลาที่ผูกมัดผู้อื่นซึ่งดิ้นรนอยู่ แม้ตนเองก็ดิ้นรน ทำผู้อื่นให้ดิ้นรน. 
                บทว่า ปาณมติปาตาปยโต ความว่า ฆ่าเองบ้าง ให้ผู้อื่นฆ่าบ้างซึ่งสัตว์มีชีวิต. 
                ในทุกบท พึงทราบเนื้อความด้วยสามารถแห่งการกระทำเองและการให้ผู้อื่นกระทำนั่นแหละด้วยประการฉะนี้.
                    บทว่า สนฺธึ ได้แก่ ที่ต่อเรือน. 
                บทว่า นิลฺโลปํ ได้แก่ ปล้นยกใหญ่. 
                บทว่า เอกาคาริกํ ได้แก่ ล้อมปล้นเรือนหลังเดียวเท่านั้น. 
                บทว่า ปริปนฺเถ ได้แก่ ยืนดักอยู่ที่ทางเพื่อชิงทรัพย์ของคนที่ผ่านไปมา. 
                ด้วยคำว่า กโรโต น กริยาติ ปาปํ แสดงว่า แม้เมื่อทำด้วยเข้าใจว่า เราทำบาปอย่างใดอย่างหนึ่ง บาปไม่เป็นอันทำ บาปไม่มี.  แต่สัตว์ทั้งหลายเข้าใจกันเองอย่างนี้ว่า เราทำ. 
                บทว่า ขุรปริยนฺเตน ความว่า ใช้จักรที่มีกงคมเหมือนมีดโกน หรือมีวงกลมคม เช่นคมมีดโกน. 
                บทว่า เอกมํสขลํ ได้แก่กองเนื้อกองเดียว. 
                บทว่า ปุญฺชํ เป็นไวพจน์ของบทว่า ขลํ นั่นเอง. 
                บทว่า ตโตนิทานํ ความว่า มีการทำให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกันเป็นเหตุ. 
                บทว่า ทกฺขิณํ ความว่า พวกมนุษย์ในฝั่งขวาเป็นคนหยาบช้าทารุณ ท่านกล่าวว่า หนนฺโต เป็นต้น  หมายถึงมนุษย์เหล่านั้น. พวกมนุษย์ในฝั่งซ้ายเป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใส นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของตน ท่านกล่าวคำว่า ททนฺโต เป็นต้น หมายถึงมนุษย์เหล่านั้น. 
                บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยชนฺโต ได้แก่ ทำการบูชาใหญ่. 
                บทว่า ทเมน ได้แก่ ด้วยการฝึกอินทรีย์หรือด้วยอุโบสถกรรม. 
                บทว่า สญฺญเมน ได้แก่ การสำรวมศีล. 
                บทว่า สจฺจวาเจน ได้แก่ ด้วยการพูดคำจริง. 
                บทว่า อาคโม ความว่า มา คือเป็นไป.                 ครูปูรณกัสสปปฏิเสธการทำบาปและบุญนั่นเอง แม้โดยประการทั้งปวง. 
                ที่ชื่อว่า เมื่อถูกถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ ได้แก่ คนที่เมื่อถูกถามว่า มะม่วงเป็นเช่นไร หรือลำต้นใบดอกผลของมะม่วงเป็นเช่นไรดังนี้แล้ว.  :ตอบว่า ขนุนสำมะลอเป็นอย่างนี้ ลำต้นใบดอกผลของขนุนสำมะลอเป็นอย่างนี้. 
                บทว่า วิชิเต ได้แก่ ในประเทศที่อยู่ในอำนาจปกครอง. 
                บทว่า อปสาเทตพฺพํ ความว่า พึงเบียดเบียน. 
                บทว่า อนภินนฺทิตฺวา ได้แก่ ไม่ทำการสรรเสริญอย่างนี้ว่า ดีละๆ. 
                บทว่า อปฺปฏิกฺโกสิตฺวา ได้แก่ ไม่ห้ามอย่างนี้ว่า แน่ะคนโง่ ท่านพูดไม่ดี. 
                บทว่า อนุคฺคณฺหนฺโต ได้แก่ ไม่ถือเอาเป็นสาระ. 
                บทว่า อนิกฺกุชฺเชนฺโต ได้แก่ ไม่เก็บไว้ในใจว่า นี้เป็นนิสสรณะ นี้เป็นปรมัตถ์ เพราะถือเป็นสาระได้ทีเดียว.  แต่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงศึกษาพยัญชนะแล้วทรงทิ้งเสีย.

14 กรกฎาคม 2567

หน้าต่างที่ ๐๑/๐๗ อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค สามัญญผลสูตร เล่ม ๑ พระสุตตันตปิฎก

ราชามจฺจกถาวณฺณนา 
                พระบาลีสามัญญผลสูตรว่า เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห ดังนี้เป็นต้น. 
         ในพระบาลีนั้น มีการพรรณนาตามลำดับดังต่อไปนี้ :- 
                บทว่า ราชคเห ความว่า ในพระนครซึ่งมีชื่ออย่างนั้น.
                 จริงอยู่ พระนครนั้น เรียกกันว่า ราชคฤห์ เพราะพระเจ้ามันธาตุราช และท่านมหาโควินท์เป็นต้น ครอบครอง. 
                ก็ในคำว่า ราชคฤห์นี้มีนักปราชญ์อื่นๆ พรรณนาไว้มากมาย จะมีประโยชน์อะไรด้วยคำเหล่านั้น เพราะคำนั้นเป็นเพียงชื่อของเมืองเท่านั้น. 
                พระนครราชคฤห์นี้ เป็นเมืองทั้งในพุทธกาล ทั้งในจักรพรรดิกาล ส่วนในกาลที่เหลือ เป็นเมืองร้าง พวกยักษ์ครอบครอง เป็นป่าที่อยู่อาศัยของยักษ์เหล่านั้น. 
                คำว่า วิหรติ นี้ ตามธรรมดาเป็นคำแสดงถึงความพร้อมเพรียงด้วยวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาอิริยาบทวิหารทิพพวิหารพรหมวิหารและอริยวิหาร. 
                แต่ในที่นี้ แสดงถึงการยืน เดิน นั่ง นอน ซึ่งเป็นอิริยาบถที่ผลัดเปลี่ยนกันเท่านั้น ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจะประทับยืนก็ตาม เสด็จดำเนินไปก็ตาม ประทับนั่งก็ตาม บรรทมก็ตาม 
                 พึงทราบว่า วิหรติ ประทับอยู่ ทั้งนั้น.  ด้วยว่า พระองค์ทรงบำบัดความลำบากแห่งอิริยาบถหนึ่ง ด้วยอิริยาบถหนึ่ง ทรงบริหารอัตตภาพมิให้ทรงลำบากพระวรกาย ฉะนั้น 
                 จึงเรียกว่า วิหรติ แปลว่า ประทับตามสบาย. 
