Translate

12 กันยายน 2567

อรรถกถา ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๔ โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๒ [ว่าด้วย ฉันเป็นหมู่] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โภชนวรรคที่ ๔ สิกขาบทที่ ๒ โภชนวรรค คณโภชน
               วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :- 
 [แก้อรรถกถาปฐมบัญญัติ เรื่องพระเทวทัต] 
               บทว่า ปริหีนลาภสกฺกาโร มีความว่า ได้ยินว่า พระเทวทัตนั้นแนะนำให้พระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระราชาก็ดี สั่งนายขมังธนูไป (เพื่อปลงพระชนม์พระตถาคต) ก็ดี ทำโลหิตุปบาทก็ดี ได้เป็นผู้ลี้ลับปกปิด, แต่ในเวลาปล่อยช้างธนบาลก์ ไปในกลางวันแสกๆ นั่นแล ได้เกิดเปิดเผยขึ้น. 
               คืออย่างไร? คือ เพราะว่า เมื่อเกิดพูดกันขึ้นว่า พระเทวทัตปล่อยช้างไป (เพื่อปลงพระชนม์พระตถาคต) ก็ได้เป็นผู้ปรากฏชัดว่า มิใช่แต่ปล่อยช้างอย่างเดียว แม้พระราชา พระเทวทัตก็ให้ปลงพระชนม์ ถึงพวกนายขมังธนูก็ส่งไป แม้ศิลาก็กลิ้ง, พระเทวทัตเป็นคนลามก. และเมื่อมีผู้ถามว่า พระเทวทัตได้ทำกรรมนี้ร่วมกับใคร? ชาวเมืองกล่าวว่า กับพระเจ้าอชาตศัตรู. 
               ในลำดับนั้น ชาวเมืองก็ลุกฮือขึ้น พูดว่า ไฉนหนอ! พระราชาจึงเที่ยวสมคบโจรผู้เป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนาเห็นปานนี้เล่า? พระราชาทรงทราบความกำเริบของชาวเมือง จึงทรงขับไสไล่ส่งพระเทวทัตไปเสีย และตั้งแต่นั้นมาก็ทรงตัดสำรับ ๕๐๐ สำรับแห่งพระเทวทัตนั้นเสีย. แม้ที่บำรุงพระเทวทัตนั้น ก็มิได้เสด็จไป, ถึงชาวบ้านพวกอื่นก็ไม่สำคัญของอะไรๆ ที่จะพึงถวาย หรือพึงทำแก่พระเทวทัตนั้น. 
               ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า มีลาภและสักการะเสื่อมสิ้นแล้ว. 
               ข้อว่า กุเลสุ วิญฺญาเปตฺวา วิญฺญาปตฺวา ภุญฺชติ มีความว่า พระเทวทัตนั้นดำริว่า คณะของเราอย่าได้แตกกันเลย เมื่อจะเลี้ยงบริษัท จึงได้พร้อมด้วยบริษัทเที่ยวขออาหารฉันอยู่ในตระกูลทั้งหลายอย่างนี้ว่า ท่านจงถวายภัตแก่ภิกษุ ๑ รูป ท่านจงถวายแก่ภิกษุ ๒ รูป ดังนี้. 
               คำว่า จีวรํ ปริตฺตํ อุปฺปชฺชติ มีความว่า ชาวบ้านทั้งหลายไม่ถวายจีวรแก่ภิกษุผู้ไม่รับภัตตาหาร เพราะเหตุนั้น จีวรจึงเกิดขึ้นเล็กน้อย. 
               ข้อว่า จีวรการเก ภิกฺขู ภตฺเตน นิมนฺเตนฺติ มีความว่า พวกชาวบ้านเห็นภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวไปบิณฑบาตในบ้าน แล้วทำจีวรให้เสร็จช้า จึงนิมนต์ด้วยความประสงค์บุญว่า ภิกษุทั้งหลายจักยังจีวรให้เสร็จแล้วใช้สอยด้วยอาการอย่างนี้. 
               บทว่า นานาเวรชฺชเก ได้แก่ ผู้มาจากรัฐต่างๆ คือ จากราชอาณาจักรอื่น. ปาฐะว่า นานาเวรญฺชเก ก็มี. เนื้อความก็อย่างนี้เหมือนกัน. 
 [อรรถาธิบายว่าด้วยการฉันเป็นคณะ] 
               บทว่า คณโภชเน คือ ในเพราะการฉันของหมู่ (ในเพราะการฉันเป็นหมู่). ก็ในสิกขาบทนี้ ทรงประสงค์เอาภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ชื่อว่า คณะ (หมู่). 
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงกำหนดด้วยคำนั้นนั่นแล จึงตรัสว่า ยตฺถ จตฺตาโร ภิกฺขู ฯปฯ เอตํ คณโภชนํ นาม ดังนี้. 
               ก็คณโภชนะนี้นั้น ย่อมเป็นไปโดยอาการ ๒ อย่าง คือ โดยการนิมนต์อย่าง ๑ โดยวิญญัติอย่าง ๑. ย่อมเป็นไปโดยการนิมนต์อย่างไร? คือทายกเข้าไปหาภิกษุ ๔ รูป แล้วนิมนต์ระบุชื่อโภชนะทั้ง ๕ โดยไวพจน์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือโดยภาษาอื่น อย่างนี้ว่า
               ท่านผู้เจริญ! ผมนิมนต์ท่านด้วยข้าวสุก, ขอท่านจงถือเอาข้าวสุกของผม, จงหวัง จงตรวจดู จงต้อนรับ ซึ่งข้าวสุกของผม ดังนี้.
               ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป รับนิมนต์รวมกันอย่างนี้ ไปพร้อมกันเพื่อฉันในวันนี้ หรือเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ ด้วยอำนาจแห่งเวลาที่เขากำหนดไว้รับรวมกัน ฉันรวมกัน จัดเป็นคณโภชนะ, เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหมด. 
               ภิกษุทั้งหลายรับนิมนต์รวมกัน ต่างคนต่างฉัน ก็เป็นอาบัติเหมือนกัน. 
               จริงอยู่ การรับประเคนนั่นแหละเป็นประมาณในสิกขาบทนี้. ภิกษุทั้งหลายรับนิมนต์รวมกัน จะไปพร้อมกัน หรือไปต่างกันก็ตาม, รับประเคนต่างกัน จะฉันรวมกัน หรือฉันต่างกันก็ตาม ไม่เป็นอาบัติ. 
               ภิกษุทั้งหลายไปยังบริเวณ หรือวิหาร ๔ แห่ง รับนิมนต์ต่างกันหรือบรรดาภิกษุผู้ยืนอยู่ในที่แห่งเดียวกันนั่นแหละ รับนิมนต์ต่างกัน แม้อย่างนี้ คือ ลูกชายนิมนต์ ๑ รูป บิดานิมนต์ ๑ รูป จะไปพร้อมกัน หรือไปต่างกันก็ตาม, จะฉันพร้อมกัน หรือฉันต่างกันก็ตาม ถ้ารับประเคนรวมกัน จัดเป็นคณโภชนะ, เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหมด. ย่อมเป็นไปโดยการนิมนต์อย่างนี้ก่อน. 
               ย่อมเป็นไปโดยวิญญัติอย่างไร? คือ ภิกษุ ๔ รูปยืนหรือนั่งอยู่ด้วยกัน เห็นอุบาสกแล้วออกปากขอว่า ท่านจงถวายภัตตาหารแก่พวกเรา ทั้ง ๔ รูป ดังนี้ก็ดี ต่างคนต่างเห็นแล้วออกปากขอรวมกัน หรือขอต่างกันอย่างนี้ว่า
               ท่านจงถวายแก่เรา, ท่านจงถวายแก่เรา ดังนี้ก็ดี จะไปพร้อมกัน หรือไปต่างกันก็ตาม,
               แม้รับประเคนภัตแล้ว จะฉันร่วมกันหรือฉันต่างกันก็ตาม, ถ้ารับประเคนรวมกัน, จัดเป็นคณโภชนะ, เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหมด. ย่อมเป็นไปโดยวิญญัติอย่างนี้.
 [ว่าด้วยสมัยที่ทรงอนุญาตให้ฉันคณโภชนะได้] 
               สองบทว่า ปาทาปิ ผาลิตา มีความว่า (เท้าทั้ง ๒) แตกโดยอาการที่เนื้อปรากฏให้เห็นข้างหน้าหนังใหญ่ เพียงถูกทรายหรือกรวดกระทบ ก็ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้น ไม่สามารถจะไปเที่ยวบิณฑบาตภายในบ้านได้.
               ในอาพาธเช่นนั้น ควรฉันได้ด้วยคิดว่า เป็นคราวอาพาธ (แต่) ไม่ควรทำให้เป็นกัปปิยะด้วยเลศ. 
               สองบทว่า จีวเร กริยมาเน มีความว่า ในคราวที่พวกภิกษุได้ผ้าและด้ายแล้วกระทำจีวร. แท้จริง ชื่อว่า จีวรการสมัย แผนกหนึ่งไม่มี. เพราะเหตุนั้น ภิกษุใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ควรทำในจีวรนั้น สมดังที่ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า ชั้นที่สุดภิกษุผู้ร้อยเข็ม (ผู้สนเข็ม) ดังนี้ก็มี, ภิกษุนั้นควรฉันได้ด้วยคิดว่า เป็นจีวรการสมัย. 
               ส่วนในกุรุนทีท่านกล่าวไว้โดยพิสดารทีเดียวว่า ภิกษุใดกะจีวร ตัดจีวร ด้นด้ายเนา ทาบผ้าเพาะ เย็บล้มตะเข็บ ติดผ้าดาม ตัดอนุวาต ฟั่นด้าย เย็บสอยตะเข็บในจีวรนั้น กรอด้าย ม้วนด้าย (ควบด้าย) ลับมีดเล็ก ทำเครื่องปั่นด้าย,
               ภิกษุแม้ทั้งหมดนี้ ท่านเรียกว่า ทำจีวรทั้งนั้น, แต่ภิกษุใดนั่งใกล้ๆ กล่าวชาดกก็ดี ธรรมบทก็ดี ภิกษุนี้ไม่ใช่ผู้ทำจีวร, ยกเว้นภิกษุนี้เสีย ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุที่เหลือ เพราะคณโภชนะ. 
               บทว่า อฑฺฒโยชนํ ได้แก่ ผู้ประสงค์จะเดินทางไกลแม้ประมาณเท่านี้. ก็ภิกษุใดประสงค์จะเดินทางไกล, ในภิกษุนั้น ไม่มีถ้อยคำที่จะต้องกล่าวเลย. 
               บทว่า คจฺฉนฺเตน มีความว่า ภิกษุผู้เดินทางไกล จะฉันแม้ในที่คาวุตหนึ่งภายในกึ่งโยชน์ ก็ควร. 
               สองบทว่า คเตนภุญฺชิตพฺพํ คือ ผู้ไปแล้วพึงฉันได้วันหนึ่ง. แม้ในเวลาโดยสารเรือไป ก็นัยนี้นั่นแล. 
               ส่วนความแปลกกันดังต่อไปนี้ :- 
               ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ภิกษุผู้โดยสารเรือไป แม้ถึงที่อันตนปรารถนาแล้ว พึงฉันได้ตลอดเวลาที่ตนยังไม่ขึ้น (จากเรือ). 
               กำหนดว่า จตุตฺเถ อาคเต นี้ เป็นกำหนดอย่างต่ำที่สุด. แม้เมื่อภิกษุรูปที่ ๔ มา ภิกษุทั้งหลายไม่พอเลี้ยงกันในสมัยใด, สมัยนั้น จัดเป็นคราวประชุมใหญ่ได้.
               ก็ในคราวที่ภิกษุประชุมกันตั้ง ๑๐๐ รูป หรือ ๑,๐๐๐ รูป ไม่มีคำที่จะต้องกล่าวเลย, เพราะฉะนั้น ในกาลเช่นนั้น ภิกษุพึงอธิษฐานว่า เป็นคราวประชุมใหญ่ แล้วฉันเถิด. 
               คำว่า โย โกจิ ปริพฺพาชกสมาปนฺโน ได้แก่ บรรดาพวกสหธรรมิกก็ดี พวกเดียรถีย์ก็ดี นักบวชพวกใดพวกหนึ่ง,
               ก็เมื่อนักบวชมีสหธรรมิกเป็นต้นเหล่านี้ รูปใดรูปหนึ่งทำภัตตาหารแล้ว ภิกษุพึงอธิษฐานว่า เป็นคราวภัตของสมณะ แล้วฉันเถิด. 
               สองบทว่า อนาปตฺติ สมเย ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติในสมัยทั้ง ๗ สมัยใดสมัยหนึ่ง. 
               คำว่า เทฺว ตโย เอกโต มีความว่า แม้ภิกษุเหล่าใดยินดีการนิมนต์ที่ไม่สมควร รับรวมกัน ๒ รูป หรือ ๓ รูป แล้วฉัน, ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุพวกนั้น.
 [ว่าด้วยจตุตถะ ๕ หมวดมีอนิมันติตจตุตถะเป็นต้น] 
               ในคำว่า เทฺว ตโย เอกโต นั้น บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยด้วยอำนาจจตุกกะ ๕ หมวด คือ อนิมันติตจตุตถะ (มีภิกษุไม่ได้นิมนต์เป็นที่ ๔) ๑ ปิณฑปาติกจตุตถะ (มีภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรเป็นที่ ๔) ๑ อนุปสัมปันนจตุตถะ (มีอนุปสัมบันเป็นที่ ๔) ๑ ปัตตจตุตถะ (มีบาตรเป็นที่ ๔) ๑ คิลานจตุตถะ (มีภิกษุอาพาธเป็นที่ ๔) ๑. 
