Translate

31 กรกฎาคม 2567

หน้า ๗/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

 มหาวิภงฺควณฺณนา   

          เวรัญชกัณฑ์วรรณนา        ๑- 
บัดนี้ ข้าพเจ้าจักทำการพรรณนาเนื้อความแห่งบททั้งหลายมีบทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นอาทิ เพราะได้กล่าวไว้แล้วว่า  จักทำการพรรณนาอรรถแห่งวินัย แสดงเนื้อความแห่งปาฐะว่า เตน เป็นอาทิ โดยประการต่างๆ.  ข้าพเจ้าจักทำอรรถวรรณนาอย่างไรเล่า.
๑- เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายี ป. ธ. ๙)
๑- วัดมกุฏกษัตริยาราม แปล.
               [อธิบายบทว่า เตน เป็นต้น]  
                            บทว่า เตน เป็นคำแสดงออกโดยไม่เจาะจง. บัณฑิตพึงทราบปฏินิเทศแห่งบทว่า เตน นั้น ด้วยคำว่า เยน นี้ ซึ่งเป็นคำสรุปแม้ไม่กล่าวไว้ แต่สำเร็จได้โดยใจความในกาลภายหลัง.
               จริงอยู่ ความรำพึงของท่านพระสารีบุตร ซึ่งเป็นเหตุแห่งการทูลวิงวอนให้บัญญัติพระวินัย สำเร็จได้ในกาลภายหลัง เพราะเหตุนั้น พึงทราบสัมพันธ์ในคำว่า เตน สมเยน เป็นต้นนี้อย่างนี้ว่า ความรำพึงนั้นเกิดขึ้น โดยสมัยใด โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จประทับที่เมืองเวรัญชา.
               จริงอยู่ วิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะแม้ในวินัยทั้งหมด คือคำว่า เตน ท่านกล่าวไว้ในที่ใดๆ ในที่นั้นๆ บัณฑิตพึงทำปฏินิเทศด้วยคำว่า เยน นี้ซึ่งสำเร็จโดยใจความในกาลก่อนหรือภายหลัง. อุทาหรณ์พอเป็นทางในวิธีที่เหมาะตามที่กล่าวนั้นดังนี้
               ภิกษุสุทินเสพเมถุนธรรม เพราะเหตุใด ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
               มีคำอธิบายว่า ภิกษุสุทินเสพเมถุนธรรม เพราะเหตุใด เพราะเหตุนั้น เราจักบัญญัติ. ปฏินิเทศย่อมเหมาะด้วยคำว่า เยน นี้ ซึ่งสำเร็จโดยใจความในกาลก่อนอย่างนี้ก่อน. ปฏินิเทศย่อมเหมาะด้วยคำว่า เยน นี้ ซึ่งสำเร็จโดยใจความในภายหลัง อย่างนี้ว่า พระธนิยะ บุตรนายช่างหม้อ ได้ถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ให้ คือไม้ทั้งหลายของพระราชา โดยสมัยใด โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จอยู่ที่กรุงราชคฤห์.
               เนื้อความแห่งคำว่า เตน เป็นอันข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
               [อธิบายบทว่า สมเยน เป็นต้น]
                ส่วน สมยศัพท์ ซึ่งมีในบทว่า สมเยน นี้
                                   ย่อมปรากฏในอรรถ ๙ อย่าง คือ
                         สมวายะ ๑ ขณะ ๑ กาละ ๑ สมุหะ ๑
                         เหตุ ๑ ทิฏฐิ ๑ ปฏิลาภะ ๑ ปหานะ ๑
                         ปฏิเวธะ ๑  ก่อน.
 จริงอย่างนั้น สมยศัพท์มีสมวายะเป็นอรรถในคำทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า ชื่อแม้ไฉน แม้พรุ่งนี้ เราทั้งหลายพึงเข้าไปให้เหมาะกาลและความพร้อมกัน.#-
               มีขณะเป็นอรรถ ในคำทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็ขณะและสมัยเพื่ออยู่พรหมจรรย์มีหนึ่งแล.๑- มีกาละเป็นอรรถ ในคำทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า คราวร้อน คราวกระวนกระวาย.๒- มีสมุหะเป็นอรรถ ในคำทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า ประชุมใหญ่ในป่ามหาวัน.๓-
               มีเหตุเป็นอรรถ ในคำทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนภัททาลิ แม้เหตุผล ได้เป็นของอันท่านไม่ได้แทงตลอดแล้วว่า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล เสด็จอยู่ในกรุงสาวัตถี. แม้พระองค์จักทรงทราบเราว่า ภิกษุชื่อว่าภัททาลิ มิใช่ผู้มีปกติทำให้บริบูรณ์ด้วยสิกขาในศาสนาของพระศาสดา ดูก่อนภัททาลิ เหตุแม้นี้แล ได้เป็นของอันท่านไม่ได้แทงตลอดแล้ว.๔-
               มีทิฏฐิเป็นอรรถ ในคำทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล ปริพาชกชื่ออุคคหมานะบุตรของสมณมุณฑิกา อาศัยอยู่ในอารามของนางมัลลิกา ศาลาหลังเดียวใกล้แถวต้นมะพลับเป็นที่สอนทิฏฐิเป็นที่เรียน.๕-
               มีปฏิลาภะเป็นอรรถ ในคำทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า
                                   ประโยชน์ใด ในทิฏฐธรรมนั่นแล
                         ด้วยประโยชน์ใด เป็นไปในสัมปรายภพด้วย
                         นักปราชญ์ ท่านเรียกว่า บัณฑิต เพราะได้
                         เฉพาะซึ่งประโยชน์นั้น.๖-
     มีปหานะเป็นอรรถ ในคำทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้ได้กระทำที่สุดทุกข์ เพราะละมานะโดยชอบ.๗-              มีปฏิเวธะเป็นอรรถ ในคำทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า อรรถคือความบีบคั้นแห่งทุกข์ อรรถคือข้อที่ทุกข์เป็นสังขตธรรม อรรถคือความแผดเผาแห่งทุกข์ อรรถคือความแปรปรวนแห่งทุกข์ เป็นอรรถที่ควรแทงตลอด.๘-
               แต่ในที่นี้ สมยศัพท์นั้นมีกาละเป็นอรรถ เพราะเหตุนั้น พึงเห็นเนื้อความในบทว่า เตน สมเยน นี้ อย่างนี้ว่า ความรำพึงเป็นเหตุทูลวิงวอนให้ทรงบัญญัติวินัยเกิดขึ้นแก่ท่านพระสารีบุตร โดยกาลใด โดยกาลนั้น.
               ในบทว่า เตน สมเยน นี้ โจทก์ท้วงว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรในวินัยนี้ จึงทำนิเทศด้วยตติยาวิภัตติว่า เตน สมเยน ไม่ทำด้วยทุติยาวิภัตติว่า เอกํ สมยํ เหมือนในสุตตันตะและด้วยสัตตมีวิภัตติว่า ยสฺมึ สมเย กามาวจรํ
 เหมือนในอภิธรรมเล่า?
               เฉลยว่า เพราะความสมกับใจความโดยประการอย่างนั้น ในสุตตันตะและอภิธรรมนั้น และเพราะความสมกับใจความโดยประการอื่นในวินัยนี้ สมกับใจความอย่างไร? สมยศัพท์มีอัจจันตสังโยคเป็นอรรถเหมาะในสุตตันตะก่อน.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ด้วยกรุณาวิหารตลอดที่สุดสมัยที่ทรงแสดงพระสุตตันตะทั้งหลาย มีพรหมชาลสูตรเป็นต้นทีเดียว เพราะเหตุนั้น ในสุตตันตะนั้นท่านจึงทำอุปโยคนิเทศ เพื่อส่องเนื้อความนั้น. ก็แล สมยศัพท์มีอธิกรณะเป็นอรรถ และความกำหนดภาวะด้วยภาวะเป็นอรรถ ย่อมเหมาะ ในอภิธรรม.
               จริงอยู่ สมยศัพท์มีกาละเป็นอรรถและมีสมุหะเป็นอรรถ เป็นอธิกรณ์แห่งธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในอภิธรรมนั้น ภาวะแห่งธรรมเหล่านั้น อันท่านย่อมกำหนดด้วยความมีแห่งสมัย กล่าวคือ ขณะ สมวายะและเหตุ เพราะเหตุนั้น ในอภิธรรมนั้น ท่านจึงทำนิเทศด้วย
สัตตมีวิภัตติ เพื่อส่องเนื้อความนั้น.ส่วนในวินัยนี้ สมยศัพท์มีเหตุเป็นอรรถและมีกรณะเป็นอรรถจึงสมกัน.#๑-
               #๒-ก็สมัยบัญญัติสิกขาบทใดนั้น เป็นสมัยที่พระสารีบุตรเป็นต้นรู้ได้ยาก, โดยสมัยนั้น อันเป็นเหตุและกรณะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบททั้งหลาย และทรงพิจารณาดูเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท ได้เสด็จประทับอยู่ในที่นั้นๆ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ท่านทำนิเทศด้วยตติยาวิภัตติในวินัยนี้ เพื่อส่องเนื้อความนั้น.
               ก็ในที่นี้มีคาถา (ด้วยสามารถแห่งการสงเคราะห์เนื้อความตามที่กล่าวแล้ว) ดังต่อไปนี้ว่า
                                   เพราะพิจารณาเนื้อความนั้นๆ ท่าน
                         พระเถระทั้งหลาย จึงกล่าวสมยศัพท์ใน
                         พระสูตรและพระอภิธรรมแห่งใดแห่งหนึ่ง
                         ด้วยตติยาวิภัตติและสัตตมีวิภัตติ, สมยศัพท์
                         นั้นท่านกล่าวในพระวินัยนี้ ด้วยตติยาวิภัตติ
                         เท่านั้น.
               ส่วนพระโบราณาจารย์พรรณนาไว้ว่า ความต่างกันนี้ว่า ตํ สมยํ ตลอดสมัยนั้นก็ดี ว่า ตสฺมึ สมเย ในสมัยนั้นก็ดี ว่า เตน สมเยน โดยสมัยนั้นก็ดี แปลกกันแต่เพียงถ้อยคำ, ในทุกๆ บทมีสัตตมีวิภัตติเท่านั้นเป็นอรรถ. เพราะฉะนั้น ตามลัทธิของพระโบราณาจารย์นั้น แม้เมื่อท่านกล่าวคำว่า เตน สมเยน แปลว่า โดยสมัยนั้น ก็พึงเห็นความว่า ตสฺมึ สมเย แปลว่า ในสมัยนั้น.
               ข้าพเจ้าจักพรรณนาอรรถแห่งบทเหล่านี้ว่า พุทฺโธ ภควา ดังนี้เป็นต้นข้างหน้า.
 ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๑๖/หน้า ๒๕๑. ๑- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๑๙/หน้า ๒๓๐. ๒- วิ. มหา. เล่ม ๒/ข้อ ๖๑๑/หน้า ๓๙๙. ๓- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๓๕/หน้า ๒๘๗. ๔- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๑๖๓/หน้า ๑๖๕. ๕- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๓๕๖/หน้า ๓๔๒. ๖- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๓๘๐/๑๒๖. ๗- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๑๗๗/หน้า ๒๒๓. ๘- ขุ.ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๕๔๙/หน้า ๔๕๔.
๑- พระราชกวี มานิต ถาวโร ป. ธ. ๙ วัดสัมพันธวงศ์แปล.
๒- พระธรรมบัณฑิต (มานิต ถาวโร ป. ธ. ๙) วัดสัมพันธวงศ์ แปล
               [อรรถาธิบายคำว่า เวรญฺชายํ วิหรติ]    
              ก็พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เวรญฺชายํ วิหรติ นี้ ดังต่อไปนี้ :-
               คำว่า เวรญฺชายํ นี้ เป็นชื่อเมืองใดเมืองหนึ่ง. ในเมืองเวรัญชานั้น.
               คำว่า เวรญฺชายํ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถว่าใกล้.
               คำว่า วิหรติ เป็นการแสดงถึงความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรมเครื่องอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาธรรมเครื่องอยู่คืออิริยาบถวิหาร ทิพพวิหาร พรหมวิหารและอริยวิหารโดยไม่แปลกกัน. แต่ในที่นี้แสดงถึงการประกอบด้วยอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาอิริยาบถมีประเภท คือ การยืน การเดิน การนั่ง และการนอน. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ก็ดี เสด็จดำเนินไปก็ดี ประทับนั่งอยู่ก็ดี บรรทมอยู่ก็ดี บัณฑิต
พึงทราบว่า เสด็จประทับอยู่ทั้งนั้น.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงบำบัดความลำบากแห่งอิริยาบถอย่างหนึ่ง ด้วยอิริยาบถอีกอย่างหนึ่ง ทรงนำคือทรงยังอัตภาพให้เป็นไปมิให้ทรุดโทรม เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า เสด็จประทับอยู่.
               [อรรถาธิบายคำว่า นเฬรุปุจิมนฺทมูเล เป็นต้น]        
           พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า นเฬรุปุจิมนฺทมูเล นี้ ดังต่อไปนี้ :-
               ยักษ์ชื่อนเฬรุ. ต้นสะเดาชื่อว่าปุจิมันทะ. บทว่า มูลํ แปลว่า ที่ใกล้.
               จริงอยู่ มูลศัพท์นี้ ย่อมปรากฏในรากเหง้า ในคำทั้งหลายมีอาทิเช่นว่า พึงขุดรากเหง้าทั้งหลาย โดยที่สุดแม้เพียงแฝกและอ้อ. ในเหตุอันไม่ทั่วไปในคำมีอาทิว่า ความโลภเป็นอกุศลมูล.
               ในที่ใกล้ ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า เงาย่อมแผ่ไปในเวลาเที่ยง, ใบไม้ทั้งหลายย่อมตกไปในเวลาปราศจากลมได้เพียงใด ด้วยที่เพียงเท่านี้ชื่อว่ารุกขมูล (โคนต้นไม้).
               แต่ในบทว่า มูเล นี้ ท่านประสงค์เอาที่ใกล้. เพราะฉะนั้น พึงเห็นใจความในคำนี้ อย่างนี้ว่า ที่ใกล้ต้นไม้สะเดาอันนเฬรุยักษ์สิงแล้ว.
               ได้ยินว่า ต้นสะเดานั้น่ารื่นรมย์ ่น่าเลื่อมใส ทำท่าเหมือนเป็นเจ้าใหญ่แห่งต้นไม้มากมาย มีอยู่ในที่ซึ่งถึงพร้อมด้วยทางไปมาไม่ไกลเมืองนั้น.
               ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปเมืองเวรัญชา เมื่อจะประทับอยู่ในสถานอันสมควร จึงประทับอยู่ ณ ที่ใกล้ คือส่วนภายใต้แห่งต้นไม้นั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวว่า เสด็จประทับอยู่ที่โคนต้นสะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงอยู่ใกล้เมืองเวรัญชา.
               หากจะมีคำทักท้วงในข้อนั้นว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เมืองเวรัญชาก่อน, คำว่า ที่โคนต้นสะเดาซึ่งนเฬรุยักษ์สิงอยู่ อันพระอุบาลีเถระไม่ควรกล่าว, ถ้าเสด็จประทับอยู่ที่โคนต้นสะเดา ซึ่งนเฬรุยักษ์สิงอยู่นั้น, คำว่า ที่เมืองเวรัญชา ท่านก็ไม่ควรกล่าว, เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่อาจเสด็จประทับอยู่ในสองตำบลพร้อมๆ กัน โดยสมัยเดียวกันนั้นได้. แต่คำว่า เวรญฺชายํ วิหรติ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล นั้น บัณฑิตไม่พึงเห็นอย่างนั้นเลย,
 ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วมิใช่หรือว่า บทว่า เวรญฺชายํ เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถว่าใกล้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเสด็จประทับอยู่ที่โคนต้นสะเดา ซึ่งนเฬรุยักษ์สิง ในที่ใกล้แห่งเมืองเวรัญชา พระอุบาลีเถระจึงกล่าวว่า เสด็จประทับอยู่ที่โคนต้นสะเดาซึ่งนเฬรุยักษ์สิงใกล้เมืองเวรัญชา แม้ในพระบาลีประเทศนี้ เหมือนอย่างฝูงโคทั้งหลาย เมื่อเที่ยวไปในที่ใกล้แห่งแม่น้ำคงคาและยมุนาเป็นต้น ชนทั้งหลายย่อมกล่าวว่า เที่ยว
ไปใกล้แม่น้ำคงคา เที่ยวไปใกล้น้ำแม่น้ำยมุนา ฉะนั้น.
               [อธิบายคำว่าเวรญฺชายํและนเฬรุปุจิมนฺทมูเล]     
            ในคำว่า เวรญฺชายํ วิหรติ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล นี้ บัณฑิตพึงทราบอรรถโยชนา โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า จริงอยู่ คำว่า เวรัญชา มีอันแสดงโคจรคามของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นประโยชน์.
               คำว่า นเฬรุปุจิมันทมูล มีอันแสดงสถานเป็นที่อยู่อันสมควรแก่บรรพชิตเป็นประโยชน์. ท่านพระอุบาลีเถระแสดงการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำการอนุเคราะห์พวกคฤหัสถ์ ในบรรดาคำระบุทั้งสองนั้น ด้วยคำระบุว่า เวรัญชา แสดงการที่ทรงอนุเคราะห์บรรพชิต ด้วยคำระบุว่า นเฬรุปุจิมันทมูล.
               อนึ่ง แสดงความเว้นอัตตกิลมถานุโยค เพราะการรับปัจจัย ด้วยคำระบุต้น, แสดงอุทาหรณ์แห่งอุบายในการเว้นกามสุขัลลิกานุโยค เพราะละวัตถุกามเสีย ด้วยคำระบุหลัง. อนึ่ง แสดงการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกอบยิ่งด้วยธรรมเทศนา ด้วยคำระบุต้น, แสดงการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงน้อมไปเพื่อวิเวก ด้วยคำระบุหลัง. แสดงการที่พระผู้มีพระภาคทรงประกอบด้วยพระกรุณา ด้วยคำระบุต้น, แสดงการที่ทรงประกอบด้วยพระปัญญา ด้วยคำระบุหลัง.
               แสดงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงน้อมพระทัยไปในอันยังหิตสุขให้สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยคำระบุต้น, แสดงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เข้าไปติดในการทำหิตสุขแก่สัตว์อื่น ด้วยคำระบุหลัง. แสดงการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอยู่สำราญมีการไม่สละสุข ซึ่งประกอบด้วยธรรมเป็นเครื่องหมาย ด้วยคำระบุต้น, แสดงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอยู่สำราญ มีความตามประกอบในอุตริมนุสธรรมเป็นเครื่องหมาย ด้วยคำระบุหลัง. แสดงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มากด้วยอุปการะแก่มนุษย์ทั้งหลาย ด้วยคำระบุต้น, แสดงข้อที่พระองค์เป็นผู้มากด้วยอุปการะแก่เทวดาทั้งหลาย ด้วยคำระบุหลัง. แสดงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้วเจริญพร้อมในโลกด้วยคำระบุต้น, แสดงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เข้าไปติดอยู่ในโลก ด้วยคำระบุหลัง.
               ด้วยคำระบุต้น แสดงการที่พระองค์ทรงยังประโยชน์เป็นที่เสด็จอุบัติให้สำเร็จเรียบร้อย ตามพระบาลีว่า               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเอก เมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย, บุคคลเอก คือบุคคลชนิดไหน คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า,๑-
               ด้วยคำระบุหลัง แสดงความอยู่สมควรแก่สถานที่เสด็จอุบัติ.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอุบัติในป่าเท่านั้น ด้วยความอุบัติทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ คือ ครั้งแรกที่ลุมพินีวัน ครั้งที่สองที่โพธิมณฑล
              ด้วยเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงแสดงที่อยู่ของพระองค์ในป่าทั้งนั้น.
๑- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๓๙/หน้า ๒๘.
               [อธิบายคำว่า มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ]      
              พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ นี้ต่อไป
               บทว่า มหตา มีความว่า ใหญ่ด้วยความเป็นผู้มีคุณใหญ่บ้าง ใหญ่ด้วยความเป็นผู้มีจำนวนมากบ้าง.               จริงอยู่ ภิกษุสงฆ์นั้นได้เป็นใหญ่ด้วยคุณทั้งหลายบ้าง เพราะเหตุว่า ภิกษุผู้มีคุณล้าหลังในภิกษุสงฆ์นั้น ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล ได้เป็นใหญ่ด้วยจำนวนบ้าง เพราะมีจำนวนห้าร้อย.
   หมู่แห่งภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าภิกษุสงฆ์. ด้วยภิกษุสงฆ์นั้น. อธิบายว่า ด้วยหมู่สมณะผู้ทัดเทียมกันด้วยคุณ กล่าวคือความเป็นผู้มีทิฏฐิและศีลเสมอกัน.
               บทว่า สทฺธึ คือโดยความเป็นพวกเดียวกัน.
               คำว่า ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิ มีวิเคราะห์ว่า จำนวน ๕ เป็นประมาณของภิกษุเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปัญจมัตตา. ประมาณท่านเรียกว่า มัตตา. เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงเห็นเนื้อความแม้ในบาลีประเทศนี้อย่างนี้ว่า ร้อยแห่งภิกษุเหล่านี้ มีจำนวน ๕ คือมีประมาณ ๕ เหมือนอย่างเมื่อท่านกล่าวว่า โภชเนมตฺตญฺญู ย่อมมีอรรถว่า รู้จำนวน. คือรู้จักประมาณในโภชนะฉะนั้น. ร้อยแห่งภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า ภิกฺขุสตานิ. ด้วยร้อยแห่งภิกษุ ซึ่งมีประมาณห้าเหล่านั้น.
               ในคำที่พระเถระกล่าวว่า มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ นี้ เป็นอันท่านแสดงความที่ภิกษุสงฆ์ใหญ่นั้น เป็นผู้ใหญ่ด้วยจำนวน ด้วยคำว่า ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิ นี้.
      ส่วนความที่ภิกษุสงฆ์นั้นเป็นผู้ใหญ่ด้วยคุณ จักมีแจ้งข้างหน้าด้วยคำว่า
               ดูก่อนสารีบุตร ก็ภิกษุสงฆ์ไม่มีเสี้ยนหนามหมดโทษปราศจากความด่างดำ หมดจดดี ตั้งอยู่แล้วในธรรมอันเป็นสาระ, เพราะว่าบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ภิกษุผู้ที่มีคุณล้าหลัง ก็ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล ดังนี้.
               [อธิบายคำว่า อสฺโสสิ โข เป็นต้น]   
           พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อสฺโสสิ โข เวรญฺโช พฺราหฺมโณ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า อสฺโสสิ ความว่า ฟัง คือ ได้ฟัง ได้แก่ ได้ทราบตามทำนองแห่งเสียงของคำพูดที่ถึงโสตทวาร.
               ศัพท์ว่า โข เป็นนิบาตลงในอรรถเพียงทำบทให้เต็ม หรือลงในอรรถแห่งอวธารณะ. บรรดาอรรถทั้งสองนั้นด้วยอรรถแห่งอวธารณะ
               พึงทราบใจความดังนี้ว่า ได้ฟังจริงๆ อันตรายแห่งการฟังอะไรๆ มิได้มีแก่พราหมณ์นั้น. ด้วยอรรถว่าทำบทให้เต็ม พึงทราบว่า เป็นเพียงความสละสลวยแห่งบทและพยัญชนะเท่านั้น.
               พราหมณ์ผู้เกิดในเมืองเวรัญชา ชื่อว่าเวรัญชะ. พราหมณ์มีในเมืองเวรัญชา ชื่อว่าเวรัญชะ. อีกอย่างหนึ่ง เมืองเวรัญชาเป็นที่อยู่ของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้น พราหมณ์นั้นจึงชื่อว่า เวรัญชะ. แต่ว่าพราหมณ์นี้ ชาวเมืองเรียกว่า อุทัย ด้วยอำนาจชื่อที่มารดาบิดาตั้งให้.  ผู้ใดย่อมสาธยายพระเวท. อธิบายว่า สาธยายมนต์ทั้งหลาย เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่าพราหมณ์.              จริงอยู่ คำว่า พราหมณ์นี้แลเป็นคำเรียกพวกพราหมณ์โดยชาติ. แต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านเรียกว่าพราหมณ์ เพราะความเป็นผู้มีบาปอันลอยเสียแล้ว.
[อธิบายเรื่องที่พราหมณ์ได้ฟัง]     บัดนี้ พระอุบาลีเถระเมื่อจะประกาศเรื่องที่เวรัญชพราหมณ์ได้ฟัง จึงได้กล่าวคำมีว่า สมโณ ขลุ โภ โคตโม เป็นต้น. ในคำนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่าสมณะ เพราะเป็นผู้มีบาปสงบแล้ว. ข้อนี้ สมจริงดังคำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า เราเรียกบุคคลว่าเป็นพราหมณ์ เพราะมีบาปอันลอยเสียแล้ว ว่าสมณะ เพราะความเป็นผู้มีบาปอันสงบแล้ว. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าจัดว่าเป็นผู้มีบาปอันอริยมรรคอย่างยอดเยี่ยมให้สงบแล้ว. เพราะฉะนั้น พระนามคือสมณะนี้ พระองค์ทรงบรรลุแล้วด้วยคุณตามเป็นจริง.
               บทว่า ขลุ เป็นนิบาต ลงในอรรถว่า ได้ฟังมา.
               คำว่า โภ เป็นเพียงคำร้องเรียกที่มาแล้วโดยชาติ แห่งเหล่าชนผู้มีชาติเป็นพราหมณ์. แม้ข้อนี้ ก็สมจริงดังคำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ชื่อว่า โภวาที (ผู้มีวาทะว่าเจริญ) ผู้นั้นแล ยังมีกิเลสเครื่องกังวล.
               ด้วยคำว่า โคตโม นี้ เวรัญชพราหมณ์ทูลเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยอำนาจแห่งพระโคตร. เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงเห็นใจความในคำว่า สมโณ ขลุ โภ โคตโม นี้ อย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระสมณโคตมโคตร ผู้เจริญ. ส่วนคำว่า สกฺยปุตฺโต นี้ แสดงถึงตระกูลอันสูงส่งของพระผู้มีพระภาคเจ้า. คำว่า สกฺยกุลา ปพฺพชิโต แสดงความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผนวชด้วยศรัทธา. มีคำอธิบายว่า พระองค์มิได้ถูกความเสื่อมอะไรๆ ครอบงำทรงละตระกูลนั้นอันยังไม่สิ้นเนื้อประดาตัวเลยแล้ว
ทรงผนวชด้วยศรัทธา.
               คำอื่นจากนั้นมีอรรถอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วแล.
               ทุติยาวิภัตติอันมีอยู่ในบทว่า ตํ โข ปน นี้ ย่อมเป็นไปในอรรถที่กล่าวถึงอิตถัมภูต. ความว่า ก็ (กิตติศัพท์อันงาม) ของพระโคดมผู้เจริญนั้นแล (ฟุ้งไปแล้วอย่างนี้ว่า...)
               บทว่า กลฺยาโณ คือประกอบด้วยคุณอันงาม. อธิบายว่า ประเสริฐ.
               เกียรตินั้นเอง หรือเสียงกล่าวชมเชย ชื่อว่า กิตติศัพท์.
               พุทธคุณกถา               
               ก็ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า อิติปิ โส ภควา เป็นต้นมีโยชนาดังต่อไปนี้ก่อนว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุแม้นี้, เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะเหตุแม้นี้, เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เพราะเหตุแม้นี้, เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เพราะเหตุแม้นี้, เป็นผู้รู้แจ้งโลก เพราะเหตุ แม้นี้, เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึกอย่างยอดเยี่ยม เพราะเหตุแม้นี้, เป็นครูสอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเหตุแม้นี้, เป็นผู้เบิกบานแล้ว เพราะเหตุแม้นี้, เป็นผู้จำแนกแจกธรรม เพราะเหตุแม้นี้.
               มีอธิบายที่ท่านกล่าวไว้ว่า เพราะเหตุนี้และเหตุนี้.
บัดนี้ จักกระทำการบรรณนาโดยนัยพิสดารแห่งบทเหล่านั้น เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในสุตตันตนัยและเพื่อรื่นเริงแห่งจิตด้วยธรรมีกถาอันประกอบด้วยพุทธคุณ ในวาระเริ่มต้นแห่งการสังวรรณนาพระวินัยแห่งพระวินัยธรทั้งหลาย.
               เพราะเหตุนั้น พึงทราบวินิจฉัยในคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ แม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้เป็นต้น.
 องค์การศึกษาแผนกบาลี แปลออกสอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๙๐
               [อธิบายพุทธคุณบทว่า อรหํ]
 พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุเหล่านี้ก่อน คือเพราะเป็นผู้ไกล และทรงทำลายข้าศึกทั้งหลาย และทรงหักกำจักรทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยเป็นต้น เพราะไม่มีความลับในการทำบาป. ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ไกล คือทรงดำรงอยู่ในพระคุณอันไกลแสนไกลจากสรรพกิเลส เพราะทรงกำจัดเสียซึ่งกิเลสทั้งหลายพร้อมทั้งวาสนาด้วยมรรค เพราะฉะนั้นจึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะเป็นผู้ไกล.
               อนึ่ง ข้าศึกคือกิเลสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงทำลายเสียแล้วด้วยมรรค เพราะฉะนั้นจึงทรงพระนามว่าอรหํ แม้เพราะทรงทำลายข้าศึกทั้งหลายเสีย.
               อนึ่ง ซี่กำทั้งหมดแห่งสังสารจักร มีดุมอันสำเร็จด้วยอวิชชาและภวตัณหา มีคำกล่าวคืออภิสังขารมีบุญเป็นต้น มีกงคือชรามรณะอันร้อยไว้ด้วยเพลาที่สำเร็จด้วยอาสวสมุทัย คุมเข้าไว้ในรถกล่าวคือภพสามอันเป็นไปแล้วตลอดกาลหาเบื้องต้นมิได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงยีนหยัดอยู่แล้วบนปฐพีคือศีล ด้วยพระยุคลบาทคือพระวิริยะ ทรงถือผรสุคือญาณ อันกระทำซึ่งความสิ้นไปแห่งกรรม ด้วยพระหัตถ์คือศรัทธา ทรงหักเสียได้แล้วในพระโพธิมัณฑ์ เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า อรหํ แม้เพราะทรงหักกำจักรเสีย.#-
 พระธรรมบัณฑิต (มานิต ถาวโร ป. ธ. ๙) วัดสัมพันธวงศ์ แปล
               [สังสารวัฏคือปฏิจจสมุปบาทเป็นปัจจัยกัน]       
             #- อีกอย่างหนึ่ง สังสารวัฏมีเบื้องต้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า สังสารจักร. ก็อวิชชาเป็นดุมของสังสารจักรนั้น เพราะเป็นมูลเหตุ, มีชรามรณะเป็นกง เพราะเป็นที่สุด, ธรรม ๑๐ อย่างที่เหลือเป็นกำ เพราะมีอวิชชาเป็นมูลเหตุ และเพราะมีชรามรณะเป็นที่สุด. บรรดาธรรมมีอวิชชาเป็นต้นนั้น ความไม่รู้ในอริยสัจมีทุกข์เป็นต้น ชื่อว่าอวิชชา.
               ก็อวิชชาในกามภพ ย่อมเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในกามภพ. อวิชชาในรูปภพย่อมเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในรูปภพ. อวิชชาในอรูปภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในอรูปภพ. สังขารในกามภพย่อมเป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิวิญญาณในกามภพ.
               ในรูปภพและอรูปภพ ก็นัยนี้.
               ปฏิสนธิวิญญาณในกามภพ ย่อมเป็นปัจจัยแก่นามรูปในกามภพ. ในรูปภพก็อย่างนั้น. ย่อมเป็นปัจจัยแก่นามอย่างเดียว ในอรูปภพ.
               นามรูปในกามภพเป็นปัจจัยแก่อายตนะ ๖ ในกามภพ. นามรูปในรูปภพย่อมเป็นปัจจัยแก่อายตนะทั้ง ๓ ในรูปภพ. นามในอรูปภพย่อมเป็นปัจจัยแก่อายตนะอย่างเดียว ในอรูปภพ.
               อายตนะ ๖ ในกามภพเป็นปัจจัยแก่ผัสสะ ๖ อย่างในกามภพ. ๓ อายตนะในรูปภพเป็นปัจจัยแก่ ๓ ผัสสะในรูปภพ. ๑ อายตนะในอรูปภพย่อมเป็นปัจจัยแก่ ๑ ผัสสะในอรูปภพ.
               ผัสสะ ๖ ในกามภพ ย่อมเป็นปัจจัยแก่เวทนา ๖ ในกามภพ. ๓ ผัสสะในรูปภพเป็นปัจจัยแก่ ๓ ผัสสะในรูปภพนั้นนั่นเอง. ผัสสะ ๑ ในอรูปภพย่อมเป็นปัจจัยแก่เวทนา ๑ ในอรูปภพนั้นนั่นเอง. เวทนา ๖ ในกามภพย่อมเป็นปัจจัยแก่ตัณหากาย ๖ ในกามภพ. เวทนา ๓ ในรูปภพเป็นปัจจัยแก่ตัณหา กาย ๓ ในรูปภพนั้นนั่นเอง. เวทนา ๑ ในอรูปภพย่อมเป็นปัจจัยแก่ตัณหากาย ๑ ในอรูปภพ.
               ตัณหานั้นๆ ในกามภพเป็นต้นนั้นๆ ย่อมเป็นปัจจัยแก่อุปาทานนั้นๆ.
               อุปาทานเป็นต้นย่อมเป็นปัจจัยแก่ภพเป็นต้น.
               คืออย่างไร.
               คือว่า คนบางคนในโลกนี้คิดว่า จักบริโภคกาม ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจ เพราะกามุปาทานเป็นปัจจัย เพราะความเต็มรอบแห่งทุจริต เขาย่อมเกิดในอบาย. กรรมเป็นเหตุเกิดในอบายนั้นของบุคคลนั้นเป็นกรรมภพ, ความเกิดขึ้นแห่งขันธ์ทั้งหลาย เป็นชาติ, ความแก่หง่อมเป็นชรา, ความแตกทำลายเป็นมรณะ.
               อีกคนหนึ่งคิดว่า จักเสวยสมบัติในสวรรค์ ประพฤติสุจริตอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะความบริบูรณ์แห่งสุจริต เขาย่อมเกิดในสวรรค์. คำว่า กรรมเป็นเหตุเกิดในสวรรค์นั้นของเขาเป็นกรรมภพเป็นต้น ก็มีนัยเหมือนกันนั้น.
               ส่วนอีกคนหนึ่งคิดว่า จักเสวยสมบัติในพรหมโลก ย่อมเจริญเมตตา เจริญกรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะกามุปาทานเป็นปัจจัย เขาย่อมเกิดในพรหมโลก เพราะความบริบูรณ์แห่งภาวนา. คำว่า กรรมเป็นเหตุเกิดในพรหมโลกนั้นของเขาเป็นกรรมภพเป็นต้น ก็มีนัยเหมือนกันนั้น.
               อีกคนหนึ่งคิดว่า จักเสวยสมบัติในอรูปภพ จึงเจริญสมาบัติทั้งหลายมีอากาสานัญจายตนะเป็นต้นอย่างนั้นนั่นแล เพราะความบริบูรณ์แห่งภาวนา เขาย่อมเกิดในอรูปภพนั้นๆ. กรรมเป็นเหตุเกิดในอรูปภพนั้นของเขาเป็นกรรมภพ. ขันธ์ทั้งหลายที่เกิดแต่กรรมเป็นอุปบัติภพ, ความเกิดแห่งขันธ์ทั้งหลาย เป็นชาติ, ความแก่หง่อมเป็นชรา, ความแตกทำลายเป็นมรณะแล. ในโยชนาทั้งหลายแม้มีอุปาทานที่เหลือเป็นมูล ก็นัยนี้.
 พระธรรมบัณฑิต (มานิต ถาวโร ป. ธ. ๙) วัดสัมพันธวงศ์ แปล
               [ธัมมัฏฐิติญาณ]        
             ปัญญาในการกำหนดปัจจัย โดยนัยที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า อวิชชานี้เป็นตัวเหตุ สังขารทั้งหลายเกิดมาจากเหตุ อวิชชาและสังขารแม้ทั้งสองนี้ก็เป็นเหตุสมุปปันนธรรม (ธรรมที่เป็นเหตุและเกิดจากเหตุ) ชื่อธรรมฐิติญาณ.