                คำว่า ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อพฺพวเน นี้ เป็นคำแสดงแหล่งที่พำนักใกล้กรุงราชคฤห์นั้น พอที่จะเข้าไปอาศัยบิณฑบาตได้ เพราะฉะนั้น ในข้อนี้พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า 
                 คำว่า ราชคเห วิหรติ ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเน ความว่า ประทับอยู่ ณ สวนอัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจ กรุงราชคฤห์ เพราะคำนี้เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถว่า ใกล้. 
                ในพระบาลีนั้น ที่ชื่อว่า ชีวก ด้วยอรรถว่ายังเป็นอยู่.  ที่ชื่อว่า โกมารภัจ ด้วยอรรถว่าพระราชกุมารทรงชุบเลี้ยง. 
                เหมือนอย่างที่เล่ากันว่า พระอภัยราชกุมารเสด็จไปพบทารกเข้า รับสั่งถามว่า "อะไรนั่นพนาย ที่ฝูงกาล้อมอยู่"    ทูลว่า "ทารก พระเจ้าข้า"     "ยังเป็นอยู่หรือ"     "ยังเป็นอยู่ พระเจ้าข้า"   "ถ้าอย่างนั้น จงนำทารกนั้นเข้าไปภายในเมืองแล้วมอบให้แม่นมทั้งหลายเลี้ยงดูไว้."    คนทั้งหลายจึงได้ตั้งชื่อทารกนั้นว่า ชีวก เพราะยังเป็นอยู่ และตั้งชื่อว่า โกมารภัจ เพราะพระราชกุมารทรงชุบเลี้ยง.๑-
 ๑- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๑๒๘ 
                 นี่เป็นความย่อในเรื่องนี้ ส่วนความพิสดารเรื่องหมอชีวกมาแล้วในขันธกะนั่นแล แม้กถาที่วินิจฉัยเรื่องหมอชีวกนี้ ก็ได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกา. 
                ก็หมอชีวกนี้ สมัยหนึ่ง ทำให้พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งหมักหมมด้วยโรค ให้หายเป็นปรกติแล้ว ถวายผ้าคู่หนึ่ง ซึ่งทอจากแคว้นสีพี พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา เวลาอนุโมทนาการถวายผ้าจบลง หมอชีวกตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล จึงคิดว่า 
                เราควรจะไปเฝ้าดูแลพระพุทธเจ้า วันละ ๒-๓ ครั้ง.  ก็เขาคิชฌกูฏนี้และพระวิหารเวฬุวันอยู่ไกลเหลือเกิน. แต่สวนอัมพวันของเราใกล้กว่า อย่ากระนั้นเลย เราจะสร้างวิหารถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในสวนอัมพวันของเรานี้. 
                หมอชีวกนั้นจึงสร้างที่อยู่กลางคืน ที่อยู่กลางวัน ที่พัก กุฏี และมณฑปเป็นต้น แล้วให้สร้างพระคันธกุฎีที่สมควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในสวนอัมพวันนั้น ให้สร้างกำแพงมีสีเหมือนผ้าแดง สูง ๑๘ ศอก 
                ล้อมสวนอัมพวัน เลี้ยงดูภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยจีวรและภัตตาหาร ได้หลั่งน้ำทักษิโณทก มอบถวายสวนอัมพรเป็นพระวิหารแล้ว. 
                คำว่า ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเน นั้น ท่านกล่าวหมายเอาพระวิหาร ดังกล่าวมานั้น. 
                บทว่า ราชา ในบททั้งหลาย มีบทว่า ราชา เป็นต้น ความว่า ชื่อว่า ราชา ด้วยอรรถว่า ทำมหาชนให้ยินดีหรือให้เจริญด้วยอิสริยสมบัติของตน หรือด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ. 
                ชื่อว่า มาคโธ ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่เหนือชาวมคธ. 
                ชื่อว่า อชาตสตฺตุ ด้วยอรรถว่า เนมิตตกาจารย์ทั้งหลายชี้แจงไว้ว่า ยังไม่ทันเกิดก็จักเป็นศัตรูแก่พระราชา. 
                ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูยังอยู่ในพระครรภ์ พระเทวีเกิดการแพ้ท้องถึงขนาดอย่างนี้ว่า โอ หนอ เราพึงดื่มโลหิตพระพาหาเบื้องขวาของพระราชา. 
                 พระนางมีพระดำริว่า การแพ้ท้องเกิดขึ้นในฐานะอันหนัก ไม่อาจบอกให้ใครทราบได้ เมื่อไม่อาจบอกได้ จึงซูบผอมผิวพรรณซีดลง. 
                 พระราชาตรัสถามพระนางว่า "แน่ะนางผู้เจริญ ร่างกายของเธอมีผิวพรรณไม่ปรกติ มีเหตุอะไรหรือ." 
                 ทูลว่า "โปรดอย่าถามเลย ทูลกระหม่อม." 
                 รับสั่งว่า "แน่ะพระนาง เมื่อไม่อาจบอกความประสงค์ของเธอแก่ฉัน เธอจักบอกแก่ใคร" ดังนี้ 
                ทรงรบเร้าด้วยประการนั้นๆ ให้พระนางบอกจนได้ พอได้ทรงทราบเท่านั้นก็รับสั่งว่า "พระนางนี่โง่ ในเรื่องนี้เธอมีสัญญาหนักหนา มิใช่หรือ" ดังนั้น จึงรับสั่งให้เรียกหมอมา ให้เอามีดทองกรีดพระพาหา แล้วรองพระโลหิตด้วยจอกทองคำ เจือด้วยน้ำแล้วให้พระนางดื่ม. 
                เนมิตตกาจารย์ทั้งหลายได้ทราบข่าวดังนั้น พากันพยากรณ์ว่า พระโอรสในครรภ์องค์นี้จักเป็นศัตรูแก่พระราชา พระราชาจักถูกพระโอรสองค์นี้ปลงพระชนม์. 
                พระเทวีทรงสดับข่าวดังนั้น 
                 มีพระดำริว่า "พระโอรสที่ออกจากท้องของเราจักฆ่าพระราชา" จึงมีพระประสงค์จะทำลายครรภ์ให้ตกไป เสด็จไปพระราชอุทยานให้บีบพระครรภ์. แต่พระครรภ์ก็หาตกไม่. 