               คืออย่างไร? คือ คนบางคนในโลกนี้ นิมนต์ภิกษุ ๔ รูปว่า นิมนต์ท่านรับภัต (ข้าวสวย). ในภิกษุ ๔ รูปนั้น ไป ๓ รูป, ไม่ไป ๑ รูป อุบาสกถามว่า ท่านขอรับ! พระเถระรูปหนึ่งไปไหน?
               ภิกษุตอบว่า ไม่มา อุบาสก! อุบาสกนั้นนิมนต์ภิกษุอื่นบางรูป ซึ่งมาถึงเข้าในขณะนั้น ให้เข้านั่งร่วมว่า นิมนต์ท่านมาเถิด ขอรับ! แล้วถวายภัตแก่ภิกษุทั้ง ๔ รูป. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุแม้ทั้งหมด. 
               เพราะเหตุไร? เพราะภิกษุคณปูรกะ (รูปที่ครบคณะ) เขาไม่ได้นิมนต์. 
               จริงอยู่ ในภิกษุ ๔ รูปนั้น ภิกษุ ๓ รูปเท่านั้นเขานิมนต์ ได้รับประเคนแล้ว, คณะยังไม่ครบด้วยภิกษุ ๓ รูปนั้น, และรูปที่ครบคณะ เขาไม่ได้นิมนต์, คณะจึงแยกเพราะภิกษุนั้น,
                ภิกขุจตุตถะดังว่ามานี้ ชื่อว่าอนิมันติตจตุตถะ. 
                พึงทราบวินิจฉัยในปิณฑปาติกจตุตถะ :- 
                ในเวลานิมนต์ มีภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง, เธอจึงไม่รับ. แต่ในเวลาจะไป เมื่อพวกภิกษุรับนิมนต์กล่าวว่า นิมนต์ท่านมาเถิด ขอรับ! แล้วพาเอาภิกษุนั้นแม้ผู้ไม่ไป เพราะไม่ได้รับนิมนต์ ไปด้วยกล่าวว่า มาเถิด ท่านจักได้ภิกษา.
               ภิกษุนั้นทำคณะนั้นให้แยกกัน. เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหมด. 
               พึงทราบวินิจฉัยในอนุปสัมปันนจตุตถะ :- 
               พวกภิกษุรับนิมนต์พร้อมกับสามเณร. แม้สามเณรนั้นก็ทำคณะให้แยกกันได้. 
               พึงทราบวินิจฉัยในปัตตจตุตถะ :- 
               ภิกษุรูปหนึ่งไม่ไปเอง ส่งบาตรไป. แม้ด้วยอาการอย่างนี้ คณะก็แยก. เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุทุกรูป. 
               พึงทราบวินิจฉัยในคิลานจตุตถะ :- 
               พวกภิกษุรับนิมนต์รวมกับภิกษุอาพาธ. ในภิกษุ ๔ รูปนั้น ภิกษุอาพาธเท่านั้นไม่เป็นอาบัติ แต่เธอเป็นคณปูรกะของภิกษุนอกนี้ได้, คณะจึงไม่แยกเพราะภิกษุอาพาธเลย.
               เพราะฉะนั้น จึงเป็นอาบัติแก่ภิกษุเหล่านั้นแท้. แต่ในมหาปัจจรีท่านกล่าวไว้ โดยไม่แปลกกันว่า ภิกษุอาพาธได้สมัย (คราวอาพาธ) จึงพ้นไปได้ด้วยตนเองเท่านั้น, ทำให้เป็นอาบัติแก่ภิกษุที่เหลือ เพราะเป็นคณปูรกะ.
               เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบจตุกกะด้วยอำนาจแม้แห่งภิกษุผู้ได้จีวรทานสมัยเป็นต้น. 
               ก็ถ้าว่า ภิกษุผู้ฉลาดรูปหนึ่งในภิกษุ ๔ รูป แม้ผู้รับนิมนต์แล้วไป กล่าวว่า ผมจักแยกคณะของพวกท่าน,
               ขอพวกท่านจงรับการนิมนต์ เมื่อพวก ชาวบ้านจะรับบาตรเพื่อประโยชน์แก่ภัต ในที่สุดแห่งยาคูและของควรเคี้ยว ไม่ให้ ( บาตร ) กล่าวว่า พวกท่านให้ภิกษุเหล่านี้ฉัน แล้วส่งกลับไปก่อน, อาตมาทำอนุโมทนาแล้วจักไปตามหลัง แล้วนั่งอยู่,
               ครั้นภิกษุเหล่านั้นฉันเสร็จ แล้วไป, เมื่ออุบาสกกล่าวว่า โปรดให้บาตรเถิด ขอรับ! แล้วรับบาตรไป ถวายภัตฉันเสร็จทำอนุโมทนาแล้วจึงไป, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุทุกรูป. 
                จริงอยู่ ความผิดสังเกตในคณโภชนะ ย่อมไม่มีด้วยอำนาจแห่งโภชนะ ๕ อย่างเลย. พวกภิกษุรับนิมนต์ด้วยข้าวสุก แม้รับขนมกุมมาส ก็ต้องอาบัติ และโภชนะเหล่านั้นภิกษุเหล่านั้นไม่ได้รับรวมกัน. 
                แต่มีความผิดสังเกตด้วย อาหารวัตถุมียาคูเป็นต้น. ยาคูเป็นต้นเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้นรับรวมกันได้แล.
                ภิกษุผู้ฉลาดรูปหนึ่ง ย่อมทำไม่ให้เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุเหล่าอื่น ด้วยประการอย่างนี้.
 [ว่าด้วยวิธีนิมนต์พระรับภิกษา] 
                เพราะฉะนั้น ถ้าคนบางคนถูกผู้ประสงค์จะทำสังฆภัต วานไปเพื่อต้องการให้นิมนต์ (พระ) มายังวิหาร ไม่กล่าวว่า ท่านขอรับ! พรุ่งนี้นิมนต์รับภิกษาในเรือนของพวกกระผม กล่าวว่า นิมนต์ท่านรับภัต ก็ดี ว่า นิมนต์ท่านรับสังฆภัต ก็ดี ว่า ขอสงฆ์จงรับภัต ก็ดี,
               พระภัตตุทเทสก์พึงเป็นผู้ฉลาด. พึงเปลื้องพวกภิกษุผู้รับนิมนต์จากคณโภชน์, พึงเปลื้องภิกษุพวกถือปิณฑิปาติกธุดงค์จากความแตกแห่งธุดงค์. 
               คืออย่างไร? คือ พระภัตตุทเทสก์พึงกล่าวอย่างนี้ก่อนว่า พรุ่งนี้ไม่อาจ (รับ) อุบาสก! เมื่ออุบาสกกล่าวว่า มะรืนนี้ ขอรับ! 
               พึงกล่าวว่า มะรืนนี้ก็ไม่อาจ (รับได้) อุบาสกเลื่อนไปอย่างนี้ แม้จนถึงกึ่งเดือน พระภัตตุทเทสก์พึงพูดอีกว่า ท่านพูดอะไร? ถ้าแม้นอุบาสกพูดย้ำอีกว่า นิมนต์ท่านรับสังฆภัต, 
               ลำดับนั้น พระภัตตุทเทสก์พึงทำไขว้เขวไปอย่างนี้ว่า อุบาสก! จงทำดอกไม้นี้ จงทำหญ้านี้ ให้เป็นกัปปิยะก่อน แล้วย้อนถามอีกว่า ท่านพูดอะไร? ถ้าแม้นเขายังพูดซ้ำแม้อย่างนั้นนั่นแหละ, 
               พึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ! ท่านจักไม่ได้พระมหาเถระ ผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร, ท่านจักได้พวกสามเณร. และเมื่อเขาถามว่า ท่านขอรับ! พวกคนในบ้านโน้นและบ้านโน้น นิมนต์ให้พระคุณเจ้าผู้เจริญฉัน มิใช่หรือ? ผมจะไม่ได้ เพราะเหตุไร? 
               พึงกล่าวว่า พวกเขารู้จักนิมนต์, (ส่วน) ท่านไม่รู้จักนิมนต์. 
               เขาถามว่า ท่านขอรับ! พวกเขานิมนต์อย่างไร? 
               พึงกล่าวว่า พวกเขากล่าวอย่างนี้ว่า นิมนต์รับภิกษาของพวกกระผมขอรับ! ถ้าแม้นเขากล่าวเหมือนอย่างที่พูดนั้นแล, การนิมนต์นั้นสมควร. 
               ถ้าเขายังกล่าวซ้ำอีกว่า นิมนต์รับภัต พึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ! คราวนี้ ท่านจักไม่ได้ภิกษุมาก, จักได้เพียง ๓ รูปเท่านั้น. ถ้าเขาถามว่า ท่านขอรับ! พวกชาวบ้านในบ้านโน้นและบ้านโน้น นิมนต์ภิกษุสงฆ์ทั้งหมดให้ฉันมิใช่หรือ? ผมจะไม่ได้เพราะเหตุไรเล่า? 
                พึงกล่าวว่า ท่านไม่รู้จักนิมนต์. ถ้าเขาถามว่า ท่านขอรับ! พวกเขานิมนต์อย่างไร 
                พึงกล่าวว่า พวกเขากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ! นิมนต์รับภิกษาของพวกกระผม. ถ้าแม้นเขากล่าวเหมือนอย่างที่พูดนั้นนั่นแหละ, การนิมนต์นั่นสมควร. 
                ถ้าเขาพูดว่า ภัตรเท่านั้น แม้อีก. ทีนั้น พระภัตตุเทสก์ 
                พึงกล่าวว่า ไปเสียเถิดท่าน, พวกเราไม่มีความต้องการด้วยภัตของท่าน, บ้านนี้เป็นที่เที่ยวไปบิณฑบาตประจำของพวกเรา, พวกเราจักเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านนี้. 
                เขากล่าวว่า นิมนต์ท่านเที่ยวไปยังบ้านนั้นเถิด ขอรับ! แล้วกลับมา ชาวบ้านถามว่า ผู้เจริญ! ท่านได้พระแล้วหรือ? 
                เขาพูดว่า ในเรื่องนิมนต์นี้ มีคำจะต้องพูดมาก, จะมีประโยชน์อะไร ด้วยคำพูดที่จะพึงกล่าวให้มากนี้. พระเถระทั้งหลายพูดว่า พวกเราจักเที่ยวไปบิณฑบาตพรุ่งนี้, คราวนี้พวกท่านอย่าประมาท. 
               ในวันรุ่งขึ้น พระสังฆเถระพึงบอกภิกษุทั้งหลายผู้ทำเจติยวัตรแล้ว ยืนอยู่ว่า คุณ! ที่บ้านใกล้มีสังฆภัต, แต่คนไม่ฉลาดได้ไปแล้ว, ไปเถิด พวกเราจักเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านใกล้. 
               พวกภิกษุพึงทำตามคำของพระเถระ ไม่พึงเป็นผู้ว่ายาก, พึงเที่ยวไปบิณฑบาต อย่ายืนที่ประตูบ้านเลย. เมื่อชาวบ้านเหล่านั้นรับบาตรนิมนต์ให้นั่งฉัน พึงฉันเถิด. ถ้าเขาจัดวางภัตไว้ที่หอฉันแล้ว เที่ยวไปบอกในถนนว่า นิมนต์รับภัตที่หอฉัน ขอรับ! ไม่สมควร. 
               แต่ถ้าเขาถือเอาภัตไปในที่นั้นๆ เรียนว่า นิมนต์รับภัตเถิด หรือรีบนำไปยังวิหารทีเดียว วางไว้ในที่อันสมควร แล้วถวายแก่พวกภิกษุผู้มาถึงแล้วๆ, ภิกษานี้ ชื่อว่าภิกษาที่เขานำมาจำเพาะ ย่อมสมควร. 
               แต่ถ้าเขาเตรียมทานไว้ที่โรงครัว แล้วเที่ยวไปยังบริเวณนั้นๆ เรียนว่า นิมนต์รับภัตที่โรงครัว ไม่สมควร. แต่พวกชาวบ้านใด พอเห็นพวกภิกษุผู้เข้าไปบิณฑบาต ก็ช่วยกันกวาดหอฉัน นิมนต์ให้นั่งฉัน ที่หอฉันนั้น. ไม่พึงปฏิเสธชนเหล่านั้น. 
               แต่ชนเหล่าใด เห็นพวกภิกษุผู้ไม่ได้ภิกษาในบ้าน กำลังออกจากบ้านไป เรียนว่า นิมนต์รับภัตเถิด ขอรับ! ไม่พึงปฏิเสธคน เหล่านั้น. หรือว่า ไม่พึงกลับ ถ้าพวกเขาพูดว่า นิมนต์กลับเถิด ขอรับ! ขอนิมนต์รับภัต จะกลับไปในบทที่เขากล่าวว่า นิมนต์กลับเถิด ก็ได้. 
               ชาวบ้านกล่าวว่า นิมนต์กลับเถิดขอรับ! ภัตในเรือนทำเสร็จแล้ว, ภัตในบ้านทำเสร็จแล้ว. จะกลับไปด้วยคิดว่า ภัตในเรือนและในบ้าน ย่อมมี เพื่อใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ สมควรอยู่. 
               เขากล่าวให้สัมพันธ์กันด้วยคำว่า นิมนต์กลับไปรับภัตเถิด ดังนี้ จะกลับไปไม่ควร. แม้ในคำที่ชาวบ้านเห็นพวกภิกษุผู้กำลังออกจากโรงฉันไปเพื่อเที่ยวบิณฑบาต แล้วกล่าวว่า นิมนต์นั่งเถิด ขอรับ! ขอนิมนต์รับภัต ดังนี้ ก็นัยนี้นั่นแล. 
                 ภัตประจำ เรียกว่า นิตยภัต. ชาวบ้านพูดว่า นิมนต์รับนิตยภัตจะรับร่วมกันมากรูป ก็ควร.
                 แม้ในสลากภัตเป็นต้น ก็นัยนี้นั่นแล. 
                 บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล. 

ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๔ โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๒ [ว่าด้วย ฉันเป็นหมู่] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องพระเทวทัต 
[๔๗๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. 
            ครั้งนั้น พระเทวทัตเสื่อมจากลาภและสักการะ พร้อมด้วยบริษัทเที่ยวขออาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉัน ประชาชนเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้เที่ยวขออาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉันเล่า โภชนะที่ดีใครจะไม่พอใจ อาหารที่อร่อยใครจะไม่ชอบใจ. 
              ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระเทวทัตจึงได้พร้อมด้วยบริษัทเที่ยวขออาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉันเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... 
ทรงสอบถาม 
              พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระเทวทัตว่า ดูกรเทวทัต ข่าวว่า เธอพร้อมด้วยบริษัท เที่ยวขออาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉัน จริงหรือ? 
              พระเทวทัตทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้พร้อมด้วยบริษัทเที่ยวขออาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉันเล่า 
              การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... . 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ
๘๑.๒. ก. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระเทวทัต จบ.
 เรื่องภิกษุอาพาธ 
[๔๗๖] สมัยนั้นแล ประชาชนนิมนต์ภิกษุทั้งหลาย ผู้อาพาธฉันภัตตาหาร. ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจ ไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธฉันเป็นหมู่ได้ 
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อาพาธ ฉันเป็นหมู่ได้. 
              ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ ๑
๘๑.๒. ข. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่ นี้สมัยใน เรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ นี้สมัยในเรื่องนั้น.    ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องภิกษุอาพาธ จบ.
 เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในฤดูถวายจีวร 
[๔๗๗] สมัยต่อมาเป็นฤดูที่ชาวบ้านถวายจีวรกัน ประชาชนตกแต่งภัตตาหารพร้อม ด้วยจีวร แล้วนิมนต์ภิกษุทั้งหลายด้วยตั้งใจว่า ให้ท่านฉันแล้วจักให้ครองจีวร 
             ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจ ไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว จีวรจึงเกิดขึ้นเล็กน้อย. ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่ถวายจีวรกัน เราอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ ๒
๘๑.๒. ค. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร นี้สมัยในเรื่องนั้น.  ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในฤดูถวายจีวร จบ.
 เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในฤดูทำจีวร 
[๔๗๘] สมัยต่อมา ประชาชนนิมนต์ภิกษุทั้งหลายผู้ช่วยกันทำจีวรฉันภัตตาหาร. ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจ ไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายในคราวที่ทำจีวรกัน เราอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ ๓
๘๑. ๒. ง. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราวทำจีวร นี้สมัยในเรื่องนั้น.  ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในฤดูทำจีวร จบ.
 เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวเดินทางไกล 
 [๔๗๙] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายพากันเดินทางไกลไปกับประชาชน คราวนั้นภิกษุเหล่านั้นได้บอกประชาชนพวกนั้นว่า โปรดรอสักครู่หนึ่งเถิดจ๊ะ พวกฉันจักไปบิณฑบาต. 
              ประชาชนพวกนั้นกล่าวนิมนต์อย่างนี้ว่า นิมนต์ฉันที่นี้แหละ เจ้าข้า. 
              ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่ พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่เดินทางไกล เราอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ ๔
๘๑.๒. จ. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราวที่ทำจีวร คราวที่เดินทางไกล นี้สมัยในเรื่องนั้น.     ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวเดินทางไกล จบ. 
เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวโดยสารเรือ 
[๔๘๐] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายโดยสารเรือไปกับประชาชน ครั้งนั้นภิกษุพวกนั้นได้บอกประชาชนพวกนั้นว่า โปรดจอดเรือที่ฝั่งสักครู่หนึ่งเถิดจ้า พวกฉันจักไปบิณฑบาต. 
              ประชาชนพวกนั้นกล่าวนิมนต์อย่างนี้ว่า นิมนต์ฉันที่นี้แหละ เจ้าข้า. 
              ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายในคราวโดยสารเรือ เราอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ ๕
๘๑.๒. ฉ. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราวที่ทำจีวร คราวที่เดินทางไกล คราวที่โดยสารเรือไป นี้สมัยในเรื่องนั้น.  ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวโดยสารเรือ จบ.
 เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวประชุมใหญ่ 
[๔๘๑] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาในทิศทั้งหลาย เดินทางมายังพระนครราชคฤห์เพื่อเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาค. 
              ประชาชนเห็นภิกษุผู้มาจากราชอาณาเขตต่างๆ จึงนิมนต์ ฉันภัตตาหาร. 
              ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่พระผู้มีพระภาคทรง ห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวประชุมใหญ่ เราอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระอนุบัญญัติ ๖
๘๑.๒. ช. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราวที่ทำจีวร คราวที่เดินทางไกล คราวที่โดยสารเรือไป คราวประชุมใหญ่ นี้สมัยในเรื่องนั้น.     ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวประชุมใหญ่ จบ.
 เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวภัตของสมณะ 
[๔๘๒] สมัยต่อมา พระญาติร่วมสายโลหิตของพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชทรงผนวชอยู่ในสำนักอาชีวก. 
             คราวนั้นแล อาชีวกนั้นเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชถึงพระราชสำนัก ครั้นแล้วได้ถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร อาตมภาพปรารถนาจะทำภัตตาหารเลี้ยงนักบวชที่ถือลัทธิต่างๆ. 
              ท้าวเธอตรัสว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถ้าพระคุณเจ้านิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นมุขให้ฉันก่อน ฉันจึงจะจัดทำถวายอย่างนั้นได้.
               จึงอาชีวกนั้นส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลาย อาราธนาว่า ขอภิกษุทั้งหลายจงรับภัตตาหารของข้าพเจ้า เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้. 
               ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่ พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว.
               จึงอาชีวกนั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงพุทธสำนัก.
         ครั้นแล้วได้กราบทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งกราบทูลว่า แม้พระโคดมผู้เจริญก็เป็นบรรพชิต แม้ข้าพเจ้าก็เป็นบรรพชิต บรรพชิตควรรับอาหารของบรรพชิต ขอพระโคดมผู้เจริญจงทรงรับภัตตาหารของข้าพเจ้าเพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เถิด พระพุทธเจ้าข้า. 
               พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยอาการดุษณี.
               ครั้นอาชีวกนั้นทราบการทรงรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาคแล้ว กลับไป. 
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวภัตของสมณะ เราอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ได้. 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ ๗
๘๑.๒. ญ. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราวที่ทำจีวร คราวที่เดินทางไกล คราวที่โดยสารเรือไป คราวประชุมใหญ่ คราวภัตของสมณะ นี้สมัยในเรื่องนั้น.  ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวภัตของสมณะ จบ.
 สิกขาบทวิภังค์ 
[๔๘๓] ที่ชื่อว่า ฉันเป็นหมู่ คือ คราวที่มีภิกษุ ๔ รูป อันเขานิมนต์ด้วยโภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วฉัน นี้ชื่อว่าฉันเป็นหมู่. 
               บทว่า เว้นไว้แต่สมัย คือ ยกเว้นสมัย.
               ที่ชื่อว่า คราวอาพาธ คือ โดยที่สุดแม้เท้าแตก ภิกษุคิดว่าเป็นคราวอาพาธแล้วฉันได้. 
               ที่ชื่อว่า คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คือ เมื่อกฐินยังไม่ได้กรานกำหนดท้ายฤดูฝน ๑ เดือน เมื่อกฐินกรานแล้ว ๕ เดือน ภิกษุคิดว่าเป็นคราวที่เป็นฤดูถวายจีวร แล้วฉันได้. 
               ที่ชื่อว่า คราวที่ทำจีวร คือ เมื่อภิกษุกำลังทำจีวรกันอยู่ ภิกษุคิดว่าเป็นคราวที่ทำจีวรแล้วฉันได้. 
               ที่ชื่อว่า คราวเดินทางไกล คือ ภิกษุคิดว่า จักเดินทางไปถึงกึ่งโยชน์ แล้วฉันได้ เมื่อจะไปก็ฉันได้ มาถึงแล้วก็ฉันได้. 
               ที่ชื่อว่า คราวโดยสารเรือไป คือภิกษุคิดว่า เราจักโดยสารเรือไปแล้วฉันได้ เมื่อจะโดยสารไปก็ฉันได้ โดยสารกลับมาแล้วก็ฉันได้. 
               ที่ชื่อว่า คราวประชุมใหญ่ คือ คราวที่มีภิกษุ ๒-๓ รูปเที่ยวบิณฑบาตพอเลี้ยงกันแต่เมื่อมีรูปที่ ๔ มารวมด้วย ไม่พอเลี้ยงกัน ภิกษุคิดว่าเป็นคราวประชุมใหญ่ แล้วฉันได้. 
               ที่ชื่อว่า คราวภัตของสมณะ คือ คราวที่มีผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งนับเนื่องว่าเป็นนักบวชทำภัตตาหารถวาย ภิกษุคิดว่าเป็นคราวภัตของสมณะ แล้วฉันได้. 
               นอกจากสมัย ภิกษุรับว่า จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ กลืนกิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน 
บทภาชนีย์    ติกปาจิตตีย์
               [๔๘๔] ฉันเป็นหมู่ ภิกษุสำคัญว่าฉันเป็นหมู่ เว้นไว้แต่สมัย ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               ฉันเป็นหมู่ ภิกษุสงสัย เว้นไว้แต่สมัย ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               ฉันเป็นหมู่ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ฉันเป็นหมู่ เว้นไว้แต่สมัย ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ทุกทุกกฏ 