               ปัญญาในการกำหนดปัจจัย โดยนัยที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า อวิชชาทั้งที่เป็นอตีตัทธา (อดีตกาล) ทั้งที่เป็นอนาคตัทธา (อนาคตกาล) เป็นตัวเหตุ สังขารทั้งหลายเกิดมาจากเหตุ อวิชชาและสังขารแม้ทั้งสองนี้ก็เป็นเหตุสมุปปันนธรรม (ธรรมที่เป็นเหตุและเกิดจากเหตุ) ชื่อธรรมฐิติญาณแล.
               ทุกๆ บทผู้ศึกษาพึงให้พิสดารโดยนัยนี้.
               [สังเขปและอัทธาในปฏิจจสมุปบาท]        
              บรรดาองค์แห่งปฏิจจสมุปบาทนั้น อวิชชาและสังขารเป็นสังเขปหนึ่ง. วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะและเวทนา เป็นสังเขปหนึ่ง. ตัณหา อุปาทานและภพ เป็นสังเขปหนึ่ง. ชาติและชรามรณะเป็นสังเขปหนึ่ง.
               ก็ในสังเขป ๔ นั้น สังเขปต้นเป็นอตีตัทธา, สองสังเขปกลางเป็นปัจจุปันนัทธา, ชาติและชรามรณะเป็นอนาคตัทธา.
               [วัฏฏะและสนธิ ๓ ในปฏิจจสมุปบาท]      
              อนึ่ง ในสังเขปต้นนั้น ตัณหาอุปาทานและภพ ย่อมเป็นอันท่านถือเอาแล้ว ด้วยศัพท์คืออวิชชาและสังขารนั่นแล เพราะฉะนั้น ธรรม ๕ เหล่านี้จัดเป็นกรรมวัฏในอดีต.
               ธรรม ๕ อย่างมีวิญญาณเป็นต้น จัดเป็นวิปากวัฏในปัจจุบัน.
               อวิชชาและสังขารเป็นอันท่านถือเอาแล้วด้วยศัพท์คือตัณหา อุปาทานและภพนั่นเอง เพราะฉะนั้น ธรรม ๕ เหล่านี้จัดเป็นกรรมวัฏในกาลบัดนี้.
               ธรรม ๕ เหล่านี้จัดเป็นวิปากวัฏต่อไป (ในอนาคต) เพราะองค์ปฏิจจสมุปบาทมีวิญญาณเป็นต้น ท่านแสดงไขโดยอ้างถึงชาติ ชรา มรณะ.
               ปฏิจจสมุปบาทมีอวิชชาเป็นต้นนั้น ว่าโดยอาการมี ๒๐ อย่าง.
               อนึ่ง ในองค์ปฏิจจสมุปบาทมีสังขารเป็นต้นนี้ ระหว่างสังขารกับวิญญาณ เป็นสนธิหนึ่ง. ระหว่างเวทนากับตัณหา เป็นสนธิหนึ่ง. ระหว่างภพกับชาติ เป็นสนธิหนึ่ง ฉะนี้แล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ ทรงเห็น ทรงทราบ ทรงแทงตลอดปฏิจจสมุปบาทนี้ซึ่งมีสังเขป ๔ อัทธา ๓ อาการ ๒๐ สนธิ ๓ โดยอาการทุกอย่าง ด้วยประการฉะนี้.
               ความรู้นั้น ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ (โดยสภาพตามเป็นจริง) ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย ชื่อธรรมฐิติญาณ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ธรรมเหล่านั้นตามเป็นจริง ด้วยธรรมฐิติญาณนี้แล้ว ทรงเบื่อหน่ายคลายความพอใจจะพ้นไปในธรรมมีอวิชชาเป็นต้นนั้น จึงได้หักทำลาย กำจัดเสียซึ่งซี่กำทั้งหลายแห่งสังสารจักร มีประการดังกล่าวแล้วนี้. พระองค์ทรงพระนามว่า อรหํ แม้เพราะทรงหักกำจักรเสีย แม้ด้วยประการอย่างนี้.#-
               อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นย่อมควรซึ่งจีวราทิปัจจัยและบูชาวิเศษทั้งหลาย เพราะพระองค์เป็นผู้ควรซึ่งทักษิณาอันเลิศ. เพราะฉะนั้น ในเมื่อพระตถาคตเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เทพและมนุษย์ผู้มเหสักข์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง จึงไม่ทำการบูชาในที่อื่น.
               จริงอย่างนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทรงบูชาพระตถาคต ด้วยพวงแก้วเท่าเขาสิเนรุ.
               อนึ่ง เทพและมนุษย์เหล่าอื่นมีพระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าโกศลเป็นต้น ก็ทรงบูชาแล้วตามกำลัง.
               อนึ่ง พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสละพระราชทรัพย์ถึง ๙๖ โกฏิ ทรงสร้างพระวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลังในสกลชมพูทวีป ทรงพระราชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เสด็จปรินิพพานแล้ว. ก็จะกล่าวอะไรถึงบูชาวิเศษเหล่าอื่น. เพราะฉะนั้นจึงทรงพระนามว่า อรหํ แม้เพราะเป็นผู้ควรซึ่งปัจจัยเป็นต้น.
               อนึ่ง เหล่าคนพาลผู้ถือตัวว่าเป็นบัณฑิตพวกไรๆ ในโลก ย่อมทำบาปในที่ลับ เพราะกลัวแต่ความติเตียนฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นย่อมทรงกระทำดังนั้น ในบางครั้งก็หาไม่ เพราะฉะนั้นจึงทรงพระนามว่า อรหํ แม้เพราะไม่มีความลับในการกระทำบาป.
               ก็ในพระนามนี้ มีคาถาประพันธ์มีเนื้อความดังนี้ว่า
                         พระมุนีนั้น เพราะความที่พระองค์เป็นผู้ไกล
               และทรงทำลายข้าศึกคือกิเลสทั้งหลาย พระองค์เป็น
               ผู้หักกำแห่งสังสารจักร เป็นผู้ควรปัจจัยเป็นต้น ย่อม
               ไม่ทรงทำบาปในที่ลับ เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงถวาย
               พระนามว่า อรหํ.
 องค์การศึกษาแผนกบาลี แปลออกสอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๙๕
               [อธิบายพุทธคุณบทว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ]        
              อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบ และด้วยพระองค์เอง.
               จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสรู้ชอบเองซึ่งธรรมทั้งปวง คือตรัสรู้ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง โดยความเป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ตรัสรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ โดยความเป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ ตรัสรู้ธรรมที่ควรละ โดยความเป็นธรรมที่ควรละ ตรัสรู้ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง โดยความเป็นธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ตรัสรู้ธรรมที่ควรทำให้เจริญ โดยความเป็นธรรมที่ควรทำให้เจริญ.
               ด้วยเหตุนั้นแหละ พระองค์จึงตรัสว่า
                                   สิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เราได้รู้ยิ่งแล้ว สิ่งที่
                         ควรให้เจริญ เราก็ให้เจริญแล้ว และสิ่งที่
                         ควรละ เราก็ละได้แล้ว เพราะเหตุนั้น
                         พราหมณ์ เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า.๑-
๑- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๗๗/หน้า ๔๔๔.
               อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสรู้ซึ่งธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วยพระองค์เอง แม้ด้วยการยกขึ้นทีละบทอย่างนี้ว่า จักษุเป็นทุกขสัจ, ตัณหาในภพก่อนอันยังจักษุนั้นให้เกิด โดยความเป็นมูลเหตุแห่งจักษุนั้น เป็นสมุทัยสัจ, ความไม่เป็นไปแห่งจักษุและเหตุเกิดแห่งจักษุทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ, ข้อปฏิบัติเป็นเหตุให้รู้นิโรธ เป็นมรรคสัจ.
               ในโสตะ ฆานะ ชิวหา กายและมนะ ก็มีนัยเช่นนี้.
               บัณฑิตพึงประกอบอายตนะ ๖ มีรูปเป็นต้น วิญญาณกาย ๖ มีจักษุวิญญาณเป็นต้น ผัสสะ ๖ มีจักษุสัมผัสเป็นต้น เวทนา ๖ มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น สัญญา ๖ มีรูปสัญญาเป็นต้น เจตนา ๖ มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น ตัณหากาย ๖ มีรูปตัณหาเป็นต้น วิตก ๖ มีรูปวิตกเป็นต้น วิจาร ๖ มีรูปวิจารเป็นต้น ขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์เป็นต้น
               กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสติ ๑๐ สัญญา ๑๐ ด้วยอำนาจอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น อาการ ๓๒ มีผมเป็นต้น อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ภพ ๙ มีกามภพเป็นต้น ฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น อัปปมัญญา ๔ มีเมตตาภาวนาเป็นต้น อรูปสมาบัติ ๔ มีอากาสานัญจายตนะเป็นต้น และองค์แห่งปฏิจจสมุปบาท โดยปฏิโลมมีชรามรณะเป็นต้น โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น โดยนัยนี้นั่นแล.
               ในชรามรณะเป็นต้นนั้น มีการประกอบบทเดียวดังต่อไปนี้ :-
               พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสรู้ คือตรัสรู้ตามสมควร ได้แก่แทงตลอดซึ่งธรรมทั้งปวง โดยชอบและด้วยพระองค์เอง ด้วยการยกขึ้นทีละบทอย่างนี้ว่า ชรามรณะเป็นทุกขสัจ ชาติ เป็นสมุทัยสัจ การสลัดออกเสียซึ่งชรามรณะและเหตุเกิดแห่งชรามรณะนั้น แม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ ข้อปฏิบัติเป็นเหตุให้รู้นิโรธ เป็นมรรคสัจ. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า
               อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง โดยชอบและด้วยพระองค์เอง.
               [อรรถาธิบายพุทธคุณบทว่า วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน]       
              อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ชื่อว่าผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ก็เพราะทรงเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ. ในวิชชาและจรณะนั้น วิชชา ๓ ก็ดี วิชชา ๘ ก็ดี ชื่อว่าวิชชา. วิชชา ๓ พึงทราบตามนัยที่ตรัสไว้ในภยเภรวสูตรนั่นแล. วิชชา ๘ ในอัมพัฏฐสูตร. ก็ในวิชชา ๓ และวิชชา ๘ นั้น วิชชา ๘ พระองค์ตรัสประมวลอภิญญา ๖ กับวิปัสสนาญาณและมโนมยิทธิเข้าด้วยกัน. ธรรม ๑๕ นี้ คือ สีลสังวร ความเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ชาคริยานุโยค สัทธรรม ๗ ฌาน ๔ พึงทราบว่า ชื่อว่าจรณะ.
               จริงอยู่ ธรรม ๑๕ นี้แหละ พระองค์ตรัสเรียกว่าจรณะ เพราะเหตุที่เป็นเครื่องดำเนินคือเป็นเครื่องไปสู่ทิศ คืออมตธรรมของพระอริยสาวก.
               เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนมหานาม พระอริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีศีล ดังนี้เป็นต้น.๑-
               ผู้ศึกษาพึงทราบความพิสดาร.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกอบด้วยวิชชาเหล่านี้และด้วยจรณะนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ.
               ในความถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะนั้น ความถึงพร้อมด้วยวิชชา ยังความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระสัพพัญญูให้เต็มอยู่. ความถึงพร้อมด้วยจรณะ ยังความที่พระองค์เป็นผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณาให้เต็มอยู่.
               พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงรู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ด้วยความเป็นสัพพัญญู แล้วทรงเว้นสิ่งที่มิใช่ประโยชน์เสีย ด้วยความเป็นผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงชักนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เหมือนอย่างผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะฉะนั้นแล.
               เพราะเหตุนั้น เหล่าสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นจึงเป็นผู้ปฏิบัติดี หาเป็นผู้ปฏิบัติชั่วไม่. พวกสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น หาเป็นผู้ปฏิบัติชั่วเหมือนอย่างเหล่าสาวกของพวกบุคคลผู้มีวิชชาและจรณะวิบัติ ทำตนให้เดือดร้อนเป็นต้นฉะนั้นไม่.
๑- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๒๗/หน้า ๒๖.
               [อรรถาธิบายพระพุทธคุณบทว่า สุคโต]           
  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สุคโต เพราะภาวะที่ทรงดำเนินไปงาม เพราะภาวะที่เสด็จไปยังสถานที่ดี เพราะภาวะที่เสด็จไปโดยชอบ และเพราะภาวะที่ตรัสไว้โดยชอบ.
               ก็แม้ คมนํ จะกล่าวว่า คตํ ก็ได้. และการทรงดำเนินนั้นได้แก่อะไร? ได้แก่ทางอันประเสริฐ. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเสด็จไปได้ยังทิศอันเกษม ไม่ข้องขัดด้วยการเสด็จไปนั้น เพราะเหตุนั้นจึงทรงพระนามว่า สุคโต เพราะภาวะที่ทรงดำเนินไปงาม.
               อนึ่ง พระองค์เสด็จไปยังสถานที่ดี คืออมตนิพพาน เพราะฉะนั้นจึงทรงพระนามว่า สุคโต แม้เพราะเสด็จไปยังสถานที่ดี. อนึ่ง พระองค์เสด็จไปโดยชอบ เพราะเหตุนั้นจึงทรงพระนามว่า สุคโต เพราะไม่กลับมาหาเหล่ากิเลสที่มรรคนั้นๆ ละได้แล้ว.
               สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า พระองค์ทรงพระนามว่า สุคโต เพราะอรรถว่าไม่กลับมา ไม่คืนมา ไม่หวนกลับมาหาเหล่ากิเลสที่โสดาปัตติมรรคละได้แล้ว ฯลฯ พระองค์ทรงพระนามว่า สุคโต เพราะอรรถว่าไม่กลับมา ไม่คืนมา ไม่หวนกลับมาหาเหล่ากิเลสที่อรหัตมรรคละได้แล้ว.
               อีกประการหนึ่ง พระองค์เสด็จไปโดยชอบ คือเสด็จไปทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่โลกทั้งหมดอย่างเดียว ด้วยการปฏิบัติชอบที่ทรงบำเพ็ญมาด้วยอำนาจพระบารมี ๓๐ ทัศ กำหนดจำเดิมตั้งแต่แทบพระบาทของพระพุทธทีปังกรจนถึงควงไม้โพธิ์ และไม่เสด็จเข้าไปใกล้ส่วนสุดเหล่านี้คือ เรื่องเที่ยง เรื่องขาดสูญ ความสุขในกาม ความทำตนให้ลำบาก เพราะเหตุนั้นจึงทรงพระนามว่า สุคโต แม้เพราะเสด็จไปโดยชอบ.
 อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบ คือตรัสพระวาจาที่ควร ในฐานะที่ควรเท่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงทรงพระนามว่า สุคโต แม้เพราะตรัสโดยชอบ.
               ในข้อนั้นมีพระสูตรเป็นเครื่องสาธกดังต่อไปนี้ว่า๑-
               พระตถาคตทรงรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของคนพวกอื่น พระตถาคตย่อมไม่ตรัสพระวาจานั้น, พระตถาคตทรงรู้วาจาใด จริง แท้ แต่ไม่เป็นประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนพวกอื่น วาจาแม้นั้น พระตถาคตก็ไม่ตรัส.
               ก็แลพระตถาคตทรงรู้วาจาใด จริง แท้ เป็นประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของคนพวกอื่น ในวาจานั้น พระตถาคตก็ทรงเป็นกาลัญญู (ผู้รู้กาล) เพื่อพยากรณ์วาจานั้น.
               พระตถาคตทรงรู้วาจาแม้ใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของคนเหล่าอื่น พระตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น, พระตถาคตทรงรู้วาจาแม้ใด จริง แท้ แต่ไม่เป็นประโยชน์และวาจานั้นเป็นที่รักเป็นที่ชอบของคนเหล่าอื่น วาจาแม้นั้น พระตถาคตก็ไม่ตรัส, ก็แลพระตถาคตทรงรู้วาจาใด จริง แท้ เป็นประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของคนเหล่าอื่น ในวาจานั้น พระตถาคตก็เป็นกาลัญญู (ผู้รู้กาล) เพื่อพยากรณ์วาจานั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า สุคโต แม้เพราะตรัสพระวาจาชอบด้วยประการฉะนี้.
องค์การศึกษาแผนกบาลีแปลออกสอบในสนามหลวง ปี พ.ศ. ๒๕๐๖. ๑- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๙๔/หน้า 