                 พระนางเสด็จไปให้ทำอย่างนั้นบ่อยๆ.  พระราชาทรงสืบดูว่า พระเทวีนี้เสด็จไปพระราชอุทยานเนืองๆ เพื่ออะไร ทรงทราบเหตุนั้นแล้วจึงทรงห้ามว่า พระนาง เด็กในท้องของพระนาง ยังไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิงเลย พระนางก็กระทำอย่างนี้กะทารกที่เกิดแก่ตนเสียแล้ว โทษกองใหญ่ของเราดังกล่าวนี้จักกระจายไปทั่วชมพูทวีป ขอพระนางจงอย่ากระทำอย่างนี้อีกเลย แล้วได้ประทานอารักขา. 
                 พระนางเธอได้หมายใจไว้ว่าเวลาคลอดจักฆ่าเสีย.  แม้ในเวลาที่คลอดนั้น พวกเจ้าหน้าที่อารักขาก็ได้นำพระกุมารออกไปเสีย. 
                สมัยต่อมา พระกุมารเจริญวัยแล้ว จึงนำมาแสดงแก่พระเทวี.  พอทอดพระเนตรเห็นพระกุมารเท่านั้น พระนางก็เกิดความรักพระโอรส ฉะนั้นจึงไม่อาจฆ่าพระกุมารนั้นได้.  ลำดับต่อมา แม้พระราชาก็ได้พระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรส. 
                สมัยต่อมา พระเทวทัตอยู่ในที่ลับ คิดว่า พระสารีบุตรก็มีบริษัทมาก พระโมคคัลลานะก็มีบริษัทมาก พระมหากัสสปะก็มีบริษัทมาก ท่านเหล่านี้มีธุระคนละอย่างๆ ถึงเพียงนี้ แม้เราก็จะแสดงธุระสักอย่างหนึ่ง. 
                พระเทวทัตนั้น เมื่อไม่มีลาภก็ไม่อาจทำบริษัทให้เกิดขึ้นได้ จึงคิดว่า เอาละ เราจักทำลาภให้เกิดขึ้น จึงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ทำให้อชาตศัตรูราชกุมารเลื่อมใสตามนัยที่มาในขันธกะ 
                พอรู้ว่า พระกุมารอชาตศัตรูเลื่อมใสคุ้นเคยยิ่ง ถึงขนาดมาสู่ที่บำรุงของตนทั้งเช้าเย็นพร้อมด้วยบริวารเต็มรถ ๕๐๐ คัน วันหนึ่งจึงเข้าไปหากล่าวว่า 
                 ดูก่อนกุมาร เมื่อก่อนพวกมนุษย์มีอายุยืน แต่เดี๋ยวนี้มีอายุน้อย. 
                ดูก่อนกุมาร ถ้าอย่างนั้น พระราชกุมารพระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดาเสียแล้วเป็นพระราชา. อาตมภาพจักปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า แล้วส่งพระกุมารไปปลงพระชนม์พระบิดา. 
                พระกุมารอชาตศัตรูนั้นหลงเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตมีอานุภาพมาก สิ่งที่พระเทวทัตไม่รู้แจ้ง ไม่มี จึงเหน็บกฤชที่พระอุรุมุ่งจะฆ่ากลางวันแสกๆ มีความกลัวหวาดหวั่นสะดุ้งตื่นเต้น เข้าไปภายในพระราชฐาน ทำอาการแปลกๆ มีประการดังกล่าวแล้ว. 
                ครั้งนั้น พวกอำมาตย์จับอชาตศัตรูราชกุมารได้ ส่งออกมาปรึกษาโทษว่า พระกุมารจะต้องถูกประหาร พระเทวทัตจะต้องถูกประหาร และภิกษุพวกพระเทวทัตทั้งหมดจะต้องถูกประหาร แล้วกราบทูลพระราชาว่า พวกข้าพระองค์จักกระทำตามพระราชอาญา. 
                พระราชาทรงลดตำแหน่งของพวกอำมาตย์ที่ประสงค์ลงโทษประหาร ทรงตั้งพวกอำมาตย์ที่ไม่ต้องการให้ลงโทษประหารไว้ในตำแหน่งสูงๆ แล้วตรัสถามพระกุมารว่า ลูกต้องการจะฆ่าพ่อเพื่ออะไร. 
                พระกุมารกราบทูลว่า หม่อมฉันต้องการราชสมบัติ พระเจ้าข้า.   พระราชาได้พระราชทานราชสมบัติแก่พระโอรสนั้น. 
                อชาตศัตรูราชกุมารบอกแก่พระเทวทัตว่า ความปรารถนาของเราสำเร็จแล้ว.  ลำดับนั้น พระเทวทัตกล่าวกะพระกุมารว่า พระองค์เหมือนคนเอาสุนัขจิ้งจอกไว้ภายในกลองหุ้มหนัง แล้วสำคัญว่าทำกิจสำเร็จเรียบร้อยแล้ว. 
                อีกสองสามวัน พระบิดาของพระองค์ทรงคิดว่า พระองค์ทำการดูหมิ่น แล้วก็จักเป็นพระราชาเสียเอง. 
                พระกุมารถามว่า ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรเล่า.  
               พระเทวทัตตอบว่า จงฆ่าชนิดถอนรากเลย.  
               พระกุมารตรัสว่า พระบิดาของข้าพเจ้าไม่ควรฆ่าด้วยศาตรามิใช่หรือ. 
                พระเทวทัตจึงกล่าวว่า จงฆ่าพระองค์ด้วยการตัดพระกระยาหาร. 
                พระกุมารจึงสั่งให้เอาพระบิดาใส่เข้าในเรือนอบ.   ที่ชื่อว่าเรือนอบ คือเรือนมีควันที่ทำไว้เพื่อลงโทษแก่นักโทษ.  พระกุมารสั่งไว้ว่า นอกจากพระมารดาของเราแล้ว อย่าให้คนอื่นเยี่ยม. 
                พระเทวีทรงใส่ภัตตาหารในขันทองคำแล้วห่อชายพกเข้าเยี่ยมพระราชา. 
                พระราชาเสวยภัตตาหารนั้นจึงประทังพระชนม์อยู่ได้. 
                พระกุมารตรัสถามว่า พระบิดาของเราดำรงพระชนม์อยู่ได้อย่างไร.  ครั้นทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ตรัสสั่งห้ามมิให้พระมารดานำสิ่งของใส่ชายพกเข้าเยี่ยม. 
                ตั้งแต่นั้น พระเทวีก็ใส่ภัตตาหารไว้ในพระเมาลีเข้าเยี่ยม.  พระกุมารทรงทราบแม้ดังนั้น รับสั่งห้ามมิให้พระมารดานุ่งพระเมาลีเข้าเยี่ยม. 
                ลำดับนั้น พระเทวีทรงใส่ภัตตาหารไว้ในฉลองพระบาททองปิดดีแล้ว ทรงฉลองพระบาททองเข้าเยี่ยม. 
