Translate

01 สิงหาคม 2567

หน้า ๑๑/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

  กถาว่าด้วยทุติยฌาน   

    สองบทว่า วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ความว่า เพราะเข้าไปสงบ คือเพราะก้าวล่วงองค์ทั้ง ๒ เหล่านี้ คือ วิตกและวิจาร. มีอธิบายว่า เพราะวิตกวิจารไม่ปรากฏในขณะแห่งทุติยฌาน.
               พึงทราบสันนิษฐานว่า ในบรรดาฌานทั้ง ๒ นั้น ธรรมในปฐมฌานแม้ทั้งหมด ไม่มีอยู่ในทุติยฌาน ด้วยว่า ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น มีอยู่ในปฐมฌานเป็นอย่างหนึ่ง ในทุติยฌานนี้ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แม้ก็จริง ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสอย่างนี้ว่า เพราะเข้าไปสงบวิตกวิจาร เพื่อจะทรงแสดงว่า การบรรลุฌานอื่นจากปฐมฌานมีทุติยฌานเป็นต้นจะมีได้ เพราะก้าวล่วงองค์ที่หยาบๆ ได้.
               [อรรถาธิบายอัชฌัตตศัพท์] 
    ในอธิการนี้ บัณฑิตประสงค์เอานิยกัชฌัตตัง ชื่อว่า อัชฌัตตัง. แต่ในคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพียงเท่านี้ว่า อัชฌัตตังปัจจัตตัง๑- เท่านั้น. ก็เพราะบัณฑิตประสงค์เอานิยกัชฌัตตัง ชื่อว่า อัชฌัตตัง ฉะนั้น ในบทว่า อชฺฌตฺตํ นี้ บัณฑิตพึงเห็นเนื้อความดังนี้ว่า เกิดแล้วในตน 
คือเกิดแล้วในสันดานของตน.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๖๐/หน้า ๓๔๘.
               [อรรถาธิบายสัมปสาทนศัพท์] 
 ศรัทธา (ความเชื่อ) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า สัมปสาทนะ ในบทว่า สมฺปสาทนํ นี้ แม้ฌาน ก็ตรัสเรียกว่า สัมปสาทนะ เพราะประกอบด้วยความผ่องใส เหมือนผ้าสีเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียวฉะนั้น อีกอย่างหนึ่ง เพราะฌานนั้นย่อมยังใจให้เลื่อมใสด้วยดี เพราะประกอบด้วยศรัทธาที่เป็นเครื่องยังใจให้ผ่องใส (และ) เพราะสงบระงับความกำเริบแห่งวิตกและวิจารเสียได้ เพราะเหตุแม้นั้น 
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สมฺปสาทนํ.
      ก็ในอรรถวิกัปนี้ พึงทราบสัมพันธ์เฉพาะบทอย่างนี้ว่า สมฺปสาทนํ เจตโส (เป็นความผ่องใสแห่งใจ). แต่ในอรรถวิกัปต้น พึงประกอบบทว่า เจตโส นั่นเข้ากับ เอโกทิภาวะ.
               [อรรถาธิบายเอโกทิภาวศัพท์]
                              ในบทว่า เอโกทิภาวํ นั้น มีอรรถโยชนาดังต่อไปนี้ :-
               สมาธิชื่อว่า เอโกทิ เพราะอรรถว่า เป็นธรรมเอกผุดขึ้น. อธิบายว่า ชื่อว่าเป็นธรรมที่เลิศ คือธรรมประเสริฐที่สุด ผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารไม่ผุดขึ้น. จริงอยู่ แม้คนที่ประเสริฐที่สุด เขาก็เรียกว่า เป็นเอกในโลก. อีกอย่างหนึ่ง จะกล่าวว่า สมาธิที่เว้นจากวิตกและวิจาร ชื่อว่าเป็นธรรมเอก คือไม่มีสหายดังนี้บ้าง ก็ควร. อีกบรรยายหนึ่ง สมาธิ ชื่อว่า อุทิ เพราะอรรถว่า ย่อมยังสัมปยุตธรรมให้ผุดขึ้น. อธิบายว่า ให้ตั้งขึ้น. สมาธินั้น เป็นเอก เพราะอรรถว่า ประเสริฐและผุดขึ้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เอโกทิ. 
คำว่า เอโกทิ นั่น เป็นชื่อของสมาธิ.
               ทุติยฌานย่อมยังสมาธิที่ชื่อว่า เอโกทิ นี้ ดังกล่าวนี้ให้เกิดคือให้เจริญ. เหตุนั้น ทุติยฌานนี้จึงชื่อว่า เอโกทิภาพ. ก็เพราะสมาธิที่ชื่อว่า เอโกทิ นี้นั้นย่อมมีแก่ใจ หามีแก่สัตว์ แก่ชีวะไม่ ฉะนั้น ทุติยฌานนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เจตโส เอโกทิภาวํ (เป็นเอโกทิภาพแห่งใจ).
               มีคำถามว่า ก็ศรัทธานี้และสมาธิที่มีชื่อว่าเอโกทินี้มีอยู่ในปฐมฌานมิใช่หรือ? เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ทุติยฌานนี้เท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นเครื่องยังใจให้ผ่องใส และว่า เป็นเอโกทิภาพเล่า?
               ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :-
               ด้วยว่า ปฐมฌานโน้น ชื่อว่ายังไม่ผ่องใสดี เพราะวิตกและวิจารยังกำเริบได้ ดุจน้ำที่ขุ่นเพราะคลื่นและระลอก ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น แม้เมื่อศรัทธามีอยู่ ก็พึงทราบว่า ปฐมฌานนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
มิได้ตรัสว่า เป็นเครื่องยังใจให้ผ่องใส.
               อนึ่ง เพราะความที่ปฐมฌานยังไม่ผ่องใสด้วยดีนั่นแล แม้สมาธิในปฐมฌานนี้ ก็ยังหาเป็นธรรมปรากฏด้วยดีไม่ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ปฐมฌานนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสว่าเป็นเอโกทิภาพบ้าง. ส่วนศรัทธามีกำลังได้โอกาสแล้ว เพราะในฌานนี้ไม่มีเหตุเครื่องกังวลคือวิตกวิจาร แม้สมาธิ ก็ปรากฏ เพราะกลับได้สหาย คือศรัทธามีกำลัง เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ทุติยฌานนี้เท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้อย่างนี้.
               แต่ในคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพียงเท่านี้นั่นแลว่า ที่ชื่อว่า สัมปสาทนะ นั้นได้แก่ศรัทธา ความเชื่อถือ ความปลงใจเชื่อ ความเลื่อมใสยิ่ง ที่ชื่อว่า เจตโส เอโกทิภาวะ นั้น ได้แก่ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ ความตั้งใจมั่นชอบ๑- ดังนี้.
               ก็อรรถวรรณนานี้รวมกับปาฐะในคัมภีร์วิภังค์นั่น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น ย่อมไม่ผิด คือย่อมเทียบเคียง และเสมอกันได้โดยแท้ ฉันใด บัณฑิตพึงทราบอรรถวรรณนานี้ ฉันนั้น.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๖๑/หน้า ๓๔๘.
               [อรรถาธิบายทุติยฌานไม่มีวิตกและวิจารเพราะสงบไปแล้ว]
                  ในคำว่า อวิตกฺกํ อวิจารํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
 ทุติยฌานชื่อว่า ไม่มีวิตก เพราะอรรถว่า วิตกไม่มีในทุติยฌานนี้ หรือแก่ทุติยฌานนี้เพราะละวิตกได้ด้วยภาวนา. ทุติยฌานชื่อว่าไม่มีวิจารก็โดยนัยนี้แล. แม้ในคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้แล้วว่า วิตกนี้และวิจารนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้งไปด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุด ปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ด้วยประการ๑- ฉะนี้.
              ในอธิการนี้ พระอาจารย์ผู้โจทก์ท้วงว่า ก็เนื้อความนี้สำเร็จแล้วแม้ด้วย บทว่า เพราะสงบระงับวิตกและวิจาร ดังนี้มิใช่หรือ? เมื่อเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้อีกว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ดังนี้เล่า?   ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :-
               เนื้อความนี้สำเร็จแล้วอย่างนั้น จริงทีเดียว แต่คำว่า เพราะสงบระงับวิตกและวิจารนี้ แสดงอรรถ กล่าวคือความไม่มีวิตกวิจารนั้น. ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วมิใช่หรือว่า ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้อย่างนี้ว่า เพราะสงบระงับวิตกและวิจาร เพื่อจะทรงแสดงว่า การบรรลุฌานเป็นต้นอื่นจากปฐมฌาน ย่อมมีได้ เพราะก้าวล่วงองค์ที่หยาบๆ ได้.
               อีกอย่างหนึ่ง ทุติยฌานนี้ ชื่อว่า สัมปสาทนะ เพราะสงบวิตกและวิจารเสียได้ หาใช่เพราะเข้าไปสงบความฟุ้งขึ้นแห่งโทษกล่าวคือกิเลสไม่ และทุติยฌานนี้ ชื่อว่า เอโกทิภาพ เพราะสงบวิตกและวิจาร และทุติยฌานนี้ ชื่อว่า เอโกทิภาพ เพราะละนิวรณ์เสียได้ ไม่เหมือนอุปจารฌาน และทุติยฌานนี้ ชื่อว่า เอโกทิภาพ เพราะมีองค์ปรากฏไม่เหมือนปฐมฌาน.
               เพราะเหตุนั้น คำว่า เพราะสงบวิตกวิจารนี้ ย่อมเป็นคำแสดงถึงเหตุแห่งความที่ทุติยฌานเป็นเครื่องยังใจให้ผ่องใส และเป็นธรรมเอกยังสมาธิให้ผุดขึ้น ดังกล่าวมาแล้วนี้.
               อนึ่ง ทุติยฌานนี้ ชื่อว่าไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เพราะสงบวิตกและวิจารเสียได้, ทุติยฌานนี้ชื่ออวิตักกาวิจาร เพราะไม่มีทั้งวิตกและวิจาร หาเหมือนตติยฌานจตุตถฌาน และเหมือนวิญญาณมีจักษุวิญญาณเป็นต้นฉะนั้นไม่ เพราะเหตุนั้น คำว่า เพราะสงบวิตกวิจารนี้ ย่อมเป็นคำแสดงถึงเหตุแห่งความที่ทุติยฌานไม่มีทั้งวิตกไม่มีทั้งวิจาร และหาใช่เป็นคำแสดงเพียงสักว่า
 ความไม่มีแห่งวิตกและวิจารไม่ ดังกล่าวมาฉะนี้.
               แต่คำว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร นี้ ก็เป็นคำแสดงเพียงสักว่า ความไม่มีแห่งวิตกและวิจารเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ตรัสคำต้นแล้ว ก็ควรตรัสคำหลังอีก.
               บทว่า สมาธิชํ ความว่า เกิดจากปฐมฌานสมาธิ หรือจากสมาธิที่สัมปยุตกัน. ในพระบาลีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสทุติยฌานนี้เท่านั้นว่า เกิดจากสมาธิ เพื่อสรรเสริญทุติยฌานนี้ เพราะถึงแม้ปฐมฌานจะเกิดจากสมาธิที่สัมปยุต แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น สมาธินี้เท่านั้น ควรเรียกได้ว่า สมาธิ เพราะเป็นสมาธิที่ไม่หวั่นไหวและผ่องใสอย่างยิ่ง เหตุเว้นจากความกระเพื่อมแห่งวิตกวิจาร.
               คำว่า ปีติสุขํ นี้ มีนัยดังกล่าวมาแล้วนั่นเอง.
               บทว่า ทุติยํ คือเป็นที่ ๒ โดยลำดับแห่งการคำนวณ. ฌานนี้ชื่อว่า ที่ ๒ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรบรรลุเป็นครั้งที่ ๒ ดังนี้บ้าง.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๖๒/หน้า ๓๔๘.
               [ปฐมฌานมีองค์ ๕ ทุติยฌานมีองค์ ๓]               
               ก็ในคำว่า ฌานํ นี้ พึงทราบว่า ปฐมฌานมีองค์ ๕ เพราะองค์ทั้งหลายมีวิตกเป็นต้น ฉันใด, ทุติยฌานนี้ก็มีองค์ ๔ เพราะองค์ทั้งหลายมีสัมปสาทะเป็นต้น ฉันนั้น.
               เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า สัมปสาทะ (ความผ่องใส) ปีติ (ความอิ่มใจ) สุข (ความสบายใจ) เอกัคคตาแห่งจิต ชื่อว่า ฌาน๑- อันนั่นเป็นนัยทางอ้อมเท่านั้น. แต่โดยนัยทางตรง ทุติยฌานนั่น เว้นองค์คือสัมปสาทะเสียแล้ว มีเพียงองค์ ๓ เท่านั้น. เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ฌานมีองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต มีอยู่ในสมัยนั้น เป็นไฉน?๒- คำที่เหลือมีนัยดักล่าวแล้วนั้นแล.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๖๓/หน้า ๓๔๘. ๒- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๖๖/หน้า ๓๔๙.
               กถาว่าด้วยทุติยฌาน จบ    
            กถาว่าด้วยตติยฌาน               
               ปีติในคำว่า ปีติยา จ วิราคา นี้ มีเนื้อความดังกล่าวแล้วนั่นแล. ความเกลียดชัง หรือความก้าวล่วงปกตนั้น ชื่อว่า วิราคะ (ความสำรอก).
               จ ศัพท์ ในระหว่างบททั้ง ๒ มีการประมวลมาเป็นอรรถ. จ ศัพท์ ประมวลมาซึ่งความสงบ หรือความเข้าไปสงบวิตกวิจาร.
               พึงทราบโยชนาอย่างนี้ว่า
               ในการประมวลทั้งสองอย่างนั้น ในกาลใดประมวลความสงบมาอย่างเดียว ในเวลานั้น เพราะสำรอกปีติ และเพราะสงบได้เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย. ก็ในโยชนานี้ วิราคะศัพท์ มีความเกลียดชังเป็นอรรถ เพราะฉะนั้น พึงเห็นใจความดังนี้ว่า เพราะเกลียดชัง และเพราะระงับปีติ.
               พึงทราบโยชนาอย่างนี้ว่า
               ก็ในเวลาใด ประมวลความสงบระงับวิตกวิจารมา ในเวลานั้นเพราะสำรอกปีติ และเพราะเข้าไปสงบวิตกวิจารเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย. และในโยชนานี้ วิราคะศัพท์ มีความก้าวล่วงเป็นอรรถ เพราะฉะนั้น พึงเห็นใจความดังนี้ว่า เพราะก้าวล่วงปีติ และเพราะสงบระงับวิตกวิจาร.
     อนึ่ง วิตกวิจารเหล่านี้ สงบแล้วในทุติยฌานทีเดียวก็จริง ถึงกระนั้น, คำว่า เพราะเข้าไปสงบวิตกวิจาร นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ก็เพื่อจะทรงแสดงอุบายเครื่องบรรลุฌานนี้ และเพื่อกล่าวสรรเสริญ (ฌานนี้).
               ถามว่า จริงอยู่ เมื่อพระองค์ตรัสว่า และเพราะความสงบระงับวิตกวิจาร คำนี้ย่อมปรากฏว่า ความสงบระงับวิตกวิจารก็เป็นอุบายเครื่องบรรลุฌานนี้ มิใช่หรือ?
               แก้ว่า เหมือนอย่างว่าในอริยมรรคที่ ๓ ท่านกล่าวการละไว้อย่างนี้ว่า เพราะละโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๒ มีสักกายทิฏฐิเป็นต้น แม้ที่ยังละไม่ได้ ย่อมเป็นการกล่าวสรรเสริญ (อริยมรรคที่ ๓) เพื่อจะให้เกิดความอุตสาหะแก่เหล่าชนผู้มีความขวนขวาย เพื่อบรรลุอริยมรรคที่ ๓ นั้น ฉันใด, ในตติยฌานนี้ ท่านกล่าวความสงบระงับวิตกวิจาร แม้ที่ยังไม่สงบราบคาบไว้ เป็นการกล่าวสรรเสริญ (ฌานนี้) ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวใจความนี้ไว้ว่า เพราะก้าวล่วงปีติ และเพราะความสงบระงับวิตกวิจารดังนี้.
               ในคำว่า อุเปกฺขโก จ วิหาสึ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ธรรมชาติที่ชื่อว่า อุเบกขา เพราะอรรถว่า เพ่งโดยอุปบัติ. อธิบายว่า ย่อมเห็นเสมอคือย่อมเห็นไม่ตกไปเป็นฝักเป็นฝ่าย. บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยตติยฌาน ท่านเรียกว่า ผู้มีอุเบกขา. เพราะความเป็นผู้ประกอบด้วยอุเบกขานั้น อันสละสลวย ไพบูลย์ มีกำลัง.
               [อุเบกขา ๑๐ อย่าง]      
               ก็อุเบกขามีอยู่ ๑๐ อย่าง คือ
                ๑. ฉฬังคุเปกขา อุเบกขาในองค์ (คืออารมณ์) ๖.
                ๒. พรหมวิหารุเปกขา อุเบกขาในพรหมวิหาร.