28 กรกฎาคม 2567

หน้า ๖/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

 [กุลบุตรชาวเกาะออกบวชในพระศาสนา]   

               ก็แลราชกุมารพระนามว่าอภัยเป็นพระกนิษฐภาดาของพระราชา ยังพระหฤทัยให้เลื่อมใสในปาฏิหาริย์แห่งพระธาตุนั้นแล้ว ทรงผนวชพร้อมกับบุรุษประมาณพันหนึ่ง. พวกทารก ๕๐๐ คนออกบวชจากหมู่บ้านเวตาลิ จากหมู่บ้านเช่นหมู่บ้านทวารมณฑลเป็นต้น พวกทารกออกบวชหมู่บ้านละ ๕๐๐ คน เช่นเดียวกัน. พวกทารกหลายร้อยคนออกบวชจากภายในเมืองและภายนอกเมือง รวมทั้งหมดเป็นภิกษุ ๓ หมื่นรูป. ก็เมื่อพระสถูปสำเร็จแล้ว พระราชา ราชอำมาตย์และพระเทวี ได้กระทำการบูชา อย่างน่าพิศวงคนละแผนกๆ แม้แก่พวกเทวดานาคและยักษ์. อนึ่ง เมื่อการบูชาพระธาตุ (และ) พระธาตุเจดีย์สำเร็จแล้ว พระมหินทเถระไปสำเร็จการอยู่ยังอุทยานเมฆวันนั่นแล.
               [พระนางอนุฬาเทวีทรงมีพระประสงค์จะบวช]     
               ก็สมัยนั้นแล พระนางอนุฬาเทวีมีพระประสงค์จะบวช กราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรงสดับคำของพระนางแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้กะพระเถระว่า ท่านผู้เจริญ พระนางอนุฬาเทวีมีพระประสงค์จะบวช, ขอพระคุณท่านให้พระนางบวชเถิด. พระเถระถวายพระพรว่า มหาบพิตร การให้มาตุคามบวช ไม่สมควรแก่พวกอาตมภาพ, แต่ในนครปาตลีบุตร มีพระเถรีนามว่าสังฆมิตตา เป็นน้องสาวของอาตมภาพ, ขอพระองค์ได้ทรงโปรดให้นิมนต์พระเถรีนั้นมา มหาบพิตร ก็แลโพธิพฤกษ์ (ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ทั้ง ๓ พระองค์ ได้ประดิษฐานอยู่ที่เกาะนี้, โพธิพฤกษ์อันเปล่งข่ายคือรัศมีใหม่ๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ของเรา ก็ควรประดิษฐานอยู่บนเกาะนี้ เพราะฉะนั้น พระองค์พึงส่งพระราชสาสน์ไปโดยวิธีที่พระเถรีสังฆมิตตาจะพึงเชิญไม้โพธิ์มาด้วย.
               [พระราชาส่งทูตไปยังชมพูทวีป]        
 พระราชาทรงรับคำของพระเถระว่า ดีละ เจ้าข้า ดังนี้ ทรงปรึกษากับพวกอำมาตย์แล้ว ตรัสกะอำมาตย์ผู้เป็นหลานของพระองค์ นามว่าอริฏฐะ ว่า เธอจักอาจไปยังนครปาตลีบุตรนิมนต์พระแม่เจ้าสังฆมิตตาเถรีมาพร้อมกับไม้มหาโพธิ์หรือ? อริฏฐอำมาตย์กราบทูลว่า อาจ สมมติเทพ ถ้าพระองค์จักทรงอนุญาตให้หม่อมฉันบวช. พระราชาตรัสว่า ไปเถิดพ่อ เจ้านำพระเถรีมาแล้ว จงบวชเถิด.
             อำมาตย์นั้นถือเอาพระราชสาสน์และเถรสาสน์แล้วไปยังท่าเรือชื่อชัมพุโกลปัฏฏนะ โดยวันเดียวเท่านั้น ด้วยกำลังการอธิษฐานของพระเถระ ลงเรือข้ามสมุทรไปยังเมืองปาตลีบุตรทีเดียว.
             ฝ่ายพระนางอนุฬาเทวีแล พร้อมด้วยหญิงสาว ๕๐๐ คนและหญิงชาววังอีก ๕๐๐ คน สมาทานศีล ๑๐ ครองผ้ากาสาวพัสตร์ให้สร้างสำนักอาศัย ในส่วนหนึ่งพระนคร แล้วสำเร็จการอยู่อาศัย.
               [ทูตถวายพระราชสาสน์และเถรสาสน์]      
               ฝ่ายอริฏฐอำมาตย์ก็ไปถึงในวันนั้นนั่นแล ได้ทูลเกล้าถวายพระราชสาสน์และกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระมหินทเถระพระโอรสของพระองค์ ทูลอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระเทวีพระนามว่าอนุฬา พระชายาของพระกนิษฐภาดาแห่งพระเจ้าเทวานัมปิยดิส พระสหายของพระองค์ มีพระประสงค์จะบวช เพื่อให้พระนางได้บวช ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดส่งพระแม่เจ้าสังฆมิตตาเถรี และต้นมหาโพธิ์ไปกับพระแม่เจ้าด้วย.
               อริฏฐอำมาตย์ ครั้นทูลถวายเถรสาสน์แล้วเข้าเฝ้าพระเถรีสังฆมิตตา กราบเรียนอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระมหินทเถระ หลวงพี่ของพระแม่เจ้า ส่งข้าพเจ้ามาในสำนักของพระแม่เจ้า โดยสั่งว่า
               พระนางอนุฬาเทวี พระชายาของพระกนิษฐภาดาแห่งพระเจ้าเทวานัมปิยดิส พร้อมกับหญิงสาว ๕๐๐ คน และหญิงชาววัง ๕๐๐ คน มีความประสงค์จะบวช นัยว่าพระแม่เจ้าจงมาให้พระนางอนุฬาเทวีนั้นบวช.
               ในทันใดนั้นนั่นเอง พระเถรีนั้นรีบด่วนไปยังราชสำนัก แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่มหาบพิตร พระมหินทเถระ หลวงพี่ของหม่อมฉันส่งข่าวมาอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระนางอนุฬาเทวี พระชายาของพระกนิษฐภาดาแห่งพระราชา พร้อมด้วยหญิงสาว ๕๐๐ คนและหญิงชาววัง ๕๐๐ คน มีความประสงค์จะบวช คอยท่าการมาของหม่อมฉันอยู่ ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันปรารถนาจะไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีป.
               พระราชาตรัสว่า แน่ะแม่ พระมหินทเถระแม้ผู้เป็นลูกของเราและสุมนสามเณรหลานของเรา ก็ไปสู่เกาะตัมพปัณณิทวีป ทำให้เราเป็นเหมือนคนแขนขาด เรานั้นเมื่อไม่เห็นลูกและหลานแม้เหล่านั้น ก็เกิดความเศร้าโศก เมื่อเห็นหน้าเจ้าก็หายโศก อย่าเลยแม่ แม่อย่าไป.
               พระเถรีทูลว่า ข้าแต่มหาราช คำของหลวงพี่แห่งหม่อมฉันหนักแน่น แม้พระนางอนุฬาขัตติยานีอันสตรีพันคนแวดล้อมแล้วมุ่งหน้าต่อบรรพชา รอคอยหม่อมฉันอยู่ หม่อมฉันจะต้องไป มหาบพิตร!
               พระราชาตรัสว่า แม่ ถ้าเช่นนั้น เจ้าเชิญต้นมหาโพธิ์ไปด้วยเถิด.
               [พระเจ้าอโศกตั้งพระทัยจะส่งต้นมหาโพธิ์ไปเกาะลังกาอยู่ก่อน]   
               ถามว่า พระราชาได้ต้นมหาโพธิ์มาจากไหน?
               แก้ว่า ได้ทราบว่า พระราชาทรงมีพระประสงค์จะส่งต้นมหาโพธิ์ไปยังเกาะลังกา เมื่อสุมนสามเณรยังไม่มา เพื่อต้องการรับเอาพระธาตุ ก่อนแต่พระสังฆมิตตาเถรีจะไปนั้นนั่นแล ก็ทรงพระดำริว่า เราจักส่งต้นมหาโพธิ์ ซึ่งไม่ควรจะตัดด้วยศัสตราไปได้อย่างไรหนอแล เมื่อไม่เห็น
อุบาย จึงตรัสถามอำมาตย์ชื่อมหาเทพ.
               อำมาตย์นั้นกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มีภิกษุบัณฑิตเป็นอันมาก.
               พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว รับสั่งให้ตระเตรียมภัต เพื่อภิกษุสงฆ์
 ในที่สุดภัตกิจได้ตรัสถามพระสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ ต้นมหาโพธิ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ควรไปยังเกาะลังกาหรือไม่หนอ? พระสงฆ์มอบให้เป็นภาระของพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ. พระเถระถวายพระพรว่า ต้นมหาโพธิ์ควรไปยังเกาะลังกาแท้ มหาบพิตร ดังนี้แล้ว ได้ทูลบอกมหา
อธิษฐาน ๕ ข้อของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               [มหาอธิษฐาน ๕ ข้อของพระผู้มีพระภาคเจ้า]          
               มหาอธิษฐาน ๕ ข้อเป็นไฉน?
               คือได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรทมบนพระแท่นปรินิพพาน ได้ทรงอธิษฐานว่า เพื่อต้องการให้ต้นมหาโพธิ์ประดิษฐานอยู่ในลังกาทวีป พระเจ้าอโศกมหาราชจักเสด็จมารับเอาต้นมหาโพธิ์ ในเวลานั้น กิ่งมหาโพธิ์ด้านทิศทักษิณ จงขาดเองทีเดียว แล้วประดิษฐานอยู่ในกระถางทอง นี้เป็นอธิษฐานข้อที่หนึ่ง. ทรงอธิษฐานว่า ก็ในเวลาประดิษฐานอยู่ในกระถางทองนั้น มหาโพธิ์จงลอยเข้าไปสู่ห้องหิมวลาหกตั้งอยู่ นี้เป็นอธิษฐานข้อที่สอง. ทรงอธิษฐานว่า ในวันคำรบ ๗ ต้น มหาโพธิ์จงลอยลงมาจากกลีบหิมวลาหก ตั้งอยู่ในกระถางทอง เปล่งฉัพพรรณรังสีจากใบและผลทั้งหลาย นี้เป็นอธิษฐานข้อที่สาม. ทรงอธิษฐานว่า พระธาตุรากขวัญเบื้องขวา จงทำยมกปาฏิหาริย์ในวันประดิษฐานอยู่ที่พระเจดีย์ ในถูปาราม นี้เป็นอธิษฐานข้อที่สี่. ทรงอธิษฐานว่า พระธาตุของเราประมาณโทณะหนึ่ง ในเกาะลังกานี้แล ในเวลาประดิษฐานอยู่ในมหาเจดีย์ จงแปลงเพศเป็นพระพุทธเจ้าแล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส ทำยมกปาฏิหาริย์ นี้เป็นอธิษฐานข้อที่ห้า.
               [วิสสุกรรมเทพบุตรปลอมตัวเป็นช่างเนรมิตกระถางทอง]   
               พระราชาทรงสดับมหาอธิษฐาน ๕ ข้อนี้แล้วมีพระหฤทัยเลื่อมใส รับสั่งให้จัดการชำระหนทาง ตั้งแต่เมืองปาตลีบุตรจนถึงต้นมหาโพธิ์แล้ว ให้นำทองคำเป็นอันมากออกมา เพื่อต้องการให้สร้างกระถางทองคำ. ในขณะนั้นนั่นแล วิสสุกรรมเทพบุตรทราบพระราชหฤทัยได้นิรมิตเป็นช่างทอง ยืนอยู่ตรงพระพักตร์ (ของพระราชา). พระราชาทอดพระเนตรเห็นเขาแล้ว จึงตรัสว่า พ่อ เจ้าจงเอาทองนี้ไปทำกระถาง. 
               เขาทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทรงบอกขนาดให้ทราบ.
               พระราชาตรัสว่า พ่อ เจ้านั่นแหละ ทราบและจงทำให้ได้ขนาด.
               เขารับว่า ดีละ สมมติเทพ ข้าพระองค์จักกระทำจึงถือทองเอามือลูบคลำ ด้วยอานุภาพของตน นิรมิตกระถางทอง วัดโดยรอบประมาณ ๙ ศอก สูง ๕ ศอก กว้าง ๓ ศอก หนา ๘ นิ้ว ขอบปากมีขนาดเท่าโคนงวงช้าง.
               [พระราชาพร้อมด้วยเสนาเสด็จไปยังต้นมหาโพธิ์]     
               ครั้งนั้น พระราชาเสด็จออกจากนครปาตลีบุตรด้วยเสนาใหญ่ ยาวประมาณ ๗ โยชน์ กว้างประมาณ ๓ โยชน์ พาเอาพระอริยสงฆ์ได้เสด็จไปยังที่ใกล้ต้นมหาโพธิ์. เสนาล้อมต้นมหาโพธิ์ ซึ่งมีธงชัยและธงแผ่นผ้ายกขึ้นไว้แล้ว วิจิตรด้วยรัตนะต่างๆ ประดับด้วยเครื่องอลังการมากมาย เกลื่อนกล่นไปด้วยดอกไม้นานาชนิด ประโคมด้วยเครื่องดุริยางค์หลายหลาก. พระราชานิมนต์เอาพระมหาเถระผู้เป็นคณะปาโมกข์ ประมาณพันรูป แล้วให้พระราชาผู้ได้รับการอภิเษกทั่วชมพูทวีปจำนวนพันองค์แวดล้อมพระองค์ และต้นมหาโพธิ์ ได้ประทับยืนที่โคนต้นมหาโพธิ์ทอดพระเนตรดูต้นมหาโพธิ์. ส่วนที่เหลือเว้นลำต้นของมหาโพธิ์ และส่วนแห่งกิ่งใหญ่ด้านทิศทักษิณประมาณ ๔ ศอก ไม่ปรากฏให้เห็น
               พระราชาทรงเห็นปาฏิหาริย์นั้นเกิดพระปีติปราโมทย์ ตรัสแก่ภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเห็นปาฏิหาริย์นี้แล้วยินดีจะบูชาต้น
มหาโพธิ์ ด้วยราชสมบัติในทวีป จึงได้ถวายการอภิเษก.
               [พระราชาทรงทำสัตยาธิษฐาน]         
               ครั้งนั้น พระราชาทรงบูชา (ต้นมหาโพธิ์) ด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้น กระทำประทักษิณ ๓ ครั้ง ถวายบังคมในที่ทั้ง ๘ เสด็จลุกขึ้นแล้วประทับยืนประคองอัญชลี มีพระประสงค์จะเชิญเอาต้นมหาโพธิ์ด้วยการทำคำสัตย์ รับสั่งให้ตั้งกระถางทองข้างบนตั่งที่สำเร็จด้วยรัตนะทุกอย่าง ซึ่งตั้งหนุนให้สูงขึ้น ตั้งแต่พื้นดินจนถึงกิ่งด้านขวาของมหาโพธิ์แล้ว เสด็จขึ้นบนรัตนบิฐ ทรงถือพระสุวรรณตุลิกา (พู่กันทองคำ) ทำรอยขีดด้วยมโนศิลา แล้วได้ทรงทำสัจพจน์กิริยาว่า ถ้าต้นมหาโพธิ์ควรประดิษฐานอยู่ในเกาะลังกา และหากว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้หมดความสงสัยในพระพุทธศาสนาไซร้ ขอให้ต้นมหาโพธิ์จงประดิษฐานอยู่ในกระถางทองเสียเองทีเดียว. พร้อมกับการทรงทำสัจพจน์ กิ่งโพธิ์ขาดตรงที่ทรงเอามโนศิลากำหนดหมายไว้ แล้วตั้งอยู่ในเบื้องบนกระถางทอง อันเต็มด้วยโคลนผสมด้วยของหอม. ต้นโพธิ์นั้นมีลำต้นสูงได้ ๑๐ ศอก กิ่งใหญ่ ๕ กิ่ง ประมาณ ๔ ศอก ประดับด้วยผล ๕ ผลเท่าๆ กัน. ส่วนกิ่งเล็กๆ มี
จำนวนพันกิ่ง. ครั้งนั้นพระราชาทรงกำหนดตัดรอยขีดในประเทศ (ส่วน ที่) ประมาณ ๓ องคุลี ข้างบนรอยขีดเดิม. ขณะนั่นนั้นเอง รากใหญ่ ๑๐ ราก งอกเป็นต่อมคล้ายต่อมน้ำออกจากรอยขีดนั้น.
               พระราชาทรงกำหนดตัดรอยขีดอื่นๆ อีก ๙ แห่งในระยะต่อๆ ไป แต่ละ ๓ องคุลี. ราก ๙๐ รากงอกเป็นปุ่มคล้ายต่อมน้ำออกจากรอยขีดแม้เหล่านั้น รอยละ ๑๐ ราก. รากใหญ่ ๑๐ รากแรกงอกออกมาประมาณ ๔ นิ้ว. ราก ๙๐ รากแม้นอกนี้ ก็งอกเกี่ยวประสานกัน คล้ายตาข่ายขวัญโค.
               พระราชาประทับยืนอยู่เหนือสุดตั่งรัตนบิฐนั่นแล ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์ประมาณเท่านี้ ได้ทรงประคองอัญชลีบันลือลั่น.
               ภิกษุจำนวนหลายพันรูป ก็ได้ซ้องสาธุการ. ราชเสนาทั้งสิ้นก็ได้บันลือกันอึงมี่. ธงผ้าที่ยกขึ้นไว้ตั้งแสนธง ได้โบกสะบัดพริ้ว. พวกทวยเทพตั้งต้นภุมมัฏฐกเทวดา ได้ให้สาธุการเป็นไป จนกระทั่งถึงเหล่าเทพพรหมกายิกา.
               เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์นี้ มีพระวรกายอันปีติถูกต้องหาระหว่างมิได้ ประทับยืนประคองอัญชลีอยู่นั่นแล, ต้นมหาโพธิ์ก็ได้ประดิษฐานอยู่ในกระถางทอง ด้วยจำนวนรากตั้งร้อย. รากใหญ่ ๑๐ รากได้หยั่งลงจดพื้นกระถางทอง. รากที่เหลือ ๙๐ รากก็เจริญงอกงามขึ้นโดยลำดับ หยั่งลงแช่อยู่ในเปือกตมที่ผสมด้วยของหอม. เมื่อต้นมหาโพธิ์ สักว่าประดิษฐานอยู่ในกระถางทองอย่างนั้นแล้ว มหาปฐพีก็หวั่นไหว. เหล่าเภรีของทวยเทพบันลือลั่นไปในอากาศ. ความโกลาหลเป็นอันเดียวกัน ตั้งแต่พื้นปฐพีจนถึงพรหมโลกได้กึกก้องเป็นอันเดียวกัน เพราะความโน้มเอนไปมาแห่งเหล่าบรรพต เพราะเสียงสาธุการแห่งทวยเทพ เพราะการทำเสียงหิงๆ แห่งเหล่ายักษ์ เพราะการกล่าวชมเชยแห่งพวกอสูร เพราะการปรบมือแห่งพวกพรหม เพราะความคำรามแห่งหมู่เมฆ เพราะความร้อนแห่งหมู่สัตว์สี่เท้า เพราะความขันกู่แห่งเหล่าปักษี (และ) เพราะความว่องไวเฉพาะตนๆ แห่งพนักงานตาลาวจรดนตรีทั้งปวง. ฉัพพรรณรังสีพวยพุ่งออกจากแต่ละผลในกิ่งทั้ง ๕ แล้วก็พุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลกเหมือนทำจักรวาลทั้งสิ้น ให้ติดเนื่องกันดุจกลอนเรือนแก้ว ฉะนั้น.
               [กิ่งต้นมหาโพธิ์ลอยขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า ๗ วัน]     
               ก็แลจำเดิมแต่ขณะนั้นไป ต้นมหาโพธิ์ก็เข้าไปสู่กลีบเมฆซึ่งเต็มไปด้วยหิมะ แล้วดำรงอยู่สิ้น ๗ วัน. ใครๆ ก็ไม่เห็นต้นมหาโพธิ์. พระราชาเสด็จลงจากรัตนบิฐแล้ว ทรงรับสั่งให้ทำการบูชามหาโพธิ์สิ้น ๗ วัน. ในวันที่ ๗ หิมะและรัศมีทั้งหลายก็หมุนกลับจากทิศทั้งปวงเข้าไปสู่ต้นมหาโพธิ์นั่นแล. 
เมื่อห้องจักรวาลปราศจากหิมวลาหกแจ่มใสแล้ว ต้นมหาโพธิ์
ที่มีลำต้น กิ่งใหญ่และกิ่งน้อยบริบูรณ์ ซึ่งประดับไปด้วย
ผลทั้ง ๕ ได้ปรากฏตั้งอยู่ในกระถางทองนั่นแล.
               พระราชาทอดพระเนตรเห็นต้นมหาโพธิ์แล้ว มีพระปรีดาปราโมทย์อันปาฏิหาริย์เหล่านั้นให้เกิดแล้ว จึงทรงดำริว่า เราจักบูชาต้นมหาโพธิ์หนุ่มด้วยราชสมบัติในสากลชมพูทวีป ดังนี้แล้ว ได้ทรงประทานการอภิเษก (แก่ต้นมหาโพธิ์นั้น) แล้วได้ประทับยืนอยู่ที่ฐานต้นมหาโพธิ์นั่นแล สิ้น ๗ วัน.
               ในวันปวารณาเดือนกัตติกาต้น เวลาเย็น ต้นมหาโพธิ์ก็ประดิษฐานอยู่ในกระถางทองก่อน. หลังจากนั้นมา พระราชาทรงยับยั้งอยู่ตลอดสัปดาห์ที่มหาโพธิ์อยู่ในกลีบเมฆ และสัปดาห์ที่พระราชทานอภิเษก จึงเสด็จเข้าไปสู่พระนครปาตลีบุตร ในวันอุโบสถ แห่งกาฬปักษ์โดยวันเดียวเท่านั้น, ในวันปาฏิบท (แรมค่ำหนึ่ง) แห่งชุณหปักษ์ของเดือนกัตติกา ทรงพักต้นมหาโพธิ์ไว้ที่โคนต้นสาละใหญ่ด้านปราจีนทิศ.
               [ต้นมหาโพธิ์แตกหน่อออกใหม่]               
               ในวันที่ ๑๗ ตั้งแต่วันที่ต้นมหาโพธิ์ประดิษฐานอยู่ในกระถางทอง หน่อใหม่ๆ แห่งต้นมหาโพธิ์ก็ได้ปรากฏขึ้น. พระราชา แม้ทอดพระเนตรเห็นหน่อเหล่านั้นแล้ว ก็ทรงเลื่อมใส เมื่อจะทรงบูชาต้นมหาโพธิ์ด้วยราชสมบัติอีก ได้ทรงถวายการอภิเษกในสากลชมพูทวีป. สุมนสามเณรไปเพื่อรับเอาพระธาตุ ในวันเพ็ญเดือนกัตติกมาส (คือ วันเพ็ญเดือน ๑๒) ได้เห็นการบูชาแก่ต้นมหาโพธิ์เป็นมหรสพเดือนกัตติกมาส.
               พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงหมายถึงต้นโพธิ์ที่นำมาจากมหาโพธิมณฑลแล้วชำไว้ที่นครปาตลีบุตร โดยนัยดังกล่าวมานี้ จึงตรัส (กะพระนางสังฆมิตตาเถรี) ว่า แม่ ถ้าเช่นนั้นขอให้ลูกรับเอาต้นมหาโพธิ์ไปด้วยเถิด.
               พระนางสังฆมิตตาเถรีนั้นทูลรับว่า สาธุ.
               [พระเจ้าอโศกทรงตั้งตระกูลต่างๆ ไว้เพื่อรักษาต้นมหาโพธิ์]    
               พระราชาพระราชทานตระกูลเทวดา ๑๘ ตระกูลอำมาตย์ ๘ ตระกูลพราหมณ์ ๘ ตระกูลกุฎุมพี ๘ ตระกูลเลี้ยงโค ๘ ตระกูลเสือดาว ๘ และตระกูลชาวกาลิงคะ ๘ ไว้เพื่อรักษาต้นมหาโพธิ์ และพระราชทานหม้อทอง ๘ หม้อเงิน ๘ ใบ ไว้เพื่อรดน้ำ (ต้นมหาโพธิ์) แล้วทรงให้ยกต้นมหาโพธิ์ขึ้นสู่เรือ พร้อมด้วยบริวารนี้ที่แม่น้ำคงคา.
               ฝ่ายพระองค์เองเสด็จออกจากพระนคร ข้ามดงชื่อวิชฌาฏวี แล้วเสด็จไปถึงท่าชื่อตามพลิตตี ตลอด ๗ วัน โดยลำดับ. ในระหว่างทาง พวกทวยเทพ นาคและมนุษย์ ได้พากันบูชาต้นมหาโพธิ์อย่างมโหฬาร. ฝ่ายพระราชาทรงพักต้นมหาโพธิ์ไว้ที่ริมฝั่งสมุทร ๗ วันแล้วได้ทรงถวายราชสมบัติอย่างใหญ่ในสากลทวีป. คราวนี้ เป็นการทรงถวายราชสมบัติในชมพูทวีปครั้งที่ ๓ แก่ต้นมหาโพธิ์นั้น.
               [พระเจ้าอโศกทรงลุยน้ำส่งต้นมหาโพธิ์ไปเกาะลังกา]     
               พระเจ้าอโศกธรรมราชา ครั้นทรงบูชา (ต้นมหาโพธิ์) ด้วยราชสมบัติอย่างใหญ่อย่างนั้นแล้ว ในวันปาฏิบทแรก (คือแรม ๑ ค่ำ) แห่งเดือนมิคสิรมาส (คือ เดือนอ้าย) จึงทรงยกต้นมหาโพธิ์ขึ้น เสด็จลุยน้ำไปประมาณเพียงพระศอ ทรงวางไว้บนเรือ แล้วทรงรับสั่งให้
แม้พระนางสังฆมิตตาเถรีพร้อมด้วบริวาร
ขึ้นเรือ จึงได้ตรัสคำนี้กะอริฏฐอำมาตย์ว่า พ่อ ข้าพเจ้าบูชาต้นมหาโพธิ์ ด้วยราชสมบัติในสากลชมพูทวีปถึง ๓ ครั้ง ต้องลุยน้ำไปประมาณเพียงคอ ส่ง (ต้นมหาโพธิ์) ไปให้พระสหายของข้าพเจ้า, แม้พระสหายของข้าพเจ้านั้น ก็จงทรงบูชาต้นมหาโพธิ์เหมือนอย่างนี้แหละ.
               ท้าวเธอ ครั้นพระราชทานข่าวสาสน์แก่พระสหายอย่างนั้นแล้ว ทรงคร่ำครวญประคองอัญชลี ประทับยืนหลั่งพระอัสสุชลอยู่ว่า ต้นมหาโพธิ์ของพระทศพล ซึ่งฉายช่อพระรัศมีดุจมีชีวิตอยู่ ไปละหนอ ดังนี้. นาวาที่ต้นมหาโพธิ์ขึ้นประดิษฐานอยู่แม้นั้นแล เมื่อมหาชนจ้องมองแลดูอยู่ ก็ออกวิ่งไปสู่ท้องทะเลหลวง. เหล่าระลอกคลื่นในมหาสมุทรสงบเงียบประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ. เหล่าปทุมชาติเบญจพรรณก็แย้มบาน. ทิพยดุริยางค์ดนตรีทั้งหลายก็บันลือลั่นอยู่บนอากาศกลางหาว. ได้มีการบูชาอันโอฬารยิ่งนัก ซึ่งพวกทวยเทพผู้อาศัยอยู่ในอากาศ ทางน้ำ บนบกและที่ต้นไม้เป็นต้น บันดาลให้เป็นไปแล้ว.
         พระนางสังฆมิตตาเถรีทำให้ตระกูลนาคทั้งหลายในมหาสมุทรสะดุ้งกลัวแล้ว ด้วย (จำแลงเป็น) รูปสุบรรณ (คือนิรมิตเป็นรูปครุฑ). ก็นาคเหล่านั้นสะดุ้งกลัว มาเห็นสมบัตินั้นเข้า จึงทูลขอกะพระเถรี แล้วนำต้นมหาโพธิ์ไปสู่นาคพิภพ บูชาด้วยราชสมบัติแห่งนาคตลอด ๗ วันแล้ว (นำกลับมา) ให้ประดิษฐานอยู่บนเรืออีก. นาวาได้เล่นไปถึงท่าชมพูโกลปัฏฏนะ ในวันนั้นนั่นเอง.
      ฝ่ายพระเจ้าอโศกมหาราชทรงระทมทุกข์เพราะวิโยคจากต้นมหาโพธิ์ ทรงคร่ำครวญกันแสง จ้องพระเนตรดูจนสุดทัศนวิสัย แล้วก็เสด็จกลับ.
               [พระเจ้าเทวานัมปิยดิสกรุงลังกาเตรียมต้อนรับต้นมหาโพธิ์]   
               ฝ่ายพระเจ้าเทวานัมปิยดิสมหาราชแล จำเดิมแต่วันปาฏิบทแรกแห่งเดือนมิคสิรมาส (คือเดือนอ้าย) ทรงรับสั่งให้ชำระตกแต่งมรรคาตั้งแต่ประตูด้านทิศอุดร (แห่งอนุราธบุรี) จนถึงท่าชมพูโกลปัฏฏนะตามคำของสุมนสามเณร, ในวันที่เสด็จออกจากพระนคร ได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่ตั้งศาลาอันมีอยู่ที่ฝั่งสมุทรใกล้กับประตูด้านทิศอุดรนั่นเอง ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นมหาโพธิ์ที่กำลังมาอยู่ในมหาสมุทรนั่นแลโดยสมบัตินั้นเพราะอานุภาพของพระเถระ ทรงปลื้มพระหฤทัยเสด็จออกไป รับสั่งให้เอาดอกไม้เบญจพรรณโปรยลงตลอดทางทั้งหมด ทรงตั้งเครื่องบูชาดอกไม้#- อันมีค่าไว้ในระหว่างทาง เป็นระยะแล้ว เสด็จไปท่าชมพูโกลปัฏฏนะโดยวันเดียวเท่านั้น
 อันพวกพนักงานตาลาวจรดนตรีทั้งปวงแวดล้อมแล้ว ทรงบูชา (ต้นมหาโพธิ์) อยู่ด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายมีดอกไม้ ธูปและของหอมเป็นต้น เสด็จลุยน้ำไปประมาณเพียงพระศอแล้วทรงรับสั่งว่า ต้นมหาโพธิ์ของพระทศพล ซึ่งฉายช่อพระรัศมี ดุจมีชีวิตอยู่มาแล้วหนอ มีพระหฤทัยเลื่อมใสแล้ว จึงทรงยกต้นมหาโพธิ์ขึ้นแล้ว วางลงบนพระเศียรอันเป็นอวัยวะสูงสุด พร้อมด้วยเหล่าตระกูลที่สมบูรณ์ด้วยชาติ ๑๖ ตระกูล ผู้แวดล้อมต้นมหาโพธิ์ เสด็จขึ้นจากสมุทรแล้วทรงพักต้นมหาโพธิ์ไว้ที่ริมฝั่งมหาสมุทร ทรงบูชาด้วยราชสมบัติในเกาะตัมพปัณณิทวีปทั้งหมดสิ้น ๒ วัน. ท้าวเธอทรงให้ตระกูลที่สมบูรณ์ด้วยชาติ ๑๖ ตระกูลสำเร็จราชการแทน.
 ภายหลังต่อมาในวันที่ ๔ ท้าวเธอทรงรับเอาต้นมหาโพธิ์แล้ว ทรงทำการบูชาอยู่อย่างโอฬาร เสด็จถึงกรุงอนุราธบุรีโดยลำดับ.
 ฏีกาสารัตถทีปนี. แก้ว่า ให้ทำเจดีย์ดอกไม้ไว้ในระหว่างทางทั้ง ๒ ข้างน่าจะได้แก่พุ่มดอกไม้นั้นเอง.
               [พระเจ้าเทวานัมปิยดิสพักต้นมหาโพธิ์ไว้ในปูชนียสถาน ๔ แห่ง]    
               พระราชา ครั้นทรงทำสักการะอย่างใหญ่ แม้ในกรุงอนุราธบุรี ในวันจาตุทสี (คือวันขึ้น ๑๔ ค่ำ) นั่นเอง รับสั่งให้ส่งต้นมหาโพธิ์เข้าไปทางประตูด้านทิศอุดรในเวลาตะวันบ่าย แห่ไปโดยท่ามกลางพระนคร ออกทางประตูด้านทิศทักษิณ แล้วทรงให้ตั้งต้นมหาโพธิ์ไว้บนฐานซุ้มพระทวารแห่งราชอุทยาน ที่ทำบริกรรมพื้นไว้แต่แรกทีเดียว ตามคำของสุมนสามเณร ซึ่งเป็นใจกลาง (จุดเด่น) แห่งราชอุทยานมหาเมฆวัน อันเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ๓ พระองค์ เคยประทับนั่งเข้าสมาบัติ, ทั้งเป็นสถานที่มีต้นซึกใหญ่ ซึ่งเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากกุสันธะ, ต้นอุทุมพร (ต้นมะเดื่อ) ซึ่งเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมน์ และต้นนิโครธ (ต้นไทร) ซึ่งเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของสมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ในที่ประมาณ ๕๐๐ ชั่วธนู วัดจากประตูด้านทิศทักษิณ.
               ถามว่า พระราชาทรงรับสั่งให้ตั้งต้นมหาโพธิ์นั้นไว้อย่างไร?
               แก้ว่า ทรงรับสั่งให้พักไว้อย่างนี้ คือ :-
               ได้ยินว่า ตระกูลที่สมบูรณ์ด้วยชาติทั้ง ๑๖ ตระกูล ที่มาแวดล้อมต้นโพธิ์เหล่านั้น ถือเอาเพศเป็นพระราชา พระราชาก็ทรงถือเอาเพศเป็นนายทวารบาล. ตระกูลทั้ง ๑๖ ตระกูลเอาต้นมหาโพธิ์ลงปลูกแล้ว (ที่ปูชนียสถาน ๔ แห่งดังกล่าวแล้วนั้น).
               [ต้นมหาโพธิ์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์]             
               ในขณะที่พอพ้นจากมือของตระกูลทั้ง ๑๖ เหล่านั้นนั่นแล ต้นมหาโพธิ์ก็ลอยขึ้นไปสู่เวหาสสูงประมาณ ๘๐ ศอก แล้วเปล่งรัศมีซึ่งมีพรรณะ ๖ ประการออก. รัศมีทั้งหลายก็แผ่ปกคลุมไปทั่วเกาะ ได้ตั้งอยู่จดถึงพรหมโลกเบื้องบน. บุรุษประมาณหมื่นคน เห็นปาฏิหาริย์ต้นมหาโพธิ์แล้วเกิดความเลื่อมใส เริ่มเจริญอนุบุพพวิปัสสนา ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วบวช.
               ต้นมหาโพธิ์ได้ประดิษฐานอยู่บนอากาศ จนพระอาทิตย์อัสดงคต ก็เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว จึงกลับ (ลงมา) ประดิษฐานอยู่บนปฐพี โดยโรหิณีนักขัตฤกษ์. พร้อมกับด้วยต้นมหาโพธิ์ประดิษฐานอยู่ (นั่นแล) มหาปฐพีได้ไหวจนถึงที่สุดน้ำ (รองแผ่นดิน). ก็แล ต้นมหาโพธิ์ ครั้นประดิษฐานอยู่แล้ว ก็นิ่งเงียบอยู่ในกลีบเมฆ (กลุ่มหมอก) ตลอด ๗ วัน. ต้นมหาโพธิ์ได้ถึงความมองไม่เห็นของชาวโลก (คือชาวโลกมองไม่เห็นต้นมหาโพธิ์). ในวันที่ ๗ นภากาศ ได้ปราศจากเมฆหมอกแล้ว, รัศมีซึ่งมีพรรณะ ๖ ประการ ก็พวยพุ่งกระจายออก. ลำต้น กิ่ง ใบ และผลทั้ง ๕ แห่งต้นมหาโพธิ์ก็ปรากฏให้เห็น.
               พระมหินทเถระ พระนางสังฆมิตตาเถรี และพระราชา พร้อมด้วยข้าราชบริพาร ได้เสด็จไปถึงสถานที่ตั้งแห่งต้นมหาโพธิ์นั่นแล. และประชาชนชาวเกาะทั้งหมดก็ประชุมกันแล้วโดยส่วนมาก. เมื่อชนเหล่านั้นมองดูอยู่นั่นเอง ผลหนึ่งจากกิ่งด้านทิศอุดรสุกแล้วก็หล่นจากกิ่ง. พระเถระน้อมหัตถ์เข้ารับไว้. ผลก็ได้ตั้งอยู่บนหัตถ์ของพระเถระ. พระเถระได้ถวายผลนั้นแด่พระราชา โดยถวายพระพรว่า ขอพระองค์ทรงปลูกเถิด มหาบพิตร!
               [ต้นมหาโพธิ์แตกสาขาออกถึง ๘ ต้นและ ๓๒ ต้น]      
               พระราชาทรงรับแล้ว ก็ทรงโปรยปุ๋ยที่มีรสดีลงที่กระถางทองใส่โคลนที่ผสมด้วยของหอมให้เต็ม แล้วเพาะปลูกไว้ในที่ใกล้ต้นมหาโพธิ์. เมื่อชนทั้งหมดดูอยู่นั่นเอง ต้นโพธิ์อ่อนๆ ๘ ต้น ซึ่งมีประมาณ ๔ ศอก ได้งอกขึ้นแล้ว. พระราชาทอดพระเนตรเห็นอัศจรรย์นั้นแล้วก็ทรงบูชาต้นโพธิ์อ่อนๆ ๘ ต้นด้วยเศวตฉัตร แล้วถวายการอภิเษก (แก่ต้นโพธิ์อ่อนๆ ทั้ง ๘ ต้นนั้น). ประชาชนปลูกต้นโพธิ์ต้นหนึ่ง (ซึ่งแยกออก) จากต้นโพธิ์อ่อนๆ ทั้ง ๘ ต้นนั้น ไว้ที่ท่าชื่อชมพูโกลปัฏฏนะ ในโอกาสที่ต้นมหาโพธิ์ประดิษฐานอยู่ครั้งแรก ในคราวมาถึง. ปลูกต้นหนึ่งไว้ที่หน้าประตูบ้านของควักกพราหมณ์๑- อีกต้นหนึ่งที่ถูปาราม อีกต้นหนึ่งที่อิสสรนิมมานวิหาร๒- อีกต้นหนึ่งใกล้ที่ตั้งพระปฐมเจดีย์ อีกต้นหนึ่งที่เจติยบรรพต อีกต้นหนึ่งที่บ้านกาชรคามในโรหณชนบท อีกต้นหนึ่งที่บ้านจันทนคาม ในโรหณชนบทนั่นเอง. ประชาชนทั้งหลายได้ปลูกต้นโพธิ์อ่อน ๓๒ ต้น ซึ่งเกิดจากพืชแห่งผลทั้ง ๔ นอกนี้ไว้ในอารามที่ตั้งอยู่ในระยะโยชน์หนึ่ง.
๑- ฎีกาสารัตถทีปนีเป็นตวักกพราหมณ์.
๒- คำว่า อิสสรนิมมานวิหาร ได้แก่ กัสสปคิรีวิหาร คือวิหารที่อิสรชนสร้างไว้ ๒- สารัตถ ๑/๑๘๖-๗.