                พระราชาดำรงพระชนม์อยู่ด้วยภัตตาหารนั้น. 
                พระกุมารตรัสถามอีกว่า พระบิดาดำรงพระชนม์อยู่ได้อย่างไร ครั้นทรงทราบความนั้น ตรัสสั่งห้ามมิให้แม้แต่ทรงฉลองพระบาทเข้าเยี่ยม. 
                ตั้งแต่นั้น พระเทวีก็ทรงสนานพระวรกายด้วยน้ำหอม แล้วทาพระวรกายด้วยอาหารมีรสอร่อย ๔ อย่าง แล้วทรงห่มพระภูษาเข้าเยี่ยม. 
                พระราชาทรงเลียพระวรกายของพระเทวี ประทังพระชนม์อยู่ได้. 
                พระกุมารตรัสถามอีก ครั้นทรงทราบดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งว่า ตั้งแต่นี้ไป ห้ามพระมารดาเข้าเยี่ยม. 
                ต่อแต่นั้น พระเทวีประทับยืนแทบประตูทรงกันแสงคร่ำครวญว่า ข้าแต่พระสวามีพิมพิสาร เวลาที่เขาผู้นี้เป็นเด็ก พระองค์ก็ไม่ให้โอกาสฆ่าเขา ทรงเลี้ยงศัตรูของพระองค์ไว้ด้วยพระองค์เองแท้ๆ บัดนี้การเห็นพระองค์ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ต่อแต่นี้ไปหม่อมฉันจะไม่ได้เห็นพระองค์อีก ถ้าโทษของหม่อมฉันมีอยู่ ขอได้โปรดพระราชทานอภัยโทษด้วยเถิด พระเจ้าข้า แล้วก็เสด็จกลับ. 
                ตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็ไม่มีพระกระยาหาร ดำรงพระชนม์อยู่ด้วยความสุขประกอบด้วยมรรคผล (ทรงเป็นพระโสดาบัน) ด้วยวิธีเดินจงกรม พระวรกายของพระองค์ก็เปล่งปลั่งยิ่งขึ้น. 
                พระกุมารตรัสถามว่า แน่ะพนาย พระบิดาของเรายังดำรงพระชนม์อยู่ได้อย่างไร ครั้นทรงทราบว่า ยังดำรงพระชนม์อยู่ได้ด้วยวิธีเดินจงกรม พระเจ้าข้า ซ้ำพระวรกายยังเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นอีก จึงทรงพระดำริว่า เราจักตัดมิให้พระบิดาเดินจงกรมได้ในบัดนี้ ทรงบังคับช่างกัลบกทั้งหลายว่า พวกท่านจงเอามีดโกนผ่าพระบาททั้ง ๒ ของพระบิดาของเรา แล้วเอาน้ำมันผสมเกลือทา แล้วจงย่างด้วยถ่านไม้ตะเคียนซึ่งติดไฟคุไม่มีเปลวเลย แล้วส่งไป. 
                พระราชาทอดพระเนตรเห็นพวกช่างกัลบก ทรงดำริว่า ลูกของเราคงจักมีใครเตือนให้รู้สึกตัวแน่แล้ว ช่างกัลบกเหล่านี้คงจะมาแต่งหนวดของเรา. 
                ช่างกัลบกเหล่านั้นไปถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ครั้นถูกตรัสถามว่า มาทำไม จึงกราบทูลให้ทรงทราบ. 
                พระราชาพิมพิสารจึงตรัสว่า พวกเจ้าจงทำตามใจพระราชาของเจ้าเถิด. 
                พวกช่างกัลบกจึงกราบทูลว่า ประทับนั่งเถิด พระเจ้าข้า ถวายบังคมพระเจ้าพิมพิสารแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พวกข้าพระองค์จำต้องทำตามพระราชโองการ ขอพระองค์อย่าทรงพิโรธพวกข้าพระองค์เลย การกระทำเช่นนี้ไม่สมควรแก่พระราชาผู้ทรงธรรมเช่นพระองค์ แล้วจับข้อพระบาทด้วยมือซ้าย ใช้มือขวาถือมีดโกนผ่าพื้นพระบาททั้ง ๒ ข้าง เอาน้ำมันผสมเกลือทาแล้วย่างด้วยถ่านเพลิงไม้ตะเคียนที่กำลังคุไม่มีเปลวเลย. 
                เล่ากันว่า ในกาลก่อน พระราชาพิมพิสารได้ทรงฉลองพระบาทเข้าไปในลานพระเจดีย์ และเอาพระบาทที่ไม่ได้ชำระเหยียบเสื่อกกที่เขาปูไว้สำหรับนั่ง นี้เป็นผลของบาปนั้น.
                พระราชาพิมพิสารทรงเกิดทุกขเวทนาอย่างรุนแรง ทรงรำลึกอยู่ว่า อโห พุทฺโธ อโห ธมฺโม อโห สงฺโฆ เท่านั้น ทรงเหี่ยวแห้งไปเหมือนพวงดอกไม้ที่เขาวางไว้ในลานพระเจดีย์ บังเกิดเป็นยักษ์ชื่อชนวสภะ เป็นผู้รับใช้ของท้าวเวสสวรรณในเทวโลกชั้นจาตุมหาราช. 
                และในวันนั้นนั่นเอง พระโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ประสูติ.   หนังสือ ๒ ฉบับ คือข่าวพระโอรสประสูติฉบับหนึ่ง ข่าวพระบิดาสวรรคตฉบับหนึ่ง มาถึงในขณะเดียวกันพอดี. 
                พวกอำมาตย์ปรึกษากันว่า พวกเราจักทูลข่าวพระโอรสประสูติก่อน จึงเอาหนังสือข่าวประสูตินั้นทูนถวายในพระหัตถ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู.  ความรักลูกเกิดขึ้นแก่พระองค์ในขณะนั้นทันที ท่วมไปทั่วพระวรกายแผ่ไปจดเยื่อในกระดูก. 
                 ในขณะนั้น พระองค์ได้รู้ซึ้งถึงคุณของพระบิดาว่า แม้เมื่อเราเกิด พระบิดาของเราก็คงเกิดความรักอย่างนี้เหมือนกัน. จึงรีบมีรับสั่งว่า แน่ะพนาย จงไปปล่อยพระบิดาของเรา. 
                พวกอำมาตย์ทูลว่า พระองค์สั่งให้ปล่อยอะไร พระเจ้าข้า แล้วถวายหนังสือแจ้งข่าวอีกฉบับหนึ่งที่พระหัตถ์. 
                พอทรงทราบความเป็นไปดังนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงกันแสง เสด็จไปเฝ้าพระมารดา ทูลว่า ข้าแต่เสด็จแม่ เมื่อหม่อมฉันเกิด พระบิดาของหม่อมฉันเกิดความรักหม่อมฉันหรือหนอ. 