               มิใช่ฉันเป็นหมู่ ภิกษุสำคัญว่าฉันเป็นหมู่ ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               มิใช่ฉันเป็นหมู่ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ไม่ต้องอาบัติ มิใช่ฉันเป็นหมู่ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ฉันเป็นหมู่ ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร 
[๔๘๕] ภิกษุฉันในสมัย ๑ ภิกษุ ๒-๓ รูปฉันรวมกัน ๑ ภิกษุหลายรูปเที่ยวบิณฑบาตแล้วประชุมฉันแห่งเดียวกัน ๑ ภัตเขาถวายเป็นนิตย์ ๑ ภัตเขาถวายตามสลาก ๑ ภัตเขาถวายในปักษ์ ๑ ภัตเขาถวายในวันอุโบสถ ๑ ภัตเขาถวายในวันปาฏิบท ๑ ภิกษุฉันอาหารทุกชนิดเว้นโภชนะ ห้า ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๔ โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๑ [ว่าด้วย ฉันอาหารในโรงทาน] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องพระฉัพพัคคีย์ 
[๔๗๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ณ สถานอันไม่ห่างจากพระนครสาวัตถีนั้น มีประชาชนหมู่หนึ่งได้จัดตั้งอาหารไว้ในโรงทาน. พระฉัพพัคคีย์ครองผ้าเรียบร้อยแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี, เมื่อไม่ได้อาหาร ได้พากันไปสู่โรงทาน. ประชาชนตั้งใจอังคาสด้วยดีใจว่า แม้ต่อนานๆ ท่านจึงได้มา. ครั้นวันที่ ๒ และวันที่ ๓ เวลาเช้า พระฉัพพัคคีย์ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี, เมื่อไม่ได้อาหาร ได้พากันไปฉันในโรงทาน. ครั้นแล้วได้ปรึกษากันว่า พวกเราจักพากันไปสู่อารามทำอะไรกัน แม้พรุ่งนี้ก็จักต้องมาที่นี่อีก จึงพากันอยู่ในโรงทานนั้นแหละ, ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำ.
               พวกเดียรถีย์พากันหลีกไป. 
               ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้อยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำ อาหารในโรงทานเขามิได้จัดไว้เฉพาะท่านเหล่านี้, เขาจัดไว้เพื่อคนทั่วๆ ไป. 
                ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้อยู่ฉันอาหารในโรงทาน เป็นประจำเล่า ... . 
                ทรงสอบถาม      พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธออยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำ จริงหรือ? 
                พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
 ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท 
               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้อยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... . 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
               พระบัญญัติ ๘๐.๑. ก.  ภิกษุพึงฉันอาหารในโรงทานได้ครั้งหนึ่ง ถ้าฉันยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์. 
               ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
เรื่องพระสารีบุตร 
[๔๗๑] สมัยต่อมา ท่านพระสารีบุตร เดินทางไปพระนครสาวัตถีในโกศลชนบท ได้ไปยังโรงทานแห่งหนึ่ง. ประชาชนตั้งใจอังคาสด้วยดีใจว่า แม้ต่อนานๆ พระเถระจึงได้มา. 
               ครั้นท่านพระสารีบุตรฉันอาหารแล้ว บังเกิดอาพาธหนัก ไม่สามารถจะหลีกไปจากโรงทานนั้นได้.
               ครั้นวันที่ ๒ ประชาชนพวกนั้นได้กราบเรียนท่านว่า นิมนต์ฉันเถิด เจ้าข้า. 
               จึงท่านพระสารีบุตรรังเกียจอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้ามการอยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำ ดังนี้ จึงไม่รับนิมนต์ ท่านได้ยอมอดอาหารแล้ว.
               ครั้นท่านเดินทางไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ ได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธฉันอาหารในโรงทานได้ 
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อาพาธอยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำได้. 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
               พระอนุบัญญัติ ๘๐.๑. ข. ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธ พึงฉันอาหารในโรงทานได้ครั้งหนึ่ง ถ้าฉันยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระสารีบุตร จบ.
สิกขาบทวิภังค์ 
                [๔๗๒] ที่ชื่อว่า มิใช่ผู้อาพาธ คือ สามารถจะหลีกไปจากโรงทานนั้นได้. 
                ที่ชื่อว่า ผู้อาพาธ คือ ไม่สามารถจะหลีกไปจากโรงทานนั้นได้. 
                ที่ชื่อว่า อาหารในโรงทาน ได้แก่ โภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเขาจัดตั้งไว้ ณ ศาลา ปะรำ โคนไม้ หรือที่กลางแจ้งมิได้จำเพาะใคร มีพอแก่ความต้องการ. 
                ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธฉันได้ครั้งหนึ่ง หากฉันเกินกว่านั้น รับประเคนด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ กลืนกิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน. 
บทภาชนีย์    ติกปาจิตตีย์
                [๔๗๓] มิใช่ผู้อาพาธ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ผู้อาพาธ ฉันอาหารในโรงทาน ยิ่งกว่านั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                มิใช่ผู้อาพาธ ภิกษุสงสัย ฉันอาหารในโรงทาน ยิ่งกว่านั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                มิใช่ผู้อาพาธ ภิกษุสำคัญว่าผู้อาพาธ ฉันอาหารในโรงทาน ยิ่งกว่านั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                ทุกะทุกกฏ ผู้อาพาธ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ผู้อาพาธ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.       ผู้อาพาธ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
                ไม่ต้องอาบัติ  ผู้อาพาธ ภิกษุสำคัญว่าผู้อาพาธ ... ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร
[๔๗๔] ภิกษุอาพาธ ๑ ภิกษุไม่อาพาธฉันครั้งเดียว ๑ ภิกษุเดินทางไป หรือเดินทางกลับมาแวะฉัน ๑ เจ้าของนิมนต์ให้ฉัน ๑ ภิกษุฉันอาหารที่เขาจัดไว้จำเพาะ ๑ ภิกษุฉันอาหารที่เขามิได้จัดไว้มากมาย ๑ ภิกษุฉันอาหารทุกชนิดเว้นโภชนะห้า ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
 โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โภชนวรรคที่ ๔ สิกขาบทที่ ๑ ปาจิตตีย์ โภชนวรรคที่ ๔ อาวสถปิณฑ 
               พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งโภชนวรรคดังต่อไปนี้ :- 
 [ว่าด้วยการฉันอาหารในโรงทาน] 
                   ก้อนข้าว (อาหาร) ในโรงทาน ชื่อว่า อาวสถปิณฑะ. 
               อธิบายว่า อาหารที่เขาสร้างโรงทาน กั้นรั้วโดยรอบ มีกำหนดห้องและหน้ามุขไว้มากมาย จัดตั้งเตียงและตั่งไว้ตามสมควร แก่พวกคนเดินทาง คนไข้ หญิงมีครรภ์และบรรพชิต แล้วจัดแจงไว้ในโรงทานนั้น เพราะเป็นผู้มีความต้องการบุญ, คือวัตถุทุกอย่างมีข้าวต้ม ข้าวสวยและเภสัชเป็นต้น เป็นของที่เขาจัดตั้งไว้เพื่อต้องการให้ทานแก่พวกคนเดินทางเป็นต้นนั้นๆ.  
               บทว่า ภิยฺโยปิ คือ แม้พรุ่งนี้. 
               บทว่า อปสกฺกนฺติ คือ ย่อมหลีกไป. 
               สองบทว่า มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ มีความว่า พวกชาวบ้านไม่เห็นพวกเดียรถีย์ จึงถามว่า พวกเดียรถีย์ไปไหน? ได้ฟังว่าพวกเดียรถีย์เห็นภิกษุฉัพพัคคีย์เหล่านี้หลีกไปแล้ว จึงพากันยกโทษ.  
               บทว่า กุกฺกุจายนฺโต มีความว่า กระทำความรังเกียจ คือ ให้เกิดความสำคัญว่าไม่ควร. 
               หลายบทว่า สกฺโกติ ตมฺหา อาวสถาปกฺกมิตุํ มีความว่าย่อมอาจเพื่อจะไปได้กึ่งโยชน์ หรือโยชน์หนึ่ง. 
                 บทว่า น สกฺโกติ คือ ย่อมไม่อาจเพื่อจะไปตลอดที่ประมาณเท่านี้นั่นแหละ. 
                 บทว่า อนุทฺทิสฺส มีความว่า เป็นของอันเขาจัดตั้งไว้เพื่อคนทุกจำพวก ไม่เจาะจงลัทธิอย่างนี้ว่า แก่เจ้าลัทธิพวกนี้เท่านั้น หรือว่าแก่พวกนักบวชมีประมาณเท่านี้เท่านั้น. 
                 บทว่า ยาวทตฺโถ มีความว่า เป็นของที่เขาจัดตั้งไว้มีพอแก่ความต้องการ ไม่จำกัดแม้โภชนะว่า เพียงเท่านี้. 
                 บทว่า สกึภุญฺชิตพฺพํ คือ พึงฉันได้วันเดียว. ตั้งแต่วันที่ ๒ ไป เป็นทุกกฏในการรับประเคน เป็นปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน. 
                 ส่วนวินิจฉัยในสิกขาบทนี้ ดังต่อไปนี้ :- 
                 โภชนะที่ตระกูลเดียวหรือตระกูลต่างๆ รวมกันจัดไว้ ในสถานที่แห่งเดียว หรือในสถานที่ต่างๆ กันก็ดี ในสถานที่ไม่แน่นอนอย่างนี้ คือ วันนี้ ที่ ๑ พรุ่งนี้ ที่ ๑ ก็ดี. ภิกษุฉันวันหนึ่งในที่แห่งหนึ่งแล้ว ในวันที่ ๒ จะฉันในที่นั้น หรือในที่อื่น ไม่ควร. แต่โภชนะที่ตระกูลต่างๆ จัดไว้ในที่ต่างๆ กัน, 
               ภิกษุฉันวันหนึ่งในที่แห่งหนึ่งแล้ว ในวันที่ ๒ จะฉันในที่อื่น ควรอยู่. ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ก็ภิกษุฉันหมดลำดับแล้วจะเริ่มตั้งต้นไปใหม่ไม่ควร ดังนี้. แม้ในคณะเดียวกัน ต่างคณะกัน บ้านเดียวกันและต่างบ้านกัน ก็นัยนี้นั่นแล. 
                ส่วนภัตตาหารใดที่ตระกูลเดียวจัด หรือตระกูลต่างๆ รวมกันจัดไว้ ขาดระยะไปในระหว่างเพราะไม่มีข้าวสารเป็นต้น, แม้ภัตตาหารนั้น ก็ไม่ควรฉัน. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า ก็ถ้าว่าตระกูลทั้งหลายตัดขาดว่า พวกเราจักไม่อาจให้ เมื่อเกิดน้ำใจงามขึ้น จึงเริ่มให้ใหม่, จะกลับฉันอีกวันหนึ่ง ๑ ครั้งก็ได้. 
                 สองบทว่า อนาปตฺติ คิลานสฺส ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุอาพาธผู้พักฉันอยู่. 
                 บทว่า คจฺฉนฺโต วา มีความว่า ภิกษุใด เมื่อไปฉันวันหนึ่งในระหว่างทาง, และในที่ไปถึงแล้วฉันอีกวันหนึ่ง ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้น. แม้ในภิกษุผู้มา ก็นัยนี้แล. 
               จริงอยู่ ภิกษุผู้ไปแล้วกลับมา ย่อมได้เพื่อจะฉันในระหว่างทางวันหนึ่ง และในขากลับอีกวันหนึ่ง. เมื่อภิกษุคิดว่า จักไปฉันแล้วออกไป แม่น้ำขึ้นเต็ม หรือว่ามีภัยคือโจรเป็นต้น, เธอกลับมาแล้วทราบว่าปลอดภัยแล้วไป ย่อมได้เพื่อจะฉันอีกวันหนึ่ง, คำทั้งหมดดังว่ามานี้ ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีเป็นต้น. 
                 ข้อว่า อุทฺทิสฺสปญฺญตฺโต โหติ มีความว่า เป็นของที่เขาจัดไว้จำเพาะ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลายเท่านั้น. 
                 บทว่า น ยาวทตฺโถ มีความว่า มิใช่เป็นของที่เขาจัดไว้เพียงพอแก่ความต้องการ คือ มีเพียงเล็กๆ น้อยๆ, จะฉันโภชนะ แม้เช่นนั้นเป็นนิตย์ก็ควร. 
                 หลายบทว่า ปญฺจ โภชนานิ ฐเปตฺวา สพฺพตฺถ ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติในของทุกชนิด เช่น ยาคู ของควรเคี้ยว และผลไม้น้อยใหญ่เป็นต้น, 
                 จริงอยู่ ภิกษุจะฉันโภชนะมียาคูเป็นต้นแม้เป็นนิตย์ก็ควร. 
                 บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เกิดขึ้นทางกาย ๑ ทางกายกับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