                ๓. โพชฌังคุเปกขา อุเบกขาในโพชฌงค์.
                ๔. วิริยุเปกขา อุเบกขาในวิริยะ.
                ๕. สังขารุเปกขา อุเบกขาในสังขาร.
                ๖. เวทนุเปกขา อุเบกขาในเวทนา.
                ๗. วิปัสสนุเปกขา อุเบกขาในวิปัสสนา.
                ๘. ตัตรมัชฌัตตุเปกขา อุเบกขาในความวางตนเป็นกลางในธรรมนั้นๆ.
                ๙. ฌานุเปกขา อุเบกขาในฌาน.
                ๑๐. ปาริสุทธุเปกขา อุเบกขาในความบริสุทธิ์.
               อุเบกขาแม้ทั้ง ๑๐ อย่างดังกล่าวมานี้ พึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วในวรรณนาแห่งภยเภรสูตร ในอรรถกถามัชฌิมนิกาย ชื่อปปัญจสูทนีหรือในอรรถกถาธรรมสังคหะ ชื่ออัตถสาลินี โดยนัยอันมาแล้วในที่นั้นๆ และด้วยสามารถแห่งสังเขปคือ ภูมิ บุคคล จิต อารมณ์ ขันธสังคหะ เอกขณจิตและกุสลติกะ.               ก็อุเบกขา เมื่อข้าพเจ้าจะกล่าวไว้ในอธิการนี้ ย่อมทำนิทานแห่งพระวินัยให้เป็นภาระหนักยิ่ง, 
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่กล่าว.
               [อรรถาธิบายลักษณะแห่งอุเบกขา]               
              ส่วนอุเบกขาที่ประสงค์เอาในอธิการนี้ โดยลักษณะเป็นต้น พึงทราบว่า มีความมัธยัสถ์ (ความเป็นกลาง) เป็นลักษณะ มีความไม่คำนึงเป็นรส มีความไม่ขวนขวายเป็นปัจจุปัฏฐาน มีความสำรอกปีติเป็นปทัฏฐาน.
   ในอธิการว่าด้วยตติยฌานนี้ พระอาจารย์ผู้โจทก์ท้วงว่า ก็ฌานุเบกขานี้ โดยอรรถก็คือ ตัตรมัชฌัตตุเบกขานั่นเอง และฌานุเบกขานั้นก็มีอยู่แม้ในปฐมฌานและทุติยฌาน เพราะฉะนั้น ฌานุเบกขานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ควรจะตรัสไว้แม้ในปฐมฌานและทุติยฌานนั้น อย่างนี้ว่า อุเปกฺขโก จ วิหาสึ ดังนี้ มิใช่หรือ? เพราะเหตุไร จึงไม่ตรัสฌานุเบกขานั้นไว้เล่า?
               เฉลยว่า เพราะมีกิจยังไม่ปรากฏชัด.
จริงอยู่ กิจแห่งฌานุเบกขานั้นในปฐมฌานและทุติยฌานนั้น ชื่อว่ายังไม่ปรากฏชัด เพราะถูกปฏิปักขธรรมมีวิตกเป็นต้นครอบงำ. ส่วนในตติยฌานนี้ ฌานุเบกขานี้ เกิดมีกิจปรากฏชัด เป็นดุจยกศีรษะขึ้นได้แล้ว เพราะวิตกวิจารและปีติครอบงำไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสฌานุเบกขานั้นไว้แล.
               การพรรณนาอรรถโดยประการทั้งปวงแห่งบทว่า อุเปกฺขโก จ วิหาสึ นี้จบแล้ว.
               [อธิบายลักษณะแห่งสติและสัมปชัญญะ]               
               บัดนี้จะวินิจฉัยในบาลีนี้ว่า สโต จ สมฺปชาโน. ชื่อว่าสโต เพราะอรรถว่า ระลึกได้. ชื่อว่าสัมปชาโน เพราะอรรถว่า รู้ชัดโดยชอบ. สติและสัมปชัญญะตรัสโดยบุคคล.
               ในสติและสัมปชัญญะนั้น สติมีความระลึกได้เป็นเครื่องกำหนด มีความไม่หลงลืมเป็นกิจ มีการควบคุมเป็นเหตุเครื่องปรากฏ.
               สัมปชัญญะมีความไม่หลงเป็นเครื่องกำหนด มีความพิจารณาเป็นกิจ มีความสอดส่องเป็นเครื่องปรากฏ.
               ก็สติและสัมปชัญญะนี้ พึงทราบโดยพิสดารตามนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว ในวรรณนาแห่งสติปัฏฐานสูตร ในอรรถกถามัชฌิมนิกายนั่นแล.
               บรรดาธรรมในตติยฌานนั้น สติและสัมปชัญญะนี้มีอยู่แม้ในฌานก่อนๆ โดยแท้ เพราะว่า แม้คุณชาติเพียงอุปจาร ย่อมไม่สำเร็จแก่พระโยคาวจรผู้มีสติหลง ไม่มีสัมปชัญญะ, จะกล่าวไปไยถึงอัปปนา.
               ถึงกระนั้น เพราะความที่ฌานเหล่านั้นหยาบ การดำเนินไปของจิตจึงมีความสะดวก เหมือนการดำเนินไปบนภาคพื้นของบุรุษฉะนั้น กิจแห่งสติและสัมปชัญญะ ในฌานเหล่านั้น จึงยังไม่ปรากฏชัด.
               ก็เพราะความที่ฌานนี้ละเอียด เพราะละองค์ที่หยาบได้ การดำเนินไปของจิต อันกิจแห่งสติและสัมปชัญญะกำกับแล้วทีเดียว จำปรารถนาเหมือนการเดินใกล้คมมีดโกนของบุรุษฉะนั้น เพราะเหตุนี้ จึงตรัสไว้ในตติยฌานนี้ทีเดียว.
               ยังมีข้อที่จะพึงกล่าวเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย.
               นักปราชญ์พึงทราบสันนิษฐานว่า คำนี้ว่า สโต จ สมฺปชาโน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในตติยฌานนี้เท่านั้น ก็เพื่อแสดงเนื้อความพิเศษแม้นี้ว่า ลูกโคที่ยังติดแม่โค ถูกพรากจากแม่โค เมื่อไม่คอยควบคุมไว้ ย่อมเข้าหาแม่โคอีกนั่นเองฉันใด ความสุขในตติยฌานนี้ก็ฉันนั้น ถูกพรากจากปีติแล้ว ความสุขนั้นเมื่อไม่คอยควบคุมด้วยเครื่องควบคุมคือสติและสัมปชัญญะ พึงเข้าหาปีติอีกทีเดียว พึงเป็นสุขที่สัมปยุตด้วยปีตินั้นเอง.
               ถึงแม้ว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมกำหนัดนักในความสุข และความสุขนี้ก็เป็นสุขหวานยิ่งนัก เพราะไม่มีสุขยิ่งไปกว่านั้น แต่ความไม่กำหนัดนักในความสุข ย่อมมีในตติยฌานนี้ ด้วยอานุภาพแห่งสติและสัมปชัญญะ
 มิใช่มีด้วยประการอื่นดังนี้.
               บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทสึ นี้ต่อไป :-
               พระโยคีผู้พรั่งพร้อมด้วยตติยฌาน ไม่มีความรำพึงในการเสวยความสุข แม้ก็จริง ถึงเมื่อเป็นเช่นนั้น พระโยคีนั้น แม้ออกจากฌานแล้ว ก็พึงเสวยสุขได้ เพราะเหตุที่รูปกายของท่าน อันรูปที่ประณีตยิ่ง ซึ่งมีความสุขที่สัมปยุตด้วยนามกายของท่าน          หรือความสุขที่ประกอบนามกายนั้น    เป็นสมุฏฐานถูกต้อง ซึมซาบแล้ว.
                เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความนั้นจึงตรัสว่า สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทสึ ดังนี้.               
                บัดนี้ จะวินิจฉัยในคำว่า ยนฺตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี นี้ต่อไป :-
      พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมบอก คือย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมแต่งตั้ง ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนก ย่อมกระทำให้ตื้น. อธิบายว่า ย่อมประกาศ คือย่อมสรรเสริญ ซึ่งบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยตติยฌานนั้น เพราะเหตุแห่งฌานใด คือเพราะฌานใดเป็นเหตุ.   ย่อมสรรเสริญว่า อย่างไร?   ย่อมสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดังนี้. เราเข้าถึงตติยฌานนั้นอยู่แล้ว.
               โยชนาในคำว่า ยนฺตํ อริยา เป็นต้นนี้            พึงทราบดังพรรณนามาอย่างนี้               ด้วยประการฉะนี้.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุใด พระอริยเจ้าเหล่านั้นจึงสรรเสริญบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยตติยฌานนั้นไว้อย่างนั้น?
               แก้ว่า เพราะเป็นผู้ที่ควรสรรเสริญ.
               จริงอยู่ เพราะพระโยคีนี้เป็นผู้มีความวางเฉยในตติยฌาน ซึ่งมีความสุขอันหวานใจยิ่งนัก ที่ถึงฝั่งแห่งความสุขแล้วก็ตาม หาถูกความใคร่ในสุขคร่าไปในตติยฌานนั้นได้ไม่ และชื่อว่าเป็นผู้มีสติเพราะเป็นผู้มีสติตั้งมั่น โดยอาการที่ปีติจะเกิดขึ้นไม่ได้, และเพราะท่านได้เสวยความสุขอันไม่เศร้าหมอง ที่เป็นอริยกันต์ และอันอริยชนซ่องเสพแล้วนั่นเอง ด้วยนามกาย ฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่ควรสรรเสริญ.
     พึงทราบสันนิษฐานว่า เพราะเป็นผู้ที่ควรสรรเสริญ พระอริยเจ้าทั้งหลายเมื่อจะประกาศคุณที่เป็นเหตุอันควรสรรเสริญเหล่านั้น จึงสรรเสริญบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยตติยฌานนั้น อย่างนี้ว่าเป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ดังพรรณนามาฉะนี้.
     บทว่า ตติยํ คือเป็นที่ ๓ ตามลำดับแห่งการคำนวณ. ฌานนี้ชื่อว่าที่ ๓ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรบรรลุครั้งที่ ๓ ดังนี้บ้าง.
               [ทุติยฌานมีองค์ ๔ ตติยฌานมีองค์ ๕]               
               ในคำว่า ฌานํ นี้ พึงทราบวินิจฉัยว่า ทุติยฌานมีองค์ ๔ ด้วยองค์ทั้งหลายมีสัมปสาทะเป็นต้น ฉันใด, ตติยฌาน นี้         ก็มีองค์ ๕ ด้วยองค์ทั้งหลายมีอุเบกขาเป็นต้น ฉันนั้น.
               เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อุเบกขา (ความวางเฉย) สติ (ความระลึกได้) สัมปชัญญะ (ความรู้ตัว) สุข (ความสบายใจ) เอกัคคตาแห่งจิต (ความที่จิตมีอารมณ์เดียว) ชื่อว่าฌาน๑- ดังนี้. อันนั่นเป็นนัยทางอ้อมเท่านั้น. แต่โดยนัยทางตรง ตติยฌานนั้นเว้นองค์ คือ อุเบกขา สติและสัมปชัญญะเสีย ย่อมประกอบด้วยองค์ ๒ เท่านั้น. เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ฌานมีองค์ ๒ คือ สุข และเอกัคคตาแห่งจิต มีอยู่ ในสมัยนั้น เป็นไฉน? คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวมาแล้วนั้นแล.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๗๗/หน้า ๓๕๑ กถาว่าด้วยตติยฌาน จบ.  
กถาว่าด้วยจตุตถฌาน           
               #- คำว่า เพราะละสุขและเพราะละทุกข์เสียได้ ดังนั้น คือ เพราะละสุขทางกายและทุกข์ทางกาย. คำว่า ในก่อนเทียว ความว่า ก็การละสุขและทุกข์นั้นแล ได้มีแล้วในก่อนแท้ มิใช่มีในขณะจตุตถฌาน. คำว่า เพราะถึงความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งโสมนัสและโทมนัส ดังนี้นั้น ความว่า เพราะถึงความตั้งอยู่ไม่ได้. มีคำอธิบายว่า เพราะละได้นั่นแล ซึ่งธรรม ๒ ประการเหล่านี้ คือสุขทางใจและทุกข์ทางใจ ในก่อนเทียว.
 องค์การศึกษาแผนกบาลีแปลออกสอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๐๔.
               ถามว่า ก็จะละสุขและทุกข์โสมนัสและโทมนัสเหล่านั้นได้ เมื่อไร?
               แก้ว่า ในขณะแห่งอุปจารแห่งฌานทั้ง ๔.
               จริงอยู่ โสมนัสอันพระโยคาวจรละได้ในขณะแห่งอุปจารแห่งฌานที่ ๔ นั้นแล. ทุกข์โทมนัสและสุขละได้ในขณะแห่งอุปจารแห่งฌานที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓. ด้วยประการดังกล่าวมานี้ พึงทราบการละสุขทุกข์โสมนัสและโทมนัสเหล่านี้ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้โดยลำดับแห่งการละทีเดียว, แต่ก็ได้ตรัสไว้แม้ในที่นี้โดยลำดับอุเทศแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในอินทรีย์วิภังค์นั่นแล.
               มีคำถามว่า ก็ถ้าสุขทุกข์เป็นต้นเหล่านี้ พระโยคาวจรละได้ในขณะแห่งอุปจารแห่งฌานนั้นๆ ไซร้, เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร จึงตรัสการดับ (สุขทุกข์เป็น)     ไว้ในฌานทั้งหลายนั่นแลอย่างนี้ว่า ก็ทุกขินทรีย์เกิดขึ้นแล้ว ดับหาเศษมิได้ในฌานไรเล่า?
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย ฯลฯ เข้าถึงปฐมฌานอยู่, ทุกขินทรีย์เกิดขึ้นแล้ว ดับหาเศษมิได้ในฌานนี้, ก็โทมนัสสินทรีย์ ... สุขินทรีย์ ... โสมนัสสินทรีย์ ... เกิดขึ้นแล้ว ดับหาเศษมิได้ในฌานไรเล่า?
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะละสุขเสียได้ ฯลฯ เข้าถึงจตุตถฌานอยู่ โสมนัสสินทรีย์ เกิดขึ้นแล้ว ดับหาเศษมิได้ในฌานนี้๑- ดังนี้เล่า. ๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๗๑๔.
               มีคำแก้ว่า เพราะเป็นความดับอย่างประเสริฐ. จริงอยู่ ความดับทุกข์เป็นต้นเหล่านั้น ในฌานทั้งหลายมีปฐมฌานเป็นต้น เป็นความดับอย่างประเสริฐ.                แต่ความดับในขณะแห่งอุปจารเท่านั้น          หาเป็นความดับอย่างประเสริฐไม่.
               จริงอย่างนั้น ทุกขินทรีย์ แม้ดับแล้วในอุปจารแห่งปฐมฌาน ซึ่งมีอาวัชชนะต่างๆ กัน แต่พึงเกิดขึ้นได้อีก เพราะสัมผัสมีเหลือบและยุงเป็นต้น หรือเพราะความเดือดร้อนอันเกิดจากการนั่ง.         ไม่สม่ำเสมอ,       แต่จะเกิดในภายในอัปปนาไม่ได้เลย.
               อีกอย่างหนึ่ง ทุกขินทรีย์นั่น แม้ดับแล้วในอุปจาร ยังดับไม่สนิทดี เพราะธรรมที่เป็นข้าศึกยังกำจัดไม่ได้. ส่วนภายในอัปปนา กายทั้งสิ้นหยั่งลงสู่ความสุข เพราะมีปีติซาบซ่าน และทุกขินทรีย์ของพระโยคาวจรผู้มีกายหยั่งลงสู่ความสุข จัดว่าดับไปแล้วด้วยดี เพราะธรรมที่เป็นข้าศึกถูกกำจัดเสียได้.
               ก็โทมนัสสินทรีย์ที่พระโยคาวจรละได้แล้ว ในอุปจารแห่งทุติยฌาน ซึ่งมีอาวัชชนะต่างๆ กันนั่นแล แต่พึงเกิดขึ้นได้อีก เพราะโทมนัสสินทรีย์นั่น เมื่อมีความลำบากกายและความคับแค้นใจแม้ที่มีวิตกวิจารเป็นปัจจัยอยู่ย่อมบังเกิดขึ้นได้ แต่จะเกิดไม่ได้เลยในเพราะไม่มีวิตกวิจาร, แต่โทมนัสสินทรีย์จะเกิดในจิตตุปบาทใด เพราะมีวิตกวิจารจึงเกิดขึ้นในจิตตุปบาทนั้น, วิตกวิจารในอุปจารแห่งทุติยฌานท่านยังละไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น โทมนัสสินทรีย์นั้นพึงเกิดได้ในอุปจารแห่งทุติยฌานนั้น เพราะมีปัจจัยที่ยังละไม่ได้ แต่ในทุติยฌานจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะมีปัจจัยอันละได้แล้ว.