                พระนางเวเทหิมีรับสั่งว่า เจ้าลูกโง่ เจ้าพูดอะไร เวลาที่ลูกยังเล็กอยู่ เกิดเป็นฝีที่นิ้วมือ 
                ครั้นนั้น พวกแม่นมทั้งหลายไม่สามารถทำให้ลูกซึ่งกำลังร้องไห้ หยุดร้องได้ จึงพาลูกไปเฝ้าเสด็จพ่อของลูกซึ่งประทับนั่งอยู่ในโรงศาล เสด็จพ่อของลูกได้อมนิ้วมือของลูกจนฝีแตกในพระโอษฐ์นั้นเอง 
                ครั้งนั้น เสด็จพ่อของลูกมิได้เสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงกลืนพระบุพโพปนพระโลหิตนั้นด้วยความรักลูก เสด็จพ่อของลูกมีความรักลูกถึงปานนี้. 
                พระเจ้าอชาตศัตรูทรงกันแสงคร่ำครวญ ได้ถวายเพลิงพระศพพระบิดา. 
                ฝ่ายพระเทวทัตเข้าเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า มหาบพิตร พระองค์จงสั่งคนที่จักปลงชีวิตพระสมณโคดม แล้วส่งคนทั้งหลายที่พระเจ้าอชาตศัตรูพระราชทาน ตนเองขึ้นเขาคิชฌกูฏ กลิ้งศิลาก็แล้ว ให้ปล่อยช้างนาฬาคิรีก็แล้ว ด้วยอุบายไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่อาจปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ก็เสื่อมลาภสักการะ จึงขอวัตถุ ๕ ประการ เมื่อไม่ได้วัตถุ ๕ ประการนั้นก็ประกาศว่า ถ้าอย่างนั้น จักให้มหาชนเข้าใจเรื่องให้ตลอด จึงทำสังฆเภท. 
                เมื่อพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะพาบริษัทกลับแล้ว จึงรากเลือดออกร้อนๆ นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ๙ เดือน เดือดร้อนใจ 
                ถามว่า เดี๋ยวนี้พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน ครั้นได้รับตอบว่า ในพระเชตวัน จึงกล่าวว่า พวกท่านจงเอาเตียงหามเราไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อเขาหามมา เพราะมิได้กระทำกรรมที่ควรจะได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงถูกแผ่นดินสูบที่ใกล้สระโบกขรณี ในพระเชตวันนั่นเอง ลงไปอยู่ในมหานรก. 
                นี้เป็นความย่อในเรื่องนี้. 
                ส่วนนัยแห่งเรื่องอย่างพิสดาร มาในขันธกวินัยแล้ว.๒- ก็เพราะเรื่องนี้มาในขันธกวินัยแล้ว จึงมิได้กล่าวทั้งหมดด้วยประการฉะนี้. 
 ๒- วิ. จุลฺ. เล่ม ๗/ข้อ ๓๖๘-๓๘๘ 
                 พระกุมารนี้พอเกิดเท่านั้น ก็จักเป็นศัตรูแก่พระราชา พวกเนมิตตกาจารย์ทำนายไว้ดังนี้ ฉะนั้น จึงชื่อว่า อชาตศัตรู ด้วยประการฉะนี้. 
                บทว่า เวเทหีปุตฺโต ความว่า พระกุมารนี้เป็นพระโอรสของพระธิดาพระเจ้าโกศล มิใช่ของพระเจ้าวิเทหราช. 
                ก็คำว่า เวเทหี นี้เป็นชื่อของบัณฑิต. เหมือนอย่างที่กล่าวว่า คหปตานีเป็นบัณฑิต๓- พระผู้เป็นเจ้าอานนท์เป็นบัณฑิตมุนี. 
 ๓- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๖๖ 
                 ในคำว่า เวเทหี นั้น มีอธิบายเฉพาะคำดังต่อไปนี้ ชื่อว่า เวทะ ด้วยอรรถว่า เป็นเครื่องรู้ คำว่า เวทะ นี้เป็นชื่อของความรู้. 
                ชื่อว่า เวเทหี ด้วยอรรถว่า ดำเนินการ สืบต่อ พยายามด้วยความรู้. 
                โอรสของพระนางเวเทหิ ชื่อว่า เวเทหิบุตร. 
                บทว่า ตทหุ เท่ากับบท ตสฺมึ อหุ ความว่า ในวันนั้น. 
                ชื่อว่า อุโบสถ ด้วยอรรถว่า วันเป็นที่เข้าไปอยู่ (จำศีล).  อธิบายว่า  บทว่า อุปวสนฺติ จำศีล คือเป็นผู้เข้าถึงด้วยศีลหรือด้วยอาการที่ไม่ขวนขวาย ชื่อว่าเป็นผู้อยู่จำศีล. 
                ก็ในคำว่า อุโบสถ นี้ มีการขยายความดังต่อไปนี้ 
                การสวดปาติโมกข์ ชื่อว่า อุโบสถ เช่นในบาลีมีอาทิว่า อายามาวุโส กปฺปิน อุโปสถํ คมิสฺสาม มาเถิดท่านกัปปินะ พวกเราจักไปทำอุโบสถกัน. 
                ศีล ชื่อว่า อุโบสถ เช่นในบาลีมีอาทิว่า เอวํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต โข วิสาเข อุโปสโถ อุปวุตฺโถ แน่ะนางวิสาขา ศีลประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้ เราจำแล้ว.๔- 
                การจำศีล ชื่อว่า อุโบสถ เช่นในบาลีมีอาทิว่า สุทฺธสฺส เว สทา ผคฺคุ สุทฺธสฺสุโปสโถ สทา ผัคคุณฤกษ์ย่อมถึงพร้อมแก่ผู้หมดจดแล้วทุกเมื่อ การจำศีลย่อมถึงพร้อมแก่ผู้หมดจดทุกเมื่อ.๕- 
                บัญญัติ ชื่อว่า อุโบสถ เช่นในบาลีมีอาทิว่า อุโปสโถ นาม นาคราชา นาคราช๖- ชื่อว่า บัญญัติ. 
                วันที่ควรจำศีล ชื่อว่า อุโบสถ เช่นในบาลีมีอาทิว่า น ภิกฺขเว ตทหุโปสเถ สภิกฺขุกา อาวาสา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในวันที่ควรจำศีลนั้น วัดว่างภิกษุ.๗- 
 ๔- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๓๓ ๕- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๙๘ ๖- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๖๕ ๗- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๒๐๐ 
                 แม้ในที่นี้ก็ประสงค์วันที่พึงจำศีลนั่นแหละ.  ก็วันที่พึงจำศีลนี้นั้นมี ๓ คือ วัน ๘ ค่ำ วัน ๑๔ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำ เพราะฉะนั้น ที่กล่าวในบาลีว่า วัน ๑๕ ค่ำ ก็เพื่อห้ามวัน ๘ ค่ำและวัน ๑๔ ค่ำทั้ง ๒ วัน. 