11 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องพระอุทายี [ว่าด้วย นั่งในที่ลับ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๔๖๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น ปุราณทุติยิกาของท่านพระอุทายีได้บวชอยู่ในสำนักภิกษุณี, นางมาในสำนักท่านพระอุทายีเนืองๆ. แม้ท่านอุทายีก็ไปในสำนักนางเนืองๆ. สมัยนั้นแล ท่านพระอุทายีได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีนั้นหนึ่งต่อหนึ่ง. บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุทายีผู้เดียว จึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียวเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... .
 ทรงสอบถาม 
              พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี ข่าวว่า เธอผู้เดียวสำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียว จริงหรือ? 
              พระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
 ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอผู้เดียวจึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียวเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
              ๗๙. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด ผู้เดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียว เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระอุทายี จบ.
 สิกขาบทวิภังค์ 
              [๔๖๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
              ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย. 
              บทว่า กับ คือ ร่วมกัน. 
              บทว่า ผู้เดียว ผู้เดียว คือ มีเฉพาะภิกษุและภิกษุณี. 
              ที่ชื่อว่า ที่ลับ คือ ที่ลับตา ที่ลับหู. 
              ที่ชื่อว่า ที่ลับตา ได้แก่ สถานที่ซึ่งไม่สามารถแลเห็นภิกษุกับภิกษุณีขยิบตากัน ยักคิ้วกัน หรือชะเง้อศีรษะกัน. 
              ที่ชื่อว่า ที่ลับหู ได้แก่ สถานที่ซึ่งไม่สามารถได้ยินถ้อยคำที่พูดกันตามปกติ. 
              บทว่า สำเร็จการนั่ง ความว่า เมื่อภิกษุณีนั่ง ภิกษุนั่งใกล้ หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              เมื่อภิกษุนั่ง ภิกษุณีนั่งใกล้หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              นั่งทั้งสองก็ดี นอนทั้งสองก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
บทภาชนีย์ ติกปาจิตตีย์ 
              [๔๖๘] ที่ลับ ภิกษุสำคัญว่าที่ลับ สำเร็จการนั่งหนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ที่ลับ ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ที่ลับ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ที่ลับ สำเร็จการนั่ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ทุกะทุกกฏ 
              ไม่ใช่ที่ลับ ภิกษุสำคัญว่าที่ลับ สำเร็จการนั่ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ไม่ใช่ที่ลับ ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ไม่ต้องอาบัติ 
              ไม่ใช่ที่ลับ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ที่ลับ ... ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร 
[๔๖๙] ภิกษุมีบุรุษผู้รู้เดียงสาคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน ๑ ภิกษุยืนมิได้นั่ง ๑ ภิกษุผู้มิได้มุ่งที่ลับ ๑ ภิกษุนั่งส่งใจไปในอารมณ์อื่น ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ. 
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ จบ. 
หัวข้อประจำเรื่อง         ๑. อสัมมตภิกขุโนวาทสิกขาบท ว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณี 
        ๒. อัตถังคตสิกขาบท ว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณีเมื่ออาทิตย์ตกแล้ว 
        ๓. ภิกขุนูปัสสยสิกขาบท ว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณีถึงในที่อยู่ 
        ๔. อามิสสิกขาบท ว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณี เพราะเห็นแก่ลาภ 
        ๕. จีวรทานสิกขาบท ว่าด้วยให้จีวร 
        ๖. จีวรสิพพนสิกขาบท ว่าด้วยเย็บจีวร 
        ๗. สํวิธานสิกขาบท ว่าด้วยชักชวนกันเดินทาง 
        ๘. นาวาภิรุหณสิกขาบท ว่าด้วยโดยสารเรือ 
        ๙. ปริปาจนสิกขาบท ว่าด้วยฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำ 
        ๑๐. รโหนิสัชชสิกขาบท ว่าด้วยนั่งในที่ลับ 
รวม ๑๐ สิกขาบท 
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โอวาทวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๑๐ ภิกขุนีวรรค รโหนิสัชช
       - บาลีเป็นโอวาทวรรค
                 วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ พึงทราบดังนี้ :- 
                 อรรถแห่งบาลีและวินิจฉัยทั้งหมด ผู้ศึกษาพึงทราบโดยนัยดังได้กล่าวแล้วในอนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั่นแล. 
                 จริงอยู่ สิกขาบทนี้มีข้อกำหนดอย่างเดียวกันกับอนิยตสิกขาบทที่ ๒ และกับสิกขาบทที่ ๔ แห่งพระอุปนันทะข้างหน้า. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้แผนกหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งเหตุที่เกิดขึ้นดังนี้แล. รโหนิสัชชสิกขาบทที่ ๑๐ จบ
ภิกขุนีวรรคที่ ๓ จบบริบูรณ์ ตามวรรณนานุกรม.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๙ [ว่าด้วย ฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่อง ภิกษุณีถุลลนันทา