               อนึ่ง สุขินทรีย์ แม้ที่ละได้แล้วในอุปจารแห่งตติยฌาน ก็พึงบังเกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรผู้มีกายอันรูปที่ประณีต ซึ่งมีปีติเป็นสมุฏฐานถูกต้องแล้ว แต่ในตติยฌานเกิดขึ้นไม่ได้เลย. จริงอยู่ ปีติอันเป็นปัจจัยแห่งความสุขในตติยฌาน ดับไปแล้วโดยประการทั้งปวงแล. อนึ่ง โสมนัสสินทรีย์ แม้ที่ละได้แล้วในอุปจารแห่งจตุตถฌาน ก็พึงเกิดขึ้นอีกได้ เพราะใกล้ต่อปีติ และเพราะยังไม่ผ่านไปด้วยดี เพราะยังไม่มีอุเบกขาที่ถึงอัปปนา, แต่ในจตุตถฌานจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย. เพราะเหตุดังที่กล่าวมานี้นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงทำอปริเสสศัพท์ไว้ในที่นั้นๆ ว่า ทุกขินทรีย์เกิดขึ้นแล้ว ดับหาเศษมิได้ในฌานนี้ ดังนี้แล.
               ในอธิการแห่งจตุตถฌานนี้ พระอาจารย์ผู้โจทก์ท้วงว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น เวทนาเหล่านั้น แม้ที่ละได้แล้วในอุปจารแห่งฌานนั้นๆ เพราะเหตุไร ในจตุตถฌานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประมวลมาไว้อีกเล่า?
               แก้ว่า เพื่อให้ถือเอาสะดวก (เพื่อเข้าใจง่าย).
               จริงอยู่ อทุกขมสุขเวทนา ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในองค์ฌานนี้ว่า อทุกฺขมสุขํ (ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข) นี้เป็นของละเอียด รู้ได้โดยยาก ไม่สามารถจะถือเอาได้โดยสะดวก, เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประมวลเวทนาเหล่านั้นมาไว้ทั้งหมด เพื่อให้ถือเอาสะดวก เปรียบเหมือนเพื่อจะจับโคดุ ซึ่งใครๆ ไม่สามารถจะเข้าไปจับใกล้ๆ ได้ โดยประการใดประการหนึ่ง คนเลี้ยงโคจึงต้อนโคทุกตัวมาไว้ในคอกเดียวกัน ภายหลังจึงปล่อยออกมาทีละตัวๆ ให้จับเอาโคแม้ตัวนั้น ซึ่งผ่านออกมาตามลำดับ โดยสั่งว่า นี่คือโคตัวนั้น พวกท่านจงจับมัน ฉะนั้น.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงเวทนาเหล่านั้น ที่พระองค์ประมวลมาแล้วอย่างนั้น ย่อมทรงสามารถเพื่ออันให้ถือเอาเวทนานี้ว่า ธรรมชาติที่มิใช่สุข มิใช่ทุกข์ มิใช่โสมนัส มิใช่โทมนัส นี้ คือ อทุกขมสุขเวทนา,              อนึ่ง เวทนาเหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระองค์ตรัสไว้ ก็เพื่อจะแสดงปัจจัยแห่งอทุกขมสุขเจโตวิมุตติ.  จริงอยู่ ธรรมทั้งหลายมีการละสุขเป็นต้น๒- เป็นปัจจัยแห่งเจโตวิมุตตินั้น.
               เหมือนดังที่พระธรรมทินนาเถรีกล่าวไว้ว่า
               ดูก่อนผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นอทุกขมสุขเจโตวิมุตติมี ๔ อย่างแล, ดูก่อนผู้มีอายุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเข้าถึงจตุตถฌาน อันเป็นอทุกขมสุข มีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์อันอุเบกขาให้เกิดแล้ว เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะถึงความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อนเทียว, ดูก่อนผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุตติ อันเป็นอทุกขมสุขมี ๔ อย่างเหล่านี้แล.๓-
               อีกอย่างหนึ่ง สังโยชน์ทั้งหลายมีสักกายทิฏฐิเป็นต้น แม้ที่ละได้แล้ว ในมรรคอื่นมีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น พระองค์ตรัสว่า ละได้แล้วในมรรคที่ ๓ นั้น เพื่อตรัสสรรเสริญมรรคที่ ๓ ฉันใด เวทนามีสุขเป็นต้นเหล่านั้นควรทราบว่า พระองค์ตรัสไว้ในจตุตถฌานนี้ แม้เพื่อตรัสสรรเสริญฌานนั่นฉันนั้น.
   อีกนัยหนึ่ง เวทนามีสุขเป็นต้นเหล่านั้น พึงทราบว่า พระองค์ตรัสไว้ในจตุตถฌานนี้ แม้เพื่อจะทรงแสดงข้อที่ราคะและโทสะ เป็นธรรมชาติที่อยู่ไกลยิ่ง เพราะสังหารปัจจัยเสียได้.
               จริงอยู่ บรรดาเวทนามีสุขเป็นต้นเหล่านั้น สุขเป็นปัจจัยแห่งโสมนัส, โสมนัสเป็นปัจจัยแห่งราคะ, ทุกข์เป็นปัจจัยแห่งโทมนัส, โทมนัสเป็นปัจจัยแห่งโทสะ, และราคะโทสะพร้อมทั้งปัจจัย เป็นอันจตุตถฌานนั้นกำจัดแล้ว เพราะสังหารความสุขเป็นต้นเสียได้ เพราะเหตุนั้น ราคะและโทสะ จึงมีอยู่ในที่ไกลยิ่ง ฉะนี้แล.
๒- วิสุทธิมรรค. ๑/๒๑๓ เป็นต้น ทุกขปฺปหานาทโย. ๒- ฏีกาสารัตถทีปนี ๑/๕๙๐ ก็เหมือนกัน. ๓- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๕๑๑/หน้า ๕๕๓.
               [อรรถาธิบายอุเบกขาในจตุตถฌาน]               
              บทว่า อทุกฺขมสุขํ ความว่า ชื่อว่า อทุกข์ เพราะไม่มีทุกข์ ชื่อว่า อสุข เพราะไม่มีสุข. ในคำว่า อทุกฺขมสุขํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเวทนาที่ ๓ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อทุกข์และสุขด้วยพระดำรัสนี้ หาทรงแสดงเพียงสักว่าความไม่มีแห่งทุกข์และสุขไม่. อทุกข์และอสุข ชื่อว่าเวทนาที่ ๓ ท่านเรียกว่า อุเบกขา บ้าง.
               อุเบกขานั้น บัณฑิตพึงทราบว่า มีการเสวยอารมณ์ที่ผิดแปลกจากอารมณ์ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาเป็นลักษณะ มีความเป็นกลาง เป็นรส มีอารมณ์ไม่แจ่มแจ้งเป็นเครื่องปรากฏ มีความดับสุขเป็นปทัฏฐาน.
               บทว่า อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ ความว่า มีสติเป็นธรรมชาติ บริสุทธิ์อันอุเบกขาให้เกิดแล้ว.
               จริงอยู่ ในฌานนี้ สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ด้วยดีและความบริสุทธิ์แห่งสตินั้น อันอุเบกขาทำแล้ว หาใช่ธรรมอย่างอื่นทำไม่, เพราะเหตุนั้น ฌานนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกว่า มีสติบริสุทธิ์อันอุเบกขาให้เกิดแล้ว ดังนี้. แม้ในคัมภีร์วิภังค์ พระองค์ก็ได้ตรัสไว้ว่า สตินี้ย่อมเป็นธรรมชาติเปิดเผย บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว เพราะอุเบกขานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา.๑-
               ก็ความบริสุทธิ์แห่งสติในจตุตถฌานนี้ย่อมมีเพราะอุเบกขาใด, อุเบกขานั้น โดยอรรถพึงทราบว่า มีความเป็นกลางในธรรมนั้นๆ.
               อนึ่ง ในจตุตถฌานนี้ สติเท่านั้น เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขานั้นอย่างเดียวก็หามิได้, อีกอย่างหนึ่งแล แม้สัมปยุตตธรรมทั้งหมดก็บริสุทธิ์เพราะอุเบกขานั้น (เหมือนกัน). แต่เทศนา พระองค์ตรัสไว้โดยยกสติขึ้นเป็นประธาน.
               บรรดาธรรมในจตุตถฌานนั้น อุเบกขานี้มีอยู่ในฌานทั้ง ๓ แม้ในหนหลัง ก็จริง ถึงกระนั้น จันทเลขา กล่าวคือตัตรมัชฌัตตุเปกขาแม้นี้ ถึงแม้มีอยู่ในความต่างแห่งฌานมีปฐมฌานเป็นต้น ย่อมชื่อว่าเป็นธรรมชาติไม่บริสุทธิ์ เพราะถูกเดชแห่งธรรมที่เป็นข้าศึกมีวิตกเป็นต้นครอบงำไว้ และเพราะไม่ได้ราตรีกล่าวคืออุเบกขาเวทนาที่เป็นสภาคกัน เปรียบเหมือนจันทเลขา (ดวงจันทร์) ถึงแม้มีอยู่ในกลางวัน ก็ชื่อว่าเป็นของไม่บริสุทธิ์ ไม่ผ่องใส เพราะถูกรัศมีพระอาทิตย์ครอบงำในกลางวัน หรือเพราะไม่ได้กลางคืนที่เป็นสภาคกัน โดยความเป็นของที่มีอุปการะแก่ตน โดยความเป็นของสวยงาม ฉะนั้น.
               ก็เมื่อตัตรมัชฌัตตุเปกขานั้นไม่บริสุทธิ์ ธรรมทั้งหลายมีสติเป็นต้น แม้ที่เกิดร่วมกัน ก็เป็นธรรมชาติไม่บริสุทธิ์แท้ เหมือนรัศมีแห่งดวงจันทร์ที่ไม่บริสุทธิ์ในกลางวันฉะนั้น.
               เพราะเหตุนั้น ฌานแม้อย่างหนึ่งในบรรดาปฐมฌานเป็นต้นเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ตรัสว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา ส่วนในจตุตถฌานนี้ ดวงจันทร์กล่าวคือตัตรมัชฌัตตุเปกขานี้ เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เพราะไม่ถูกเดชแห่งธรรมที่เป็นข้าศึกมีวิตกเป็นต้นครอบงำ และเพราะได้กลางคืน คืออุเบกขาเวทนาที่เป็นสภาคกัน. เพราะความที่ตัตรมัชฌัตตุเปกขานั้นเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ ธรรมทั้งหลายมีสติเป็นต้น แม้ที่เกิดร่วมกันก็เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ดุจรัศมีแห่งดวงจันทร์ที่บริสุทธิ์ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น จตุตถฌานนี้เท่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา.
               บทว่า จตุตฺถํ คือเป็นที่ ๔ ตามลำดับแห่งการคำนวณ. ฌานนี้ชื่อว่าที่ ๔ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรบรรลุเป็นครั้งที่ ๔.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๘๓/หน้า ๓๕๒.
               [ตติยฌานมีองค์ ๕ จตุตถฌานมีองค์ ๓]               
              ในคำว่า ฌานํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้คือ :-
               ตติยฌานมีองค์ ๕ ด้วยองค์ทั้งหลายมีอุเบกขาเป็นต้นฉันใด จตุตถฌานนี้ก็มีองค์ ๓ ด้วยองค์ทั้งหลาย มีอุเบกขาเป็นต้นฉันนั้น. เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อุเบกขา (ความวางเฉย) สติ (ความระลึกได้) เอกัคคตาแห่งจิต (ความที่จิตมีอารมณ์เดียว) ชื่อว่า ฌาน ดังนี้.๑- อันนั้นเป็นนัยทางอ้อมเท่านั้น. แต่โดยนัยทางตรง จตุตถฌานนี้ เว้นองค์คือสติเสีย เพราะถือเอาองค์คืออุเบกขาเวทนานั่นแล จึงประกอบด้วยองค์ ๒ เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ฌานประกอบด้วยองค์ ๒ คือ อุเบกขา และเอกัคคตาแห่งจิต มีอยู่ในสมัยนั้นเป็นไฉน?๒-
               คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั้นแล.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๘๕/หน้า ๓๕๒. ๒- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๗๑๔/หน้า ๓๕๗. กถาว่าด้วยจตุตถฌาน จบ. 
               [อรรถาธิบายฌาน ๔ ของบุคคล ๕ ประเภท]               
              ฌาน ๔ อย่างเหล่านี้ดังพรรณนามานี้ ของบุคคลบางพวกมีความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเป็นประโยชน์ ของคนบางพวกเป็นบาทแห่งวิปัสสนา ของคนบางพวกเป็นบาทแห่งอภิญญา ของคนบางพวกเป็นบาทแห่งนิโรธ ของคนบางพวกมีการก้าวลงสู่ภพเป็นประโยชน์.
               บรรดาบุคคล ๕ ประเภทเหล่านั้น ฌานทั้ง ๔ ของพระขีณาสพทั้งหลายมีความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเป็นประโยชน์.
               จริงอยู่ พระขีณาสพเหล่านั้นตั้งใจไว้อย่างนี้ว่า เราเข้าฌานแล้ว มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง จักอยู่เป็นสุขตลอดวัน ดังนี้
 แล้วทำบริกรรมในกสิณให้สมาบัติทั้ง ๘ เกิดขึ้น.
               ฌานทั้งหลายของเหล่าพระเสขะและปุถุชนผู้ออกจากสมาบัติแล้วตั้งใจไว้ว่า เรามีจิตตั้งมั่นแล้ว จักเห็นแจ้ง แล้วให้เกิดขึ้น จัดว่าเป็นบาทแห่งวิปัสสนา.
               ส่วนบุคคลเหล่าใด ให้สมาบัติทั้ง ๘ เกิดขึ้นแล้ว จึงเข้าฌานที่มีอภิญญาเป็นบาท แล้วออกจากสมาบัติ ปรารถนาอภิญญา มีนัยดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า แม้เป็นคนๆ เดียว กลับเป็นมากคนก็ได้๑- ดังนี้ จึงให้เกิดขึ้น ฌานทั้งหลายของบุคคลเหล่านั้น ย่อมเป็นบาทแห่งอภิญญา.
               ส่วนบุคคลเหล่าใด ให้สมาบัติทั้ง ๘ เกิดขึ้น จึงเข้านิโรธสมาบัติ แล้วตั้งใจไว้ว่า เราจักเป็นผู้ไม่มีจิตบรรลุนิโรธนิพพาน อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมเทียว ตลอดเจ็ดวัน     แล้วให้ฌานเกิดขึ้น ฌานทั้งหลายของบุคคลเหล่านั้น ย่อมเป็นบาทแห่งนิโรธ.
               ส่วนบุคคลเหล่าใด ให้สมาบัติทั้ง ๘ เกิดขึ้นแล้ว ตั้งใจไว้ว่า เราเป็นผู้มีฌานไม่เสื่อม จักเกิดขึ้นในพรหมโลก แล้วให้ฌานเกิดขึ้น ฌานทั้งหลายของบุคคลเหล่านั้น มีการก้าวลงสู่ภพเป็นประโยชน์.
               ก็จตุตถฌานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เกิดขึ้นแล้ว ณ โคนต้นโพธิพฤกษ์ จตุตถฌานนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ได้เป็นบาทแห่งวิปัสสนาด้วย เป็นบาทแห่งอภิญญาด้วย เป็นบาทแห่งนิโรธด้วย บันดาลกิจทั้งปวงให้สำเร็จด้วย บัณฑิตพึงทราบว่า อำนวยให้คุณทั้งที่เป็นโลกิยะ ทั้งที่เป็นโลกุตระทุกอย่าง. ๑- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๐๐/หน้า ๒๑๗.

หน้า ๑๐/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

  กถาว่าด้วยปฐมฌาณ   

                 บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงคุณวิเศษ ตั้งต้นแต่ปฐมฌาน มีวิชชา ๓ เป็นที่สุดที่พระองค์ได้บรรลุแล้วด้วยปฏิปทานี้ จึงตรัสว่า โส โข อหํ ดังนี้เป็นต้น.
               ในบรรดาบทเหล่านั้น ใจความแห่งบทเป็นต้นว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในวิภังค์นั่นแล
 โดยนัยเป็นต้นว่า บรรดากามและอกุศลธรรมเหล่านั้น กามเป็นไฉน? คือความพอใจ ชื่อว่า กาม, ความกำหนัด ชื่อว่า กาม, ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ชื่อว่า กาม, ความดำริ ชื่อว่า กาม, ความกำหนัด ชื่อว่า กาม, ความกำหนัดด้วยอำนาจความดำริ ชื่อว่า กาม, เหล่านี้เราเรียกว่า กาม,               บรรดากามและอกุศลธรรมเหล่านั้น อกุศลธรรมเป็นไฉน? คือ ความพอใจด้วยอำนาจแห่งความใคร่ ความพยาบาท ความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม ความฟุ้งซ่านและรำคาญ ความลังเลสงสัย, เหล่านี้เราเรียกว่า อกุศลธรรม,
               พระโยคาวจรเป็นผู้สงัดแล้ว คือเงียบแล้วจากกามเหล่านี้ และจากอกุศลธรรมเหล่านี้ ดังกล่าวมาฉะนี้, เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรนั้นเราเรียกว่า สงัดแล้วเทียวจากกามทั้งหลาย สงบแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย๑- ดังนี้ แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น ใจความ (แห่งบทเหล่านั้น) เว้นอรรถกถานัยเสีย จะปรากฏด้วยดีไม่ได้ ข้าพเจ้าจักประกาศใจความนั้น ตามอรรถกถานัยนั่นแล ต่อไป :-
               ข้อนี้อย่างไรเล่า?