                ฉะนั้น จึงกล่าวว่า ชื่อว่า อุโบสถ ด้วยอรรถว่า วันเป็นที่เข้าไปอยู่ (จำศีล). 
                บทว่า โกมุทิยา ความว่า มีดอกโกมุทบาน. ได้ยินว่า เวลานั้น ดอกโกมุทบานเต็มที่. 
                ชื่อว่า โกมุทิ ด้วยอรรถว่า เป็นฤดูมีดอกโกมุท. 
                บทว่า จาตุมาสินิยา ความว่า สุดเดือน ๔. 
                จริงอยู่ วันอุโบสถวันนั้นเป็นวันที่สุดแห่งเดือน ๔ เหตุนั้น จึงชื่อว่าจาตุมาสี. แต่ในที่นี้ท่านเรียกว่า จาตุมาสินี.                 เพราะเหตุที่ว่าวันนั้นพอดีเต็มเดือน เต็มฤดู เต็มปี สมบูรณ์ จึงชื่อว่า ปุณฺณา. 
                ศัพท์ว่า มา ท่านเรียกพระจันทร์. พระจันทร์เต็มในวันนั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่า ปุณฺณมา. 
                ในบททั้ง ๒ คือ ปุณฺณาย และ ปุณฺณมาย นี้ พึงทราบเนื้อความดังกล่าวมานี้. 
                บทว่า ราชา อมจฺจปริวุโต ความว่า พระราชาแวดล้อมด้วยอำมาตย์ทั้งหลาย ในราตรีซึ่งสว่างไสวไปด้วยแสงจันทร์เต็มดวงที่ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการ ปานประหนึ่งทิศาภาคที่ชำระล้างด้วยธารน้ำนมมีแสงเงินยวงออกเป็นช่อ และดุจช่อดอกโกมุททำด้วยผ้าเนื้อดีสีขาว ราวกะว่าพวงแก้วมุกดาและพวงดอกมะลิ มีแสงแวววาวกระจายดังวิมานเงินเปล่งรัศมี. 
                บทว่า อุปริปาสาทวรคโต ความว่า ประทับอยู่ในมหาปราสาทชั้นบน. ประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ทองภายใต้มหาเศวตฉัตรที่ยกขึ้นไว้ซึ่งควรแก่ความยิ่งใหญ่. 
                ถามว่า ประทับนั่งทำไม? 
                แก้ว่า เพื่อบรรเทาความหลับ. 
                พระราชาองค์นี้แหละ ตั้งแต่วันที่พยายามปลงพระชนม์พระบิดา พอหลับพระเนตรทั้ง ๒ ลงด้วยตั้งพระทัยว่าจักหลับ ก็สะดุ้งเฮือกเหมือนถูกหอกตั้งร้อยเล่มทิ่มแทง ทรงตื่นอยู่ (ไม่หลับ เพราะหวาดภัยเหลือเกิน). ครั้นพวกอำมาตย์ทูลถามว่า เป็นอะไร พระองค์ก็มิได้ตรัสอะไรๆ. 
                เพราะฉะนั้น ความหลับจึงมิได้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ดังนั้นจึงประทับนั่งเพื่อบรรเทาความหลับ. 
                อนึ่ง ในวันนั้นมีนักษัตรเอิกเกริกมาก. ทั่วพระนครกวาดกันสะอาดเรียบร้อย.                 เอาทรายมาโรย.                 ประตูเรือนประดับดอกไม้ ๕ สี.                 ข้าวตอกและหม้อใส่น้ำเต็ม.                 ทุกทิศาภาคชักธงชัย ธงแผ่นผ้า.                 ประดับประทีปมาลาวิจิตรโชติช่วง.                 มหาชนเล่นนักษัตรกันสนุกสนานตามวิถีถนน เบิกบานกันทั่วหน้า. 
                อาจารย์บางท่านกล่าวว่า ประทับนั่งเพราะเป็นวันเล่นนักษัตร ดังนี้ก็มี.  ก็แลครั้งกล่าวอย่างนี้แล้ว เป็นอันทำสันนิษฐานว่า นักษัตรทุกครั้งเป็นของราชตระกูล แต่พระราชาองค์นี้ประทับนั่งเพื่อบรรเทาความหลับเท่านั้น. 
                บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ ความว่า ทรงเปล่งอุทาน. 
                น้ำมันที่ล้นเครื่องตวงจนไม่อาจตวงได้ เขาเรียกว่าน้ำมันล้นฉันใด และน้ำที่ท่วมบ่อจนไม่อาจขังอยู่ได้ เขาเรียกว่าห้วงน้ำล้นฉันใด คำปีติที่เปี่ยมใจจนไม่อาจเก็บไว้ได้ ดำรงอยู่ภายในใจไม่ได้ ล้นออกมาภายนอกนั้น เรียกว่า อุทาน ฉันนั้น. 
                พระราชาทรงเปล่งคำที่สำเร็จด้วยปีติเห็นดังนี้. 
                บทว่า โทสินา ความว่า ปราศจากโทษ. อธิบายว่า ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการเหล่านี้ คือ หมอก น้ำค้าง กลุ่มควัน ราหู. 
                ราตรีนั้นมีคำชม ๕ ประการ มีเป็นที่น่ารื่นรมย์เป็นต้น ก็ราตรีนั้น ชื่อว่า รมฺมนียา เพราะอรรถว่า ทำใจของมหาชนให้รื่มรมย์. 
                ชื่อว่า อภิรูปา เพราะอรรถว่า งามยิ่งนัก เพราะสว่างด้วยแสงจันทร์ซึ่งพ้นจากโทษดังกล่าว. 
                ชื่อว่า ทสฺสนียา เพราะอรรถว่า ควรที่จะดู. 
                ชื่อว่า ปาสาทิกา เพราะอรรถว่า ทำจิตให้ผ่องใส. 
                ชื่อว่า ลกฺขญฺญา เพราะอรรถว่า ควรที่จะกำหนดวันและเดือนเป็นต้น. 
                บทว่า กํ นุ ขฺวชฺช ตัดบทเป็น กํ นุ โข อชฺช. 
                บทว่า สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา ความว่า ชื่อว่าสมณะ เพราะเป็นผู้สงบบาป ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะเป็นผู้ลอยบาป. 