[๔๖๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร อันเป็น สถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทาเป็นกุลุปิกาของตระกูลแห่งหนึ่ง เป็นผู้รับภัตตาหารประจำอยู่. ก็แลคหบดีนั้นได้นิมนต์พระเถระทั้งหลายไว้. ครั้นเวลาเช้า ภิกษุณีถุลลนันทาครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปสู่ตระกูลนั้น.ครั้นแล้วได้ถามคหบดีนั้นว่า ดูกรท่านคหบดี ท่านจัดของเคี้ยวของฉันนี้ไว้มากมายทำไม 
              ค. กระผมได้นิมนต์พระเถระทั้งหลายไว้ ขอรับ. 
              ถุ. ดูกรคหบดี พระเถระเหล่านั้นคือใครบ้าง 
              ค. คือพระคุณเจ้าสารีบุตร พระคุณเจ้ามหาโมคคัลลานะ พระคุณเจ้ามหากัจจานะ พระคุณเจ้ามหาโกฏฐิตะ พระคุณเจ้ามหากัปปินะ พระคุณเจ้ามหาจุนทะ พระคุณเจ้าอนุรุทธะ พระคุณเจ้าเรวตะ พระคุณเจ้าอุบาลี พระคุณเจ้าอานนท์ พระคุณเจ้าราหุล. 
              ถุ. ดูกรคหบดี ก็เมื่อพระเถระผู้ใหญ่มีปรากฏอยู่ ทำไมท่านจึงนิมนต์พระเล็กๆ เล่า 
              ค. พระเถระผู้ใหญ่เหล่านั้นคือใครบ้าง ขอรับ 
              ถุ. คือพระคุณเจ้าเทวทัต พระคุณเจ้าโกกาลิกะ พระคุณเจ้ากฏโมรกติสสกะ พระคุณเจ้าขัณฑเทวีบุตร, พระคุณเจ้าสมุทททัต. 
              ในระหว่างที่ภิกษุณีถุลลนันทาพูดค้างอยู่เช่นนี้ พอดีพระเถระทั้งหลายเข้ามาถึง. นางกลับพูดว่า ดูกรคหบดี ถูกแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ทั้งนั้น ท่านนิมนต์มาแล้ว. 
              ค. เมื่อกี้นี้เองแท้ๆ ท่านพูดว่าพระคุณเจ้าทั้งหลายเป็นพระเล็กๆ เดี๋ยวนี้กลับพูดว่าเป็นพระเถระผู้ใหญ่. คหบดีนั้นพูดแล้วขับนางออกจากเรือน และงดอาหารที่ถวายประจำ. 
              บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระเทวทัตรู้อยู่จึงฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... 