หน้า ๕/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

 [พระมหินทเถระไปประกาศพระศาสนาที่เกาะลังกา]  

               ส่วนพระมหินทเถระผู้อันพระอุปัชฌายะ และภิกษุสงฆ์เชื้อเชิญว่า ขอท่านจงไปประดิษฐานพระศาสนายังเกาะตัมพปัณณิทวีปเถิด ดังนี้ จึงดำริว่า เป็นกาลที่เราจะไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีปหรือยังหนอ? ครั้งนั้นเมื่อท่านใคร่ครวญอยู่ ก็ได้มีความเห็นว่า ยังไม่ใช่กาลที่ควรจะไปก่อน.
               ถามว่า ก็พระเถระนั้นได้มีความเห็นดังนี้ เพราะเห็นเหตุการณ์อะไร?
               แก้ว่า เพราะเห็นว่า พระเจ้ามุฏสีวะทรงพระชราภาพมาก.
               [พระมหินทเถระเที่ยวเยี่ยมญาติจนกว่าจะถึงเวลาไปเกาะลังกา]  
               ลำดับนั้น พระเถระดำริว่า พระราชาพระองค์นี้ทรงพระชราภาพมาก เราไม่อาจรับพระราชานี้ยกย่องเชิดชูพระศาสนาได้ ก็บัดนี้ พระราชโอรสของพระองค์ ทรงพระนามว่า เทวานัมปิยดิส จักเสวยราชย์ (ต่อไป) เราจักอาจรับพระราชานั้นจะยกย่องเชิดชูพระศาสนาได้ เอาเถิด เราจักเยี่ยมพวกญาติเสีย
ก่อน จนกว่าเวลานั้นจะมาถึง, บัดนี้ เราจะพึงได้กลับมายังชนบทนี้อีกหรือไม่.
               พระเถระนั้น ครั้นดำริอย่างนั้นแล้ว จึงไหว้พระอุปัชฌยะและภิกษุสงฆ์ออกไปจากวัดอโศการาม เที่ยวจาริกไปทางทักขิณาคิรีชนบท ซึ่งเวียนรอบนครราชคฤห์ไปพร้อมกับพระเถระ ๔ รูป มีพระอิฏฏิยะเป็นต้นนั้น สุมนสามเณรผู้เป็นโอรสของพระนางสังฆมิตตา และภัณฑกอุบาสกเยี่ยมพวกญาติอยู่จนเวลาล่วงไปถึง ๖ เดือน.
               ครั้งนั้น พระเถระได้ไปถึงเมืองชื่อเวทิสนครอันเป็นสถานที่ประทับของพระมารดาโดยลำดับ.
               [ประวัติย่อของพระมหินทเถระ]         
               ได้ยินว่า พระเจ้าอโศกทรงได้ชนบท (ได้กินเมือง) ในเวลายังทรงพระเยาว์ เมื่อเสด็จไปกรุงอุชเชนี ผ่านเวทิสนคร ได้ทรงรับธิดาของเวทิสเศรษฐี (เป็นอัครมเหสี), ในวันนั้นนั่นเอง พระนางก็ทรงครรภ์ แล้วได้ประสูติมหินทกุมาร ที่กรุงอุชเชนี. ในเวลาที่พระกุมารมีพระชนม์ได้ ๑๔ พรรษา พระราชาทรงได้รับการอภิเษกขึ้นครองราชย์.
               สมัยนั้น พระนางที่เป็นมารดาของมหินทกุมารนั้น ก็ประทับอยู่ที่ตำหนักของพระประยูรญาติ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า พระเถระได้ไปถึงเมืองชื่อเวทิสนคร อันเป็นสถานที่ประทับของพระมารดาโดยลำดับ.
               ก็แล พระเทวีผู้เป็นพระมารดาของพระเถระ ทอดพระเนตรเห็นพระเถระผู้มาถึงแล้ว ก็ทรงไหว้เท้าทั้งสองด้วยเศียรเกล้า แล้วถวายภิกษาทรงมอบถวายวัดชื่อ เวทิสคิรีมหาวิหาร ที่ตนสร้างถวายพระเถระ.
               พระเถระนั่งคิดอยู่ที่วิหารนั้นว่า กิจที่เราควรกระทำในที่นี้สำเร็จแล้ว, บัดนี้ เป็นเวลาที่ควรจะไปยังเกาะลังกาหรือยังหนอแล.
               ลำดับนั้น ท่านดำริว่า ขอให้พระราชกุมารพระนามว่า เทวานัมปิยดิส เสวยอภิเษกที่พระชนกของเราทรงส่งไปถวายเสียก่อน, ขอให้ได้สดับคุณพระรัตนตรัย และเสด็จออกไปจากพระนคร เสด็จขึ้นสู่มิสสกบรรพตมีมหรสพเป็นเครื่องหมาย, เวลานั้น เราจักพบพระองค์ท่านในที่นั้น. พระเถระก็สำเร็จการพักอยู่ที่เวทิสคิรีมหาวิหารนั้นและสิ้นเดือนหนึ่งต่อไปอีก. ก็โดยล่วงไปเดือนหนึ่ง คณะสงฆ์และอุบาสกแม้ทั้งหมด ซึ่งประชุมกันอยู่ในวันอุโบสถ ในดิถีเพ็ญแห่งเดือนแปดต้น (คือวันเพ็ญเดือน ๗) ได้ปรึกษากันว่า เป็นกาลสมควรที่พวกเราจะไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีปหรือยังหนอ?
               เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวว่า
                         ในกาลนั้น ได้มีพระสังฆเถระชื่อมหินท์โดยนาม ๑
               พระอิฏฏิยเถระ ๑ พระอุตติยเถระ ๑ พระภัททสาลเถระ ๑
               พระสัมพลเถระ ๑ สุมนสามเณร ผู้ได้ฉฬภิญญา มีฤทธิ์
               มาก ๑ ภัณฑกอุบาสก ผู้ได้เห็นสัจจะ เป็นที่ ๗ แห่ง
               พระเถระเหล่านั้น ๑, ท่านมหานาคเหล่านั้นนั่นแลพักอยู่
               ในที่เงียบสงัด ได้ปรึกษากันแล้ว ด้วยประการฉะนี้แล.
               [พระอินทร์ทรงเล่าเรื่องพุทธพยากรณ์ถวายให้พระมหินท์ทราบ]  
 เวลานั้น ท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งทวยเทพ เสด็จเข้าไปหาพระมหินทเถระ แล้วได้ตรัสคำนี้ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระเจ้ามุฏสีวะสวรรคตแล้ว, บัดนี้ พระเจ้าเทวานัมปิยดิสมหาราชเสวยราชย์แล้ว, และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงพยากรณ์องค์ท่านไว้แล้วว่า ในอนาคต ภิกษุชื่อมหินท์ จักยังชาวเกาะตัมพปัณณิทวีปให้เลื่อมใส ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เพราะเหตุดังนั้นแล เป็นกาลสมควรที่ท่านจะไปยังเกาะอันประเสริฐแล้ว
 แม้กระผมก็จักร่วมเป็นเพื่อนท่านด้วย.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ท้าวสักกะจึงได้ตรัสอย่างนั้น?
               แก้ว่า เพราะได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ที่ควงแห่งโพธิพฤกษ์นั่นเอง ได้ทอดพระเนตรเห็นสมบัติแห่งเกาะนี้ในอนาคต จึงได้ตรัสบอกความนั่นแก่ท้าวสักกะนั้น และทรงสั่งบังคับไว้ด้วยว่า "ในเวลานั้น ถึงบพิตรก็ควรร่วมเป็นสหายด้วย" ดังนี้ 
ฉะนั้น ท้าวสักกะจึงได้ตรัสอย่างนั้น.
               [พระมหินทเถระพร้อมกับคณะไปเกาะลังกา]              
               พระเถระรับคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว เป็น ๗ คนทั้งตน เหาะขึ้นไปสู่เวหาสจากเวทิสบรรพต แล้วดำรงอยู่บนมิสสกบรรพต ซึ่งชนทั้งหลายในบัดนี้จำกันได้ว่า เจติยบรรพตบ้าง ทางทิศบูรพาแห่งอนุราธบุรี,
               เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวไว้ว่า
                                   พระเถระทั้งหลายพักอยู่ที่เวทิสคิรีบรรพต
                         ใกล้กรุงราชคฤห์ สิ้น ๓๐ ราตรีได้ดำริว่า เป็นกาล
                         สมควรที่จะไปยังเกาะอันประเสริฐ, พวกเราจะพา
                         กันไปสู่เกาะอันอุดม ดังนี้ แล้วได้เหาะขึ้นจาก
                         ชมพูทวีป ลอยไปในอากาศดุจพญาหงส์บินไป
                         เหนือท้องฟ้าฉะนั้น, พระเถระทั้งหลายเหาะขึ้นไป
                         แล้วอย่างนั้น ก็ลงที่ยอดเขาแล้ว ยืนอยู่บนยอด
                         บรรพต ซึ่งงามไปด้วยเมฆ อันตั้งอยู่ข้างหน้าแห่ง
                         บุรีอันประเสริฐราวกะว่า หมู่หงส์จับอยู่บนยอดเขา
                         ฉะนั้น.
               ก็ท่านพระมหินทเถระผู้มาร่วมกับพระเถระทั้งหลายมีพระอิฏฏิยะเป็นต้น ยืนอยู่อย่างนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ได้ยืนอยู่แล้วในเกาะนี้ ในปีที่ ๒๓๖ พรรษา นับมาแต่ปีที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน.
               [ลำดับราชวงศ์ที่เสวยราชย์ในเกาะลังกาและชมพูทวีป]                     ความพิสดารว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ในปีที่ ๘ แห่ง (รัชกาล) พระเจ้าอชาตศัตรุราช (เสวยราชย์). ในปีนั้นนั่นเอง พระราชโอรสของพระเจ้าสีหกุมาร ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินต้นวงศ์แห่งเกาะตัมพปัณณิทวีป ทรงพระนามว่า วิชัยกุมาร เสด็จมาสู่เกาะนี้แล้ว ได้ทรงทำเกาะนี้ให้เป็นที่อยู่ของมนุษย์.
               พระเจ้าวิชัยกุมาร (เสวยราชย์อยู่ในเกาะนี้ ๓๘ ปี)#- แล้ว สวรรคตที่เกาะนี้ ในปีที่ ๑๔ แห่ง (รัชกาล) พระเจ้าอุทัยภัทท์ ในชมพูทวีป.
               พระราชาทรงพระนามว่า บัณฑุวาสุเทพ ขึ้นครองราชย์ในเกาะนี้ ในปีที่ ๑๕ แห่ง (รัชกาล) พระเจ้าอุทัยภัทท์ (ซึ่งเสวยราชย์อยู่ในชมพูทวีป). พระเจ้าบัณฑุวาสุเทพ ได้สวรรคตที่เกาะนี้ ในปีที่ ๒๑ แห่ง(รัชกาล) พระเจ้านาคทัสสกะ (ซึ่งเสวยราชย์อยู่) ในชมพูทวีปนั้น. พระราชกุมารทรงพระนามว่า อภัย ขึ้นครองราชย์ในเกาะนี้ ในปีนั้นนั่นเอง. พระเจ้าอภัย (เสวยราชย์อยู่) ในเกาะนี้ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ในปีที่ ๑๗ แห่ง (รัชกาล) พระเจ้าสุสูนาคะ (ซึ่งเสวยราชย์อยู่)
 ในชมพูทวีปนั้น คราวนั้น ทามริกาพระนามว่า ปกุณฑกาภัย ได้ยึดเอาราชสมบัติในปีที่ ๒๐ แห่ง (รัชกาล) พระเจ้าอภัย (ผู้ครองราชย์อยู่ในคราวนั้น). พระเจ้าปกุณฑกาภัย (ครองราชย์อยู่) ในเกาะนี้ ครบ ๑๗ ปีบริบูรณ์ ในปีที่ ๑๖ แห่ง (รัชกาล) พระเจ้ากาฬโศก (ซึ่งเสวยราชย์อยู่) ในชมพูทวีปนั้น.
               ๑๗ ปีเหล่านั้นรวมกันอีก ๑ ปีถัดมา จึงเป็น ๑๘ ปี พระเจ้าปกุณฑกาภัยได้สวรรคตในเกาะนี้ ในปีที่ ๑๔ แห่ง (รัชกาล). พระเจ้าจันทรคุต (ซึ่งเสวยราชย์อยู่) ในชมพูทวีปนั้น. (ต่อจากนั้น) พระเจ้ามุฏสีวะก็ขึ้นครองราชย์ (ในเกาะนี้) พระเจ้ามุฏสีวะได้สวรรคตในเกาะนี้ ในปีที่ ๑๗ แห่ง (รัชกาล) พระเจ้าอโศกธรรมราช (ซึ่งเสวยราชย์อยู่) ในชมพูทวีปนั้น. (ต่อจากนั้น) พระเจ้าเทวานัมปิยดิสก็ขึ้นครองราชย์ (ในเกาะนี้).
               อนึ่ง เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูเสวยราชย์ได้ ๒๔ ปี. ส่วนพระเจ้าอุทัยภัทท์เสวยราชย์ได้ ๑๖ ปี. (ต่อจากนั้น) พระเจ้าอนุรุทธะและพระเจ้ามุณฑะเสวยราชย์ได้ ๘ ปี. พระเจ้านาคทัสสกะเสวยราชย์ได้ ๒๔ ปี. พระเจ้าสุสูนาคะเสวยราชย์ได้ ๑๘ ปี. พระเจ้าอโศก๑- พระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาคะนั้นนั่นแล เสวยราชย์ได้ ๒๘ ปี. พระราชาผู้เป็นพระเจ้าพี่น้องกัน ๑๐ พระองค์๒- ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอโศก๔- เสวยราชย์ได้ ๒๒ ปี. ภายหลังแต่กาลแห่งพระราชาผู้เป็นพระเจ้าพี่น้องกัน ๑๐ องค์นั้น มีพระราชา ๙ พระองค์๓- ทรงมีพระนามว่า นันทะ (ต่อสร้อยพระนามทุกๆ พระองค์) เสวยราชย์ได้ ๒๒ ปี เท่านั้น พระเจ้าจันทรคุตเสวยราชย์ได้ ๒๔ ปี. พระเจ้าวินทุสารเสวยราชย์ได้ ๒๘ ปี.               ในที่สุด (รัชกาล) แห่งพระเจ้าวินทุสารนั้น พระเจ้าอโศกก็ขึ้นครองราชย์. ในกาลก่อนแต่ทรงอภิเษก พระเจ้าอโศกนั้นครองราชย์อยู่ ๔ ปี. ในปีที่ ๑๘ จากเวลาที่พระเจ้าอโศกทรงอภิเษกแล้ว พระมหินทเถระก็มายืนอยู่ที่เกาะนี้.
               คำนี้ว่า พระมหินทเถระมายืนอยู่ที่เกาะนี้ ในปีที่ ๒๓๖ พรรษา นับมาแต่ปีที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ดังนี้ บัณฑิตพึงทราบตามสายราชวงศ์ (ของพระราชาในชมพูทวีป) นั่น ดังพรรณนามาฉะนี้.
 สารตฺถทีปนี. ๑/๒๔๐.
๑- พระนามว่า พระเจ้าอโศก ทั้ง ๒ แห่งนี้ ฏีภาสารัตถทีปนี และอรรถโยชนา
๑- แก้ไว้ว่า ได้แก่ พระเจ้ากาฬาโศก หรือกาลาโศกนั่นเอง.
๒- พระราชาผู้เป็นพระเจ้าพี่น้องกัน ๑๐ องค์ นั้นคือ ภัททเสน ๑ โกรัณวรรณะ ๑
๒- มังคุวะ ๑ สัพพัญชนะ ๑ ชาลิกะ ๑ อุภกะ ๑ สญชัย ๑ โกรัพพะ ๑ นันวัฒนะ ๑
๒- และปัญจมกะ ๑.
๓- พระราชา ๙ พระองค์ที่มีสร้อยพระนามว่านันทะ นั่นคือ อุคคเสนนันทะ ๑
๓- ปัณฑุกนันทะ ๑ ปัณฑุคตินันทะ ๑ ภูศปาลนันทะ ๑ โควิสาณกนันทะ ๑
๓- ทสสีฏิฐกนันทะ ๑ เกวัฏฏกนันทะ ๑ และธนนันทะ ๑ นัยสารัตถทิปนี ๑/๒๔๔.
๔- พระนามว่าพระเจ้าอโศกองค์นี้ คือ พระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเป็นพระราช
๔- โอรสของพระเจ้าวินทุสารหรือพินทุสารนั่นเอง. พึงดูบาลีในสมันต์ฯ นี้
๔- หน้า ๔๐ และ ๔๔.