               อย่างนี้คือ สองบทว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ แปลว่า สงัดแล้ว 
คือหลีกเว้นจากจากกามทั้งหลาย.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๕๑ บาลีเดิมไม่มี ปวิวิตฺโต.
               [อธิบาย เอว อักษร]               
              ก็ เอว อักษรนี้ ในบทว่า วิวิจฺเจว นี้ พึงทราบว่า มีความกำหนดเป็นอรรถ. ก็เพราะ เอว อักษร มีความกำหนดเป็นอรรถนั้น, ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงความที่กามทั้งหลาย แม้ไม่มีอยู่ในเวลาเข้าปฐมฌานนั้น ก็เป็นข้าศึกแก่ปฐมฌานนั้น และการจะบรรลุปฐมฌานนั้นได้ ก็ด้วยการสละกามนั่นแล.
               ถามว่า ข้อนั้น คืออย่างไร?
               แก้ว่า คือ สงัดแล้วเทียวจากกามทั้งหลาย.
               อธิบายว่า จริงอยู่ เมื่อทำความนิยมไว้อย่างนั้น คำนี้ย่อมปรากฏชัดว่ากามทั้งหลายย่อมเป็นข้าศึกต่อฌานนี้ อย่างแน่นอน, เมื่อกามเหล่าใดยังมีอยู่ ปฐมฌานนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดุจเมื่อมีมืด แสงประทีปก็ไม่มีฉะนั้น และการบรรลุปฐมฌานนั้นจะมีได้ก็ด้วยการสละกามเหล่านั้นเสียได้ เปรียบเหมือนการ
ไปถึงฝั่งโน้นได้ ก็ด้วยการละฝั่งนี้ฉะนั้น, 
เพราะฉะนั้น ท่านจึงทำความกำหนดไว้.
               ในคำว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ นั้น พึงมีคำถามว่า ก็เพราะเหตุไร? พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส เอว อักษรนั่นไว้เฉพาะบทต้นเท่านั้น ไม่ตรัสไว้ในบทหลังเล่า, พระโยคาวจรแม้ไม่สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ก็พึงได้บรรลุฌานอยู่หรือ?
               แก้ว่า ก็แล เอว อักษร ที่เป็นอวธารณะนั้น บัณฑิตไม่ควรเห็นอย่างนั้น. เพราะว่า เอว อักษรนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในบทต้น ก็เพราะฌานเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามนั้น. แท้จริงฌานนี้ชื่อว่าสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลายทีเดียว เพราะก้าวล่วงกามธาตุเสียได้ และเพราะเป็นข้าศึกต่อกามราคะ. เหมือนดังที่พระสารีบุตรกล่าวไว้ว่า ฌาน คือเนกขัมมะนี้
นั่น สลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย๑- ดังนี้.
               อัน เอว อักษรนั่นบัณฑิตควรกล่าวไว้แม้ในบทหลัง เหมือนอย่างเอว อักษร ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำมาตรัสไว้ในคำนี้ว่า 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 
สมณะที่ ๑ มีอยู่ในศาสนานี้ทีเดียว, สมณะที่ ๒ มีอยู่ในศาสนานี้๒- ดังนี้เป็นต้น ฉะนั้น.               จริงอยู่ ใครๆ ไม่สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลายกล่าวคือนิวรณ์ แม้อื่นจากกามฉันท์นี้ ไม่อาจจะบรรลุฌานอยู่ได้เลย., เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงเห็นความนิยมนี้ แม้ในบททั้งสองอย่างนี้ว่า พระโยคาวจรสงัดแล้วเทียวจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วเทียวจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ดังนี้.
               อนึ่ง วิเวกแม้ทั้งหมดมีตทังควิเวกและกายวิเวกเป็นต้น ย่อมถึงความสงเคราะห์เข้าแม้ในบททั้งสอง ด้วยคำที่เป็นสาธารณะนี้ว่า วิวิจฺจ แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น ในอธิการนี้ ก็ควรเห็นวิเวกเพียง ๓ เท่านั้น คือ กายวิเวก จิตตวิเวก วิกขัมภนวิเวก. ก็พวกวัตถุกาม ที่พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ในนิเทศ โดยนัยเป็นต้นว่า๓-
               วัตถุกามเป็นไฉน? คือรูปอันเป็นที่ชอบใจ และพวกกิเลสกามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในวิภังค์ในนิเทศนั้นนั่นแล โดยนัยเป็นต้นว่า ความพอใจ ชื่อว่า กาม๔- แม้ทั้งหมดเหล่านั้น บัณฑิตพึงเห็นว่า ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยบทว่า กาเมหิ นี้แล. ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น สองบทว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ ความหมายว่า สงัดแล้วเทียว แม้จากวัตถุกามทั้งหลาย ดังนี้ก็ใช้ได้. กายวิเวกย่อมเป็นอันท่านกล่าวแล้ว ด้วยความสงัดจากวัตถุกามนั้น.
๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๗๓๙. ๒- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๒๔๑.
๓- ขุ. มหา. เล่ม ๒๙/ข้อ ๒      ๔- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๕๑
               หลายบทว่า วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ ความหมายว่า สงัดแล้วจากกิเลสกามทั้งหลาย หรือจากอกุศลธรรมทั้งปวง ดังนี้ ก็ใช้ได้. จิตตวิเวกย่อมเป็นอันท่านกล่าวแล้ว ด้วยความสงัดจากกิเลสกาม หรือจากอกุศลธรรมทั้งปวงนั้น.
               ก็บรรดากายวิเวกและจิตตวิเวก ๒ อย่างนี้ ความสละกามสุขเป็นอันท่านประกาศแล้ว ด้วยกายวิเวกข้อต้น เพราะกล่าวถึงความสงัดจากวัตถุกามทั้งหลายนั่นเอง, ความประคองเนกขัมมสุข เป็นอันท่านประกาศแล้วด้วยจิตตวิเวกข้อที่ ๒ เพราะกล่าวถึงความสงัดจากกิเลสกามทั้งหลาย.
               อนึ่ง บรรดาบททั้ง ๒ ตามที่กล่าวแล้วนั้น การละสังกิเลสวัตถุพึงรู้ว่าท่านประกาศแล้ว ด้วยบทแรก, การละสังกิเลส พึงรู้ว่า ท่านประกาศแล้วด้วยบทที่ ๒. การละเหตุแห่งความอยาก พึงรู้ว่า ท่านประกาศแล้วด้วยบทแรก, การละเหตุแห่งความโง่เขลา พึงรู้ว่า ท่านประกาศแล้วด้วยบทที่ ๒, ความบริสุทธิ์แห่งการประกอบความเพียร พึงรู้ว่า ท่านประกาศแล้วด้วยบทแรก, และความกล่อมเกลาอัธยาศัย พึงรู้ว่า ท่านประกาศแล้วด้วยบทที่ ๒ เพราะกล่าวถึงความสงัดจากวัตถุกามและกิเลสกามนั่นแล ดังพรรณนามาฉะนี้.
               บรรดากามตามที่กล่าวในบทว่า กาเมหิ นี้ ในฝ่ายวัตถุกามมีนัยเท่านี้ก่อน. ส่วนในฝ่ายกิเลส กามฉันท์นั่นเอง ซึ่งมีประเภทมากมาย ท่านประสงค์ว่า กาม โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ฉันทะ ชื่อว่ากาม และว่า ราคะ ชื่อว่ากาม. ก็กามฉันท์นั้นถึงเป็นของนับเนื่องในอกุศลก็ตาม พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้ในคัมภีร์วิภังค์แผนกหนึ่ง เพราะเป็นข้าศึกต่อฌาน โดยนัยเป็นต้น
ว่า บรรดากามและอกุศลธรรมเหล่านั้น ความพอใจด้วยอำนาจแห่งความใคร่ เป็นไฉน? คือ กาม ดังนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง กามฉันท์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในบทต้น เพราะเป็นกิเลสกาม. ตรัสไว้ในบทที่ ๒ เพราะเป็นกามนับเนื่องในอกุศล.
               อนึ่ง ไม่ได้ตรัสว่า กามโต แต่ตรัสว่า กาเมหิ เพราะกามฉันท์นั้นมีประเภทมากมาย. ก็เมื่อความที่ธรรมทั้งหลายแม้เหล่าอื่นซึ่งเป็นอกุศลยังมีอยู่.
               นิวรณ์ทั้งหลายเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์วิภังค์ เพราะทรงแสดงความที่นิวรณ์เป็นข้าศึกโดยตรงต่อองค์ฌานชั้นสูงขึ้นไป โดยนัยเป็นต้นว่า บรรดากามและอกุศลธรรมเหล่านั้น อกุศลธรรมเป็นไฉน? คือความพอใจด้วยอำนาจแห่งความใคร่ ดังนี้.
               จริงอยู่ นิวรณ์ทั้งหลายย่อมเป็นข้าศึกโดยตรงต่อองค์ฌาน. มีคำอธิบายว่า องค์ฌานทั้งหลายเท่านั้นเป็นปฏิปักษ์ คือเป็นเครื่องกำจัดนิวรณ์เหล่านั้น.
               จริงอย่างนั้น พระมหากัจจายนเถระก็ได้กล่าวไว้ในเปฏกปกรณ์ว่า สมาธิเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันท์ ปีติเป็นปฏิปักษ์ต่อพยาบาท วิตกเป็นปฏิปักษ์ต่อถีนมิทธะ สุขเป็นปฏิปักษ์ต่ออุทธัจจกุกกุจจะ วิจารเป็นปฏิปักษ์ต่อวิจิกิจฉา.
               บรรดาบททั้ง ๒ นี้ ความสงัดด้วยอำนาจการข่มกามฉันท์ไว้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ด้วยบทนี้ว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ. ความสงัดด้วยอำนาจการข่มนิวรณ์แม้ทั้ง ๕ ไว้เป็นอันพระองค์ตรัสด้วยบทนี้ว่า วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ โดยนัยดังกล่าวมาฉะนี้.
               อนึ่ง ความสงัดด้วยอำนาจการข่มกามฉันท์ไว้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยบทแรก ด้วยศัพท์ที่ท่านมิได้ถือเอา, ความสงัดด้วยอำนาจการข่มนิวรณ์ที่เหลือไว้ เป็นอันตรัสด้วยบทที่ ๒.
               อนึ่ง บรรดาอกุศลมูลทั้ง ๓ ความสงัดด้วยอำนาจการข่มโลภะอันมีความต่างแห่งปัญจกามคุณเป็นอารมณ์ เป็นอันตรัสไว้ด้วยบทแรก, ความสงัดด้วยอำนาจการข่มโทสะและโมหะ อันมีชนิดแห่งอาฆาตวัตถุเป็นต้นเป็นอารมณ์ เป็นอันตรัสไว้ด้วยบทที่ ๒.
               อีกอย่างหนึ่ง บรรดาธรรมทั้งหลายมีโอฆะเป็นต้น ความสงัดด้วยอำนาจการข่มสังโยชน์ คือกามโอฆะ กามโยคะ กามาสวะ กามุปาทาน อภิชฌากายคัณฐะและกามราคะไว้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยบทแรก. ความสงัดด้วยอำนาจการข่มสังโยชน์ คือโอฆะ โยคะ อาสวะ อุปาทานและคัณฐะที่เหลือไว้ ย่อมเป็นอันพระองค์ตรัสด้วยบทที่ ๒.
               อนึ่ง ความสงัดด้วยอำนาจการข่มตัณหา และกิเลสที่สัมปยุตด้วยตัณหานั้นไว้ เป็นอันพระองค์ตรัสด้วยบทแรก, ความสงัดด้วยอำนาจการข่มอวิชชา และกิเลสที่สัมปยุตด้วยอวิชชานั้นไว้ เป็นอันพระองค์ตรัสด้วยบทที่ ๒.
               อีกอย่างหนึ่ง ความสงัดด้วยอำนาจการข่มจิตตุปบาท ๘ ดวงที่สัมปยุตด้วยโลภะไว้ พึงทราบว่า เป็นอันพระองค์ตรัสด้วยบทแรก, ความสงัดด้วยอำนาจการข่มอกุศลจิตตุปบาท ๔ ดวงที่เหลือไว้ พึงทราบว่า เป็นอันพระองค์ตรัสด้วยบทที่ ๒.
               การประกาศเนื้อความในคำว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ นี้ มีเพียงเท่านี้ก่อน.
               [อรรถาธิบายองค์ ๕ แห่งปฐมฌาน]               
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงองค์สำหรับละแห่งปฐมฌานด้วยคำมีประมาณเพียงเท่านี้แล้ว คราวนี้ เมื่อจะทรงแสดงองค์ประกอบ จึงตรัสคำมีอาทิว่า เป็นไปกับด้วยวิตก เป็นไปกับด้วยวิจาร.
               ในพากย์ว่า เป็นไปกับด้วยวิตก เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ความตรึก ชื่อว่า วิตก, ท่านอธิบายว่า ความดำริ, วิตกนี้นั้น มีความกดเฉพาะซึ่งจิตในอารมณ์เป็นลักษณะ มีการจดและจดโดยรอบเป็นรส.
               จริงอย่างนั้น พระโยคาวจร ท่านเรียกว่า ทำอารมณ์ให้เป็นธรรมชาติอันวิตกจดแล้วและจดโดยรอบแล้วด้วยวิตกนั้น. วิตกนั้นมีอันนำมาซึ่งจิตในอารมณ์เป็นปัจจุปัฏฐาน. ความตรอง ชื่อว่า วิจาร, 
               ท่านอธิบายว่า การที่จิตท่องเที่ยวเรื่อยไป. วิจารนี้นั้นมีกา เคล้าอารมณ์เป็นลักษณะ มีอันประกอบเนืองๆ ซึ่งสหชาตธรรมในอารมณ์นั้นเป็นรส มีการตามผูกพันแห่งจิตเป็นปัจจุปัฏฐาน.               
              ก็เมื่อเความไม่พรากจากกันแห่งวิตกวิจารเหล่านั้นในจิตตุปบาทลางขณะ แม้มีอยู่ วิตกก็คือการตกไปเฉพาะอารมณ์ครั้งแรกของใจ ดุจเสียงเคาะระฆัง เพราะหมายความว่าเป็นสภาพที่หยาบ และเพราะความหมายว่าเป็นสภาพเริ่มก่อน. วิจารก็คือการที่จิตตามผูกพันติดต่อ ดุจเสียงครวญของระฆัง เพราะหมายความว่าเป็นสภาพที่ละเอียด.
               ก็ในวิตกวิจารเหล่านี้ วิตกมีการแผ่ไป (หรือสั่นสะเทือน) เป็นความไหวตัวของจิต (ในเวลาที่เกิดความคิดขึ้นครั้งแรก) ดุจการกระพือปีกของนก ซึ่งต้องการจะบินขึ้นไปในอากาศ และดุจการโผลงตรงดอกบัวหลวงของแมลงผึ้ง ซึ่งมีใจจดจ่ออยู่ที่กลิ่น,
               วิจารมีความเป็นไปสงบ มิใช่ความไหวตัวอย่างแรงของจิต ดุจการกางปีกของนกซึ่งบินไปแล้วในอากาศ และดุจการบินร่อนอยู่ในส่วนเบื้องบนดอกบัวหลวงของแมลงผึ้ง ซึ่งโผลงบ่ายหน้าสู่ดอกบัวหลวงฉะนั้น.
               ส่วนความแปลกกันแห่งวิตกวิจารเหล่านั้น จะปรากฏในปฐมฌานและทุติยฌาน.              ฌานนี้ย่อมเป็นไปกับด้วยวิตกนี้และด้วยวิจารนี้ ดุจต้นไม้ย่อมเป็นไปด้วยดอกและผลฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น ฌานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นไปกับด้วยวิตก เป็นไปกับด้วยวิจาร. แต่ในคัมภีร์วิภังค์พระองค์ทรงทำเทศนาเป็นบุคลาธิษฐานโดยนัยเป็นต้นว่า               ภิกษุเป็นผู้เข้าถึงแล้ว เข้าถึงพร้อมแล้ว ด้วยวิตกนี้ และด้วยวิจารนี้๑- ถึงเนื้อความแม้ในคัมภีร์วิภังค์นั้น ก็พึงเห็นเหมือนอย่างนี้แหละ.
               ในบทว่า วิเวกชํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:-
               ความสงัด ชื่อว่า วิเวก. อธิบายว่า ความปราศจากนิวรณ์. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมที่สงัดจากนิวรณ์ ชื่อว่าวิเวก เพราะอรรถว่า สงัดแล้ว. อธิบายว่า กองแห่งธรรมอันสัมปยุตด้วยฌาน. ปีติและสุขเกิดจากวิเวกนั้น หรือเกิดในวิเวกนั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า วิเวกชํ.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๕๒.