ทรงสอบถาม

              พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระเทวทัตว่า ดูกรเทวทัต ข่าวว่า เธอรู้อยู่ ฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย จริงหรือ? 
              พระเทวทัตทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท             

 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอรู้อยู่ จึงได้ฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวายเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

               ๗๘. ๙. ก. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย เป็นปาจิตตีย์. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ. 
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง 
[๔๖๒] สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งบวชมาจากพระนครราชคฤห์แล้ว ได้เดินทางไปยังตระกูลญาติ. คนทั้งหลายได้ตั้งใจจัดภัตตาหารถวาย ด้วยดีใจว่า ต่อนานๆ ท่านจึงได้มา.
               ภิกษุณีกุลุปิกาของตระกูลนั้น ได้บอกแนะนำคนพวกนั้นว่า ขอพวกท่านจงถวายภัตตาหารแก่พระคุณเจ้า เถิด. 
          ฝ่ายภิกษุณีรูปนั้นรังเกียจว่า การที่ภิกษุรู้อยู่ ฉันบิณฑบาตที่ภิกษุณีแนะนำให้ถวาย พระผู้มีพระภาคทรงห้ามไว้แล้วดังนี้ จึงไม่รับประเคน และไม่สามารถจะเที่ยวไปบิณฑบาต ได้ขาดภัตตาหารแล้ว ครั้นเธอไปถึงพระอารามแล้วแจ้งความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ทรงอนุญาตให้ฉันบิณฑบาตที่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน 
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเพราะคฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน เราอนุญาตให้ภิกษุผู้รู้อยู่ ฉันบิณฑบาตที่ภิกษุณีแนะนำให้เขาถวายได้. 
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระอนุบัญญัติ               

               ๗๘. ๙. ข. อนึ่ง ภิกษุใดรู้อยู่ ฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย เว้นแต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๔๖๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
               บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ที่ชื่อว่า รู้ คือ รู้เอง หรือคนอื่นบอกเธอ หรือภิกษุณีนั้นบอก. 
               ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย. 
            ที่ชื่อว่า แนะนำให้ถวาย คือ ภิกษุณีบอกแก่ผู้ไม่ประสงค์จะถวายทาน ไม่ประสงค์จะทำบุญไว้แต่แรกว่า ท่านเป็นนักสวด ท่านเป็นผู้คงแก่เรียน ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระสุตตันตปิฎก ท่านเป็นพระวินัยธร ท่านเป็นพระธรรมกถึก ขอท่านทั้งหลายจงถวายทานแก่ท่านเถิด ขอท่านทั้งหลายจงทำบุญแก่ท่านเถิด ดังนี้ นี้ชื่อว่า แนะนำให้ถวาย. 
              ที่ชื่อว่า บิณฑบาต ได้แก่ โภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง. 
              บทว่า เว้นไว้แต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน คือ ยกแต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน. 
              ที่ชื่อว่า คฤหัสถ์ปรารภไว้ คือ เขาเป็นญาติ เป็นผู้ปวารณา หรือเขาจัดแจงไว้ตามปกติ. 
              เว้นจากบิณฑบาตที่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ภิกษุรับประเคนไว้ด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน. 

บทภาชนีย์

              [๔๖๔] บิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ภิกษุสำคัญว่าแนะนำให้ถวาย ฉัน เว้นไว้แต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              บิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ภิกษุสงสัย ฉัน เว้นไว้แต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              บิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้แนะนำให้ถวาย ฉัน เว้นไว้แต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ไม่ต้องอาบัติ. 
              บิณฑบาตอันภิกษุณีผู้อุปสมบทในสงฆ์ฝ่ายเดียว แนะนำให้ถวาย ภิกษุฉัน เว้นไว้แต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              บิณฑบาตอันภิกษุณีมิได้แนะนำให้ถวาย ภิกษุสำคัญว่าแนะนำให้ถวาย ฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              บิณฑบาตอันภิกษุณีมิได้แนะนำให้ถวาย ภิกษุสงสัย ฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              บิณฑบาตอันภิกษุณีมิได้แนะนำให้ถวาย ภิกษุสำคัญว่ามิได้แนะนำให้ถวาย ฉัน ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร   

[๔๖๕] ภิกษุฉันบิณฑบาตที่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ๑ ภิกษุฉันบิณฑบาตอันสิกขมานาแนะนำให้ถวาย ๑ ภิกษุฉันบิณฑบาตอันสามเณรีแนะนำให้ถวาย ๑ ภิกษุฉันอาหารทุกชนิดเว้นโภชนะห้า ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ. 
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โอวาทวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๙  ภิกขุนีวรรค ปริปาจน
      - บาลี เป็นโอวาทวรรค 
                วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :-
 [ว่าด้วยบิณฑบาตที่ภิกษุณีแนะนำให้ถวาย] 
                 คำว่า มหานาเค ติฏฺฐมาเน เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. 
                 อธิบายว่า เมื่อพระเถระผู้ใหญ่ทั้งหลายมีปรากฏอยู่. 
                 อีกอย่างหนึ่ง ผู้ศึกษาพึงเห็นปาฐะเหลือในคำนี้ ดังนี้ว่า เห็นพระเถระผู้ใหญ่ทั้งหลายมีปรากฏอยู่. ความจริง เมื่อว่าโดยประการหลังนี้ ความยังไม่เหมาะ. 
                 ถ้อยคำที่ยังไม่ถึงที่สุด ถึงตรงท่ามกลางแห่งการเริ่มต้นกับที่สุด ชื่อว่าอันตรากถา. 
                 บทว่า วิปฺปกตา คือ กำลังทำค้างอยู่. 
                 คำว่า สจฺจํ มหา นาคา โข ตยา คหปติ มีความว่า ภิกษุณีถุลลนันทาหลิ่วตามอง เห็นพระเถระทั้งหลายกำลังเข้ามา ทราบว่าพระเถระเหล่านั้นได้ยินแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้. 
                 บทว่า ภิกฺขุนีปริปาจิตํ ได้แก่ อันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย. 
                อธิบายว่า อันภิกษุณีให้สำเร็จ คือ ทำให้เป็นของควรได้ด้วยการประกาศคุณ. แต่ในบทภาชนะแห่งบทนั้น เพื่อทรงแสดงภิกษุณีและอาการที่ภิกษุณีนั้นแนะนำให้ถวาย 
              พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ผู้ชื่อว่าภิกษุณี ได้แก่สตรีผู้อุปสมบทในสงฆ์ ๒ ฝ่าย, ที่ชื่อว่าแนะนำให้ถวาย คือ (ภิกษุณีบอก) แก่คนผู้ไม่ประสงค์จะถวายแต่แรก ดังนี้เป็นต้น. 
                 ในคำ ปุพฺเพ คิหิสมารมฺภา นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 บทว่า ปุพฺเพ แปลว่า แต่แรกเริ่ม 
                 ภัตที่เขาริเริ่มไว้แล้ว เรียกว่าสมารัมภะ. คำว่า สมารัมภะ นี้เป็นชื่อแห่งภัตที่เขาตระเตรียมไว้แล้ว. การริเริ่มแห่งพวกคฤหัสถ์ ชื่อว่าคิหิสมารัมภะ. ภัตใดที่พวกคฤหัสถ์เตรียมไว้ก่อนแต่นางภิกษุณีแนะนำให้ถวาย, ภิกษุฉันบิณฑบาตอื่นนอกจากภัตนั้น คือ เว้นบิณฑบาตนั้นเสีย เป็นอาบัติ. 
                 มีคำอธิบายว่า แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ฉันบิณฑบาตที่พวกคฤหัสถ์จัดแจงไว้นั้น. 
        ส่วนในบทภาชนะ พระอุบาลีเถระกล่าวไว้ว่า คิหิสมารมฺโภ นาม ญาตกา วา โหนฺติ ปวาริตา ดังนี้ เพื่อแสดงแต่อรรถเท่านั้น ไม่เอื้อเฟื้อถึงพยัญชนะ เพราะบิณฑบาต แม้ที่พวกญาติและคนปวารณามิได้ปรารภไว้ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุก็เป็นอันเขาปรารภไว้แล้ว โดยอรรถ เพราะจะพึงให้นำมาได้ตามสบาย. 
                บทว่า ปกติปฏิยตฺตํวา มีความว่า เป็นภัตที่เขาจัดแจงไว้เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุนั้นนั่นเอง ตามปรกติว่า พวกเราจักถวายแก่พระเถระ ดังนี้ 
                 แต่ในมหาปัจจรีกล่าวไว้โดยไม่แปลกกันว่า เป็นภัตที่เขาจัดแจงไว้ว่า จักถวายแก่พวกภิกษุ ไม่ได้ระบุว่า ภิกษุรูปนั้น หรือรูปอื่น. 
                ข้อว่า ปญฺจ โภชนานิ ฐเปตฺวา สพฺพตฺถ อนาปตฺติ ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติในยาคูของควรเคี้ยวและผลไม้น้อยใหญ่ทั้งหมด แม้ที่นางภิกษุณีแนะนำให้ถวาย. 
                         บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เกิดขึ้นทางกายกับจิต เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๘ [ว่าด้วย โดยสารเรือ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่อง พระฉัพพัคคีย์
[๔๕๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี  ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับพวกภิกษุณี ประชาชนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พวกเราพร้อมด้วยภรรยาเล่นเรือลำเดียวกันฉันใด พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ชักชวนกันแล้ว เล่นเรือลำเดียวกับพวกภิกษุณี ก็ฉันนั้น ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับพวกภิกษุณีเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ทรงสอบถาม      