                บทว่า ยนฺโน ปยิรุปาสโต ความว่า จิตของเราผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ฉลาดพูด เพื่อถามปัญหา พึงเลื่อมใสเพราะได้ฟังธรรมที่ไพเราะ. 
                ด้วยพระดำรัสแม้ทั้งหมดนี้ พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงกระทำแสงสว่างให้เป็นนิมิต ด้วยประการฉะนี้. 
                ทรงกระทำแก่ใคร? แก่หมอชีวก. 
                เพื่ออะไร? เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. 
                ก็พระเจ้าอชาตศัตรูไม่อาจเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเองหรือ? ถูกแล้ว ไม่อาจ. 
                เพราะเหตุไร? เพราะพระองค์มีความผิดมาก. 
                ด้วยว่า พระเจ้าอชาตศัตรูได้ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาของพระองค์ผู้เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นอริยสาวก และพระเทวทัตก็ได้อาศัยพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นนั่นแหละกระทำความฉิบหายใหญ่แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า.  ความผิดจึงมากด้วยประการฉะนี้. ด้วยความที่พระองค์มีความผิดมากนั้น จึงไม่อาจเสด็จไปเฝ้าด้วยพระองค์เอง. 
                 อนึ่ง หมอชีวกก็เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้า.  พระเจ้าอชาตศัตรูจึงได้ทรงกระทำแสงสว่างให้เป็นนิมิต ด้วยหมายพระทัยว่า เราจักเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเป็นเงาตามหลังหมอชีวกนั้น. 
                หมอชีวกรู้ว่า พระราชาทรงกระทำแสงสว่างให้เป็นนิมิตแก่ตนหรือ? รู้อย่างดี. 
                เมื่อรู้ เหตุไรจึงนิ่งเสีย? เพื่อตัดความวุ่นวาย. 
                ด้วยว่า ในบริษัทนั้นมีอุปัฏฐากของครูทั้ง ๖ ประชุมกันอยู่มาก.  เขาเหล่านั้น แม้ตนเองก็ไม่ได้รับการศึกษาเลย เพราะผู้ไม่ได้รับการศึกษาอยู่ใกล้ชิด เมื่อเราเริ่มกล่าวถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า เขาเหล่านั้นก็จักผลุดลุกผลุดนั่งในระหว่างๆ กล่าวคุณแห่งศาสดาของตนๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณกถาแห่งพระศาสดาของเราก็จักไม่สิ้นสุดลงได้. 
                ฝ่ายพระราชา ครั้นทรงพบกุลุปกะของครูทั้ง ๖ เหล่านี้แล้ว มิได้พอพระทัยในคุณกถาของครูทั้ง ๖ เหล่านั้น เพราะไม่มีสาระที่จะถือเอาได้ ก็จักกลับมาทรงถามเรา ครั้นถึงตอนนั้น เราจักกล่าวพระคุณของพระศาสดา โดยปราศจากความวุ่นวาย แล้วจักพาพระเจ้าอชาตศัตรูไปสู่สำนักของพระศาสดา. 
                หมอชีวกรู้ชัดอยู่อย่างนี้จึงนิ่งเสีย เพื่อตัดความวุ่นวาย ดังนี้แล. 
                อำมาตย์แม้เหล่านั้นพากันคิดอย่างนี้ว่า วันนี้ พระราชาทรงชมราตรีด้วยบท ๕ บท คงมีพระประสงค์จะเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์บางองค์ ถามปัญหาแล้วฟังธรรมเป็นแน่ ถ้าพระราชานี้จักทรงสดับธรรมของสมณะหรือพราหมณ์องค์ใดแล้ว ทรงเลื่อมใสและจักทรงกระทำสักการะใหญ่แก่สมณะหรือพราหมณ์องค์นั้น สมณะผู้เป็นกุลุปกะของผู้ใด ได้เป็นกุลุปกะของพระราชา ผู้นั้นย่อมมีความเจริญ ดังนี้. 
                อำมาตย์เหล่านั้นครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงเริ่มกล่าวสรรเสริญสมณะผู้เป็นกุลุปกะของตนๆ ด้วยหมายใจว่า เรากล่าวสรรเสริญสมณะผู้เป็นกุลุปกะของตนแล้วจักพาพระราชาไป เราก็จักไป. 
                เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูมีกระแสพระดำรัสอย่างนี้แล้ว อำมาตย์ของพระราชาคนหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น. 
                บรรดาครูทั้ง ๖ เหล่านั้น คำว่า ปูรโณ เป็นชื่อแห่งศาสดาปฏิญญา.  คำว่า กสฺสโป เป็นโคตร. 
                ได้ยินว่า ปูรณกัสสปนั้นเป็นทาสที่ ๙๙ ของตระกูลหนึ่ง เหตุนั้น เขาจึงตั้งชื่อว่า ปูรณะ แต่เพราะเป็นทาสที่เป็นมงคล จึงไม่มีใครคอยว่ากล่าวว่า ทำดี ทำชั่ว หรือว่า ยังไม่ทำ ทำไม่เสร็จ. 
                ได้ยินว่า นายปูรณะนั้นคิดว่า เราจะอยู่ในที่นี้ทำไม จึงหนีไป.  ครั้งนั้น พวกโจรได้ชิงผ้าของเขาไป.  เขาไม่รู้จะหาใบไม้หรือหญ้ามาปกปิดกาย จึงเปลือยกายเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง. 
                 มนุษย์ทั้งหลายเห็นเขา เข้าใจว่า ท่านผู้นี้เป็นสมณะ เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มักน้อย คนเช่นท่านผู้นี้ไม่มี จึงถือเอาของคาวหวานเป็นต้นเข้าไปหา. 
                เขาคิดว่า เพราะเราไม่นุ่งผ้าจึงเกิดลาภนี้ ตั้งแต่นั้นมา แม้ได้ผ้าก็ไม่นุ่ง ได้ถือการเปลือยกายนั้น นั่นแหละเป็นบรรพชา. แม้คนเหล่าอื่นๆ ประมาณ ๕๐๐ คนก็พากันบวชตาม ในสำนักของปูรณกัสสปนั้น. 
                ท่านกล่าวว่า ปูรโณ กสฺสโป หมายถึง นักบวชปูรณกัสสปที่เล่าเรื่องมาแล้วนั้น. 
                ชื่อว่า เจ้าหมู่ ด้วยอรรถว่า มีหมู่ กล่าวคือหมู่นักบวช. 
                ชื่อว่า เจ้าคณะ ด้วยอรรถว่า มีคณะนั้นนั่นแหละ. 
                ชื่อว่า คณาจารย์ ด้วยอรรถว่า เป็นอาจารย์ของคณะนั้น โดยฐานฝึกมารยาท. 
                บทว่า ญาโต แปลว่า รู้กันทั่ว เห็นชัด. 