               [อรรถาธิบายองค์ฌาน คือปีติและสุข]               
              ธรรมชาติที่ชื่อว่า ปีติ เพราะอรรถว่า ทำให้เอิบอิ่ม. ปีตินั้นมีความปลาบปลื้มเป็นลักษณะ มีความอิ่มกายและจิตเป็นรส, อีกอย่างหนึ่ง มีความแผ่ไปเป็นรส มีความเบิกบานใจเป็นปัจจุปัฏฐาน. ความสบาย ชื่อว่า ความสุข. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาติที่ชื่อว่า ความสุข เพราะอรรถว่า ย่อมเคี้ยวกินและขุดเสียด้วยดี ซึ่งอาพาธทางกายและจิต. ความสุขนั้นมีความสำราญเป็นลักษณะ มีอันเข้าไปพอกพูนซึ่งธรรมที่สัมปยุตด้วยความสุขนั้นเป็นรส มีความอนุเคราะห์เป็นเครื่องปรากฏ.
               ก็เมื่อความไม่พรากจากกันแห่งปีติและสุขเหล่านั้นในจิตตุปบาทลางขณะ แม้มีอยู่ ปีติ คือความยินดีด้วยการได้อิฏฐารมณ์, สุข คือความเสวยรสแห่งอารมณ์ที่ตนได้แล้ว. ปีติ มีอยู่ในจิตตุปบาทใด สุข ก็มีอยู่ในจิตตุปบาทนั้น. สุข มีอยู่ในจิตตุปบาทใด, ในจิตตุปบาทนั้น โดยความนิยม ไม่มีปีติ.
               ปีติ ท่านสงเคราะห์เข้าเป็นสังขารขันธ์, สุข ท่านสงเคราะห์เข้าเป็นเวทนาขันธ์, ปีติ เปรียบเหมือนความอิ่มใจของบุคคลผู้เหน็ดเหนื่อยในทางกันดาร เพราะได้เห็นและได้ฟังว่ามีป่าไม้และมีน้ำ, สุข เปรียบเหมือนความสบายใจของบุคคลผู้เหน็ดเหนื่อยในทางกันดาร เพราะได้เข้าไปสู่ร่มเงาแห่งป่าไม้และได้บริโภคน้ำ ฉะนั้น. บัณฑิตพึงทราบสันนิษฐานว่า ก็คำที่พระอาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า ปีติ คือ ความยินดีด้วยการได้อิฏฐารมณ์เป็นต้นนั้น ก็เพราะมีปีติปรากฏอยู่ ในสมัยนั้นๆ. ปีตินี้ด้วย สุขนี้ด้วย มีอยู่แก่ฌานนั้นหรือมีอยู่ในฌานนั้น เพราะเหตุนั้น ฌานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปีติสุขํ.
               อีกอย่างหนึ่ง ปีติด้วย สุขด้วย ชื่อว่าปีติและสุข เหมือนธรรมและวินัยเป็นต้นฉะนั้น. ปีติและสุข เกิดแต่วิเวก มีอยู่แก่ฌานนั้น หรือมีอยู่ในฌานนั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าปีติและสุข เกิดแต่วิเวก แม้ดังพรรณนามาฉะนี้. เหมือนอย่างว่า ฌานเกิดแต่วิเวกฉันใด, ก็ในฌานนี้ ปีติและสุขย่อมเป็นของเกิดแต่วิเวกเหมือนกันฉันนั้น.
               อนึ่ง ปีติและสุขนั้น มีอยู่แก่ฌานนั้น เพราะเหตุ๑- ดังนี้นั้น จะกล่าวรวมด้วยบทเดียวกันเลยว่า วิเวกช ปีติสุขํ ดังนี้บ้าง ก็ใช้ได้. แต่ในคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปีติสุขนั่นไว้โดยนัยเป็นต้นว่า สุขนี้ สหรคตด้วยปีตินี้๒- ดังนี้. ก็เนื้อความแม้ในคัมภีร์วิภังค์นั้น พึงเห็นเหมือนอย่างนี้แล.
๑- วิสุทธิมรรค. ๑/๑๘๕. ไม่มี อิติ. ๒- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๕๔.
               [ฌานย่อมเผาผลาญธรรมที่เป็นข้าศึก]               
              บทว่า ปฐมํ คือเป็นทีแรก เพราะเป็นลำดับแห่งการคำนวณ. ฌานนี้ ชื่อว่า ทีแรก เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรบรรลุเป็นครั้งแรก. คุณธรรม ชื่อว่า ฌาน เพราะอรรถว่า เผาธรรมที่เป็นข้าศึก (มีนิวรณ์เป็นต้น). พระโยคีทั้งหลายย่อมเผา (ธรรมที่เป็นข้าศึกมีนีวรณ์เป็นต้นนั้น) ด้วยฌานนี้ แม้เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า ฌาน. อธิบายว่า พระโยคีทั้งหลายย่อมเผาธรรมที่เป็นข้าศึก หรือย่อมคิดถึงโคจร (คืออารมณ์สำหรับหน่วงมีกสิณเป็นต้น). อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ฌาน เพราะอรรถว่า เพ่ง คือเข้าไปเพ่งอารมณ์นั้นเสียเอง เพราะเหตุนั้นนั่นแล ฌานนั้น ท่านจึงเรียกว่า มีอันเข้าไปเพ่งเป็นลักษณะ.
               [ฌานมี ๒ นัย]               
               ฌานนี้นั้น มีอยู่ ๒ อย่างคือ อารัมมณูปนิชฌาน (เข้าไปเพ่งอารมณ์) ลักขณูปนิชฌาน (เข้าไปเพ่งลักษณะ). บรรดาฌานทั้ง ๒ นั้น สมาบัติ ๘ พร้อมด้วยอุปจาร ท่านเรียกว่า อารัมมณูปนิชฌาน.
               ถามว่า เพราะเหตุไร?
               แก้ว่า เพราะเข้าไปเพ่งอารมณ์คือกสิณ.
               วิปัสสนามรรคและผล ท่านเรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน.
               ถามว่า เพราะเหตุไร?
               แก้ว่า เพราะเข้าไปเพ่งลักษณะ.
               จริงอยู่ บรรดาวิปัสสนามรรคและผลเหล่านี้ วิปัสสนาย่อมเข้าไปเพ่งไตรลักษณ์มีอนิจจลักษณะเป็นต้น. ก็กิจคือการเข้าไปเพ่ง ด้วยวิปัสสนาย่อมสำเร็จด้วยมรรค เพราะเหตุนั้น มรรคท่านเรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน. ส่วนผล ท่านก็เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะอรรถว่า เข้าไปเพ่งลักษณะที่แท้จริงแห่งนิโรธ. แต่ในอรรถนี้ ท่านประสงค์เอาอารัมมณูปนิชฌานเท่านั้นว่า ฌาน.
               ในอธิการว่าด้วยฌานนี้ พระอาจารย์ผู้โจทก์ท้วงว่า ชื่อว่าฌานที่ควร จะพึงอ้างถึงอย่างนี้ว่า เป็นไปกับด้วยวิตก เป็นไปกับด้วยวิจาร ฯลฯ มีปีติและสุข ดังนี้ นั้นเป็นไฉนเล่า?
               ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :-
               เปรียบเหมือนบุรุษคนอื่นเว้นทรัพย์และปริชนเสีย ย่อมเป็นผู้ไม่สมควรภาวะที่จะพึงอ้างถึงในประโยคมีอาทิว่า ผู้มีทรัพย์ ผู้มีปริชน ฉันใด ฌานอื่น เว้นธรรมมีวิตกเป็นต้นเสีย ควรจะพึงอ้างถึง ย่อมไม่มี ฉันนั้น. เหมือนอย่างว่า การสมมติว่าเสนา ในองค์เสนาทั้งหลายที่ชาวโลกกล่าวว่า เสนา มีพลรถ มีพลเดินเท้า ดังนี้นั่นแล บัณฑิตควรทราบฉันใด ในอธิการนี้ก็ควรทราบ การสมมติว่าฌาน ในองค์ ๕ นั้นแลฉันนั้น.
               ควรทราบในองค์ ๕ เหล่าไหน? ในองค์ ๕ เหล่านี้ คือ วิตก ความตรึก วิจาร ความตรอง ปีติ ความอิ่มใจ สุข 
ความสบายใจ จิตเตกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เดียว.
               จริงอยู่ องค์ ๕ เหล่านี้แหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยความเป็นองค์แห่งฌานนั้น โดยนัยมีอาทิว่า เป็นไปกับด้วยวิตก เป็นไปกับด้วยวิจาร.
               ถ้าหากพระอาจารย์ผู้โจทก์พึงท้วงว่า เอกัคคตา (ความที่จิตมีอารมณ์เดียว) จัดเป็นองค์ (แห่งฌาน) ไม่ได้ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ (ในบาลีแห่งฌาน) มิใช่หรือ?
               แก้ว่า ก็คำที่ท่านกล่าวนั้น ย่อมไม่ถูก.
               ถามว่า เพราะเหตุอะไร?
               แก้ว่า เพราะจิตเตกัคคตาแม้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ในบาลีแห่งฌานนั่นเอง.
               จริงอยู่ จิตเตกัคคตาแม้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แน่นอนในคัมภีร์วิภังค์อย่างนี้ว่า วิตก วิจาร ปีติ สุข จิตเตกัคคตา ชื่อว่า ฌาน.๑- เพราะฉะนั้น คำที่ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นไปกับด้วยวิตก เป็นไปกับด้วยวิจาร ดังนี้ ฉันใด แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ในอธิการนี้ว่า สจิตเตกัคคตา แม้จิตเตกัคคตา ก็ควรทราบว่า เป็นองค์ (แห่งฌาน) ทีเดียว ตามพระบาลีในคัมภีร์วิภังค์นี้ ฉันนั้น.
               จริงอยู่ อุเทศ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำไว้แล้วด้วยพระประสงค์ใด อุเทศนั้นนั่นเอง ก็เป็นอันพระองค์ทรงประกาศไว้แล้ว 
แม้ในคัมภีร์วิภังค์ ด้วยพระประสงค์นั้นแล.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๕๓.
               [ความหมายแห่งอุปสัมปัชชศัพท์]               
               บทว่า อุปสมฺปชฺช แปลว่า เข้าไปใกล้แล้ว. ท่านอธิบายว่าบรรลุแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง ท่านอธิบายว่า ให้เข้าถึงพร้อมแล้ว คือให้สำเร็จแล้ว.
               แต่ในคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า บทว่า อุปสมฺปชฺช คือความได้ ความกลับได้ ความถึง ความถึงพร้อม ความถูกต้อง ความทำให้แจ้ง ความบรรลุ ซึ่งปฐมฌาน.๑- เนื้อความแห่งคำแม้นั้น 
ก็พึงทราบเหมือนอย่างนั้นแล.
               บทว่า วิหาสึ ความว่า เราเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยฌานมีประการดังกล่าวแล้วอย่างนี้ จึงยังการสืบเนื่องกัน การประพฤติเป็นไป การรักษา การเป็นไป การให้เป็นไป การเที่ยวไป การพักอยู่แห่งอัตภาพให้สำเร็จ ด้วยอิริยาบถวิหาร กล่าวคือการนั่งอยู่ ณ โพธิมัณฑ์.
               ข้อนี้ สมจริงดังที่พระองค์ตรัสไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่า บทว่า วิหรติ ความว่า สืบเนื่องกันอยู่ ประพฤติเป็นไปอยู่ รักษาอยู่ เป็นไปอยู่ ให้เป็นไปอยู่ เที่ยวไปอยู่ พักอยู่ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงเรียกว่า พักอยู่.๒-
               ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำอะไร จึงทรงเข้าฌานนี้อยู่?
               แก้ว่า ทรงเจริญกรรมฐาน.
               ถามว่า ทรงเจริญกรรมฐานอะไร?
               แก้ว่า ทรงเจริญอานาปานสติกรรมฐาน.
               ถามว่า คนอื่น ผู้มีความต้องการอานาปานสติกรรมฐานนั้นควรทำอย่างไร?
               แก้ว่า แม้คนอื่น ก็ควรเจริญกรรมฐานนั้น หรือบรรดากรรมฐานทั้งหลายมีปฐวีกสิณเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง.
               นัยแห่งการเจริญอานาปานสติกรรมฐานเป็นต้นเหล่านั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรคนั่นแล. ก็เมื่อข้าพเจ้าจะกล่าวนัยแห่งการเจริญไว้ในอธิการนี้ นิทานแห่งพระวินัยก็จะเป็นภาระหนักยิ่ง.
               เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะทำเพียงการประกาศเนื้อความแห่งพระบาลีเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๕๗. ๒- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๒๗.
               กถาว่าด้วยปฐมฌาน จบ.     

31 กรกฎาคม 2567

หน้า ๙/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

  [อรรถาธิบายศัพท์ต่างๆ มี เอตํ ศัพท์เป็นต้น]   

              เวรัญชพราหมณ์นั่งแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล จึงได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้า.               ด้วยบทว่า เอตํ เป็นต้น พระอาจารย์ แสดงใจความที่ควรจะกล่าวในบัดนี้.
  ท อักษร ทำการต่อบท. บทว่า อโวจ แปลว่า ได้กราบทูลแล้ว. ประชุมบทว่า สุตมฺเมตํ ตัดบทเป็น สุตํ เม ตํ แปลว่า ข้อนั้น ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว. พระอาจารย์แสดงในความที่ควรกล่าวในบัดนี้ด้วยคำว่า เอตํ มยา สุตํ เป็นต้น.
 เวรัญชพราหมณ์ย่อมทูลเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยพระโคตร ว่า โภ โคตม แปลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บัดนี้ ท่านพระอุบาลีเถระ เมื่อจะแสดงข้อความที่เวรัญชพราหมณ์นั้นได้ฟังแล้ว จึงได้กล่าวคำมีอาทิอย่างนี้ว่า น สมโณ โคตโม.
     ในคำว่า สมโณ โคตโม เป็นต้นนั้นมีการพรรณนาบทที่ไม่ง่ายดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า พฺราหฺมเณ ได้แก่ พราหมณ์โดยชาติ.
               บทว่า ชิณฺเณ ได้แก่ เป็นคนแก่คร่ำคร่า คือถูกชราส่งให้ไปถึงความเป็นผู้มีอวัยวะหักเป็นท่อนเป็นต้น.
               บทว่า วุฑฺเฒ ได้แก่ ผู้เข้าเขตแห่งความเจริญแห่งอวัยวะน้อยใหญ่.
 บทว่า มหลฺลเก คือผู้มาตามพร้อมแล้ว ด้วยความเป็นคนแก่โดยชาติ. มีคำอธิบายว่า ผู้เกิดมานานแล้ว. บทว่า อทฺธคเต ได้แก่ ผู้ผ่านกาลมานานแล้ว. อธิบายว่า ผู้ล่วงเลยมา ๒-๓ ชั่วรัชกาลแล้ว. บทว่า วโยอนุปตฺเต ได้แก่ ผู้ย่างเข้าปูนปัจฉิมวัยแล้ว. ส่วนที่ ๓ อันมีในที่สุดแห่งร้อยปี 
ชื่อว่า ปัจฉิมวัย (คือวัยสุดท้าย).
               อีกอย่างหนึ่ง ในบททั้งหลายมีบทว่า ชิณฺเณ เป็นต้นนี้ พึงทราบโยชนาอย่างนี้ว่า บทว่า ชิณฺเณ ได้แก่ ผู้เกิดก่อน. มีอธิบายว่า ผู้คล้อยตามตระกูลที่เป็นไปตลอดกาลนาน.
               บทว่า วุฑฺเฒ ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเจริญแห่งคุณมีศีลและมรรยาทเป็นต้น. บทว่า มหลฺลเก คือ ผู้มาตามพร้อมแล้ว ด้วยความเป็นผู้มีสมบัติมาก คือผู้มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก. บทว่า อทฺธคเต ได้แก่ ผู้ดำเนินไปตลอดทางแล้ว คือผู้ประพฤติไม่ก้าวล่วงเขตแดนแห่งคุณมีวัตรจริยาเป็นต้น ของพวกพราหมณ์. บทว่า วโยอนุปฺปตฺเต ได้แก่ ผู้ย่างเข้าถึงความเป็นคนแก่โดยชาติคือวัยที่สุดโต่ง.
               บัดนี้ บัณฑิตพึงประกอบบททั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า อภิวาเทติ ด้วย น อักษร ที่ท่านกล่าวไว้ในคำว่า น สมโณ โคตโม นี้ แล้วทราบตามเนื้อความอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมไม่กราบไหว้ ไม่ลุกรับ ทั้งไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จนนั่งบนอาสนะนี้.
               จริงอยู่ วาศัพท์ซึ่งมีอยู่ในเป็นต้นว่า อภิวาเทติ นี้ ย่อมเป็นไปในอรรถชื่อว่า วิภาวนะ (คือคำประกาศตามปกติของชาวโลก) ดุจวาศัพท์ในประโยคเป็นต้นว่า รูปเที่ยง หรือไม่เที่ยง.  เวรัญชพราหมณ์ ครั้นกราบทูลอย่างนั้นแล้ว ลำดับนั้น เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ไม่ทรงทำสามีจิกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้นแก่ตน จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ คำที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วนี้นั้น เป็นเช่นนั้นจริง.