               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณีทั้งหลาย จริงหรือ? 
               พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

               พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้ชักชวนกันแล้วโดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณีทั้งหลายเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

               ๗๗.๘ ก. อนึ่ง ภิกษุใดชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณี ขึ้นน้ำ ไปก็ดี ล่องน้ำไปก็ดี เป็นปาจิตตีย์. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
เรื่องภิกษุและภิกษุณีหลายรูป 
[๔๕๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุและภิกษุณีหลายรูปด้วยกันจะเดินทางไกลจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี ระหว่างทางมีแม่น้ำที่จะต้องข้าม จึงภิกษุณีพวกนั้นได้กล่าวคำนี้กะภิกษุพวกนั้นว่า แม้พวกดิฉันก็จักข้ามไปกับด้วยพระคุณเจ้า. 
               ภิกษุพวกนั้นพูดว่า ดูกรน้องหญิง การชักชวนกันแล้วโดยสารเรือลำเดียวกันกับภิกษุณี ไม่สมควร พวกเธอจักข้ามไปก่อน หรือพวกฉันจักข้ามไป 
               ภิกษุณีพวกนั้นตอบว่า พวกพระคุณเจ้าเป็นชายผู้ล้ำเลิศ, พระคุณเจ้านั่นแหละจงข้ามไปก่อน. 
               เมื่อภิกษุณีพวกนั้นข้ามไปภายหลัง, พวกโจรได้พากันแย่งชิงและประทุษร้าย. ครั้นภิกษุณี พวกนั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลายๆ ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่พวกภิกษุๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ทรงอนุญาตให้โดยสารเรือลำเดียวกันข้ามฟาก

               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในการข้ามฟาก เราอนุญาตให้ชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณีได้. 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

               ๗๗. ๘. ข. อนึ่ง ภิกษุใดชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกับภิกษุณีขึ้นน้ำไปก็ดี ล่องน้ำไปก็ดี เว้นไว้แต่ข้ามฟาก เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุและภิกษุณีหลายรูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์ 
               [๔๕๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
               บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรง ประสงค์ในอรรถนี้. 
               ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย. 
               บทว่า กับ คือ ร่วมกัน. 
               บทว่า ชักชวนกันแล้ว คือ ชักชวนกันว่า ไปโดยสารเรือกันเถิดน้องหญิง, ไปโดยสารเรือกันเถิดพระคุณเจ้า ไปโดยสารเรือกันเถิดเจ้าค่ะ ไปโดยสารเรือกันเถิดจ้ะ พวกเราไปโดยสารเรือกันในวันนี้ ไปโดยสารเรือกันในวันพรุ่งนี้ หรือไปโดยสารเรือกันในวันมะรืนนี้ ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               เมื่อภิกษุณีโดยสารแล้ว ภิกษุจึงโดยสาร ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               เมื่อภิกษุโดยสารแล้ว ภิกษุณีจึงโดยสาร ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               หรือโดยสารทั้งสอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               บทว่า ขึ้นน้ำไป คือ แล่นขึ้นทวนน้ำ. 
               บทว่า ล่องน้ำไป คือ แล่นลงตามน้ำ. 
               บทว่า เว้นไว้แต่ข้ามฟาก คือ ยกเว้นแต่ข้ามฟาก. 
               ในหมู่บ้านกำหนดชั่วไก่บินตก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะบ้าน ในป่าหาบ้านมิได้, ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ กึ่งโยชน์. 

บทภาชนีย์ - ติกะปาจิตตีย์

              [๔๕๙] ชักชวนกันแล้ว ภิกษุสำคัญว่าชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลำเดียวกัน ขึ้นน้ำไปก็ดี ล่องน้ำไปก็ดี เว้นไว้แต่ข้ามฟาก, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ชักชวนกันแล้ว ภิกษุสงสัย โดยสารเรือลำเดียวกัน ขึ้นน้ำไปก็ดี ล่องน้ำไปก็ดี เว้นไว้แต่ข้ามฟาก, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ชักชวนกันแล้ว ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้ชักชวนกัน โดยสารเรือลำเดียวกัน ขึ้นน้ำไปก็ดีล่องน้ำไปก็ดี เว้นไว้แต่ข้ามฟาก, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ติกะทุกกฏ

               ภิกษุชักชวน ภิกษุณีไม่ได้ชักชวน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
               ไม่ได้ชักชวน ภิกษุสำคัญว่าชักชวน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. ไม่ได้ชักชวน ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ

                ไม่ได้ชักชวน ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้ชักชวน ..., ไม่ต้องอาบัติ. 

อนาปัตติวาร

[๔๖๐] ข้ามฟาก ๑, ไม่ได้ชักชวนกันโดยสาร ๑, ภิกษุณีชักชวน ภิกษุไม่ได้ชักชวน ๑, โดยสารเรือผิดนัก ๑, มีอันตราย ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. 
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ. 
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โอวาทวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๘ ภิกขุนีวรรค นาวาภิรุหน 
       - บาลี เป็นโอวาทวรรค 
                 พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
 [ว่าด้วยการชักชวนกันโดยสารเรือลำเดียวกัน] 
                 บทว่า สํวิธาย ได้แก่ ชักชวนกันมุ่งการเล่นเป็นเบื้องหน้า ด้วยอำนาจมิตรสันถวะซึ่งเป็นความยินดีของชาวโลก. 
                 บทว่า อุทฺธคามินึ คือ แล่นทวนกระแสของแม่น้ำขึ้นไป. ก็เพราะผู้ซึ่งเล่นกีฬาทางเรือที่แล่นขึ้นทวนน้ำ โดยวิ่งทวนขึ้นไป ท่านเรียกว่า โดยสารเรือขึ้นน้ำไป. 
                 ด้วยเหตุนั้น ในบทภาชนะแห่งบทว่า อุทฺธคามินึ นั้น เพื่อแสดงเฉพาะอรรถเท่านั้น จึงตรัสว่า อุชฺชวนิกาย (แล่นขึ้นทวนน้ำ) ดังนี้. 
                 บทว่า อุโธคามินึ คือ แล่นตามกระแสน้ำลงไป. ก็เพราะผู้ซึ่งเล่นกีฬาทางเรือที่แล่นลงตามน้ำ โดยแล่นลงไปทางใต้ ท่านเรียกว่า โดยสารเรือล่องน้ำไป. 
                 ด้วยเหตุนั้น ในบทภาชนะแม้แห่งบทว่า อโธคามินึ นั้นเพื่อแสดงแต่อรรถเหมือนกัน จึงตรัสว่า โอชวนิกาย (แล่นลงตามน้ำ) ดังนี้. ในเรือนั้น ชนทั้งหลายย่อมแล่นเรือใดไปเหนือ หรือใต้เพื่อให้ถึงท่าจอดเรือ, ไม่เป็นอาบัติในการแล่นเรือนั้นไปที่นั่น. 
                 คำว่า ติริยนฺตรณาย นี้ เป็นปัญจมีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. 
                 ในคำว่า คามนฺตเร คามนฺตเร นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
           แม่น้ำใดมีฝั่งข้างหนึ่งต่อเนื่องกันด้วยหมู่บ้าน กำหนดชั่วไก่บินตก, ฝั่งข้างหนึ่งเป็นป่าไม่มีบ้าน, ในเวลาไปทางริมฝั่งที่มีหมู่บ้านแห่งแม่น้ำนั้น เป็นปาจิตตีย์หลายตัวด้วยจำนวนละแวกบ้าน. ในเวลาไปทางข้างริมฝั่งที่ไม่มีบ้าน เป็นปาจิตตีย์มากตัว ด้วยการนับกึ่งโยชน์. แต่แม่น้ำใดมีความกว้าง ๑ โยชน์ แม้ในการไปโดยท่ามกลางแห่งแม่น้ำนั้น ก็พึงทราบปาจิตตีย์หลายตัว ด้วยการนับกึ่งโยชน์. 
                 ในคำว่า อนาปตฺติ ติรยนฺตรณาย นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 ไม่ใช่ในแม่น้ำอย่างเดียว, แม้ภิกษุใดออกจากท่าชื่อมหาดิษฐ์ ไปสู่ท่าชื่อตามพลิตติก็ดี ชื่อสุวรรณภูมิก็ดี ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้น. จริงอยู่ ในทุกๆ อรรถกถา ท่านวิจารณ์อาบัติไว้ในแม่น้ำเท่านั้น ไม่ใช่ในทะเล. 
                 ในคำว่า วิสงฺเกเตน แม้นี้ ก็ไม่เป็นอาบัติ เพราะผิดนัดเวลาเท่านั้น. แต่เมื่อไปโดยผิดนัดท่าเรือโดยผิดนัดเรือ เป็นอาบัติทีเดียว. 
                 คำที่เหลือพร้อมด้วยสมุฏฐานเป็นต้น เป็นเช่นกับปฐมสิกขาบททั้งนั้นแล.