หน้า ๔/๑๕.เวรัญชกัณฑ์อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

 [พวกเดียรถีย์ปลอมบวชในพระพุทธศาสนา]  
               เดียรถีย์ทั้งหลาย เสื่อมลาภและสักการะแล้ว ชั้นที่สุดไม่ได้ แม้สักว่าของกินและเครื่องนุ่งห่ม เมื่อปรารถนาลาภและสักการะ จึงปลอมบวชในพระพุทธศาสนา แล้วแสดงทิฏฐิ (ลัทธิ) ของตนๆ ว่า นี้ธรรม นี้วินัย. พวกเดียรถีย์เหล่านั้น แม้เมื่อไม่ได้บวชก็ปลงผมเสียเอง แล้วนุ่งผ้ากาสายะ เที่ยวไปในวิหารทั้งหลาย เข้าไป (ร่วม) อุโบสถบ้าง ปวารณาบ้าง สังฆกรรมบ้าง คณะกรรมบ้าง.
               ภิกษุทั้งหลายไม่ยอมทำอุโบสถ ร่วมกับพวกภิกษุเดียรถีย์เหล่านั้น.
               คราวนั้น ท่านพระโมคคลีบุตรติสสเถระดำริว่า บัดนี้ อธิกรณ์เกิดขึ้นแล้ว ไม่นานเลย อธิกรณ์นั้นจักหยาบช้าขึ้น ก็เราอยู่ในท่ามกลางแห่งภิกษุเดียรถีย์เหล่านั้น จะไม่อาจระงับอธิกรณ์นั้นได้ ดังนี้ จึงมอบการคณะถวายท่านพระมหินทเถระ ประสงค์จะพักอยู่โดยผาสุกวิหารด้วยตนเอง แล้วได้ไปยังอโธคังคบรรพต.
               [พวกเดียรถีย์แสดงลัทธินอกพุทธศาสนา]               
               พวกเดียรถีย์แม้เหล่านั้นแล ถึงถูกภิกษุสงฆ์ปรามปราบโดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสนา ก็ไม่ยอมตั้งอยู่ในข้อปฏิบัติอันคล้อยตามพระธรรมวินัย ทั้งได้ให้เสนียดจัญไร มลทินและเสี้ยนหนาม ตั้งขึ้นแก่พระศาสนา มิใช่อย่างเดียว บางพวกบำเรอไฟ บางพวกย่างตนให้ร้อนอยู่ในเครื่องอบตน ๕ อย่าง บางพวกประพฤติหมุนไปตามพระอาทิตย์ บางพวกก็ยืนยันพูดว่า พวกเราจักทำลายพระธรรมวินัยของพวกท่าน ดังนี้.
               คราวนั้น ภิกษุสงฆ์ไม่ได้ทำอุโบสถหรือปวารณาร่วมกับเดียรถีย์เหล่านั้นเลย. ในวัดอโศการาม อุโบสถขาดไปถึง ๗ ปี. พวกภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นแม้แด่พระราชาแล้ว.
               [พระเจ้าอโศกทรงใช้อำมาตย์ให้ระงับอธิกรณ์]               
               พระราชาทรงบังคับอำมาตย์นายหนึ่งไปว่า เธอไปยังพระวิหาร ระงับอธิกรณ์แล้ว นิมนต์ภิกษุสงฆ์ให้ทำอุโบสถเถิด ดังนี้. อำมาตย์ไม่อาจจะทูลย้อนถามพระราชาได้ จึงเข้าไปหาอำมาตย์พวกอื่นแล้วกล่าวว่า พระราชาทรงส่งข้าพเจ้าไปว่า เธอจงไปยังพระวิหาร ระงับอธิกรณ์แล้ว ทำอุโบสถเถิด ดังนี้ อธิกรณ์จะระงับได้อย่างไรหนอ?
               อำมาตย์เหล่านั้นพูดว่า พวกข้าพเจ้ากำหนดหมายได้ด้วยอุบายอย่างนี้ว่า พวกราชบุรุษ เมื่อจะปราบปัจจันตชนบทให้ราบคาบ ก็ต้องฆ่าพวกโจร ชื่อฉันใด ภิกษุเหล่าใดไม่ทำอุโบสถ พระราชาจักมีพระราชประสงค์ให้ฆ่าภิกษุเหล่านั้นเสีย ฉันนั้นเหมือนกัน.
               ลำดับนั้น อำมาตย์นายนั้นไปยังพระวิหาร นัดให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้วเรียนชี้แจงว่า พระราชาทรงสั่งข้าพเจ้ามา
ว่า เธอจงนิมนต์ภิกษุสงฆ์ให้ทำอุโบสถเถิด ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ บัดนี้ ขอพวกท่านจงทำอุโบสถกรรมเถิด.
               พวกภิกษุพูดว่า อาตมภาพทั้งหลายจะไม่ทำอุโบสถร่วมกับเหล่าเดียรถีย์. อำมาตย์เริ่มเอาดาบตัดศีรษะ (ของเหล่าภิกษุ) ให้ตกไป ตั้งต้นแต่อาสนะของพระเถระลงไป. ท่านพระติสสเถระได้เห็นอำมาตย์นั้นผู้ปฏิบัติผิดอย่างนั้นแล.
               [ประวัติของพระติสสเถระจะออกบวช]               
               ชื่อว่า พระติสสเถระไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ คือพระภาดาร่วมพระราชมารดาเดียวกันกับพระราชา มีนามว่าติสสกุมาร.
               ได้ยินว่า พระราชาทรงอภิเษกแล้ว ได้ทรงตั้งติสสกุมารนั้นไว้ในตำแหน่งอุปราช. วันหนึ่ง ติสสกุมารนั้นเสด็จไปเที่ยวป่า ได้ทอดพระเนตรเห็นหมู่มฤคฝูงใหญ่ซึ่งเล่นอยู่ด้วยการเล่นตามความคิด (คือตามความใคร่ของตน). ครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้ว ติสสกุมารนั้นได้ทรงมีพระรำพึงดังนี้ว่า มฤค
เหล่านี้มีหญ้าเป็นอาหาร ยังเล่นกันได้อย่างนี้ก่อน. ส่วนพระสมณะเหล่านี้ฉันโภชนะอันประณีต ในราชตระกูลแล้ว จำวัดอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม จักเล่นการเล่นที่น่าชอบใจไม่ได้เทียวหรือ. ติสสกุมารนั้นเสด็จกลับมาจากป่านั้นแล้ว ได้กราบทูลความรำพึงของตนนี้แด่พระราชา.
               พระราชาทรงพระดำริว่า พระกุมารระแวงสงสัยในที่มิใช่ฐานะ (มิใช่เหตุ), เอาเถอะเราจักให้เขายินยอมด้วยอุบายอย่างนี้ ในวันหนึ่งทรงทำเป็นเหมือนกริ้วด้วยเหตุการณ์บางอย่าง แล้ว ทรงขู่ด้วยมรณภัยว่า เธอจงมารับเอาราชสมบัติตลอด ๗ วัน, หลังจากนั้นเราจักฆ่าเธอเสีย ดังนี้ แล้วให้รับรู้คำสั่งนั้น.
               ได้ยินว่า พระกุมารนั้นทรงดำริว่า ในวันที่ ๗ พระราชาจักให้ฆ่าเราเสีย ดังนี้ ไม่สรงสนาน ไม่เสวย ทั้งบรรทมก็ไม่หลับ ตามสมควรแก่พระหฤทัย ได้มีพระสรีระเศร้าหมองเป็นอย่างมาก.
               แต่นั้น พระราชาตรัสถามติสสกุมารนั้นว่า เธอเป็นผู้มีรูปร่างอย่างนี้ เพราะเหตุอะไร พระกุมารทูลว่า ขอเดชะ เพราะกลัวความตาย.
               พระราชาทรงรับสั่งว่า เฮ้ย อันตัวเธอเองเล็งเห็นความตายที่ข้าพเจ้าคาดโทษไว้แล้ว หมดสงสัยสิ้นคิด ยังจะไม่เล่นหรือ! พวกภิกษุเล็งเห็นความตายเนื่องด้วยลมหายใจเข้าและหายใจออกอยู่ จักเล่นได้อย่างไร?
               จำเดิมแต่นั้นมา พระกุมารก็ทรงเลื่อมใสในพระศาสนา. ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง พระกุมารนั้นเสด็จออกไปล่าเนื้อ เที่ยวสัญจรไปในป่า ได้ทอดพระเนตรเห็นพระโยนกมหาธรรมรักขิตเถระ ผู้นั่งให้พญาช้างตัวใดตัวหนึ่งจับกิ่งสาละพัดอยู่. พระกุมารครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้วก็เกิดความปราโมทย์ดำริว่า เมื่อไรหนอแล แม้เราจะพึงบวชเหมือนพระมหาเถระนี้, วันนั้นจะถึงมีหรือหนอแล.
               พระเถระรู้อัธยาศัยของพระกุมารนั้นแล้ว เมื่อพระกุมารนั้นเห็นอยู่นั่นแล ได้เหาะขึ้นไปในอากาศ แล้วได้ยืนอยู่บนพื้นน้ำที่สระโบกขรณี ในวัดอโศการาม ห้อยจีวรและผ้าอุตราสงค์ไว้ที่อากาศ แล้วเริ่มสรงน้ำ. พระกุมารทอดพระเนตรเห็นอานุภาพของพระเถระนั้นแล้วก็ทรงเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ดำริว่า เราจักบวชให้ได้ในวันนี้ทีเดียว แล้วเสด็จกลับ ได้ทูลลาพระราชาว่า ขอเดชะ หม่อมฉันจักบวช.
               พระราชาทรงยับยั้ง (ทรงขอร้อง) เป็นอเนกประการ เมื่อไม่ทรงสามารถเพื่อจะให้พระกุมารนั้นกลับ (พระทัย) ได้ จึงทรงรับสั่งให้ตกแต่งมรรคาที่จะไปสู่วัดอโศการาม ให้พระกุมารแต่งองค์เป็นเพศมหรสพ ให้แวดล้อมด้วยหมู่เสนาซึ่งประดับประดาแล้ว ทรงนำไปยังพระวิหาร.
               ภิกษุเป็นอันมากได้ฟังว่า ข่าวว่า พระยุพราชจักผนวช ก็พากันตระเตรียมบาตรและจีวรไว้. พระกุมารเสด็จไปยังเรือนเป็นที่บำเพ็ญเพียร แล้วได้ทรงผนวช พร้อมกับบุรุษแสนหนึ่ง ในสำนักของพระมหาธรรมรักขิตเถระนั่นเอง. ก็กุลบุตรทั้งหลายผู้ผนวชตามพระกุมาร จะกำหนดนับไม่ได้.  พระกุมารทรงผนวชในเวลาที่พระราชาทรงอภิเษกครองราชย์ได้ ๔ ปี.
               ครั้งนั้น ยังมีพระกุมารองค์อื่น มีพระนามว่าอัคคิพรหม ผู้เป็นพระสวามีของพระนางสังฆมิตตา ซึ่งเป็นพระภาคิไนยของพระราชา. พระนางสังฆมิตตาประสูติพระโอรส ของอัคคิพรหมองค์นั้นเพียงองค์เดียวเท่านั้น.
               อัคคิพรหมแม้องค์นั้นได้สดับข่าวว่า พระยุพราชทรงผนวชแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา แล้วทูลขอพระบรมราชานุญาตว่า ขอเดชะ แม้หม่อมฉันก็จักบวช ดังนี้. และอัคคิพรหมองค์นั้นได้รับพระบรมราชานุญาตว่า จงบวชเถิด พ่อ ก็ได้บวชในวันนั้นนั่นเอง. พระเถระผู้อันขัตติยชนซึ่งมีสมบัติอย่างโอฬาร บวชตามอย่างนี้. บัณฑิตพึงทราบว่า พระติสสเถระผู้เป็นพระกนิษฐภาดาของพระราชา.
               [พระติสสเถระนั่งกันไม่ให้อำมาตย์ตัดศีรษะพระ]               
               ท่านติสสเถระนั้น ครั้นเห็นอำมาตย์นายนั้นผู้ปฏิบัติผิดอย่างนั้นแล้ว จึงดำริว่า พระราชาคงจะไม่ทรงส่งมาเพื่อให้ฆ่าพระเถระทั้งหลาย เรื่องนี้จักเป็นเรื่องที่อำมาตย์คนนี้เข้าใจผิดแน่นอนทีเดียว ดังนี้ จึงได้ไปนั่งบนอาสนะใกล้อำมาตย์นั้นเสียเอง.
               อำมาตย์นายนั้นจำพระเถระนั้นได้ ก็ไม่อาจฟันศัสตราลงได้ จึงได้กลับไปกราบทูลแด่พระราชาว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้ตัดศีรษะของพวกภิกษุชื่อมีประมาณเท่านี้ ผู้ไม่ปรารถนาทำอุโบสถให้ตกไป ขณะนั้น ก็มาถึงลำดับแห่งท่านติสสเถระผู้เป็นเจ้าเข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะทำอย่างไร?
               พระราชาพอได้ทรงสดับเท่านั้น ก็ตรัสว่า เฮ้ย ก็ข้าได้ส่งเธอให้ไปฆ่าภิกษุทั้งหลายหรือ? ทันใดนั่นเอง ก็เกิดความเร่าร้อนขึ้นในพระวรกาย จึงเสด็จไปยังพระวิหาร ตรัสถามพวกภิกษุผู้เป็นพระเถระว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ อำมาตย์คนนี้โยมไม่ได้สั่งเลย ได้ทำกรรมอย่างนี้แล้ว 
บาปนี้จะพึงมีแก่ใครหนอแล?
               [พวกภิกษุถวายความเห็นแด่พระราชาเป็น ๒ นัย]               
               พระเถระบางพวกถวายพระพรว่า อำมาตย์นายนี้ได้ทำตามพระดำรัสสั่งของมหาบพิตรแล้ว, บาปนั่นจึงมีแก่มหาบพิตรด้วย. พระเถระบางพวกถวายพระพรว่า บาปนั่น ย่อมมีแด่มหาบพิตรและอำมาตย์แม้ทั้ง ๒ ด้วย.
               พระเถระบางพวกถวายพระพรอย่างนี้ว่า ขอถวายพระพร ก็มหาบพิตรทรงมีความคิด หรือว่า อำมาตย์นายนี้จงไปฆ่าภิกษุทั้งหลาย. พระราชาทรงรับสั่งว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ไม่มี, โยมมีความประสงค์เป็นกุศล จึงได้ส่งเขาไปด้วยสั่งว่า ขอภิกษุสงฆ์จงสามัคคีกันทำอุโบสถเถิด. พระเถระทั้งหลายถวายพระพรว่า ถ้าว่า มหาบพิตรมีพระราชประสงค์เป็นกุศลไซร้, บาปก็ไม่มีแด่มหาบพิตร, บาปนั่นย่อมมีแก่อำมาตย์เท่านั้น.
               พระราชาทรงเกิดมีความสงสัยเป็นสองจิตสองใจจึงรับสั่งถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ จะมีภิกษุบางรูปบ้างไหม? ผู้สามารถเพื่อจะตัดข้อสงสัยนี้ของโยม แล้วยกย่องพระศาสนา.ภิกษุทั้งหลายถวายพระพรว่ามีมหาบพิตรภิกษุนั้นชื่อพระโมคคลีบุตรติสสเถระ, ท่านสามารถที่จะตัดข้อสงสัยนี้ของมหาบพิตร แล้วยกย่องพระศาสนาได้.
               ในวันนั้นเอง พระราชาได้ทรงจัดส่งพระธรรมกถึก ๓ รูป แต่ละรูปมีภิกษุพันหนึ่งเป็นบริวาร, และอำมาตย์ ๔ นาย แต่ละนายมีบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวาร ด้วยทรงรับสั่งว่า ขอท่านทั้งหลายจงรับเอาพระเถระมาเถิด.
               [พระโมคคลีบุตรติสสเถระไม่มาเพราะอาราธนาไม่ถูกเรื่อง]
              พระธรรมกถึกและอำมาตย์เหล่านั้นไปแล้วได้เรียน (พระเถระ) ว่า พระราชารับสั่งให้หาท่าน ดังนี้. พระเถระไม่ยอมมา. แม้ครั้งที่ ๒ พระราชาก็ได้ทรงจัดส่งพระธรรมกถึก ๘ รูป และอำมาตย์ ๘ นาย ซึ่งมีบริวารคนละพันๆ ไป ด้วยรับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงกราบเรียน (พระเถระนั้น) ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระราชารับสั่งให้หา แล้วให้นิมนต์พระเถระมา. พระธรรมกถึกและอำมาตย์เหล่านั้นได้กราบเรียน (พระเถระ) เหมือนอย่างที่ทรงรับสั่งนั้นแล. ถึงแม้ครั้งที่ ๒ พระเถระก็มิได้มา.
               พระราชาตรัสถามพระเถระทั้งหลายว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โยมได้ส่งทูตไปถึง ๒ ครั้งแล้ว เพราะเหตุไร พระเถระจึงมิได้มา?
               พระเถระทั้งหลายถวายพระพรว่า มหาบพิตร ที่ท่านไม่มานั้น เพราะทูตเหล่านั้นกราบเรียนท่านว่า พระราชาสั่งให้หา, แต่เมื่อทูตเหล่านั้นกราบเรียนท่านอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระศาสนาเสื่อมโทรม, ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเป็นสหายพวกข้าพเจ้า เพื่อเชิดชูพระ
ศาสนาเถิด ดังนี้, พระเถระจะพึงมา.
คราวนั้น พระราชาทรงรับสั่งเหมือนอย่างนั้นแล้ว จึงทรงจัดส่งพระธรรมกถึก ๑๖ รูป และอำมาตย์ ๑๖ นาย ซึ่งมีบริวารคนละพันๆ ไป ได้ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายอีกว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระเถระเป็นคนแก่ หรือยังหนุ่มแน่น?
               ภิกษุ. แก่ มหาบพิตร!
               ราชา. พระเถระนั้นจักขึ้นคานหามหรือวอ เจ้าข้า!
               ภิกษุ. ท่านจักไม่ขึ้น (ทั้ง ๒ อย่าง) มหาบพิตร!
               ราชา. พระเถระพักอยู่ ณ ที่ไหน? เจ้าข้า.
               ภิกษุ. ที่แม่น้ำคงคาตอนเหนือ มหาบพิตร.
               พระราชาทรงรับสั่งว่า ดูก่อนพนาย ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงผูกเรือขนาน แล้วอาราธนาให้พระเถระนั่งบนเรือขนานนั้นนั่นแล จัดการอารักขา
ที่ฝั่งทั้ง ๒ ด้าน นำพระเถระมาเถิด.
               พวกภิกษุและเหล่าอำมาตย์ไปถึงสำนักของพระเถระแล้ว ได้เรียนให้ทราบตามพระราชสาสน์.               พระเถระได้สดับ (พระราชสาสน์นั้น) แล้วคิดว่า เพราะเหตุที่เราบวชมาก็ด้วยตั้งใจว่า จักเชิดชูพระศาสนา ตั้งแต่ต้นฉะนั้น กาลนี้นั้นก็มาถึงแก่เราแล้ว จึงได้ถือเอาท่อนหนังลุกขึ้น
               [พระเจ้าอโศกมหาราชทรงพระสุบินเห็นช้างเผือกล้วน]               
               ครั้งนั้น พระราชาทรงใฝ่พระราชหฤทัยอยู่แล้วว่า พรุ่งนี้ พระเถระจักมาถึงพระนครปาตลีบุตร ดังนี้ ก็ทรงเห็นพระสุบินในส่วนราตรี ได้มีพระสุบินเห็นปานนี้ คือพญาช้างเผือกปลอดมาลูบคลำพระราชา จำเดิมแต่พระเศียร แล้วได้จับพระราชาที่พระหัตถ์ข้างขวา.
               ในวันรุ่งขึ้น พระราชาได้ตรัสถามพวกโหรผู้ทำนายสุบินว่า เราฝันเห็นสุบิน เห็นปานนี้จักมีอะไรแก่เรา? โหรทำนายสุบินคนหนึ่งทูลถวายความเห็นว่า ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า พระสมณะผู้ประเสริฐจักจับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่พระหัตถ์ข้างขวา.
               คราวนั้น พระราชาก็ได้ทรงทราบข่าวว่า พระเถระมาแล้ว ในขณะนั้นนั่นเอง จึงเสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำคงคา แล้วเสด็จลงลุยแม่น้ำท่องขึ้นไปจนถึงพระเถระ ในน้ำมีประมาณเพียงชานุ แล้วได้ถวายพระหัตถ์แก่พระเถระผู้กำลังลงจากเรือ. พระเถระได้จับพระราชาที่พระหัตถ์ข้างขวาแล้ว.
               [ราชบุรุษถือดาบจะตัดศีรษะพระโมคคลีบุตรติสสเถระ]               
               พวกราชบุรุษถือดาบเห็นกิริยานั้นแล้ว ก็ชักดาบออกจากฝัก ด้วยคิดว่า พวกเราจักตัดศีรษะของพระเถระให้ตกไป ดังนี้.
               ถามว่า เพราะเหตุไร?
               แก้ว่า เพราะได้ยินว่า ในราชตระกูลมีจารีตนี้ว่า ผู้ใดจับพระราชาที่พระหัตถ์ ราชบุรุษพึงเอาดาบตัดศีรษะของผู้นั้นให้ตกไป. พระราชาทอดพระเนตรเห็นเงา (ดาบ) เท่านั้น ก็ทรงรับสั่งว่า แม้ครั้งก่อน เราไม่ประสบความสบายใจ เพราะเหตุที่ผิดในภิกษุทั้งหลาย 
พวกเธออย่าทำผิดในพระเถระเลย.
              ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระเถระจึงได้จับพระราชาที่พระหัตถ์?
               แก้ว่า เพราะเหตุที่พระเถระนั้นอันพระราชาให้อาราธนามา เพื่อต้องการจะตรัสถามปัญหา ฉะนั้น พระเถระใฝ่ใจอยู่ว่า พระราชาพระองค์นี้เป็นอันเตวาสิกของเรา จึงได้จับ.
               [พระเจ้าอโศกทรงสงสัยท่านพระโมคคลีบุตรติสสเถระ]               
               พระราชาทรงนำพระเถระไปสู่ราชอุทยานของพระองค์ แล้วทรงรับสั่งให้ตั้งการอารักขาล้อมไว้ แต่ภายนอกถึง ๓ ชั้น ส่วนพระองค์เองก็ทรงล้างเท้าพระเถระแล้วทาน้ำมันให้ ประทับนั่งอยู่ในสำนักของพระเถระ แล้วทรงพระดำริว่า พระเถระจะเป็นผู้สามารถไหมหนอ เพื่อตัดความสงสัยของเรา ระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น แล้วยกย่องพระศาสนา ดังนี้ เพื่อต้องการจะทรงทดลองดูจึงเรียนถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โยมมีความประสงค์ที่จะเห็นปาฏิหาริย์สักอย่างหนึ่ง.
               พระเถระ. ขอถวายพระพร มหาบพิตร ประสงค์ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์ชนิดไหน?
               พระราชา. อยากจะเห็นแผ่นดินไหว เจ้าข้า!
               พระเถระ. ขอถวายพระพร มหาบพิตร ประสงค์จะทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินไหวทั้งหมด หรือจะทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินไหวบางส่วน?
               พระราชา. ก็บรรดา ๒ อย่างนี้ อย่างไหนทำยาก เจ้าข้า.
               พระเถระ. ขอถวายพระพร เมื่อถาดสำริดเต็มด้วยน้ำ จะทำให้น้ำนั้นไหวทั้งหมด หรือให้ไหวเพียงกึ่งหนึ่ง เป็นของทำได้ยาก.
               พระราชา. ให้ไหวเพียงกึ่งหนึ่ง เจ้าข้า.
               พระเถระ. ขอถวายพระพร ด้วยประการดังถวายพระพรมาแล้วนั่นแล การให้แผ่นดินไหวบางส่วนทำได้ยาก.
               พระราชา. ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น โยมจักดูแผ่นดินไหวบางส่วน (เท่านั้น).
               พระเถระ. ขอถวายพระพร ถ้าเช่นนั้นในระยะแต่ละโยชน์โดยรอบ รถจงจอดทับแดนด้วยล้อข้างหนึ่งด้านทิศบูรพา ม้าจงยืนเหยียบแดนด้วยเท้าทั้งสองด้านทิศทักษิณ บุรุษจงยืนเหยียบแดนด้วยเท้าข้างหนึ่งด้านทิศปัจฉิม ถาดน้ำถาดหนึ่งจงวางทาบส่วนกึ่งกลางด้านทิศอุดร.
               พระราชารับสั่งให้กระทำอย่างนั้นแล้ว.
               [พระโมคคลีบุตรติสสเถระอธิษฐานให้แผ่นดินไหว]               
               พระเถระเข้าจตุตถฌานซึ่งมีอภิญญาเป็นบาท ออกแล้วได้อธิษฐานให้แผ่นดินไหว มีประมาณโยชน์หนึ่ง ด้วยความรำพึงว่า ขอให้พระราชาจงทอดพระเนตรเห็น ดังนี้. ทางทิศบูรพาล้อรถที่หยุดอยู่ภายในเขตแดนนั่นเองไหวแล้ว นอกนี้ไม่ไหว. ทางทิศทักษิณและทิศปัจฉิม เท้าของม้าและบุรุษที่เหยียบอยู่ภายในเขตแดนเท่านั้นไหวแล้ว และตัว (ของม้าและบุรุษ) ก็ไหวเพียงกึ่งหนึ่งๆ ด้วยประการอย่างนี้. ทางทิศอุดร น้ำที่ขังอยู่ภายในเขตแม้แห่งถาดน้ำ ไหวกึ่งส่วนเท่านั้น ที่เหลือไม่มีไหวเลยแล.
               [พระเจ้าอโศกตรัสถามข้อสงสัยในเรื่องบาป]               
               พระราชาทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์นั้นแล้ว ก็ตกลงพระทัยว่า บัดนี้ พระเถระจักสามารถเพื่อจะยกย่องพระศาสนาได้ จึงตรัสถามความสงสัยของพระองค์ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โยมได้ส่งอำมาตย์นายหนึ่งไปด้วยสั่งว่า เธอไปยังพระวิหารระงับอธิกรณ์แล้วนิมนต์ให้ภิกษุสงฆ์ทำอุโบสถเถิด ดังนี้ เขาไปยังพระวิหารแล้ว ได้ปลงภิกษุเสียจากชีวิตจำนวนเท่านี้รูป บาปนั่นจะมีแก่ใคร?
               พระเถระทูลถามว่า ขอถวายพระพร ก็พระองค์มีความคิดหรือว่า อำมาตย์นี้จงไปยังพระวิหารแล้ว ฆ่าภิกษุทั้งหลายเสีย.
               พระราชา. ไม่มี เจ้าข้า.
               พระเถระ. ขอถวายพระพร ถ้าพระองค์ไม่มีความคิดเห็นปานนี้ไซร้ บาปไม่มีแด่พระองค์เลย.
               [พระโมคคลีบุตรติสสเถระอ้างพระพุทธพจน์เล่าอดีตนิทาน]  
    ลำดับนั้น พระเถระ (ถวายวิสัชนา) ให้พระราชาทรงเข้าพระทัยเนื้อความนี้ด้วยพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้ว จึงกระทำกรรมด้วยกาย วาจา ใจ๑- ดังนี้. เพื่อแสดงเนื้อความนั้นนั่นแล พระเถระจึงนำติดติรชาดกมา๒- (เป็นอุทาหรณ์) ดังต่อไปนี้.
               ขอถวายพระพร มหาบพิตร ในอดีตกาล นกกระทาชื่อ ทีปกะ เรียนถามพระดาบสว่า
                                   ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นกเป็นอันมาก
                         เข้าใจว่า ญาติของพวกเราจับอยู่แล้ว จึงพา
                         กันมา นายพรานอาศัยข้าพเจ้าย่อมถูกต้อง
                         กรรม เมื่อนายพรานอาศัยข้าพเจ้าทำบาป
                         นั้น ใจของข้าพเจ้า ย่อมสงสัยว่า (บาปนั้น
                         จะมีแก่ข้าพเจ้า หรือหนอ?)
    พระดาบสตอบว่า ก็ท่านมีความคิด (อย่างนี้) หรือว่า ขอนกทั้งหลายเหล่านั้นมา เพราะเสียง และเพราะเห็นรูปของเราแล้วจงถูกแร้ว หรือจงถูกฆ่า.
               นกกระทาเรียนว่า ไม่มี ท่านผู้เจริญ.
               ลำดับนั้น ดาบสจึงให้นกกระทานั้นเข้าใจยินยอมว่า 
ถ้าท่านไม่มีความคิดไซร้ บาปก็ไม่มี แท้จริง กรรมย่อมถูกต้องบุคคลผู้คิดอยู่เท่านั้น หาถูกต้องบุคคลผู้ไม่คิดไม่.
                                   ถ้าใจของท่าน ไม่ประทุษร้าย (ใน
                         การทำความชั่ว) ไซร้ กรรมที่นายพราน
                         อาศัยท่านกระทำ ก็ไม่ถูกต้องท่าน บาปก็
                         ไม่ติดเปื้อนท่าน ผู้มีความขวนขวายน้อย
                         ผู้เจริญ (คือบริสุทธิ์).
๑- องฺ. ฉกฺก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๓๓๔/หน้า ๔๖๓
๒- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๕๗๖-๕๗๗/หน้า ๑๔๐-๑๔๑