               อธิบายว่า คำนั้นใดที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว, คำนั้นย่อมเป็นเช่นนั้นจริง คือข้อที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาและได้เห็นมานั้น ย่อมสมกันคือเสมอกัน ได้แก่ถึงความเป็นอย่างเดียวกันโดยความหมาย.
               เวรัญชพราหมณ์กล่าวย้ำเรื่องที่ตนได้ฟังมาพร้อมทั้งที่ตนได้เห็นมา อย่างนี้ว่า ท่านพระโคดมผู้เจริญไม่กราบไหว้ ไม่ลุกรับพวกพราหมณ์ผู้แก่ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ ผู้ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะเลย เมื่อจะตำหนิ (พระพุทธองค์) จึงกราบทูลว่า ตยิทํ โภ โคตม น สมฺปนฺนเมว ดังนี้. มีอธิบายว่า การที่พระองค์ไม่ทรงทำสามีจิกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้นนั้น ไม่สมควรเลย.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคัดค้าน]               
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงเข้าไปอาศัยโทษคือการกล่าวยกตนข่มท่าน แต่มีพระประสงค์จะทรงกำจัดความไม่รู้นั้น ด้วยพระหฤทัยที่เยือกเย็นเพราะกรุณา แล้วแสดงความเหมาะสมแก่พราหมณ์นั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทพดาและมนุษย์ เราไม่เล็งเห็นบุคคลผู้ที่เราควรกราบไหว้ ควรลุกรับ หรือควรเชื้อเชิญด้วยอาสนะ, เพราะว่าตถาคตพึงกราบไหว้ พึงลุกรับ หรือพึงเชื้อเชิญบุคคลใดด้วยอาสนะ, แม้ศีรษะของบุคคลนั้น ก็พึงตกไป.
               ในคำว่า นาหนฺตํ เป็นต้นนั้น มีเนื้อความสังเขปดังนี้คือ :-
               ดูก่อนพราหมณ์ เราแม้ตรวจดูอยู่ด้วยจักษุคือสัพพัญญุตญาณ ซึ่งไม่มีอะไรขัดขวางได้ ก็ไม่เล็งเห็นบุคคลที่เราควรกราบไหว้ ควรลุกรับ หรือควรเชื้อเชิญด้วยอาสนะ ในโลกต่างโดยประเภทมีเทวโลกเป็นต้นนี้เลย,
               อีกอย่างหนึ่ง ข้อที่เราได้บรรลุความเป็นสัพพัญญูในวันนี้ ไม่เล็งเห็นบุคคลผู้ที่ควรทำการนอบน้อมเห็นปานนั้น ไม่น่าอัศจรรย์เลย,
               อีกประการหนึ่ง แล แม้ในกาลใด เราเกิดได้ครู่หนึ่งเท่านั้น ก็ผินหน้าไปทางด้านทิศอุดร เดินไปได้ ๗ ก้าวแล้วได้ตรวจดูหมื่นโลกธาตุทั้งสิ้น, แม้ในกาลนั้น เราก็มิได้เล็งเห็นบุคคลที่เราควรกราบไหว้ ควรลุกรับ หรือควรเชื้อเชิญด้วยอาสนะ ในโลกต่างโดยประเภทมีเทวโลกเป็นต้นนี้เลย, คราวนั้นแล ถึงท้าวมหาพรหมผู้เป็นพระขีณาสพ ซึ่งมีอายุได้หนึ่งหมื่นหกพันกัป ก็ได้ประคองอัญชลี เกิดความโสมนัส ต้อนรับเราว่า ท่านเป็นมหาบุรุษในโลก, ท่านเป็นผู้เลิศ เจริญที่สุด และประเสริฐที่สุดแห่งโลก พร้อมทั้งเทวโลก, บุคคลผู้เยี่ยมกว่าท่าน ย่อมไม่มี,
               อนึ่ง แม้ในกาลนั้น เราเมื่อไม่เล็งเห็นบุคคลผู้เยี่ยมกว่าตน จึงได้เปล่งอาสภิวาจาว่า เราเป็นยอดแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก๑- ดังนี้, บุคคลผู้ที่ควรแก่สามีจิกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้นของเราแม้ผู้เกิดได้ครู่เดียว ยังไม่มี ด้วยประการฉะนี้, บัดนี้ เรานั้นได้บรรลุความเป็นสัพพัญญูแล้ว จะพึงกราบไหว้ พึงลุกรับ หรือพึงเชื้อเชิญใครด้วยอาสนะเล่า?               ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น ท่านอย่าได้ปรารถนาการทำความนอบน้อมเห็นปานนั้น จากตถาคตเลย,
               ดูก่อนพราหมณ์ เพราะว่า ตถาคตพึงกราบไหว้ พึงลุกรับ หรือพึงเชื้อเชิญบุคคลใดด้วยอาสนะ, แม้ศีรษะของบุคคลนั้นพึงขาดจากคอตกลงไปบนพื้นดิน โดยเร็วพลันทีเดียว ดุจผลตาลที่มีเครื่องผูกหย่อนเพราะแก่หง่อม หล่นจากขั้วในที่สุดแห่งราตรี ฉะนั้น.
๑- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๖.
               [เวรัญชพราหมณ์กล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่าเป็นคนไม่มีรส]              
               แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์ก็กำหนดไม่ได้ถึงข้อความที่พระตถาคตเจ้าเป็นเชษฐบุรุษในโลก เพราะทรามปัญญา ไม่ยอมอดกลั้นพระดำรัสนั้นถ่ายเดียว จึงกล่าวว่า พระโคดมผู้เจริญ เป็นคนไม่มีรส.
               ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นมีความประสงค์ดังนี้ว่า สามีจิกรรมคือการกราบไหว้ การลุกรับ และประนมมือไหว้อันใด ที่ประชาชนเรียกอยู่ในโลกว่า สามัคคีรส สามีจิกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้นนั้น ของพระโคดมผู้เจริญ ย่อมไม่มี, เพราะฉะนั้น พระโคดมผู้เจริญจึงเป็นคนไม่มีรส คือมี
พระชาติไม่มีรส มีสภาพไม่มีรส.
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะให้พราหมณ์นั้นเกิดใจอ่อน จึงทรงหลีกหนีความเป็นข้าศึกโดยตรงเสีย ทรงรับสมเนื้อความแห่งคำนั้นโดยประการอื่นในพระองค์ จึงตรัสว่า พราหมณ์ บรรยายนี้มีอยู่แล ดังนี้เป็นต้น.
               [ปริยายศัพท์ลงในอรรถ ๓ อย่าง]               
               ในคำว่า ปริยาโย เป็นต้นนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้
               การณะชื่อว่า ปริยาย.
               จริงอยู่ ปริยายศัพท์นี้ ย่อมเป็นไปในเทศนา วาระและการณะ.
               ความจริง ปริยายศัพท์นั่นย่อมเป็นไปในเทศนา ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ท่านจงทรงจำพระสูตรนั้นไว้ว่า มธุปิณฑิกเทศนา๑- ดังนี้นั่นเทียว.
               เป็นไปในวาระ ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ วันนี้เป็นวาระของใครหนอแล เพื่อโอวาทนางภิกษุณีทั้งหลาย.
               เป็นไปในการณะ ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดตรัสบอกปริยาย (เหตุ) อื่น โดยอาการที่ภิกษุสงฆ์จะพึงดำรงอยู่ในความเป็นพระอรหันต์.
               ในที่นี้ ปริยายศัพท์นี้นั้น ย่อมเป็นไปในการณะ (เหตุ).
               เพราะฉะนั้น ในบทว่า ปริยาโย นี้ พึงทราบใจความอย่างนี้ว่า
               ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลกล่าวหาเราอยู่ว่า พระโคดมผู้เจริญเป็นคนไม่มีรส ดังนี้ พึงพูดถูก คือพึงถึงความนับว่า เป็นผู้พูดไม่ผิด เพราะเหตุใด เหตุนั่นมีอยู่จริงแล.
               ถามว่า ก็ปริยาย (เหตุ) นั้น เป็นไฉน?
               แก้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ รสในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเหล่านั้นใด, รสในรูปเป็นต้นเหล่านั้น ตถาคตละได้แล้ว.
               ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอธิบายไว้อย่างไร?
               แก้ว่า ตรัสอธิบายไว้อย่างนี้ คือ รสในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กล่าวคือความยินดีในกามสุขเหล่านั้นใด ย่อมเกิดขึ้นแก่ปุถุชนทั้งหลาย แม้ผู้ที่ชาวโลกสมมติว่า เป็นผู้ประเสริฐ ด้วยอำนาจชาติ หรือด้วยอำนาจความอุบัติ ผู้ยังยินดี เพลิดเพลิน กำหนัดในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปารมณ์เป็นต้น, รสเหล่าใด ย่อมฉุดรั้งโลกนี้ไว้เหมือนผูกที่คอ และบัณฑิตเรียกว่า สามัคคีรส เพราะเมื่อมีความพร้อมเพรียงกันแห่งวัตถุและอารมณ์เป็นต้น ก็เกิดขึ้นได้ รสเหล่านั้นแม้ทั้งหมด พระตถาคตละได้แล้ว.
               แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าควรจะตรัสว่า อันเราละได้แล้ว ก็ทรงแสดงธรรม ไม่ยกพระองค์ขึ้นข่มด้วยมมังการ. อีกนัยหนึ่ง นั่นเป็นความวิลาสแห่งเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
๑- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๔๓
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละรสในรูปเป็นต้นได้เด็ดขาด]               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหีนา ความว่า รสในรูปเป็นต้น ปราศไปจากจิตตสันดาน (ของพระตถาคต) หรืออันพระตถาคตทรงละได้แล้ว. แต่ในอรรถนี้ พึงเห็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถตติยาวิภัตติ.
               รสในรูปเป็นต้นชื่อว่ามีรากเหง้าอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตัดขาดแล้ว เพราะอรรถว่า รากเหง้าแห่งความเยื่อใยในรูปเป็นต้นเหล่านั้น อันสำเร็จมาจากตัณหาและอวิชชา อันพระองค์ทรงตัดขาดแล้ว ด้วยศัสตราคืออริยมรรค. ชื่อว่าอันพระองค์ทรงทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน เพราะอรรถว่า วัตถุแห่งรูปรสเป็นต้นเหล่านั้นอันพระองค์ทรงทำให้เป็นเหมือนตอตาลฉะนั้น.
               เหมือนอย่างว่า เมื่อบุคคลถอนต้นตาลขึ้นพร้อมทั้งรากแล้ว กระทำประเทศนั้นให้เป็นสักว่าตอแห่งต้นตาลนั้น ความเกิดขึ้นแห่งต้นตาลนั้น ย่อมปรากฏไม่ได้อีกฉันใด, เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถอนรสในรูปเป็นต้นขึ้นพร้อมทั้งรากด้วยศัสตราคืออริยมรรคแล้ว ทรงทำจิตตสันดานให้เป็นเพียงที่
ตั้งแห่งรสในรูปเป็นต้นนั้น โดยความเป็นสถานที่เคยเกิดมาในกาลก่อน รสในรูปเป็นต้นเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ท่านเรียกว่า ตาลาวัตถุกตา
 (ทำให้เหมือนตาลยอดด้วน) ฉันนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง รูปาทิรสเป็นต้นเหล่านั้น มีอันไม่งอกขึ้นเป็นธรรมดา อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำให้เหมือนตาลยอดด้วนฉะนั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ตาลาวัตถุกตา (อันพระองค์ทรงทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนแล้ว).
               อนึ่ง เพราะรูปาทิรสเป็นต้น พระองค์ทรงทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน โดยนัยที่กล่าวแล้วอย่างนั้น ชื่อว่า เป็นอันพระองค์ทรงทำไม่ให้มีในภายหลัง คือทรงทำโดยอาการที่รูปาทิรสเป็นต้นเหล่านั้น จะมีในภายหลังไม่ได้,
               ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า อนภาวํ กตา (กระทำไม่ให้มีในภายหลัง).
               [อรรถาธิบายศัพท์ อนภาวํ กตา - อนภาวํ คตา]               
              ในบทว่า อนภาวํ กตา นี้ตัดบทดังนี้ คือ อนุ อภาวํ กตา เชื่อมบทเป็น อนภาวํ กตา แปลว่า ทำไม่ให้มีในภายหลัง. ปาฐะว่า อนภาวํ คตา ดังนี้ก็มี. ความแห่งปาฐะนั้นว่า ถึงแล้วซึ่งความไม่มีในภายหลัง. ในบทว่า อนภาวํ คตา นั้นตัดบทดังนี้ คือ อนุ อภาวํ คตา เชื่อมบทเป็น อนภาวํ คตา แปลว่า ถึงแล้วซึ่งความไม่มีในภายหลัง เหมือนการตัดบทในประโยคว่า อนุอจฺฉริยา เชื่อมบทเป็น อนจฺฉริยา แปลว่า พระคาถาเหล่านี้มีความอัศจรรย์ในภายหลัง 
แจ่มแจ้งแล้วแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.๑-
 สองบทว่า อายตึ อนุปฺปาทธมฺมา แปลว่า มีอันไม่เกิดขึ้นในอนาคตเป็นสภาพ. จริงอยู่ รูปรสเป็นต้นเหล่าใด ที่ถึงความไม่มีแล้ว รูปรสเป็นต้นเหล่านั้น จักเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า? เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ถึงแล้วซึ่งความไม่มีในภายหลัง มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป.
               หลายบทว่า อยํ โข พฺราหฺมณ ปริยาโย ความว่า 
               ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลกล่าวหาเราอยู่ว่า พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีรส ดังนี้ ชื่อว่าพึงพูดถูก ด้วยเหตุใด, เหตุนี้มีอยู่จริงๆ.
            หลายบทว่า โน จ โข ยํ ตฺวํ สนฺธาย วเทสิ ความว่า ก็แล เหตุที่ท่านกล่าวมุ่งหมายเอากะเราไม่มี.
            ถามว่า เพราะเหตุใด พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น?
            เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้น ย่อมเป็นอันทรงรับรองความที่สามัคคีรส ซึ่งพราหมณ์กล่าวนั้นมีอยู่ในพระองค์มิใช่หรือ?
               ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :-
               สามัคคีรสที่พราหมณ์กล่าวหามีไม่. แท้จริง ผู้ใดเป็นผู้ควรเพื่อทำสามัคคีรสนั้น แต่ไม่ทำ, ผู้นั้นพึงเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่า เป็นคนมีรูปไม่มีรส เพราะไม่มีการทำสามัคคีรสนั้น. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ควรเพื่อทรงทำสามัคคีรสนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกาศข้อความที่พระองค์เป็นผู้ไม่ควรในการทำสามัคคีรสนั้น จึงได้ตรัสว่า โน จ โข ยํ ตฺวํ สนฺธาย วเทสิ อธิบายว่า ท่านมุ่งหมายถึงเหตุอันใด จึงกล่าวกะเราว่า เป็นคนไม่มีรส เหตุอันนั้น ท่านไม่ควรพูดในเราเลย.
๑- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๔๒. วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๗
               [เวรัญชพราหมณ์กล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ไร้โภคะ]               
               พราหมณ์ไม่สามารถจะยกความที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นคนไม่มีรส (ขึ้นข้อนขอด) ตามที่ตนประสงค์อย่างนั้น จึงกล่าวคำอื่นต่อไปอีกว่า พระโคดมผู้เจริญ เป็นผู้ไร้โภคะ.
               อนึ่ง บัณฑิตครั้นทราบลำดับโยชนาโดยนัยดังกล่าวแล้วนั้นแหละ ในปริยายทั้งปวงในพระบาลีนี้ ก็ควรทราบใจความตามที่พราหมณ์
มุ่งกล่าวไว้โดยนัยดังจะกล่าวต่อไปนี้ :-
  พราหมณ์สำคัญสามีจิกรรมมีการกราบไหว้เหล่าชนผู้เจริญวัยเป็นต้นนั้นนั่นแลว่า เป็นสามัคคีบริโภคในโลก จึงได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าเป็นผู้รู้โภคะ เพราะความไม่มีสามีจิกรรม มีการกราบไหว้เป็นต้นนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเห็นความไม่มีการบริโภคด้วยอำนาจฉันทราคะ (ดุจ) ของสัตว์ทั้งหลาย ในรูปารมณ์เป็นต้น ในพระองค์ จึงทรงรับรองบรรยายอื่นอีก.
               พราหมณ์พิจารณาเห็นการไม่กระทำกรรมคือมรรยาทสำหรับสกุล มีการกราบไหว้เหล่าชนผู้เจริญวัยเป็นต้น ที่ประชาชนชาวโลกทำกันอยู่ในโลก จึงกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า พระโคดมผู้เจริญ เป็นผู้กล่าวการไม่กระทำ. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเห็นการกล่าว การไม่กระทำนั้น (มีอยู่) ในพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสการไม่กระทำกายทุจริตเป็นต้น จึงทรงรับรองบรรยายอื่นอีก. ก็เจตนาในการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป ในการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้และในมิจฉาจาร พึงทราบว่า กายทุจริต ในบรรดาบทเหล่านั้น.