                ชื่อว่า มีเกียรติยศ ด้วยอรรถว่า มียศที่เลื่องลือไปอย่างนี้ว่า มักน้อย สันโดษ แม้ผ้าก็ไม่นุ่ง เพราะมักน้อย. 
                บทว่า ติตฺถกโร แปลว่า เจ้าลัทธิ. 
                บทว่า สาธุสมฺมโต ความว่า เขายกย่องอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้ดีงาม เป็นสัตบุรุษ. 
                บทว่า พหุชนสฺส ความว่า ปุถุชนอันธพาลผู้ไม่ได้สดับ. 
                ชื่อว่า รัตตัญญู ด้วยอรรถว่า รู้ราตรีมากหลายที่ล่วงมาแล้ว ตั้งแต่บวช. 
                ชื่อว่า จิรปัพพชิตะ ด้วยอรรถว่า บวชนาน. 
                เพราะถ้อยคำของผู้ที่บวชไม่นาน เป็นถ้อยคำไม่น่าเชื่อ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บวชมานาน. 
                บทว่า อทฺธคโต แปลว่า มีอายุยืนนาน  อธิบายว่า ล่วงไป ๒-๓ รัชกาล. 
                บทว่า วโยอนุปฺปตฺโต ความว่า อยู่ตลอดมาถึงปัจฉิมวัย. 
                แม้คำทั้ง ๒ นี้ ท่านกล่าวหมายเอาถ้อยคำของคนหนุ่มที่ไม่น่าเชื่อ. 
                บทว่า ตุณฺหี อโหสิ ความว่า พระราชาทรงเป็นเหมือนบุรุษผู้ต้องการจะกินมะม่วงสุกมีสีดังทอง มีรสอร่อย ครั้นพบผลมะเดื่อสุกที่นำมาวางไว้ในมือก็ไม่พอใจฉันใด พระราชาก็ฉันนั้น มีพระประสงค์สดับธรรมกถาที่ไพเราะ ประกอบด้วยคุณมีฌานและอภิญญาเป็นต้น  แล สรุปลงด้วยพระไตรลักษณ์ แม้เมื่อก่อนได้เคยพบปูรณกัสสป ก็ไม่พอพระทัย มาบัดนี้ยิ่งไม่พอพระทัยขึ้นไปอีกเพราะการพรรณนาคุณ จึงทรงนิ่งเสีย แม้ไม่พอพระทัยเลย ก็มีพระดำริว่า ถ้าเราจักคุกคามคนที่เพ็ดทูลนั้นแล้วให้เขาจับคอนำออกไป ผู้ใดผู้หนึ่งแม้อื่นก็จะกลัว ว่า พระราชาทรงกระทำอย่างนี้แก่คนที่พูดนั้นๆ จักไม่พูดอะไรๆ ฉะนั้น จึงทรงอดกลั้นถ้อยคำนั้นแม้ไม่เป็นที่พอพระทัย ได้ทรงนิ่งเสียเลย. 
                ลำดับนั้น อำมาตย์อีกคนหนึ่งคิดว่า เราจักกล่าวคุณของสมณพราหมณ์ผู้เป็นกุลุปกะของตน จึงเริ่มทูล.  เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อำมาตย์อีกคนหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น. คำนั้นทั้งหมดพึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้ว. 
                ก็ในบรรดาครูทั้ง ๖ นี้  คำว่า มักขลิ เป็นชื่อของครูคนหนึ่งนั้น.  คำว่า โคสาล เป็นชื่อรอง เพราะเกิดที่โรงโค. 
                ได้ยินว่า เขาถือหม้อน้ำมันเดินไปบนพื้นที่มีเปือกตม.  นายกล่าวว่า อย่าลื่นล้มนะพ่อ.  เขาลื่นล้มเพราะเลินเล่อ จึงเริ่มหนีเพราะกลัวนาย.  นายวิ่งไปยึดชายผ้าไว้. เขาจึงทิ้งผ้าเปลือยกายหนีไป. 
                ความที่เหลือเช่นเดียวกับปูรณกัสสปนั่นเอง. 
                คำว่า อชิต เป็นชื่อของครูคนหนึ่งนั้น.  ชื่อว่า เกสกัมพล ด้วยอรรถว่า ครองผ้ากัมพลที่ทอด้วยผมคน. 
              รวมชื่อทั้ง ๒ เข้าด้วยกันจึงเรียกว่า อชิตเกสกัมพล.  ใน ๒ ชื่อนั้น ผ้ากัมพลที่ทำด้วยผมคน ชื่อว่า เกสกัมพล. 
              ชื่อว่าผ้าที่มีเนื้อหยาบกว่าผ้าเกสกัมพลนั้นไม่มี. 
                สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๘- 
                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่ทอด้วยด้ายจะมีกี่อย่างก็ตาม ผ้ากัมพลที่ทอด้วยผมคนเป็นผ้าที่มีเนื้อหยาบกว่าผ้าทอเหล่านั้น. 
                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้ากัมพลที่ทอด้วยผมคน หน้าหนาวก็เย็นเยือก หน้าร้อนก็ร้อนระอุ มีค่าน้อย มีสัมผัสระคาย สีไม่สวย ทั้งกลิ่นก็เหม็น. 
 ๘- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๗๗ 
                 คำว่า ปกุทธ เป็นชื่อของครูคนหนึ่งนั้น.  คำว่า กัจจายนะ เป็นโคตร.  รวมชื่อและโคตรเข้าด้วยกัน จึงเรียกว่า ปกุทธกัจจายนะ. 
                ครูปกุทธกัจจายนะนี้ห้ามน้ำเย็น แม้ถ่ายอุจจาระ ก็ไม่ใช้น้ำล้าง. ได้น้ำร้อนหรือน้ำข้าวจึงทำการล้าง. 
                ครั้นข้ามแม่น้ำหรือน้ำตามทาง คิดว่าศีลของเราขาด แล้วจึงก่อสถูปทรายอธิษฐานศีลแล้วจึงไป.  ครูคนนี้มีลัทธิที่ปราศจากสิริถึงปานนี้. 
                คำว่า สญชัย เป็นชื่อของครูคนหนึ่งนั้น.  ชื่อว่า เวลัฏฐบุตร เพราะเป็นบุตรของเวลัฏฐะ. 
                ครูคนหนึ่ง ชื่อว่า นิครนถ์ ด้วยอำนาจชื่อที่ได้แล้ว เพราะพูดเสมอว่า พวกเราไม่มีกิเลสที่ร้อยรัด ที่เกลือกกลั้ว พวกเราเว้นจากกิเลสที่พัวพัน. 
                ชื่อว่า นาฏบุตร เพราะเป็นบุตรของคนฟ้อนรำ.