หน้า ๓/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

เริ่มเรื่องทุติยสังคายนา   
   ก็เพื่อรู้ทุติยสังคายนาแจ่มแจ้ง ควรทราบลำดับดังต่อไปนี้
          จริงอยู่ ในกาลใด
               พระเถระทั้ง ๕๐๐ มีพระมหากัสสป
                    เป็นต้น ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว มีปัญญาอัน
                    รุ่งเรืองเหล่านั้น ครั้นสังคายนาพระสัทธรรม
                    และยังพระสัทธรรมให้รุ่งเรืองในที่ทั้งปวง
                    แล้ว ดำรงอยู่จนถึงที่สุดแห่งชีวิต ไม่มีอาลัย
                    สิ้นเชื้อดับไป เหมือนประทีปดับไปฉะนั้น
 [ภิกษุชาววัชชีบุตรแสดงวัตถุ ๑๐ ประการ] 
        ในกาลนั้น เมื่อคืนและวันล่วงไปโดยลำดับ ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วได้ ๑๐๐ ปี พวกภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองไพศาลี แสดงวัตถุ ๑๐ ประการเหล่านี้ในเมืองไพศาลี คือ :-
                กปฺปติ สิงฺคิโลณกปฺโป กัปปะว่า เก็บเกลือไว้ด้วยเขนงฉันกับบิณฑบาตที่ไม่เค็ม ก็ควร,
                กปฺปติ ทฺวงฺคุลกปฺโป กัปปะว่า จะฉันโภชนะ ในวิกาล เมื่อเงาคล้อยไป ๒ องคุลี ก็ควร,
                กปฺปติ คามนฺตรกปฺโป กัปปะว่า ภิกษุตั้งใจว่าจะไปในละแวกบ้าน ห้ามภัตแล้ว ฉันโภชนะที่ไม่เป็นเดน ก็ควร,
                กปฺปติ อาวาสกปฺโป กัปปะว่า จะแยกกันทำสังฆกรรมมีอุโบสถเป็นต้น ในเสนาสนะต่างแห่งในสีมาเดียวกัน ก็ควร,
                กปฺปติ อนุมติกปฺโป กัปปะว่า เมื่อตั้งใจว่าจะถือเอาอนุมัติในเวลาที่พวกภิกษุผู้ยังไม่มา มาแล้ว เมื่อเธอเหล่านั้นยังไม่ทันมา สงฆ์เป็นวรรคจะทำกรรมนั้น แล้วอนุมัติภายหลัง ก็ควร,                กปฺปติ อาจิณฺณกปฺโป กัปปะว่า ข้อที่อาจารย์และอุปัชฌาย์เคยประพฤติมา ย่อมควร,
                กปฺปติ อมถิตกปฺโป กัปปะว่า ภิกษุฉันแล้ว ห้ามโภชนะแล้ว ฉันนมสดที่ยังไม่เป็นทธิ ซึ่งไม่เป็นเคน ย่อมควร,
                กปฺปติ ชโลคึปาตุ ภิกษุจะดื่มสุราอย่างอ่อน ที่ยังไม่ถึงเป็นน้ำเมา ก็ควร,
                กปฺปติ อทสกํ นิสีทนํ ผ้านิสีทนะที่ไม่มีชาย ก็ควร,
                กปฺปติ ชาตรูปรชตํ ทองและเงินควรแก่ภิกษุ.๑-
๑- วิ. จุลฺ. เล่ม ๗/ข้อ ๖๓๐/หน้า ๓๙๖
             พระราชาทรงพระนามว่า กาฬาโศก ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค ได้ทรงเป็นฝักฝ่ายของพวกภิกษุวัชชีบุตรเหล่านั้นแล้ว.
               [พระยสเถระได้ทราบเรื่องภิกษุวัชชีบุตรแสดงวัตถุ ๑๐ ประการ] 
                            ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระยสกากัณฑกบุตรเที่ยวจาริกไปในวัชชีชนบท ได้สดับว่า ข่าวว่าพวกภิกษุวัชชีบุตร ชาวเมืองไพศาลีแสดงวัตถุ ๑๐ ประการในเมืองไพศาลี ดังนี้ จึงดำริว่า ข้อที่เราได้ฟังความวิบัติแห่งพระศาสนาของพระทศพลแล้ว จะพึงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยเสีย ไม่สมควรแก่เราเลย เอาละ เราจะข่มพวกอธรรมวาทีเสีย แล้วจะยกย่องธรรม ดังนี้ จึงได้ไปทางเมืองไพศาลี.
               ดังได้ยินมาว่า ท่านพระยสกากัณฑกบุตรพักอยู่ที่กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวันใกล้เมืองไพศาลีนั้น.
               ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองไพศาลี ใส่น้ำให้เต็มถาดทองสัมฤทธิ์แล้วตั้งไว้ในท่ามกลางสงฆ์ในวันอุโบสถนั้น กล่าวแนะนำอุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองไพศาลี ผู้มาแล้วๆ อย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ท่านทั้งหลายจงถวายรูปิยะแก่สงฆ์ กหาปณะหนึ่งก็ได้, กึ่งกหาปณะก็ได้, บาทหนึ่งก็ได้, มาสกหนึ่งก็ได้, กิจของสงฆ์ที่ต้องทำด้วยบริขาร จักมีดังนี้.๑-
๑- วิ. จุลฺ. เล่ม ๗/ข้อ ๖๓๐/หน้า ๓๙๖     
คำทั้งปวงควรเล่าจนถึงคำว่า ก็วินัยสังคีตินี้ได้มีภิกษุ ๗๐๐ รูป ไม่หย่อนไม่เกิน, เพราะฉะนั้น วินัยสังคีตินี้ท่านจึงเรียกว่า สัตตสติกา.
               ก็ภิกษุล้านสองแสนรูปซึ่งท่านพระยสกากัณฑกบุตรชักชวนได้ประชุมกันในสันนิบาตนี้. วัตถุ ๑๐ ประการเหล่านั้น
 ท่านพระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเถระเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย วินิจฉัยเสร็จในท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น, อธิกรณ์เป็นอันระงับเสร็จแล้ว.
               [คัดเลือกพระเถระทำทุติยสังคายนาได้ ๗๐๐ รูป]               
               ภายหลัง พระเถระทั้งหลายปรึกษากันว่า พวกเราจักสังคายนาพระธรรมและพระวินัยอีก ดังนี้ จึงได้คัดเลือกภิกษุ ๗๐๐ รูปผู้ทรงพระไตรปิฎก บรรลุปฏิสัมภิทา แล้วนั่งประชุมกันที่วาลิการาม ใกล้เมืองไพศาลี ชำระมลทินแห่งพระศาสนาทั้งปวง ได้สังคายนาพระธรรมและวินัยทั้งหมด ด้วยอำนาจปิฎก นิกาย องค์ และธรรมขันธ์ซ้ำอีก เช่นเดียวกับที่พระมหากัสสปเถระสังคายนาแล้วนั่นแล.
               สังคีติใดในโลก
                                   ท่านเรียกว่า สัตตสตสังคีติ เพราะ
                         พระเถระ ๗๐๐ รูปทำ, และเรียกว่า ทุติย-
                         สังคีติ เพราะเทียบสังคีติที่ทำก่อน.
               สังคีตินี้ทำอยู่ ๘ เดือนจึงสำเร็จ ด้วยประการฉะนี้.
               ก็แลสังคีตินี้นั้น
                                   อันพระเถระเหล่าใดร้อยกรองไว้แล้ว
                         บรรดาพระเถระเหล่านั้น พระเถระที่ปรากฏ
                         คือ พระสัพพกามี ๑ พระสาฬหะ ๑ พระ
                         เรวตะ ๑ พระขุชชโสภิตะ ๑ พระยสะ ๑
                         พระสาณสัมภูตะ ๑ เหล่านี้ เป็นสัทธิวิหาริก
                         ของพระอานนทเถระ เคยเห็นพระตถาคต
                         พระสุมนะ ๑ พระวาสภคามี ๑, ๒ รูปนี้
                         บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นสัทธิวิหาริกของ
                         พระอนุรุทธะ เคยเห็นพระตถาคต ก็แล
                         พระเถระทั้งหลายผู้ทำสังคายนาครั้งที่ ๒
                         ทุกๆ รูปเป็นผู้ปลงภาระแล้ว เสร็จกิจแล้ว
                         หาอาสวะมิได้ ดังนี้แล.
ฎีกาสารัตถทีปนี เป็น เตสุ วิสฺสุตา ๑/๑๗๒. แม้ในอรรถโยชนาก็เป็นเช่นนี้.
               จบทุติยสังคีติเท่านี้