               เจตนาในการพูดเท็จ การพูดส่อเสียด พูดคำหยา และพูดเพ้อเจ้อ พึงทราบว่า วจีทุจริต. ความโลภอยากได้ ความปองร้าย ความเห็นผิด พึงทราบว่า มโนทุจริต. อกุศลธรรมทั้งหลายที่เหลือ เว้นธรรมเหล่านั้นเสีย พึงทราบว่า อกุศลธรรมอันลามกมีส่วนมิใช่น้อย.
               [เวรัญชพราหมณ์กล่าวหาพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้กล่าวการขาดสูญ]
 พราหมณ์ไม่เห็นกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้นนั้นแล ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าใจว่า อาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ แบบแผนประเพณีของโลกนี้ ก็จักขาดสูญ จึงกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า พระโคดมผู้เจริญเป็นผู้กล่าวการขาดสูญ.               แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเห็นการกล่าวการขาดสูญนั้น (มีอยู่) ในพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสการขาดสูญแห่งราคะอัน
เป็นไปในกามคุณ ๕ ในจิตตุปบาทอันสหรคตด้วยโลภะ ๘ ดวง และโทสะอันบังเกิดขึ้นในอกุศลจิต ๒ ดวง ด้วยอนาคามิมรรค  
 อนึ่ง ตรัสการขาดสูญแห่งโมหะอันเกิดแต่อกุศลทั้งหมดไม่มีเหลือ ด้วยอรหัตมรรค ตรัสการขาดสูญแห่งอกุศลธรรมอันลามกที่เหลือ นอกจากโลภะ โทสะ โมหะ ทั้ง ๓ นั้นด้วยมรรค ๔ ตามสมควร จึงทรงรับรองบรรยายอื่นอีก.
               [เวรัญชพราหมณ์กล่าวหาพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้รังเกียจ]    
         พราหมณ์เข้าใจว่า พระสมณโคดม ชะรอยจะทรงรังเกียจกรรมคือมรรยาทสำหรับสกุลมีการกราบไหว้เหล่าชนผู้เจริญวัยเป็นต้นนี้ เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงไม่ทรงกระทำกรรมนั้น จึงกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า พระโคดมผู้เจริญ เป็นผู้รังเกียจ. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเห็นความรังเกียจนั้น (มีอยู่) ในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรังเกียจแต่กายทุจริตเป็นต้น. พระองค์ตรัสอธิบายไว้อย่างไร. ตรัสอธิบายไว้ว่า ทรงรังเกียจ ทรงละอาย กายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ มโนทุจริต ๓ และความเข้าถึงความถึงพร้อม ความเป็นผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยธรรมทั้งหลายที่เหลือ เว้นทุจริตเหล่านั้นที่ชื่อว่าชั่วช้า เพราะอรรถว่าเลวทราม ที่ชื่อว่าอกุศล เพราะอรรถว่า เป็นความไม่ฉลาด แม้ทั้งหมด เหมือนบุรุษผู้มีชาติคนประดับ รังเกียจคูถฉะนั้น จึงทรงรับรองบรรยายอื่นอีก.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กายทุจฺจริเตน เป็นต้น พึงเห็นตติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ.
               [เวรัญชพราหมณ์กล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้กำจัด]  
      พราหมณ์ เมื่อไม่เล็งเห็นกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้นแล ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าใจว่า พระโคดมนี้ ย่อมทรงกำจัด คือทรงทำกรรมที่ควรทำแก่ผู้ประเสริฐในโลกนี้ ให้พินาศ, อีกอย่างหนึ่ง เพราะไม่ทรงทำสามีจิกรรมนั่น ฉะนั้น พระโคดมนี้ จึงควรถูกกำจัด คือควรถูกข่มขี่ จึงกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า พระโคดมผู้เจริญ เป็นผู้กำจัด.
               ในบทว่า เวนยิโก นั้น มีใจความเฉพาะบท ดังต่อไปนี้ :-
               อุบายที่ชื่อว่า วินัย เพราะอรรถว่า ย่อมกำจัด. อธิบายว่า ย่อมทำให้พินาศ. วินัยนั่นแลชื่อ เวนยิกะ. อีกอย่างหนึ่ง บุคคลย่อมควรซึ่งการกำจัด เหตุนั้นจึงชื่อว่า เวนยิกะ (ผู้ควรกำจัด). มีอธิบายว่า ย่อมควรซึ่งอันข่มขี่. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมเป็นผู้ชื่อว่าทรงกำจัด เพราะพระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อกำจัด คือเพื่อความสงบกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น.
               ในบทว่า เวนยิโก นี้ มีใจความเฉพาะบทเท่านี้แล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เวนยิกะ เพราะอรรถว่า ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อกำจัด (กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น).
               จริงอยู่ วิธีพฤทธิ์แห่งศัพท์ตัทธิต เป็นของวิจิตร. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้นั้นทรงพิจารณาเห็นความเป็นผู้กำจัดนั้น (มีอยู่) ในพระองค์ จึงทรงรับรองบรรยายอื่นอีก.
               [เวรัญชพราหมณ์กล่าวหาพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้มักเผาผลาญ]  
                           พราหมณ์เข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ย่อมเผาผลาญเหล่าชนผู้เจริญวัย เพราะชนทั้งหลายเมื่อกระทำสามีจิกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้น ย่อมทำเหล่าชนผู้เจริญวัยให้ยินดี ให้ร่าเริง แต่เมื่อไม่กระทำ ย่อมทำให้เดือดร้อน ให้ขัดเคือง ให้เกิดโทมนัสแก่พวกเขา และพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมไม่กระทำสามีจิกรรมเหล่านั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง เข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านี้เป็นคนกำพร้า เพราะเป็นผู้เว้นจากมรรยาทของคนดี จึงกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า พระสมณโคดมผู้เจริญ เป็นผู้มักเผาผลาญ.
               ในอรรถวิกัปแรกนั้น มีใจความเฉพาะบทดังต่อไปนี้ :-
               ธรรมที่ชื่อ่ว่า ตบะ เพราะอรรถว่า เผาผลาญ. มีคำอธิบายว่า ย่อมรบกวน คือย่อมเบียดเบียน. คำว่า ตบะ นี้ เป็นชื่อแห่งการทำสามีจิกรรม. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตปัสสี เพราะอรรถว่า ทรงมีตบะ. ในอรรถวิกัปที่สอง บัณฑิต ไม่ต้องพิจารณาถึงพยัญชนะ เรียกคนกำพร้าในโลกว่า ตปัสสี. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเห็นความมักเผาผลาญนั้น (มีอยู่) ในพระองค์ เพราะพระองค์ถึงการนับว่าเป็นผู้เผาผลาญ เพราะทรงละเหล่าอกุศลธรรมที่เรียกว่า เป็นที่ตั้งแห่งความเดือดร้อน เพราะเผาผลาญชาวโลก จึงทรงรับรองบรรยายอื่นอีก.
               ในบทว่า ตปสฺสี นั้น มีใจความเฉพาะบท ดังต่อไปนี้ :-
               อกุศลธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า ตบะ เพราะอรรถว่า เผาผลาญ. คำว่า ตบะ นั่นเป็นชื่อแห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย. แม้ข้อนี้ ก็สมจริงดังพระดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้ในคาถาว่า บุคคลผู้ทำบาป เดือดร้อนอยู่ในโลกนี้ ละไปแล้ว ย่อมเดือดร้อน๑- ดังนี้เป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า ตปัสสี เพราะอรรถว่า ทรงเหวี่ยง ทรงสลัด ทรงละ คือทรงกำจัดตบะธรรมเหล่านั้นเสีย.
๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๑๑
               [เวรัญชพราหมณ์กล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ปราศจากครรภ์] 
         พราหมณ์เข้าใจว่า กรรมมีการกราบไหว้เป็นต้นนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าถึงพร้อมแห่งครรภ์ในเทวโลก เพื่อได้เฉพาะ ซึ่งปฏิสนธิในเทวโลก และเห็นกรรมนั้นไม่มีในพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า พระโคดมผู้เจริญ เป็นผู้ปราศจากครรภ์.
   อีกอย่างหนึ่ง พราหมณ์ แม้เมื่อแสดงโทษ เพราะการถือปฏิสนธิในท้องแห่งมารดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยอำนาจความโกรธ จึงกล่าวอย่างนั้น.
    ในบทว่า อปคพฺโภ นั้น มีใจความเฉพาะบท ดังต่อไปนี้ :-
               พระสมณโคดม ชื่อว่า อปคัพภะ เพราะอรรถว่า ปราศจากครรภ์. อธิบายว่า พระสมณโคดมไม่สมควรถึงความบังเกิดยังเทวโลก. อีกอย่างหนึ่ง ครรภ์ของพระสมณโคดมนั้นเลว เหตุนั้น ท่านจึงชื่อ อปคัพภะ. อธิบายว่า พระสมณโคดม ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนได้แต่ครรภ์ที่เลวทรามต่อไป เพราะเป็นผู้เหินห่างจากครรภ์ในเทวโลก, เพราะเหตุนั้น ความอยู่ในครรภ์ ในท้องแห่งมารดาของพระสมณโคดมนั้น จึงเป็นการเลวบ้าง.
               ก็เพราะความนอนในครรภ์ต่อไปของพระผู้มีพระภาคเจ้าปราศจากไปแล้ว ฉะนั้น พระองค์เมื่อทรงพิจารณาเห็นความปราศจากครรภ์นั้น (มีอยู่) ในพระองค์ จึงทรงรับรองบรรยายอื่นอีก.
               ก็บรรดาบทเหล่านั้นใจความแห่งบทเหล่านี้ว่า ยสฺส โข พฺราหฺมณ อายตึ คพฺภเสยฺยา ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ ปหีนา พึงทราบอย่างนี้ :-
               ดูก่อนพราหมณ์ ความนอนในครรภ์ในอนาคต และความเกิดในภพใหม่ของบุคคลใด ชื่อว่าละได้แล้ว เพราะมีเหตุอันมรรคยอดเยี่ยมกำจัดเสียแล้ว.
               ก็ในอธิการนี้ ชลาพุชะกำเนิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาด้วยคัพภเสยยศัพท์. กำเนิดนอกนี้อีก ๓ ทรงถือเอาด้วยปุนัพภวาภินิพพัตติศัพท์.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในสองบทว่า คพฺภเสยฺยา ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ นี้ อย่างนี้ว่าความนอนแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์
               ชื่อว่า คพฺภเสยฺยา ความบังเกิด คือภพใหม่ ชื่อว่า ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ เหมือนอย่างว่า แม้เมื่อกล่าวว่า วิญญาณฐิติ ที่ตั้งอื่นจากวิญญาณไป ย่อมไม่มี ฉันใด แม้ในที่นี้ก็ฉันนั้น ไม่พึงเข้าใจความนอนอื่นจากสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ต่อไป.
              ก็ขึ้นชื่อว่า ความบังเกิดที่เป็นภพใหม่ก็มี ที่ไม่ใช่ภพใหม่ก็มี แต่ในที่นี้ประสงค์เอาที่เป็นภพใหม่ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ความบังเกิด คือภพใหม่ ชื่อปุนัพภวาภินิพพัตติ.
               #- พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ผู้เป็นพระธรรมิศร พระธรรมราชา พระธรรมสวามี พระตถาคต ทรงทอดพระเนตรดูพราหมณ์ แม้ผู้ด่าอยู่ด้วยอักโกสวัตถุ ๘ มีความที่พระองค์มีปกติไม่ไยดีในรูปเป็นต้น จำเดิมแต่กาลที่มาถึงโดยประการฉะนี้ ด้วยพระจักษุอันเยือกเย็นด้วยพระกรุณาอย่างเดียว ทรงกำจัดความมืดในหทัยของพราหมณ์ ดุจพระจันทร์เพ็ญและดุจพระอาทิตย์ในสรทกาล ลอยอยู่ในอากาศอันปราศจากเมฆ ฉะนั้น เพราะพระองค์ทรงแทงตลอดธรรมธาตุอันใดแล้วถึงความงามแห่งเทศนา ธรรมธาตุนั้นพระองค์แทงตลอดดีแล้ว ทรงแสดงอักโกสวัตถุเหล่านั้นนั่นเอง โดยประการอย่างอื่นจากปริยายนั้นๆ แล้ว เมื่อจะประกาศความแผ่ไปแห่งพระกรุณาของพระองค์ ลักษณะแห่งตาทิคุณอันพระองค์ทรงได้แล้ว โดยความที่พระองค์มิได้ทรงหวั่นไหว เพราะโลกธรรม ๘ ความที่พระองค์มีจิตเสมอด้วยแผ่นดิน และความที่พระองค์มีอันไม่กำเริบเป็นธรรมซ้ำอีก
               ทรงพระดำริว่า พราหมณ์นี้ย่อมทราบความที่ตนเป็นใหญ่ ด้วยเหตุมีความเป็นผู้มีผมหงอกบนศีรษะ มีฟันหัก มีหนังเหี่ยวเป็นต้นอย่างเดียว แต่หารู้ไม่แล ซึ่งตนอันชาติติดตาม ชรารึงรัด พยาธิครอบงำ มรณะกำจัด เป็นดุจหลักตอในวัฏฏะอันจะพึงตายในวันนี้แล้ว ถึงความเป็นทารกนอนหงายในพรุ่งนี้อีก ก็พราหมณ์นี้มาสู่สำนักของเราด้วยความอุตสาหะใหญ่แล ขอให้การมาของพราหมณ์นั้น จงเป็นไปกับด้วยประโยชน์เถิด ดังนี้แล้ว เมื่อจะแสดงความที่พระองค์เป็นผู้เกิดก่อน ซึ่งหาผู้เทียมถึงพระองค์มิได้ ในโลกนี้ จึงยังพระธรรมเทศนาให้เจริญแก่พราหมณ์โดยนัยว่า เสยฺยถาปิ พฺราหฺมณ เป็นต้น
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยถา เป็นนิบาต ลงในอรรถคืออุปมา.
               ปิศัพท์ เป็นนิบาต ลงในอรรถ คือสัมภาวนะ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ยถา นาม พฺราหฺมณ ด้วยนิบาตทั้งสอง,
               ก็ในคำว่า ฟองไข่แห่งแม่ไก่ ๘ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง นี้ ฟองไข่แห่งแม่ไก่ ถึงจะมีจำนวนหย่อนหรือเกินไปจากประการดังที่กล่าวแล้ว แม้ก็จริง ถึงกระนั้นก็ควรทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำอย่างนี้ เพราะเป็นความสละสลวยแห่งถ้อยคำ. จริงอยู่ ถ้อยคำเช่นนั้น จัดว่าเป็นคำสละสลวย ในทางโลก.
               บทว่า ตานิสฺสุ ตัดบทเป็น ตานิ อสฺสุ อธิบายว่า ภเวยฺยุํ แปลว่า ไข่เหล่านั้นพึงมี.
               หลายบทว่า กุกฺกุฏิยา สมฺมา อธิสยิตานิ ความว่า ฟองไข่ทั้งหลายอันแม่ไก่ตัวให้กำเนิดนั้น กางปีกออกนอน
กกอยู่ข้างบนแห่งฟองไข่เหล่านั้น ชื่อว่านอนกกอยู่โดยถูกต้อง.
               สองบทว่า สมฺมา ปริเสทิตานิ ความว่า เมื่อแม่ไก่
ให้ฟองไข่ได้รับอุณหภูมิตามกาลเวลาอันสมควร ชื่อว่าให้อบอุ่นโดยทั่วถึงด้วยดี. มีคำอธิบายว่า ทำให้มีไออุ่น.
               สองบทว่า สมฺมา ปริเสวิตานิ ความว่า ฟองไข่ทั้งหลายอันแม่ไก่ฟักถูกต้องโดยทั่วถึง ตามกาลเวลาอันสมควร. อธิบายว่า ให้ได้รับกลิ่นตัวแม่ไก่.
 องค์การศึกษาแผนกบาลี แปลออกสอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๙๖.
               [ไก่ตัวออกก่อนเรียกว่าไก่ตัวพี่]    
              บัดนี้ เพราะฟองไข่เหล่านั้น อันแม่ไก่นั้นบริบาลอยู่ ด้วยวิธีทั้ง ๓ อย่างนี้ จึงเป็นไข่ไม่เน่า แม้ยางเมือกแห่งฟองไข่เหล่านั้นที่มีอยู่ ก็จะถึงความสิ้นไป กระเปาะฟองไข่จะบาง ปลายเล็บเท้าและจะงอยปากจะแข็ง. ลูกไก่ทั้งหลาย (ที่อยู่ข้างในกระเปาะฟอง) ย่อมถึงความแก่ตัว แสงสว่างข้างนอก ย่อมปรากฏถึงข้างใน เพราะกระเปาะไข่บาง เวลาแสงสว่างปรากฏอยู่นั้น ลูกไก่เหล่านั้นใฝ่ฝันอยู่ว่า นานแท้หนอ พวกเรานอนงอปีกและเท้าอยู่ในที่คับแคบ และแสงสว่างข้างนอก ก็กำลังปรากฏ บัดนี้ ความอยู่อย่างสบายจักมีแก่พวกเราในแสงสว่างนี้ ดังนี้ มีความประสงค์จะออกมา จึงเอาเท้ากะเทาะกระเปาะฟองไข่ยื่นคอออกมา. ต่อจากนั้นกระเปาะฟองไข่นั้น ก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง.
               ลูกไก่ทั้งหลาย ก็ออกมาสลัดปีกพลางร้องพลาง ตามสมควรแก่ขณะนั้น. ก็บรรดาลูกไก่เหล่านั้นที่ออกมาอยู่อย่างนั้น ตัวใดออกมาก่อนกว่าเขา ตัวนั้นเขาเรียกกันว่า ตัวพี่ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะยังความที่พระองค์เป็นผู้ใหญ่กว่าเขาให้สำเร็จด้วยอุปมานั้น จึงตรัสถามพราหมณ์ว่า บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใดพึงเอาปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปากกะเทาะกระเปาะฟองไข่ออกมาได้ โดยความสวัสดีก่อนกว่าเขา 
ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่ากระไร?
                บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุกฺกุฏจฺฉาปกานํ คือบรรดาลูกไก่ทั้งหลาย.
               หลายบทว่า กินฺติ สฺวาสฺส วจนีโย ความว่า ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่ากระไร? คือ ควรเรียกว่า พี่หรือน้องเล่า? คำที่เหลือมีใจความง่ายทั้งนั้น.
               ลำดับนั้น พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ควรเรียกว่า พี่.
               มีอธิบายว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ลูกไก่ตัวนั้น ควรเรียกว่า พี่.   หากจะมีคำถามว่า เพราะเหตุไร จึงเรียกว่า พี่?
               แก้ว่า เพราะลูกไก่ตัวนั้น มันแก่กว่าเขา. อธิบายว่า เพราะลูกไก่ตัวนั้นเติบโตกว่าบรรดาลูกไก่ที่ออกมาภายหลังเหล่านั้น.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงเทียบเคียงข้ออุปมาแก่พราหมณ์นั้น จึงตรัสว่า ฉันนั้นนั่นแล พราหมณ์ แม้เราก็เหมือนลูกไก่ตัวนั้น ในบรรดาหมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชา...
               ความไม่รู้ ท่านเรียกว่า อวิชชา ในบทว่า อวิชฺชาคตาย นี้ บรรดาหมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชานั้น. คำว่า ปชาย นั่น เป็นชื่อของสัตว์. เพราะฉะนั้น ในคำว่า อวิชฺชาคตาย ปชาย นี้ พึงทราบใจความอย่างนี้ว่า บรรดาสัตว์ทั้งหลายผู้ตกเข้าไปในภายในแห่งกระเปาะฟองคืออวิชชา.
               บทว่า อณฺฑภูตาย ความว่า ผู้เป็นแล้ว ผู้เกิดแล้ว คือผู้เกิดพร้อมแล้วในฟองไข่ เหมือนอย่างว่า สัตว์บางพวกผู้เกิดในฟองไข่เขาเรียกว่า อัณฑภูตา ฉันใด หมู่สัตว์แม้ทั้งหมดนี้ ก็ฉันนั้น ท่านเรียกว่า อัณฑภูตา เพราะความที่ตนเกิดในกระเปาะฟองไข่คืออวิชชา.
               บทว่า ปริโยนทฺธาย ความว่า ผู้อันกระเปาะฟองคืออวิชชานั้นรึงรัด คือ ผูกมัด พันไว้โดยรอบ.
               บทว่า อวิชฺชณฺฑโกสมฺปทาเลตฺวา ความว่า เราได้ทำลายกระเปาะฟองที่สำเร็จมาจากอวิชชานั้นแล้ว.
               สองบทว่า เอโกว โลเก ความว่า ในโลกสันนิวาสแม้ทั้งสิ้น เราผู้เดียวเท่านั้น คือไม่มีคนที่สอง.
               บทว่า อนุตฺตรํ ในคำว่า อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ นี้ ความว่า เว้นจากอริยมรรคอันเยี่ยมเสียแล้ว ประเสริฐกว่าธรรมทุกอย่าง.
               บทว่า สมฺมาสมฺโพธึ แปลว่า ซึ่งความตรัสรู้โดยชอบและด้วยพระองค์เอง. อีกอย่างหนึ่ง แปลว่า ซึ่งความตรัสรู้โดยชอบและด้วยพระองค์เอง. อีกอย่างหนึ่ง แปลว่า ซึ่งความตรัสรู้ ที่ปราชญ์สรรเสริญด้วย ดีด้วย
               [โพธิศัพท์หมายความถึง ๔ นัย]  
              ต้นไม้ก็ดี มรรคก็ดี สัพพัญญุตญาณก็ดี นิพพานก็ดี ท่านเรียกว่า โพธิ.
              จริงอยู่ ท่านเรียกต้นไม้ว่า โพธิ ในอาคตสถานทั้งหลายว่า ตรัสรู้ครั้งแรก ที่โคนโพธิพฤกษ์ และว่า ในระหว่างแห่งต้นโพธิ์ ในระหว่างแห่งแม่น้ำคยา.
               มรรค ท่านเรียกว่า โพธิ ในอาคตสถานว่า ความรู้โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ในมรรคทั้ง ๔.
               สัพพัญญุตญาณ ท่านเรียกว่า โพธิ ในอาคตสถานว่า พระสิทธัตถโพธิสัตว์มีพระปัญญาประเสริฐดุจแผ่นปฐพี ทรงบรรลุพระโพธิญาณ.
               พระนิพพาน ท่านเรียกว่า โพธิ ในอาคตสถานว่า พระสิทธัตถโพธิสัตว์ทรงบรรลุโพธิอันเป็นอมตะเป็นอสังขตะ.
               แต่ในบทว่า สมฺมาสมฺโพธึ นี้ ท่านประสงค์เอาอรหัตมรรคญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้า. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ประสงค์เอาสัพพัญญุตญาณบ้าง.
               ถามว่า พระอรหัตมรรคของคนเหล่าอื่น จัดเป็นโพธิ (ความตรัสรู้) อย่างยอดเยี่ยมหรือไม่?
               แก้ว่า ไม่เป็น.
               ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่เป็น?
               แก้ว่า เพราะพระอรหัตมรรคของคนเหล่าอื่นนั้นอำนวยคุณให้ไม่ได้ทุกอย่าง.
               จริงอยู่ พระอรหัตมรรคของบรรดาคนเหล่านั้น บางคนให้เฉพาะพระอรหัตผลเท่านั้น. ของบางคนให้เฉพาะวิชชา ๓. ของบางคนให้เฉพาะอภิญญา ๖. ของบางคนให้เฉพาะปฏิสัมภิทา ๔. ของบางคนให้เฉพาะสาวกบารมีญาณ. ถึงของพรเปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ให้เฉพาะ
ปัจเจกโพธิญาณเท่านั้น.
               ส่วนพระอรหัตมรรคของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมให้คุณสมบัติทุกอย่าง ดุจการอภิเษกของพระราชาให้ความเป็นใหญ่ในโลกทั้งหมด ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น พระอรหัตมรรค แม้ของคนอื่นบางคน จึงไม่จัดเป็นโพธิ (ความตรัสรู้) อย่างยอดเยี่ยม ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า อภิสมฺพุทฺโธ ความว่า เราได้รู้ยิ่งแล้ว คือได้แทงตลอดแล้ว. อธิบายว่า เราได้บรรลุแล้ว คือได้ถึงทับแล้ว.
               [ข้อเปรียบเทียบการทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาเหมือนการฟักไข่]   
            บัดนี้ บัณฑิตควรเทียบเคียงคำอุปมาอุปไมยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า เอวเมว โข อหํ พฺราหฺมณ แล้วพึงทราบโดยใจความ โดยนัยดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ :-
               เหมือนอย่างว่า ข้อที่แม่ไก่นั้นทำกิริยาทั้ง ๓ มีนอนกกอยู่บนฟองไข่ทั้งหลายเป็นต้นของตน ฉันใด ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์ แล้วทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง ๓ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ในจิตสันดานของพระองค์ ก็ฉันนั้น.
               ความไม่เสื่อมไปแห่งวิปัสสนาญาณ ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง ๓ ให้ถึงพร้อม เปรียบเหมือนฟองไข่ทั้งหลายไม่เน่า ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง ๓ ให้ถึงพร้อมฉะนั้น.
               ความสิ้นไปแห่งความสิเนหา คือ ความติดใจไปตามไตรภพ ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง ๓ ให้ถึงพร้อม เปรียบเหมือนความสิ้นไปแห่งยางเมือก แห่งฟองไข่ทั้งหลาย ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง ๓ ฉะนั้น.
               ความที่กระเปาะฟองคืออวิชชา เป็นธรรมชาติบาง ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง ๓ ให้ถึงพร้อม เปรียบเหมือนภาวะที่กระเปาะฟองไข่เป็นของบาง 
ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง ๓ ฉะนั้น.
               ความที่วิปัสสนาญาณเป็นคุณชาติกล้าแข็ง ผ่องใสและองอาจ ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง ๓ ให้ ถึงพร้อม เปรียบเหมือนภาวะที่เล็บเท้า และจะงอยปากของลูกไก่เป็นของหยาบและแข็ง ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง ๓ ฉะนั้น.
               ควรทราบเวลาที่วิปัสสนาญาณแก่เต็มที่ เวลาเจริญ (และ) เวลาถือเอาห้อง ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง ๓ ให้ถึงพร้อม เปรียบเหมือนเวลาที่ลูกไก่แก่เต็มที่ ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง ๓ ฉะนั้น.
               เพราะเหตุนั้น ควรทราบเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้วิปัสสนาญาณถือเอาห้องแล้วทำลายกระเปาะฟองคืออวิชชาด้วยพระอรหัตมรรค ที่พระองค์ได้ทรงบรรลุโดยลำดับ แล้วทรงปรบปีกคืออภิญญา จึงทรงทำให้แจ้งซึ่งพระพุทธคุณทั้งหมด โดยความสวัสดี ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง ๓ ให้ถึงพร้อม เปรียบเหมือนเวลาที่ลูกไก่เอาปลายเล็บเท้า และจะงอยปากกะเทาะกระเปาะฟองไข่แล้วปรบปีกออกมาได้โดยความสวัสดี ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง ๓ ฉะนั้น.
               หลายบทว่า สฺวาหํ พฺราหฺมณ เชฏฺโฐ เสฏฺโฐ โลกสฺส
               ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ บรรดาหมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชาเรานั้นได้ทำลายกระเปาะฟอง คืออวิชชานั้น แล้วถึงความนับว่า เป็นผู้ที่เจริญที่สุด คือเจริญอย่างสูงสุด เพราะเป็นผู้เกิดแล้วโดยอริยชาติก่อนกว่าเขา เปรียบเหมือนบรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวที่กะเทาะ
กระเปาะฟองไข่ ออกมาได้ก่อน
กว่าเขา ย่อมเป็นไก่ตัวพี่ ฉะนั้น, ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่าถึงความนับว่า เป็นผู้ประเสริฐที่สุด เพราะไม่มีใครทัดเทียมได้ด้วยพระคุณทั้งปวง.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ประเสริฐเพราะบำเพ็ญเพียร]               
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงประกาศความที่พระองค์ เป็นผู้เจริญที่สุดและประเสริฐที่สุด อย่างยอดเยี่ยมแก่พราหมณ์อย่างนั้นแล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงปฏิปทา ที่เป็นเหตุให้พระองค์ทรงบรรลุความเป็นผู้เจริญที่สุดเป็นต้นนั้น จำเดิมแต่ส่วนเบื้องต้น จึงตรัสว่า อารทฺธํ โข ปน เม พฺราหฺมณ เป็นต้น.
               อีกอย่างหนึ่ง เพราะได้สดับข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เจริญที่สุดและประเสริฐที่สุด อย่างยอดเยี่ยมนี้แล้ว พราหมณ์จึงเกิดความคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบรรลุความเป็นผู้เจริญที่สุดและประเสริฐที่สุด ด้วยปฏิปทาอะไรหนอแล? ดังนี้
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความคิดของพราหมณ์นั้นแล้ว เมื่อจะทรงแสดงว่า เราได้บรรลุความเป็นผู้เจริญที่สุดและประเสริฐที่สุดอย่างยอดเยี่ยมนี้ด้วยปฏิปทานี้ จึงได้ตรัสอย่างนั้น.
    บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า อารทฺธํ โข ปน เม พฺราหฺมณ วิริยํ อโหสิ
               ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่เราเป็นผู้เจริญที่สุดและประเสริฐที่สุด อย่างยอดเยี่ยมนี้ เราหาได้บรรลุด้วยความเกียจคร้าน ด้วยความหลงลืมสติ ด้วยความมีกายกระสับกระส่าย (และ) ด้วยความเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านไม่.
               อีกอย่างหนึ่งแล เพราะเราได้ปรารภความเพียรแล้วแล เพื่อบรรลุความเป็นผู้เจริญที่สุด และประเสริฐที่สุดนั้น คือเรานั่งอยู่แล้ว ณ โพธิมัณฑ์ ได้ปรารภความเพียรประกอบด้วยองค์ ๔.
               มีคำอธิบายว่า ได้ประคอง คือให้เป็นไปไม่ย่อหย่อน. ก็แลความเพียรนั้น ได้ชื่อว่าเป็นคุณชาติ ไม่ย่อหย่อนเพราะเราได้ปรารภแล้วอย่างแท้จริง ทั้งมิใช่แต่ความเพียรอย่างเดียวเท่านั้น แม้สติเราก็ได้เข้าไปตั้งไว้เฉพาะแล้ว โดยความเป็นคุณธรรม บ่ายหน้าตรงต่ออารมณ์ และชื่อว่าเป็นความไม่หลงลืม เพราะปรากฏอยู่เฉพาะหน้าทีเดียว.
               สองบทว่า ปสฺสทฺโธ กาโย ความว่า แม้กายของเราก็เป็นของสงบแล้ว ด้วยอำนาจแห่งความสงบกายและจิต. เพราะเมื่อนามกายสงบแล้ว แม้รูปกายก็เป็นอันสงบแล้วเหมือนกัน, ฉะนั้น ในพระบาลีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสให้พิเศษเลยว่า นามกาย รูปกาย ตรัสเพียงว่า กายสงบเท่านั้น.
               บทว่า อสารทฺโธ ความว่า ก็กายนั้น ชื่อว่าหากความ
กระสับกระส่ายมิได้ เพราะเป็นกายอันสงบแล้วนั่นแล. มีคำอธิบายว่า เป็นกายที่ปราศจากความกระวนกระวายแล้ว.
               หลายบทว่า สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺคํ ความว่า ถึงจิตของเราก็ตั้งอยู่แล้วโดยชอบ คือดำรงมั่นดีแล้ว ได้เป็นราวกะว่าแน่นแฟ้นแล้ว, และจิตของเรานั้น ชื่อว่ามีอารมณ์เป็นหนึ่ง, คือไม่หวั่นไหว ได้แก่ไม่มีความดิ้นรน เพราะเป็นจิตตั้งมั่นดีนั่นแล. ข้อปฏิบัติเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งฌาน เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ด้วยลำดับเพียงเท่านี้.

หน้า ๘/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

  [อรรถาธิบายพระพุทธคุณบทว่า โลกวิทู]   

               อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า โลกวิทู เพราะพระองค์ทรงรู้แจ้งโลก โดยประการทุกอย่าง. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงรู้ คือทรงรู้ทั่วถึง ทรงแทงตลอดโลก โดยประการทั้งปวง โดยสภาพบ้าง โดยสมุทัยบ้าง โดยนิโรธบ้าง โดยอุบายเป็นเหตุถึงนิโรธบ้าง.   เหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
               ดูก่อนอาวุโส ในที่สุดแห่งโลกใดแล ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่เคลื่อน ไม่อุบัติ เราไม่กล่าวที่สุดแห่งโลกนั้นว่า อันบุคคลพึงรู้ พึงเห็น พึงถึง ด้วยการไป (ด้วยกาย), ดูก่อนอาวุโส และเราไม่กล่าวว่า การยังไม่ถึงที่สุดแห่งโลกเลยจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้, ดูก่อนอาวุโส อีกอย่างหนึ่ง เราย่อมบัญญัติโลก ความ
เกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับโลก ที่กเลวระประมาณวาหนึ่งนี้แล ซึ่งมีสัญญา มีใจ,
                         ที่สุดแห่งโลก บุคคลไม่พึงถึงได้ด้วย
               การไป (ด้วยกาย) ในกาลไหนๆ และจะไม่มี
               การพ้นจากทุกข์ได้ เพราะยังไม่ถึงที่สุดแห่ง
               โลกเพราะเหตุนั้นแล ท่านผู้รู้แจ้งโลก มีปัญญา
               ดีถึงที่สุดแห่งโลก อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เป็น
               ผู้สงบ รู้ที่สุดแห่งโลกแล้ว ย่อมไม่ปรารถนา
               โลกนี้และโลกอื่น.๑-
๑- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๔๕/หน้า ๖๒.